1 เปโตร 2 พระเกียรติ และหน้าที่ของคนของพระเจ้า

มาหาพระเจ้าโดยมาหาพระดำรัส

ดังนั้น ขอให้ท่านทั้งหลายละทิ้งความชั่วทั้งปวง อุบายล่อลวงทั้งสิ้นความหน้าซื่อใจคด ความริษยา และการใส่ร้ายทุกรูปแบบ
1 เปโตร 2:1

ฮีบรู 12:1, เอเฟซัส 4:31, ยากอบ 1:21

เหตุผลที่ท่านเปโตรให้ละทิ้งสิ่งชั่วร้าย ต้องกลับไปอ่านจากบทที่ 1 เราได้เกิดใหม่ มีความหวังใหม่แล้ว พระเจ้าทรงเรียกให้เราเป็นคนบริสุทธิ์ พระเยซูทรง ไถ่เราด้วยพระโลหิตประเสริฐ เราได้เกิดจาก เมล็ดพันธุ์ที่มีชีวิต เราไม่ใช่คนที่ตายไปในบาป อีกต่อไป นี่ทำให้เรายิ่งต้องทิ้งความชั่วร้าย ไม่ให้มันมามีส่วนในชีวิตเราต่อไป

ให้ท่านมีความกระหายอยากได้น้ำนมฝ่ายวิญญาณที่บริสุทธิ์ เหมือนเด็กทารกแรกเกิดเพราะโดยน้ำนมนั้น จะทำให้พวกท่านเติบโตไปถึงความรอด ในเมื่อท่านได้ลิ้มรสแล้วว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงดีเลิศ
1 เปโตร 2:2-3

มัทธิว 18:3,19:14, มาระโก 10:15, ลูกา 18:17, 1 โครินธ์ 14:20, 3:2, ฮีบรู 5:12-13, สดุดี 34:8, 63:5, ทิตัส 3:4, ฮีบรู 6:5

น้ำนมฝ่ายวิญญาณที่บริสุทธิ์ ในบางเล่มใช้คำว่า น้ำนมแห่งพระคำบริสุทธิ์ ของพระเจ้า นั่นคือท่านเปโตรกำลังขอให้ผู้เชื่อใหม่ได้มีความ อยากที่จะรู้จักพระคำพื้นฐานที่ต้องรู้ เพื่อว่าชีวิตจะได้เติบโตไปถึงความรอด นี่เป็นการชี้ว่า เมื่อเข้ามาเชื่อแล้ว เราต้องร่วมมือกับพระองค์ ตามที่อัครทูตได้สอนไว้เพื่อเติบโต ไม่ใช่อยู่เฉย ๆ

ศิลาที่ทรงเลือก และคนที่ทรงเลือก

จงมาหาพระองค์ผู้เป็นพระศิลาที่มีชีวิต แม้มนุษย์จะปฏิเสธพระองค์แต่กลับทรงเป็นพระศิลาที่พระเจ้าทรงเลือก และล้ำค่านักในสายพระเนตร
1 เปโตร 2:4

สดุดี 118:22, กิจการ 4:11-12,อิสยาห์ 28:16

พระเยซูทรงเป็นรากฐานที่มีชีวิต ซึ่งทำให้ผู้เชื่อมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ พระเจ้าทรงเลือกพระองค์ไว้
ในขณะที่คนของพระองค์ คือยิวทั้งหลายปฏิเสธ พระองค์ ทั้งยังได้ประหารพระองค์บนไม้กางเขนด้วย พระคำตอนนี้จนถึงข้อ 10 มาจากพันธสัญญาเดิม ประเด็นสำคัญในข้อนี้บอกว่า
พระเยซูคริสต์ทรงเป็นรากฐานของคริสตจักร
สิ่งอื่นใดที่มนุษย์คิด ไม่ใช่รากฐานคริสตจักร

พวกท่านเองก็เป็นศิลาที่มีชีวิตกำลังถูกสร้างเป็นพระนิเวศฝ่ายวิญญาณเพื่อเป็นปุโรหิตบริสุทธิ์ เพื่อเป็นผู้ถวายเครื่องบูชาฝ่ายวิญญาณซึ่งเป็นที่ชอบพระทัยพระเจ้าผ่านพระเยซูคริสต์
1 เปโตร 2:5

เอเฟซัส 2:20-22, 1 โครินธ์ 3:9

คำว่าศิลาในที่นี้มีความหมายถึงหินที่ถูกสกัดไว้เพื่อ รับน้ำหนักของอาคาร ท่านเปโตรมองว่าชุมชนผู้เชื่อคือพระนิเวศฝ่ายวิญญาณ มีชีวิต มีคนเชื่อใหม่เข้ามา ก็เหมือนมีศิลาเข้ามาสร้างเพิ่มเติมในพระนิเวศนี้ ผู้เชื่อจึง เป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างทั้งหมด พวกเขาทุกคน มีหน้าที่เป็นปุโรหิต มีความสัมพันธ์กับพระเจ้า พวกเขาเป็นทั้งพระนิเวศ เป็นทั้งผู้นมัสการ เป็นศิลาที่มีชีวิตตามพระเยซูเจ้าของเขา

เพราะพระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า
“ดูเถิด เรากำลังวางศิลาก้อนหนึ่งใน ศิโยน เป็นศิลาหัวมุมที่เลือกไว้ และมีค่ายิ่งและใครก็ตามที่เชื่อในพระองค์ จะไม่ต้องอับอาย สำหรับ คนที่เชื่อ ศิลานี้ มีค่าล้ำเลิศ
1 เปโตร 2:6-7a

อิสยาห์ 28:16, โรม 9:32-33, 10:11, 1 เปโตร 2:8

ท่านเปโตรได้ใช้คำเปรียบเรื่องศิลานี้ มาจากพระคัมภีร์เดิม ท่านบอกว่า พระเยซูทรงอยู่ในฐานะเหมือนกับศิลามุมเอก ส่วนที่สำคัญยิ่งสำหรับ อาคารที่ก่อด้วยหิน พระองค์รับการแต่งตั้งมาจากพระเจ้าเพื่อเป็นรากฐานที่แข็งแรงของอาคาร ฝ่ายวิญญาณของทุกชีวิต เราต้องเข้าใจว่า พระเยซูทรงเป็นรากฐานแห่งความเชื่อของเราไม่มีรากอื่นใดนอกจากพระองค์

สำหรับคนที่ไม่เชื่อฟัง .. “ศิลาซึ่งช่างก่อทิ้งแล้วนั้น ได้กลายเป็นศิลามุมเอก และ เป็นศิลาที่ทำให้คนสะดุด เป็นหินที่ทำให้พวกเขาต้องหกล้ม ที่เขาสะดุด เป็นเพราะเขาไม่เชื่อฟัง พระคำของพระเจ้า ตามที่ถูกกำหนดไว้อย่างนั้น
1 เปโตร 2:7b-8

สดุดี 118:22, มัทธิว 21:42, ลูกา 2:34, อิสยาห์ 8:14, 1 โครินธ์ 1:23, กาลาเทีย 5:11, โรม 9:22

เมื่อคนยิวไม่ยอมรับพระเยซู พระเจ้าได้ทรงหันมา สร้างคริสตจักรที่ประกอบด้วยชนทุกชาติ ผู้ที่เชื่อพระเยซูจะได้รับแบ่งเกียรติยศจากพระองค์ ในขณะที่ผู้ไม่เชื่อฟังกลับพบว่า พระเยซู เป็นหินที่ทำให้พวกเขาต้องล้มและพบความหายนะ พระเจ้าไม่ได้ทรงกำหนดให้เขาไม่เชื่อ แต่หากไม่เชื่อ เขาก็จะสะดุด เสียดายโอกาสหลายชั่วอายุคน ที่คนยิวจำนวนมากมายเลือก ไม่เชื่อพระเยซู แต่ขอบพระคุณที่คนยิวยุคนี้ เริ่มหันมาหาพระองค์มากขึ้น

แต่ ท่านทั้งหลาย เป็นชนชาติที่พระเจ้าทรงเลือกไว้ เป็นปุโรหิตหลวง เป็นชาติบริสุทธิ์ เป็นประชากรที่เป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์
1 เปโตร 2:9a

อิสยาห์ 9:2, 42:16,กิจการ 26:18, 2 โครินธ์ 4:6,

ไม่มีใครอวดได้ว่า เขามาอยู่ในพระเจ้าเพราะตัว เขาตัดสินใจ เขาเข้ามาเอง ทุกคนที่เข้ามา อยู่ในร่มพระเมตตาของพระเจ้านั้น ได้รับการเลือกจากพระองค์ทั้งสิ้น เมื่อเข้ามาแล้ว ก็มี หน้าที่ชัดเจน เป็นปุโรหิตที่ใกล้ชิดกับพระเจ้า ทูลขอพระเมตตาเพื่อคนอื่น ๆ เสียดายที่อิสราเอลได้ละทิ้งสิทธิพิเศษนี้ พระเจ้าได้เลือกคนอีกมากมายทั่วโลกมาเป็น กรรมสิทธิ์ของพระองค์​

เพื่อว่าท่านจะประกาศถึงความดีอันล้ำเลิศของพระองค์ผู้ทรงเรียกท่าน ออกจากความมืด เข้ามาสู่ความสว่างอันมหัศจรรย์ของพระองค์
1 เปโตร 2:9b

วิวรณ์ 1:6,5:10, มัทธิว 5:16, โคโลสี 1:13

ตามพระประสงค์ คริสตจักรจะต้องทำหน้าที่ซึ่งพระเจ้าทรงเรียกให้พวกเขาทำ นั่นคือ ประกาศพระนามพระเยซูคริสต์ออกไปทั่วโลก (มัทธิว 28:19-20) เขาจะต้องเป็นเครื่องมือที่พระเจ้าทรงใช้ให้ส่องสว่างไปยังหัวใจที่มืดมิดในโลกนี้ พวกเขาได้ผ่านกระบวนการที่พระเจ้าทรง เรียกเขาออกมาจากความมืด มาสู่ความสว่าง ของพระองค์ เขาจึงมีคำพยานที่ชัดเจนให้กับ ผู้ที่ไม่เคยได้ยินเรื่องของพระเจ้า

แต่ก่อนท่านไม่ใช่ประชากร
แต่บัดนี้ท่านเป็นประชากรของพระเจ้า
แต่ก่อนท่านไม่ได้รับพระเมตตา
แต่บัดนี้ท่านได้รับพระเมตตาแล้ว
1 เปโตร 2:10

โฮเชยา 1;9-10, 2:23, โรม 9:25, 10:19, 1 ทิโมธี 1:13

มีอยู่ครั้งหนึ่งที่พระเจ้าตรัสว่าจะไม่เอาอิสราเอลที่ดื้อดึงอีกต่อไป แต่ต่อมาพระองค์ก็ยังทรงเรียกเขากลับมาหาพระองค์ คริสตจักรได้รับพระเมตตาของพระเจ้าเหมือนกับอิสราเอลได้รับ (อ่านโฮเชยา 1:6,9,10,2:23) พวกเราต้องเข้าใจและกตัญญูต่อพระเมตตานี้

เมื่อมาหาพระเยซู ..ต้องหลบหลีกอะไร?

พี่น้องที่รัก ข้าขอร้องท่านในฐานะที่อยู่ในโลกอย่างคนจร และคนแปลกถิ่น
1 เปโตร 2:11 a

โรม 8:13, กาลาเทีย 5:17, ยากอบ 4:1

ในขณะที่เราใช้ชีวิตอยู่ทุกวันนี้ ท่านเปโตรเตือน ให้มองตัวเองดี ๆ ว่า จริงแล้ว เราคือใคร ท่านบอกว่า เราคือ คนจร เข้ามาในโลก หรือเหมือนคนแปลกหน้าของโลกนี้ เป็นคนที่กำลังเดินทางมุ่งไปบ้านจริง ตอนนี้แค่มาแวะเฉย ๆ นี่เป็นตัวจริงของผู้ที่เชื่อพระเยซูคริสต์! เราเป็นเหมือนคนนอกโลก ท่านยอห์นจึงบอกเราว่า อย่ารักโลกหรือสิ่ง ของในโลก 1 ยอห์น 2:15

ให้ละเว้นจากความเร่าร้อนของเนื้อหนัง ซึ่งต่อสู้กับวิญญาณจิตของท่านอยู่
1 เปโตร 2:11b

1 ยอห์น 2:15-17, 1 เปโตร 4:2, ฮีบรู 11:13

ในเมื่อเราเป็นประชากรของอาณาจักรพระเจ้า เป็นแค่คนจร กำลังเดินทางต่อไปยังบ้านเมืองแท้จริงของตนเอง ผู้เชื่อจึงต้องกล่าวปฏิเสธความเร่าร้อนของเนื้อหน้าที่ผิดต่อตัวเอง และผู้อื่นอย่างจริงจัง คำว่าต่อสู้ในที่นี้มีความหมายคือทำสงครามเป็นการต่อสู้ที่ยืดเยื้อตลอดชีวิตของผู้เชื่อ เท่ากับเราเดินทางอยู่ในเขตสงครามฝ่ายวิญญาณตลอดเวลา

ให้ประพฤติดีท่ามกลางคนไม่เชื่อเพื่อว่าเมื่อเขากล่าวหาว่า ท่านทำชั่ว เขาจะได้เห็นการดีที่ทำและจะได้สรรเสริญพระเจ้าเมื่อพระองค์เสด็จมาเยือน
1 เปโตร 2:12

มัทธิว 5:16, 9:8, 2 โครินธ์ 8:21, ฟีลิปปี 2:15, ทิตัส 2:8, 1 เปโตร 2:15, 3:16,ยอห์น 13:31, 1 เปโตร 4:11,16

ในเมื่ออยู่ในสงครามตลอดเวลา ก็ต้องเข้าใจด้วยว่า คนที่ไม่ได้เชื่อพระเจ้ากำลังมองชีวิตการกระทำ น้ำใจ การทำงาน ทัศนคติของผู้เชื่ออยู่ โลกสมัยท่านเปโตรนั้น คริสเตียนมีน้อย และถูกจับจ้องตลอดเวลา
ส่วนโลกทุกวันนี้ คนชั่วสามารถกลายเป็นคนดูดีส่วนคนดีก็ถูกกล่าวหาให้กลายเป็นคนร้าย ได้อย่างง่ายดาย การเยี่ยมของพระเจ้านั้น ในพระคัมภีร์มีสองอย่าง มาเยี่ยมแล้วชม หรือมาเยี่ยมแล้วต้องลงโทษ!

นับถือผู้ปกครองตามที่เหมาะสม

เพื่อเห็นแก่องค์พระผู้เป็นเจ้า จงยอมอยู่ใต้อำนาจการปกครองที่มีอยู่ในบ้านเมือง ไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์ที่ถือว่าสูงสุด หรือเป็นเจ้าเมืองที่ได้รับบัญชามาเพื่อลงโทษคนที่ทำชั่ว และยกย่องคนที่ทำดี
1 เปโตร 2:13-14

มัทธิว 22:21, ทิตัส 3:1, โรม 13:1-7, 1 ทิโมธี 2:1-2, ลูกา 20:25, มาระโก 12:17


ในช่วงที่ท่านเขียนจดหมายนั้น อาณาจักรโรมกำลังรุ่งเรือง จักรพรรดิไม่ถูกกับคริสเตียนเลย แต่ท่านเปโตรกลับให้พวกเขาเชื่อฟัง พวกเขาก็ยอมเชื่อฟังเสมอ แต่หากจักรพรรดิสั่งในสิ่งที่ผิดต่อพระเจ้า พวกเขาไม่ยอมทันที อย่างเช่น จักรพรรดิสั่งให้พวกเขาเรียกจักรพรรดิว่าเป็นพระเจ้า พวกเขากลับกล่าวว่าท่านไม่ใช่พระเจ้า พระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระเจ้า พวกเขาจึงถูกเผาทั้งเป็น ถูกโยนให้สิงโตกิน

เพราะพระเจ้าทรงประสงค์ที่จะให้ท่าน
ปิดปากที่ไม่รู้อะไรของคนชั่วด้วยการทำสิ่งที่ดี
ถอดความจาก 1 เปโตร 2:15

1 เปโตร 3:17, 2:12, ทิตัส 2:8

ความดีที่กล่าวถึงนี้ จะต้องเป็นความดีที่ตั้งอยู่บน รากฐานของน้ำพระทัยพระเจ้า มีความดีหลายอย่าง
ที่ไม่ใช่ดีจริง แค่ดูเหมือนดี ดูเหมือนโอเค แต่มันเป็นการกดขี่ เบียดเบียนคนอื่น บางคนทำดีกลบเกลื่อนความชั่วของตนความดีบางอย่างเป็นแค่ทำหลอกลวงฉาบฉวยความดีของผู้เชื่อขึ้นอยู่กับคำของพระเยซูที่ตรัสว่า ท่านทั้งหลายเป็นความสว่าง และเป็นเกลือแห่งแผ่นดินโลก

จงใช้ชีวิตอย่างคนมีเสรีภาพ แต่อย่าใช้เสรีภาพเพื่อปกปิดความผิดจงใช้ชีวิตในฐานะทาสของพระเจ้า
1 เปโตร 2:16

โรม 6:14,20,22, 1 โครินธ์ 7:22, กาลาเทีย. 5:1,5:13

เสรีภาพ เสรีชน อิสระภาพนั้น คืออะไร
ในพจนานุกรมไทยให้คำจำกัดความว่า เป็นความสามารถที่จะกระทำการใด ๆ ได้ตามที่ตนปรารถนาโดยไม่มีอุปสรรคขัดขวาง เช่น เสรีภาพในการพูด เสรีภาพในการนับถือศาสนา, ความมีสิทธิที่จะทำจะพูดได้โดยไม่ละเมิดสิทธิของผู้อื่น
แต่ทำไมท่านเปโตรชวนให้เรามีอิสรชนพร้อมกับเป็นทาสของพระเยซูพร้อม ๆ กัน เพราะนั่นหมายถึงเราทั้งมีเสรี และพร้อมที่จะรับใช้ผู้อื่นดั่งที่พระเยซูทรงรับสภาพทาสมาแล้วนั่นเอง

จงให้เกียรติแก่ทุกคน
จงรักพี่น้องในพระคริสต์
จงยำเกรงพระเจ้า
จงให้เกียรติแด่องค์กษัตริย์
1 เปโตร 2:17

โรม 12:10, สุภาษิต 24:21, โรม 13:7, 1 เปโตร 5:5,

การให้เกียรติกันนั้น โดยทั่วไปต้องเรียนรู้มาจากครอบครัว เริ่มต้นจากการที่สามีภรรยา
พ่อ แม่ ลูก ปู่ย่า ตายาย ให้เกียรติกันและกัน
ข้อความตอนนี้ พูดถึงการรักกัน จะเห็นว่าท่านได้กล่าวรวมไปถึงบุคคลทุกคนที่มีส่วนชีวิตของเรา ไม่เว้นใครเลย พระคำข้อนี้ อาจไม่เป็นที่ถูกใจของคนสมัยใหม่เท่าไร แต่หากเราทุกคนใช้คำพูดดีต่อกัน โลกก็จะสวยขึ้นมากเลย

ผู้ที่เป็นลูกน้อง ให้เคารพเชื่อฟังนาย ไม่ใช่แค่นายใจดีอ่อนโยนเท่านั้น แต่กับนายที่ร้ายด้วยเพราะคนที่ยอมทนทุกข์อย่างไม่เป็นธรรมเพื่อเห็นแก่พระเจ้านั้น สมควรได้รับการยกย่อง
1 เปโตร 2:18-19

ทิตัส 2:9-10, 1 ทิโมธี 6:1-3, โคโลสี 3:22-25,มัทธิว 5:10-12, ลูกา 6:32, 1 เปโตร 3:14-17

ในมัทธิว 5:11 พระเยซูก็ตรัสเรื่องอย่างนี้เช่นกัน
คือการที่ถูกป้ายสี ทำร้ายเพราะพระนามของพระเจ้ากลับจะมีบำเหน็จในสวรรค์ จะเห็นได้ว่า เมื่อเป็นผู้เชื่อ วิธีการที่จะจัดการกับความไม่เป็นธรรมที่ตนโดนนั้น แตกต่างไป ในขณะเดียวกัน ถ้าเราเห็นคนที่ถูกทำร้าย และไม่มีปากเสียง เรา กลับต้องช่วยเขาเหล่านั้น อ่าน สุภาษิต 31:8-9 ให้ออกกฎที่เป็นธรรมแก่ผู้ยากไร้ขัดสน

หากว่าท่านถูกลงโทษเพราะทำผิด ถึงยอมทน จะถือว่าเป็นความดีความชอบได้อย่างไร แต่หากท่านทุกข์ยากเพราะทำดีและท่านอดทน นี่ถือเป็น
สิ่งที่น่ายกย่องในสายพระเนตรพระเจ้า
1 เปโตร 2:20

1 เปโตร 3:17, 4:14-16, 3:14, ฟีลิปปี 4:18,

แปลกที่พระเจ้าทรงพอพระทัยเมื่อคนของพระองค์ไม่โวยวาย กระทืบเท้า ขัดขืน หาทางเอาคึนเมื่อเขา ถูกกระทำ แต่กลับฝากเรื่องนี้ไว้ให้กับพระองค์ เป็นผู้ตัดสินว่าจะทำอย่างไร เมื่อไร ซึ่งตรงนี้เท่ากับคน ๆ นั้น ได้วางใจว่าพระเจ้าจะทรงเอาคืนให้เอง และวิธีของพระองค์ก็ดีกว่า ถาวรกว่าวิธีของเขา เรื่องนี้ เป็นเรื่องของความสัมพันธ์ของคนในสังคมที่เบี้ยวบูด ไม่ถูกต้องซึ่งเกิดขึ้นอยู่ทุกวันในโลกที่แสนวุ่นวายนี้

ตัวอย่างจากพระคริสต์

พระเจ้าทรงเรียกท่านมาเพราะเหตุนี้ เพราะว่าพระคริสต์ได้ทรงทนทุกข์เพื่อท่าน เป็นตัวอย่างให้ท่านดำเนินตามรอยพระบาท พระองค์ไม่ได้ทรงทำบาปใดๆ และไม่พบคำหลอกลวงออกมาจาก พระโอษฐ์ของพระองค์
1 เปโตร 2:21-22

1 ยอห์น 2:6, ยอห์น 13:15, มัทธิว 16:24, อิสยาห์ 53:9, 2 โครินธ์ 5:21, ฮีบรู 4:15, 1 ยอห์น 3:5

ภาพวาดโดย ​Mihaly Munkacsy 1884-1900

ใช่แล้ว ไม่อยากจะคิดอย่างนี้ แต่พระคำกลับ
บอกเช่นนั้น พระเจ้าทรงเรียกเรามาเพื่อให้เรา
ทรหดอดทน เมื่อเรามาเชื่อพระเยซูคริสต์
เราจะได้พบเจอกับการกระทำที่ไม่ยุติธรรมกับเราพระเจ้าทรงประสงค์ให้เราไม่โวยวาย แต่ให้อดทนพระเยซูทรงเป็นตัวอย่างของการไม่ตอบโต้ทรงดูเหมือนพ่ายแพ้ ถูกตรึงบนกางเขน แต่แล้วพระองค์กลับคืนพระชนม์ ตามแผนการของพระเจ้า ทำให้คิดอย่างหนึ่งว่า ในทุกเหตุการณ์ที่เราต้องเผชิญ มันมีเป้าหมายชัดเจน คือชัยชนะอันมีเกียรติ

เมื่อพระองค์ถูกคนดูหมิ่น พระองค์ไม่ทรงดูหมิ่นตอบ เมื่อทรงทนทุกข์พระองค์ก็ไม่ข่มขู่ใคร แต่ทรงมอบพระองค์เองไว้กับพระองค์ผู้ทรงพิพากษาอย่างยุติธรรม
1 เปโตร 2:23

อิสยาห์ 53:7, 1 เปโตร 4:19, ฮีบรู 12:3,

ภาพวาดโดย ​Mihaly Munkacsy 1884-1900

ท่านเปโตรให้พี่น้องคริสเตียนเดินตามแบบอย่างของพระเยซู ชัดเจนมาก ว่าเป็นแบบไหน
พระเยซูทรงกล่าวความจริงตรงๆ ถามอย่างไร
ก็ตอบไปตามความจริงที่พระองค์ทรงยืนยัน
แต่ไหนแต่ไรมา ให้คิดถึงวันที่เหล่าปุโรหิต และ ผู้ใหญ่ของยิวพร้อมใจเต็มด้วยความเกลียดชัง และยืนกรานหัวชนฝาว่า ต้องกำจัดพระเยซูให้สำเร็จ พวกเขาเต็มด้วยอารมณ์โกรธเกรี้ยว หยาบคาย เกลียดชัง ดูหมิ่น ไม่ยอมแพ้
แต่พระเยซูกลับทรงสงบนิ่งเพราะทรงวางพระทัยในพระบิดาเพียงผู้เดียว

พระองค์ทรงแบกบาปของเราไว้บน พระกายบนต้นไม้นั้น เพื่อว่า เราจะตายต่อบาป และมีชีวิตในความเที่ยงธรรม
ท่านทั้งหลายได้รับการบำบัดรักษาด้วยรอยแผลของพระองค์
1 เปโตร 2:24

อิสยาห์ 53:4-6, มัทธิว 8:17, วิวรณ์ 22:2

พระเยซูทรงเอาบาปของเราไป ความตายของ
พระองค์ทำให้เราถูกแยกจากบาปของเรา บาปไปอยู่ที่พระองค์บนกางเขนแล้ว ทั้งนี้ มีเป้าหมายให้เรามีชีวิตที่เที่ยงธรรม ไม่ติดตามทางบาปเหมือนเดิมอีกต่อไป การบำบัดรักษาในที่นี้ มีความหมายถึงบำบัดรักษาชีวิตฝ่ายวิญญาณที่จะได้รับผลอันร้ายกาจของบาปนั่นคือความตาย อาจฟังยากแต่ความหมายของเปโตรคือแบบนี้

ภาพวาดโดย กุสตาฟ ดอเร (1832/1883)

เพราะพวกท่าน
เป็นเหมือนแกะที่หลงหาย
แต่บัดนี้ได้กลับมาหาพระผู้เลี้ยง
และผู้ปกป้องวิญญาณของท่าน
1 เปโตร 2:25

อิสยาห์ 53:6, 40:11, เอเสเคียล 34:6, ลูกา 15:4-6, มัทธิว 9:36

ภาพวาดโดย TG cooper 1836-1901)

อิสยาห์ 53:6 กล่าวว่าเราเป็นเหมือนแกะที่หลงทางไปจากพระเจ้า คิดดูว่า ในการหลงทางนั้นมันมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง เราจะพบสิ่งน่าตื่นเต้นเร้าใจ เราจะพบกับหมาป่า พบอันตราย พบสิ่งต่าง ๆ ที่ไม่ปลอดภัยเหมือนอยู่ในสายตาของผู้เลี้ยง และปลายทางของแกะที่หลงก็คืออยู่ในท้องสัตว์ป่าที่หิวโหย ปลายทางคือความตาย!
แต่หากแกะได้กลับมาหาผู้เลี้ยง มันจะปลอดภัย
เพราะผู้เลี้ยงจะดูแลให้อาหารและปกป้อง
และท่านได้ปกป้องแกะด้วยชีวิตของท่านเอง!

1 เปโตร 1 ใช้ชีวิตอย่างคนบังเกิดใหม่

ทักทายพี่น้องที่ห่างไกล

ข้า เปโตร อัครทูตของพระเยซูคริสต์ ถึงคนต่างถิ่น ผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกซึ่งอาศัยกระจัดกระจายในแคว้นปอนทัสแคว้นกาลาเทีย แคว้นคัปปาโดเซีย แคว้นเอเชีย และแคว้นบิธิเนีย
1 เปโตร 1:1

ยากอบ 1:1 คนต่างถิ่นในที่นี้ ท่านเปโตรหมายถึงผู้ที่อาศัยในบ้านเมืองนั้นเพียงชั่วคราว

พี่น้องที่ท่านเปโตรเขียนจดหมายถึงนั้น อาศัยในเอเชียน้อย พวกเขากำลังเผชิญกับการ ข่มเหงเพราะความเชื่อในพระเยซู ท่านเปโตรห่วงใย พี่น้องเหล่านี้ จึงหนุนใจให้พวกเขาคิดถึง พระเยซูผู้ได้คืนพระชนม์และจะเสด็จมาอีกที
อย่างน้อยประโยคแรกก็ทำให้ผู้อ่านอบอุ่นขึ้นมา เพราะท่านบอกว่าพวกเขาเป็นคนที่พระเจ้าทรงเลือก…

พระบิดาทรงเลือกท่านไว้ตาม
ที่ทรงรู้ล่วงหน้า โดยพระวิญญาณทรงชำระท่านไว้ให้บริสุทธิ์เพื่อพวกท่านจะได้เชื่อฟัง และรับการประพรมจากพระโลหิตของพระเยซูคริสต์
ขอพระคุณและสันติสุขเพิ่มพูนแก่ท่านมากมาย
1 เปโตร 1:2

เอเฟซัส 1:4, โรม 8:29, 2 เธสะโลนิกา 2:13 , โรม 1:5, ฮีบรู 10:22, 12:24, โรม 1:7,

คำว่าเชื่อฟังนี้ หมายถึงการฟังที่ยอมจำนน ยอมรับ ยอมทำตาม

การทรงเลือกของพระเจ้าไม่ใช่สุ่มเอา
แต่ทรงเลือกตามที่ทรงรู้ล่วงหน้าด้วย
พระปัญญาหยั่งรู้ของพระองค์ พระวิญญาณทรงชำระเรา แยกเราออกจากโลก ขบวนการนี้ สำคัญสำหรับชีวิตเราเพื่อเราจะเชื่อฟังพระเจ้าโดยพลังแห่งพระวิญญาณ เราเองเชื่อฟังพระเจ้าด้วยกำลังตัวเองไม่พอ

มรดกจากเบื้องบน

ถวายพระพรแด่พระเจ้าคือพระบิดาของพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา!
พระองค์ทรงให้เราเกิดใหม่ด้วยพระเมตตายิ่งใหญ่เข้ามาสู่ความหวังที่มีชีวิตโดยการที่พระเยซูคริสต์ทรงคืนชีพจากความตาย
1 เปโตร 1:3

เอเฟซัส 1:3, กาลาเทีย 6:16, ยอห์น 3:3,5, 1 โครินธ์ 15:20,

เมตตา คือใจที่สงสาร การแสดงออกถึงความเห็นอกเห็นใจ คำนี้ใช้กับพระเจ้า อย่างใน ลูกา 1:50, โรม 15:9, กับพระเยซู ยูดา 21 หรือกับมนุษย์ทั่วไป มัทธิว 12:7

ถ้าพระเยซูทรงสิ้นพระชนม์แล้วไม่คืนชีพ ความเชื่อของเราก็ไม่ต่างอะไรคนที่ไม่รู้จักพระเจ้า พระเจ้าทรงให้เราได้เกิดใหม่ มีชีวิตใหม่ไม่ใช่ชีวิตแบบเดิม เป็นคนใหม่สิ่งเก่าล่วงไป (2 โครินธ์ 5:17) และเราได้ความหวังที่มีชีวิต ไม่ใช่ ความหวังลม ๆ แล้ง ๆ แต่เป็นความหวังที่ดำรงอยู่ทุกวัน เติบโต สดชื่นตลอดชีวิตเพราะพระเยซูทรงคืนชีพขึ้นมา

เข้ามาสู่มรดกที่ไม่เสื่อมสลาย ไร้มลทิน ไม่เลือนหายไป ซึ่งเก็บเตรียมไว้ในสวรรค์สำหรับท่าน ท่านได้รับการปกป้องด้วยฤทธิ์ของ พระเจ้า ผ่านทางความเชื่อในความรอด ซึ่งพร้อมจะเปิดเผยในวาระสุดท้าย
1 เปโตร 1:4-5

โคโลสี 1:5

ทั้งหมดที่กล่าวมา ท่านเปโตรบอกว่า
พระเจ้าทรงพร้อมเปิดเผยให้เราได้เห็น รับรู้ ได้รับในวันที่พระเยซูเสด็จกลับมา เมื่อเราได้ มาทบทวนว่า พระเจ้าทรงให้อะไรกับเราบ้าง เมื่อเราเข้ามาอยู่ในร่มพระคุณของพระองค์ ทัศนคติของเราก็จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ทั้งหมด ได้มาเพราะพระเมตตาของพระบิดา

ท่านจึงมีความยินดีในสิ่งที่กล่าวมานี้ แม้ว่าชั่วระยะหนึ่ง
จำเป็นที่ท่านต้องเผชิญ ทุกข์ทน สู้กับความยากลำบากต่าง ๆ
1 เปโตร 1:6

มัทธิว 5:12, 2 โครินธ์ 4:17, ยากอบ 1:2

เมื่อเราบังเกิดใหม่ เราก็มีชีวิตใหม่ ความหวัง ที่เติบโต เบิกบาน เราได้รับสัญญาว่าจะได้มรดกที่มั่นคงถาวรซึ่งพระเจ้าทรงเก็บไว้ในสวรรค์ให้แก่เรา เราจะได้ความปกป้องจากพระเจ้า ดังนั้น เมื่อเราทั้งหลายต้องเจอความยากลำบากเราจึงยังคงยินดี

เพื่อว่า การทดสอบความเชื่อแท้ของท่านที่มีค่ายิ่งกว่าทอง ซึ่งแม้ว่าถูกทำลายได้ ก็ยังถูกทดสอบด้วยไฟ และจะได้ผลลัพธ์เป็นคำสรรสริญ และพระสิริรุ่งโรจน์ และพระเกียรติในเวลาที่พระเยซูทรงปรากฎ
1 เปโตร 1:7

ยากอบ 1:3, โยบ 23:10,

แต่ละประโยคของท่านเปโตรนั้น ทั้งยาว และเข้าใจยาก แต่เมื่อเข้าใจแล้ว จะเป็นพื้นฐานสำหรับชีวิตคริสเตียนได้อย่างมั่นคง ดูข้อความนี้ ท่านกล่าวว่า ความเชื่อของเราจะถูกทดสอบด้วยความยากลำบาก ดังนั้น เราจึงต้องไม่มองความยากลำบาก
เป็นสิ่งที่ขวางชีวิต แต่มันคือตัวทดสอบความเชื่อเป็นตัวชำระให้บริสุทธิ์ ทำให้เราเองได้เห็นว่า เรามีความเชื่ออย่างไร เป็นความเชื่อแบบไหน

ท่านรักพระองค์ แม้ว่าท่านไม่เคยเห็นพระองค์ และแม้ว่าไม่ได้เห็นพระองค์ในเวลานี้ท่านก็ยังเชื่อพระองค์ และยินดียิ่ง สุดจะพรรณาเป็นความยินดีที่เปี่ยมด้วยศักดิ์ศรีเนื่องจากท่านได้รับตามผลแห่งความเชื่อ นั่นคือ ความรอดพ้นของจิตวิญญาณ
1 เปโตร 1:8-9

1 ยอห์น 4:20, ยอห์น 20:29

คริสเตียนที่ท่านเปโตรเขียนจดหมายถึง มีจำนวนมากที่ไม่เคยเห็นพระเยซู แต่พวกเขาก็วางใจในพระองค์ เพราะมีคนประกาศ เป็นพยานให้เขารู้ ที่เป็นเช่นนี้ได้เพราะพวกเขามีสัมพันธ์สนิทกับ พระเจ้าทางจิตใจ จิตวิญญาณของพวกเขา เขาจึงรู้แน่ว่า พระองค์ทรงพระชนม์อยู่

เหล่าผู้เผยพระคำซึ่งได้กล่าวถึงพระคุณที่จะมาถึงท่านนั้น ต่างได้สืบค้น ไถ่ถามถึงเรื่องความรอดที่จะมาถึงท่านอย่างรอบคอบ ละเอียดลออ
1 เปโตร 1 :10

ผลที่ได้รับจากการวางใจพระเจ้าแม้ตกอยู่ในความยากลำบาก ต้องทนทุกข์นั้น คือ ความรอดพ้นจากบาป ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้เผยพระคำในสมัยพันธสัญญาเดิมได้ค้นคว้า และศึกษาอย่างเอาจริงเอาจัง พวกเขาไม่มีโอกาสที่จะพบพระผู้ช่วยให้รอดอย่างพระเยซูในสมัยของพวกเขาเลย พวกเขาปรารถนาจะเห็นอย่างที่คนในยุคพระเยซูได้เห็น

พวกเขาสืบค้นว่า ที่พระวิญญาณของพระคริสต์ในใจพวกเขาทรงกล่าวถึง นั้นจะเป็นใคร เป็นในยุคใดเมื่อพระองค์ทรงกล่าวล่วงหน้าถึงการทนทุกข์ของพระคริสต์(พระเมสสิยาห์)รวมทั้งพระสิริรุ่งโรจน์ที่จะตามมา
1 เปโตร 1:11

2 เปโตร 1:21

เราจะเห็นว่า ท่านเปโตรได้กล่าวถึงการทนทุกข์กับพระสิริหรือเกียรติ เป็นของที่คู่กันไปเสมอ คำว่า “พระวิญญาณของพระคริสต์” มีปรากฏอีกครั้งเดียวใน โรม 8:9 พระวิญญาณทรงมาจากพระคริสต์ และกล่าวถึงพระคริสต์ผ่านผู้เผยพระคำในอดีต ซึ่งตอนนั้นพวกเขาก็ไม่เข้าใจไม่เห็นภาพที่สมบูรณ์ของคำที่พวกเขาพูดออกมา

เป็นที่ปรากฏแก่พวกเขาว่า
พวกเขาไม่ได้รับใช้ตนเอง แต่รับใช้ท่านเรื่องเหล่านี้ถูกแจ้งให้ท่านผ่านทางคนที่ประกาศพระกิตติคุณให้แก่ท่านโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งถูกส่งมาจากสวรรค์ เหล่าทูตสวรรค์ต่างปรารถนาที่จะเข้าใจสิ่งเหล่านี้
1 เปโตร 1:12

เอเฟซัส 3:10

ที่ว่า เขาไม่ได้รับใช้ตนเอง แต่รับใช้ท่านนั้นคือว่าผู้เผยพระคำเข้าใจว่า พระเจ้าไม่ได้ให้สิ่งที่พวกเขากล่าวล่วงหน้าให้สำเร็จในยุคของเขา แต่เป็นยุคต่อมา ซึ่งกลายเป็นยุคของท่านเปโตรนั่นเองพระคริสต์หรือพระเมสสิยาห์ได้เสด็จมาในโลกหลังจากที่พวกเขาพูดเป็นร้อยเป็นพันปี พระวิญญาณทรงทำให้คนของพระเจ้าเกิดความเข้าใจ พร้อมกับทรงบันดาลใจ ทรงทำให้คนที่ฟังคนที่ได้ยิน ได้เข้าใจ

การมีชีวิตต่อพระพักตร์พระบิดา

ดังนั้น จงเตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อม จงเอาจริงเอาจัง ตั้งความหวังในพระคุณที่จะมาถึงท่านเมื่อพระเยซูคริสต์เสด็จมาปรากฏ ในฐานะที่เป็นลูกที่มีหัวใจเชื่อฟัง อย่าทำตามความปรารถนาชั่วอย่างตอนที่ไม่รู้จักความจริง
1 เปโตร 1:13-14

โรม 12:2, 1 เปโตร 4:2,

ท่านเปโตรขอให้พวกเขามีใจมุ่งมั่นเตรียมพร้อมเหมือนกับคนที่ถลกแขนเสื้อขึ้นพร้อมที่จะทำงาน การเอาจริงเอาจังคือ การควบคุมคำพูดและการกระทำ ไม่พูดโพล่งไร้สาระ การมีความหวังในการเสด็จมาของพระคริสต์คือหน้าที่ของผู้เชื่อทุกคน

แต่ในเมื่อพระองค์ผู้ทรงเรียกท่านทรงบริสุทธิ์ ท่านก็จงบริสุทธิ์ในการกระทำทุกอย่าง
เพราะมีคำเขียนว่า “เจ้าจงเป็นคนบริสุทธิ์ เพราะเราบริสุทธิ์”
1 เปโตร 1:15-16

2 โครินธ์ 7:1, เลวีนิติ 11:44,45,19:2,20:7

คำว่า “บริสุทธิ์” หมายถึงการแยกออกจากบาป เพื่อพระเจ้า เราต้องสู้เพื่อชีวิตจะไร้บาป แน่นอน ที่เรายังมีบาป แต่ใจจะต้องมุ่งมั่นที่จะถูกแยกออกอย่างที่พระเจ้าตรัสสั่ง คำที่ท่านเปโตรใช้นั้นมาจาก เลวีนิติ 11:44-45, 19:2 ,20:7
ท่านเป็นคนที่จะอ้างกลับไปถึงพระคัมภีร์เดิมบ่อย ๆ

และหากท่านร้องทูลต่อพระองค์ในฐานะพระบิดา ผู้ทรงตัดสินความอย่างไร้อคติ ตามการกระทำของแต่ละคน จงระวังที่จะประพฤติตนด้วยความยำเกรงตลอดเวลาที่อยู่ในโลกในฐานะคนต่างถิ่น
ถอดความจาก 1 เปโตร 1:17

กิจการ 10:34

คำกล่าวข้างบนที่ว่าร้องทูลพระองค์ในฐานะพระบิดา ก็คือ หากท่านเป็นผู้เชื่อในพระเจ้า เท่ากับท่านรู้ว่าพระองค์ทรงเที่ยงตรง ไม่ลำเอียงในการพิพากษา ดังนั้นท่านก็จะรู้ดีว่าท่านควรใช้ชีวิตอย่างไรในโลก เพื่อว่าในวันที่เราต้องให้การต่อพระเจ้านั้น เราจะได้ทำได้ดีในฐานะเป็นคนต่างถิ่น ผู้เชื่อในพระเจ้ารู้ว่า โลกนี้ไม่ใช่ที่สุดท้ายของเขาดังนั้นจึงไม่ยึดติดกับสิ่งใด ๆ ในโลก

ท่านรู้อยู่แล้วว่า ท่านได้รับการไถ่ออกมาจากการใช้ชีวิตที่ไร้สาระซึ่งท่านรับมาจากบรรพบุรุษ โดยไม่ใด้ไถ่ด้วยสิ่งที่สูญไปได้ดั่งเงินหรือทอง แต่ด้วยพระโลหิตล้ำค่าของพระคริสต์ ดั่งเลือดลูกแกะที่ไร้มลทิน หรือจุดด่างดำ
1 เปโตร 1:18-19

กิจการ 20:28, 1 เปโตร 1:2, อพยพ 12:5, อิสยาห์ 53:7

ชีวิตที่ไร้สาระ หรือบางเล่มว่า การกระทำที่ว่างเปล่านั้นก็คือ ชีวิตที่จบแล้วต้องอยู่ห่างจากพระเจ้าเป็นนิตย์ พระเยซูคริสต์ได้ทรงใช้พระโลหิตของพระองค์ ซื้อชีวิตเราคืนมาจากสภาพการเป็นทาสบาป เพื่อให้เราได้ใช้ชีวิตเป็นอิสระจากบาป และมีชีวิตที่ไม่ไร้สาระอีกต่อไปเป็นชีวิตที่จะได้เข้าไปอยู่ในอาณาจักรพระเจ้าเต็มตัว บริบูรณ์

พระองค์ทรงถูกเลือกไว้ก่อนวางรากฐานโลก แต่ทรงให้พระองค์ปรากฏในยุคสุดท้ายเพื่อพวกท่านโดยพระองค์ ท่านได้เชื่อพระเจ้าผู้ทรงทำให้พระองค์คืนชีพจากตาย และประทานพระสิริรุ่งโรจน์แก่พระองค์ เพื่อให้ความเชื่อและความหวังของท่านได้อยู่ในพระเจ้า
1 เปโตร 1:20-21

โรม 3:25, กาลาเทีย 4:4, กิจการ 2:24, 33

ก่อนมีโลกนี้ ก่อนอาดัมเอวา พระเจ้าได้ทรงวางแผนงานของการไถ่มนุษย์ไว้แล้ว และผู้ที่พระเจ้าทรงเตรียมสำหรับการนี้ก็คือ องค์พระเยซูคริสต์
ยุคสุดท้ายในที่นี้ หมายถึงยุคที่พระเมสสิยาห์หรือองค์พระเยซูคริสต์ ได้เสด็จเข้ามาบังเกิดในโลกจนถึงวันที่พระองค์จะเสด็จกลับมาอีกครั้ง

บัดนี้ท่านได้ชำระจิตใจให้สะอาดบริสุทธิ์ ด้วยการเชื่อฟังความจริงจนท่านรักพี่น้องอย่างจริงใจ ดังนั้นจงรักกันและกันอย่างแรงกล้า จากใจที่บริสุทธิ์
1 เปโตร 1:22

กิจการ 15:9, ยอห์น 13:34, โรม 12:10, ฮีบรู 13:1, 1 เปโตร 2:17, 3:8

การที่ชีวิตใครคนหนึ่งจะรับการชำระหลังจากที่เราดำเนินไปกับพระเจ้านั้น ขึ้นอยู่กับการเชื่อฟังความจริงของพระเจ้าเป็นเรื่องสำคัญ เชื่อ และทำตาม จะได้รับการชำระจากพระเจ้า สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาจากการเชื่อฟัง คือ พี่น้องรักกันอย่างแรงกล้า คำนี้ ในภาษาเดิมแปลว่า รักกันจนสุดขอบเขต เป็นรักที่เราทำเองไม่ได้
คนที่พระเจ้าทรงชำระด้วยพระคำของพระองค์จึงจะได้รับกำลังที่จะทำเช่นนี้ได้

เพราะท่านได้เกิดใหม่แล้ว ไม่ได้เกิดจากเมล็ดพันธ์ุที่เสื่อมไปได้ แต่จากเมล็ดพันธ์ุที่ไม่ตาย คือจากพระวจนะที่มีชีวิตและยืนยงถาวรตลอดไป
1 เปโตร 1:23

ยอห์น 1:13, 1 เธสะโลนิกา 2:13, ยากอบ 1:18,

เท่าที่อ่านมาจนถึงตอนนี้ เราจะเห็นว่า พระคำของพระเจ้านั้นสำคัญสำหรับชีวิตมากเหลือเกินหากหันกลับไปอ่าน 2 ทิโมธี 3:15-17 เราจะได้ข้อสรุปที่ว่า พระคำของพระเจ้าคือพลังขับเคลื่อนชีวิตของเราไปสู่ความดี ความรอด พระวิญญาณของพระเจ้าทรงให้พระคำของพระเจ้าช่วยสร้างชีวิตของเราขึ้น พระคำนั้น ก็คือ เรื่องราวแห่งพระกิตติคุณที่ช่วยเราให้รอด

เพราะมนุษย์ทั้งหลายเป็นเหมือนหญ้า ศักดิ์ศรีของพวกเขาเป็นเหมือนดอกหญ้า หญ้าจะเหี่ยวแห้งไป และดอกหญ้าก็ร่วงหล่น แต่พระคำของพระเจ้ายืนยงตลอดไปพระคำนี้ เป็นข่าวประเสริฐที่ได้ประกาศให้แก่ท่านแล้ว
1 เปโตร 1:24-25

อิสยาห์ 40:6-8, ยากอบ 1:10, ยอห์น 1:1,

พระคำ กรีกว่า เรมา คือสิ่งที่พูดออกมา กล่าวออกมา ในขณะที่คำว่าโลโกส หมายถึงพระคัมภีร์ทั้งหมด เรมาหมายถึงประโยคต่าง ๆ ที่มาจากพระคัมภีร์

มีหลายตอนในพระคัมภีร์บอกเราว่า คนเรานั้น ชีวิตสั้นเหมือนดอกไม้ในทุ่ง และเปรียบเทียบให้เห็นว่า พระคำของพระเจ้ายืนนานถาวร
จากความจริงในโลก ก็เป็นเช่นนั้น ไม่ว่ามนุษย์ จะล้มหายตายจากไปกี่รุ่น ต่อกี่รุ่น แต่พระคัมภีร์ที่พระเจ้า
ทรงบันดาลใจให้คนของพระองค์เขียนขึ้นมา
เพื่อสื่อให้รู้ถึงพระดำริต่าง ๆ ตั้งแต่ต้น จนจบโลก
ก็ยังคงดำรงอยู่ทุกวันนี้ และจะอยู่ตลอดไป