มาระโก 9 ปรากฏพระกายแท้


ปรากฏพระกายแท้จริง


1 แล้วพระเยซูตรัสกับเขาว่า “เราบอกความจริงแก่เจ้าว่า มีบางคนที่ยืนอยู่ตรงนี้ จะไม่ได้พบความตายก่อนที่เขาจะได้เห็นอาณาจักรของพระเจ้ามาถึงด้วยฤทธานุภาพ”
2 หกวันต่อมา พระเยซูทรงพาเปโตร ยากอบและยอห์น ขึ้นไปยังภูเขาสูงตามลำพังกับพระองค์ ที่นั่น พระองค์ทรงเปลี่ยนพระกายต่อหน้าพวกเขา
3 ฉลองพระองค์กลายเป็นสีขาวระยับ

ขาวสว่างแบบที่ไม่มีช่างฟอกคนไหนจะทำได้ !!
4 และเอลียาห์กับโมเสสปรากฏต่อหน้าพวกเขา สนทนากับพระองค์
5 เปโตรทูลพระเยซูว่า “พระอาจารย์ขอรับ ดีจริง ๆ ที่พวกเราได้มาอยู่ที่นี่ ขอให้เราได้สร้างพลับพลาขึ้นสามหลังสำหรับพระองค์หลังหนึ่ง โมเสสหลังหนึ่ง และเอลียาห์หลังหนึ่ง”
6 พวกเขาตกใจกลัวกันมาก และเปโตรก็ไม่รู้จะพูดอะไรดีไปกว่านี้
7 แล้วก็มีเมฆปรากฏขึ้น คลุมพวกเขาไว้ และมีเสียงออกมาจากเมฆนั้นว่า
“ท่านนี้เป็นลูกรักของเรา จงฟังท่านเถิด!”
8 ทันใดนั้น เมื่อพวกเขามองไปรอบ ๆ ก็ไม่เห็นใครอีกนอกจากพระเยซู
9 ขณะที่พวกเขาลงมาจากภูเขา พระเยซูทรงห้ามไม่ให้พวกเขาบอกสิ่งที่เห็นให้ใครทราบจนกว่าบุตรมนุษย์จะคืนชีพจากความตาย
10 ดังนั้นพวกเขาจึงเก็บเรื่องนี้ไว้ โดยถามกันถึงความหมายของ “การคืนชีพจากตาย”
11 แล้วพวกเขาทูลถามพระเยซูว่า “เหตุใดธรรมจารย์จึงกล่าวว่าเอลียาห์จะต้องมาก่อนขอรับ?”

12 พระองค์ตรัสตอบว่า “ที่จริงแล้วเอลียาห์จะมาก่อน และเขาจะช่วยให้ทุกสิ่งกลับสู่สภาพเดิม แล้วเหตุใดจึงมีคำเขียนว่า บุตรมนุษย์จะต้องทนทุกข์หลายประการ และจะถูกปฎิบัติอย่างเหยียดหยาม?
13 แต่เราขอบอกเจ้าว่า เอลียาห์ได้มาแล้ว และพวกเขาก็ได้ทำกับเอลียาห์ตามใจชอบเหมือนกับที่มีเขียนบันทึกเรื่องของเขาไว้”

เด็กชายที่ถูกวิญญาณชั่วเข้าสิง
14 เมื่อพวกเขากลับมาพบศิษย์คนอื่น ๆ ก็เห็นคนกลุ่มใหญ่กำลังมุงพวกเขาอยู่ และมีธรรมาจารย์กำลังโต้เถียงกับพวกเขา
15 ทันทีท่ีประชาชนเห็นพระเยซู พวกเขาก็รู้สึกดีใจและวิ่งเข้ามาทักทายพระองค์
16 พระองค์ตรัสถามเขาว่า “เจ้ากำลังโต้กันเรื่องอะไร?”


17 คนหนึ่งในหมู่คนตอบว่า “พระอาจารย์ขอรับ ข้าพเจ้าพาลูกชายที่ถูกผีสิงทำให้เป็นใบ้มา
18 เมื่อไรที่มันเข้าสิงเขา มันจะทำให้เขาล้มฟาดพื้น น้ำลายฟูมปาก กัดฟันแรง และตัวเกร็ง ข้าพเจ้าขอให้ศิษย์ของท่านไล่มันออกไป แต่พวกเขาทำไม่ได้ขอรับ”
19 “โอ คนในยุคที่ไร้ความเชื่อ!” พระเยซูตรัส “เราจะต้องอยู่กับเจ้าอีกนานเท่าไร? เราจะต้องอดทนกับพวกเจ้านานเท่าไร? ไปพาเด็กมาหาเราสิ”
20 พวกเขาจึงพาเด็กมา และเมื่อเห็นพระเยซู วิญญาณนั้นก็ทำให้เด็กล้มลงและกลิ้งตัวไปมา น้ำลายฟูมปาก
21 พระเยซูทรงถามพ่อของเด็กว่า “เด็กเป็นอย่างนี้มานานเท่าไรแล้ว?” “ตั้งแต่ยังเล็กขอรับ” เขาตอบ
22 “มันมักทำให้เขาตกในกองไฟ และตกน้ำบ่อย ๆ พยายามจะฆ่าเขา แต่หากท่านทำอะไรให้ได้ ขอทรงสงสารเรา และช่วยเราด้วยขอรับ”
23 “หากเราทำได้อย่างนั้นหรือ?”พระเยซูทรงทวนคำ “ใครเชื่อก็ทำให้ได้ทุกอย่าง”
24 พ่อของเด็กร้องทูลทันทีว่า “ข้าพเจ้าเชื่อ ขอทรงช่วยที่ข้าพเจ้ายังขาดความเชื่ออยู่”

25 เมื่อพระเยซูทรงเห็นว่าฝูงชนกำลังวิ่งกรูเข้ามา พระองค์ตรัสสำทับวิญญาณชั่วว่า “เจ้าวิญญาณใบ้หูหนวก เราสั่งให้เจ้าออกมาจากเขาและไม่เข้าไปสิงเขาอีก!”
26 หลังจากที่วิญญาณนั้นกรีดเสียงร้องและทำให้เด็กชักอย่างแรง มันก็ออกมาจากตัวเขา เด็กก็นิ่งราวกับเป็นศพ จนหลายคนพูดว่า “เขาตายแล้ว”27 แต่พระเยซูทรงจับมือของเด็กและช่วยให้เขาลุกขึ้นมา เขาก็ยืนขึ้น
28 หลังจากที่พระเยซูทรงเข้าไปในบ้านแล้ว ศิษย์ของพระองค์ก็ทูลถามเป็นส่วนตัวว่า “ทำไมพวกเราจึงขับผีไม่ออกล่ะขอรับ?”
29 พระเยซูทรงตอบว่า “ผีแบบนี้ออกไม่ได้นอกจากต้องอธิษฐาน และการอดอาหาร* เท่านั้น”

ทรงบอกเรื่องการทนทุกข์ครั้งที่สอง
(Matthew 17:22–23; Luke 9:43–45)
30 พวกเขาออกจากที่นั่นโดยผ่านแคว้นกาลิลีไป พระเยซูไม่ทรงต้องการให้ใครรู้
31 เพราะพระองค์ทรงสอนศิษย์ของพระองค์ ตรัสกับพวกเขาว่า “บุตรมนุษย์จะถูกมอบไว้ในเงื้อมมือมนุษย์และพวกเขาจะฆ่าท่านเสีย หลังจากนั้นสามวัน ท่านจะคืนชีพขึ้นมา”
32 แต่พวกเขาไม่เข้าใจคำที่ตรัส และพวกเขาก็กลัว ไม่กล้าที่จะถาม

ผู้ที่เป็นใหญ่สุดในอาณาจักรสวรรค์

33 แล้วพวกเขาก็มาถึงเมืองคาเปอรนาอุม ขณะที่พระเยซูทรงอยู่ในบ้าน ทรงถามพวกเขาว่า “พวกเจ้าเถียงกันเรื่องอะไรระหว่างทาง?”
34 แต่พวกเขากลับเงียบเพราะระหว่างทางพวกเขาเถียงกันว่า ใครใหญ่สุด!
35 พระเยซูทรงนั่งลงและตรัสเรียกทั้งสิบสองคนมา “หากใครต้องการเป็นคนที่หนึ่ง เขาต้องเป็นคนสุดท้าย และเป็นผู้รับใช้ของคนทั้งปวง”
36 แล้วพระองค์ทรงนำเด็กเล็กคนหนึ่งมายืนท่ามกลางพวกเขา ทรงอุ้มเด็กไว้ และตรัสกับพวกเขาว่า
37 “ใครก็ตามที่ต้อนรับเด็กเล็กอย่างนี้ในนามของเรา เท่ากับเขารับเรา และใครก็ตามต้อนรับเรา เท่ากับว่า เขาได้ต้อนรับทั้งเราและพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา”


38 ยอห์นทูลว่า “พระอาจารย์ขอรับ เราเห็นบางคนไล่ผีในพระนามของพระองค์ เราพยายามจะห้ามเขา เพราะเขาไม่ได้อยู่เป็นพวกเรา”
39 “อย่าไปหยุดเขาเลย” พระเยซูตรัสตอบ “เพราะไม่มีใครที่ทำการอัศจรรย์ในนามของเรา จะหันกลับมาและพูดให้ร้ายเรา
40 เพราะคนที่ไม่ได้ต่อต้านเรา ก็เป็นฝ่ายเรา
41 ที่จริงแล้ว หากใครสักคนหนึ่งได้เอาน้ำสักแก้วมาให้เจ้าเพราะเจ้าเป็นคนของพระคริสต์
เราบอกความจริงว่า เขาจะไม่ขาดบำเหน็จอย่างแน่นอน”

ต้นเหตุแห่งการทดลองและการทำบาป

42 แต่หากใครทำให้คนเล็กน้อยที่เชื่อในเราสะดุด หลงผิดไป ให้เอาหินโม่ก้อนใหญ่ถ่วงคอเขาแล้วโยนลงทะเลก็ดีกว่า


.

43 หากมือของเจ้าทำให้เจ้าทำบาป ก็จงตัดมันเสีย เป็นการดีสำหรับเจ้า ที่จะเข้าไปสู่ชีวิตนิรันดร์ พร้อมมือด้วน แทนที่จะลงนรกซึ่งมีไฟที่ไม่มีวันดับ พร้อมกับมือทั้งสองข้าง
44 (ในที่ซึ่ง ตัวหนอนของพวกเขาไม่ตาย และไฟไม่มีวันดับ)
45หากเท้าของเจ้าทำให้เจ้าทำบาป จงตัดมันทิ้งเสีย เพราะเป็นการดีกับเจ้ามากกว่าที่เจ้าจะเข้าไปสู่ชีวิตทั้ง ๆ ที่ขาด้วน แทนที่จะถูกโยนลงนรกพร้อมขาสองข้าง
47 และหากดวงตาของเจ้าทำให้เจ้าทำบาป ก็ควักออกเสีย เพราะเป็นการดีกับเจ้ามากกว่าที่จะเข้าในอาณาจักรของพระเจ้าด้วยดวงตาข้างเดียวแทนที่จะมีดวงตาสองข้าง และถูกโยนลงไปในนรก
48 ซึ่งเป็นที่ ๆหนอนของพวกเขาไม่มีวันตาย และไฟที่ไม่มีวันดับ

เกลือเป็นสิ่งดี
49 เพราะทุกคนจะถูกเคล้าด้วยเกลือ และชำระให้บริสุทธิ์ด้วยไฟ
50 เกลือเป็นสิ่งดี แต่หากเกลือหมดรสเค็ม
เจ้าจะช่วยให้มีรสชาติได้อย่างไรเล่า?
จงมีเกลือท่ามกลางพวกเจ้า และอยู่กันอย่างสันติเถิด”

คำอธิบายเพิ่มเติม

มาระโก 9:1-13
ไม่มีศิษย์คนใดสบายใจได้เลย เมื่อได้รับรู้ว่า อีกไม่นานพระเยซูจะทรงสิ้นพระชนม์ แต่พวกเขากลับไม่ค่อยได้ยินที่ทรงบอกว่า พระองค์จะเป็นขึ้นมาอีก พระองค์จึงทรงบอกล่วงหน้าให้รู้ว่า อาณาจักรของพระองค์นั้น เป็นอาณาจักรแห่งฤทธานุภาพที่เหนือธรรมชาติ อีกหกวันต่อมา พระองค์ได้ทรงพาศิษย์สามคนเท่านั้น ขึ้นไปบนภูเขา เข้าใจจากสถานที่ในบทที่ผ่านมา ว่า น่าจะเป็นภูเขาเฮอร์โมน ซึ่งเป็นภูเขาที่สูงสุดในตะวันออกกลางเลยทีเดียว
บนภูเขานั้นเอง พระเยซูทรงเปลี่ยนสภาพร่างของพระองค์จากเนื้อหนัง หน้าตาที่ทุกคนชิน กลายเป็นร่างที่แตกต่างออกไป เป็นร่างที่พวกเขายังจำได้ว่า เป็นพระองค์ และฉลองพระองค์นั้นก็สว่างระยับแบบที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน
ยิ่งไปกว่านั้น โมเสส ซึ่งเป็นตัวแทนของกฎบัญญัติ และเป็นผู้นำอิสราเอลออกจากการเป็นทาส กับเอลียาห์ซึ่งเป็นตัวแทนของผู้เผยพระคำของพระเจ้า ก็ปรากฏตัวด้วย ทั้งสองกำลังสนทนากับพระเยซู
ช่วงชีวิตของโมเสสประมาณ 1400 ปีมาแล้ว ส่วนเอลียาห์ก็ประมาณ 900 ปีมาแล้ว ทั้งสองมาสนทนากับพระองค์ผู้ทรงอยู่มาก่อนการสร้างโลก แม้ว่าจะกลัวเพียงใด เปโตร ยอห์นและยากอบ ก็ได้มีโอกาสเห็นพระเยซูองค์จริง และเห็นความสง่างามตระการของพระองค์อย่างที่ไม่มีใครจะได้เห็น
เหนืออื่นใด พวกเขาได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า (ได้ยินทั้งหมดสามครั้ง จากมาระโก 1:11 และยอห์น 12:28) ตรัสว่า ให้พวกเขาฟังเสียงของพระบุตรที่ทรงรักด้วย เป็นประสบการณ์เหนือธรรมชาติที่ทำให้ทั้งสามได้เชื่อมั่นคงในพระเยซูมากยิ่งขึ้น แต่สิ่งที่เห็นนี้ กลับกลายต้องเป็นความลับ เผยไม่ได้จนกว่าพระองค์จะคืนชีพจากความตายเสียก่อน
ข้อ 12-13 ดูเหมือนจะเป็นการกล่าวถึงท่านยอห์นผู้ให้บัพติศมาที่มาแล้ว ท่านไม่ได้เป็นเอลียาห์มาเกิด แต่เป็นผู้ที่มาก่อนพระเยซูและทำงานโดยน้ำใจและฤทธิ์เดชของเอลียาห์ (ลูกา 1:17) ท่านยอห์นเป็นคนที่ทำหน้าที่เหมือนเอลียาห์ตามในหนังสือมาลาคี 4:5-6 และยอห์นเองถูกกักขังและประหารอย่างไร้ความยุติธรรม

มาระโก 9:14-29
เมื่อลงมาจากภูเขานั้นเอง ก็มาพบกลุ่มคนที่กำลังพูดกันหน้าตาเครียดจริงจัง เราจะเห็นว่า พอคนเห็นพระเยซูพวกเขาก็จะวิ่งเข้ามาห้อมล้อมพระองค์ นี่ก็เป็นอย่างหนึ่งที่ทำให้เหล่าฟาริสี ธรรมาจารย์ ปุโรหิตไม่พอใจเอามาก ๆ เป็นอันว่า พวกเขามีปัญหาคือ มีคุณพ่อพาลูกที่มีผีสิงมาหาศิษย์ของพระองค์ แต่พวกเขาไม่สามารถไล่ผีออกไปได้ ทั้ง ๆ ที่ แต่ก่อนพวกเขาเคยทำได้ เกิดอะไรขึ้นหรือ? มีอะไรที่แตกต่างในเด็กคนนี้?
ที่เราเห็นชัดคือ เด็กถูกผีทำให้เป็นใบ้ และหูหนวกด้วย ตามด้วยอาการชักอย่างรุนแรง ล้มฟาดพื้น น้ำลายฟูมปาก กัดฟัน ตัวเกร็ง และยังตกน้ำ ตกในไฟตลอดมา เป็นอันตรายกับชีวิตของเขามาก พ่อมีความเห็นว่าผีต้องการให้เด็กตาย
พ่อคนนี้ทูลว่า ถ้าพระองค์ช่วยได้.. เป็นเพราะศิษย์ของพระองค์ไม่อาจช่วยเขา ทำให้ความมั่นใจของเขาลดลง แต่พระเยซูกลับทรงให้กำลังใจตรัสว่า ใครเชื่อก็ทำให้ได้ทุกอย่าง พระองค์ทรงเห็นใจเขา และรู้ดีว่าเขาต้องการความเชื่อที่มาจากพระองค์ พ่อคนนี้ ยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็นและทูลขออย่างไม่อายใคร
ก่อนที่ผู้คนจะวิ่งเข้ามามุง พระเยซูก็ทรงไล่ผีออกไปจากตัวเด็ก เขานิ่งสงบจนคนคิดว่าตาย … แต่ไม่ใช่ พระเยซูทรงจับมือเด็กช่วยให้เขาลุกขึ้นมา ..​กลายเป็นเด็กอีกคนที่จะเป็นพยานเรื่องของพระองค์ต่อไปอีกตลอดชีวิตของเขา ทั้งพ่อและเด็กไม่ต้องกลัวการปองร้ายจากมารอีกต่อไป
และที่น่าสนใจอีกเรื่องคือ ผีที่เข้าสิงและทำให้คน ๆ หนึ่งต้องเผชิญกับอาการมากมายที่เป็นอันตรายอย่างนี้ ต้องการให้ผู้ที่ช่วยขับผีทั้งอธิษฐาน และอดอาหารขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า (* ในบางเล่มไม่มีคำว่าอดอาหาร) การอดอาหารอธิษฐานช่วยให้ผู้รับใช้ของพระเจ้าได้มุ่งมั่น และเต็มด้วยความเชื่อ พึ่งพาพระเจ้ามากกว่าที่เป็นอยู่
เราจะเห็นเหตุการณ์แบบข้อ 28 บ่อย ๆ คือ ศิษย์และพระเยซูสนทนากันในเรื่องที่คนอื่นจะไม่ได้รับรู้ด้วย ในสมัยนั้น รับบีกับศิษย์ก็มักจะสนทนาเรื่องที่คนทั่วไปได้ยินแล้วอาจตีความผิดไป พวกเขาจึงมักสอนกันเป็นส่วนตัว

มาระโก 9:30-32
ครั้งที่สองแล้วที่พระเยซูตรัสเรื่องการสิ้นพระชนม์ และคืนพระชนม์ ช่วงเวลานี้ทรงอยู่กับศิษย์และสอนพวกเขาหลายอย่าง เตรียมไว้สำหรับวันที่พระองค์ไม่ทรงอยู่กับเขา พวกเขาเข้าใจดีว่า เมื่อตรัสถึงบุตรมนุษย์ นั้นมีความหมายถึงตัวพระองค์เอง ส่วนมนุษย์ที่ว่า พวกเขาก็น่าจะรู้ว่าเป็นศัตรูของพระองค์ที่คอยจับผิด และคอยทำร้ายพระองค์เมื่อมีโอกาส แต่ยังมีบางอย่างที่ศิษย์ ไม่กล้าถามอะไรทั้ง ๆ ที่สงสัยเหลือเกิน

มาระโก 9: 33-40
ระหว่างทางที่เดินทางไปยังเมืองคาเปอรนาอุม พวกเขาก็เดินกันโดยไม่ได้รวมตัวกันเป็นกลุ่ม แต่มีการถกเถียงกันว่า ใครจะเป็นใหญ่ที่สุดในหมู่ศิษย์ทั้งสิบสองคนนี้ ถ้าเราคนนอกมองไป ก็อาจคิดว่าเป็นเปโตร ยอห์น ยากอบ เพราะพระองค์ทรงพาเขาไปให้เห็นพระสิริยิ่งใหญ่ คนในกลุ่มอาจมองไม่เหมือน แต่ที่สำคัญคือพวกเขาให้ความสำคัญกับคำว่า ผู้นำ หัวหน้า มากกว่าการที่จะรับใช้ แต่พระเยซูกลับให้ความสำคัญกับชีวิตที่ถ่อมตน และพระองค์เองก็ทรงบอกไว้แล้วว่า พระองค์ทรงถ่อมพระองค์ (มัทธิว 11:29) พระองค์เอาเด็กเล็กมาเป็นสื่อของการถ่อมตนว่า ถ้าหากพวกเขาต้อนรับคนที่ต่ำต้อยเพราะเห็นแก่พระเยซูเท่ากับเขาได้ต้อนรับพระองค์ด้วย
ในโลกโบราณนั้น เด็กเป็นผู้ที่ต้องให้คนอื่นช่วย และพวกเขาไม่ได้มองเด็กสำคัญอย่างพระเยซู แม้จะมีบ้านที่รักเด็ก ๆ แต่โดยรวมพ่อแม่ที่ยากจน เลี้ยงลูกไม่ไหว ก็จะทิ้งลูกตามถนน เด็กจึงถูกมองว่า ไร้ค่า ไม่มีอำนาจ คนที่ใหญ่โตคือคนที่เป็นวีรบุรุษ นายทหาร ผู้ปกครอง ธรรมาจารย์
ในตอนต่อมาที่ศิษย์ไปเห็นคนที่ไล่ผีในพระนามของพระองค์ กลับไปห้ามเขาทั้งที่ตนเองก็ไล่ผีไม่ออก อันนี้น่าสนใจมาก ศิษย์ไม่เห็นตัวเอง แต่เห็นความผิดของคนอื่น พระเยซูกลับตอบอย่างที่เขาไม่คาดว่า คนที่ไม่ต่อต้านพระองค์เท่ากับเป็นคนฝ่ายพระองค์แล้ว ศัตรูแท้คือคนที่ต่อต้านพวกเขา ไม่ใช่คนที่เดินตามอย่างพวกเขา ดังนั้น ศิษย์ของพระเยซูจะต้องแยกคนที่เป็นมิตรกับศัตรูให้ออก

มาระโก 9:42-48
คำสอนตอนนี้ พระเยซูทรงใช้การเปรียบเทียบที่ค่อนข้างใหญ่ และทำให้เกิดความเข้าใจได้ทันที พระองค์ไม่ได้หมายความจะให้คนที่ทำผิดควักตา ตัดแขนขาของเขา แต่พระองค์กำลังตรัสถึงความหนักหนาสาหัสของโทษบาปที่พวกเขาควรจะกลัว พระเจ้าจะทรงเอาผิดกับคนที่หลอกล่อให้คนอื่นที่รู้น้อยกว่าทำผิดบาป ซึ่งในโลกปัจจุบันของเรา เราจะเจอกับการหลอกลวงทั้งวัน ไม่ว่าจากการโฆษณาสินค้า หรือข่าวปลอมต่าง ๆ ที่ส่งผลกับการตัดสินใจของผู้คนเป็นจำนวนมาก
พระเยซูทรงใช้คำว่า สะดุด หลงผิดไป นั่นคือ สะดุดไปจากความจริงของพระเจ้า ไม่ว่าจะด้วยการหลอกล่อแบบใด คนที่นำผู้อื่นอยู่จึงต้องรู้จักความจริง มิฉะนั้นอาจทำให้คนอื่นหลงผิดไปด้วยความเข้าใจผิดของตนก็เป็นได้
การถูกหินโม่ถ่วงคอ การตายในน้ำนั้น สำหรับคนยิวแล้วเป็นความตายที่น่ากลัวเป็นที่สุด เพราะไม่มีพิธี ไม่มีการฝัง

มาระโก 9:49-50
สมัยโมเสส เขาใช้เกลือกับธัญญบูชา จะมีการปรุงเครื่องบูชาด้วยเกลือและเผาไปพร้อมกัน (เลวีนิติ 2:13) เกลือบริสุทธิ์ที่มีรสเค็ม จึงมีความหมายในตัวของมันมากมาย ตั้งแต่ความบริสุทธิ์ ไปถึงความสามารถในการรักษาสิ่งต่าง ๆ ไม่ให้เน่าไป
พระเยซูทรงสอนให้เราหนีจากความบาป และตามด้วยการที่พวกเราจะต้องเป็นคนที่มีเกลือคือมีความดีของพระเจ้าอยู่ในตัว ความดีดังกล่าวจากความหมายของเกลือ นั้นคือความบริสุทธิ์ในชีวิต ความสามารถที่จะช่วยให้สังคมที่ผิดศีลธรรม ทำบาปได้กลับมาหาพระเจ้า เป็นผู้ที่สร้างสันติ เป็นเกลือที่จะช่วยให้สังคมได้รับ สัมผัสความรักมั่นคงและความดีงามของพระเจ้า

  พระคำเชื่อมโยง

1* ลูกา 9:27; มัทธิว 24:30
2* มัทธิว 17:1-8
3* ดาเนียล 7:9
7* อพยพ 40:34; สดุดี 2:7; อิสยาห์ 42:1; มาระโก 1:11; ลูกา 1:35 ; กิจการ 3:22
9* มัทธิว 17:9-13
10* ยอห์น 2:19-22
11* มาลาคี 4:5
12* อิสยาห์ 53:3; ฟีลิปปี 2:7
13* ลูกา 1:17
14* มัทธิว 17:14-1917* ลูกา 9:38
19* ยอห์น 4:48

20* มาระโก 1:26
23* ยอห์น 11:40
24* ลูกา 17:5
25* มาระโก1:25
28* มัทธิว 17:1929* ยากอบ 5:1631* ลูกา9:44; มัทธิว 16:21; 27:50; ลูกา 24:46; 1โครินธ์ 15:4
32* ลูกา 2:50; 18:34
33* มัทธิว 18:1-5
34* สุภาษิต 13:10; ลูกา 22:24; 23:46; 24:46
35* ลูกา 22:26-2736* มาระโก 10:13-16

37* มัทธิว 10:40
38* กันดารวิถี 11:27-29
39* 1โครินธ์ 12:3
40* มัทธิว 12:30
41* มัทธิว 10:4242* ลูกา 17:1-243* มัทธิว 5:29-30; 18:8-9
44* อิสยาห์ 66:24
46* อิสยาห์ 66:2448* อิสยาห์ 66:24; เยเรมีย์ 7:20
49* มัทธิว 3:11; เลวีนิติ 2:13
50* มัทธิว 5:13; โคโลสี 4:6; โรม 12:18; 14:19