มาระโก 6 อัศจรรย์ที่เกิดแล้วเกิดอีก

ชาวเมืองเดียวกัน

1 จากที่นั่น พระเยซูเสด็จไปที่บ้านเมืองที่ทรงเติบโตมา
โดยมีศิษย์ไปกับพระองค์ด้วย 
2 พอถึงวันสะบาโต พระองค์ทรงสอนในศาลาธรรม คนที่ได้ฟังพระองค์มากมายรู้สึกประหลาดใจ กล่าวกันว่า “ผู้นี้ได้สิ่งที่พูดมาจากไหนกัน?   สติปัญญาของเขานั้นเป็นแบบไหนนะ?  และเขาทำการอัศจรรย์แบบนั้นได้อย่างไร? 
3 เขาเป็นช่างไม้ไม่ใช่หรือ? เป็นลูกชายของมารีย์ เป็นพี่ชายของยากอบ โยเซฟยูดาส  กับซีโมนนี่นา พวกน้องสาวของเขาก็อยู่กับเราที่นี่ไม่ใช่หรือ?”  แล้วพวกเขาก็เริ่มขุ่นเคืองพระองค์
4 พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “ผู้เผยพระคำของพระเจ้านั้น จะขาดการนับถือเฉพาะในหมู่ญาติพี่น้อง และเมืองที่เขาเติบโตขึ้นมา”
5 ดังนั้น พระองค์จึงไม่อาจทำการอัศจรรย์ใด ๆ ยกเว้นทรงวางพระหัตถ์รักษาคนป่วยสองสามคนให้หาย
6 และทรงประหลาดพระทัยที่พวกเขาไม่มีความเชื่อ  แล้วทรงเดินทางไปสั่งสอนตามหมู่บ้านรอบ ๆ นั้น 

การรับใช้ของศิษย์ทั้งสิบสอง

7 แล้วพระเยซูทรงเรียกศิษย์ทั้งสิบสองมาหาพระองค์ และทรงส่งพวกเขาออกไปเป็นคู่ ทรงให้พวกเขามีสิทธิอำนาจเหนือวิญญาณชั่ว
8 พระองค์ทรงสั่งไม่ให้นำสิ่งใดไปนอกจากไม้เท้าเพื่อช่วยเดินทาง ไม่ต้องนำอาหาร ย่าม หรือเงินติดเอวไป
9 ให้สวมรองเท้าไปด้วยแต่ไม่ให้เอาเสื้ออีกตัวไป
10 และพระองค์ตรัสกับพวกเขา “เมื่อเจ้าเข้าไปในครอบครัวใด ก็จงอยู่กับเขาจนกว่าเจ้าจะออกจากพื้นที่นั้น
11 หากใครไม่ตอนรับเจ้า ไม่ฟังเจ้า ก็จงสลัดผงจากเท้าของเจ้าเมื่อเจ้าออกไปจากที่นั่น เพื่อเป็นพยานต่อต้านเขา”

(** เราขอบอกเจ้าว่า โทษของเมืองโสโดม และโกโมราห์ยังจะเบากว่าโทษของเมืองนั้น)
12 ดังนั้นพวกเขาจึงออกไป และประกาศให้ผู้คนรู้ว่าพวกเขาควรกลับใจเสียใหม่
13 พวกเขายังขับผีมากมาย และรักษาโรคให้กับคนป่วยโดยการเจิมด้วยนำ้มัน

การสั่งตัดคอยอห์นผู้ให้บัพติศมา

14 กษัตริย์เฮโรดได้ยินเรื่องที่กล่าวมานี้ เพราะผู้คนรู้จักพระนามของพระองค์ไปทั่ว
และพวกเขาพูดกันว่า “ท่านคือยอห์นผู้ให้บัพติศมาที่ฟื้นขึ้นมาจากตาย ดังนั้นท่านจึงมีฤทธิ์อำนาจทำการอัศจรรย์ได้15 ส่วนคนอื่นกล่าวว่า “ท่านคือเอลียาห์”บางคนกล่าวว่า “ท่านเป็นผู้กล่าวพระคำเหมือนกับคนอื่น ๆ ในสมัยโบราณ”
16 แต่เมื่อเฮโรดได้ยินก็กล่าวว่า “ท่านยอห์นที่ข้าตัดหัวไป ฟื้นขึ้นมาจากตาย!”
17 เพราะเฮโรดเอง ได้สั่งจับยอห์น ล่ามโซ่และขังเขาไว้ เพราะเหตุนางเฮโรเดียส ภรรยาของน้องชายที่เฮโรดแต่งงานด้วย
18 เพราะยอห์นได้บอกเฮโรดว่า “ท่านทำผิดบัญญัติที่เอาภรรยาของน้องมาเป็นของตน!”
19 เป็นเพราะอย่างนี้ นางเฮโรเดียสจึงอาฆาตยอห์น ต้องการที่จะฆ่าเขา แต่นางทำไม่ได้
20 เนื่องจากเฮโรดเองกลัวยอห์น และปกป้องเขาไว้ เฮโรดรู้ว่ายอห์นเป็นผู้เที่ยงธรรม และบริสุทธิ์ เมื่อท่านได้ยินคำของยอห์น ท่านจะรู้สึกประหลาดใจ งุนงงมาก แต่เขาก็ยินดีที่จะฟังเสมอ

21 แล้วโอกาสของนางเฮโรเดียสก็มาถึง วันนั้นเป็นงานฉลองวันเกิดของเฮโรด มีการเลี้ยงขุนนางและนายทหารชั้นผู้ใหญ่ ทั้งเหล่าผู้นำในแคว้นกาลิลี
22 เมื่อลูกสาวของนางเฮโรเดียสออกมาเต้นรำ ทำให้ทั้งเฮโรดและแขกเหรื่อพอใจมาก กษัตริย์จึงตรัสกับเธอว่า “ให้เธอขอสิ่งที่ต้องการมา แล้วเราจะให้เธอ”
23 กษัตริย์สัญญาว่า “ไม่ว่าเธอจะขอสิ่งใด เราจะให้ แม้จะเป็นครึ่งหนึ่งของอาณาจักร”
24 ดังนั้นเธอจึงออกไปถามมารดาว่า “หนูควรขออะไรดี?” มารดาตอบว่า “ขอหัวของยอห์นผู้ให้บัพติศมา”
25 เด็กสาวรีบกลับมาหากษัตริย์ ทูลว่า “หม่อมฉันต้องการศีรษะของท่านยอห์นผู้ให้บัพติศมา ใส่ถาดมาให้เดี๋ยวนี้เลยเพคะ”
26 กษัตริย์เป็นทุกข์ใจนัก แต่เป็นเพราะเขาสาบานแล้วต่อหน้าแขกเหรื่อ จึงไม่อาจขัดใจเธอได้
27 ท่านจึงสั่งให้เพชฌฆาตนำศีรษะของยอห์นเข้ามาทันที โดยส่งเขาไปตัดศีรษะยอห์นในคุก
28 เขานำศีรษะของยอห์นใส่ถาดมาให้หญิงสาว ซึ่งเธอก็เอาไปให้มารดา

งานเลี้ยงที่ไม่คาดฝัน

30 ในช่วงเวลานั้น อัครทูตก็รวมตัวกันรอบ ๆ พระเยซู และเล่าถึงสิ่งที่พวกเขาไปทำ และสั่งสอน
31 พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “จงมากับเรา ไปหาที่พักสงบ และให้เราพักผ่อนสักหน่อย” เนื่องจากว่ามีคนไป ๆ มา ๆ มากมายและพวกเขาไม่มีแม้กระทั่งเวลารับประทานอาหาร
32 ดังนั้นพวกเขาจึงลงเรือไปด้วยกัน ไปยังที่สงบ
33 แต่มีหลายคนเห็นพวกเขาลงเรือไป และจำได้ว่าเป็นใคร พวกเขาจึงวิ่งออกจาเมืองต่าง ๆ และไปถึงที่หมายก่อนเสียอีก34 เมื่อพระเยซูทรงขึ้นจากเรือ ก็ทรงเห็นคนเป็นจำนวนมาก พระองค์ทรงสงสารพวกเขานัก เพราะว่าพวกเขาเป็นเหมือนแกะที่ไม่มีผู้เลี้ยง และพระองค์ทรงเริ่มต้นสั่งสอนเขาหลาย ๆ อย่าง


35 เวลาล่วงเลยไปนาน ดังนั้นศิษย์จึงมาหาพระเยซูทูลว่า “ที่นี่อยู่ห่างไกลมาก และตอนนี้ก็เย็นแล้ว
36 ขอพระองค์ทรงปล่อยผู้คนไปตาม เมืองและหมู่บ้านรอบๆ จะได้ซื้ออาหารกินขอรับ”
37 แต่พระเยซูตรัสว่า “พวกเจ้าจงเลี้ยงพวกเขาเถิด” เขาทูลถามว่า “จะให้เราออกไป และจ่ายเงินสองร้อยเดนาริอันเพื่อเลี้ยงอาหารพวกเขาหรือขอรับ?”
38 แต่พระเยซูตรัสกับเขาว่า “ไปดูสิว่า มีขนมปังสักกี่ก้อน”หลังจากที่ไปตรวจดู พวกเขากลับมา “มีขนมปังห้าก้อน และปลาสองตัวขอรับ”
39 พระเยซูจึงทรงสั่งให้เขาจัดให้ประชาชนนั่งเป็นกลุ่ม ๆ บนทุ่งหญ้าเขียวสด
40 ดังนั้นพวกเขาจึงนั่งกันเป็นกลุ่ม ร้อยคนบ้าง ห้าสิบคนบ้าง
41พระเยซูทรงรับขนมปังห้าก้อนและปลาสองตัวมา และเงยพระพักตร์ไปยังฟ้าสวรรค์ ทรงขอบพระคุณ และฉีกขนมปังออก จากนั้นทรงส่งต่อให้กับศิษย์ เพื่อแจกให้กับประชาชน แล้วทรงแบ่งปลาทั้งสองตัวให้ทุกคนได้จนทั่วถ้วนหน้า
42 พวกเขาได้กิน และอิ่มกันทุกคน
43 พวกศิษย์ได้เก็บเศษขนมปังและปลาได้ถึงสิบสองตะกร้า
44 มีผู้ชายรับประทานขนมปังทั้งสิ้นห้าพันคน!

เดินมาแบบนี้ได้อย่างไร?

45 จากนั้นทันที พระเยซูทรงให้ศิษย์ลงเรือข้ามฟากไปยังเมืองเบธไซดาล่วงหน้าพระองค์ ขณะที่พระองค์ทรงรอส่งให้ประชาชนกลับไป
46 หลังจากที่ลาพวกเขาแล้ว พระองค์ก็เสด็จขึ้นภูเขาเพื่ออธิษฐาน
47 ค่ำแล้ว เรืออยู่กลางทะเล และพระเยซูทรงอยู่ผู้เดียวบนฝั่ง

48 พระองค์ทรงเห็นพวกศิษย์พยายามที่จะกรรเชียงเรือต้านลมที่มาปะทะ ประมาณช่วงใกล้เช้า (ประมาณตีสามถึงหกโมงเช้า) พระเยซูเสด็จไปหาพวกเขา ทรงเดินบนน้ำ พระองค์กำลังจะทรงเดินผ่านพวกเขาไป
49 แต่เมื่อพวกเขาเห็นพระองค์เดินบนน้ำ พวกเขาก็ร้องลั่นออกมา คิดว่า พระองค์เป็นวิญญาณตนหนึ่ง
50 ทุกคนเห็นพระองค์และตกใจกลัวกัน แต่พระองค์ตรัสทันทีว่า “กล้าเข้าไว้ นี่เราเอง อย่ากลัวไปเลย!”
51 จากนั้นทรงขึ้นเรือไปกับพวกเขา และลมแรงก็ผ่อนลง พวกศิษย์ต่างอัศจรรย์ใจเป็นที่สุด
52 เพราะพวกเขายังไม่เข้าใจเรื่องขนมปัง และพวกเขายังใจแข็งนัก

แค่แตะชายเสื้อของพระเยซู!

53 เมื่อข้ามฟากไปแล้ว ก็จอดเรือขึ้นฝั่งที่เมืองเกนเนซาเร็ธ
54 ทันทีที่พวกเขาขึ้นจากเรือ ประชาชนก็จำพระเยซูได้
55 พวกเขาจึงวิ่งไปทั่วแคว้น แล้วแบกคนป่วยมาบนที่นอน ไปยังที่ พวกเขาได้ยินว่า พระองค์เสด็จไป
56 และไม่ว่าพระองค์ทรงไปที่ไหน จะเป็นหมู่บ้านหรือเมืองหรือชนบทพวกเขาจะเอาคนป่วยมาที่ย่านตลาด และทูลขออนุญาตแค่แตะชายเสื้อของพระองค์ และคนที่ได้แตะก็หายป่วยทั้งหมด

คำอธิบายเพิ่มเติม

มาระโก 6:1-6
ใคร ๆ ก็ปฏิเสธพระเยซู
มีครั้งหนึ่งที่พระเยซทรงกลับไปที่บ้านเมืองที่ทรงเติบโตมา
เมื่อทรงสอนในธรรมศาลา พวกที่มาฟังกลับประหลาดใจว่าทรงมีปัญญาล้ำเลิศนัก แต่..กลับมีกิริยาวาจาดูหมิ่นเมื่อนึกได้ว่าเป็นลูกชายของคนรู้จัก เป็นลูกชายมารีย์ซึ่งเป็นแม่บ้านกับโยเซฟช่างไม้ พระเยซูไม่ใช่ผู้ที่ ไม่ร่ำเรียนมาแบบธรรมาจารย์ โดยประเพณีแล้ว ไม่น่าจะมาสอนได้ในศาลาธรรมเสียด้วยซ้ำ พวกเขาคิดว่าตนรู้จักพระองค์ ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ความจริงอะไรเลย
พระคำตอนนี้ทำให้เราเห็นชัดว่า การที่ใครคนหนึ่งมารับใช้พระเจ้า แต่ไม่ได้รับการยอมรับจากครอบครัว คนในหมู่บ้าน เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้อยู่แล้ว แม้ว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้าแต่พระองค์ก็ยังถูกเพื่อนบ้านพี่น้องไม่ยอมรับ พระองค์ถึงกับประหลาดพระทัยกับการที่พวกเขาไม่มีความเชื่อ จริงสิ พระองค์ทรงมีฤทธิ์ ทรงเป็นพระเจ้า ทรงเต็มด้วยสติปัญญาล้ำ แต่มนุษย์เดินดินกลับไม่เชื่อในพระองค์ น่าประหลาดใจจริง ๆ

มาระโก 6:7-13 การรับใช้ของศิษย์ทั้งสิบสอง
พระเยซูทรงใช้ศิษย์ออกไปเป็นคู่ และประทานสิทธิอำนาจเหนือผี
ไม่อนุญาตให้เอาของพะรุงพะรังไป แต่มุ่งหน้าประกาศ ชวนให้คนกลับใจจากบาป พวกเขาจะต้องเชื่อว่า พระเจ้าจะทรงเลี้ยงดู ซึ่งในสมัยโบราณนั้น ผู้ที่ประกาศก็จะได้รับการสนับสนุนจากคนที่ได้รับประโยชน์จากการประกาศนั้นทรงให้เขาขับผี รักษาโรค ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้คนต้องการมาก ในสมัยนั้น ศัตรูสำคัญของการมีชีวิตคือ ทั้งบาป ผี และโรคร้ายและถ้าใครไม่ต้อนรับก็สลัดผงที่เท้าตอนจากมา เป็นสัญลักษณ์ว่า เป็นความผิดของพวกเขาเองที่เขาไม่ยอมที่จะกลับใจ

มาระโก 6:14-28
การสั่งตัดคอยอห์นผู้ให้บัพติศมา
มาระโกได้บรรยายเรื่องความตายของท่านยอห์นผู้ให้บัพติศมา เป็นการถูกประหารที่ดูเหมือนไร้เหตุผลอันสมควรอย่างมาก เพราะเกิดจากความอาฆาตแค้นของเฮโรเดียส ที่ยอห์นกล่าวว่า เฮโรดทำผิดที่มาเอาเธอซึ่งเป็นภรรยาของน้องชาย มาเป็นของตน
บรรยากาศงานเลี้ยงที่มีผู้ชายเต็มงานและมีผู้หญิงสาวคอยปรนเปรอ ทุกคนเมาเหล้า และเสียงดังอึกทึกวุ่นวาย
และแล้วเฮโรดก็ตกปากสัญญากับสาวน้อยลูกสาวนางเฮโรเดียสว่าจะให้รางวัลถึงครึ่งอาณาจักร (มีความหมายว่าให้ได้มาก แต่ก็จำกัด) เพราะเธอเต้นรำเร้าใจมาก
รางวัลที่เธอต้องการจากเขานั้น ไม่ใช่จากความต้องการจริง ๆ ของเธอแต่เป็นของมารดา นั่นคือศีรษะของยอห์น และความที่ไม่อยากเสียหน้าต่อหน้าแขกทั้งหลาย เฮโรดจำต้องให้ตามที่เธอขอ

มาระโก 6:30-44
แล้วอัครทูตต่างรายงานตนหลังจากที่ออกไปประกาศและรักษาคนให้หายโรคตามที่พระเยซูทรงส่งออกไป พวกเขาตื่นเต้นที่มีการอัศจรรย์เกิดขึ้น และคนธรรมดาอย่างเขาก็มีโอกาสที่จะช่วยอธิษฐานรักษาโรคให้คนด้วย
เมื่อมีการทำงานเกิดขึ้น ก็ควรจะมีการรายงานให้รับรู้ เพื่อแนวหลังจะได้อธิษฐานเผื่อ เพื่อทราบความก้าวหน้า
แต่แล้วจากนั้นพระเยซูกลับชวนพวกเขาให้หนีออกไปพัก .. พระองค์ทรงรู้ดีว่า พวกเขาเหนื่อยมาก ไม่มีเวลาแม้กระทั่งจะกินข้าว พวกเขาอาจตื่นเต้น แต่การพักผ่อนก็สำคัญ ทรงชวนให้พักสักหน่อย… พระองค์ไม่ได้สั่งให้เขาทำงานต่อ แต่ให้พัก
การหนีออกไปจากประชาชนครั้งนี้ไม่เป็นผล เพราะมีคนเห็นจึงพากันไปจากเมืองต่าง ๆ โดยวิ่งไปจนถึงอีกฝั่ง เมื่อพระเยซูทรงเห็นดังนั้น โอกาสที่จะพักจึงไม่มีอีก ทรงสงสารพวกเขา เพราะว่าพวกเขาไม่รู้อะไรเลย ไม่เข้าใจอะไร ยากจน เจ็บป่วย มีผีเข้า ถูกรังควาญโดยเหล่ามาร เขาถูกเอาเปรียบจากพวกธรรมาจารย์ ที่สั่งสอนสิ่งที่ไม่จำเป็น สั่งสอนสิ่งที่เป็นคำของมนุษย์ไม่ใช่คำจากพระเจ้า
สิ่งที่พระองค์ทรงทำอย่างแรกคือ ทรงสอนพวกเขา… เราอย่าลืมว่า ในวันนี้ก็เช่นเดียวกัน คนที่หลงทางต้องการคำสอน คำหนุนใจ คำแนะนำอย่างถูกต้อง

หากเราดูการอัศจรรย์ของพระเยซู การเลี้ยงคนจำนวนมหาศาล เป็นเรื่องที่ทั้งมัทธิว มาระโก ลูกาและยอห์นกล่าวถึง เพราะเป็นเหตุการณ์มหัศจรรย์ที่ต้องจดจำจริง ๆ ทรงมีคนห้าพัน ขนมปังห้าก้อน ปลาสองตัว ขณะที่คนห้าพัน (ซึ่งยังไม่รวมผู้หญิงและเด็ก) กำลังหิว พระเยซูทรงเปลี่ยนอาหารจำนวนที่น้อย กลายเป็นจำนวนมากมหาศาลแล้วยังมีเหลืออีกสิบสองตะกร้า นี่มันอะไรกัน? เป็นไปไม่ได้ที่จะตาฝาดไป เพราะพวกเขากินอิ่มจริง ๆ จากจำนวนห้าพันคนเหล่านี้ วันหนึ่งข้างหน้า จะมีบางคนที่กลายเป็นคนที่ติดตามพระเยซูและประกาศพระนามต่อไป

ก่อนการอัศจรรย์จะเกิดขึ้น มีการคุยกันระหว่างพระเยซูกับศิษย์ของพระองค์ คนหนึ่งเสนอให้ประชาชนออกไปซื้ออาหารเอง พระองค์ทรงบอกให้พวกเขาเลี้ยง แต่อีกคนกลับพูดทำนองว่า จะให้จ่ายเงินจำนวนมากมายเพื่อเลี้ยงพวกเขาหรือ ซึ่งคำพูดนี้ถ้าเราฟังเผิน ๆ จะรู้ว่า คนพูดรู้สึกเสียดายเงิน รู้สึกว่าไม่น่าจะต้องจ่ายขนาดนี้กับอาหารมื้อเดียว
แต่พระเยซูทรงอยู่เหนือความคิดความเข้าใจทั้งหมด
ทรงให้เขาไปตามหาอาหารที่มีอยู่.. แน่นอนที่มีบางคนเอาอาหารมา แต่คนนั้นก็ต้องยอมให้ด้วย
เมื่อได้ขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวมา เมื่อทุกคนนั่งเป็นระเบียบ
พระเยซูทรงรับอาหารนั้นมา ทรงเงยพระพักตร์ไปหาองค์พระบิดาในสวรรค์ …. พระบิดา กับพระบุตรจะทรงทำการยิ่งใหญ่ต่อหน้าคนนับหมื่น ..ทรงขอบพระคุณด้วยรู้ว่า สิ่งเหนือธรรมชาติกำลังจะเกิดขึ้น แล้วจากนั้นพระองค์ก็ทรงฉีกขนมปังออก และแบ่งปลาออกไป ใช้เวลาที่ทำให้ผู้คนได้ประหลาดใจ ได้กล่าวขาน ได้รับขนมปังและปลา ได้อิ่มพุง
เหตุการณ์ตอนนี้ สมกับคำในสดุดี 23 ที่ว่า พระเจ้าทรงเป็นผู้เลี้ยงของฉัน… พระองค์ทรงจัดเตรียมโต๊ะให้ฉัน …

และอาหารที่แจกยังเหลืออีกทำให้พวกศิษย์ได้กินต่ออีกมื้อหรือสองมื้อ
พระพรของพระเจ้าเกินความเข้าใจ เกินคาด และหากเราอยู่ใกล้ ๆ พระเจ้า เดินไปกับพระองค์ เราก็จะมีประสบการณ์มหัศจรรย์ที่ทำให้เรารู้ว่า พระเจ้าทรงอยู่ด้วยได้ไม่หยุดเหมือนกัน

มาระโก 6:45-52
พระเยซูทรงเดินบนน้ำ
หลังจากที่พระเยซูทรงทำการอัศจรรย์แบบทำให้ตาลุกวาวไปแล้ว ผู้คนก็เริ่มทยอยกันกลับบ้าน พระเยซูทรงสั่งให้ศิษย์ลงเรือไปก่อน โดยที่ยังทรงส่งคนทั้งหลายแทนพวกเขาด้วย แต่แล้ว เมื่อคนไปหมด
พระเยซูก็ทรงขึ้นภูเขาเพื่อไปอธิษฐาน
แน่นอนที่ว่าทรงเหนื่อยมาก ถ้าเป็นเราก็ขอพักก่อนแล้วกัน แต่พระเยซูคงมีสิ่งที่อยากจะสนทนากับพระบิดาตามลำพังแน่นอน เรื่องนี้ เป็นสิ่งที่เราควรทำตามเป็นอย่างยิ่ง .. พระองค์มีพลังมากแต่ไม่ทรงลืมที่จะหันกลับไปสนทนากับพระบิดาเลย เชื่อว่าพระองค์ทรงอธิษฐานเผื่อทั้งศิษย์ ประชาชน และเรื่องอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
ช่วงเวลานั้นเอง พระองค์ทรงเห็นศิษย์ที่พยายามกรรเชียงเรือต้านลม ทรงมองเห็นจากที่ไกล หรือทรงเห็นด้วยวิธีพิเศษเราไม่ทราบ แต่ทรงตั้งพระทัยเดินบนน้ำไปหาพวกเขาสบาย ๆ เหมือนเดินบนดิน
เวลาพวกเราเจอปัญหาหนัก ๆ ก็อย่างนี้แหละ และต้องไม่ลืมว่าพระเจ้าทรงเห็น
เมื่อศิษย์บนเรือเห็นพระเยซูดำเนินมาบนน้ำ ก็ตกใจมาก คิดว่าเป็นผี… แต่พระองค์ทรงปลอบใจว่าเป็นพระองค์เอง ..​ ดูสิว่า พระองค์ไม่จำเป็นต้องให้น้ำสงบก่อนเสียอีก ทรงขึ้นเรือไปกับพวกเขาลมจึงสงบ

มาระโกได้เขียนว่า เมื่อพระเยซูขึ้นเรือไป ลมก็เบาลง พวกศิษย์อัศจรรย์ใจ พวกเขาไม่เข้าใจเรื่องขนมปัง เพราะใจแข็งนัก ทำไมจึงเขียนคำคอมเม้นท์เช่นนี้?

พวกศิษย์ยังไม่เข้าใจอะไรหลาย ๆ เรื่องที่พระเยซูทรงทำ เขายังมองไม่เห็นว่า การเลี้ยงคนมากมายนั้น คือการที่พระเจ้าทรงจัดหาให้ตามที่จำเป็น ตามที่ผู้คนมีความต้องการ เป็นเราเองก็อาจจะตื่นเต้น แต่ไม่เข้าใจพระดำริของพระเจ้าทั้งในเรื่องขนมปังและการดำเนินบนน้ำ

คำว่าเข้าใจ ภาษากรีกว่า ซูนนีเอมี .. หมายถึงวิเคราะห์ หาความเข้าใจ สรุปผล ส่วนคำว่าใจแข็งนั้นคือ โพโรโอ หมายถึงแข็ง ทำให้แข็งเป็นหิน เท่ากับมีกรอบความคิดที่ขยายออกมาใหม่ได้ยาก เพราะยังมีความคิดเก่า ๆ ที่ติดแน่นอยู่ ไม่สามารถเปลี่ยนได้

มาระโก 6:53-56
แค่แตะชายเสื้อของพระเยซู!
ตอนแรก ตั้งใจไปที่เบธไซดา แต่แล้วการมีพายุทำให้พวกเขาไปจอดเรือที่เกนเนซาเรธซึ่งอยู่อีกด้าน (ทางตะวันออกเฉียงเหนือของกาลิลี) เป็นเมืองที่ทำการเกษตรเป็นหลัก
มาระโกได้เล่าเรื่องที่พระเยซูพบประชาชนว่า พวกเขาจำพระองค์ได้ทันที แล้วก็พากันวิ่งไปป่าวร้องให้รู้ว่า พระเยซูกำลังไปที่ไหน พวกเขาก็ตามไป
พระเยซูทรงไปทั้งตามหมู่บ้าน เมือง ชนบท และตลาด ทุกแห่งมีคนมารุมล้อมพระองค์
ที่สำคัญ แค่ขอแต่เพียงชายเสื้อ พวกเขาก็หายโรคแล้ว มหัศจรรย์เหลือเกิน!

พระคำเชื่อมโยง

1* ลูกา 4:16-30; มัทธิว 13:54-58
2* ยอห์น 6:42; 7:15 กิจการ 4:13-14;
3* มัทธิว 12:46; 11:6
4* ยอห์น 4:44
5* ปฐมกาล 19:22; 32:25
6* อิสยาห์ 59:16; มัทธิว 9:35
7* มาระโก 3:13-14; ปัญญาจารย์ 4:9-10
9* เอเฟซัส 6:15
10* มัทธิว
11* มัทธิว 10:14;
13* ลูกา 9:7-9
14* ลูกา 19:3715* มาระโก 8:28; มัทธิว 21:11

16* ลูกา 3:19
18* เลวีนิติ 18:16; 20:21
20* มัทธิว 14:5; 21:26
21* มัทธิว 14:6; ปฐมกาล 40:20
23* เอสเธอร์ 5:3, 6; 7:2
26* มัทธิว 14:929* 1 พงศ์กษัตริย์ 13:29-30
30* ลูกา 9:1031* มัทธิว 14:13; มาระโก 3:20
32* มัทธิว 14:13-21
33* โคโลสี 1:6
34* มัทธิว 9:36; 14:14; กันดารวิถี 27:17; ลูกา 9:11
35* มัทธิว 14:15
37* 2 พงศ์กษัตริย์ 4:43
38* ยอห์น 6:9

39* มัทธิว 15:35
41* ยอห์น 11:41-42; มัทธิว 15:36; 26:26
45* ยอห์น 6:15-21
46* ลูกา 5:16
48* ลูกา 24:28
49* มัทธิว 14:26
50* มัทธิว 9:2; อิสยาห์ 41:10
51* สดุดี 107:29; มาระโก 1:27; 2:12; 5:42; 7:37
52* มาระโก 8:17-18; 3:5; 16:14
53* มัทธิว 14:34-36
56* มัทธิว 9:20; กันดารวิถี 15:38-39