มาระโก 4 อุปมาเรื่องดินและเมล็ดพันธุ์

(มัทธิว 13:1-9; ลูกา 8:4-8)
1 อีกครั้ง ที่พระเยซูทรงสอนริมทะเลสาบ  มีคนจำนวนมากห้อมล้อมพระองค์ ดังนั้น จึงทรงลงเรือและประทับนั่งในเรือ ส่วนประชาชนชุมนุมกันตามชายฝั่ง 2 พระองค์ทรงสอนพวกเขาเป็นคำอุปมาหลายเรื่อง ทรงสอนว่า
3 “จงฟังให้ดี มีผู้หว่านคนหนึ่งออกไปหว่านเมล็ดพันธุ์ 4 ระหว่างที่เขาหว่านนั้น บางเมล็ดพันธุ์ตกไปตามทาง แล้วก็มีนกมาจิกกินจนหมด 5 บางเมล็ดพันธุ์ตกลงบนพื้นหิน ไม่ค่อยมีเนื้อดิน จึงงอกขึ้นอย่างรวดเร็วเพราะดินตื้น 6 แต่เมื่อแสงแดดส่อง เมล็ดก็ถูกความร้อนเผา มันจึงเหี่ยวแห้งไปเพราะไม่มีราก 7 ยังมีเมล็ดพันธุ์ที่ตกตามต้นไม้หนามที่เติบโต แย่งอาหารไป ทำให้เมล็ดพันธุ์นั้นไม่อาจเติบโตขึ้นมา 8 ยังมีเมล็ดพันธุ์ที่ตกลงบนดินดี ซึ่งมันงอกขึ้น เติบโต และเกิดผลสามสิบเท่า บ้างก็หกสิบเท่า บ้างก็ร้อยเท่า
9 แล้วพระองค์ตรัสว่า “คนที่มีหูฟังเป็นก็ให้เขาฟังเถิด”

จุดประสงค์ของเรื่องอุปมาเมล็ดพันธุ์
(อิสยาห์ 6:1-13; 13:10-17; ลูกา 8:9-10)
10 พอพระองค์ทรงอยู่ตามลำพังกับศิษย์ทั้งสิบสอง 
และคนอื่น ๆ ที่ล้อมอยู่ พวกเขาก็ถามเรื่องคำอุปมานั้น11 พระองค์ตรัสว่า “ความลี้ลับของแผ่นดินของพระเจ้านั้นได้มอบให้กับพวกท่าน แต่สำหรับคนนอกนั้นทุกอย่างจะได้รับฟังเป็นคำอุปมา 12 เพื่อว่า “พวกเขาจะมองดูไปเรื่อย แต่ไม่มีวันมองเห็นจริง พวกเขาจะฟังไปเรื่อย แต่ไม่มีวันเข้าใจ มิฉะนั้นแล้ว พวกเขาจะหันกลับมาหาพระเจ้า และได้รับการอภัย!”

คำอธิบายเรื่องอุปมาเมล็ดพันธุ์
(มัทธิว 13:18-23; ลูกา 8:11-15)
13 แล้วพระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “เจ้ายังไม่เข้าใจเรื่องอุปมานี้รึ? แล้วเจ้าจะเข้าใจเรื่องอุปมาอื่น ๆ ได้อย่างไร?” 14 ชาวนาเขาได้หว่านพระคำ 15 บางคนนั้นเป็นเหมือนเมล็ดพันธุ์ที่ตกตามทาง ที่พระคำถูกหว่านไป พอได้ยินพระคำ ซาตานก็มาและเอาพระคำที่หว่านให้พวกเขานั้นไปเสียทันที 16 บางคนเป็นเหมือนเมล็ดพันธุ์ที่ตกตามทางหินเขาได้ยินพระคำ และได้รับด้วยความยินดีอย่างรวดเร็ว 17 แต่เป็นเพราะไม่มีราก พวกเขาจึงอยู่เป็นต้นเพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งเมื่อมีความยากลำบากหรือการข่มเหงเกิดขึ้นเนื่องจากพระคำนั้นพวกเขาก็เลิกเชื่อทันควัน 18 คนอื่น ๆ ก็เป็นเหมือนเมล็ดพันธ์ุที่หว่านลงกลางหมู่ต้นหนาม พวกเขาได้ยินพระคำ 19 แต่แล้วความกังวลเรื่องชีวิต ความอยากที่จะรวย และความต้องการสิ่งต่าง ๆเข้ามาถมทับพระคำนั้น จึงไม่เกิดผล 20 และคนอื่นก็เป็นเหมือนเมล็ดพันธุ์ที่หว่านลงบนดินดี เมื่อได้ยินพระคำก็ตอบรับ และเกิดผล สามสิบเท่า หกสิบเท่า หรือร้อยเท่า

เรื่องราวจากตะเกียงใต้ตะกร้า 
(ลูกา 8:16-18)
21 แล้วพระองค์ ตรัสกับพวกเขาว่า
“มีใครบ้างที่นำเอาตะเกียงเข้ามาแล้ววางมันไว้ใต้ตะกร้าหรือใต้เตียง? 
เขาจะไม่วางมันไว้บนเชิงตะเกียงอย่างนั้นหรือ?
22 เพราะไม่มีสิ่งใดที่ถูกซ่อนไว้จะไม่ถูกเปิดเผย 
และไม่มีสิ่งใดที่ถูกปกปิดไว้จะไม่ถูกนำมาเผยในที่แจ้ง 23 ใครมีหูที่จะฟัง ก็ฟังเถิด”


การได้รับคืนจากการให้
24 แล้วพระองค์ตรัสต่อไปว่า “จงพิจารณาสิ่งที่เจ้าได้ยินให้ดี
เจ้าตวงให้คนอื่นด้วยทะนานขนาดใด
เจ้าจะได้รับเท่ากับทะนานขนาดนั้น
และอาจจะได้รับเพิ่มเติมขึ้น
25 เพราะคนที่มีอยู่แล้ว จะได้รับเพิ่มขึ้นอีก
แต่คนใดที่ไม่มี แม้ว่าที่เขามีอยู่น้อยนิดก็จะถูกเอาไปจากเขา” 

คำอุปมาเรื่องเมล็ดที่งอกเงียบ ๆ
26 พระองค์ยังตรัสอีกว่า “อาณาจักรของพระเจ้าเป็นเหมือนชายคนหนึ่งที่โปรยเมล็ดพันธุ์ลงไปบนดิน 27 ทั้งคืนและวัน เขาหลับและตื่น  ส่วนเมล็ดพันธุ์ก็งอกเติบโตไป ทั้งที่เขาไม่รู้ขบวนการงอก การเติบโตของมัน 28  และด้วยตัวของดิน ดินก็ทำให้เกิดผลเป็นต้นอ่อนและมีรวงจากนั้นก็มีเมล็ดข้าวสุกเต็มรวง29 เมื่อข้าวสุกแก่เต็มที่ เขาก็นำเคียวไปเกี่ยวเก็บเพราะได้เวลาเก็บเกี่ยวแล้ว

คำอุปมาเรื่องเมล็ดมัสตาร์ด
(มัทธิว 13:31-32; ลูกา 13:18-19)
30 ต่อมา พระองค์ตรัสถามว่า“เอ เราจะเปรียบอาณาจักรของพระเจ้ากับสิ่งใดดี? เราจะใช้คำอุปมาแบบใดมาอธิบาย?  31 อาณาจักรของพระเจ้าเป็นเหมือนเมล็ดพันธุ์มัสตาร์ดซึ่งเป็นเมล็ดพันธุ์เล็กจิ๋วที่สุดในบรรดาเมล็ดพันธุ์ทั้งหลายที่เขาหว่านลงไปในดิน 32 แต่หลังจากที่มันงอกขึ้นแล้ว มันเติบโตกลายเป็นต้นใหญ่สุดในบรรดาพืชสวนทั้งหลาย มันขยายแผ่กิ่งก้านออกไป จนนกในอากาศก็มาทำรังใต้ร่มของมัน” 33 พระเยซูตรัสแก่พวกเขาเป็นคำอุปมาคล้ายคลึงกันแบบนี้อีกหลายเรื่อง เท่าที่พวกเขาจะเข้าใจได้ 34 พระองค์ไม่ตรัสแบบอื่นนอกจากการใช้คำอุปมาแต่พออยู่กันเป็นส่วนตัว พระองค์ก็ทรงอธิบายทุกสิ่งกับศิษย์ของพระองค์ 

ทรงยิ่งใหญ่กว่าพายุ!
(สดุดี 107:1–43; มัทธิว 8:23–27; ลูกา 8:22–25)
35 วันนั้น เมื่อถึงเวลาเย็น พระองค์ตรัสกับศิษย์ว่า “เราข้ามไปอีกฝั่งกันเถิด”36 หลังจากที่พวกเขาทิ้งฝูงชนไว้ พวกเขาก็ไปกับพระองค์ซึ่งประทับอยู่ในเรือแล้ว แต่ก็มีเรืออื่น ๆ ตามไปด้วย 

37 ไม่นาน ก็เกิดพายุรุนแรงขึ้น คลื่นโถมเข้ามาในเรือจนเรือเกือบจะจม 
38 แต่พระเยซูทรงอยู่ท้ายเรือ บรรทมหลับหนุนหมอนอยู่พวกเขาไปปลุกพระองค์ ร้องว่า “อาจารย์เจ้าข้าพระองค์ไม่ทรงสนใจหรือว่า พวกเรากำลังจะจมน้ำตายแล้ว?”


39 พระเยซูทรงลุกขึ้นและตรัสห้ามลมพายุ
ทรงกำชับทะเลว่า“จงเงียบสงบ!”
พระองค์ทรงสั่ง “จงสงบนิ่ง!”
ลมก็หยุดพัด และทะเลก็สงบนิ่ง

40 “ทำไมเจ้าจึงกลัวนัก” พระองค์ตรัสถาม
“เจ้ายังไม่มีความเชื่ออีกหรือนี่?”
41ด้วยความตกใจกลัว ศิษย์จึงถามกันว่า
“ท่านผู้นี้เป็นใครกันนะ?
ทำไมแม้กระทั่งพายุและทะเลยังเชื่อฟังคำของท่าน?”

คำอธิบายเพิ่มเติม

มาระโก 4:1-9 คำอุปมาเรื่องเมล็ดพันธุ์กับดินสี่แบบ
พระเยซูคริสต์ของเรา ทรงเป็นพระบุตรพระเจ้าที่มาเพื่อจะสำแดงพระเจ้าให้คนทั้งหลายได้รู้ว่า พระองค์ทรงเป็นอย่างไร และพระองค์ก็จะทรงช่วยบอกให้คนได้รู้ว่า จะมาหาพระเจ้าได้อย่างไร แต่หากพระเยซูทรงเทศนาด้วยคำที่ยาก ๆ  เช่นความรอดคืออะไร กลับใจแปลว่าอะไร ..  แบบนี้ คงยากที่คนจะฟังและรับรู้ได้  พระเยซูทรงอยู่กับชาวบ้านชาวเมืองที่ไม่ได้มีความรู้สูง บางคนใจเปิด บางคนแค่มาดูการอัศจรรย์ของพระเยซู แต่จะไม่ได้เข้าใจอะไรเลย..
พระเยซูจึงทรงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของพวกเขา เพื่ออธิบายความเป็นไปฝ่ายวิญญาณให้พวกเขาฟัง พระองค์ใช้การเล่าเรื่องเปรียบเทียบ เป็นเรื่องอุปมาที่พวกเขาได้ยินแล้วก็จะจำได้ แม้จะไม่เข้าใจดี ก็ยังจำได้เมื่อกลับไปบ้าน  มาระโกบทที่  4  นี้จึงมีเรื่องอุปมาหลายเรื่องที่ทรงสอนจากเรือลำเล็ก ๆ ที่อยู่ริมฝั่งทะเลกาลิลี 
ทรงเริ่มต้นด้วยคำว่า จงฟังให้ดี จบด้วยคำว่า คนที่หูฟังเป็นก็ให้เขาฟังเถิด
เราอาจจะรู้สึกว่า ทำไมพระเยซูตรัสเช่นนี้ เป็นเพราะ มีคนที่ฟัง และตั้งใจและอยากรู้ความหมาย และมีคนที่ฟังแล้วแค่ฟัง ไม่สนใจว่าเรื่องนี้จะมีประโยชน์อะไรต่อชีวิตตนเอง  ฟังแล้วจำได้ไม่นานก็ลืม ไม่ค้นหาความหมายของเรื่องราว  คำตรัสที่บอกว่า มีหูก็ให้ฟัง เป็นคำที่คนยิวใช้อยู่แล้ว มีความหมายว่า ให้ตั้งใจฟัง ถ้าไม่ตั้งใจก็จะไม่ได้อะไรกลับไป
เราจะเห็นดินสี่ชนิดที่พระเยซูกล่าวถึง พื้นที่ในปาเลสไตน์นั้นมีหินเป็นส่วนใหญ่ ไม่ใช่ท้องนาดำ ๆ เหมือนบ้านเรา หินเป็นสิ่งที่อยู่ทั่วผสมไปกับดิน จะทำไร่นาก็ต้องจัดการกับหินก่อนอื่นใด … อ่านดี ๆ เราจะพบ
1ทาง(ซึ่งเป็นทางคนเดิน ไม่อาจปลูกอะไรขึ้น ดินแข็ง)
2 พื้นหินที่มีดินน้อย
3 พื้นดินที่มีต้นหนามขึ้น
4 ดินดีที่พร้อมจะทำให้เมล็ดพันธุ์เติบโต 

มาระโก 4:10-12 จุดประสงค์ของเรื่องอุปมาเมล็ดพันธุ์
ดูเหมือนว่า ข้อ 10-20 เป็นเรื่องเล่าที่มาระโกบอกว่า เวลาอยู่ตามลำพัง พระเยซูทรงสอน อธิบายอะไร
โรม 16:25-26 อธิบายไว้ว่า มีความจริงที่ถูกปิดบังไว้หลายชั่วอายุคน แต่ตอนนี้ เปิดเผยแล้ว .. เปิดเผยเพื่อคนทุกชาติจะได้เชื่อและทำตามคำของพระเจ้า
อิสยาห์ 6:9-10 ว่า จะมีการฟังแล้วฟังอีกแต่ไม่เข้าใจ  ดูแล้วดูอีกแต่ก็ไม่เห็น
ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่า พระเยซูทรงประสงค์ให้คนไม่เข้าใจ พระองค์ได้บอกเคล็ดลับว่า ถ้าฟัง เข้าใจ มองเห็นก็จะเกิดการกลับใจ พระเจ้าจะทรงให้อภัยบาป พวกเขาจะได้รับพระพรยิ่งใหญ่ของพระเจ้า แต่จะมีคนที่ฟังเท่าไรก็ไม่เข้าใจเพราะใจของเขาปิดต่อพระคำของพระเจ้า ในสมัยพระเยซูเห็นชัดได้จากพวกธรรมาจารย์ ฟาริสีส่วนใหญ่ ที่เอาแต่ต่อต้าน ไม่ยอมฟัง   

มาระโก 4:13-20 คำอธิบายเรื่องอุปมาเมล็ดพันธุ์
คำอุปมาเรื่องนี้น่าจะง่ายสุด เพราะตรัสว่า ถ้าไม่เข้าใจอุปมาเรื่องนี้ จะเข้าใจเรื่องอื่นไม่ได้ จากนั้น พระเยซูก็ทรงอธิบายความหมายของอุปมานี้ให้ศิษย์เข้าใจว่ามีดินสี่แบบ ที่เมล็ดพันธ์ุจะไปตกอยู่… หมายถึงหัวใจของคนสี่แบบที่ฟังพระคำแล้วตอบสนองต่างกัน
แบบแรก
1 ทางเดิน (ซึ่งเป็นทางคนเดินดินแข็งมาก แถมมีนกมารอจิก) เป็นใจที่แข็ง ได้ยินพระคำก็เหมือนไม่ได้ยิน เพราะมารมาช่วยให้ลืม ให้ไม่สนใจ ไม่แคร์กับคำเหล่านั้น อาจจะดูถูกเยาะเย้ยเสียด้วยซ้ำ
2 พื้นหินที่มีดินน้อย  เป็นใจที่มีอารมณ์ตื่นเต้น  ชอบที่ได้ยินพระคำ  เกิดผลบ้างในใจ แต่ไม่นานก็ลืมพระคำนั้นไป ไม่สนใจ บางคนเจอความยากในการเชื่อพระเจ้าก็เลยจบ กลับไปมีชีวิตเดิม ๆ
3 พื้นดินที่มีต้นหนามขึ้น เป็นหัวใจที่ได้ยินพระคำของพระเจ้า  ก็ได้ยินชัด รู้ว่าอะไรเป็นอะไร แต่สำหรับพวกเขา พระคำของพระเจ้า ไม่สำคัญเท่ากับเรื่องชีวิตส่วนตัว การใช้ชีวิตประจำวัน  การงาน เรื่องอื่น ๆ สำคัญยิ่งกว่า พวกเขาสนใจเรื่องเหล่านั้น พระคำจึงไม่เกิดผลในหัวใจนี้ 
4 ดินดีที่พร้อมจะทำให้เมล็ดพันธุ์เติบโต  เป็นดินดีที่พร้อมจะให้เมล็ดพันธุ์งอกเป็นต้น เป็นหัวใจที่ฟังพระคำแล้ว ตอบรับ เอาใจใส่ ติดตาม ตัดสินใจไปตามทางของพระเจ้า พวกเขาจึงมีชีวิตที่เกิดผล
จากดินสี่แบบเราเห็นว่า เกิดผลแค่ ยี่สิบห้าเปอร์เซนต์  แต่ในดินชนิดที่สี่ ในตัวของเขาเกิดผลหลายเท่าเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า … (ยอห์น 15:8)

มาระโก 4:21-23เรื่องราวจากตะเกียงใต้ตะกร้า
เรื่องราวนี้มีอยู่ในมัทธิว และลูกาด้วย  แต่สำหรับมาระโกแล้ว มีความพิเศษ เพราะมาระโกได้ ให้ความสำคัญกับคำว่า ตะเกียง ด้วยการบอกย้ำชัดในภาษาเดิมว่า ตะเกียงดวงนั้น คือ ὁ λύχνος โฮ ลุคโนส( หรือ the lamp ) ซึ่งทำให้เราเข้าใจทันทีว่า พระเยซูกำลังตรัสว่า  พระองค์คือผู้ทรงเป็นแสงสว่าง ไม่ได้อยู่เพื่อถูกปิดไว้เงียบ ๆ แต่ว่า จะเป็นที่ประกาศเปิดเผยให้คนทั้งหลายได้เห็น ได้รับแสงนั้น   พระองค์ที่พระเจ้าทรงซ่อนไว้สามสิบปีนั้น มาบัดนี้ เปิดเผยแล้วว่า พระองค์คือผู้ใด  คนที่มีหู จะเข้าใจความหมาย แต่ในเวลาที่พระองค์ตรัสนั้น ทุกคนอาจจะยังไม่เข้าใจ

มาระโก 4:24-25 การได้รับคืนจากการให้
เราอาจเคยเข้าใจว่า อุปมาเรื่องนี้ มีความหมายว่าถ้าเราให้ใครขนาดเท่าไร พระเจ้าจะทรงคืนให้อย่างนั้น และจะเพิ่มให้ด้วย แต่คำของพระเยซูในประโยคต่อมาที่ว่า “เพราะคนที่มีอยู่แล้ว จะได้รับเพิ่มขึ้นอีกแต่คนใดที่ไม่มี แม้ว่าที่เขามีอยู่น้อยนิดก็จะถูกเอาไปจากเขา” ทำให้เรารู้สึกประหลาดใจ เพราะว่าคนที่มีน้อย น่าจะได้เพิ่มมิใช่หรือ?
ถ้าเราฟังพระคำของพระเจ้า เราตอบสนองคำของพระองค์อย่างดี ก็เหมือนกับการตวงให้พระเจ้าด้วยความเอาใจใส่ เมื่อเรามอบใจให้กับพระคำ เราก็จะได้ความเข้าใจในเรื่องของพระเจ้ากลับคืนมา ไม่ใช่แค่ที่อ่าน เรียนไป หรือทำตามไป แต่พระเจ้าจะทรงเพิ่มเติมให้อีก ให้มีความเข้าใจมากขึ้น (เอเฟซัส 1:17) ส่วนคนที่มีอยู่น้อยนิดคือคนที่ไม่สนใจพระดำรัสของพระเจ้าเลย อาจจะปฏิเสธพระองค์ด้วยซ้ำ สิ่งดี ๆ จากพระคำของพระเจ้าที่เขาเคยมี ก็จะค่อย ๆ หายไปจากตัว และไม่หลงเหลือร่องรอยไว้

มาระโก 4:26-29 คำอุปมาเรื่องเมล็ดที่งอกเงียบ ๆ
พระเยซูทรงประสงค์ให้ผู้ฟังได้เข้าใจว่า อาณาจักรของพระเจ้า นั้นเป็นงานของพระเจ้าพร้อมกับที่มนุษย์ช่วยกันทำกับพระองค์ ผู้ที่เชื่อในพระเจ้าเป็นผู้หว่านพระคำออกไป หว่านไปทางนั้น ทางนี้ ไปยังหมู่บ้านต่าง ๆ ในที่ทำงาน ในโรงงาน ในสถานที่ส่วนตัวและในที่สาธารณะ  แต่แล้ว ผลที่ได้นั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคนหว่าน  หรือคนที่ปลูกและงานนี้มีหลายคนทำ ไม่ได้ทำอยู่คนเดียว  หน้าที่ของเราคือการหว่าน ไม่ใช่การทำให้เติบโตคนที่หว่านก็ใช้ชีวิตของตนไป และฝากการเกิดผลไว้กับพระเจ้า เราไม่ทราบหรอกว่า สิ่งที่หว่านไปนั้น จะไปเกิดผลในหัวใจของคนไหนบ้างจากนั้นคนที่หว่านจะไปเกี่ยว หรืออาจมีคนอื่นไปช่วยเกี่ยว พวกเขาคือคนงานในไร่นาของพระเจ้าทำงานในหน้าที่ต่อไป
1 โครินธ์ 3:6-7 ข้าเป็นคนปลูก ส่วนอปอลโลรดน้ำแต่พระเจ้าทรงเป็นผู้ทำให้เติบโต
ดังนั้น คนที่ปลูกและคนที่รดน้ำไม่สำคัญ แต่พระเจ้าผู้ทรงให้เติบโตนั้นต่างหากที่สำคัญ

มาระโก 4:30-34  คำอุปมาเรื่องเมล็ดมัสตาร์ด
พระเยซูตรัสว่า เมล็ดพันธุ์เล็กที่สุด คือเป็นเมล็ดพันธุ์ที่เล็กสุดซึ่งพวกเขารู้จักกันในเวลานั้น เพราะในปัจจุบันเรายังพบเมล็ดที่เล็กกว่า แต่ตอนนี้เราต้องเข้าใจว่า นี่เป็นสิ่งที่ผู้คนในปาเลสโตน์ รู้จักและเข้าใจดี  นี่เป็นคำเปรียบเทียบของพระเยซู มันเล็กกว่าเมล็ดพันธุ์ของปาล์ม หรือมะเดื่อ หรือ องุ่น
เมื่อมีคนเอาเจ้าเมล็ดพันธุ์นี้ปลูกลงไปในดิน สิ่งที่เล็ก ๆ ดูไม่เหมือนสำคัญนี้ สามารถกลายเป็นต้นใหญ่โตได้ แถมยังใหญ่กว่าต้นอื่น ๆ ด้วย เมล็ดพันธุ์นี้คือพระคำของพระเจ้าที่จะเกิดผลในหัวใจของเรา  เราต้องเข้าใจว่า เมื่อเราทำการของพระเจ้าอยู่ เราไม่ได้เสียเปล่าในการรับใช้ เมื่อเราเรียนพระคำของพระองค์อยู่ แม้เมื่อเราลืมสิ่งที่เราเรียน แม้คนที่ฟังพระกิตติคุณจะต่อต้าน  แต่ขบวนการงอก การเติบโตของพระคำของพระเจ้ายังอยู่ในตัวและมันจะเกิดผลในเวลาที่พระเจ้าทรงพอพระทัย 

มาระโก 4:35-41 ทรงยิ่งใหญ่กว่าพายุ!
เมื่ออ่านมาถึงพระคำตอนที่บอกว่า พระเยซูทรงห้ามพายุ อาจจะมีการแปลความหมายไปหลายอย่างเช่น เมื่อเรามีพายุ ปัญหาหนักในชีวิต พระเจ้าจะทรงทำให้สงบ
 หรือ พระเยซูกำลังห้ามลม เหมือนกับที่ทรงห้ามผีสิงคน  และบางคนอาจรู้สึกว่า เรื่องแบบนี้ไม่เกิดในสมัยนี้หรอก 
หากเราจะมองอีกมุม มองในแง่ของคนยิว หรือศิษย์ที่อยู่กับพระองค์ในเวลาแห่งความน่าสะพรึงกลัวขนาดนั้น เราอาจจะได้พบอะไรที่แตกต่างไปจากนั้น
นั่นก็คือ คนยิวรู้จากพันธสัญญาเดิมที่พวกเขาอ่านว่า  พระเจ้าทรงเป็นผู้ควบคุมสภาพอากาศที่เกิดขึ้น ไม่มีใครทำได้อย่างพระองค์ 
สดุดี 65:7 พระเจ้าทรงระงับเสียงคลื่นทะเล เสียงครึกโครมของคลื่น ..
สดุดี 89:9 พระเจ้าทรงครองเหนือทะเลที่ปั่นป่วน เมื่อคลื่นกระหน่ำ ทรงทำให้สงบข้อ 11 ยืนยันว่า พระเจ้าทรงสร้างโลกและสรรพสิ่งในโลก ..
อิสยาห์ 50:2  เราสั่งคำเดียว ทะเลก็แห้ง..
สดุดี 107:23-30 เป็นภาพใกล้เคียงกับที่เกิดกับทุกคนในเรื่องนี้ 
โยบ 38 ทั้งบท ได้ยืนยันว่า พระเจ้าทรงอยู่เหนือทะเล ข้อ 8 ถามว่า ใครเป็นผู้ปิดประตูกั้นทะเล..​

ดังนั้น เมื่อศิษย์ของพระเยซูมาเรียกพระองค์ แถมยังตัดพ้อว่า พระองค์ไม่สนพระทัย  พระองค์ก็ตรัสให้พายุสงบและน้ำทะเลนิ่งได้อย่างเหนือคาด เหนือธรรมชาติเช่นนี้ จึงทำให้พวกเขาอึ้งไปทันควัน .. พวกเขาถามกันว่า พระองค์คือใคร  และยังเจอกับคำถามของพระเยซูด้วยว่า ทำไมจึงกลัว ไม่เชื่อหรือ?
การที่พระเยซูทรงสยบพายุครั้งนี้ เป็นการบอกให้ศิษย์ทุกคนรู้ว่าพระองค์ทรงมีอำนาจเหนือพายุเหมือนอย่างที่พระเจ้าทรงมีอำนาจเหนือพายุ และนี่ชี้ให้พวกเขาเข้าใจตั้งแต่ต้นเลยว่า พระองค์คือพระเจ้าที่ลงมาในโลก  พระเยซูสามารถทำการยิ่งใหญ่อย่างพระเจ้าได้!
ถ้าเราจะย้อนดูสิ่งที่มาระโกเล่าให้เรานั้น เราจะเห็นว่า การอัศจรรย์ทุกอย่างที่พระองค์ทรงทำ ยังไม่ถึงขนาดปราบธรรมชาติอย่างนี้ ทรงรักษาโรค ทรงยกโทษให้ ทรงสอนแผ่นดินของพระเจ้า ..
ความยำเกรงที่เกิดกับเหล่าศิษย์ไม่ได้เหมือนกลัวพายุ แต่เป็นความยำเกรงที่พระเยซูทรงยิ่งใหญ่เหลือเกิน ทรงเป็นพระเจ้าจริง ๆ และพวกเขารู้แล้วว่า พระองค์ทรงห่วง อย่าได้ถามพระองค์อีกว่า พระองค์ไม่สนพระทัยหรือ อย่าขาดความเชื่อต่อไป.. ให้วางใจพระเจ้าสุดใจ

พระคำเชื่อมโยง

มาระโก 4
1* ลูกา 8:4-10
2* มาระโก 12:38
10* ลูกา 8:9
11* 1 โครินธ์ 2:10-16; โคโลสี 4:5
12* อิสยาห์ 6:9, 10; 43:8
14* มัทธิว 13:18-23
19* ลูกา 21:34; 1 ทิโมธี 9,10,17
20* โรม 7:4

21* มัทธิว 5:15
22* มัทธิว 10:26, 27
23* มัทธิว 11:15; 13:9, 43
24* มัทธิว 7:2
25* ลูกา 8:18; 19:26
26* มัทธิว 13:24-30, 36-43
27* 2 เปโตร 3:18
28* ยอห์น12:24
29* วิวรณ์ 14:15

30* มัทธิว 13:31, 32
33* มัทธิว 13:34, 35
34* ลูกา 24:27, 45
35* ลูกา 8:22, 2538* มัทธิว 23:8-10; สดุดี 44:23
39* ลูกา 4:39; สดุดี 65:7 89:9; 93:4; 104:6,7
40* มัทธิว 14:31,32


1 โครินธ์ 9 คนงานของพระเจ้า

1 โครินธ์ 9:1-2
ข้าไม่มีเสรีหรือ? ข้าไม่ใช่อัครทูตหรือ?
ข้าไม่เคยเห็นพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าของเราหรือ?
พวกท่านเป็นผลงานของข้าในองค์พระผู้เป็นเจ้ามิใช่หรือ?
แม้คนอื่นจะไม่มองข้าเป็นอัครทูต แต่ท่านก็มองข้าเป็นอัครทูต เพราะพวกท่านคือตราแห่งอัครทูตของข้าในองค์พระผู้เป็นเจ้า

1 โครินธ์ 9:3-5
กรณีที่มีคนตรวจสอบข้า ข้าขอแก้ต่างว่าเราไม่มีสิทธิ์ที่จะกินและดื่มหรือ? เราไม่มีสิทธิ์ที่จะพาพี่น้องซึ่งเป็นภรรยาที่เชื่อในพระเจ้าออกไปด้วยกันเหมือนเหล่าอัครทูตท่านอื่น และพี่น้องของพระเยซูเจ้า และเคฟาสหรือ?

1 โครินธ์ 9:6-7
มีแค่ข้าและบารนาบัสเท่านั้นหรือที่ต้อง
ทำงานหาเลี้ยงชีพโดยไม่มีสิทธิ์เลิก?
ใครบ้างที่เป็นทหารโดยเลี้ยงตัวเอง? 
ใครบ้างที่ทำสวนองุ่น แล้วไม่ได้กินผลจากสวนนั้น?
ใครบ้างที่ดูแลฝูงแกะโดยไม่ดื่มนมจากฝูงแกะนั้น?

1 โครินธ์ 9:8-9
ข้าพูดอย่างนี้ ตามความคิดของมนุษย์
เท่านั้นหรือ? ธรรมบัญญัติก็เขียนไว้อย่างนี้ด้วยไม่ใช่หรือ?
ในบัญญัติของโมเสส มีบันทึกไว้ว่า “อย่าเอาตะกร้อ ครอบปากวัวขณะที่มันกำลังนวดข้าวอยู่” (ฉธบ 25:4)
พระเจ้าทรงเป็นห่วงวัวหรือ?

1 โครินธ์ 9:10
พระองค์ตรัสอย่างนี้ ก็เพื่อพวกเรามิใช่หรือ? ข้อความนั้นบันทึกไว้สำหรับเรา ใช่แล้ว! แสดงว่าคนที่ไถนาก็ควรที่จะไถด้วยความหวัง และคนที่นวดข้าวก็ควรทำโดยหวังว่า เขาจะได้รับส่วนแบ่ง

1 โครินธ์ 9:11-12
ดังนั้น ถ้าเราหว่านเมล็ดฝ่ายวิญญาณให้แก่พวกท่าน แล้วมากไปหรือที่เราจะเกี่ยวเก็บฝ่ายเนื้อหนังร่างกายจากท่าน?
ถ้าคนอื่นมีสิทธิ์ได้รับประโยชน์ตอบแทนจากท่าน เราไม่มีสิทธิ์นี้มากกว่าหรือ?

1 โครินธ์ 9:13-14 ท่านรู้ไม่ใช่หรือว่า คนที่ทำงานในพระวิหารก็กินอาหารจากพระวิหาร และคนที่รับใช้ที่แท่นบูชาก็รับส่วนแบ่งจากแท่นบูชานั้น? เช่นกัน องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาว่า คนที่ประกาศข่าวประเสริฐควรได้รับการเลี้ยงชีพจากข่าวประเสริฐนั้น

1 โครินธ์ 9:15-16
แต่ว่าข้ายังไม่ได้ใช้สิทธิ์เหล่านี้เลย และข้าไม่ได้เขียนมาเพื่อจะให้เขาทำอย่างนั้นแก่ข้า เพราะว่าข้ายอมตายดีกว่าที่จะให้ใครมาทำลายเหตุผลที่ข้าอวดอยู่นี้ เพราะว่าถ้าข้าประกาศข่าวประเสริฐ ข้าก็ไม่มีเหตุที่จะโอ้อวดได้ เพราะข้าจำต้องประกาศ และถ้าข้าไม่ประกาศ วิบัติจงเกิดกับข้า

1 โครินธ์ 9:17-18
ถ้าข้าประกาศด้วยความเต็มใจ ข้าจะได้บำเหน็จรางวัล แต่หากไม่เต็มใจ พันธกิจนี้ ก็ยังเป็นความรับผิดชอบของข้า
แล้วอะไรจะมาเป็นรางวัลของข้า? รางวัลคือ ในการประกาศข่าวประเสริฐนั้นข้าทำโดยไม่คิดค่าจ้าง เพื่อจะไม่ต้องใช้สิทธิ์ที่ควรได้จากข่าวประเสริฐอย่างเต็มที่

1 โครินธ์ 9:19-20 ในเมื่อข้าเป็นอิสระ ไม่ได้ขึ้นกับใคร ข้าก็ยังยอมเป็นทาสของทุกคน เพื่อว่าจะได้ชนะใจคนมากยิ่งขึ้น ต่อคนยิว
ข้าก็เป็นเหมือนยิว เพื่อจะได้คนยิวมา ต่อคนที่อยู่ใต้บัญญัติ ข้าก็ทำตัวเหมือนพวกเขา เพื่อจะได้พวกที่อยู่ใต้บัญญัตินั้นมา
(ทั้งที่ข้าไม่ได้อยู่ใต้บัญญัติ)

1 โครินธ์ 9:21ต่อคนที่ไม่มีบัญญัติ ข้าก็เป็นเหมือนคนไม่มีบัญญัติ เพื่อที่จะได้พวกที่ไม่มีบัญญัตินั้นมา (ทั้งที่ข้าไม่ได้ไร้บัญญัติของพระเจ้า แต่อยู่ใต้บัญญัติของพระคริสต์)

1 โครินธ์ 9:22-23
ต่อคนที่อ่อนแอ ข้าก็เป็นเหมือนคนอ่อนแอเพื่อจะชนะใจคนอ่อนแอ ข้ายอมเป็นคนทุกแบบต่อทุกคน เพื่อช่วยบางคนให้รอดเท่าที่จะทำได้ที่ข้าทำอย่างนี้ เพื่อเห็นแก่ข่าวประเสริฐ เพื่อข้าจะได้มีส่วนในข่าวประเสริฐนั้น

1 โครินธ์ 9:24-25
ท่านไม่รู้หรือว่า คนที่วิ่งแข่งก็วิ่งกันทุกคน แต่คนที่ได้รางวัลมีเพียงคนเดียว? ดังนั้นจงวิ่งเพื่อชิงรางวัลให้ได้
ผู้ที่เข้าแข่งทุกคน ต่างผ่านการควบคุมตนเองในทุกเรื่องเพื่อจะได้มงกุฎที่ร่วงโรย แต่เราวิ่งเพื่อมงกุฏที่ยั่งยืน

คำอธิบายเพิ่มเติม

1 โครินธ์ 9:1-2
บทที่เก้านี้ แตกต่างออกไปจากบทก่อนหน้าที่พูดเรื่องของบูชา และความมุ่งมั่นที่จะไม่ให้พี่น้องสะดุดด้วยเสรีภาพส่วนตัวต่อจากนี้ไปท่านเปาโลกล่าวถึงวิธีการในการรับใช้พระเจ้าของท่าน ท่านยืนยันว่าท่านคืออัครทูตคนหนึ่ง (ซึ่งไม่ได้อยู่ในกลุ่ม 12 ท่านแรก แต่ท่านคือผู้ที่พบพระเยซูบนถนนเข้าเมืองดามัสกัส (กิจการ 9:15 ท่านเป็นผู้ที่พระเยซูทรงส่งออกไปประกาศพระกิตติคุณแก่คนต่างชาติ)

1 โครินธ์ 9:3-5
กรณีที่มีคนมาตรวจสอบ.. ข้ากล่าวแก้ต่าง เป็นคำเชิงกฎหมายที่ท่านนำมาใช้ ท่านกำลังถามว่าในฐานะที่ท่านเป็นอัครทูต ท่านไม่มีสิทธิ์ที่จะกินดื่ม
หรือนำภรรยาไปรับใช้ด้วยกัน โดยใช้ปัจจัยของพี่น้องในคริสตจักรอย่างนั้นหรือ?ส่วนใหญ่ผู้รับใช้มีครอบครัว ดังนั้น จึงมักนำภรรยาไปด้วย แต่ดูเหมือนว่า พี่น้องในคริสตจักรโครินธ์ ไม่ต้องการสนับสนุนท่าน ไม่ต้องการที่จะช่วยในการรับใช้ของท่านเลย

1 โครินธ์ 9:6-7
ผู้รับใช้ส่วนใหญ่ได้รับการสนับสนุนจากคริสตจักรมีแต่เปาโลและบารนาบัสที่หาเลี้ยงชีพเอง และยังรับใช้พระเจ้าโดยไม่ได้รับการช่วยเหลือจากใคร
ท่านนำเรื่องทหาร เกษตรกร มาเป็นตัวอย่างว่าใครทำงานอะไร ก็ควรจะได้รับค่าจ้างจากงานที่ทำอ่านถึงตรงนี้ เราอาจคิดว่า ท่านเปาโลต้องการ
เงินสนับสนุนจากคริสตจักร ท่านพูดแรงเหลือเกิน. ต้องอ่านต่อไปว่า จริง ๆ ท่านคิดอย่างไร

1 โครินธ์ 9:8-9
ท่านไม่ได้พูดเรื่องนี้ตามใจตัวเอง แต่พระคำของพระเจ้าได้สอนมานานแล้วว่า ขณะที่วัวกำลังนวดข้าว ก็อย่าเอาตะกร้อปิดปากไม่ให้มันกินข้าวตกที่
กำลังนวดอยู่ สงสัยจริงว่า มีคำบัญญัติไว้เพราะบางทีเจ้าของนา เจ้าของวัวก็ตระหนี่ และเอาเปรียบคนที่ทำงานให้ และเอาเปรียบแม้กระทั่งวัวของตัว
เอง บัญญัติข้อนี้มีไว้ให้เพื่อเจ้าของงานจะไม่ทำตัวน่าเกลียด และขูดรีดขูดเนื้อคนที่ทำงานให้ตน

1 โครินธ์ 9:10
อย่างที่กล่าวมาว่า พระเจ้าทรงบัญชาไว้ล่วงหน้าเพื่อเจ้าของงาน และเพื่อคนที่ทำงานให้จะได้รับพระพรกันถ้วนหน้า ได้รับส่วนแบ่งจากงานที่ทำการที่ไม่ยอมให้ผู้ร่วมงานได้มีกินมีใช้นั้น นอกจากโหดร้ายแล้ว ยังเป็นการคดโกง ร้ายที่สุดคือกระชากความหวังที่จะมีกินของคนที่ทำงาน ความหวังในชีวิตของทุกคนทำให้สู้ต่อไปได้ การฆ่าความหวังจึงเป็นการทำลายทั้งชีวิต

1 โครินธ์ 9:11-12
เอาล่ะ มาถึงคำถามที่พี่น้องชาวโครินธ์ต้องตอบแล้ว ในเมื่อผู้รับใช้ของพระเจ้าได้เตรียมตัวอย่างดีสอนเพื่อให้ชีวิตฝ่ายวิญญาณได้เติบโตกับพระเจ้าการที่จะได้รับตอบเป็นปัจจัยฝ่ายเนื้อหนัง มันไม่สมควรอย่างนั้นหรือ แล้วคนอื่นยังได้ ทำไมท่านเปาโลกับบารนาบัสเองไม่ได้. อ่านจากข้อความนี้ เราอาจประเมินได้ว่า เป็นเพราะพี่น้องชาวโครินธ์เอง ปฏิเสธ ไม่ยอมสนับสนุนการรับใช้ของท่านเปาโล

1 โครินธ์ 9:13-14
แม้แต่พระเยซูก็ยังตรัสไว้ชัดเจนในเรื่องนี้ ดูจากมัทธิว 10:10 และลูกา 10:7 “คนงานควรได้รับค่าจ้างของตน” และในสังคมโครินธ์ คนที่ทำงาน
ในวิหารใดก็ตาม ก็ยังได้ส่วนแบ่งจากแท่นบูชาพวกเขารู้ ชิน เข้าใจอยู่แล้ว ท่านเปาโลเขียนมาอย่างนี้ ก็ช่วยให้คริสตจักรทั่วโลกได้เข้าใจว่า พวกเขามีหน้าที่รับผิดชอบต่อผู้รับใช้อย่างไร ถึงอย่างนั้น ก็ยังมีผู้รับใช้พระเจ้าอีกมากมายที่ต้องทำงานเลี้ยงตัวเอง และรับใช้พระเจ้าอย่างท่านเปาโล

1 โครินธ์ 9:15-16
พบแล้ว ตอนนี้เราเห็นเป้าหมายชัดเจนของท่านเปาโลที่เขียนมาทั้งหมด ท่านแค่ชี้แจงให้เห็นว่า ทัศนคติของพี่น้องชาวโครินธ์เป็นอย่างไร ท่าน
ไม่ได้ต้องการเงินสนับสนุน แถมยังประชดด้วยว่า“ข้าไม่ได้รับเงินจากพวกนาย ที่ข้าประกาศข่าวประเสริฐ ข้ามีเหตุผลของข้าเอง” พี่น้องในโครินธ์ไม่ได้สนับสนุนท่านเปาโล และยังคิดดูหมิ่นท่านด้วยที่ทำงานมือ ความคิดนี้เป็นความคิดแบบกรีกชัดเจนมาก

1 โครินธ์ 9:17-18
ท่านเปาโลกำลังบอกว่า ที่ท่านประกาศ ไม่ใช่เพราะต้องการให้พี่น้องสนับสนุนท่าน เมื่อท่านทำอย่างเต็มใจ พระเจ้าจะทรงให้รางวัลแก่ท่าน หรือถ้าฝืน
ใจทำ อย่างไร ๆ งานนี้ยังเป็นความรับผิดชอบที่พระเจ้าประทานให้ท่านอยู่ดีชีวิตของท่านเปาโลไม่ได้อยู่เพื่อตัวเองต่อไปการที่ท่านทนทุกข์ ทำงานหนักเพื่อคริสตจักรท่านทำโดยไม่ได้รับปัจจัยใด ๆ จากพี่น้องโครินธ์และไม่ใช้สิทธิ์ซึ่งควรได้จากการทำงานเลย

1 โครินธ์ 9:19-20
การยอมเป็นทาสของท่านนั้น คือการยอมต่อความเชื่อที่ยังอ่อนแอของพี่น้องที่ยังไม่เข้าใจ ท่านขอให้มาระโกเข้าสุหนัตเพื่อเห็นแก่คนยิวในเมืองที่มองว่า มาระโกเป็นลูกเขาเป็นลูกครึ่งกรีก (กิจการ 16:3) ท่านทำเพราะรักพี่น้องเพื่อไม่ให้ทำให้เขาสะดุด แต่ท่านก็ไม่ทำสิ่งใดที่ผิดต่อบัญญัติของพระเจ้า ในกาลาเทีย 2:3 มีบางคนพยายามให้คริสเตียนใหม่เข้าสุหนัต เพื่อลดความสำคัญของไม้กางเขน ท่านก็ไม่ยอมให้กับความคิดนั้น และไม่ให้ทิตัสชาวกรีกเข้าสุหนัต

1 โครินธ์ 9:21
นี่ไม่ได้หมายความว่า ท่านเปาโลยอมลดมาตรฐานบัญญัติของพระเจ้า แต่ท่านสอน ใช้ชีวิตกับคนเหล่านั้น ด้วยภาษา วิธีการที่พวกเขาเข้าใจได้ คำว่าคนที่ไม่มีบัญญัตินี้ หมายถึงคนต่างชาติที่ไม่ใช่เป็นคนยิว มีความเชื่อ วัฒนธรรมที่แตกต่างหลายอย่างเช่นการกิน คนต่างชาติก็ไม่มีกฎการกินมากอย่างคนยิว ท่านเปาโลก็จะกินอาหารอย่างที่คนต่างชาติกิน เป็นต้น สำหรับท่าน ท่านยึดบัญญัติแห่งรักของพระคริสต์ ไม่ใช่บัญญัติโมเสส

1 โครินธ์ 9:22-23
คนอ่อนแอในที่นี้ หมายถึงคนที่ยังจุกจิกในบทบัญญัติ อย่างเช่นคนที่ยังมีปัญหาเรื่องว่ากินเนื้อในวิหารได้หรือไม่ ท่านเปาโลก็จะยอมไม่เอาเสรีภาพของท่านที่คิดว่า กินได้ ไปทำให้พี่น้องเหล่านี้สะดุด เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ต้องใช้ปัญญาอย่างมาก โดยเฉพาะในโลกปัจจุบันที่มีการบังคับให้ทุกคนคิดแบบเดียวกัน ถ้าไม่คิดแบบฉัน ฉันก็จะเทเธอเสียเป็นต้น เราจะทำอย่างไรกับคนที่เลือกข้างเด็ดขาด ไม่ยอมกับความคิดอื่นเลย?

1 โครินธ์ 9:24-25
ท่านเปาโลเน้นการมีวินัยในการฝึกฝนชีวิตเน้นวิสัยทัศน์ของผู้เข้าแข่งเพื่อได้รางวัล ลงแข่งเพื่อที่จะได้ชัยชนะมา ไม่ใช่แค่เพื่อเอาไว้คุยว่าเคยแข่ง
นักกีฬาทั่วไปได้เหรียญทอง ชื่อเสียง และความชื่นชมยินดีที่มีอยู่ชั่วครู่ ในช่วงเวลาที่ยังมีกำลังแข่ง แต่การแข่งในชีวิตคริสเตียนนั้นแตกต่าง
และชัยชนะที่ท่านกล่าวถึงก็ไม่ใช่รางวัลธรรมดา แต่เป็นมงกุฎที่ยั่งยืนนิรันดร์จากพระเจ้า เป็นรางวัลที่ถาวรเป็นนิรันดร์

พระคำเชื่อมโยง

1* กิจการ 9:15;
1 โครินธ์ 15:8; 3:6; 4:15
2* 2 โครินธ์ 12:12
4* 1 เธสะโลนิกา 2:6,9
5* มัทธิว 13:55; 8:14

6. กิจการ 4:36 7 2 โครินธ์ 10:4; เฉลยธรรมบัญญัติ 20:6; ยอห์น 21:15
9* เฉลยธรรมบัญญัติ 25:4
10* 2 ทิโมธี 2:6
11* โรม 15:27
12* กิจการ 18:3; 20:33; 2 โครินธ์ 11:12

13* เลวีนิติ 6:16,26; 7:6, 31
14* มัทธิว 10:10; โรม 10:15
15* กิจการ 18:3; 20:33; 2 โครินธ์ 11:10
16* โรม 1:14
17. 1 โครินธ์ 3:8, 14;9:18; กาลาเทีย 2:7 18 1 โครินธ์ 10:33