ยอห์น 6 อาหารแห่งชีวิต

มีคำอธิบายในช่วงสุดท้าย ส่วนข้อพระคัมภีร์เล็ก ๆ ใต้ภาพ เป็นข้อพระคัมภีร์เชื่อมโยงที่ทำให้เรามองเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้ชัดเจนขึ้น

การเลี้ยงครั้งใหญ่ 5000 คน

มัทธิว 14:13-21,มาระโก 6:32-35, ลูกา 9:10-12, ยอห์น 6:32,21:1, มัทธิว 4:23, 8:16,9:35, 14:36, 15:30, 19:2, 14:14,,เทศกาล เลวีนิติ 23:5,7 , เฉลยธรรมบัญญัติ 16:1

มัทธิว 14:13-21, ยอห์น 1:43

ยอห์น 1:40, 2 พงศ์กษัตริย์ 4:43

มัทธิว 15:36, 1 เธสะโลนิกา 5:18, ลูกา 24:30

ปฐมกาล 49:10, เฉลยธรรมบัญญัติ18:15}18, ยอห์น 1:21, 7:40, กิจการ 3:22, 7:37

ยอห์น 18:36, 7:3-4,

พระเยซูทรงเดินบนน้ำทะเล

มัทธิว 14:23, มาระโก 6:47

มัทธิว 17:6, อิสยาห์ 43:1-2

พระเยซูผู้เป็นอาหารแห่งชีวิต

มาระโก 1:37, ยอห์น 6:15-21, ยอห์น 6:2, ลูกา 8:40,

คำถามแรกเมื่อพบพระเยซู ยอห์น 1:38-39 , โรม 16:18, ฟีลิปปี 2:21

คำถามที่สอง โคโลสี 3:2, อิสยาห์ 55:2, กิจการ 6:30,16:31, มัทธิว 19:16

ยอห์น 12:37, 1 โครินธ์ 1:22, สดุดี 105:40, 78:24-25

กาลาเทีย 4:4, ยอห์น 1:9, 1 ยอห์น 1:1-2, ยอห์น 17:8, 4:15

ยอห์น 7:37-38, 4:13-14, วิวรณ์ 22:17, 1 เปโตร 1:8-9, ลูกา 16:31, ยอห์น 17:24, 10:28-29

ยอห์น 5:30, 4:34, 3:13, ฟีลิปปี 2:7-8, ยอห์น 18:9, 17:12, 10:27-30

โรม 6:23, ยอห์น 5:24,

พระเยซูทรงอธิบายว่าเหตุใดพวกเขาไม่รับพระองค์ ยอห์น 7:12, 6:51-52, ลูกา 4:22

ยอห์น 6:65, 12:32, เอเฟซัส 2:4-10,อิสยาห์ 54:13, เยเรมีย์ 31:33-34

อาหารแท้จากสวรรค์ ยอห์น 1:18, 7:29, 5:24,37, 3:36, 1 ยอห์น 4:12, 1 โครินธ์ 10:16-17, ยูดา 1:5

ยอห์น 6:33,58, 11:25-26, ลูกา 22:19, ฮีบรู 10:5-12, 20

การต้อนรับพระเยซูคืออย่างไร? ความหมายแท้ ยอห์น 10:19,9:16 , 1 ยอห์น 5:12

ยอห์น 15:4-7, 1 ยอห์น 2:6,27,28, 3:6,24,

1 ยอห์น 3:24, 4:15-16, 15:4-5, ยอห์น 6:24, 47-51, 41,31-34, 18:20

คำแห่งชีวิตนิรันดร์ ที่หลายคนปฏิเสธ

ปฏิกริยาต่อคำของพระเยซู 2 เปโตร 3:16, ยอห์น 8:43, 2:24-25, มาระโก 16:19, ยอห์น 3:13

เหตุผลที่คนไม่รับพระองค์ กาลาเทีย 5:25, ฮีบรู 4;12, ยอห์น 10:26, 2 ทิโมธี 2:19,

ยอห์น 6:44-45, 6:37, 3:27

พวกศิษย์รับพระองค์แม้จะไม่เข้าใจทั้งหมด 1 ยอห์น 2:19, ลูกา 9:62, ฮีบรู 10:38

พระเยซูทรงรู้จักศิษย์ทุกคนอย่างดี มัทธิว 16:16, มาระโก 8:29, ลูกา 9:20, ยอห์น 1:49,11:27, 12:4,13:2,26
มัทธิว 26:14-16

ยอห์น 6:1-15 นี่เป็นหมายสำคัญครั้งที่สี่ ซึ่งท่านยอห์นได้บันทึกไว้เพื่อแสดงให้เห็นว่า พระเยซูทรงเป็นพระเมสสิยาห์ และทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า เป็นการอัศจรรย์ที่พระกิตติคุณทั้งสี่ได้บันทึกเอาไว้ ท่านยอห์นมักบอกรายละเอียดที่ท่านอื่นละเอาไว้ ทำให้เราเห็นฤทธิ์อำนาจของพระเยซูชัดเจน และยังเป็นเหตุการณ์สำคัญ ที่มาก่อนคำของพระเยซูที่ตรัสว่า ทรงเป็นอาหารแห่งชีวิตด้วย (ข้อ 22-40) |
ทั้ง ๆ ที่ผู้คนมาเพราะอยากเห็นการอัศจรรย์ แต่พระเยซูก็ไม่ได้รู้สึกทางลบกับพวกเขา ทรงทั้งสั่งสอน และรักษาโรคให้จนเย็น พระองค์ทรงถามฟีลิปว่าจะเลี้ยงพวกเขาอย่างไร การตอบโต้ของฟีลิปทำให้เราเห็นว่า เขายังคิดไม่ออกว่า พระเยซูสามารถทำการอัศจรรย์ที่เกินคาดได้ เขามองเห็นจำนวนคนก็ท้อแล้ว ในบันทึกว่า 5000 คน หมายถึงเฉพาะผู้ชาย แต่ถ้าเรารวมผู้หญิงและเด็กเข้าไปก็น่าจะถึงสองหมื่น หลังจากการเลี้ยงคนจำนวนมหาศาลด้วยขนมปังเล็ก ๆ 5 ชิ้น กับปลา 2 ตัวของเด็กชายคนหนึ่ง ข้อ 14 พวกเขาพูดกันว่า พระองค์คือ ผู้เผยพระคำ เขาพอใจพระองค์ และคิดว่าพระองค์จะทรงเป็นผู้นำที่ช่วยพวกเขาได้อย่างที่ต้องการ ข้อ 15 จึงคุยกันว่า จะบังคับให้พระองค์เป็นกษัตริย์ของพวกเขา แต่นั่นไม่ใช่เป้าหมายของพระเยซู

ยอห์น 6: 16-21 การดำเนินบนน้ำทะเลเป็นหมายสำคัญที่ห้า ที่ท่านยอห์นบันทึก เพื่อให้ผู้อ่านได้ทราบว่าพระองค์ทรงเป็นพระเมสสิยาห์และพระบุตรของพระเจ้า (ยอห์น 20:30-31) การอัศจรรย์ทุกครั้งทำให้เราได้เห็นว่า พระองค์ทรงอยู่เหนือกฎธรรมชาติ
สบาย ๆ ไม่ใช่เรื่องที่ต้องใช้พลังมากเลย หลังจากที่เลี้ยงคนจำนวนมากนั้นแล้ว ศิษย์ของพระองค์ก็มุ่งหน้าไปทางตะวันตกทันที ทะเลกาลิลีนี้แปลก อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลถึง 700 ฟุต ดังนั้น ลมเย็นจากภูเขาทางเหนือ และที่ราบสูงทางตะวันออกเฉียงใต้ก็มักจะพัดเข้ามาทำให้เกิดพายุอย่างทันควันได้เสมอ
ในหนังสือมัทธิว 14:26 ,มาระโก 6:49 บอกว่าเขาคิดว่าพระองค์เป็นผีเสียด้วยซ้ำ เพราะบรรยากาศเอื้อให้คิดอย่างนั้น
พวกเขารู้สึกหวาดกลัวมาก แต่ครั้งนี้เอง ไม่เฉพาะแค่ดำเนินบนน้ำเท่านั้น พระเยซูยังทรงสั่งให้พายุสงบ แถมเรือก็ไปถึงอีกฝั่งทันที พวกเขาจึงเห็นชัดเลยว่า ทรงยิ่งใหญ่เหนือธรรมชาติทุก ๆ ด้าน

ยอห์น 6:22-29
วันต่อมา ผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์การเลี้ยงใหญ่นั้น ก็ตามหาพระเยซู พวกเขารู้ว่าพระองค์ไม่ได้กับศิษย์ด้วย จึงตัดสินใจพากันข้ามจาก ด้านตะวันออกของทะเลมาด้านตะวันตกที่เมืองคาเปอร์นาอูม ในหมู่คนเหล่านั้นมีพวกยิวอยู่ด้วย (มัทธิว 15) แปลกที่ถามว่า พระองค์มาถึงเมื่อไร และแปลกที่พระเยซูไม่ทรงตอบคำถามนั้นกลับตรัสบอกเหตุผลว่าทำไมพวกเขาจึงมาหาพระองค์… เขาทั้งต้องการอาหาร หมายสำคัญ และกษัตริย์ที่จะช่วยพวกเขา
คำถามต่อมาคือ ต้องทำอย่างไรเพื่อจะทำให้พระเจ้าพอพระทัย… แต่นั่นเป็นพื้นฐานที่เข้าใจพระเจ้าผิด พระเยซูทรงตอบทันทีว่า สิ่งที่ต้องทำคือการเชื่อพระองค์เอง เชื่อองค์เยซูที่พระเจ้าทรงส่งมา
นี่เป็นความเข้าใจผิดของคนเป็นจำนวนมาก พวกเขาคิดว่าต้องทำดีจึงจะมาหาพระเจ้าได้ แต่พระเยซูทรงชัดเจน …ต้องเชื่อพระองค์!”

ยอห์น 6:30-37 ประชาชนที่ตามพระองค์มานั้น ยังต้องการเห็นหมายสำคัญ การอัศจรรย์อีก พวกเขาอ้างไปถึงอดีต คราวที่บรรพบุรุษของพวกเขาอยู่ในถิ่นกันดาร โดยการนำของโมเสส เขาได้รับการเลี้ยงดูเป็นเวลานานมากด้วยมานา และนกคุ่ม
พูดเป็นนัย ๆ ว่า พระเยซูจะเลี้ยงแค่มื้อเดียวเองหรือ เขาต้องการอาหารจากพระองค์ทุกมื้อจากนี้ไป
แต่พระเยซูตรัสตอบเขาว่า คนที่เลี้ยงพวกเขาไม่ใช่โมเสส แต่เป็นพระบิดาต่างหาก จากนั้นทรงโยงไปเรื่องที่สำคัญคือ พระองค์นี้แหละ คืออาหารแห่งชีวิต คืออาหารแท้จากสวรรค์ที่พระเจ้าทรงส่งลงมา พระองค์หมายความว่า ทรงเป็นอาหารฝ่ายวิญญาณที่พวกเขาต้องกิน ดื่มเข้าไป(นั่นคือเชื่อวางใจพระองค์) เพื่อจะมีชีวิต เป็นเรื่องของอาหารเลี้ยงวิญญาณ
ข้อสังเกต.. สิ่งที่พวกเขาต้องการ พระองค์ไม่ให้ แต่อาหารที่ทรงเสนอให้ คือพระองค์เอง พวกเขากลับไม่รับ การเชื่อในพระเยซูนั้น ไม่ซับซ้อน เพราะการเชื่อคือการออกมาจากชีวิตเดิม และเข้ามาหาพระองค์ พระเยซูตรัสชัดเจนว่า การเข้ามาหาพระองค์นั้น เป็นราชกิจของพระบิดา และพระบุตรจะไม่มีการปฏิเสธคนที่พระบิดาส่งมาให้พระองค์

ยอห์น 6:38-51 การสนทนากันครั้งนี้ พระเยซูตรัสตรง ๆ หลายครั้งว่า พระบิดา พระบิดา… และทรงย้ำว่า พระองค์ถูกส่งมาจากพระบิดา และใครที่มาหาพระเยซูจะมีชีวิตนิรันดร์ นี่เป็นความประสงค์ของพระบิดา
และแล้ว พวกยิวก็เริ่มเอะใจ ไม่พอใจที่พระองค์ตรัสเช่นนั้น พวกเขาไม่ยอมเชื่อว่าพระองค์ลงมาจากสวรรค์ ยังไงกัน จะยกตัวเองมากเกินไปแล้ว ก็เป็นลูกชายโยเซฟ แล้วมาอ้างอย่างนี้ได้ไง…
ในขณะที่พวกเขาคิดว่าตนเองมีเชื้อสายอิสราเอล เป็นคนพิเศษของพระเจ้า พระเยซูกลับทรงบอกเขาว่า คนที่จะได้รับชีวิตนิรันดร์นั้น เป็นการเลือกจากพระบิดา ไม่ใช่มาจากเชื้อสาย
และในที่สุด พวกเขาก็เริ่มเข้าใจว่า มานาที่พระเจ้าส่งลงมา ก็ยังไม่ใช่อาหารแห่งชีวิต เพราะคนที่กินก็ตายตาม ๆ กัน
แต่อาหารใหม่จากสวรรค์นี้ จะให้ชีวิตตลอดไป …. พระองค์ตรัสอีกประโยคที่ทำให้เราตะลึงก็คือ อาหารที่จะให้ชีวิตจริง ๆ กับโลกคือเลือดเนื้อของพระองค์

ยอห์น 6:52-59 ในหนังสือยอห์น ผู้เขียนจะบันทึกคำตรัสแบบเปรียบเทียบของพระเยซูไว้หลายครั้ง เช่นการเกิดใหม่
น้ำแห่งชีวิต อาหารแห่งชีวิต เราเป็นผู้เลี้ยงที่ดี ทำให้พวกยิวเริ่มไม่พอใจ โต้เถียงกัน กินเนื้อ ดื่มโลหิตนั่นคือ รับเอาพระองค์ทั้งหมด และพระองค์เน้นด้วยทรงเป็นเนื้อแท้ เลือดแท้… ท่านยอห์นเป็นคนที่เน้นเรื่องของ จริง, แท้ บ่อย ๆ ในข้อเขียนของท่าน
คำ “พระบิดาผู้ทรงพระชนม์” บ่งบอกว่า พระองค์ทรงมีชีวิตในพระองค์เอง และทรงมอบชีวิตนั้นให้พระบุตร (ยอห์น 5:21) ทั้งพระบิดาพระบุตรทรงทำให้คนคืนชีพ

ยอห์น 6:60-71 พวกเขาบอกว่ายากที่จะรับได้ นั่นหมายถึงว่า ไม่อยากรับว่า พระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า และในบางครั้ง พระเยซูเองก็ตรัสอะไรยากที่จะเข้าใจด้วย (มัทธิว 23:15, ยอห์น 4:17-18)
ข้อ65 ทำให้เรารู้ว่า มนุษย์ไม่หาพระเจ้าเอง แต่พระเจ้าทรงเป็นผู้เริ่มช่วยให้เขาแสวงหาพระองค์ มนุษย์เป็นผู้ที่จะตอบสนองการเริ่มต้นของพระเจ้า
ในหมู่คนที่ติดตามพระเยซูนั้น มีคนที่เชื่ออย่างจริงใจ กับคนที่ต้องการจะได้ประโยชน์ และเราพบว่า ทุกคนที่พระเยซูทรงเลือกมาตั้งแต่ต้นก็ตัดสินใจที่จะติดตามพระองค์ไป เปโตรเองเป็นคนที่บอกชัดว่า จะไปเอาใครที่ไหนมาเปรียบกับพระองค์ ไม่มีเลย เขามั่นใจเต็มร้อยว่า พระองค์ทรงเป็นองค์บริสุทธิ์ของพระเจ้า
แต่แล้วสิ่งที่น่าเสียดายคือ ยูดาสไม่เลือกที่จะเป็นคนของพระเจ้า เขาปฏิเสธพระเยซูทั้งที่เคยได้ยิน ได้เห็น และอยู่กับพระองค์มานานเท่า ๆ กับอัครทูตคนอื่น

ฟีลิปปี 4 พระเจ้าแห่งสันติสุข

โครงร่างคริสตจักรที่เข้มแข็ง

ฟีลิปปี 1:27
1 โครินธ์ 15:58
ฮีบรู 12:14
1 เปโตร 3:8-11
เอเฟซัส 6:13

หลังจากที่พูดมาหลายเรื่อง ท่านบอกเขาว่าพวกเขาเป็นที่รัก คิดถึงแล้วสบายใจ และในวันที่ท่านยืนต่อพระที่นั่งของพระเจ้า ถ้าพวกเขายืนมั่น นั่นก็คือมงกุฎของท่านต่อพระพักตร์ของพระเจ้า การยืนมั่น ไม่ได้ให้ไปยืนที่ไหน เพราะไม่มีที่ไหนมั่นคง นอกจากยืนมั่นในพระเจ้า แต่ในชุมชนทุกแห่งอาจมีความขัดแย้งเกิดขึ้นได้ สตรีสองคนที่มีปัญหาในคริสตจักร ท่านสั่งให้เธอทั้งสองคืนดีกันเสีย ให้มีใจเดียวกัน คิดอย่างเดียวกัน

วิวรณ์ 13:8 ,3:5, 21:27,20:12,15
ลูกา 10:20

แม้ว่าทั้งสองจะเป็นผู้ร่วมงานของท่านเปาโล แต่ก็กลับมีความเห็นต่างกัน หรืออาจมีเรื่องราวต่อกัน และครั้งนี้ท่านเปาโลได้กล่าวถึงเคลเมนท์ ซึ่งเป็นอีกคนที่รับใช้พระเจ้าด้วยกันกับท่าน สิ่งสำคัญคือ ท่านแน่ใจว่าคนเหล่านี้ ถึงแม้ยังไม่สมบูรณ์แบบ แต่พวกเขามีชื่อบันทึกในหนังสือแห่งชีวิต เรื่องนี้สำคัญมาก ถ้าเรามีชื่อจดไว้เท่ากับเรามีสิทธิเป็นพลเมืองของสวรรค์ ได้อยู่ใกล้ชิดพระเจ้าอย่างที่ไม่เคยมาก่อน

เอาชนะความกังวล

1 เธสะโลนิกา 5:16-18
ยากอบ 1:2-4,5:8-9
1 เปโตร 4:13,5:7

จดหมายฉบับนี้ของท่านเปาโลเป็นจดหมายแห่งความยินดี การมีความกังวลนั้น ถ้ากังวลไม่หยุดหย่อน ไม่มีที่สิ้นสุด มันเป็นเหมือนยาพิษของใจ ที่จะทำให้เราไม่มีความสุข ท่านเปาโลบอกวิธีที่จะทำให้ใจทุกข์เป็นสุขด้วยการวางทุกอย่างไว้กับพระเจ้า เชื่อมั่นว่าพระองค์จะทรงเปิดทาง และประทานความสามารถที่เราจะผ่านเหตุการณ์ยากๆ ไปได้ เมื่อปัญหามันยากเกิน ซับซ้อนเกิน อย่าหยุดที่จะหันมาพึ่งพาพระเจ้า เราจะพ้นจากอาการทางจิต ทางร่างกายที่ไม่พึงประสงค์

ยอห์น 14:27
2 เธสะโลนิกา 3:16
อิสยาห์ 26:3
โคโลสี 3:15

ใจและความคิดของเราต้องการโล่ป้องกัน ไม่ให้คิดสิ่งที่ทำให้เราตกต่ำ ไม่ให้เราหมกมุ่นในสิ่งที่ทำลายชีวิตของเรา สิ่งที่ช่วยป้องกันให้เราไม่คิดสิ่งชั่วร้ายก็คือเมื่อเรามีสันติสุขในใจนั่นเอง คนสบายใจมีสันติสุขของพระเจ้า จะไม่ข้องแวะกับสิ่งสกปรกใด ๆ อย่างอัตโนมัติ เพราะเขาไม่ต้องพยายามควานหาความสุขจากอะไร ๆ ที่ไม่ใช่ต้นตอความสุขแท้ อย่าลืม.เด็ดขาดว่า พระเจ้าทรงพอพระทัยเสมอเมื่อเราขอความช่วยเหลือจากพระองค์

คิดสิ่งที่ทำ ทำสิ่งที่คิด

ยากอบ 3:17
ทิตัส 2:7
โรม 12:9-21
กาลาเทีย 5:22

แล้วท่านเปาโลก็บอกถึงแปดสิ่งที่ควรคิดถึง ท่านไม่พูดเป็นนามธรรม แต่กล่าวเป็นรูปธรรมชัดเจน เมื่อความคิดวนเวียนอยู่ในสิ่งเหล่านี้ เราก็จะไม่มีเวลาไปคิดเรื่องไร้สาระ เรื่องสกปรกใด ๆ เช้ามาเราจึงยังไม่ควรเปิดฟังข่าวใด ๆ เพราะโลกนี้เต็มไปด้วยข่าวที่ตรงข้ามกับแปดข้อที่ควรคิด เราควรอยู่กับพระคำของพระเจ้า จบวันด้วยพระคำของพระองค์ ให้ข้อมูลข่าวสารของโลกเป็นรองจากพระคำ
เราลองดูทั้งแปดสิ่งนี้ แล้วเราจะเห็นว่า เมื่อเราคิดถึงพระบิดา พระบุตร และองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ เราจะได้ครบทั้งหมดเลย!

2 เปโตร 1:10
ยากอบ 1:22
1 เธสะโลนิกา 4:1-8
ยอห์น 13:17

รางวัลของการที่ทำตามสิ่งที่เรียน รับ ได้ยิน ได้เห็นจากท่านเปาโล คือการที่พระเจ้าแห่งสันติสุขจะทรงอยู่กับเรา แม้ว่าในโลกของคริสเตียนจะมีหลายความคิดแตกต่างกันไป มีหลายคริสตจักร มีหลายกลุ่ม แต่สิ่งที่ท่านเปาโลสอนนั้นยอดเยี่ยม ติดตามไปจะไม่หลงทาง
การมีพระเจ้าแห่งสันติสุขอยู่กับเรานั้น ยอดเยี่ยมจริง ๆ ไม่ว่าโลกจะโกลาหลเพียงใด เรายังจะมีสันติสุขได้ ประหลาดนัก

น้ำใจชาวเมืองฟีลิปปี

2 โครินธ์ 11:9, 7:6-7
กาลาเทีย 6:10
ฮีบรู 13:5-6
1 ทิโมธี 6:6-9
2 โครินธ์ 9:8

เราจะเห็นว่า ท่านเปาโลมีความสัมพันธ์สนิทกับพี่น้องชาวฟีลิปปี ทั้ง ๆ ที่เวลาผ่านไปนานแล้วถึง 10 ปีหลังจากที่ท่านตั้งคริสตจักรในเมืองนี้ พวกเขาห่วงใยสนับสนุนงานรับใช้เสมอ แม้มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ขาดการติดต่อกัน ท่านเล่าให้เขาฟังว่า ท่านพอใจกับการจัดเตรียมของพระเจ้าทุกรูปแบบ ความพอใจของท่านไม่ได้ขึ้นอยู่กับมีมากหรือน้อย แต่ดูเหมือนขึ้นอยู่กับความใกล้ชิดที่ท่านมีกับพระเจ้า

2 โครินธ์ 11:27,12:7-10,11:9
มัทธิว​ 11:29
อิสยาห์ 41:10
โคโลสี 1:11

ท่านบอกเขาว่าจะมีมากหรือขัดสน จะอิ่มหรือหิว ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ หลายคนเมื่อขาด เมื่อต้องการแล้วไม่ได้ก็จะเกิดอาการหงุดหงิด งุ่นง่าน ไม่สบายใจเพราะรู้สึกว่า ต้องมีมาก ๆ มีเกินพอจึงจะมีความสุข ความรู้สึกเพียงพอ พึงใจแบบนี้ไม่ใช่อยู่ดี ๆ ก็เกิดขึ้นมา แต่เป็นทักษะอย่างหนึ่งที่ต้องฝึกฝน หยุดบ่น ไม่เปรียบเทียบตัวเองกับใคร ไม่โลภ เมื่อเรามั่นใจในพระเจ้าอย่างท่านเปาโลในทุก ๆ สถานการณ์ เราจึงพึงพอใจได้ไม่ว่าจะมีหรือขาด

ฮีบรู13:16 ,10:34
ฟีลิปปี 1:7
2 โครินธ์ 11:8-12


พระคัมภีร์สอนเรื่องการใช้จ่าย การเงินมากเหมือนกัน และในข้อนี้ท่านเปาโลก็กล่าวถึงการช่วยเหลือที่คริสตจักรฟีลิปปีได้ช่วยท่านจริงจัง พวกเขาให้ด้วยใจกว้างขวาง ไม่ได้ไปดูว่าคนอื่นทำอย่างไร แต่มีน้ำใจเอง ทำให้เขาเป็นผู้มีส่วนในการรับใช้ เป็นกำลังใจให้กับผู้ที่ออกไปแนวหน้า เป็นแรงสนับสนุนที่สำคัญยิ่ง ทำให้งานของพระเจ้าขยายออกไป เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าด้วย (18)

1 เธสะโลนิกา 2:9, 2:18
ทิตัส 3:14
ฮีบรู 6:10

จากพระคำข้อนี้ จะเห็นว่า ตอนที่เปาโลทำงานในเมืองเธสะโลนิกา คนชาวเมืองฟีลิปปีก็มีน้ำใจรักคนอีกเมือง และช่วยเหลือท่านเปาโลจริง ๆ ท่านเปาโลเองก็อวยพรเขาไปกลาย ๆ ในข้อนี้ด้วย ท่านรู้ว่า พระเจ้าจะทรงอวยพระพรในน้ำใจนี้ และพวกเขาก็จะยิ่งรับใช้ปรนนิบัติในการสนับสนุนเพิ่มขึ้นอีก

ฮีบรู 13:16
2 โครินธ์ 9:8-12
สดุดี 84:11,23:1-5
1 เปโตร 5:10
โรม 11:36
กาลาเทีย 1:4-5

นี่เป็นเคล็ดลับแห่งการมีชีวิตที่ถวายได้ไม่มีวันหมด เมื่อเราถวายด้วยใจยินดี เมื่อเราใส่ใจในการช่วยเหลือ นั่นคือการนมัสการพระเจ้า เป็นของถวายที่พระเจ้าทรงพอพระทัย และพระเจ้าจะประทานให้เรามีเพื่อที่จะรับใช้ต่อไป นี่เป็นความจริงที่คริสเตียนจำนวนมากมายประสบมาแล้ว เราจึงไม่ต้องกังวล เพราะว่าพระเจ้าจะทรงใช้เราให้ทำงานแบบนี้ต่อไป

คำอำลา คำอวยพร

โรม 16:21-22
ฟีลิปปี 1:13
2 โครินธ์ ๅ_ซๅภ

ถึงแม้ท่านเปาโลจะถูกกักกันตัวไว้ในบ้าน และมีทหารมาเฝ้าตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง เราจะเห็นว่า ท่านไม่ได้ขาดความสัมพันธ์กับพี่น้องเลย คนในวังซีซาร์ หรือเรียกง่าย ๆ ว่าข้าราชการของโรมทั้งหลาย ก็มาพบพระเจ้าเพราะนักโทษชายเปาโลท่านนี้ ท่านจึงเป็นต้นแบบของคนที่มีความสุขความยินดีของพระเจ้า ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใด