สดุดี 108 แด่พระเจ้าผู้ทรงให้เราชนะศัตรู

ภาพของคุณdimitrisvetsikas1969 จาก pixabay.com

บทเพลงสดุดีของกษัตริย์ดาวิด
1 ข้าแต่พระเจ้า จิตใจของข้าแน่วแน่
ข้าจะร้องเพลงและเล่นดนตรีอย่างสุดจิตสุดใจ
2 จงตื่นขึ้นเถิดพิณใหญ่ และพิณเขาคู่
ข้าจะปลุกอรุณรุ่ง
3 ข้าแต่พระยาห์เวห์ ข้าจะยกย่องพระองค์ท่ามกลางชนชาติต่าง ๆ
ข้าจะร้องเพลงสรรเสริญพระองค์ท่ามกลางประชาชาติทั้งปวง
4 เพราะความรักมั่นคงของพระองค์ยิ่งใหญ่
สูงเหนือฟ้าสวรรค์ ความซื่อตรงของพระองค์ สูงเทียมเมฆ
5 โอพระเจ้า ขอทรงเป็นที่ยกย่องเหนือฟ้าสวรรค์
ขอพระสิริของพระองค์แผ่ออกไปทั้งแผ่นดินโลก
6 ขอทรงให้เราได้รับชัยชนะด้วยพระหัตถ์ขวา
เพื่อให้ผู้ที่พระองค์ทรงรัก จะได้รับการช่วยให้รอด

7 พระเจ้าตรัสจากสถานนมัสการของพระองค์ว่า
“ด้วยชัยชนะ เราจะแบ่งเชเคม และแบ่งหุบเขาเมืองสุคคท
8 กิเลอาดเป็นของเรา มนัสเสห์เป็นของเรา เอฟราอิมเป็นหมวกป้องกันศีรษะของเรา ยูดาเป็นคทาของเรา
9โมอับเป็นอ่างชำระของเรา เราเหวี่ยงรองเท้าของเราลงบนเอโดม เราโห่ร้องด้วยความมีชัยเหนือฟีลิสเตีย
10 ใครจะพาข้าไปยังเมืองป้อม?ใครจะนำข้าไปยังเอโดม?
11 โอ พระเจ้า พระองค์ไม่ทรงยอมรับพวกเรา
และไม่เสด็จออกไปพร้อมกับกองทัพของเราแล้วหรือ?
12 ขอทรงช่วยเราทั้งหลายเพื่อต่อต้านศัตรูเพราะความช่วยเหลือของคนนั้นก็ไร้ค่า
13 โดยพระเจ้า เราจึงได้รับชัยชนะ
พระองค์ทรงเป็นผู้เหยียบศัตรูของเราลง

ข้อพระคำเชื่อมโยง

1* สดุดี 57:7-11, 145:21-146-2, 71;15, 104:33

2* สดุดี 103:22,81:2, 69:30, 57:8

3* สดุดี 22:22,27, 117:1; เศฟันยาห์ 3:14

4* สดุดี 36:5,103:11, 89:2; เอเฟซัส 2:4-7

5* สดุดี 57:5, 148:13; มัทธิว 6:9-10,13; อิสยาห์ 6:3

6* สดุดี 60:5-12; 2 พงศาวดาร 32:20-22; โคโลสี 3:12; เฉลยธรรมบัญญัติ 33:12

7*2 เปโตร 1:3-4; 1 เปโตร. 1:8; 1:3; อาโมส 4:2

8* ปฐมกาล 49:10; สดุดี 122:5; 2 ซามูเอล 5:5

9* ยอห์น 13:14; 13:8; อิสยาห์ 14:29-32; สดุดี 60:8-10

10* โอบาดีย์ 1:3-4; เยเรมีย์ 49:7-16; อิสยาห์ 63:1-6

11*สดุดี 44:9; 2 พงศาวดาร 13:12; 20:15; 1 ซามูเอล 17:36, 29:1-11

12*เยเรมีย์ 17:5-8; เพลงคร่ำครวญ 4:17; อิสยาห์ 2:22, 30:3-5, 31:3

13* สดุดี 118:6-13; อิสยาห์ 63:3; สดุดี 18:42, 60:12

สดุดีบทนี้ เป็นสดุดีชวนให้วางใจพระเจ้าเพราะพระสัญญาของพระองค์ ข้อความนำมาจากสดุดีบทที่ 57:7-11 และ 60:5-12 คำว่า ข้าจะปลุกอรุณรุ่ง มีความหมายเปรียบว่า เมื่อความรอดของพระเจ้าเคลื่อนเข้ามาเหมือนรุ่งอรุณ ข้าก็จะสรรเสริญพระเจ้า
สดุดี108:1-6 กษัตริย์ดาวิดสรรเสริญพระเจ้าอย่างสูง เพราะความรักมั่นคงและความซื่อตรงของพระองค์ยิ่งใหญ่สูงส่งนัก พระองค์ทรงปรารถนาที่จะให้พระเจ้าทำให้พระองค์เองเป็นที่ยกย่องเหนือฟ้าสวรรค์ และช่วยท่านให้พ้นจากความทุกข์ต่าง ๆ ชัยชนะแท้จริงในชีวิตมาจากพระเจ้าเท่านั้น

สดุดี 108:7-13 ข้อ 7-9 ทำให้เราเห็นการที่พระเจ้าทรงปราบศัตรูให้ราบคาบ กษัตริย์ดาวิดทรงทราบดีว่า
การช่วยเหลือจากคนนั้น ไร้ค่าจริง ๆ แต่หากพระเจ้าทรงทำให้ พระองค์ก็จะทรงเป็นผู้ปราบศัตรูเอง
สูตรสำเร็จของท่านคือ เมื่อพระเจ้าปราบศัตรูแล้ว เป็นการปราบที่แน่นนอน ถาวร ไม่มีใครเปลี่ยนกลับคืนได้

สดุดี 107 พระเจ้าทรงตอบในทุกสถานการณ์

ภาพวาดโดย Joseph Mallord William Turner from 1842

สรรเสริญในความดีของพระเจ้า
1จงขอบพระคุณพระยาห์เวห์เพราะพระองค์ทรงดีนัก
ความรักมั่นคงของพระองค์ดำรงนิรันดร์
2ให้บรรดาคนที่ พระยาห์เวห์ทรงไถ่กล่าวดังนั้น
คือผู้ที่ทรงไถ่จากเงื้อมมือของศัตรู
3ผู้ที่พระองค์ทรงรวบรวมมาจากแผ่นดินต่าง ๆ
จากตะวันออกและตะวันตก จากเหนือและใต้*
ภาษาฮีบรูว่าเหนือและทะเล

พระองค์ทรงช่วยกู้คนที่อยู่ในถิ่นกันดาร
4บางคนก็ระหกระเหินไปในถิ่นกันดารที่แห้งแล้ง
ไม่พบหนทางเข้าเมืองที่พวกเขาจะเข้าไปอาศัย
5 ทั้งหิวโหย และกระหาย ทั้งอ่อนล้าหมดกำลังใจ
6 ในยามยากเข็ญ พวกเขาก็ร้องเรียกหา
องค์พระยาห์เวห์ พระองค์ทรงช่วยกู้พวกเขา
ให้พ้นจากความยากลำบาก
7 พระองค์ทรงนำพวกเขาไปตามทางที่ตรงไปสู่เมืองที่จะอาศัยได้
8ให้พวกเขาขอบคุณพระยาห์เวห์เพราะพระเมตตาของพระองค์
เพราะการอัศจรรย์ที่ทรงกระทำเพื่อลูกหลานของมนุษย์
9 พระองค์ประทานน้ำดื่มอย่าง
ล้นเหลือแก่คนที่กระหายทรงทำให้คนที่หิวโหยอิ่มด้วยอาหารที่ดี

พระองค์ทรงช่วยกู้คนที่ถูกจำจอง
10 บางคนตกอยู่ในความมืด อยู่ใต้เงาความตาย เป็นนักโทษที่ถูกขังในความทุกข์ยากและติดตรวนอยู่
11 พวกเขาดื้อดึงต่อพระดำรัสและดูหมิ่นคำปรึกษาขององค์ผู้สูงสุด
12 ดังนั้น พระองค์จึงทรงทำให้ใจของพวกเขาต้องถ่อมลงเพราะงานที่หนักแสนสาหัส พวกเขาล้มลง และไม่มีใครเข้ามาช่วย
13 ในยามยากเข็ญ พวกเขาก็ร้องเรียกหาพระยาห์เวห์. พระองค์ทรงช่วยกู้พวกเขาจากความยากลำบาก
14พระองค์ทรงนำพวกเขาออกมาจากความมืดและเงาความตาย พระองค์ทรงหักโซ่ตรวนของพวกเขา
15 ให้พวกเขาขอบคุณพระยาห์เวห์เพราะพระเมตตาของพระองค์ เพราะการอัศจรรย์ที่ทรงกระทำเพื่อลูกหลานของมนุษย์
16เพราะพระองค์ทรงพังประตูทองเหลือง
และทรงตัดลูกกรงเหล็กออก

พระองค์ทรงช่วยกู้คนที่ป่วยหนัก
17 คนที่โง่ เพราะการดื้อดึงซ้ำ ๆ พวกเขาต้องทนทุกข์ต่อไปเพราะความชั่วร้ายของตนเอง
18 พวกเขารู้สึกขยะแขยงกับอาหารทุกชนิด และก้าวเข้าไปใกล้ประตูแห่งความตาย
19 ในยามยากเข็ญ พวกเขาก็ร้องเรียกหาพระยาห์เวห์. พระองค์ทรงช่วยกู้พวกเขาจากความยากลำบาก
20 เมื่อพระองค์ตรัสออกมา พวกเขาก็ได้รับการรักษาโรค และทรงช่วยพวกเขาให้พ้นจากความตาย
21ให้พวกเขาขอบพระคุณองค์พระยาห์เวห์ เพราะความรักมั่นคงของพระองค์ เพราะพระราชกิจมหัศจรรย์ที่ทรงทำเพื่อลูกหลานของมนุษย์
22 ให้เขาถวายเครื่องบูชาแห่งการขอบพระคุณ และเล่าถึงพระราชกิจต่าง ๆ ของพระองค์ ด้วยบทเพลงแห่งความยินดี

พระองค์ทรงช่วยกู้คนที่อยู่ในท้องทะเล
23 บางคนท่องทะเล ทำมาหากินตามท้องน้ำที่กว้างใหญ่
24 พวกเขาได้เห็นพระราชกิจของพระยาห์เวห์ เห็นการอัศจรรย์ของพระองค์ท่ามกลางน้ำลึก
25 เพียงพระองค์ตรัส ก็เกิดลมพายุแรงที่ทำให้คลื่นทะเลก่อตัวสูงขึ้น
26 เขาเหล่านั้นถูกโยนล่องขึ้นไปบนฟ้า ก่อนที่จะดำลงสู่ทะเลลึกจิตใจของเขาก็ฝ่อลง เมื่ออันตรายย่างกรายเข้ามา
27 เขาทั้งหลายถลาถไลไปมาราวกับคนเมาทั้งจนปัญญา ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อ
28 ในยามยากเข็ญ พวกเขาก็ร้องเรียกหาพระยาห์เวห์. พระองค์ทรงช่วยกู้พวกเขาจากความยากลำบาก 
29 พระองค์ทรงสยบพายุ และคลื่นก็สงบนิ่ง
30 พวกเขาต่างยินดีเพราะคลื่นสงบ และพระองค์ทรงนำไปยังเมืองท่าที่พวกเขาหมายตาไว้
31 ให้พวกเขาขอบพระคุณองค์พระยาห์เวห์ เพราะความรักมั่นคงของพระองค์ เพราะพระราชกิจมหัศจรรย์ที่ทรงทำเพื่อลูกหลานของมนุษย์
32 ให้พวกเขาเชิดชูพระองค์ในที่ประชุมของชาติทั้งหลาย และสรรเสริญพระองค์ในที่ประชุมของผู้อาวุโส

ทรงลงวินัยคนที่ดื้อดึง
33 พระองค์ทรงทำให้แม่น้ำกลายเป็นทะเลทราย แหล่งน้ำกลายเป็นดินที่แตกระแหง
34 ทรงทำให้ผืนดินอุดมกลายเป็นที่ร้างดินเค็ม เพราะความชั่วร้ายของคนในแผ่นดินนั้น

ทรงอวยพระพรคนที่ถ่อมตนลง
35 พระองค์ทรงเปลี่ยนที่กันดารกลายเป็นแอ่งน้ำ และเปลี่ยนแผ่นดินแตกระแหงให้กลายเป็นแหล่งน้ำ
36 พระองค์ทรงนำคนที่หิวโหยไปตั้งถิ่นฐาน และพวกเขาตั้งเมืองที่อยู่อาศัยได้
37 พวกเขาหว่านท้องนา และปลูกสวนองุ่น และเก็บเกี่ยวได้ผลมาก
38 พระองค์ทรงอวยพรพวกเขา และพวกเขาจึงทวีจำนวนลูกหลานขึ้น และไม่ทรงให้ฝูงสัตว์ลดจำนวนลงเลย

ทรงลดจำนวนคนที่เย่อหยิ่ง
39 และผู้คนของพวกเขาก็ลดจำนวนลงเพราะการกดขี่ ความทุกข์ และความเศร้าโศก
40 พระองค์ทรงทำให้ผู้นำทั้งหลายเป็นที่ดูแคลน ทรงให้พวกเขาเร่ร่อนไปในถิ่นกันดาร

บทสรุปที่ควรใคร่ครวญ
41แต่พระองค์ทรงยกคนขัดสนขึ้นมาจากความทุกข์ยากและทรงให้เขามีลูกหลานมากมายอย่างฝูงแพะแกะ
42 ผู้ใดมีปัญญาก็ให้เขาฟังสิ่งเหล่านี้ และใคร่ครวญไตร่ตรองถึงความรักอันมั่นคงของพระยาห์เวห์

พระคำเชื่อมโยง

1* สดุดี 106:1, 100:5; 1 พงศาวดาร 16:35

2* 1 เปโตร 1:18-19; ลูกา1:74; สดุดี 106:10

3* สดุดี 106:47; วิวรณ์ 5:9; เยเรมีย์ 29:14

4*เฉลยธรรมบัญญัติ 32:10; กันดารวิถี 14:33; วิวรณ์ 12:6

5* มาระโก 8:2-3; เพลงคร่ำครวญ 2:19; เยเรมีย์ 14:18

6* สดุดี 50:15,91:15; เยเรมีย์ 29:12-14; ฮีบรู 4:15-16

7* ฮีบรู 12:22, 11:9-10,16; เยเรมีย์ 33:10-13

8* สดุดี 107:31, 147:1; ดาเนียล 6:27

9* มัทธิว 5:6; เยเรมีย์ 31:25; สดุดี 34:10; ลูกา 1:53

10* ลูกา 1:79; มัทธิว 4:16; อิสยาห์ 42:7; โรม 6:20-21

11* สุภาษิต 1:25; สดุดี 106:43; โรม 1:28

12* สดุดี 22:11; ลูกา 15:14-17; อพยพ 5:18-19; 2:23

13* อิสยาห์ 42:16; สดุดี 116:16; 1 เปโตร 2:9; เศคาริยาห์ 9:11-12

14*อิสยาห์ 42:16; สดุดี 116:6; 1 เปโตร 2:9; เศคาริยาห์ 9:11-12

15* สดุดี 107:31,21,8

16* อิสยาห์ 45:1-2; มีคาห์ 2:13; ผู้วินิจฉัย 16:3

17* เพลงคร่ำครวญ 3:39; สุภาษิต 1:22; เยเรมีย์ 2:19; อิสยาห์ 65:6-7

18* สดุดี 88:3; 9:13; โยบ 33:19-22; อิสยาห์ 38:10

19* เยเรมีย์ 33:3; สดุดี 116:4-8, 107:13

20* มัทธิว 8:8; สดุดี 147:15,103:3-4

21* ลูกา 17:18; สดุดี 107:31,15;66:5

22* สดุดี 118:17, 50:14,9:11, 116:17

23* วิวรณ์ 18:17

24*สดุดี 104:24-27, 95:5

25* โยนาห์ 1:4; สดุดี 148:8, 93:3

26* สดุดี 22:14,119:28, นาฮูม 2:10

27* โยบ 12:25; อิสยาห์ 29:9, 19:14

28* สดุดี 107:6,13,19; กิจการ 27:23-25

29* สดุดี 65:7; มัทธิว 8:26; ลูกา 8:23-25

30* ยอห์น 6:21

31* สดุดี 107: 8, 15,21, 103:2

32* สดุดี 22:22,25,99:5; อิสยาห์ 25:1

33* อิสยาห์ 50:2, 42:15; เศฟันยาห์ 2:13

34* ปฐมกาล 14:3, 13:10; เอเสเคียล 47:11

35* สดุดี 114:8; อิสยาห์ 41:17-19; 35:6-7

36* สดุดี 107:7; ลูกา 1:53; กิจการ 17:26

37* 1 โครินธ์ 3:7; เยเรมีย์ 29:5; 2 โครินธ์ 9:10

38*อพยพ 1:7; ปฐมกาล 17:20, 12:2, สดุดี 144:13-14

39* 2 พงศ์กษัตริย์ 10:32; อพยพ 2:23-24; เยเรมีย์ 51:33-34

40* โยบ 12:24; 12:21; ดาเนียล 4:33; อิสยาห์ 23:8-9

41* โยบ 21:11; 1 ซามูเอล 2:8; อิสยาห์ 49:20-22

42* สดุดี 63:11; โยบ 22:19; โรม 3:19

สดุดีบทที่ 107 ได้ชวนให้เราคิดถึงความรักมั่นคงของพระเจ้าที่ทรงมีต่อคนที่ร้องหาพระองค์ในบทนี้ พระเจ้าทรงช่วยใครบ้างหรือ? ใช่แล้ว เราก็เคยอยู่ในสภาพที่คล้ายคลึงกัน และเราทูลขอได้เหมือนอย่างพวกเขาเลย ไม่ได้ต่างอะไร

1 คนที่เร่ร่อน หิวโหยอยู่ในถิ่นกันดาร
2 คนที่ ถูกจำจอง
3 คนที่ป่วยหนัก
4 คนที่ทำงานในท้องทะเล

แม้ว่าพวกเขาเคยดื้อดึง กบฎต่อพระองค์ ในบทนี้ ได้เล่าถึงผู้คนในสถานการณ์ต่างๆ ที่เราเองก็ต้องเผชิญเช่นกัน เป็นข้อเขียนที่ช่วยให้เราได้มองเห็นตัวเอง และรู้ว่าในยามยากเข็ญ ต้องทบทวนตัวเอง ต้องร้องเรียกหาพระเจ้า เพราะพระองค์ทรงซื่อตรงที่จะช่วยเหลือคนของพระองค์อย่างแน่นอน

กาลาเทีย 3 ผู้เชื่อ กับกฎบัญญัติและความเชื่อ

หลักการที่ช่วยให้ดำเนินต่อไปในความเชื่อ

ชาวกาลาเทียผู้โง่เขลา! ท่านได้เห็นพระเยซูคริสต์ถูกตรึงบนไม้กางเขนต่อหน้าต่อตา แล้วใครมาทำให้หลงไปได้?
สิ่งเดียวที่ข้าต้องการถามคือ ท่านรับพระวิญญาณบริสุทธิ์ด้วยการพยายามทำตามบทบัญญัติ หรือด้วยการเชื่อข่าวประเสริฐที่ท่านได้ยิน?
กาลาเทีย 3:1-2

กาลาเทีย 5:7-8, วิวรณ์ 2:20;
2 โครินธ์ 11:3;
โรม 10:16-17; กิจการ 15:8

ภาษาที่ท่านเปาโลใช้ตอนนี้ ทำให้เราเห็นถึงความอึดอัดใจ มีท่านหนึ่งแปลความหมายตรงนี้ว่าคนที่คิดได้แต่กลับไม่ได้ใช้ความคิด ใครมาทำให้หลง..มีความหมายว่าพวกเขามีความคิดสับสนไม่ตรงกับพระคัมภีร์จนเหมือนกับใครมาเสกทีเดียว
คำถามของท่านทำให้เราเห็นว่า เมื่อคน ๆ หนึ่งมาพบพระเจ้าแล้วพระวิญญาณของพระเจ้าจะประทับในตัวเขาแน่นอน แต่ต้องเป็นผลจากการที่เขาเชื่อข่าวประเสริฐของพระเจ้า ไม่ใช่การทำดีของเขาเอง

พวกท่านโง่เขลาหรือ?
ท่านได้เริ่มต้นด้วยพระวิญญาณ
ตอนนี้ท่านพยายามจบด้วยความพยายามของมนุษย์หรือ? พวกท่านได้รับประสบการณ์ที่เจ็บปวดมาโดยไร้ประโยชน์อย่างนั้นหรือ? .. ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ไร้ประโยชน์จริง ๆ นั่นแหละ
กาลาเทีย 3:3-4

กาลาเทีย 5:4-8, 6:12-14; ฮีบรู 7:16-19;
2 ยอห์น 1:8; ฮีบรู 10:32-39; 1 โครินธ์ 15:2

กว่าจะมาเชื่อพระเจ้า ก็เจ็บปวดมามาก โดนคนยิวข่มเหงคริสตจักร เคยโดนคนอย่างเปาโลที่เคร่งครัดบทบัญญัติข่มขู่มาโดยตลอด
พวกเขาเริ่มต้นด้วยความเชื่อในพระเจ้า และ
ยืนหยัดกับความเชื่อนั้น แต่แล้ว ตอนนี้กลับ
ตกหลุมพรางของคำสอนผิด นี่เป็นตัวอย่างว่าเราอาจเริ่มต้นถูกแล้วจบลงผิด ๆ
ก็เป็นได้ การใช้ชีวิตคริสเตียนจึงต้องระวัง…

ตัวอย่างแห่งความเชื่อ : อับราฮัม

พระเจ้าผู้ประทานพระวิญญาณและราชกิจอัศจรรย์ท่ามกลางท่าน ทรงทำไปเพราะท่านทำตามบัญญัติหรือเป็นเพราะท่านเชื่อในข่าวประเสริฐ? เหมือนอย่างที่อับราฮัมเชื่อพระเจ้าและเขาจึงถูกนับว่าเป็นคนเที่ยงธรรม
กาลาเทีย 3:5-6

กาลาเทีย 3:5; 1โครินธ์1:4-5; กิจการ 19:11-12
ปฐมกาล 15:6; โรม 4:21-22; ยากอบ 2:23

เราได้รับพระวิญญาณของพระเจ้าเป็นมัดจำ
เราได้รับการอัศจรรย์พลิกชีวิตเดิมเป็นชีวิตใหม่ไม่ใช่เพราะกำลังของเราเอง แต่กลับได้รับพระคุณจากพระเจ้า เพราะเราเชื่อตามที่พระเจ้าตรัสให้เชื่อทำไมท่านเปาโลพูดเรื่องนี้ ซ้ำ ๆ ชัด ๆกลับมาพูดแล้วพูดอีก ไม่ไปเรื่องอื่น
เพราะว่า คนทั้งหลายไม่ยอมเข้าใจว่า พวกเขา
รับพระคุณของพระเจ้าเพราะความเชื่อ
ยังดื้อรั้นที่จะคิดว่าเป็นคนรักษาศีลจึงจะรอด

ดังนั้นขอให้เข้าใจว่า คนที่เชื่อต่างเป็นลูกหลานของอับราฮัม พระคัมภีร์รู้ล่วงหน้าว่า พระเจ้าจะทรงนับคนต่างชาติเป็นคนเที่ยงธรรมเพราะเขา “เชื่อ” จึงได้ประกาศข่าวประเสริฐแก่อับราฮัมล่วงหน้าว่า “ชาติทั้งหลายจะได้รับพรเพราะเจ้า”ดังนั้นทุกคนที่เชื่อก็ได้รับพระพรร่วมไป
กับอับราฮัมผู้ที่เชื่อพระเจ้า
กาลาเทีย 3:7-9

กาลาเทีย 3:26-29; ลูกา 19:9, โรม 3:30; 9:7-8; 4:24; ปฐมกาล 12:3; 22:18;28:14; กาลาเทีย 4:28

พระเจ้าทรงให้กำลังใจกับผู้เชื่อที่เป็นคนต่างชาติซึ่งคนยิวมักจะเหยียดว่าเป็นคนที่ต่ำต้อยกว่าตน. ไม่ว่าจะเป็นยิว หรือจะเป็นคนต่างชาติก็ตามพวกเขาได้รับสิทธิเป็นคนเที่ยงธรรมในพระเจ้าเพราะเขาเชื่อโดยไม่ต้องทำตามบทบัญญัติของยิว แต่เขาต้องเชื่อว่า การสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์นั้น คือการรับโทษบาปแทนเขาแล้ว เขาไม่ต้องเพิ่มอะไรเพื่อจะไปหาพระเจ้าเลย

กฎบัญญัติกับพันธสัญญาเก่า-ใหม่

เพราะทุกคนที่พึ่งพา ในการทำตามบัญญัติ ต่างก็ถูกสาป
เพราะมีคำเขียนไว้ว่า
“ทุกคนที่ไม่ประพฤติตามข้อความทุกคำที่เขียนไว้ในหนังสือบัญญัติจะต้องถูกสาปแช่ง”
กาลาเทีย 3:10

เฉลยธรรมบัญญัติ 27:26; โรม 8:7, 3:19-20; 6:23

แค่บัญญัติสิบประการที่โมเสสได้รับมาจาก
พระเจ้าเมื่อนานมาแล้ว ก็ไม่มีใครสักคนรักษา
ตามคำบัญชาในนั้นได้ครบ พระเจ้าทรงให้เราเห็นว่าบัญญัตินั้นมีไว้ให้เรารู้ว่า เราคือคนที่ละเมิดเสมอ ไม่ว่าจะพยายามอย่างไรก็ตาม
การพึ่งพาบัญญัติโดยไม่พึ่งพระคุณของพระเจ้าโดยไม่พึ่งพระคุณผ่านการสิ้นพระชนม์แทนบาปของเราจึงเป็นการโง่เขลาอย่างยิ่ง เพราะไม่มีทางรอดผ่านบัญญัติได้เลย

ตอนนี้ ชัดเจนว่า ไม่มีใครถูกนับว่าเป็นคนเที่ยงธรรมต่อพระพักตร์พระเจ้าโดยอ้างความดีตามบัญญัติได้เลย เพราะ
ผู้เที่ยงธรรมจะมีชีวิตอยู่โดยความเชื่อแต่บัญญัตินั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับความเชื่อ (คนที่ตามบัญญัติต้องทำตามบัญญัติ) เพราะคนที่ทำตามบัญญัติก็จะมีชีวิตโดยบัญญัตินั้น
กาลาเทีย 3:11-12

ฮาบากุก 2:4; โรม 1:17; ฮีบรู 10:38;
เลวีนิติ 18:5; โรม 10:5-6; เนหะมีย์ 9:29

ท่านเปาโลย้ำแล้วย้ำอีกว่าเราจะรอดได้ก็โดยเชื่อพระเยซูเท่านั้น การถือศีลหรือทำตามบัญญัติอย่างเคร่งครัดก็ไม่ได้ช่วยให้ใครรอดได้เลยคนใดคิดว่าทำตามบัญญัติแล้วจะได้รับความพอใจจากพระเจ้านั้น คิดผิด เพราะพระเยซูได้ตรัสชัดเจนว่า ผู้ใดที่วางใจในพระบุตรจะมีชีวิตนิรันดร์ แม้กระทั่งในยุคนี้ ก็ยังมีคนเชื่อว่าความดีของเขาจะชนะพระทัยพระเจ้าได้ ….

พระคริสต์ได้ทรงไถ่เราจากคำสาปแช่งของบัญญัติ โดยที่พระองค์ทรงรับคำสาปแช่งเพื่อเรา เพราะพระคัมภีร์เขียนไว้ชัดว่า “คำสาปแช่งมีแก่คนที่ถูกแขวนบนต้นไม้”
กาลาเทีย 3:13

1 เปโตร 2:24,1:18-21; เฉลยธรรมบัญญัติ 21:23; ฮีบรู 9:15

คนเราไม่อาจทำตามบัญญัติอย่างครบถ้วนได้ดังนั้นเราจึงตกต้องรับโทษเพราะละเมิดบัญญัติแต่แล้ว พระเยซูกลับทรงมารับโทษ รับการแช่งสาปแทน นี่คือการไถ่บาปของพระเจ้า ทรงจ่ายค่าโทษแห่งบาปแล้วด้วยพระโลหิตของพระเยซูทรงซื้อเราออกมาจากคำแช่งสาปหรือการลงโทษสิ่งที่ชัดเจนคือ พระเยซูทรงถูกแขวนไว้บนไม้กางเขนรับโทษจากพระเจ้าแทนคนทุกคนที่เชื่อในพระองค์ทรงรับความอับอายไว้ที่พระองค์เอง

เพื่อว่าพระพรของอับราฮัมจะมาสู่คนต่างชาติ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ เพื่อว่าเมื่อเราเชื่อ เราจะได้รับพระวิญญาณที่ทรงสัญญาไว้
กาลาเทีย 3:14

กาลาเทีย 3:2, 3:28-29; เอเฟซัส 2:18; 1 โครินธ์ 12:3; กิจการ 2:33

นอกจากพระองค์จะไถ่เรา ซื้อเราให้พ้นโทษบาปแล้วไม่พอ พระเยซูยังทรงให้พระพรอับราฮัมแก่เราทุกคนที่ไม่ใช่ยิวที่เชื่อพระนามพระเยซูด้วย เราได้รับพระพรแห่งชีวิตนิรันดร์ และพระพรแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพราะเขาเชื่อ
หลายคนสงสัยว่า ทำไมพระเจ้าจึงทรงต้อนรับ
แม้กระทั่งคนที่ทำผิดบาปมหันต์ คนดีแสนดีที่แต่ไม่ทำตามเงื่อนไขของพระองค์ก็ไม่มีสิทธิได้รับพระพรที่กล่าวมา พระเจ้าทรงประสงค์การไว้วางใจในพระองค์ ไม่ใช่การไว้วางใจในความดีของตนเอง

ขอให้ข้าอธิบายให้ฟังจากชีวิตประจำวันเมื่อคำสัญญาถูกทำขึ้น
และมีการตกลงกันแล้วทั้งสองฝ่ายแม้ว่าจะเป็นเพียงสัญญาของมนุษย์ก็จะไม่มีใครมีสิทธิล้มเลิกหรือเพิ่มเติมสิ่งใดลงไป
กาลาเทีย 3:15

ฮีบรู 9:17; โรม 6:19

ตรงไปตรงมา เมื่อสัญญาแล้วก็ต้องทำตาม
นั้น หากใครพลิกคำสัญญาเท่ากับคน ๆ นั้น เป็นคนทำผิดสัญญา ไม่มีการมาเปลี่ยนสัญญานอกจากมาตกลงกันใหม่ทั้งสองฝ่าย ฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่งทำผิดสัญญาไม่ได้ แล้วเราลองนึกถึงพระสัญญาที่พระเจ้าทรงทำกับมนุษย์ ไม่มีวันที่พระองค์จะเลิกสัญญา หรือเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา

คำว่า “พระสัญญาที่ทำกับอับราฮัมและแก่ผู้สืบเชื้อสาย”นั้น ไม่ได้พูดถึงผู้สืบเชื้อสายหลาย ๆ คน แต่หมายถึงผู้สืบเชื้อสายผู้นั้น ซึ่งก็หมายถึงพระคริสต์
กาลาเทีย 3:16

โรม 4:13; กาลาเทีย 3:27-29; ลูกา 1:55; ปฐมกาล 17:7-8

พระสัญญาที่พระเจ้าทรงทำกับอับราฮัมจะต้องสำเร็จตามที่พระองค์ทรงสัญญาไว้
จากปฐมกาล 13:15
“เราจะให้แผ่นดินที่เจ้ามองเห็นแก่เจ้าและแก่ผู้สืบเชื้อสายของเจ้าไปตลอดกาล” (NTV) คำว่า ผู้สืบเชื้อสาย เป็นคำที่มีความหมายถึงทั้งผู้เดียว หรือกลุ่มเดียว ท่านเปาโลได้อธิบายว่า ผู้สืบเชื้อสายที่พระเจ้าทรงหมายถึงนั้น คือ องค์ผู้สืบเชื้อสาย นั่นคือพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้าที่มีสายเลือดของอับราฮัมด้วย (Constable’s Notes ​)

ที่ข้าพูดคือ
บทบัญญัติที่เกิดขึ้น 430 ปี หลังจากนั้น ไม่ได้ยกเลิกพระสัญญาที่พระเจ้าทรงทำไว้ 
กาลาเทีย 3:17

ฮีบรู 11:39-40; 6:13-18; โรม 4:13-14; ปฐมกาล 15:13

หลังจากที่พระเจ้าทรงทำสัญญากับอับราฮัม
ว่า เขาจะเป็นผู้ให้คนทั้งโลกได้รับพระพรผ่าน
องค์พระเมสสิยาห์ซึ่งมีเชื้อสายของเขาอยู่
พระองค์ก็ได้ประทานบทบัญญัติแก่โมเสสหลังจากอิสราเอลออกมาจากอียิปต์ที่อยู่ยาวนาน
มาถึง 430 ปีท่านเปาโลกกล่าวว่า บทบัญญัตินี้ ไม่ใช่เกิดขึ้นเพื่อจะลบล้างคำสัญญา
แต่.. บทบัญญัตินี้มีหน้าที่ของมันเองที่สำคัญ
เราจะดูกันต่อไป

เพราะหากว่าได้รับมรดกเพราะบัญญัติก็เท่ากับไม่ได้รับมรดกตามพระสัญญาของพระเจ้าอีกต่อไป แต่พระเจ้าทรงพระคุณที่จะประทานมรดกแก่อับราฮัม ผ่านพระสัญญา
กาลาเทีย 3:18

กาลาเทีย 2:21; โรม 4:13-16,8:17; ฮีบรู 6:12-15; ลูกา 1:72-73

เหมือนจะเข้าใจยาก แต่ไม่ยากนัก
ข้อนี้บอกเราว่า คนเราจะได้รับมรดกของพระเจ้า(ชีวิตนิรันดร์) ไม่ใช่เพราะทำตามบัญญัติแต่เขาได้รับมรดกเพราะมีผู้อนุญาตให้เขาได้รับมรดกนั้น เจ้ามรดกเท่านั้นที่มีสิทธิจะให้หรือไม่ให้ การรับมรดกไม่ใช่เป็นการไปแย่งชิงมาแข่งขันเอามา หรือ หามาได้เอง แต่ผู้ให้มรดกเป็นคนกำหนดผู้รับ

แล้วทำไมจึงต้องมีบทบัญญัติเล่า? ที่มีก็เพราะการล่วงละเมิดของมนุษย์จนกว่าผู้สืบเชื้อสายที่พระเจ้าสัญญาไว้จะมาถึง และบัญญัตินั้นมีทูตสวรรค์เป็นผู้ส่งต่อโดยมีคนกลาง การมีคนกลางนั้น หมายถึงมีหลายฝ่าย แต่พระเจ้าทรงเป็นฝ่ายเดียว
กาลาเทีย 3:19-20

กิจการ 7:53;โรม 7:7-13; ฮีบรู 2:2; กาลาเทีย 3:16
1 ทิโมธี 2:5; เฉลยธรรมบัญญัติ 6:4; ฮีบรู 9:15

จุดประสงค์ของบัญญัติในครั้งแรกนั้นก็เพื่อ
มนุษย์จะรู้ว่า พวกเขาเป็นคนมีบาปจริง
รู้ว่า พวกเขาช่วยให้ตัวเองรอดพ้นบาปไม่ได้
รู้ว่าตนไม่อาจทำตามบัญญัติครบถ้วนได้ จนกว่าพระเยซูซึ่งเป็นผู้สืบเชื้อสายนั้นจะมา ฮีบรู 2:2 บอกว่า การล่วงละเมิดกับการไม่เชื่อฟังทุกอย่างจะรับการตอบสนองอย่างยุติธรรมซึ่งน่ากลัวมาก พระเจ้าทรงให้พระสัญญามาเพื่อเราจะไม่ต้องรับการตอบสนองที่ยุติธรรมนั้น

ดังนั้น บัญญัติต่อต้านพระสัญญาของพระเจ้าอย่างนั้นหรือ ? ไม่ใช่เช่นนั้น เพราะว่าหากมีการประทานบัญญัติที่สามารถให้ชีวิตได้ แล้วละก็ ความเที่ยงธรรมก็จะเกิดขึ้นได้เพราะคนทำตามบัญญัติ
กาลาเทีย 3:21

กาลาเทีย 2:19,21 โรม 9:31; 3:20-22

ตามพระประสงค์ของพระเจ้าแล้ว บัญญัติที่ประทานมาทีหลัง ไม่ได้ฝืนพระสัญญา ไม่ได้ต่อสู้กัน แต่มนุษย์ต่างหากที่ทำให้สับสน
พระเจ้าไม่ทรงประสงค์ให้บัญญัติช่วยให้มนุษย์พ้นบาป แต่บัญญัติช่วยให้มนุษย์รู้ว่าตนมีบาปที่ทำให้ตนเองไม่ได้รับชีวิตนิรันดร์
พระสัญญาของพระเจ้าทำให้เรามีความหวังว่า
พระเจ้าจะทรงช่วยเราด้วยพระองค์เอง
เพราะเราช่วยตนเองให้ไร้บาปไม่ได้

แต่พระคัมภีร์กล่าวว่า คนทั้งโลกถูกจองจำภายใต้บัญญัติ ดังนั้น พระสัญญาจึงมีเพื่อบรรดาคนที่เชื่อพระเยซูคริสต์
กาลาเทีย 3:22

โรม 11:32; ฮีบรู 9:15; กาลาเทีย3:23; ยอห์น 11:25-26

ทั้งโลกถูกบัญญัติของพระเจ้าคุมเอาไว้ ให้พวกเขารู้ว่า เขาผิดอย่างไรบ้าง ถ้าไม่มีบัญญัติ ก็เท่ากับไม่มีมาตรฐาน ที่จะทำให้มนุษย์รู้ว่า ขอบเขตความดี ความชั่วอยู่ตรงไหน และเขาจะถูกลงโทษอย่างไร ถ้าไม่มีพระสัญญา มนุษย์ก็ไร้ความหวังที่จะได้
รับชีวิตนิรันดร์ เพราะพระสัญญานั้น หมายถึง
ว่าจะมีผู้มารับโทษแทนมนุษย์ทุกคนที่เชื่อพระเยซู

ก่อนที่ความเชื่อจะมาถึง เราถูกจองจำอยู่ใต้บัญญัติ จนกว่าความเชื่อจะปรากฏดังนั้น บัญญัติจึงควบคุมความประพฤติจนกว่าพระคริสต์จะมา เพื่อเราจะได้รับการประกาศว่าพ้นความผิดแล้วเพราะเราเชื่อ และขณะนี้ความเชื่อมาถึง เราจึง
ไม่ต้องอยู่ใต้อำนาจผู้ควบคุมต่อไป
กาลาเทีย 3:23-25 

กาลาเทีย 5:18, 3:24-25; โรม 6:14-15; โรม 10:4; กาลาเทีย 2:16; กิจการ 13:38-39; ฮีบรู 10:15-18; โรม 7:4

จนกว่าความเชื่อของเราจะมาถึง หมายถึง จน
กว่าพระเยซูคริสต์จะเสด็จมา เราจึงจะได้รับการช่วยเหลือให้รอดจากคุกนั้น โดยเราเชื่อพระเยซูตามเงื่อนไขของพระสัญญา
กฎบัญญัติ ได้วางข้อบังคับ กฎเกณฑ์ ข้อห้าม
ข้อควรทำให้กับคนเรา แต่กฎบัญญัติไม่ได้ให้พลังที่จะเอาชนะการล่อลวงให้ทำชั่ว เราจึงต้องพึ่งพระสัญญาให้พระเยซูทรงจัดการโทษบาปเพื่อเรา

เพราะเมื่อเราเชื่อในพระเยซู
คริสต์ เราก็ได้มาเป็นบุตรของพระเจ้าเพราะทุกคนในพวกท่านที่รับบัพติศมาเข้าสู่พระคริสต์แล้ว ก็เท่ากับได้สวม
พระคริสต์ในชีวิตของท่าน
กาลาเทีย 3:26-27

2โครินธ์ 6:18; เอเฟซัส 1:5; ยอห์น 1:12-13; โรม 13:14; 1 โครินธ์ 12:13; 1 เปโตร 3:21

คนที่บัพติศมาเข้าสู่พระคริสต์ คือ คนที่รับเชื่อในพระสัญญาของพระเจ้าที่ตรัสไว้กับอับราฮัม
เชื่อในเชื้อสายผู้นั้น คือองค์พระเยซูคริสต์
การสวมชีวิตของพระคริสต์ เป็นสิ่งที่ทำให้เรา
แตกต่างจากความเชื่อในศาสนาใด ๆ ซึ่งพึ่งพาทำตามกฎเกณฑ์ ทำตามบัญญัติของศาสนาและก็มีความทุกข์ใจเสมอเพราะทำผิดประจำเราผู้เชื่อกลับได้สวมพระคริสต์ไว้ พระคริสต์ทรงมีชีวิตในเรา พระเจ้าประทับในใจ ในความคิดในชีวิตประจำวัน ใครจะได้อย่างนี้บ้าง?

จึงไม่มียิวหรือกรีก ไม่มีทาสหรือไท ไม่มีชายหรือหญิง เพราะทุกคนเป็นหนึ่งเดียวในพระเยซูคริสต์
และหากท่านเป็นของพระคริสต์ก็เท่ากับท่านเป็นลูกหลานแท้
ของอับราฮัม เป็นผู้รับมรดกตามพระสัญญา
กาลาเทีย 3:28-29

1 โครินธ์ 12:12-13; โคโลสี 3:11; โรม 3:29-30; กาลาเทีย 5:6,4:22-31; เอเฟซัส 3:6; โรม 9:7-8

สุดยอด นี่คือความจริงของพระเจ้า มนุษย์เรา แม้จะมีความแตกต่างเรื่องเชื้อชาติ สถานะ เพศและอายุแต่หากเขาเป็นคนของพระเจ้า เขาก็คือลูกหลานแท้ของอับราฮัม เป็นหนึ่งเดียว เป็นลูกของพระบิดาเดียว ปัญหาในโลกที่เราพบในวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นการเหยียดผิว เหยียดเชื้อชาติ เป็นปัญหาที่รุนแรงขึ้น ไม่ได้ลดลงเลย แต่พระประสงค์ของพระเจ้าคือ ทุกคนเป็นหนึ่งเดียวในพระเยซูคริสต์


กาลาเทีย 2 ปกป้องความจริงเรื่องพระคุณ

ท่านเปาโลกล่าวถึงการที่พระเยซูทรงเปิดเผยพระกิตติคุณแก่ท่าน

จากนั้น สิบสี่ปีต่อมา ข้าขึ้นไปเยรูซาเล็มอีกครั้ง พร้อมกับ
บารนาบัส และพาทิตัสไปด้วย ข้าไปเพราะพระเจ้าทรงสำแดงและได้แจ้งพวกเขาว่าข้าได้ประกาศข่าวประเสริฐอย่างไรแก่คนต่างชาติ
กาลาเทีย 2:1-2ก

ทิตัส 1:4; กาลาเทีย1:18, 2:13;
กิจการ 15:25, 36-39

อีกสิบสี่ปีท่านเปาโลขึ้นไปเยรูซาเล็มพร้อมกับเพื่อนร่วมงานอีกสองท่าน บารนาบัสเป็นผู้ช่วยที่ไปไหนมาไหนกับท่านเสมอ ส่วนทิตัสเป็นผู้เชื่อชาวกรีก พระเจ้าได้ทรงบอกให้เปาโลไปพบกับผู้นำทั้งหลายที่อยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม เพื่อว่าท่านจะได้ไปรายงานว่าท่านได้ประกาศพระนามพระเยซูกับชาวต่างชาติอย่างไร นี่เป็นภาพแสดงให้เห็นถึงการเคารพต่อพี่น้องที่ทำงานมาก่อน ช่วงนี้มีเรื่องหนึ่งที่รบกวนความเชื่อ นั่นคือ มีคนอยากให้ผู้เชื่อต่างชาติเข้าสุหนัตเหมือนคนยิ

แต่ได้บอกคนที่เป็นผู้นำเป็นการส่วนตัวเท่านั้นเพื่อให้มั่นใจว่า ข้าไม่ได้กำลังวิ่งหรือได้วิ่งมาแล้วโดยไร้ประโยชน์ แต่ถึงอย่างนั้น ทิตัสที่อยู่กับข้าก็ไม่ได้ถูกบังคับให้เข้าสุหนัต แม้ว่าเขาจะเป็นคนกรีก
กาลาเทีย 2:2ข-3

กาลาเทีย 2:6; ฟีลิปปี 2:16; 1 เธสะโลนิกา 3:5; 1 โครินธ์ 9:26

ท่านเปาโลรายงานเรื่องการประกาศ คริสตจักรกับเฉพาะผู้นำที่สำคัญเพราะมียิวไม่น้อยที่ความเห็นของตนเองนั้นสำคัญยิ่งกว่าข่าวประเสริฐในหมู่พวกเขามีครูสอนผิดแทรกอยู่ด้วยและพวกนี้ทำให้เรื่องต่าง ๆ ที่ถูกกลายเป็นผิดได้. ถ้าพวกเขาอย่างจะชูประเด็นขึ้นมา
อย่างเช่นเรื่องการให้คนต่างชาติเข้าสุหนัตก็เป็นประเด็นร้อนของยิวคริสเตียนบางคน ท่านจึงพูดถึงทิตัสด้วยว่าท่านไม่ได้บังคับให้เขาเข้าสุหนัต

แต่แล้วเรื่องนี้กลับกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาเพราะพี่น้องปลอมที่แทรกตัวเข้ามาเสแสร้งอยู่ในหมู่พวกเรา เพื่อสอดส่อง
เสรีภาพที่เรามีในพระเยซูคริสต์
เพื่อจะบังคับให้เรากลับไปเป็นทาสอีก
กาลาเทีย 2:4

กิจการ 16:3; กาลาเทีย 5:2-6; 1 โครินธ์ 9:20-21

จริงด้วย มีคนที่แทรกเข้ามา ปลอมตัวเป็นผู้เชื่อเป็นพี่น้องในคริสตจักร แต่แล้วก็พยายามให้ชาวต่างชาติที่เชื่อใหม่ ทำตามแบบยิว ไม่ว่าจะเป็นการเข้าสุหนัต การกินของสะอาด การรักษาวันสะบาโตเหมือนกับคนในศาสนายิวเรื่องนี้ ท่านเปาโลมองเห็นทะลุปรุโปร่ง นั่นคือ คนเหล่านี้ไม่ยอมรับการไถ่บาปของพระเยซู การเชื่อในพระนามของพระองค์ว่า เป็นความรอด แต่พวกเขาคิดว่าจะต้องทำความดีทำตามกฏประเพณีดั้งเดิม เพื่อให้รอดนี่คือการกลับไปเป็นทาส!

แต่เราจะไม่ยอมตามพวกเขา
แม้แต่ขณะเดียว
เพื่อว่าความจริงแห่งข่าวประเสริฐ
จะได้คงอยู่กับท่าน
กาลาเทีย 2:5

ยูดา 1:4; กาลาเทีย 5:1, 12-13; 4:9-10; 2 โครินธ์ 11:26

แต่เราจะไม่ตามคนที่คิดเบี่ยงเบนไปจากข่าว
ประเสริฐของพระเยซูที่ตรัสด้วยพระองค์เองว่า
“เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ
แต่มีชีวิตนิรันดร์” นี่เป็นเงื่อนไขของการได้
รับชีวิตนิรันดร์จากพระเจ้า ไม่ใช่การเข้าสุหนัต
หรือทำตามกฎของศาสนายิวต่าง ๆ ที่
พยายามทำให้คนเชื่อว่าต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้จึงจะได้รับความรอด

แต่สำหรับคนที่เป็นผู้นำ (ไม่ว่าพวกเขาจะมีตำแหน่งอะไรก็ไม่สำคัญสำหรับข้าพระเจ้าไม่ทรงโปรดปรานใครเป็นพิเศษ
อยู่แล้ว) ผู้นำเหล่านั้น ไม่ได้เพิ่มเติมสิ่งที่ข้ากล่าวไว้
กาลาเทีย 2:6

กาลาเทีย 2:14, 4:16; โคโลสี 2:4-8, 1:5

แน่นอนว่าในทุกสังคม มีความรู้สึกเกรงใจผู้นำและจะต้องคิดตามเขา ติดตามเขา ยิ่งในสังคมสมัยใหม่ที่ว่าคนเป็นตัวของตัวเอง กลับกลายเป็นคนต้องการผู้นำที่พวกเขาจะตามได้ ต้องการกลุ่มต้องเป็นพวกกัน ไม่งั้นโดนเท
สำหรับพระเจ้าแล้ว ไม่ทรงเห็นแก่หน้าใคร
ท่านเปาโลก็เช่นกัน ถ้าคนใดทำผิดไปจากหลักการแท้จริงแล้ว ท่านจะสู้ให้เห็น และกล้าเผชิญหน้าไม่มีคำว่า กลัว หรือเกรงใจ เลย

ตรงกันข้าม เมื่อพวกเขาเห็นว่า ข้าได้ฝากข่าวประเสริฐให้กับคนที่ไม่ได้เข้าสุหนัตเหมือนที่เปโตรได้มอบภาระการประกาศ
ข่าวประเสริฐให้กับผู้ที่เข้าสุหนัต เพราะพระองค์ผู้ทรงตั้งให้
เปโตรเป็นอัครทูตนำข่าวประเสริฐไปสู่คนยิว พระองค์ก็ทรงตั้งให้ข้าเป็นอัครทูตไปยังคนต่างชาติเช่นกัน
กาลาเทีย 2:7-8

กาลาเทีย 2:2; กิจการ 10:34; 2 โครินธ์ 12:11 ; กาลาเทีย 6:3; 1 เธสะโลนิกา 2:4; กิจการ 9:15; 1 ทิโมธี 2:7; กิจการ 19:10-11; 9:15; 2 โครินธ์ 11:4-5

มีความชัดเจนในตัวท่านเปาโลว่า ท่านได้รับ
พระบัญชาจากพระเจ้าให้ไปหาคนต่างชาติ ในขณะที่ท่านเปโตรนั้นก็เหมาะกับคนยิว คนที่มีกฎเกณฑ์มาก ๆ น่าสนใจที่พระเจ้าก็ทรงบอกเปโตรหลาย ๆ ครั้งเรื่องการที่พระเจ้าทรงรักคนต่างชาติเช่นเดียวกัน อย่างเช่นเรื่องของนายร้อยโครเนลิอัสเป็นต้น

และเมื่อยากอบ เคฟาสและยอห์น ที่มีชื่อเป็นเสาหลัก ได้ตระหนักถึงพระคุณที่พระเจ้าประทานให้ ก็ได้จับมือขวาของข้ากับบารนาบัส ตกลงว่า เราจะไปหาคนต่างชาติ ส่วนพวกเขาจะไปหาคนยิว พวกเขาขอร้องเพียงว่า เราจะไม่ลืมคนจนซึ่งเป็นสิ่งที่ข้าใส่ใจอยู่แล้ว
กาลาเทีย 2:9-10

โรม 12:3; วิวรณ์ 3:12; กาลาเทีย 2:2; กิจการ 24:17; 1 ยอห์น 3:17; ฮีบรู 13:16

ได้มีการตกลงจากผู้ใหญ่ท่ามกลางหมู่ผู้เชื่อว่า
ใครจะมุ่งไปที่เป้าหมายใด แต่ไม่ว่าในสังคมไหนที่พวกเขาจะไปรับใช้ กลุ่มคนที่จะพบเสมอคือคนยากจน ซึ่งอัครทูตทุกท่านให้ความสนใจอยู่แล้ว และทำให้เรารู้ว่า พระเจ้าไม่ทรงเห็นแก่หน้าผู้ใดจริง ๆ พระองค์ทรงรักมนุษย์เหมือน ๆ กันไม่ได้เลือกที่รักมักที่ชัง ถ้าที่ใดมีการเห็นแก่คนรวยมากกว่า ก็ไม่ได้เดินตามรอยอัครทูตแล้ว

การเผชิญหน้ากับท่านเปโตร

แต่เมื่อเคฟาสมาที่อันทิโอก ข้าก็ได้คัดค้านเขาต่อหน้า เพราะเห็นได้ชัดว่าเขาทำผิดคือว่า ก่อนที่คนบางคนจากยากอบจะมาถึง เขาเคยกินอาหารกับ
คนต่างชาติแต่เมื่อพวกเขามาถึงเขากลับหยุด ทำตัวออกห่างคนต่างชาติเพราะกลัวพวกที่เข้าสุหนัต
กาลาเทีย 2:11-12

1ทิโมธี 5:20; 1 ยอห์น 1:8-10; ยากอบ 3:2; กิจการ 10:28; ลูกา 15:2; เอเฟซัส 3:6

สิ่งที่ท่านเปโตร (คือเคฟาส) ได้ทำลงไปและทำให้ท่านเปาโลต้องตักเตือนนั่นก็คือ การที่เปโตรเองทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ เพราะกลัวพวกยิวจะเล่นงานยิวคริสเตียนบางคนในสมัยของท่านก็ช่างติ ช่างว่าและทำให้อัครทูตเปโตรเองไม่อยากที่จะต่อกรด้วยคนต่างชาติที่เคยเป็นเพื่อนกินเพื่อนคุย และสนิทสนมกับท่านเปโตร กลับถูกเมินเมื่อพวกยิวบางคน(ที่สร้างปัญหา) เข้ามาพัวพัน

และคนยิวอื่น ๆ ก็ทำตัวหน้าซื่อใจคดไปกับเขา ซึ่งสิ่งนี้เองแม้กระทั่งบารนาบัสก็ยังถูกชักจูงให้หลงทำตามด้วย
กาลาเทีย 2:13

1 โครินธ์ 15:33, 5:6, 8:9; ฮีบรู 13:9; เอเฟซัส 4:14

เรื่องเลวร้ายลงไปเพราะ เมื่อผู้นำคิดอย่างไร
ผู้ตามก็จะคิดตามไป เห็นด้วย ถ้ากลัวก็กลัว
เหมือนกัน ถ้ากล้าก็กล้าตามกันไปมีหลายสิ่งที่เราคิดว่ามันถูกต้องและทำตาม ๆ กันมาโดยตลอด แต่จริง ๆ แล้วเป็นสิ่งที่ผิดก็มี
ไม่น้อย การหลีกเลี่ยงคนต่างชาติทั้ง ๆ ที่
ท่านเปโตรเป็นคนนำคนเหล่านั้นมาเชื่อพระเจ้า เป็นสิ่งที่น่าอาย บารนาบัสเองยังหลงคิดไปว่า
ไม่เป็นไรเสียด้วยซ้ำ ผู้นำจึงต้องระวังตัวเสมอ

แต่เมื่อข้าเห็นว่าพฤติกรรมของเขาไม่สอดคล้องกับความจริงของข่าวประเสริฐข้ากล่าวกับเคฟาสต่อหน้าทุกคนว่า
“หากท่านซึ่งเป็นยิว ยังทำตัวราวกับคนต่างชาติ ไม่เหมือนยิว แล้วท่านจะมาบังคับให้คนต่างชาติถือประเพณียิวได้อย่างไร?”
กาลาเทีย 2:14

กาลาเทีย 2:5; กิจการ 10:28, 15:10-11; 1 ทิโมธี 5:20

ถ้าเราจะแปลความหมายของข้อนี้เป็นสมัยใหม่ก็ประมาณนี้ “คุณทำตัวไม่สมกับเป็นผู้เชื่อ
คุณมีชีวิตแบบคนไม่เชื่อ แต่ทำไมยังพยายาม
ให้คนที่ไม่เชื่อมาประพฤติตามพระคำของพระเจ้า?”
คนที่ประกาศข่าวประเสริฐ ก็ต้องมีชีวิตตาม
ข่าวประเสริฐนั้น ถ้าไม่ ก็ต้องพิจารณาตัวเอง
แต่ส่วนใหญ่ คนที่ทำตัวหน้าซื่อใจคดแบบนี้
มักมองตัวเองไม่ออก

เราซึ่งเป็นยิวโดยกำเนิดและไม่ได้เป็นคนบาปที่เป็นคนต่างชาติ ยังรู้ว่าไม่มีใครถูกนับว่าเป็นคนเที่ยงธรรมได้โดยการทำตามธรรมบัญญัติแต่เป็นได้เพราะเชื่อพระเยซูคริสต์
กาลาเทีย 2:15-16ก

ทิตัส 3:3; เอเฟซัส 2:3; เอเฟซัส 2:11-12; ฟีลิปปี 3:9; สดุดี 143:2

การเชื่อในพระนาม พระราชกิจ พระคำของ
พระเยซูคริสต์ เป็นหนทางที่เราจะถูกนับว่า
เป็นคนชอบธรรม นั่นเป็นเงื่อนไขที่พระเจ้า
ทรงวางไว้ให้เราทั้งโลกมักคิดว่า เราเป็นคนดี
ด้วยการทำดี แต่นั่นไม่ช่วยให้เที่ยงธรรมในสายพระเนตรพระเจ้า พระเจ้าจะทรงรับว่าเราเป็นคนเที่ยงธรรมตามมาตรฐานของพระองค์ โดยเราต้องทำตามเงื่อนไขของพระองค์เท่านั้น วิธีอื่นไม่ผ่าน

และเราได้มาเชื่อในพระเยซูคริสต์เพื่อว่าเราจะได้ถูกนับว่าเป็นคนเที่ยงธรรมโดยความซื่อตรงของพระองค์ไม่ใช่ด้วยการทำตามบัญญัติเพราะเรารู้ว่า ไม่มีใครจะเป็นคนเที่ยงธรรมได้โดยการทำตามบัญญัติ
กาลาเทีย 2:16ข

โรม 3:19-28; 1 เปโตร 1:18-21; กิจการ 13:38-39

นี่เป็นประโยคที่ต่อมา เป็นการย้ำให้ผู้อ่านเข้าใจชัดเจนว่า ด้วยความซื่อตรง ด้วยความรักด้วยการที่พระเจ้าทรงทำตามพระสัญญา
ตั้งแต่วันที่อาดัมเอวาฝืนพระบัญชา พระเยซูจึงเสด็จมาในโลก และสิ้นชีพเพื่อรับโทษบาปของมนุษย์แทนพวกเขา บัญญัติมีไว้ให้รู้ว่า
เธอทำผิดแบบนี้ไง ทำผิดแบบโน้นไง
แต่ที่จะพ้นโทษของการผิดต่าง ๆ เหล่านั้น
ต้องทำตามเงื่อนไขของพระเจ้าผู้เดียว

แต่หากขณะที่เราพยายามที่จะถูกนับเป็นผู้เที่ยงธรรมโดยพระคริสต์ กลับพบว่าเราเองเป็นคนบาป นี่หมายความว่าพระคริสต์เป็นผู้สนับสนุนให้ทำบาปอย่างนั้นหรือ ไม่ใช่แน่นอน!
กาลาเทีย 2:17

โรม 6:1-2, 11:7; กาลาเทีย 2:15; 1 ยอห์น 3:8-10

พระคำข้อนี้อ่านแล้วไม่เข้าใจในทันที ต้องกลับมาอ่าน ทบทวนว่าเราจะเข้าใจถูกต้องตามที่ผู้เขียนต้องการสื่อหรือไม่การที่พระเยซูทรงยกโทษบาปให้นั้น ไม่ได้หมายความว่าทรงส่งเสริมบาป แต่พระองค์ทรงบอกเราทั้งหลายเหมือนกับทรงบอกหญิงคนหนึ่งที่
ถูกลากมาเพื่อจะเอาหินขว้างให้ตายว่า“ เราไม่เอาโทษเจ้า ไปเถิด และอย่าทำบาปอีกเลย”
ยอห์น 8:1-11

หากว่าข้าสร้างสิ่งที่ข้าทำลายไปแล้วขึ้นมาใหม่ ก็แสดงว่า
ข้าเป็นคนที่ละเมิดพระบัญญัติ
กาลาเทีย 2:18

กาลาเทีย 4:9-12, 2:4-5, 2:12-16; โรม 14:15

สิ่งที่ถูกทำลายคือความคิดที่ว่าจะเป็นที่พอพระทัยพระเจ้าได้ด้วยการทำตามบัญญัติ ตามกฎที่มีอยู่ตามขนบประเพณี ที่สร้างเอาไว้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกศาสนาคิด ท่านเปาโลทำลายความคิดนั้นไปแล้วท่านจะไม่รื้อมันขึ้นมาอีกเพราะพระเจ้าทรงพอพระทัยเมื่อมนุษย์เชื่อสิ่งที่พระองค์ตรัส เชื่อสิ่งที่พระองค์บัญชา ถ้าท่านเปาโลยังคิดแบบนั้น ท่านก็ผิดแล้ว!

เพราะโดยบัญญัติ ข้าตายต่อบัญญัติแล้วเพื่อว่าข้าจะมีชีวิตอยู่เพื่อพระเจ้าข้าถูกตรึงไว้กับพระคริสต์ ข้าจึงไม่ได้มีชีวิตอยู่ต่อไป แต่พระคริสต์ทรงมีชีวิต
ในข้า ชีวิตที่ข้ามีอยู่ในกายนี้ข้ามีได้โดยความเชื่อในพระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงรักข้าและประทานพระองค์เองเพื่อข้า
กาลาเทีย 2:19-20

โรม 7:4,6:11;6:2;3:19-20; 1 เธสะโลนิกา 5:10; 2 โครินธ์ 5:15; 5:24; 4:10-11

บัญญัตแจ้งว่าท่านเป็นคนที่ผิดต่อพระเจ้า
ไม่ได้ทำให้ท่านเป็นคนเที่ยงธรรม การรักษาบัญญัติเพื่อรอดกลับกลายเป็นโซ่รัดที่ทำให้เป็นทาสบัญญัติ ตอนนี้ท่านได้ถูกลงโทษบนไม้กางเขนพร้อมกับพระเยซูไปแล้วท่านตายต่อบัญญัติเมื่อพระเยซูทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ซึ่งทำให้ท่านมีชีวิตที่เปลี่ยนไป
ชีวิตเดิมใต้บัญญัติตายไป แต่มีชีวิตใหม่กับพระเยซู

ข้ามิได้ทิ้งพระคุณของพระเจ้าไป
เพราะหากความเที่ยงธรรมมาได้โดยการทำตามบัญญัติ
การสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์
ก็ไร้ประโยชน์
กาลาเทีย 2:21

โรม 11:6; กาลาเทีย 3:21; ฮีบรู 7:11; 1 โครินธ์ 15:14

ถ้าเราสามารถเป็นคนเที่ยงธรรมโดยตัวเองได้
เราก็ไม่ต้องการพระเยซูที่ทรงสิ้นพระชนม์บน
ไม้กางเขน แต่ความจริงคือไม่มีใครทำได้ด้วยตัวเอง ..เพราะพระเยซูองค์เดียวทรงเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิตไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้ยกเว้นมาทางพระเยซู