แนะนำ
มัทธิว 2 ดวงดาวและความฝัน
โหราจารย์พบเฮโรดอย่างไม่ตั้งใจ
1 หลังจากที่พระเยซูประสูติที่เมืองเบธเลเฮมในแคว้นยูเดีย ซึ่งอยู่ในรัชสมัยของกษัตริย์เฮโรด ก็มีโหราจารย์ จากประเทศทางทิศตะวันออก เดินทางมายังนครเยรูซาเล็ม (คนเหล่านี้เขาเป็นทั้งนักดาราศาสตร์ เป็นปราชญ์ และเป็นปุโรหิตที่ทำนายฝันโดยใช้ดวงดาวเป็นตัวนำ)
2 พวกเขาถามว่า “ทารกที่มาเกิดเพื่อเป็นกษัตริย์ของยิวนั้น อยู่ที่ไหน? เราเห็นดวงดาวของท่านในทางตะวันออก และเราเดินทางมาเพื่อนมัสการพระองค์”
3 เมื่อกษัตริย์เฮโรดรู้เรื่องนี้ ท่านก็รู้สึกกลัว ว้าวุ่นใจเป็นอย่างมาก ชาวเมืองเยรูซาเล็มก็เป็นเหมือนกัน
4 เฮโรดจึงเรียกประชุมหัวหน้าปุโรหิตทั้งหลาย และเหล่าธรรมาจารย์ ถามพวกเขาว่า พระคริสต์ (หรือพระเมสสิยาห์) มาเกิดที่ใด
5 พวกเขาตอบว่า “ในเมืองเบธเลเฮมในแคว้นยูเดีย มีผู้เผยพระดำรัสของพระเจ้าได้กล่าวไว้ว่า :
6 ‘ส่วนเจ้านั้น เบธเลเฮมในดินแดนยูดาห์เอ๋ย เจ้าไม่ได้ต่ำต้อยให้หมู่ผู้ปกครองแห่งยูดาห์เลย เพราะจะมีผู้ปกครองท่านหนึ่งมาจากเจ้า ท่านเป็นเหมือนผู้เลี้ยงประชากรอิสราเอล’
แผนลวงของเฮโรด
7 แล้วเฮโรดจึงเรียกเหล่าโหราจารย์มาพบเป็นส่วนตัว ท่านสอบถามจนรู้แน่ว่า ดวงดาวนั้นปรากฏขึ้นเวลาใด
8 จากนั้นก็ส่งโหราจารย์เหล่านี้ไปยังเบธเลเฮม กล่าวว่า “ขอให้พวกท่านไปตามหาพระกุมารนั้น เมื่อพบแล้ว ก็กลับมารายงานให้ข้าเพื่อว่าข้าจะไปนมัสการท่านเช่นกัน”
9 หลังจากที่ได้รับฟังคำของกษัตริย์แล้ว พวกเขาก็เดินทางต่อไป และดวงดาวที่พวกเขาตามมาจากตะวันออกก็เคลื่อนที่นำพวกเขาไปจนกระทั่งดาวหยุดเหนือที่ ๆ องค์พระกุมารประทับอยู่
10 เมื่อพวกเขาเห็นดวงดาว พวกเขาก็ปีติยินดีมาก
11 พวกเขาเข้าไปในบ้าน และเห็นพระกุมารพร้อมกับมารดาของพระองค์ คือมารีย์ และเขาก็ได้ก้มลงแล้ว นมัสการพระองค์ แล้วเปิดกล่องนำของขวัญถวายพระองค์ เป็นทองคำ กำยาน และมดยอบ
12 แต่พระเจ้าทรงเตือนเหล่าโหราจารย์ ในความฝัน ไม่ให้กลับไปหาเฮโรดอีก ดังนั้น พวกเขาจึงกลับประเทศของเขาด้วยเส้นทางอื่น
13 หลังจากที่เหล่าโหราจารย์กลับไปแล้ว ทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็ปรากฏแก่โยเซฟในความฝัน กล่าวว่า “จงลุกขึ้น และพาพระกุมารและมารดาหนีไปยังประเทศอียิปต์ และอยู่ที่นั่นจนกว่าเราจะบอกให้กลับมา เพราะเฮโรดกำลังตามค้นหาพระกุมารเพื่อประหารพระองค์”
14 ในคืนนั้นเอง โยเซฟลุกขึ้น และพาองค์ทารกน้อยกับมารดาเดินทางไปยังประเทศอียิปต์
15 โยเซฟอาศัยอยู่ที่นั่นจนเฮโรดสิ้นพระชนม์ ที่เกิดขึ้นดังนี้ เพื่อให้เป็นไปตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสผ่านผู้เผยพระดำรัสว่า “เราได้เรียกลูกชายของเราออกจากอียิปต์” (โฮเชยา 11:1)
เฮโรดไล่ล่าพระกุมาร!
16 เมื่อเฮโรดเห็นว่า เหล่าโหราจารย์รู้ทันความตั้งใจของท่าน ท่านก็โกรธนัก จึงสั่งทหารไปประหารเด็กชายทั้งหลายในเมืองเบธเลเฮมและหมู่บ้านใกล้เคียงที่มีอายุตั้งแต่สองขวบลงมา โดยคำนวนจากช่วงเวลาที่ได้ยินสิ่งที่โหราจารย์เล่าให้ฟัง
17 จึงเป็นจริงตามที่เยเรมีย์ผู้เผยพระดำรัสกล่าวไว้ว่า
18 “ได้ยินเสียงคร่ำครวญในรามาห์ (เป็นจุดที่ยิวถูกส่งออกไปเป็นเชลย เยเรมีย์ 40:1) เป็นเสียงสะอึกสะอื้นด้วยความทุกข์ ราเชลร้องไห้ถึงลูก ๆ ของเธอ เธอไม่ยอมรับคำปลอบใจใด ๆ เพราะลูก ๆ ได้จากไปแล้ว(เยเรมีย์ 31:15)
กลับจากประเทศอียิปต์
19 หลังจากที่เฮโรดสิ้นพระชนม์ ทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็ตรัสกับโยเซฟในความฝัน ขณะที่เขายังอยู่ในอียิปต์
20 ทูตสวรรค์กล่าวว่า “จงลุกขึ้น พาองค์พระกุมารและมาดากลับไปยังแผ่นดินอิสราเอลได้แล้ว เพราะคนที่พยายามตามล่าชีวิตของพระกุมารนั้น ตายไปแล้ว”
21 ดังนั้นโยเซฟจึงลุกขึ้น พาพระกุมารกับมารดากลับมายังแผ่นดินอิสราเอล
22 แต่เขาได้ยินว่า อารเคลาอัสได้ขึ้นปกครองแคว้นยูเดียแทนบิดาคือเฮโรดที่ได้สิ้นชีวิตไป เขาก็กลัวที่จะไปอยู่ที่นั่น เมื่อได้รับคำเตือนในความฝัน จึงเดินทางต่อไปในเขตกาลิลี
23 ไปอาศัยในเมืองนาซาเรธ ดังนั้นจึงเป็นจริงตามที่ได้กล่าวผ่านผู้เผยพระดำรัสว่า “เขาจะเรียกท่านว่า ชาวนาซาเร็ธ” (เหมือนกับคำจากอิสยาห์ 11:1 .. คำฮีบรูว่ากิ่ง ออกเสียงคล้ายคำว่า นาซารีน)
เบื้องหลังเรื่องราว
มัทธิว 2:1-6 โหราจารย์พบเฮโรดอย่างไม่ตั้งใจ
พระเยซูประสูติที่เมืองเบธเลเฮม ใกล้ ๆ กรุงเยรูซาเล็ม ชื่อของเมืองนี้มีความหมายว่า บ้านขนมปัง หรือบ้านแห่งอาหาร พระเจ้าทรงให้ทั้งโยเซฟ มารีย์เดินทางมาเพื่อลงทะเบียนสำมะโนครัว และเมืองนี้ก็เป็นเมืองที่เขาเตรียมลูกแกะสำหรับการถวายเครื่องบูชา ลูกแกะตัวเล็ก ๆ ที่เกิดใหม่จะถูกห่อหุ้มด้วยเสื้อผ้าเก่าของเหล่าเลวี ดังนั้นเมื่อมีการบันทึกว่า เราจะพบว่า เขาเน้นการที่พระเยซูทรงถูกหุ้มห่อด้วยผ้าขาวที่เป็นสัญลักษณ์ของการที่วันหนึ่งพระองค์จะถูกประหารเป็นเครื่องบูชาเพื่อลบบาป
จากบ้านเมืองที่ไกลจากอิสราเอลมาก เราไม่ทราบว่า โหราจารย์เหล่านี้มาจากประเทศใด แต่สิ่งที่เรารู้คือว่า เขาเป็นผู้ที่แสวงหาพระเจ้า และรู้ด้วยว่า พระผู้ช่วยให้รอดจะมาบังเกิดโดยดูจากดวงดาวที่เคยมีการพยากรณ์ไว้ล่วงหน้า โหราจารย์เหล่านี้ทำให้เรารู้ว่า ในที่ ๆ ห่างไกล ยังมีคนที่เชื่อพระเจ้า และแสวงหาพระองค์อย่างสุดหัวใจ พวกเขาพร้อมที่จะสละทุกอย่างเพื่อตามหาพระองค์ ใครจะรู้บ้างว่า เขาอาจจะเป็นคนที่เคยตกไปเป็นเชลยเหมือนอย่างคนรุ่นดานิเอลก็เป็นได้ คนเหล่านี้เห็นดวงดาวของพระเมสสิยาห์ และเขาก็ตามมาเพื่อถวายความเคารพ ถวายหัวใจ ถวายนมัสการ และถวายของขวัญแด่พระองค์ (กันดารวิถี 24:17)
เฮโรดเป็นกษัตริย์ปกครองโดยอำนาจของโรม ในช่วง 34-4 ปีก่อนคริสตศักราช เขาเป็นชาวเอโดม เป็นกษัตริย์ที่เก่ง ฉลาด มีความรู้ในการสร้างอาคาร มีความสนุกกับการที่จะได้สร้าง แต่ในเวลาเดียวกันก็เป็นผู้ปกครองที่สุดโหดด้วย พร้อมที่จะฆ่าได้ทุกคนที่ขวางทาง
ขณะที่โหราจารย์มาเยี่ยมพระกุมาร พวกเขาก็เข้าใจว่า เป็นกษัตริย์ก็น่าจะอยู่ในวัง แต่ปรากฏว่า ไม่ใช่… พวกเขาทำให้เฮโรดกังวลเป็นอย่างมากเมื่อรู้เรื่องของกษัตริย์ยิวที่มาเกิด…อย่างแรกที่คิดคือ ต้องกำจัดกษัตริย์ผู้นี้ จากข้อสี่เราจะเห็นว่า เฮโรดพอมีความรู้เรื่องพระเมสสิยาห์อยู่บ้างเขาไม่สบายใจมาก ต้องกำจัดองค์กษัตริย์ผู้นี้ให้ได้! ดูสิ ..พระบุตรพระเจ้ามาบังเกิด ก็ถูกปองร้ายตั้งแต่ต้น ศัตรูของพระเจ้าไม่ได้พักเลย พร้อมที่จะทำลายตลอดเวลา!!
เมื่อเฮโรดถามปุโรหิต พวกเขาเองก็รู้เช่นกันว่า พระเมสสิยาห์จะมาบังเกิดในเบธเลเฮม … ในขณะที่โหราจารย์เดินทางจากแดนไกลมาเข้าเฝ้าองค์กษัตริย์น้อย เฮโรดกับปุโรหิต ธรรมาจารย์กลับมีความคิดอีกอย่าง..
มัทธิว 2:7-12 แผนลวงของเฮโรด
เฮโรดฉลาดมาก ไม่ได้แสดงความกังวลให้โหราจารย์เห็นเลย เขาสอบถามจนแน่ใจว่า ศัตรูที่อาจมาทำลายอำนาจของเขาผู้นั้น เป็นใครอยู่ที่ไหนกันแน่ แทนที่จะส่งคนไปกำจัดพระเยซูตัวน้อยเลย ก็ปล่อยให้โหราจารย์ไปก่อน ไปดูให้แน่.. แล้วค่อยไปจัดการ ไม่ให้เสียคน เสียเวลา แถมยังผูกมิตรกับโหราจารย์อีกด้วย นี่ไง..ความปราชญ์เปรื่องของเฮโรด
พบองค์กษัตริย์ที่ดาวนำมา
โหราจารย์เดินทางต่อ ดวงดาวนั้นก็พาพวกเขาไปต่อจนถึงสถานที่ซึ่งครอบครัวของพระเยซูอาศัยอยู่ เราไม่ทราบว่า จากวันที่พระองค์ประสูติ จนถึงวันนี้ผ่านมานานเท่าไรจริง ๆ แต่จากที่เราเห็นว่า เฮโรดสั่งประหารเด็กสองขวบลงมา ก็น่าจะห่างจากวันที่พระองค์ประสูติพอสมควร ดูความเชื่อของโหราจารย์ มหัศจรรย์!! พวกเขาเชื่อเพียงเห็นเด็กคนหนึ่งที่เขารู้ในใจว่า ใช่แน่.. เขาไม่มีความสงสัย
พวกเขาต้องเป็นคนที่รู้พระคัมภีร์เดิม รู้เหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ของอิสราเอลมาเป็นอย่างดี ในขณะที่เหล่าผู้นำทางศาสนายิวกังวล โกรธเกรี้ยวที่พระเมสสิยาห์ซึ่งก็เป็นผู้ที่ชาวอิสราเอลรอคอยมาบังเกิด พวกเขากลับมาก้มลง คุกเข่านมัสการ ถวายของขวัญแด่พระองค์ ทั้ง ๆ ที่ยังทรงเป็นเด็ก อยู่ในบ้านธรรมดา มีพ่อแม่เป็นชาวบ้าน ไม่ได้แสดงการอัศจรรย์ให้เห็น แต่พวกเขาไม่ได้สงสัย กลับมั่นใจว่า พวกเขาได้พบองค์กษัตริย์ที่แท้จริง ดวงดาวที่นำมาและหยุดในที่ ๆ ใช่นั้น เพียงพอสำหรับพวกเขาแล้ว (อิสยาห์ 49:7)
มัทธิว 2:13-15 การปกป้องจากพระบิดา
จากนั้น พระเจ้าทรงเตือนไม่ให้โหราจารย์กลับไปรายงานสิ่งใดแก่เฮโรด พวกเขาเชื่อฟังพระเจ้า กลับไปทางอื่นอย่างที่พระเจ้าทรงเตือน … แล้ว พระเจ้าทรงใช้ทูตสวรรค์ มาบอกโยเซฟในความฝันอีกครั้งให้หนีไปอียิปต์ทันที โยเซฟเองก็ไม่รอช้า ทำตามคำสั่งของทูตสวรรค์ทันที
ช่วงเวลาที่โยเซฟออกเดินทาง ก็เป็นเวลาที่โหราจารย์กลับบ้าน และเวลานั้น เฮโรดก็กำลังรอคอยคำตอบจากโหราจารย์ด้วย .. ครอบครัวเล็ก ๆ ออกเดินทางไปช้า ๆ ในความมืด ช่างเป็นภาพที่น่าสะพรึงสำหรับเด็กคนหนึ่งที่เกิดมา แต่ต้องหนีเอาชีวิตรอดตั้งแต่เล็ก แต่ทั้งหมดนี้ พระเจ้าได้ตรัสล่วงหน้ามาแล้วว่าจะเกิดขึ้น (โฮเชยา 11:1)เราเห็นสิ่งที่เชื่อมโยงระหว่างพระเยซูกับอิสราเอลคนของพระเจ้าหรือไม่? ชีวิตของพระเยซูนั้น สะท้อนให้เห็นถึงประวัติศาสตร์ชาติอิสราเอลที่พระเจ้าทรงช่วยกู้ออกมาจากความเป็นทาส และสะท้อนให้เห็นชีวิตของเราที่พระเจ้าทรงช่วยกู้ออกจากความบาปและความตาย
มัทธิว 2:16-18 เฮโรดไล่ล่าพระกุมาร!
การไม่กลับมาของโหราจารย์ทำให้เฮโรดโกรธยิ่งนัก
สิ่งที่ทำได้คือ คำนวนเวลาแล้วก็สั่งประหารเด็กชายอายุสองขวบลงมา … พระเจ้าทรงบอกล่วงหน้าเรื่องนี้เช่นกันใน เยเรมีย์ 31:15 เฮโรดไม่ได้รู้เลยว่า องค์กษัตริย์ผู้ที่เขาพยายามสังหารนั้น ไม่ได้อยู่ในหมู่เด็กชายเหล่านั้น และเมื่อฆ่าล้างเด็ก ๆ สำเร็จ เขาก็รู้สึกสบายใจ เห็นไหม ว่าโหดขนาดไหน?
มัทธิว 2:19-23 กลับจากประเทศอียิปต์
ไม่นานเฮโรดก็สิ้นชีวิต พระเจ้าก็ทรงสั่งโยเซฟผ่านทูตสวรรค์ในความฝันอีกครั้ง เขาก็พาครอบครัวกลับมา โดยหลีกเลี่ยงลูกชายเฮโรดที่ขึ้นครอง จึงเดินทางไปอาศัยในนาซาเร็ธ (เหมือนกับคำจากอิสยาห์ 11:1 .. คำฮีบรูว่ากิ่ง ออกเสียงคล้ายคำว่า นาซารีน)น่าแปลกที่พระเจ้าทรงให้พระบุตรของพระองค์เติบโตในเมืองที่ผู้คนดูหมิ่น คนมักจะถามว่า มีอะไรดีที่มาจากนาซาเร็ธบ้าง? ผู้คนมักคิดว่าตนเองดีกว่าคนชาวนาซาเร็ธ
ในขณะที่เราแสวงหาสิ่งดีที่สุดให้กับตัวเอง พระบิดากลับทางวางพระบุตรไว้ในจุดที่คนเมิน…
พระเยซูทรงเติบโตมาพร้อมกับอาชีพที่รับต่อมาจากโยเซฟคือ เป็นช่างไม้ พระองค์ทรงดูแลครอบครัวเพราะเป็นเหมือนลูกชายหัวปี พระเจ้าทรงเตรียมพระเยซูเช่นนี้ และใครก็ตามที่รู้สึกต่ำต้อย ให้ดูว่าองค์กษัตริย์ที่จะครองใจมนุษย์ทรงผ่านอะไรมาบ้าง แล้วเลิกที่จะรู้สึกเช่นนั้นได้แล้ว
พระคำเชื่อมโยง
1* มีคาห์ 5:2; ลูกา 2:4-7; ปฐมกาล 25:6
2* ลูกา 2:11; กันดารวิถี 24:17
4* 2 พงศาวดาร 36:14; 34:13; มาลาคี 2:7
6* มีคาห์ 5:2; ยอห์น 7:42; วิวรณ์ 2:27
7* กันดารวิถี 24:17
11* อิสยาห์ 60:6
12* มัทธิว 1:20
13* มัทธิว 2:16
15* โฮเชยา 11:1
18* เยเรมีย์ 31:15
20* ลูกา 2:39; มัทธิว 2:16
22* มัทธิว 2:12,13,19; ลูกา 2:39
23* ยอห์น 1:45-46; ผู้วินิจฉัย 13:5
ทิตัส 1 จากท่านเปาโลถึงทิตัส
ทิตัส 1:1
จากเปาโล ทาสของพระเจ้าและอัครทูตของพระเยซูคริสต์ ข้าได้รับมอบหมายมาเพื่อรับใช้เรื่องความเชื่อของคนที่พระเจ้าทรงเลือกไว้ และเพื่อช่วยให้เขารู้จักความจริงในการเดินในวิถีทางของพระเจ้า
ทิตัส 1:2
ความเชื่อ และความจริงนั้น
มาจากความหวังใจในชีวิตนิรันดร์ ซึ่งพระเจ้าผู้ไม่ทรงมุสา ได้ทรงสัญญากับเราไว้ก่อนปฐมกาล
ทิตัส 1:3
และเมื่อถึงเวลาของพระองค์ พระเจ้าก็ทรงทำให้โลกได้รู้ถึงชีวิตนั้น ผ่านการประกาศ ซึ่งพระองค์ได้ทรงมอบงานประกาศนั้นไว้แก่ข้าตามพระบัญชาของพระเจ้าพระผู้ช่วยให้รอดของเรา
ทิตัส 1:4
ถึงทิตัส ลูกชายแท้ของข้าในความเชื่อเดียวกัน ขอพระคุณและสันติสุขจากพระเจ้าพระบิดา และพระเยซูคริสต์พระผู้ช่วยให้รอดของเรา อยู่กับท่าน
ทิตัส 1:5
ที่ข้าปล่อยให้เจ้าไว้ที่เกาะครีต (ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน)
ก็เพื่อว่า เจ้าจะได้จัดการทำทุกสิ่งที่ต้องดูแลให้สำเร็จเรียบร้อย เพื่อเจ้าจะได้แต่งตั้งผู้ปกครองไว้ในทุกเมือง
ตามที่ข้าแนะนำไว้แล้ว
ทิตัส 1:6-7
ผู้ปกครองนั้น จะต้องเป็นคนที่ไร้ตำหนิ ซื่อสัตย์ต่อภรรยาคนเดียว และลูก ๆ มีความเชื่อเดียวกัน จะต้องไม่เป็นลูกที่ดื้อดึงดัน หรือไร้วินัย ในฐานะที่เขาเป็นผู้ดูแลคริสตจักร จะต้องไร้ตำหนิ ไม่เห็นแก่ตัว ไม่อารมณ์ร้อน และจะต้องไม่เป็นคนติดเหล้า หรือเป็นคนรุนแรง หรือพยายามร่ำรวยด้วยการคดโกงผู้อื่น
ทิตัส 1:8-9
เขาควรเป็นคนอัธยาศัยดี มีน้ำใจต้อนรับแขก รักความดี สามารถควบคุมตนเองได้ มีชีวิตที่ถูกต้องกับพระเจ้า และมีวินัย
โดยที่เขายึดมั่นในคำสอนที่จริง ไว้ใจได้ ซึ่งได้สอนเขาไว้ เพื่อเขาจะหนุนใจคนอื่นด้วยความสอนที่จริงแท้ และเขาสามารถ
ช่วยแก้ไขเหล่าคนที่ต่อต้านคำสอนนั้น
ทิตัส 1:10-11
เพราะมีหลายคนไม่ยอมร่วมมือ คนที่มักพูดถึงสิ่งที่ไร้ค่าและหลอกลวงผู้อื่นโดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกที่ยืนกรานว่าจะต้องเข้าสุหนัตเท่านั้นจึงจะรอดได้ เราต้องหยุดคนพวกนี้ เพราะพวกเขาทำลายหลายครอบครัว โดยสอนสิ่งที่ไม่ควรจะสอน พวกเขาหลอกลวงผู้คนเพื่อตนเองจะได้ร่ำรวยขึ้น
ทิตัส 1:12-14
หนึ่งในพวกเขากล่าวว่า“ชาวครีตมุสาเสมอเป็นเหมือนอย่างสัตว์ป่า และเป็นคนที่ไม่ทำอะไรเอาแต่ตะกละตะกลาม” สิ่งที่พูดนั้นเป็นความจริง ดังนั้น จงเตือนพวกเขาให้รู้ว่าพวกเขาทำผิดไปแล้ว เพื่อจะได้มีความเชื่อที่ถูกหลัก จะไม่ยอมรับนิยายของยิวรวมถึงคำสั่งของคนที่ปฏิเสธความจริง
ทิตัส 1:15-16
สำหรับคนที่บริสุทธิ์ ทุกสิ่งก็บริสุทธิ์ แต่สำหรับคนที่เป็นมลทินและไม่เชื่อนั้นก็ไม่มีอะไรในตัวที่บริสุทธิ์เลย ทั้งความคิดมโนธรรมของเขาเป็นมลทิน เขารับว่าตนรู้จักพระเจ้า แต่การกระทำแสดงว่า เขาไม่ยอมรับพระองค์ พวกเขาน่ารังเกียจ
ไม่เชื่อฟัง และไม่เหมาะที่จะทำสิ่งดีใด ๆ
อธิบายเพิ่มเติม
ทิตัส 1:1
ทิตัสเป็นผู้รับใช้พระเจ้าร่วมกับท่านเปาโล เขาเป็นคนกรีก และเป็นคนที่เปาโลรักเหมือนลูกอีกคนหนึ่ง ท่านเปาโลได้เขียนถึงตัวท่านเองว่าเป็นทาสของพระเจ้า และเป็นอัครทูต คือ คนที่พระเจ้าทรงส่งไปประกาศพระนามตามที่ต่าง ๆหน้าที่สำคัญของท่าน คือช่วยให้ผู้คนที่ไม่รู้จักพระเจ้า ได้รู้จักความจริงของพระองค์และจะได้ใช้ชีวิตในการเดินไปกับพระเจ้าอย่างมั่นคง
ทิตัส 1:2
ความเชื่อของคริสเตียนในยุคนั้นแตกต่างจากความเชื่อในเทพเจ้าต่าง ๆ ที่เชื่อกันอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทพกรีกที่ต่างมีชีวิตอันโสมม คริสเตียนกลับมีชีวิตที่มุ่งมั่นที่จะได้อยู่กับพระเจ้านิรันดร์โดยเริ่มต้นที่เชื่อพระเยซู และใช้ชีวิตตามความจริงของพระเจ้า พระเจ้าทรงประสงค์ที่จะให้มนุษย์มีชีวิต
อมตะมาตั้งแต่วันที่ทรงสร้างโลก แต่ในขณะเดียวกัน ก็ทรงอนุญาตให้เขาเลือกที่จะเชื่อฟังพระองค์ด้วยตัวเอง แล้วมนุษย์ก็ทำพลาดตั้งแต่ครั้งแรกนั้น
ทิตัส 1:3
ข้อนี้สำคัญมาก พระเจ้าทรงให้โลกได้รู้จักชีวิตนิรันดร์อย่างชัดเจน แตกต่างจากสมัยพระคัมภีร์เดิม เมื่อพระเยซูเสด็จมาช่วยโลกให้รอดแล้ว คนจะรู้ได้ จะรอดได้ก็ต้องมีการประกาศ เผยแผ่ออกไป และพันธกิจดังกล่าวนี้ ไม่ใช่ว่าเราคิดกันขึ้นเอง แต่พระเยซูทรงเป็นผู้บัญชาให้เราทุกคนได้หน้าที่นี้ตัวท่านเปาโลเองก็ถือว่าตัวท่านเป็นคนที่พระเจ้าทรงส่งออกไปและชักชวนให้คนอื่นออกไปด้วย
ทิตัส 1:4
ท่านเปาโลรักทิตัสอย่างลูกชายคนหนึ่ง ความรักที่อาจารย์คนหนึ่งมีให้ศิษย์นั้นไม่เหมือนกับอาจารย์ที่รักศิษย์เหมือนลูกชาย ทั้งสองมีความเชื่อเดียวกัน รับใช้พระเจ้าเหมือนกัน มีเป้าหมายเพื่อแผ่นดินของพระองค์ แต่ทิตัสได้รับหน้าที่สำคัญที่จะดูแล แต่งตั้งคนทำงานในคริสตจักร ท่านเปาโลก็เขียนมาเพื่อช่วยให้ทิตัสมีแนวทางที่จะทำงานต่อไป
ทิตัส 1:5
นี่คืองานสำคัญที่ทิตัสได้รับมอบหมายมาจากท่านเปาโลคือ การตั้งผู้ดูแลปกครองในคริสตจักร แต่จะตั้งใครล่ะ?
ที่จริงเป็นเรื่องยากสำหรับทิตัสมาก เพราะคนชาวเกาะครีตนั้น ลือชื่อในการเป็นคนไร้มารยาท ทำชั่ว เกียจคร้าน พูดจาหยาบคาย โกหก คดโกง ดังนั้น คนที่เขาเลือกจะต้องเป็นคนที่เกิดใหม่แล้วจริง ๆ ได้รับการเปลี่ยนแปลงจากพระเจ้า และมีชีวิตที่ดำเนินตามพระคำของพระเจ้าอย่างมั่นคง
ทิตัส 1:6-7
ชาวเกาะครีตมีปัญหาในพฤติกรรมบาปต่าง ๆ และพวกเขารับได้กับการกระทำเหล่านั้น ท่านเปาโลจึงต้องบอกชัดเจนว่า คนที่จะปกครองผู้อื่นในคริสต-
จักรจะต้องเป็นคนที่เหนือมาตรฐานของคนชาวครีตอย่างมาก ต่างกันแบบไม่เห็นฝุ่นเลย ตัวอย่างเช่น
พวกเขาเชื่อ ทำตามเทพซูส หรือเซอูสที่เป็นเทพที่จะหลอกผู้หญิงเพื่อเอาประโยชน์ทางเพศ พวกเขา ก็ทำตามเป็นต้น เรื่องการคิด พฤติกรรมอื่น ๆ ของคริสเตียนก็แตกต่างมาก
ทิตัส 1:8-9
คุณสมบัติของผู้ปกครองนั้น เหมือนกับคุณสมบัติของทุกคนที่เป็นผู้เชื่อด้วย ไม่ได้ต่างอะไรกันนักรายการคุณสมบัติที่ดีซึ่งเราได้อ่านมาอย่างแรกคือ
ไร้ตำหนิ ซึ่งแทบจะครอบคลุมไปถึงพฤติกรรมต่าง ๆ ของเขาทั้งหมด ยิ่งกว่านั้น เขาต้องเห็นแก่คนอื่น สามารถให้เวลากับคนอื่น มีวินัย และหาก
เขาเป็นคนที่เพียบพร้อมอย่างที่ท่านเปาโลเขียนรายการมา เขาก็สามารถหนุนใจ ช่วยเหลือคนอื่นเป็นที่นับถือของผู้เชื่อในคริสตจักร
ทิตัส 1:10-11
คนที่ไม่ยอมร่วมมือเหล่านี้ มีความหมายถึงคนที่ไม่ยอมอยู่ใต้ผู้รับใช้ที่ได้รับการแต่งตั้ง ผ่านการทดสอบมาแล้ว ในคริสตจักรทุกวันนี้ เราก็ยังเจอ
คนที่ไม่ร่วมมือ ไม่อยู่ใต้การดูแล ที่หนักไปกว่านั้นคือสอนผิดตามประสานิสัยยิวเดิม นั่นคือ บอกว่าจะรอดได้ต้องเข้าสุหนัต ต้องทำพิธีแบบยิว
พวกเขาหลอกลวงคนอื่นเพื่อเงิน นั่นคือ เมื่อคนเข้าใจว่า พวกเขาเป็นผู้นำฝ่ายวิญญาณ ก็มักจะมีการถวายเกิดขึ้น
ทิตัส 1:12-14
สิ่งที่ท่านเปาโลเตือนนั้น เป็นเพราะมีคำกล่าวที่เป็นจริงจากกวีท่านหนึ่งที่รู้จักชาวครีตเป็นอย่างดีท่านเล่าว่าพวกเขามีนิสัยใจคออย่างไร ซึ่งเปาโล
เองก็ได้อ้างถึงท่านราวกับว่าท่านคุ้นเคยกับวรรณกรรมในสมัยโบราณเป็นอย่างดีด้วย ท่านเปาโลไม่ได้ห้ามทิตัสให้ตัดขาดคนเหล่านี้ แต่ให้เตือนสติ
เพื่อเขาจะเชื่ออย่างถูกต้อง พวกเขาจะเปลี่ยนได้ก็มีทางเดียวคือ ได้รับฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงจากองค์พระวิญญาณ นั่นเป็นความหวังเดียวที่ไว้ใจได้
ทิตัส 1:15-16
ชาวครีตที่ว่าเชื่อแต่ยังไม่เชื่อจริงนั้น ยังมีกรอบความคิดของตัวเอง ในเรื่องความบริสุทธิ์กับมลทินเช่น พวกเขาคิดว่า อาหารนี่บริสุทธิ์ อาหารนั้นเป็นมลทิน ท่านเปาโลให้ความเห็นว่า คนพวกนี้มีมโนธรรมมลทิน แล้วยังมาชักชวนให้คนที่รู้น้อยหลงคิดตามพวกเขาไป ยังคงไม่ยอมรับพระคุณของพระเยซู
ที่ทรงสิ้นพระชนม์บนกางเขนเพื่อคนที่วางใจในพระองค์ ดังนั้นท่านจึงสรุปว่า คนเหล่านี้ไม่ยอมเชื่อฟัง น่ารังเกียจ ไม่เหมาะที่จะเป็นคนดีเสียด้วยซ้ำ
พระคำเชื่อมโยง
1* 2 ทิโมธี 2:25; 1 ทิโมธี 3:16
2* กันดารวิถี 23:9
4* 2 โครินธ์ 2:13; 8:23
5* 1 โครินธ์ 11:34
6* 1 ทิโมธี 3:2-4
7* เลวีนิติ 10:9
10* ยากอบ 1:26
11* 1 ทิโมธี 6:5
12* กิจการ 17:28
13* 2 โครินธ์ 13:10
14* อิสยาห์ 29:13
15* 1 โครินธ์ 6:12
16* มัทธิว 7:20-23; 25:12 ; 2 ทิโมธี 3:5, 7; โรม 1:28
โยเอล 3 พิพากษาและรื้อฟื้น
สิ่งที่ชาติต่าง ๆ ทำกับคนของพระเจ้า
1 ดูเถิด ในวันเหล่านั้น และเวลานั้น
เมื่อเราจะรื้อฟื้นยูดาห์และเยรูซาเล็ม จากการเป็นเชลย
2 เราจะรวบรวมชาติต่าง ๆ
และนำพวกเขามายังหุบเขาเยโฮชาฟัท และที่นั่น
เราจะพิพากษาพวกเขาในประเด็นเรื่องประชากรของเรา
และมรดกของเราคืออิสราเอล
ซึ่งพวกเขาได้ทำให้กระจัดกระจายไปตามชาติต่าง ๆ
และได้แบ่งแยกแผ่นดินของเรา
3 พวกเขาได้จับฉลากจับประชากรของเราไป
และทำให้เด็กชายต้องขายตัว
และค้าเด็กหญิงเอาเงินไปดื่มเหล้าองุ่น
สำหรับผู้ที่ปฏิบัติตนร้ายกาจต่อคนของพระเจ้า
4 โอ ไทระ ไซโดน และพื้นที่แถบฟีลิสเตีย
พวกเจ้ามาต่อต้านเราด้วยเรื่องอะไร?
พวกเจ้าจะแก้แค้นเราอย่างนั้นหรือ?
หากเจ้าตอบโต้เรา
เราจะคืนมันกลับไปบนกบาลของพวกเจ้า
อย่างทันควันและรวดเร็ว
5 เพราะพวกเจ้าได้เอาเงินและทองของเราไป และนำทรัพย์สมบัติมีค่าของเราไปยังวิหารของพวกเจ้า
6 เจ้าขายประชาชนชาวยูดาห์และชาวเมืองเยรูซาเล็มให้กับพวกกรีกส่งพวกเขาไปไกลจากบ้านเกิดเมืองนอน
7 ดูเถิด เราจะเร้าพวกเขาให้ออกจากพื้นที่ ๆ พวกเจ้าขายเขาไป เราจะสนองการกระทำของเจ้าลงไปที่หัวของเจ้าเอง
8 เราจะขายลูกชายลูกสาวของเจ้าให้ไปอยู่ในมืองของคนยูดาห์ และ คนยูดาห์จะขายต่อพวกเขาไปให้คนซาเบียนซึ่งเป็นชาติที่อยู่แสนไกล เพราะพระยาห์เวห์ได้ตรัสแล้ว”
การพิพากษาที่หุบเขาเยโฮชาฟัท
9 จงประกาศเรื่องนี้ท่ามกลางชนชาติต่าง ๆ
“จงเตรียมทำสงคราม เร้าใจคนที่แข็งแกร่งทั้งหลาย
ให้นักรบทุกคนบุกเข้ามาและโจมตี!
10 จงตีคันไถให้เป็นดาบและขอลิดแขนงให้เป็นหอก
ให้คนอ่อนแอกล่าวว่า “ฉันเข้มแข็ง”
11 จงรีบมา ชาติต่าง ๆ ที่อยู่รอบ ๆ เอ๋ย จงรวมตัวกันที่นั่น
โอ พระยาห์เวห์ ขอทรงนำนักรบของพระองค์ลงมา
12 ขอเร้าใจชาติต่าง ๆ และขึ้นมายังหุบเขาเยโฮชาฟัท
เพราะที่นั่น เราจะนั่งตัดสินความชาติต่าง ๆ ที่อยู่ล้อมรอบ
13 แกว่งเคียวเกี่ยวเถอะ เพราะฤดูเก็บเกี่ยวมาถึงแล้ว
มา มาย่ำผลองุ่น เพราะบ่อองุ่นเต็มแล้ว
บ่อเก็บน้ำองุ่นก็ล้นแล้วด้วย เพราะความชั่วร้ายของเขามากยิ่งนัก
วันของพระเจ้า ณ หุบเขาแห่งการตัดสินใจ
14 ผู้คนจำนวนมาก ผู้คนจำนวนมาก
ในหุบเขาแห่งการตัดสินใจ
15 ดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์จะมืดไป
และดวงดาวจะไม่ส่องแสงต่อไป
16 พระยาห์เวห์จะทรงคำรามจากศิโยน
และเปล่งพระสุรเสียงจากกรุงเยรูซาเล็ม ฟ้าสวรรค์
และแผ่นดินโลกก็สั่นสะเทือน
แต่พระยาห์เวห์จะทรงเป็นที่ลี้ภัยให้กับประชากรของพระองค์
ทรงเป็นป้อมปราการเข้มแข็งให้กับประชากรของอิสราเอล
พระพรมีแก่ประชากรของพระเจ้า
17 แล้วเจ้าจะรู้ว่า เราคือ พระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า
ผู้ประทับในศิโยน ภูเขาบริสุทธิ์ของเรา
นครเยรูซาเล็มจะบริสุทธิ์
จะไม่ถูกคนต่างชาติเหยียบย่ำอีกต่อไป
การรื้อฟื้นครั้งสุดท้ายของอิสราเอล
18 และในวันนั้น ภูเขาจะส่งน้ำองุ่นหยดลงมา
และเนินเขาจะเต็มด้วยน้ำนม ลำธารทั้งหลายของ
ยูดาห์จะมีน้ำหลั่งไหล และจะมีน้ำพุออกมาจาก
พระนิเวศของพระยาห์เวห์
เพื่อรดน้ำให้กับหุบเขาอาคาเชีย (ชิทธีม)
19 อียิปต์จะกลายเป็นที่รกร้าง
และเอโดมจะเป็นถิ่นกันดารร้างเปล่า
เพราะความทารุณโหดร้ายที่พวกเขาทำต่อคนยูดาห์
พวกเขาได้ทำให้คนไร้ผิดต้องหลั่งเลือด
20 แต่ยูดาห์จะมีคนอาศัยตลอดไปเป็นนิตย์
และนครเยรูซาเล็มจะมีคนอาศัยอยู่ยุคแล้วยุคเล่า
21เพราะเราจะแก้แค้นแทนเลือดตกที่เรายังไม่ได้จัดการให้
เพราะพระยาห์เวห์ประทับในศิโยน
อธิบายเพิ่มเติม
โยเอล 3:1-8
บทนี้บอกถึงการรื้อฟื้นชนชาติอิสราเอล จากการเป็นเชลย
1 เมื่อกล่าวถึงวันเหล่านั้น เวลานั้น เป็นการอ้างไปถึงวันแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้า (เยเรมีย์ 33:15)
2 พระองค์ทรงแจ้งให้ชัดว่า จะทรงพิพากษาคดีใด ชาติต่าง ๆ ที่ต้องมาอยู่ต่อพระพักตร์คือชาติที่ได้เข้ามากดขี่ข่มเหงชนชาติของพระเจ้า (อิสยาห์ 66:18; เยเรมีย์ 25:31; เศฟันยาห์ 3:8) หุบเขาเยโฮชาฟัทมีความหมายว่า พระเจ้าทรงพิพากษา (อ่านมัทธิว 25:31-46)
3 แล้วพระองค์ทรงบอกว่า พวกเขาได้ทำอะไรกับคนของพระองค์ กับเด็กชายและเด็กหญิง นี่เป็นการค้ามนุษย์ในสมัยโบราณ เขามีการจับฉลากกันในขบวนการค้ามนุษย์นั้น
4 เมืองไทระ ไซโดน เป็นเมืองของชาวฟีนีเชียปกติแล้วมีความสัมพันธ์ที่ดีกับอิสราเอล แต่ก็ขึ้นอยู่กับผู้นำ บางครั้งพวกเขาก็เป็นภัยต่ออิสราเอล การที่พระเจ้าจะรื้อฟื้นอิสราเอลขึ้นมาได้ พระเจ้าก็ต้องทรงทำบางอย่างกับชนชาติเหล่านี้ด้วย พวกเขาไม่ได้นับถือพระเจ้าแห่งอิสราเอล พวกเขาเป็นเหมือนตัวแทนของศัตรูชาติอื่น ๆ ของอิสราเอล
5 ความผิดของพวกเขาคือ การเอาเครื่องใช้ เครื่องประดับต่าง ๆ ในพระวิหารไปยังวิหารเทพของตน
6 ชาวกรีกพวกนี้ เป็นคนที่พูดภาษากรีก ทั้งสองฝั่งของทะเลอีเจียน เราจะเห็นว่า มีค้ามนุษย์กันมาอย่างดาษดื่นแล้วในโลกโบราณ (อาโมส 1:6-9; เอเสเคียล 27:13)
7 พระเจ้าทรงตอบสนองพวกเขาอย่างที่เขาทำกับอิสราเอล พระเจ้าจะทรงช่วยอิสราเอลที่ถูกขายไปไกล และเราจะเห็นว่า ส่วนใหญ่ยิวไปอยู่ที่ไหน ก็จะมีสภาพดีขึ้น พวกเขามักเป็นนักธุรกิจที่เฉลียวฉลาด
8 ชนชาติซาเบียน เป็นพวกพ่อค้าที่อาศัยในอาราเบีย (เยเรมีย์ 6:20)
โยเอล 3:9-17
ต่อไปนี้ โยเอล กลับไปที่เรื่องราวของ 1-3
เป็นการรวบรวมชาติต่าง ๆ มาที่ศาลคือหุบเขาเยโฮชาฟัท
9 ข้อนี้ พระเจ้าทรงเรียกให้ชาติต่าง ๆ ทำสงคราม แต่เป็นการทำสงครามเพื่อพิพากษาพวกเขา
10 เป็นเพราะจะต้องเข้าสงคราม อุปกรณ์ทำการเกษตร จึงจะต้องถูกเปลี่ยนเป็นอาวุธ ซึ่งตรงกันข้ามกับเหตุการณ์ในอิสยาห์ 2:4 (ที่เป็นการปกครองของพระเจ้า และพระเมสสิยาห์จะเป็นผู้จบสงครามให้) แม้กระทั่งคนที่อ่อนแอ ก็จะต้องเข้าสงครามด้วย เพราะอิสราเอลต้องการชายทุกคนให้เข้าไปต่อสู้
11 เรียกชาติต่าง ๆ ก็จริง แต่โยเอลก็เรียกนักรบของพระเจ้าลงมาด้วย (สดุดี 68:17; 103:19-20) เราเห็นกองทัพสองแบบ พวกแรกมาจากชาติต่าง ๆ อีกพวกเป็นของพระเจ้า
12 ให้เรียกชนชาติต่าง ๆ ขึ้นมาเพื่อพระเจ้าจะทรงพิพากษาพวกเขา
13 โยเอลกล่าวถึงการการเก็บเกี่ยวผลองุ่น การย่ำบ่อองุ่น มีความหมาย……
14 หุบเขาแห่งการตัดสินใจ น่าจะเป็นชื่อเรียกของหุบเขาเยโฮชาฟัทนั่นเอง หรืออาจจะเล็งไปถึงการที่ผู้คนสามารถตัดสินใจได้ว่า จะกลับใจ และติดตามพระเจ้า หรือเดินตามทางของตนเอง
15 ข้อ 15 และ 16 นี้ พูดเหมือน 2:30-32 บรรยายภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในท้องฟ้า แต่พระเจ้าทรงยื่นความช่วยเหลือมาให้ประชากรของพระองค์ ท่ามกลางวิบัติต่าง ๆ ดูเศฟันยาห์ 2:1-3 บอกให้ผู้คนตามหาความถูกต้องกับพระเจ้าเพื่อจะรอดพ้น
17 โยเอลเห็นว่า วันหนึ่งข้างหน้า เมื่อคนต่างชาติเข้ามา จะไม่เหยียบย่ำทำลายเยรูซาเล็มอีกต่อไป แต่จะมานมัสการพระเจ้า เหมือนกับเหตุการณ์ในเศคาริยาห์ 8:20-23
โยเอล 3:18-21
18 หุบเขาอาคาเชียเป็นที่ ๆ มีต้นอาคาเชียขึ้น อยู่ทางเหนือของทะเลตาย เป็น ที่ ๆ คนอิสราเอลพักก่อนที่จะเข้าไปในแผ่นดินที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ โยชูวา 2:1, 3:1จากการพิพากษา โยเอลหันมากล่าวเรื่องของพระพรแห่งพันปีจะมีองุ่นมากมายจนหยดเป็นน้ำองุ่น น้ำนมมากมายก็แสดงว่ามีสัตว์ที่ให้นมมากพอ
19 การที่อียิปต์ เอโดมเคยทำร้ายคนอิสราเอล พระเจ้าจะทรงเอาคืนให้เอง ศัตรูของพวกเขาจะกลับต้องพบกับความกันดาร อียิปต์กับเอโดมเป็นตัวแทนของชาติต่าง ๆ ที่ต่อต้านพระเจ้า
20 พระเจ้าจะให้แผ่นดินของพระองค์ไม่ขาดประชากรเลย
21 เราเคยได้รับคำสั่งจากพระเจ้าว่า อย่าแก้แค้น การแก้แค้นเป็นของพระองค์ โยเอลบอกชัดเจนว่า พระเจ้าจะทรงจัดการให้เอง ไม่ต้องกังวล สิ่งใดที่คนกระทำต่อผู้อื่นอย่างโฉดชั่ว พระเจ้าจะทรงเอาคืน และสิ่งที่สำคัญคือ บอกย้ำครั้งสุดท้ายว่า พระเจ้าประทับในศิโยน (2:27, 3:17)
พระคำเชื่อมโยง
1* เยเรมีย์ 30:3
2* เศคาริยาห์ 14:2; อิสยาห์ 66:16
3* เนหะมีย์ 3:10
4* อาโมส 1:6-8
7* เยเรมีย์ 23:8
8* เอเสเคียล 23:42; เยเรมีย์ 6:20
9* เอเสเคียล 38:7
10* อิสยาห์ 2:4; เศคาริยาห์ 12:8
11* อิสยาห์ 13:3
12* อิสยาห์ 2:4
13* วิวรณ์ 14:15; เยเรมีย์ 51:33; อิสยาห์ 63:3
14* โยเอล 2:1
16* อิสยาห์ 51:5-6
17* เศคาริยาห์ 8:3
18* เอเสเคียล 47:1
21* อิสยาห์ 4:4
โยเอล 2 วันของพระเจ้ากำลังมา
กองทัพใกล้เข้ามา
1 จงเป่าเขาแกะผู้ในศิโยน
ส่งเสียงเตือนบนภูเขาบริสุทธิ์ของเรา
ให้ทุกคนที่อาศัยในแผ่นดิน ตัวสั่นเทา
เพราะวันของพระยาห์เวห์ กำลังมาใกล้ มาใกล้แล้ว
2 เป็นวันแห่งความมืดและหมองหม่น
วันที่เต็มด้วยหมู่เมฆและความมืดทึบ
เหมือนกับเวลาเช้ามืดที่แผ่ปกคลุมบนภูเขา
มีกองทัพใหญ่ที่แข็งแกร่งปรากฎขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน และจะไม่มีอีกต่อไปในยุคต่อ ๆ มา
กองทัพใหญ่ที่อำนาจทำลายล้างสูง
3 มีกองไฟเผาผลาญนำหน้ามัน
และตามหลังมันคือไฟเผาไหม้
แผ่นดินหน้ามันงดงามดั่งสวนเอเดน
แต่แผ่นดินด้านหลัง เป็นถิ่นกันดารที่ร้างเปล่า
ไม่มีสิ่งใดอาจหนีมันไปได้เลย
4 พวกมันปรากฏขึ้นเหมือนกับม้า
มันควบราวกับม้าศึก
5 และมีเสียงเหมือนรถรบ
พวกมันวิ่งโลดอยู่บนยอดเขาทั้งหลาย
เป็นเหมือนเปลวไฟที่ไหม้ตอข้าว
เป็นเหมือนกองทัพที่ทรงอำนาจ
ตั้งแนวรบเข้าประจันบาญ
กองทัพที่ไม่ปราณี
6 ชาติต่าง ๆ บิดตัวด้วยความกลัวต่อหน้าพวกมัน ทุกคนหน้าซีดเผือด
7 พวกมันกระโจนเข้ามาเหมือนนักรบกระโดดข้ามกำแพงเหมือนทหารต่างเดินแถวเป็นขบวน ไม่แตกแถวที่กำหนดไว้
8 พวกมันไม่ปะทะกันเลย ต่างเดินแถวในทางของตน
พวกมันทะลุ ผ่านแนว ป้องกันไม่มีสิ่งใดยับยั้งพวกมันได้
9พวกมันเหยียบย่ำเข้าไปในเมือง
วิ่งบนกำแพงเมืองปีนเข้าไปในบ้าน
เข้าไปตามหน้าต่างราวกับโจร
กองทัพที่ทรงพลัง
10 แผ่นดินไหวเบื้องหน้าพวกมัน
และสวรรค์ก็สั่นสะเทือน
ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์มืดไป
ดวงดาวทั้งหลายไม่ส่องแสง
11องค์พระยาห์เวห์
ทรงเปล่งพระสุรเสียงต่อกองทัพของพระองค์
ความจริงแล้ว กองทัพของพระองค์ใหญ่มหึมา
ผู้ที่ฟังคำบัญชาของพระองค์ก็ทรงพลังมาก
เพราะวันแห่งพระยาห์เวห์นั้นยิ่งใหญ่
และน่ากลัวเหลือเกิน ใครล่ะ จะทนได้?
ขอร้องให้กลับใจ
12 พระยาห์เวห์ทรงประกาศว่า
“บัดนี้ เจ้าทั้งหลายจงกลับมาหาเราด้วยสุดใจ ด้วยการอดอาหาร การร้องไห้ และคร่ำครวญเสียใจ
13 จงฉีกใจของเจ้า ไม่ใช่ฉีกเสื้อผ้า”
จงกลับมาหาพระยาห์เวห์ พระเจ้าของเจ้า เพราะพระองค์ทรงเต็มด้วยพระเมตตาและพระกรุณา ทรงกริ้วช้า และบริบูรณ์ด้วยความรักมั่นคง
และพระองค์ทรงเปลี่ยนพระทัยที่จะไม่ส่งหายนะมายังเจ้า (อพยพ 34:6)
14 ใครจะรู้บ้าง? พระองค์อาจทรงกลับมา และเปลี่ยนพระทัย และเหลือพระพรไว้เบื้องหลังพระองค์
คือ ให้มีธัญบูชาและเครื่องดื่มบูชา
เอาไว้ถวายพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน
ร้องเรียกให้กลับใจทั้งชุมชน
15 จงเป่าเขาแกะผู้ในศิโยน
จัดให้มีการอดอาหารด้วยกัน
จงจัดให้มีการประชุมรวมกัน
16 รวมรวมประชากร ชำระชุมนุมชนนี้ให้บริสุทธ์ รวบรวมผู้อาวุโสรวบรวมเด็ก ๆแม้กระทั่งเด็กที่ยังกินนมอยู่
ให้เจ้าบ่าวออกมาจากเรือนหอ
และเจ้าสาวออกมาจากห้องของเธอ
17ให้เหล่าปุโรหิตที่รับใช้ต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ ร่ำไห้ระหว่างเฉลียงและแท่นบูชาร้องว่า “โอ พระยาห์เวห์
ขอทรงโปรดไว้ชีวิตของประชากรของพระองค์ด้วย ขออย่าทรงให้มรดกของพระองค์เป็นที่ครหา เป็นที่เยาะเย้ย ท่ามกลางประชาชาติ
เหตุใดพวกเขาจะพูดท่ามกลางประชาชนว่า “พระเจ้าของเจ้าอยู่ที่ไหน?”
วันของพระเจ้าที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
18 แล้วองค์พระยาห์เวห์
ทรงหวงแหนแผ่นดินของพระองค์และทรงสงสารคนของพระองค์
19 และพระยาห์เวห์ทรงตอบ
ตรัสกับประชากรของพระองค์ว่า
“ดูเถิด เรากำลังส่งข้าว เหล้าองุ่น และน้ำมันให้เจ้าและเจ้าจะอิ่มหนำ
และเราจะไม่ทำให้เจ้าเป็นที่ครหาของชาติต่าง ๆ อีกต่อไป
20 เราจะเอาพวกที่อยู่ทางเหนือออกไปให้ไกลจากเจ้า
จะขับไล่มันไปยังแผ่นดินแห้ง ร้างเปล่า
กองหน้าจะเข้าไปในทะเลตะวันออก
และกองหลังจะไปทางทะเลตะวันตก
20 กลิ่นเหม็นคลุ้ง และกลิ่นเหม็นเน่าของมันจะโชยขึ้นมา เพราะพระองค์ได้ทรงกระทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่
21 โอแผ่นดินเอ๋ย อย่ากลัวเลย
จงชื่นชมและยินดี
เพราะพระเจ้าทรงทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่
พระเจ้าทรงอยู่ท่ามกลางอิสราเอล
22 โอ สัตว์ทั้งหลายในทุ่งเอ๋ย เพราะทุ่งหญ้าในถิ่นกันดารนั้น เขียวสด ต้นไม้ก็ออกผล ต้นมะเดื่อและเถาองุ่น ออกผลเต็มที่
23 โอ ลูกหลานของศิโยนเอ๋ย จงยินดีในพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า เพราะพระองค์ประทานฝนต้นฤดูแก่เจ้าเพื่อแสดงว่าเจ้าเที่ยงธรรม
พระองค์เทฝนลงมาให้เจ้าอย่างเกินพอ ทั้งฝนต้นฤดูและฝนปลายฤดูเหมือนอย่างที่เคย
24 ลาดนวดข้าวจะเต็มด้วยเมล็ดข้าว และ ถังเก็บเหล้าองุ่นและน้ำมันก็เต็มล้น
25 เราจะชดเชยปีเดือนที่ฝูงตั๊กแตนได้กินไป ทั้งตั๊กแตนจอมเขมือบ ตั๊กแตนกองทัพใหญ่ที่เราส่งมาท่ามกลางเจ้า
26 เจ้าจะมีกินบริบูรณ์ และอิ่มหนำ และจะสรรเสริญพระนามของพระยาห์ เวห์ พระเจ้าของเจ้า ผู้ได้จัดการกับเจ้าอย่างมหัศจรรย์ และคนของเราจะไม่ถูกครหาอีกต่อไป
27 แล้วเจ้าจะรู้ว่า เราอยู่ท่ามกลางอิสราเอล และเราคือ พระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า ไม่มีผู้ใดนอกเหนือจากเรา และประชากรของเราจะไม่เป็นที่ครหาอีกต่อไป
พระเจ้าจะทรงเทพระวิญญาณของพระองค์ลงมา
28 และต่อมาภายหลัง
เราจะเทพระวิญญาณของเราลงมาเหนือมนุษย์ทุกคน
ลูกชายและลูกสาวของพวกเขาจะเผยพระคำ
คนชราจะฝันเห็น และคนหนุ่มจะเห็นนิมิต
29 ในเวลานั้น เราจะเทพระวิญญาณของเราลงมา
เหนือแม้กระทั่ง คนรับใช้ทั้งชายและหญิง
30 เราจะแสดงการอัศจรรย์ในท้องฟ้า
และบนแผ่นดินโลก เลือด ไฟ และ กลุ่มเกลียวควัน
31 ดวงอาทิตย์จะมืดไป
ดวงจันทร์กลายเป็นสีเลือด
ก่อนที่วันยิ่งใหญ่อันน่าสะพรึงของพระยาห์เวห์จะมาถึง
32 และทุกคนที่ร้องออกพระนามของพระยาห์เวห์
จะรับความรอด
เพราะจะมีคนรอดบนภูเขาศิโยน
และในนครเยรูซาเล็มตามที่พระยาห์เวห์ได้ตรัสไว้แล้ว
และในหมู่คนที่เหลืออยู่นั้น
จะมีคนที่พระยาห์เวห์ทรงเรียกด้วย
อธิบายเพิ่มเติม
โยเอล 2:1-2
1 โยเอลสั่งให้เป่าเขาสัตว์ เพื่อให้ทุกคนได้เตรียมพร้อมที่จะรับวันขององค์พระผู้เป็นเจ้า การเป่าเขาสัตว์ในสมัยโบราณเป็นการเตือนภัยที่กำลังใกล้เข้ามา ทุกคน ตัวสั่นเมื่อได้ยินเสียงเขาสัตว์ เพราะรู้ว่าจะเกิดภัยพิบัติแล้ว
ศิโยนหรือเยรูซาเล็มถือเป็นที่ประทับของพระเจ้า
พระเจ้าทรงเตือนล่วงหน้าให้คนอิสราเอลได้กลับใจก่อนที่จะเกิดเหตุร้ายขึ้น หรืออาจจะเป็นการบอกว่า พระเจ้ากำลังเสด็จมา (ในซีนาย ก็มีการเรียกเช่นนี้ มีความมืดเตือนล่วงหน้า (ฉธบ. 4:10-11 ) เป็นความมืดคล้ายเช้ามืด (ชาคาร์)
จากข้อ 1-11 บอกว่าจะถูกบุก ส่วน 12-17 เป็นคำสั่งให้กลับมาหาพระเจ้า
2 ความมืด ความหมองหม่นนั้นชี้ให้เห็นถึงวันที่พระเจ้าปรากฏพระองค์บนภูเขาซีนาย (อพยพ 19:16-19) เป็นภาพเงาชี้ไปถึงวันของพระองค์ในอนาคต (อาโมส 5:18-20)
โยเอล 2;3-5
3 พออ่านเราก็เห็นภาพไฟที่ลามเข้าไปในทุ่ง แล้วไม่อาจหยุดได้ เราก็เห็นอนาคตแล้ว กำลังบอกว่า หายนะมาแล้ว เมื่อพระเจ้าเสด็จมา จะมีเพลิงมาก่อนหน้าพระองค์ (สดุดี 50:3) และที่มานี้ร้อนแรง เผาผลาญ หยุดไม่ได้ แม้แผ่นดินข้างหน้าจะงดงามราวเอเดน ก็จะกลายเป็นดินที่ร้อนผ่าว เต็มด้วยควันลอยขึ้นมา
4-5 เราจะเห็นว่า ทั้งตั๊กแตนและกองทัพม้าศึกนั้นคล้ายกันมากตรงที่มาเร็ว ดุเดือด ดุดัน เสียงสนั่น และไม่อาจที่จะทัดทานได้ เมื่อมันจากไปก็ไม่เหลืออะไร ม้านี้มาเป็นม้าศึกเพราะมาพร้อมกับรถด้วย การเข้ามาบุกครั้งนี้ มาแบบเต็มที่
โยเอล 2:6-9
6 ทุกคนเห็นอย่างนี้ ก็รู้ว่า ชีวิตของตนสิ้นสุดแน่
7-9 ลักษณะของกองทัพนี้ มีวินัยอย่างสูง แม่นยำ มีประสิทธิภาพมาก เมื่อได้รับคำสั่งมาอย่างไร ก็จะทำตาม เราจะเห็นภาพของการกระโจน กระโดด เดินแถว เหยียบย่ำ วิ่ง เข้าตามหน้าต่าง พวกเขาเคลื่อนไหวราวกับไม่มีอุปสรรคใด ๆ ทั้งที่มีกำแพงเมือง มีแนวป้องกัน มีบ้าน มีหน้าต่าง
โยเอล 2:10-11
10 กองทัพนี้ พบแผ่นดินไหวเบื้องหน้า จักรวาลสะเทือน อาทิตย์ จันทร์ ดาว มีดไปพร้อม ๆ กัน ไม่มีวันไหนจะสร้างเหตุการณ์น่าสะพรึงสุดขีดเช่นนี้ได้นอกจากเป็นวันขององค์พระผู้เป็นเจ้า คำว่า สั่นสะเทือนในที่นี้ ภาษาฮีบรูว่า ราอาช เกี่ยวข้องกับวันที่พระเจ้าทรงพิพากษาครั้งสุดท้ายนี้ ดูฮักกัย 2:6; อาโมส 8:8-9
11 พระสุรเสียงของพระเจ้านั้นดังแบบที่ไม่มีลำโพงตัวไหนในโลกจะรับได้เลย เป็นเสียงดั่งฟ้าร้องดังเข้าไปถึงส่วนลึกของร่างกาย (เยเรมีย์ 10:13) กองทัพที่แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะรับคำบัญชาของพระองค์ได้ เป็นคนอื่นไม่อาจทนได้เลย
โยเอล 2:12-14
12 ยัง ยังพอมีโอกาสให้แก้ไขสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น พระเจ้าทรงสั่งให้กลับมาหาพระองค์ อดอาหาร เสียใจต่อความผิด ต่อความเย็นชาที่อิสราเอลทำกับพระองค์ จะเห็นว่าแม้จะอยู่กลางความวิกฤติ พระเจ้ายังทรงเรียก และทรงพร้อมจะพลิกวิกฤติเหล่านั้น
13พระองค์ทรงเรียกให้กลับมาด้วยสุดใจ ไม่ใช่แบบเล่น ๆ หรือเป็นแค่พิธีกรรม คำที่ว่า พระองค์ทรงเปลี่ยนพระทัยไม่ให้พวกเขามีหายนะ ทำให้เกิดความหวังใจ เราต้องตระหนักว่า พระเจ้าทรงเมตตา กรุณา กริ้วช้า เต็มด้วยความรัก พระองค์ไม่ทรงประสงค์ให้คนบาปต้องเจอหายนะ และมีทางเดียวที่จะหลีกเลี่ยงได้ นั่นคือการกลับใจ
14 นี่ไง .. ใครจะรู้? ใครจะคาดได้ พระเจ้าอาจทรงกลับมาเปลี่ยนพระทัย หากเรารู้จักพระเจ้าของเรา เราจะรู้ว่า พระเจ้าทรงให้โอกาสกับเราบ่อยเหลือเกิน เราเองกลับทิ้งโอกาสนั้นไป ไม่มีเยื่อใยกับองค์พระผู้เป็นเจ้า ใครจะรู้บ้างว่า ต่อไปจะมีของถวาย พืชผลไร่นาจะกลับมาเหมือนเดิม
โยเอล 2:15-17
15 โยเอลสั่งให้เป่าเขาสัตว์เรียกประชุม เพื่อให้อดอาหารอธิษฐาน และกลับใจใหม่กันให้ทั่วทุกคน
16 ไม่มีการเว้นใครทั้งคนชรา แม้กระทั่งเด็กเล็ก หนุ่มสาวที่เพิ่งแต่งงาน เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมาก สำคัญต่อคนรุ่นต่อไปอย่างยิ่ง
17 และผู้ที่จะนำอธิษฐานเพื่อคนทั้งหลายก็คือปุโรหิตนั่นเอง มีการประชุมกันระหว่างเฉลียงและแท่นบูชาพระเจ้า พวกเขาจะขอให้พระเจ้าทรงไว้ชีวิต และอย่าให้เป็นที่นินทาของชาติต่าง ๆ เวลาคนอื่นดูหมิ่นอิสราเอลก็มักจะกล่าวว่า “พระเจ้าไปไหนกันนี่ หรือพระเจ้าของเจ้าอยู่ไหนกัน? เป็นคำถามที่คนจะกล่าวเพื่อให้เห็นว่า อิสราเอลไม่มีพระเจ้าปกป้อง
โยเอล 2:18-21
จากนี้ไป โยเอลได้หักมุมมายังการรื้อฟื้นใหม่ของอิสราเอล เราจะเห็นการรื้อฟื้นทั้งฝ่ายร่างกาย (2:21-27) จิตวิญญาณ (2:28-32) และการรื้อฟื้นชาติขึ้นมาใหม่ด้วย (บทที่ 3)
18 การที่กล่าวว่า พระเจ้าทรงหวงแหนแผ่นดินของพระองค์นั้น คือความมุ่งมั่นของพระเจ้าที่จะเข้ามาช่วยคนของพระองค์ เพื่อพระเกียรติสิริของพระองค์ (เศคาริยาห์ 1:14) เราจะเห็นว่า พระเจ้าทรงต้อนรับคนที่กลับใจจริง 19 ต่อมา พระเจ้าทรงสัญญาจะส่งข้าว เหล้าองุ่น และน้ำมันให้ จะทรงทำให้อิ่ม ไม่เป็นที่นินทา พระองค์ทรงตอบคำอธิษฐานของปุโรหิตที่อธิษฐานพร้อมกับประชาชน นี่เป็นเพราะพระเจ้าทรงสงสารพวกเขา ทรงรู้ว่าหากไม่เป็นเพราะพระองค์ทรงช่วย พวกเขาไม่มีวันที่จะได้สิ่งดีคืนมาเป็นแน่
20-21 พระเจ้าจะทรงจัดการกับศัตรูของอิสราเอลด้วยพระองค์เอง พระองค์จะทรงขับไล่พวกเขาไปยังที่ร้าง ทิศต่าง ๆ พวกเขาจะตายเป็นกอง … ทั้ง ๆ ที่พวกเขาเป็นกองทัพที่เกรียงไกร แต่ในที่สุดจะกลายเป็นแค่ซากศพ
โยเอล 2:22-27
โยเอลกำลังมองไปในอนาคต เขาเห็นว่า พระเจ้าทรงทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งมนุษย์ไม่อาจทำได้
22 พระองค์ทรงให้สัตว์ทุ่งได้ยินดี เพราะมีทุ่งหญ้าเขียวสดเกิดขึ้น (สดุดี 33:…) เปรียบเหมือนเอเดนเลยทีเดียว (2:3)
23 จากบทที่หนึ่งโยเอลเห็นแต่หายนะ แต่มาเวลานี้ ด้วยความเชื่อ เขาเห็นว่า พระเจ้าจะประทานฝนต้นและปลายฤดูให้อย่างเคย มาถึงเวลานี้ คนอิสราเอลที่ไม่เคยเห็นความดีของพระเจ้าจะเข้าใจว่า พระองค์เท่านั้นที่ทรงเลี้ยงดูพวกเขาอยู่ ไม่ใช่เหล่ารูปเคารพที่พวกเขาหลงไปกราบไหว้
24 พระเจ้าประทานอาหารเหล้าองุ่น น้ำมันให้กลับมามีอย่างเหลือเฟือ
25 พระเจ้าจะประทานสิ่งที่เคยมีมาก่อนชดเชยให้ แม้ว่าทุกอย่างจะถูกทำลายอย่างราบเป็นหน้ากลอง พระเจ้าจะทรงคืนให้
26 พวกเขาจะได้รับความอุดมสมบูรณ์ และจะกลับมาสรรเสริญพระเจ้าอีกครั้ง
27 การคืนความสุขให้อีกหลังจากที่พวกเขาได้สารภาพบาปกลับใจนั้น ทำให้อิสราเอลได้เห็นว่า ทรงเป็นพระเจ้ายิ่งใหญ่สูงสุด สงครามที่เข้ามา วิบัติต่าง ๆ ล้วนแต่จะนำพวกเขาให้กลับมาหาพระองค์ทั้งสิ้น พวกเขาจะได้รู้ว่า พระเจ้าทรงรักษาพันธสัญญาของพระองค์ และจะทรงเอาความอับอายของพวกเขาออกไป
โยเอล 2:28-32
จากนี้ไปเราจะเห็นการรื้อฟื้นฝ่ายวิญญาณ
หลังจากที่พระเจ้าทรงให้ความอุดมสมบูรณ์กลับคืนมาแล้ว
28 สิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้น จะเกิดกับคนทุกคน ทุกวัย คนทุกชนชั้น!! ในสมัยพระคัมภีร์เดิมเราเห็นพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตเฉพาะบุคคลอย่างเช่น แซมสัน โยเซฟ โยชูวา เป็นต้น
แต่ภายหลัง .. พระเจ้าประทานให้ทุกคนตามที่พระองค์ทรงพอพระทัย และสิ่งนี้ได้สำเร็จในวันเพนเตคอส ในกิจการบทที่ 2 ตามที่โยเอลบอก ตามที่พระเยซูทรงบอกเช่นกัน
29 เราจะเห็นว่า พระเจ้าไม่ได้เทพระวิญญาณมาเฉพาะกลุ่มคนที่เป็นผู้รับใช้พระเจ้าโดยตรง แต่เหนือผู้เชื่อโดยไม่ต้องมาแบ่งชนชั้น สีผิว ฐานะ ตำแหน่ง
30 จากนั้นพระเจ้าจะทรงให้เกิดการอัศจรรย์ยิ่งใหญ่ในท้องฟ้า บนแผ่นดินอย่างที่เราไม่เคยเห็นกันมาก่อน เป็นสิ่งที่ยังไม่ได้เกิดขึ้น
31 แต่จะเกิดก่อนวันขององค์พระผู้เป็นเจ้าตอนนั้น เราอาจกลับใจไม่ทัน
32 พระเจ้าทรงสัญญาจะให้คนที่ร้องออกพระนามของพระเยซูคริสต์ เชื่อพระนามว่า เป็นพระนามเดียวที่ให้ความรอด คนที่หลงเหลือในอิสราเอลซึ่งพระเจ้าทรงเลือกและเรียกจะได้รับความรอด (มีคาห์ 2:12; ดาเนียล 11:45)
พระคำเชื่อมโยง
1* เยเรมีย์ 4:5; กันดารวิถี 10:5; โอบาดีย์ 15;
อาโมส 7:1-9
2* อาโมส 5:18; โยเอล 1:6; 2:11, 25; ดาเนียล 9:12; 12:1
3* อิสยาห์ 51:3; เศคาริยาห์ 7:14
4* วิวรณ์ 9:7
5* วิวรณ์ 9:9
6* เนหะมีย์ 2:10
7* สุภาษิต 30:27
9* เยเรมีย์ 9:21; ยอห์น 10:1
10* สดุดี 18:7; อิสยาห์ 13:10, 34:4
11* เยเรมีย์ 25:30; วิวรณ์ 18:8; อาโมส 5:18; มาลาคี 3:2
12* เยเรมีย์ 4:1
13* สดุดี 34:18; 51:17; ปฐมกาล 37:34; อพยพ 34:6
14* เยเรมีย์ 26:3; ฮักกัย 2:19; โยเอล 1:9, 13
15* กันดารวิถี 10:3; โยเอล 1:14
16* อพยพ 19:10; สดุดี 19:517* มัทธิว 23:35; อพยพ 32:11-12; สดุดี 42:10
18* อิสยาห์ 60:10, 63:9
19* มาลาคี 3:10
20* อพยพ 10:19; เยเรมีย์ 1:14-15; เฉลยธรรมบัญญัติ 11:24
22* โยเอล 1:19
23* อิสยาห์ 41:16 ; เลวีนิติ 26:4
25* โยเอล 1:4-7; 2:2-11
26* เลวีนิติ 26:5 ; อิสยาห์ 45:17
27* เลวีนิติ 26:11-12 ; อิสยาห์ 45:5-6
28* เอเสเคียล 39:29 ; เศคาริยาห์ 12:10; อิสยาห์ 54:13 ; กิจการ 21:9
29* กาลาเทีย 3:28
30* มัทธิว 24:29
31* อิสยาห์ 13:9-10; 34:4; มาลาคี 4:1, 5-6
32* โรม 10:13 ; อิสยาห์ 46:13; มีคาห์ 4:7
สุภาษิต 31 ถ้อยคำจากกษัตริย์เลมูเอล
นี่เป็นคำสอนจากเลมูเอล กษัตริย์แห่งมัสสา
1 ต่อไปนี้เป็นคำกล่าวของกษัตริย์เลมูเอล
เป็นถ้อยคำที่ท่านแม่ของท่านได้สอนไว้
2 ลูกชายของแม่เอ๋ย แม่จะพูดอย่างไรดี?
โอ ลูกชายจากครรภ์ของแม่ ?
โอ ลูกชายที่เกิดจากคำสัญญา?
3 เจ้าอย่าไปเสียแรงของเจ้าให้กับผู้หญิง
หรือกำลังวัยหนุ่มของเจ้ากับคนที่ทำลายเหล่ากษัตริย์
4 โอ เลมูเอล .. สิ่งนี้ไม่ใช่สำหรับองค์กษัตริย์
การดื่มเหล้าองุ่นไม่เหมาะกับองค์กษัตริย์
ไม่เหมาะสมเลยที่เหล่าผู้นำจะโหยหาสุรา
5 เพราะหากดื่มไปแล้ว ท่านก็อาจจะลืมไปว่า
ได้ออกกฎหมายอะไรไปบ้าง
และทำให้คนที่ถูกข่มเหงไม่ได้รับความเป็นธรรม
6 จงเอาเครื่องดื่มแรง ๆ ให้กับคนที่กำลังพินาศ
และเหล้าองุ่นให้กับคนที่กำลังทุกข์ทรมานใจ
7 ให้เขาดื่มเพื่อจะลืมความยากจน
และลืมความทุกข์ลำเค็ญของตน
8 จงเป็นปากเสียงให้กับคนที่ไม่อาจปกป้องตนเองได้
จงช่วยคนที่ถูกทอดทิ้ง
9 จงเป็นปากเสียงให้กับพวกเขาและพิพากษาอย่างเที่ยงธรรม
จงรักษาสิทธิคนยากจนและคนขัดสน
คุณความดีของสตรีที่ดีเลิศ
10 ใครบ้างที่จะหาภรรยาที่เลิศล้ำได้?
เธอนั้นทรงคุณค่ายิ่งกว่าอัญมณี
11 สามีวางใจในตัวเธอ
และเขาไม่ขาดสิ่งดีใด ๆ เลย
12 ตลอดวันคืนแห่งชีวิตของเธอ
เธอนำสิ่งดี ๆ มาให้เขา ไม่ใช่ความเสียหาย
13 เธอตามหาขนแกะ และใยป่าน
แล้วทำงานด้วยมือทั้งสองอย่างเต็มใจ
14เธอเป็นเหมือนเรือสินค้า
ที่นำอาหารมาจากแดนไกล
15 เธอตื่นตั้งแต่ฟ้ายังมืด
เพื่อจัดหาอาหารให้คนในครัวเรือน
และยังมีส่วนแบ่งให้กับสาวใช้ของเธอด้วย
16 เธอออกไปสำรวจที่ดินและซื้อไว้
เธอปลูกสวนองุ่นจากรายได้แห่งน้ำมือของเธอ
17 เธอทำให้ตัวเองมีกำลัง
เธอทำให้แขนของเธอแข็งแกร่ง
18 เธอคอยดูว่าสินค้านั้นให้ผลกำไรที่ดี
และยามค่ำ ตะเกียงของเธอก็ไม่ดับ
19 เธอยื่นมือออกม้วนด้าย
และทอผ้าด้วยมือของเธอ
20 เธอโอบอ้อมช่วยเหลือคนยากจน
และยื่นมือออกช่วยคนขัดสน
21 เมื่อหิมะตก ก็ไม่ต้องห่วงคนในครอบครัว
เพราะพวกเขาสวมเสื้อผ้าทอสีแดงสด
22 เธอทำผ้าคลุมที่นอนด้วยตัวเอง
เสื้อผ้าของเธอเป็นผ้าลินินเนื้อดีสีม่วง
23 สามีของเธอเป็นที่รู้จักที่ประตูเมือง
เขานั่งอยู่ท่ามกลางผู้ใหญ่ของแผ่นดิน
24 เธอทำเสื้อผ้าลินินไว้ขาย
และส่งผ้าคาดเอวให้กับพ่อค้า
25 พลังและความงามสง่าเป็นอาภรณ์ของเธอ
เธอหัวเราะให้กับอนาคตที่จะมาถึง
26 เธอเอ่ยปากกล่าวคำแห่งสติปัญญา
และลิ้นของเธอมีคำสอนเจือความเมตตา
27 เธอดูแลกิจการทั้งสิ้นในครัวเรือนของเธอ
และไม่กินอาหารที่ได้มาจากการอยู่นิ่งเฉย
28 ลูก ๆ ของเธอลุกขึ้นมาและเรียกเธอว่า
คุณแม่ผู้ได้รับพระพร สามีก็ยกย่องเธอเช่นกัน
29“สตรีมากมายได้ทำสิ่งที่มีเกียรติ
แต่เธอนั้นเป็นเลิศเหนือพวกเธอเหล่านั้น!”
30 เสน่ห์เป็นสิ่งที่หลอกลวงตา และความงามก็ไม่ถาวร
แต่สตรีที่ยำเกรงพระยาห์เวห์เป็นคนที่น่ายกย่อง
31 ขอให้เธอได้รับผลจากน้ำมือของเธอ
ให้การงานของเธอเชิดชูเธอที่ประตูเมือง
พระคำเชื่อมโยง สุภาษิต 31
2* อิสยาห์ 49:15
3* สุภาษิต 5:9; เฉลยธรรมบัญญัติ 17:17
4* ปัญญาจารย์ 10:17
5* โฮเชยา 4:11
6* สดุดี 104:15
8* โยบ 29:15, 16
9* เลวีนิติ 19:15; เยเรมีย์ 22:16
10* สุภาษิต 12:4; 19:14
15* โรม 12:11; ลูกา 12:42
20* เอเฟซัส 4:28
23* สุภาษิต 12:4
โยเอล 1 กลับใจได้แล้ว!!
การจู่โจมของตั๊กแตนในยูดาห์
1นี่เป็นพระดำรัสของพระยาห์เวห์
ที่มายังโยเอล บุตรชายของเปธูเอล
แผ่นดินร้างเปล่า
2 จงฟังทางนี้ ผู้อาวุโสทั้งหลาย
จงเงี่ยหูฟัง เหล่าผู้ที่อาศัยในแผ่นดิน
ในสมัยของพวกเจ้า หรือในสมัยบรรพบุรุษของเจ้า
เคยมีอะไรแบบนี้เกิดขึ้นบ้างหรือไม่?
3 จงเล่าเรื่องนี้ให้ลูก ๆ ของพวกเจ้าฟัง
ให้พวกเขาเล่าต่อกับลูก ๆ ของเขา
และลูก ๆ เหล่านั้นก็เล่าให้คนรุ่นต่อไปฟัง
4 สิ่งที่ตั๊กแตนจอมเขมือบเหลือทิ้งไว้
ตั๊กแตนที่มาเป็นฝูงใหญ่จำนวนมหาศาลก็จะกิน
สิ่งที่ตั๊กแตนที่มาเป็นฝูงใหญ่กินเหลือไว้
ตั๊กแตนวัยกระโดดก็จะกิน
และสิ่งที่ตั๊กแตนวัยกระโดดเหลือทิ้งไว้
ตั๊กแตนจอมขม้ำก็จะกิน
เรียกให้คร่ำครวญ 1:5-13
5คนขี้เมา .. จงตื่นขึ้นและร้องไห้
เจ้าคนที่ชอบดื่มเหล้าองุ่นทุกคนจงร้องโหยหวน
เพราะเหล้าองุ่นใหม่ถูกกระชากไปจากปากของพวกเจ้า
6 เพราะมีประเทศหนึ่งเข้ามา
บุกแผ่นดินของเรา (ของพระเจ้า)
มีอานุภาพมาก จำนวนมหาศาล
และมีฟันเหมือนสิงโต มีเขี้ยวเหมือนสิงโตตัวเมีย
7 ดูมันทำลายเถาองุ่นของเรา และฉีกกาบก้านต้นมะเดื่อ มันฉีกกาบออกและเขวี้ยงทิ้ง เหลือแต่ก้านข้างในขาวๆ
8 จงร้องคร่ำครวญเหมือนกับสาวพรหมจารีที่สวมเสื้อกระสอบ อาลัยสามีในวัยเยาว์ของเธอ
9 ธัญบูชาและเครื่องดื่มบูชา ถูกตัดจากพระนิเวศของพระเจ้าแล้วปุโรหิตผู้รับใช้ต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ พากันคร่ำครวญ
ไม่หลงเหลือแม้รอยยิ้ม
10 ทุ่งนาถูกทำลาย แผ่นดินร่ำไห้ เพราะธัญพืชถูกทำลายเหล้าองุ่นใหม่ก็เหือดแห้ง น้ำมันแห้งไปแล้ว
11 โอชาวนาเอ๋ย จงอับอาย
ชาวสวนองุ่น จงร้องครวญ เพราะข้าวสาลีและข้าวบาร์เลย์เพราะไม่ได้อะไรกลับมาจากการเก็บเกี่ยว
12 เถาองุ่นแห้งไป และต้นมะเดื่อก็แห้งเหี่ยว
ต้นทับทิมต้นปาล์ม และต้นแอปเปิ้ล
รวมทั้งต้นไม้ในไร่แห้งเหี่ยวไปหมด
ความยินดีของมนุษย์ก็เหือดหายไป
เรียกให้กลับใจ
13 โอ เหล่าปุโรหิต จงสวมเสื้อกระสอบและคร่ำครวญ โอ ผู้รับใช้ ณ แท่นบูชา จงมาและสวมเสื้อกระสอบทั้งคืน โอ้ผู้รับใช้ของพระเจ้าของข้า เพราะว่า เครื่องธัญบูชา และเครื่องดื่มบูชา ไม่หลงเหลือในพระนิเวศของพระเจ้า
14 จงจัดให้มีการประชุมรวมกันและจัดให้มีการอดอาหารด้วยกัน จงรวบรวมผู้อาวุโส และผู้อาศัยในแผ่นดินมายังพระนิเวศของพระยาห์เวห์ พระเจ้าของเจ้า และร้องทูลต่อพระองค์
ความหมายที่สำคัญของการระบาดครั้งนี้
15 โธ่เอ๋ย วันนั้น เพราะวันขององค์พระยาห์เวห์ใกล้เข้ามาแล้ว และวันนั้นกำลังมาเป็นการทำลายล้างจากองค์ผู้ทรงฤทธิ์
16 อาหารไม่ได้ถูกตัดออกไปต่อหน้าต่อตาหรือ ?
ความยินดีและความรื่นเริงไม่ได้หายไปจากพระนิเวศของพระเจ้าหรือ?
17 เมล็ดพืชนั้น เหี่ยวแห้งคาใต้ก้อนดิน ยุ้งเก็บอาหารกลายเป็นซากยุ้งฉางพังลง เพราะธัญพืชแห้งไป
18 สัตว์เลี้ยงร้องครวญครางขนาดหนัก
ฝูงวัวสับสนเร่ร่อนไปเพราะไม่มีทุ่งหญ้าเหลือ
ฝูงแกะก็ลำบากไปกับการลงโทษนี้
19 ข้าพเจ้าร้องเรียกหาพระองค์
โอ พระยาห์เวห์ เพราะไฟมาเผาผลาญทุ่งกว้าง
และเปลวไฟได้ลามไล่ต้นไม้ในทุ่ง
20 แม้แต่สัตว์ป่าในทุ่งยังกระเสือกกระสนร้องหาพระองค์ เพราะน้ำในลำธารเหือดแห้งไป
ไฟได้เผาผลาญทุ่งหญ้ากว้างไปเสียแล้ว
เบื้องหลังของโยเอล
วันของพระยาห์เวห์ หรือ วันขององค์พระผู้เป็นเจ้า มีกล่าวอยู่ 17 ครั้งในพระคัมภีร์ และในโยเอลนี้ กล่าวถึง 5 ครั้ง นับเป็นหนังสือที่กล่าวถึงวันขององค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างชัดเจนที่สุด ชื่อโยเอล มีความหมายว่า “พระยาห์เวห์ทรงเป็นพระเจ้า”
โยเอล 1:1-4
1 พระเจ้าตรัสกับชนอิสราเอลผ่านโยเอลในสมัยใดเราไม่ทราบเลย เขาไม่ได้กล่าวโทษบาปเหมือนอย่างที่โฮเชยาได้ทำ แต่จะพยายามอธิบายว่า วิบัติที่เกิดขึ้นนั้น มีสภาพอย่างไร และพระเจ้าจะทรงช่วยกู้อิสราเอลอย่างไร การที่เขากล่าวถึงปุโรหิต ผู้คน ในสามบทนี้ ทำให้รู้สึกเหมือนว่า เขาเป็นผู้เผยพระดำรัสจากยูดาห์ทางใต้
2 โยเอลเรียกให้ประชากรอาวุโสในชุมชนได้เข้ามาฟัง เข้าใจ และเล่าต่อให้เด็กรุ่นต่อไปฟัง นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงประสงค์ .. แต่ไม่เฉพาะคนกลุ่มนี้ โจเอลยังเรียกคนขี้เมา(5) ชาวไร่ชาวนา (11)และพวกปุโรหิต (13)ด้วย นี่เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องฟัง เพราะกำลังพูดถึงเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่ เข้มข้น และไม่มีใครเคยประสบมาก่อน การถามว่า “เคยมีอะไรแบบนี้เกิดขึ้นไหม?” เท่ากับว่า พวกเขาไม่เคยเจอความพินาศขนาดนี้มาก่อน
การเล่าเรื่องราวในประวัติศาสตร์ให้คนรุ่นต่อมาได้รับรู้นั้น เป็นความเด่นของคนอิสราเอล พระเจ้าทรงสั่งใน อพยพ 10:1-2, 4-6 การทำเช่นนี้ส่งต่อมายังชุมชนคริสเตียนในเวลาต่อมา จะต้องมีการเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ของพระเจ้าให้กับชุมชนแห่งความเชื่อเป็นประจำ ไม่ละทิ้งการประชุมร่วมกัน (เฉลยธรรมบัญญัติ 4:9, 6:4-7; สดุดี 78:4-6)
4 แล้วโยเอลก็บอกถึงตั๊กแตนสี่รุ่นที่เข้ามาทำลายพื้นที่ทำการเกษตร พวกนี้มากันเป็นลำดับ และไม่ปล่อยให้เหลือซากเลย เวลามีการระบาดของแมลงพวกนี้ มันจะมากันเป็นฝูงใหญ่มาก การบรรยายของโจเอลทำให้เราเห็นว่า มันอาจเป็นตั๊กแตนแบบเดียวกัน แต่ตามกันมาเป็นรุ่น สิ่งที่ท่านเน้นคือ การถูกทำลายอย่างสิ้นเชิง อธิบายถึงตั๊กแตนสี่รุ่นที่ทำลายล้างแผ่นดินอย่างหมดสิ้น ไม่มีอะไรเหลือจริง ๆ มันคือ grasshopper เมื่อวางไข่ ในอากาศบรรยากาศที่เหมาะสม มันจะมีจำนวนมากเป็นหลายต่อหลายกิโลเมตร การถูกตั๊กแตนจัดการมันหนักหนากว่ากองทัพมนุษย์เข้ามาเสียอีก พวกนี้เป็น การทรงเรียกให้ตื่นขึ้น
ในฮีบรูใช้คำอธิบายตั๊กแตนสี่กลุ่มนี้ว่า הַגָּזָם֙ chewing הָֽאַרְבֶּ֔ה swarming הַיָּ֑לֶק crawling הֶחָסִֽיל consuming
เราจะเห็นว่า ในพระคัมภีร์มักเล่าถึงการทำลายสี่ระดับแบบนี้ อย่างเช่นในเยเรมีย์ 15:2-3; เอเสเคียล 14:21; วิวรณ์ 9:15
เหตุผลที่มีตั๊กแตนระบาดนี้ เป็นเพราะความบาปของอิสราเอลนั่นเอง พวกเขาจำเป็นต้องกลับมาหาพระเจ้าอย่างเร่งด่วน!
โยเอลเห็นชัดว่าสาเหตุคือเรื่องนี้ อ่าน เฉลยธรรมบัญญัติ 28:38, 39, 42
ในวันสุดท้ายของพระเจ้า พระองค์ทรงทำให้ไม่เหลืออะไร เราไม่ได้วางใจพระองค์ เราไม่ได้ใส่ใจกับการที่พระเจ้าทรงสั่งให้เรานมัสการพระองค์ ไม่ได้มีการนมัสการอย่างเหมาะสม ในวิวรณ์ 9:1-11 บอกว่าจะมีตั๊กแตนเข้ามาในโลก ก่อนการพิพากษาโลกของพระเจ้า
โยเอล 1:5-9
5 เมื่อบอกหายนะแล้ว พระเจ้าก็ทรงเรียกให้พวกเขามาแสวงหาพระองค์ พระเจ้าทรงเรียกให้ทุกคนลุกขึ้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนขี้เมาและคนที่รักดื่ม คนเหล่านี้มักไม่ได้สนใจอะไรรอบข้างตัวเลย ไม่รู้ตัวว่าจะมีหายนะเกิดขึ้น พวกเขาจะรู้ตัวได้ก็ต่อเมื่อไม่มีเหล้าเหลือให้ดื่มอีก เหล้าองุ่นใหม่ในที่นี้จะทำให้เมามากกว่าน้ำองุ่นที่บ่มนาน บางทีเรียกว่า เหล้าองุ่นหวาน
จงตื่นขึ้น หมายถึงจบการนอน การไม่รู้เรื่องได้แล้ว คำว่าดื่มมาจากเหล้าองุ่น ในความหมายของพระคัมภีร์ คือการความปรารถนาในสิ่งที่เป็นของโลก ไม่ใช่ของพระเจ้า พระเจ้าให้คนที่หาความสุขกับสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างมา ให้หยุดได้แล้ว พระเจ้าทำให้ความยินดี จบลง พระองค์ให้ร้องไห้ กลับใจใหม่
6 โยเอลเปรียบเทียบตั๊กแตนกับกองทัพที่เข้ามาโจมตีประเทศ เรายังมีการเปรียบเทียบทำนองนี้ให้ที่อื่น ๆ อย่างเช่นเยเรมีย์ 5:15-17; อิสยาห์ 33:4; เยเรมีย์ 46:23 และโยเอลยังเปรียบเทียบศัตรูที่เข้ามานั้นเหมือนกับสิงโตอีกด้วย ในประวัติศาสตร์อิสราเอล ประเทศที่เข้ามาบุกอย่างถอนรากถอนโคนสี่พวก คือ อัสซีเรีย บาบิโลน กรีก และโรม ศัตรูเหล่านี้ ไม่ได้มีพันธสัญญากับพระองค์ พระองค์ทรงเรียกให้พวกเขามาโจมตีแผ่นดินของพระองค์ มีจำนวนนับไม่ถ้วนและแข็งแรงมาก
7 เถาองุ่น และต้นมะเดื่อแสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ของแผ่นดิน (มีคาห์ 4:4 ) เมื่อมีศัตรูเข้ามาบุก ความสมบูรณ์จะถูกปล้นไป ไม่เหลือให้ประชาชนอีกต่อไป การเหลือแค่ก้านขาว ๆ ข้างใน แสดงว่า ศัตรูเข้ามาอย่างโหดเหี้ยมอย่างที่ข้อหกเปรียบเทียบไว้ในวันสุดท้าย แม้ว่าพระเจ้าทรงรัก มีคนอธิษฐานเผื่อพวกเขา แต่พวกเขาจะถูกแยกจากพระเจ้า
พวกรับบีสอนเกี่ยวกับอนาคต มักจะบอกว่า ทุกอย่างดีขึ้น อิสราเอลจะโอเค พระเจ้าจะไม่ยอมให้การไม่เชื่อฟัง การสอนผิดต่อไป พระองค์จะทรงนำสิ่งที่คนในศาสนายิวพยายามต่อต้านพระเมสสิยาห์
8 โยเอลสั่งว่า สิ่งที่ต้องทำคือ การร้องไห้กับความบาป การใส่เสื้อกระสอบบ่งบอกว่า บุคคลนั้นเป็นทุกข์หนัก ไม่อาจรับความยินดีใด ๆ
ร้องคร่ำครวญเหมือนสาวพรหมจารี กลับต้องใส่เสื้อผ้ากระสอบเพราะ เพิ่งจะเข้าพิธี แต่งงาน แต่สามีกลับมาตาย เปรียบเทียบกับ พระเจ้าผู้เป็นสามีของอิสราเอลถูกแยกจากอิสราเอลไปแล้ว อิสราเอลจะต้อง คร่ำครวญ กลับใจ อดอาหาร
9 การที่ถูกศัตรูทำลายขนาดนี้ ไม่มีข้าวเหลือ ไม่มีเหล้าองุ่นที่จะถวายเป็นเครื่องบูชาเช้าเย็นอย่างที่พระเจ้าทรงสั่งไว้อีกต่อไป (อพยพ 29:38-4) และพวกเขาก็ไม่เหลืออะไรที่จะกินด้วย เพราะเขาอยู่ได้ด้วยส่วนของของถวายเหล่านั้น
โยเอล 1:10-12
10 เราจะเห็นว่า ความสมบูรณ์ถูกพรากไปจากแผ่นดิน ไม่ว่าจะเป็นต้นข้าว ไร่องุ่น ต้นมะกอกที่ให้น้ำมันมะกอกโยเอลบอกว่า เมื่อไม่เหลือเหล้าองุ่นใหม่ ไม่มีอะไรเหลือเพราะไม่มีการนมัสการอยู่อีกต่อไป น้ำมันคือน้ำมันมะกอก ถ้ามีสามอย่างนี้ พระเจ้าทรงพอพระทัย
(เฉลยธรรมบัญญัติ 7:13; 11:14; โยเอล 2:19)
11 ในภาษาเดิม พระเจ้าทรงสั่งให้เขารู้สึกอาย โฮบิชู( הֹבִ֣ישׁוּ) =จงอายเสียเถอะ..เสียงคล้ายคำว่า โฮบิช (הוֹבִ֥ישׁ) ที่แปลว่า แห้งเหี่ยว ในข้อ 12 คนอิสราเอลมักจะมีการฉลองเมื่อมีความอุดมสมบูรณ์เสมอ แต่บัดนี้ พวกเขากลับต้องอายเพราะสภาพเช่นนี้ พระเจ้าทรงเอา ผลผลิตทุกอย่างไปหมด พวกเขาจะต้องอับอาย คร่ำครวญ สาลี บาร์ลีย์ ….เกี่ยวข้องกับเทศกาลเพนเตคอสต์ แต่กลับไม่มีอะไรที่บ่งบอกความโปรดปรานของพระเจ้า
12 ในสังคมเกษตรกรรมแบบอิสราเอลตั้งแต่โบราณมาจนทุกวันนี้ ผลผลิตจากไร่นาคือการประกันถึงความมั่งคั่งของชาติบัดนี้ ความยินดีแห้งไปจากหัวใจแล้ว! เรียกให้กลับใจ พระเจ้าให้เกิดสิ่งนี้ เพราะสภาพฝ่ายจิตวิญญาณของผู้คน ไวน์ ..แห้ง มะเดื่อ miserable ขาดผล ต้นทับทิม ปาล์ม ..
เมื่อมีความยินดี บรรยากาศจะแตกต่าง นั่นคือ ต้นไม้ในทุ่งจะตบมือถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า เถาองุ่น.. มะเดื่อ…เกี่ยวข้องกับคนอิสราเอล แต่อย่างอื่นพูดถึงมนุษยชาติ เศคาริยาห์ 8 ถ้าอิสราเอลกลับมาหาพระเจ้า ชาติอื่น ๆ ก็จะมาหาพระองค์
โยเอล 1:13-14
13 ข้อนี้สำคัญมาก เพราะพระเจ้าทรงสั่งให้ผู้นำฝ่ายวิญญาณทำหน้าที่ของตน หน้าที่ของปุโรหิตที่จะช่วยให้ชาติกลับมารุ่งเรืองดังเดิม .. พวกเขาจะอยู่เฉยไม่ได้ เขาต้องเข้ามาหาพระเจ้า และสารภาพบาป เพราะพวกเขารู้ดีว่า พระเจ้าทรงพระเมตตายิ่งนัก จะได้พระพรกลับมาก็ต้องกลับใจ นี่เป็นสูตรสำหรับชีวิตของความเชื่อ ต้องกลับมาถูกต้องกับพระเจ้า (เฉลยธรรมบัญญัติ 30:1-5; 2 พงศาวดาร 7:14) ต้องทำเหมือนกับสาวพรหมจารีในข้อ 8!
ผู้นำจะต้องกลับมาหาพระเจ้าก่อน มาคร่ำครวญกับพระเจ้า ประชาชน ไม่สนใจนมัสการ สรรเสริญ ขอบพระคุณเท่ากับจิตใจของพวกเขาห่างจากพระองค์
14 จากภัยพิบัติเวลานี้ สิ่งที่ต้องทำคือ ทั้งชาติต้องเข้ามาช่วยกันแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น รวมรวมผู้ใหญ่ และประชาชนทั้งหลายมาให้พร้อมหน้า
การประชุมรวมกันครั้งนี้ เป็นการที่ชุมชนอธิษฐานาอดอาหารด้วยกัน แสดงถึง การกลับใจ การถ่อมตน พวกเขามาขอความช่วยเหลือ การอภัย และการทรงนำจากพระเจ้า และคนที่ต้องทำหน้าที่นี้คือ ผู้นำประเทศ!! แต่เรากลับไม่ทำ
โยเอล 1:15-20
15 วันแห่งการพิพากษา ใกล้จะถึงแล้ว โยเอลบอกชัดว่าวันนี้เป็นวันแห่งการทำลายล้าง ไม่ได้มาจากการตัดสินใจของมนุษย์ ไม่ว่ามันจะมาในรูปแบบใดก็ตาม จากธรรมชาติ หรือจากที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเอง พระเจ้าเป็นผู้บัญชาการสูงสุด
16 ความยินดี การฉลองก็ต้องมีอาหาร แต่ตอนนี้ไม่มีอาหาร ก็ไม่อาจมีทั้งการฉลองรื่นเริงและความยินดี การกันดารอาหารจะบ่งบอกถึงความใกล้เข้ามาของวันขององค์พระผู้เป็นเจ้า
17 ความแห้งแล้งนี้ ถึงกับทำให้ไม่มีเมล็ดพันธุ์ที่จะปลูกในปีต่อไปด้วย
18 การทนทุกข์ครั้งนี้เป็นเพราะถูกลงโทษ หรือการต้องรับโทษ จะเห็นว่า สิ่งต่าง ๆ ในธรรมชาตินั้น ต้องเป็นทุกข์เพราะความผิดของอิสราเอล
19 โยเอลหันกลับมาหาพระเจ้า ร้องเรียกหาพระองค์ เพราะไฟที่ไหม้ทุ่งนั้นทำให้เรารู้ว่า พระเจ้ากำลังพิพากษาจริง ๆ (กันดารวิถี 11:1; โฮเชยา 8:14) ไฟที่ส่งมา มักมาจากพระเจ้าเสมอ
20 แม้แต่สัตว์ป่ายังร้องหาพระเจ้า แล้วคนล่ะ จะร้องหาพระองค์หรือเปล่า มันกลายเป็นตัวอย่างให้เราร้องหาพระองค์ยามลำบาก
พระคำเชื่อมโยง
1* กิจการ 2:16
2* โยเอล 2:2
3* สดุดี 78:4
4* เฉลยธรรมบัญญัติ 28:38;
อิสยาห์ 33:4
5* อิสยาห์ 5:11; 28:1; 32:10
6* โยเอล 2:2, 11, 25; วิวรณ์ 9:8
7* อิสยาห์ 5:6
8* อิสยาห์ 22:12
9* โยเอล 1:13; 2:14, 17
10* เยเรมีย์ 12:11; อิสยาห์ 24:7
11* เยเรมีย์ 14:3-4
12* โยเอล 1:10; เยเรมีย์ 48:33
13* เยเรมีย์ 4:8
14* โยเอล 2:15-16; เลวีนิติ 23:36; 2 พงศาวดาร 20:13
15* เยเรมีย์ 30:7; อิสยาห์ 13:6
16* อิสยาห์ 3:1; เฉลยธรรมบัญญัติ 12:7
18* โฮเชยา 4:3
19* สดุดี 50:15; เยเรมีย์ 9:10
20* สดุดี 104:21; 147:9;
1 พงศ์กษัตริย์ 17:7; 18:5
สุภาษิต 30 ถ้อยคำจากท่านอากูร์
1 ถ้อยคำของอากูร์ บุตรชายยาเคห์
เป็นคำพยากรณ์ที่ส่งต่อให้กับอิธีเอล
กับอิธีเอลและอูคาล ดังนี้
2 ที่จริง ข้านั้นเป็นคนโง่กว่ามนุษย์คนใด
และข้าก็ขาดความเข้าใจอย่างมนุษย์
3 ข้าไม่ได้เรียนรู้ปัญญา
และไม่มีความรู้เรื่องขององค์ผู้บริสุทธิ์
4 ใครนะที่ได้ขึ้นสู่สวรรค์และลงมา?
ใครนะที่ได้กอบลมไว้ในอุ้งพระหัตถ์?
ใครนะที่ห่อน้ำไว้ในเสื้อคลุม?
ใครนะที่ได้สถาปนาแผ่นดินทั่วทุกสารทิศ ?
พระองค์ทรงพระนามว่าอะไร ?
และพระบุตรของพระองค์ทรงพระนามว่าอะไร?
… แน่นอน ท่านรู้นี่นา!
5 พระดำรัสทุกคำของพระเจ้านั้นได้รับการพิสูจน์แล้ว
พระองค์ทรงเป็นโล่แก่คนทุกคนที่เข้าลี้ภัยในพระองค์
6 อย่าเพิ่มเติมอะไรเข้าไปในพระดำรัส
มิฉะนั้นพระองค์จะทรงตำหนิเจ้า
และทรงตัดสินว่า เจ้านั้นพูดมุสา
7 มีสองสิ่งที่ข้าพเจ้าทูลขอจากพระองค์
ขออย่าทรงปฎิเสธก่อนที่ข้าพเจ้าจะตาย
8 ขอให้ความเท็จ และคำหลอกลวงอยู่ห่างไกลข้าพเจ้า
ขออย่าให้ข้าพเจ้ายากจนหรือมั่งมี
ขอทรงเลี้ยงด้วยอาหารที่จำเป็นสำหรับข้าพเจ้า
9 มิฉะนั้น หากข้าพเจ้ามีมากเกินไป
ข้าพเจ้าอาจปฎิเสธพระองค์ แล้วกล่าวว่า
“พระยาห์เวห์เป็นใคร?”
หรือเกรงว่าข้าพเจ้าจะยากจนและไปลักขโมย
ทำให้พระนามของพระองค์เป็นที่เสื่อมเสีย
10 อย่าไปกล่าวร้ายคนรับใช้ให้เจ้านายฟัง
เพราะเขาจะสาปแช่งเจ้า แล้วเจ้าจะต้องใช้คืน
11 มีบางคนแช่งด่าพ่อของตน
และไม่อวยพรแม่ของตน
12 มีบางคนที่ยโสโอหังเห็นว่าตนเองบริสุทธิ์
ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ชำระล้างความสกปรกของตน
13 มีบางคนที่สายตานั้นยโสเหลือเกิน
ปรายตาดูหมิ่นผู้อื่น
14 มีบางคนที่ฟันเป็นดาบ เขี้ยวเป็นมีด
กลืนกินคนยากไร้บนแผ่นดินโลก
กลืนกินคนขัดสนให้หมดไปจากมนุษยชาติ
15 ปลิงมีลูกตัวเมียสองตัวร้องว่า “เอามาอีก เอามาอีก”
มีสามสิ่งในโลกนี้ที่ไม่เคยพอ สี่สิ่งที่ไม่เคยกล่าวว่า “พอแล้ว!”
16 นั่นคือ แดนตาย ครรภ์ของหญิงเป็นหมัน
ผืนแผ่นดินที่ไม่เคยอิ่มน้ำ
และเปลวเพลิงที่ไม่เคยกล่าวว่า “พอแล้ว!”
17 สายตาที่คอยเยาะเย้ยพ่อ
และดูหมิ่นแม่ที่สูงอายุของตนนั้น
ขอให้ฝูงกาแห่งหุบเขาจิกดวงตานั้นออกมา
และให้ฝูงนกแร้งมารุมกิน
18 มีสามสิ่งที่ทำให้ข้าพเจ้าประหลาดใจ
มีสี่สิ่งที่ข้าพเจ้าไม่อาจเข้าใจได้
19 คือหนทางของนกอินทรีในท้องฟ้า
ทางเลื้อยของงูบนหิน วิถีทางของเรือในทะเล
และความสัมพันธ์ของชายหนุ่มกับหญิงสาว
20 นี่เป็นทางของหญิงมีชู้ เธอกินและเช็ดปาก
กล่าวว่า‘ฉันไม่ได้ทำอะไรผิด’
21แผ่นดินโลกสั่นสะเทือนด้วยสามสิ่ง
มีสี่สิ่งที่โลกไม่อาจทนได้
22 นั่นคือ เมื่อทาสรับใช้ได้ขึ้นมาเป็นกษัตริย์
คนโง่ที่มีอาหารกินเหลือเฟือ
23 หญิงที่ไม่มีใครรักได้แต่งงาน
และทาสสาวที่ครองตำแหน่งแทนนายหญิงของตน
24 มีสี่สิ่งบนแผ่นดินที่ตัวเล็ก แต่กลับฉลาดล้ำ
25 มด เป็นสัตว์มีกำลังน้อย
แต่มันก็สะสมอาหารในฤดูร้อน
26 ตัวกระจงผาหิน เป็นสัตว์ที่แรงน้อย
แต่มันกลับสร้างรังในซอกหิน
27 ตั๊กแตนไม่มีผู้นำ
แต่มันก็รวมตัวเป็นขบวน เรียงตามหน้าที่
28 และจิ้งจกที่คนจับด้วยมือได้
แต่ก็พบมันในราชวัง
29 มีสามสิ่งที่ก้าวย่างอย่างสง่างาม
และสี่สิ่งที่ก้าวย่างอย่างอาจหาญ
30 คือสิงโตเจ้าป่าที่มีพละกำลังมหาศาล
มันไม่ถอยหนีให้ใครเลย
31 พ่อไก่ที่เดินชูคอ แพะตัวผู้
และองค์กษัตริย์พร้อมกองทัพของพระองค์
32 หากเจ้าโง่เขลา และได้ยกย่องตนเอง
หรือได้วางแผนชั่วขึ้นมา จงใช้มือปิดปากของเจ้าไว้
33 เพราะเมื่อกวนน้ำนม ก็จะได้เนย
เมื่อชกจมูกจะได้เลือดเช่นไร
เมื่อกวนโมโหก็จะได้การวิวาทเช่นนั้น
พระคำเชื่อมโยง สุภาษิต 30
2* สดุดี 73:22
3* สุภาษิต 9:10
4* ยอห์น 3:13; โยบ 38:4
5* สดุดี 12:6;19:8; 119:140; 18:30; 84:11; 115:9-11
6* เฉลยธรรมบัญญัติ 4:2; 12:32
8* มัทธิว 6:11
9* เฉลยธรรมบัญญัติ 8:12-14
11* อพยพ 21:17
12* ลูกา 18:11
13* สุภาษิต 6:17
14* โยบ 29:17; อาโมส 8:4
16* สุภาษิต 27:10
17* ปฐมกาล 9:22
22* สุภาษิต 19:10
25* สุภาษิต 6:6
26* สดุดี 104:18
32* มีคาห์ 7:16
สุภาษิต 29 วางใจพระเจ้า ปลอดภัยแน่
1 คนที่ทำคอแข็งทั้ง ๆ ที่ถูกเตือนหลายครั้ง
จะคอหักทันควันเกินเยียวยา
2 เมื่อคนเที่ยงธรรมขึ้นมาปกครอง
ประชาชนก็ยินดี
แต่เมื่อคนชั่วครองเมืองประชาชนก็คร่ำครวญ
3 คนที่รักปัญญา ก็นำความยินดีมาให้พ่อของเขา
แต่คนที่เป็นเพื่อนกับโสเภณีก็จะหมดตัวไปเปล่า ๆ
4 กษัตริย์นำความมั่นคงมาให้แผ่นดินด้วยความยุติธรรม
แต่ใครที่รับสินบนนั้น เป็นผู้บ่อนทำลาย
5 คนที่ประจบสอพลอเพื่อนบ้าน
เท่ากับโยนตาข่ายดักเท้าตนเอง
6 คนชั่วติดกับดักเพราะบาปของตนเอง
แต่คนเที่ยงธรรมจะร้องเพลงและยินดีนัก
7 คนเที่ยงธรรมจะเอาใจใส่สิทธิของคนยากไร้
แต่คนชั่วไม่เข้าใจเรื่องนั้นเลย
8 ฝูงชนช่างเยาะเย้ยทำให้บ้านเมืองลุกเป็นไฟ
แต่คนมีปัญญาจะช่วยบรรเทาความโกรธให้หายไป
9 เมื่อคนมีปัญญาต้องโต้เถียงกับคนโง่
ก็จะพบแต่การโกรธเกรี้ยว การเยาะเย้ย ไร้ความสุขสงบ
10 เหล่าคนที่กระหายเลือดเกลียดชังคนไร้มลทิน
และพยายามตามล่าคนเที่ยงธรรม
11 คนชั่วระบายความโกรธออกมา
แต่คนฉลาดจะยับยั้งความโกรธไว้
12 หากผู้ปกครองฟังคำพูดเท็จ
ข้าราชการของเขาก็จะพลอยเป็นคนชั่วไป
13 คนยากจนกับคนที่บีบบังคับมีสิ่งที่เหมือนกันก็คือ
พระยาห์เวห์ประทานตาที่มองเห็นให้เขาทั้งคู่
14 บัลลังก์ขององค์กษัตริย์ที่พิพากษาคนยากจนอย่างยุติธรรม
จะมั่นคงตลอดไป
15 ไม้เรียวที่ตีสอนทำให้เกิดสติปัญญา
แต่เด็กที่ถูกปล่อยปละละเลยจะทำให้แม่ต้องอับอาย
16 เมื่อคนชั่วเพิ่มจำนวน การกบฏก็เพิ่มขึ้นด้วย
แต่คนเที่ยงธรรมจะเห็นการล้มลงของพวกเขา
17 จงฝึกวินัยให้ลูกชาย
และเขาจะทำให้เจ้าได้มีสันติและนำความชื่นใจมาให้เจ้า
18 ที่ไหนไม่มีการเผยพระคำจากพระเจ้า
ประชาชนก็ขาดความยับยั้งชั่งใจ
แต่คนที่ทำตามบัญญัติจะได้รับพระพร
19 เราจะสั่งสอนคนรับใช้แค่คำพูดอย่างเดียวไม่ได้
เพราะแม้จะเข้าใจ แต่ก็ยังไม่ทำตาม
20 เคยเห็นคนที่ปากไวใจเร็วไหม?
เรายังหวังใจในคนโง่ได้มากกว่าเขาเสียอีก
21 คนรับใช้ที่ได้รับการปรนเปรอมาตั้งแต่เยาว์วัย
ในที่สุดก็จะนำความทุกข์ใจมาให้
22 คนช่างโกรธยุยงให้เกิดการวิวาท
และคนอารมณ์ร้อนทำให้เกิดการทำบาปมากขึ้น
23 ความเย่อหยิ่งของคน ๆ หนึ่งจะทำให้เขาตกต่ำลง
แต่คนที่มีใจถ่อมจะได้รับเกียรติ
24 คนที่คบโจรเท่ากับเกลียดตัวเอง
เขาสาบานในศาล แต่ก็ไม่กล้าเป็นพยาน
25 การกลัวมนุษย์คือกับดักอย่างหนึ่ง
แต่คนที่วางใจพระยาห์เวห์จะปลอดภัยแน่นอน
26 หลายคนต้องการเป็นคนโปรดของผู้ปกครอง
แต่ความยุติธรรมแท้จริงนั้นมาจากพระยาห์เวห์
27 คนอยุติธรรมเป็นที่น่าชังต่อคนเที่ยงธรรม
และคนเที่ยงตรงก็เป็นที่น่าชังต่อคนโหดร้าย
พระคำเชื่อมโยง สุภาษิต 29
1* 1 พงศาวดาร 36:16
2* สุภาษิต 28:12; เอสเธอร์4:3
5* สุภาษิต 26:28
7* โยบ 29:16
8* สุภาษิต 11:11
9* มัทธิว 11:17
10* 1 ยอห์น 3:12
11* สุภาษิต 14:33
13* มัทธิว 5:45
14* อิสยาห์ 11:4
15* สุภาษิต 22:15
16* สดุดี 37:34
18* 1 ซามูเอล 3:1; ยอห์น 13:17
20* สุภาษิต 26:12
22* สุภาษิต 26:21
23* อิสยาห์ 66:2
24* เลวีนิติ 5:1
25* ปฐมกาล 12:12; 20:2
26* สดุดี 20:9
มัทธิว 1 วันที่พระเยซูคริสต์มาบังเกิด
ลำดับวงศ์ของพระเยซูคริสต์
1 ต่อไปนี้เป็นบันทึกลำดับวงศ์ของพระเยซูคริสต์
ทรงเป็นเชื้อสายของกษัตริย์ดาวิด
ผู้เป็นเชื้อสายของอับราฮัม
อับราฮัมถึงดาวิด
2 อับราฮัมเป็นพ่อของอิสอัค
อิสอัคเป็นพ่อของยาโคบ
ยาโคบเป็นพ่อของยูดาห์กับพี่น้องของเขา
3 ยูดาห์เป็นพ่อของเปเรศกับเศราห์
มารดาของพวกเขาคือนางทามาร์
เปเรศเป็นพ่อของเฮสโรน
เฮสโรนเป็นพ่อของราม
4 รามเป็นพ่อของอัมมีนาดับ
อัมมีนาดับเป็นพ่อของนาโชน
นาโชนเป็นพ่อของสัลโมน
5 สัลโมนเป็นพ่อของโบอาส มารดาของเขาคือนางราหับ
โบอาสเป็นพ่อของโอเบด มารดาของเขาคือนางรูธ
โอเบดเป็นพ่อของเจสซี
6 และเจสซีเป็นพ่อของกษัตริย์ดาวิด
ดาวิดถึงเยโคนิยาห์
ดาวิดเป็นพ่อของโซโลมอนมารดาของโซโลมอน
เคยเป็นภรรยาของอุรียาห์มาก่อน
7 โซโลมอนเป็นพ่อของเรโหโบอัม
เรโหโบอัมเป็นพ่อของอาบียาห์
อาบียาห์เป็นพ่อของอาสา
8 อาสาเป็นพ่อของเยโฮชาฟัท
เยโฮชาฟัทเป็นพ่อของเยโฮรัม
เยโฮรัมเป็นพ่อของอุสซียาห์
9 อุสซียาห์เป็นพ่อของโยธาม
โยธามเป็นพ่อของอาหัส
อาหัสเป็นพ่อของเฮเซคียาห์
10 เฮเซคียาห์เป็นพ่อของมนัสเสห์
มนัสเสห์เป็นพ่อของอาโมน (บางทีเรียกอาโมส)
อาโมนเป็นพ่อของโยสิยาห์
11 และโยสิยาห์เป็นพ่อของเยโคนิยาห์
กับพี่น้องของเขาเมื่อครั้งตกเป็นเชลยที่บาบิโลน
เยโคนิยาห์ถึงโยเซฟ สามีมารีย์
12 หลังจากที่ได้ตกเป็นเชลยที่บาบิโลนแล้ว….
เยโคนิยาห์เป็นพ่อของเชอัลทิเอล
เชอัลทิเอลเป็นพ่อของเศรุบบาเบล
13 เศรุบบาเบลเป็นพ่อของอาบียุด
อาบียุดเป็นพ่อของเอลียาคิม
เอลียาคิมเป็นพ่อของอาซอร์
14 อาซอร์เป็นพ่อของศาโดก
ศาโดกเป็นพ่อของอาคิม
อาคิมเป็นพ่อของเอลีอูด
15 เอลีอูดเป็นพ่อของเอเลอาซาร์
เอเลอาซาร์เป็นพ่อของมัทธาน
มัทธานเป็นพ่อของยาโคบ
16 และยาโคบเป็นพ่อของโยเซฟ
สามีของมารีย์ผู้ให้กำเนิดพระเยซู
ซึ่งพระองค์ถูกเรียกว่า พระคริสต์
หรือพระเมสสิยาห์
“พระคริสต์” (เป็นคำกรีก) และ
“พระเมสสิยาห์” (เป็นคำฮีบรู)
แปลว่า “ผู้ที่ทรงเจิมตั้งไว้”
7 ดังนั้นตั้งแต่อับราฮัมลงมาจนถึงดาวิด
มีสิบสี่ชั่วอายุคน
ตั้งแต่ดาวิดมาจนถึงเมื่อครั้งตกเป็นเชลยที่บาบิโลน
มีสิบสี่ชั่วอายุคน
และตั้งแต่ครั้งตกเป็นเชลยที่บาบิโลน
จนถึงพระคริสต์มีสิบสี่ชั่วอายุคน
18 นี่เป็นเรื่องราวการประสูติของพระเยซูคริสต์ คือ
มารีย์ มารดาของพระองค์นั้น ได้หมั้นที่จะสมรสกับโยเซฟ แต่ก่อนที่ทั้งสองจะเข้ามาเป็นสามีภรรยากัน พบว่า เธอตั้งครรภ์โดยฤทธิ์เดชแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์
19 เป็นเพราะโยเซฟ คู่หมั้นของเธอเป็นผู้ชายที่ดี มีคุณธรรม เขาไม่ต้องการทำให้เธอเสียหายในหมู่ชาวบ้าน เขาจึงคิดว่าจะถอนหมั้นเงียบ ๆ
20 แต่หลังจากที่เขากำลังคิดเรื่องนี้อยู่ ก็มีทูตสวรรค์องค์หนึ่งจากองค์พระผู้เป็นเจ้ามาปรากฏกับเขาในความฝัน และกล่าวว่า “โยเซฟ ลูกชายดาวิดเอ๋ย อย่ากลัวที่จะรับมารีย์มาเป็นภรรยาของท่านเลย เพราะพระองค์ที่ทรงปฏิสนธิ์ในครรภ์ของเธอนั้น ทรงมาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์
21 เธอจะให้กำเนิดลูกชาย และท่านจะตั้งชื่อพระองค์ว่า เยซู เพราะพระองค์จะทรงช่วยประชากรของพระองค์จากความบาป“
1:21 “เยซู” เป็นคำกรีกของคำว่า “โยชูวา” ในภาษาฮีบรู ซึ่งแปลว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงช่วยให้รอด”
22 ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพื่อทำให้สิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสไว้ผ่านผู้เผยพระดำรัสนั้นสำเร็จ ที่ว่า
23 “หญิงพรหมจารีจะตั้งครรภ์ และจะให้กำเนิดบุตรชาย และเขาจะเรียกพระองค์ว่า อิมมานูเอล” (ซึ่งหมายความว่าพระเจ้าทรงอยู่กับเรา)
24 เมื่อโยเซฟตื่นขึ้น เขาก็ทำตามที่ทูตสวรรค์จากองค์พระผู้เป็นเจ้าได้สั่งไว้ และรับมารีย์มาเป็นภรรยาของเขา
25 โดยที่เขาไม่ได้มีสัมพันธ์กับเธอในฐานะสามีภรรยา จนกระทั่งเธอให้กำเนิดลูกชาย และเขาตั้งชื่อลูกชายว่า เยซู
อธิบายเพิ่มเติม
คนอิสราเอลโบราณได้ให้ความสำคัญกับการบันทึกลำดับวงศ์วานมาตั้งแต่ต้น เพราะทำให้พวกเขาได้รู้ว่า ใครเป็นใคร มาจากครอบครัวไหน มีสิทธิจะเป็นปุโรหิตได้หรือไม่ เขาคนนั้นเป็นคนยิวแท้หรือว่า ปลอมแปลงมา
เมื่อเราดูวงศ์วานของพระเยซูด้านของโยเซฟ ทางกฎหมายพระองค์ก็ได้สืบเชื้อสายด้านพ่อมาจากดาวิด และด้านของมารีย์ก็เช่นกัน (ดูจากลำดับวงศ์วานในลูกา)แค่เชื้อสายทางโยเซฟ พระเยซูก็ทรงมีสิทธิที่จะเป็นกษัตริย์ปกครองเพราะมาทางเชื้อสายดาวิด ส่วนทางร่างกายนั้นทรงเป็นพระบุตรที่ปฏิสนธิ์โดยฤทธิ์แห่งพระวิญญาณและอยู่ในครรภ์ของมารีย์ซึ่งเป็นมนุษย์ นี่เป็นวิธีที่พระเจ้าทรงลงมาเกิดเป็นมนุษย์เดินดินอย่างพวกเรา
จะสังเกตได้ว่า มีชื่อของสตรีอยู่สามคน และบอกเพียงว่าเป็นภรรยาของอุรียาห์มาก่อนอีกหนึ่งคน ทั้งสามคนแรกเป็นผู้หญิงต่างชาติที่เข้ามาแต่งงานกับคนในสายอิสราเอล ส่วนเบธเชบาห์ก็เป็นสตรีที่ดาวิดแย่งจากอุรียาห์มา
กษัตริย์ที่กล่าวถึงก็มีทั้งกษัตริย์ที่มีคุณธรรมและกษัตริย์ที่ชั่วช้าด้วย ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร เขาก็ยังคงอยู่ในเชื้อสายนี้ และเชื้อสายในตำแหน่งกษัตริย์จบลงที่การเป็นเชลยในบาบิโลน
มัทธิว 1:18-25
การหมั้นในหมู่คนยิวนั้น เป็นการตกลงระหว่างพ่อแม่ของทั้งสองฝ่าย และมีความหมายลึกซึ้งกว่าการหมั้นในโลกปัจจุบัน หากง่ายหญิงหรือฝ่ายชายไปมีความสัมพันธ์กับคนอื่น พวกเขาก็มีความผิดในฐานะการล่วงประเวณี หรือเทียบเท่าการมีชู้
ตอนแรกนั้น โยเซฟไม่ทราบเลยว่า มารีย์ตั้งครรภ์โดยฤทธิ์พระวิญญาณ เขารู้เพียงว่าเธอตั้งครรภ์ ทำให้เขาลำบากใจมากกับการที่จะแต่งงานกับเธอ ดังนั้น สิ่งที่ทำได้ก็คือ ถอนหมั้นกับเงียบ ๆ ไม่บอกอะไรกับใครเลย เขาตั้งใจจะไม่ให้เธอเสียชื่อเสียง
แต่แล้ว ทูตสวรรค์กลับมาบอกในความฝันว่า เรื่องเป็นอย่างไร ลูกชายที่จะมาเกิดนั้น มาจากพระเจ้า เกิดโดยฤทธิ์แห่งพระวิญญาณ การเป็นผู้ชายที่มีคุณธรรม และอยู่ในสายของดาวิดก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่พระเจ้าทรงเลือกให้เขาเป็นผู้ดูแลมารีย์ด้วย
ถึงกระนั้น ต่อมาเราก็ไม่ได้รู้เรื่องของเขาอีกหลังจากวันที่พระเยซูทรงหายตัวไปอยู่ในพระวิหารที่เยรูซาเล็มตอนที่ทรงเริ่มแสดงให้เห็นว่า พระเจ้าทรงเป็นพระบิดาของพระองค์
จะเห็นว่า ในช่วงเวลานั้น พระเจ้าทรงใช้ทั้งผู้เผยพระคำหรือความฝันเพื่อส่งข่าวให้มนุษย์ทราบถึงพระประสงค์ของพระองค์ ในข้อความตอนนี้เราจะเห็นว่า พระเจ้าทรงติดต่อกับเขาเป็นส่วนตัว และทูตได้กล่าวกับเขาว่า ลูกชายดาวิด…
ข่าวสารที่โยเซฟได้รับ เป็นข่าวดี ไม่ใช่ข่าวร้าย เป็นเกียรติไม่ใช่เป็นความอับอาย โยเซฟ ทำตามที่พระเจ้าทรงสั่งโดยรับมารีย์มาเป็นภรรยา และได้ให้เกียรติกับพระเจ้า และมารีย์โดยที่ไม่ได้มีเพศสัมพันธ์ใด ๆ กับเธอจนกว่า เธอได้คลอดพระบุตรพระเจ้าแล้ว
ข้อน่าสังเกตอีกประการคือ โยเซฟได้รับรู้พระนามทั้งสองของพระเยซูคือ เยซู และอิมมานูเอล … และเขาได้รับการย้ำเตือนว่า นี่เป็นคำที่พระเจ้าได้ตรัสมา
ล่วงหน้าแล้วตั้งแต่แปดร้อยปีก่อนผ่านท่านอิสยาห์
จากนั้น เขาเป็นคนที่ดูแลทั้งเธอ และพระเยซูจนเติบโต ถึงแม้ว่า พระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า แต่ในฐานะมนุษย์ ก็ทรงเป็นลูกชายคนโตของโยเซฟด้วย และต่อมาก็ได้มีครอบครัว มีลูกชาย ลูกสาวอีกหลายคน (มัทธิว 13:55-56)
พระคำเชื่อมโยง
1* ลูกา 3:23; เยเรมีย์ 23:5; ยอห์น 7:42;
ปฐมกาล 12:3; 22:18
2* ปฐมกาล 21:2, 12; 25:26; 28:14; 29:35
3* ปฐมกาล 38:27; 49:10; รูธ 4:18-22
5* รูธ 2:1; 4:1-13
6* 1 ซามูเอล 16:1; อิสยาห์ 11:1, 10; 2 ซามูเอล7:12; 12:24
7* 1 พงศาวดาร 3:10; 2 พงศาวดาร 11:20
8* 1 พงศ์กษัตริย์ 3:10;
2 พงศ์กษัตริย์ 15:13
9* 2 พงศ์กษัตริย์ 15:38
10* 2 พงศ์กษัตริย์ 20:21; 1 พงศ์กษัตริย์ 13:2
11* 1 พงศาวดาร 3:15-16; 2 พงศ์กษัตริย์ 24:14-16
12* 1 พงศาวดาร 3:17; เอสรา 3:2
16* Matt 13:55
18* ลูกา1:27,35 ; อิสยาห์ 49:1,5
19* เฉลยธรรมบัญญัติ 24:1
20* ลูกา 1:35
21* ลูกา 1:31; 2:21; ยอห์น 1:29; โรม 5:18-19
23* อิสยาห์ 7:14
25* ลูกา 2:7,21
สุภาษิต 28 ความกล้าหาญของผู้เที่ยงธรรม
1 คนชั่วร้ายหนีไปทั้ง ๆ ที่ไม่มีใครไล่ล่า
แต่คนเที่ยงธรรมนั้นกล้าหาญดั่งราชสีห์
2 เมื่อมีการกบฏก็มีผู้นำเกิดขึ้นหลายคน
แต่คนที่มีความเข้าใจและความรู้จะช่วยให้แผ่นดินนั้น สุขสงบ
3 ผู้นำที่ยากจนอาจจะบีบคั้นคนยากจนด้วยกัน
เป็นเหมือนฝนตกหนักที่ทำลายไร่นาจนไม่มีผลผลิต
4 คนที่ละทิ้งบัญญัติไปเท่ากับเขาสรรเสริญคนชั่วร้าย
แต่คนที่รักษาบัญญัติต่อต้านคนชั่ว
5 คนชั่วร้ายไม่เข้าใจความยุติธรรมเลย
แต่คนที่แสวงหาพระยาห์เวห์จะเข้าใจอย่างถ่องแท้
6 เป็นคนยากจนที่เดินไปอย่างซื่อตรง
ดีกว่าเป็นคนมั่งคั่งที่คดโกงไปตามทาง
7 ลูกชายที่มีความเข้าใจจะรักษาบัญญัติ
แต่การเป็นมิตรกับคนละโมบทำให้พ่อต้องขายหน้า
8 คนที่เพิ่มความมั่งคั่งให้กับตัวเอง
ด้วยการเก็บดอกเบี้ยและโก่งราคานั้น
เท่ากับกำลังเก็บสะสมไว้ให้กับคนที่เมตตาต่อคนยากจน
9 คนที่ไม่ยอมฟังบัญญัตินั้น
คำอธิษฐานของเขาเป็นที่น่าชัง
10 คนที่นำพาคนเที่ยงธรรมไปทางชั่ว
จะตกลงไปในหลุมดักของเขาเอง
แต่คนที่ไร้ตำหนิจะได้รับสิ่งดีเป็นมรดก
11 คนที่ร่ำรวยมักรู้สึกว่าตนเองเป็นคนฉลาด
แต่คนยากจนที่มีวิจารณญาณจะรู้จักเขาอย่างทะลุปรุโปร่ง
12 เมื่อคนเที่ยงธรรมได้ชัยชนะ ใคร ๆ ก็ชื่นชมยินดี
แต่เมื่อคนชั่วร้ายมีอำนาจ ใคร ๆ ก็หลบซ่อนตัว
13 คนที่ปกปิดความบาปของเขาจะไม่รุ่งเรือง
แต่คนใดที่สารภาพและละทิ้งบาปของตนจะได้รับพระเมตตา
14 ความสุขเป็นของคนที่ยำเกรงพระเจ้าเสมอ
แต่คนที่มีใจแข็งกระด้างจะตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก
15 คนชั่วที่ปกครองเหนือคนยากจน
ก็เป็นเหมือนสิงโตที่กำลังคำรามหรือ หมีที่กำลังรี่เข้าใส่
16 ผู้นำที่กดขี่ประชาชนเป็นคนขาดปัญญา
แต่คนที่เกลียดผลประโยชน์ซึ่งได้มาด้วยการคดโกง จะมีชีวิตยืนนาน
17 คนที่มีความผิดติดตัวเพราะฆ่าผู้อื่นจะหนีไปจนวันตาย
ขออย่าให้มีใครช่วยเขาเลย
18 คนที่เดินในความเที่ยงตรงจะปลอดภัย
แต่คนที่คดในข้องอในกระดูกจะล้มลงอย่างฉับพลัน
19 คนที่ทำไร่ไถนาในผืนดินของตนจะมีอาหารอย่างเหลือเฟือ
แต่คนที่มัวติดตามความฝันจะได้พบกับความยากจน
20 คนที่ซื่อตรงจะรับพระพรมากมาย
แต่คนที่รีบด่วนตามหาความมั่งคั่ง จะโดนลงโทษเป็นแน่
21 การแสดงความลำเอียงออกมานั้น ไม่ดีเลย
เพราะคน ๆ หนึ่งอาจทำความผิดเพียงเพื่อแลกขนมปังชิ้นเดียว
22 คนตระหนี่วิ่งรี่ตามความมั่งคั่ง
โดยไม่รู้ว่าความขัดสนจะตามเขาจนทัน
23 คนที่ตักเตือนผู้อื่นนั้น
ในที่สุดเขาจะได้รับความชื่นชมมากกว่าคนที่ใช้ปากสอพลอ
24 คนที่ปล้นพ่อและแม่ของเขา แล้วกล่าวว่า
“ไม่ผิดสักหน่อย” เป็นสหายของคนที่คอยทำลาย
25 คนละโมบจะยั่วยุให้เกิดการทุ่มเถียง
ส่วนคนที่วางใจในพระยาห์เวห์จะเจริญรุ่งเรืองขึ้น
26 คนที่วางใจตัวเองเป็นคนโง่
แต่คนที่เดินในทางแห่งปัญญาจะปลอดภัย
27 คนที่ยื่นให้แก่คนยากจนจะไม่มีวันขัดสนเลย
แต่คนที่ปิดตาของตนจะรับคำสาปแช่งมากมาย
28 เมื่อคนโหดร้ายได้อำนาจ ประชาชนก็ต้องหลบซ่อน
แต่เมื่อพวกเขาพินาศ เท่ากับเป็นการเพิ่มจำนวนคนเที่ยงธรรม
พระคำเชื่อมโยง สุภาษิต 28
1* สดุดี 53:5
3* มัทธิว 18:28
4* สดุดี 49:18; 1 พงศ์กษัตริย์ 18:18
5* สดุดี 92:6; ยอห์น 17:17
9* สุภาษิต 15:8
10* สุภาษิต 26:27; มัทธิว 6:33
12* สุภาษิต 11:10; 29:2
13* สดุดี 32:3-5
15* 1 เปโตร 5:8; มัทธิว 2:16
16* ปัญญาจารย์ 10:16
17* ปฐมกาล 9:6
19* สุภาษิต 12:11; 20:13
20* 1 ทิโมธี 6:9
21* สุภาษิต 18:5; เอเสเคียล 13:19
22* สุภาษิต 21:5
23* สุภาษิต 27:5-6
24* สุภาษิต 18:9
25* สุภาษิต 13:10; 1 ทิโมธี 6:6
26* สุภาษิต 3:5
27* เฉลยธรรมบัญญัติ 15:7
28* โยบ 24:4
สุภาษิต 27 ความมั่งคั่งไม่ยั่งยืน
1 อย่าคุยอวดถึงวันพรุ่งนี้
เพราะเจ้าไม่รู้ว่าวันหนึ่ง ๆ จะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง
2 จงให้คนอื่นชมเชยเจ้า อย่าให้ออกมาจากปากของเจ้าเอง
ให้มาจากคนอื่นไม่ใช่จากริมฝีปากของเจ้า
3 หินก็หนัก และทรายก็หนัก
แต่การยั่วโทสะจากคนโง่ยังหนักกว่าทั้งสองสิ่งนี้
4 ความเกรี้ยวกราดนั้นโหดร้าย
และความโกรธเป็นเหมือนน้ำที่ถาโถมเข้ามา
แต่ใครจะทนความอิจฉาริษยาได้เล่า?
5 ที่จะตักเตือนกันอย่างเปิดเผย
ยังดีกว่าความรักที่ซ่อนเอาไว้
6 บาดแผลจากเพื่อนนั้นไว้ใจได้แน่
แต่จูบของศัตรูเป็นเรื่องหลอกลวง
7 สำหรับคนที่ท้องอิ่มเสมอยังรังเกียจแม้น้ำผึ้ง
แต่สำหรับคนที่หิวโหย สิ่งที่ขมก็กลับหวาน
8 คนที่หนีหายไปจากบ้านของตนเอง
เป็นเหมือนนกที่เร่ร่อนออกไปจากรังของมัน
9 น้ำมันและน้ำหอมนำความชื่นใจมาให้
และเพื่อนที่เอื้อเฟื้อเอาใจใส่ก็เป็นกำลังใจ
10 อย่าละทิ้งเพื่อนของเจ้าหรือเพื่อนของพ่อเจ้า
และเมื่อทุกข์ยากก็อย่าไปที่บ้านของพี่น้องเจ้า
เพราะเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้ก็ดีกว่าพี่น้องที่อยู่ห่างไกล
11 ลูกเอ๋ย จงเป็นคนฉลาด และนำความยินดีมาให้ใจของพ่อ
เพื่อว่าเราจะตอบคนที่เข้ามาสบประมาทได้
12 คนที่ฉลาดรอบคอบเห็นอันตรายแล้วก็หลบซ่อนตัว
แต่คนที่โง่เขลาจะเดินต่อไปและเผชิญกับผลที่ตามมา
13 จงยึดเสื้อผ้าของคนที่ไปค้ำประกันให้คนแปลกหน้า
ยึดเอาไว้เป็นมัดจำเมื่อเขาค้ำประกันหญิงเสเพล
14 หากคนหนึ่งออกไปอวยพรเพื่อนบ้านเสียงดังตอนเช้าตรู่
จะถูกมองว่า คำนั้นเป็นคำสาปแช่ง
15 ฝนที่ตกพรำ ๆ ในวันฟ้าครื้ม
เป็นเหมือนหญิงที่ชอบหาเรื่องวิวาท
16 การจะไปห้ามให้หยุด
ก็เหมือนห้ามลมหรือกอบน้ำมันด้วยมือขวา
17 เหล็กเอามาลับเหล็กได้เช่นไร
คนเราก็ลับกันและกันให้เฉียบคมได้เช่นนั้น
18 คนที่ดูแลต้นมะเดื่อจะได้กินผลของมัน
และคนที่ดูแลเจ้านายของเขาจะได้รับคำชมเชย
19 เหมือนอย่างที่น้ำสะท้อนให้เห็นใบหน้า
จิตใจของคนก็สะท้อนให้เห็นตัวตนของเขาอย่างนั้น
20 แดนคนตาย และแดนพินาศไม่เคยอิ่ม
สายตาของมนุษย์ก็ไม่เคยอิ่มเช่นกัน
21 เบ้าหลอมนั้นมีไว้สำหรับแร่เงินและเตาถลุงมีไว้เพื่อทองคำ
แต่คน ๆ หนึ่งถูกทดสอบจากคำชมที่เขาได้รับ
22 แม้เจ้าจะบดขยี้คนโง่ราวกับตำข้าวด้วยสากกับครก
ถึงกระนั้น ความเขลาก็ยังไม่ออกไปจากตัวเขา
23 จงมั่นใจว่า ตนเองรู้สภาพของฝูงแพะแกะเป็นอย่างดี
และเอาใจใส่ต่อฝูงสัตว์ของเจ้า
24 เพราะความมั่งคั่งนั้นไม่ยั่งยืน
และมงกุฎก็ไม่ได้ยืนยงอยู่ทุกชั่วอายุคน
25 เมื่อเก็บฟางออกไป ก็มีต้นใหม่งอกขึ้นมา
และจะมีการเก็บเกี่ยวธัญพืชจากเนินเขา
26 ลูกแกะจะให้ขนของมันแก่เจ้าเพื่อทอเป็นเสื้อผ้า
และเจ้าจะได้เงินซื้อที่ดินทำไร่จากแพะของเจ้า
27 เจ้าจะมีนมแพะไว้กินอย่างเหลือเฟือ
มีอาหารสำหรับครอบครัว และอาหารสำหรับสาวใช้ของเจ้า
พระคำเชื่อมโยง สุภาษิต 27
1* ยากอบ 4:13-16
2* สุภาษิต 25:27
4* 1 ยอห์น 3:12
5* สุภาษิต 28:23
6* มัทธิว 26:49
10* สุภาษิต 17:17; 18:24
11* สุภาษิต 10:1; 23:15-26
12* สุภาษิต 22:3
15* สุภาษิต 19:13
18* 1โครินธ์ 3:8; 9:7-13
20* ฮาบากุก 2:5; ปัญญาจารย์
1:8; 4:8
21* สุภาษิต 17:3
22* เยเรมีย์ 5:3
23* สุภาษิต 24:27
25* สดุดี 104:14
สุภาษิต 26 ตอบคนโง่อย่างไรดี?
1 เกียรติยศไม่เหมาะกับคนโง่เขลา
เหมือนกับหิมะในฤดูร้อน หรือฝนในฤดูเก็บเกี่ยว
2 คำสาปแช่งที่ไม่มีเหตุจะหายไป
เหมือนอย่างนกกระจอกกระพือปีกหรือนกนางแอ่นบินไปมา
3 แส้มีสำหรับม้า บังเหียนมีไว้ให้ลา
และไม้เรียวสำหรับหลังของคนโง่!
4 อย่าตอบคนโง่ตามความเขลาของเขา
มิฉะนั้นเจ้าจะเป็นเหมือนกับเขา
5 ถ้าเจ้าตอบคนโง่ตามความเขลาของเขา
เขาจะคิดว่าตนเองเป็นคนฉลาดล้ำ
6 การส่งสารผ่านมือคนโง่
เท่ากับตัดเท้าของตนเองหรือดื่มยาพิษเข้าไป
7 สุภาษิตจากปากของคนโง่
เป็นเหมือน ขาพิการที่ห้อยร่องแร่งอยู่
8 การให้เกียรติคนโง่
เป็นเหมือนการผูกหินไว้กับห่วงเชือก
9 สุภาษิตในปากของคนโง่
เป็นเหมือนพุ่มหนามในมือของคนเมา
10 คนที่พยายามจ้างคนโง่หรือคนที่เดินผ่านมา
เป็นเหมือนคนยิงธนูสุ่มออกไป
11 คนโง่ที่ทำสิ่งโง่เขลาซำ้ซาก
เป็นเหมือนสุนัขที่กลับไปกินสิ่งที่มันสำรอกออกมา
12 เจ้าเห็นคนที่ฉลาดในสายตาของตนเองไหม?
ยังมีความหวังในคนโง่ได้มากกว่าเขาเสียอีก
13 คนเกียจคร้านกล่าวว่า
“มีสิงโตอยู่บนถนน มีสิงโตเดินไปมาที่ลานเมือง!”
14 คนเกียจคร้านพลิกตัวไปมาบนเตียง
เป็นเหมือนกับประตูที่เปิดปิดไปมาตรงบานพับ
15 คนเกียจคร้านจุ่มมือลงไปในชาม
และที่จะเอาอาหารป้อนตัวเองก็ยังรู้สึกเหนื่อย
16 คนเกียจคร้านมักรู้สึกว่า
ตนเองฉลาดกว่าอีกเจ็ดคนที่ตอบอย่างถูกต้อง
17 คนที่เข้าไปยุ่งกับการวิวาทที่ไม่ใช่เรื่องของตนนั้น
เปรียบได้กับคนที่เข้าไปดึงหูสุนัข
18 คนที่ไร้สติและกราดยิงลูกศรเพลิงจนถึงแก่ชีวิต
19 เป็นอย่างเดียวกับคนที่หลอกเพื่อนบ้านของตน
และกล่าวว่า “ฉันก็แค่ล้อเล่นเท่านั้นเอง!”
20 ไม่มีฟืน ไฟก็ดับ ไม่มีการนินทา
การวิวาทก็หยุดลง
21 ถ่านที่ลุกเป็นไฟ และไม้ที่ลุกเป็นเพลิง
เป็นเหมือนคนช่างทะเลาะที่ก่อเรื่องวิวาทอย่างง่ายดาย
22 คำของคนช่างนินทา
เป็นเหมือนอาหารอร่อยที่ลงไปยังส่วนลึกที่สุดของมนุษย์
23 ริมฝีปากอันรื่นหูจากหัวใจชั่วร้าย
เป็นเหมือน ภาชนะดินที่ถูกเคลือบไว้
24 คนที่มีใจเกลียดชังปิดบังความรู้สึกของตนเองด้วยคำพูด
แต่ในใจของเขามีความหลอกลวงสะสมอยู่
25 เมื่อเขาพูดจาดี อย่าไปเชื่อ
เพราะว่าในใจของเขาเต็มด้วยความน่ารังเกียจเจ็ดอย่าง
26 แม้ว่าเขาจะหลอกลวงปิดปังความเกลียดของตน
ความชั่วร้ายของเขาจะถูกเปิดโปงในที่ประชุม
27 คนที่ขุดหลุมดักก็จะตกลงไปเอง
และคนที่กลิ้งหิน หินนั้นจะกลิ้งกลับไปทับเขาเอง
28 ลิ้นมุสาเกลียดชังผู้ที่มันบดขยี้
และลิ้นประจบสอพลอทำให้เกิดหายนะ
พระคำเชื่อมโยง สุภาษิต 26
1* 1 ซามูเอล 12:17
2* เฉลยธรรมบัญญัติ 23:5
3* สดุดี 32:9
5* มัทธิว 16:1-4
11* 2 เปโตร 2:22; อพยพ 8:15
12* วิวรณ์ 3:17
15* สุภาษิต19:24
19* เอเฟซัส 5:4
21* สุภาษิต 15:18
25* สดุดี 28:3
27* สดุดี 7:15
28* สุภาษิต 29:5
สุภาษิต 25 สุภาษิตเพิ่มเติมจากโซโลมอน
สุภาษิตที่รวบรวมโดยคนของกษัตริย์เฮเซคียาห์
1 ต่อไปนี้ เป็นสุภาษิตของโซโลมอนที่เพิ่มเติมเข้ามา
ซึ่งคัดลอกโดยอาลักษณ์ของกษัตริย์เฮเซคียาห์แห่งยูดาห์
2 พระเกียรติสิริของพระเจ้านั้นอยู่ที่การปกปิดสิ่งต่าง ๆ ไว้
และเป็นเกียรติขององค์กษัตริย์ที่จะค้นคว้าสิ่งเหล่านั้นออกมา
3 ฟ้านั้นสูง แผ่นดินก็ลึกนัก
เป็นเหมือนพระทัยขององค์กษัตริย์ ที่ยากจะหยั่งถึง
4 จงเอากากแร่ออกจากแร่เงิน
ช่างเงินก็จะตีภาชนะออกมาได้
5 จงเอาคนชั่วร้ายออกไปจากพระพักตร์ขององค์กษัตริย์
แล้วบัลลังก์ของท่านจะยืนหยัดด้วยความเที่ยงธรรม
6 อย่าพูดยกย่องตัวเองเมื่ออยู่ต่อพระพักตร์กษัตริย์
และอย่าไปยืนในที่ของคนสำคัญ
7 เพราะเป็นการดีกว่า หากท่านกล่าวแก่เจ้าว่า
“จงขึ้นมาที่นี่เถิด” แทนที่จะถูกลดให้ไปอยู่ในที่ต่ำกว่า
ต่อหน้าเจ้าชายทั้งหลาย อย่างที่เจ้าก็เคยเห็นกับตามาแล้ว
8 อย่าด่วนร้อนใจนำเรื่องขึ้นศาล
ไม่อย่างนั้น เจ้าจะทำอย่างไรเมื่อเพื่อนบ้านของเจ้าทำให้เจ้าอับอาย?
9 จงตกลงคดีความกับเพื่อนบ้านของเจ้า
โดยไม่เปิดเผยความลับของกันและกัน
10 เกรงว่าคนที่ได้ยินจะมาทำให้เจ้าอับอาย
และเจ้าจะเสียชื่อเสียงตลอดไป
11 คำพูดที่เหมาะกับกาละเทศะนั้น
เป็นเหมือนแอปเปิ้ลทองคำบนหนามเตยเงิน
12 คำเตือนสติของปราชญ์ให้กับหูที่รับฟัง
เป็นเหมือนตุ้มหูทองและเครื่องประดับทองเนื้อดี
13 ผู้ส่งสารที่ไว้ใจได้นั้น เป็นเหมือนหิมะเย็น ๆในฤดูเก็บเกี่ยว
ทำให้คนที่ส่งเขาไปนั้นได้ชื่นใจ
14 คนที่อวดว่าจะให้ของกำนัล
แต่ไม่เคยให้ เป็นเหมือนเมฆดำไร้ฝน
15 เจ้าจะเอาชนะใจผู้ปกครองได้เพราะความอดทน
และลิ้นที่สุภาพถึงกับหักกระดูกได้
16 ถ้าเจ้าเจอน้ำผึ้ง จงกินเท่าที่จำเป็น
ถ้าเจ้ากินมากไป เจ้าจะอาเจียนออกมา
17 อย่าเข้าไปในบ้านของเพื่อนบ้านบ่อย ๆ
เพราะเขาจะเบื่อและเกลียดเจ้า
18 คนใดที่เป็นพยานเท็จต่อเพื่อนบ้าน
เป็นเหมือนกระบอง ดาบ หรือลูกธนูคมกริบ
19การพึ่งพาคนที่ไม่ซื่อในยามลำบาก
เป็นเหมือนฟันหักหรือกระดูกข้อเท้าที่หลุดจากเบ้า
20 คนที่ร้องเพลงให้กับคนที่กำลังเป็นทุกข์
เป็นเหมือนกับการถอดเสื้อคลุมออกยามอากาศหนาวเย็น
หรือเหมือนกับการเทน้ำส้มลงบนบาดแผลสด
21 หากศัตรูของเจ้าหิว จงให้อาหารเขากิน
และหากเขากระหาย จงให้น้ำเขาดื่ม
22 การทำเช่นนี้จะเป็นการสุมถ่านบนหัวของเขา
และพระยาห์เวห์จะทรงให้รางวัลกับเจ้า
23 ลมเหนือนำฝนมาเช่นไร
ลิ้นที่ทรยศก็นำความโกรธมาเช่นนั้น
24 การที่จะอาศัยอยู่มุมหลังคา
ก็ดีกว่าอยู่ร่วมบ้านกับภรรยาที่คอยหาเรื่องวิวาท
25 ข่าวดีจากแดนไกล
เป็นเหมือนน้ำเย็นประโลมใจที่อ่อนล้า
26 การที่คนเที่ยงธรรมยอมให้กับคนชั่วร้ายนั้น
เป็นเหมือนน้ำพุที่มีโคลน หรือบ่อที่มีน้ำเสีย
27 การกินน้ำผึ้งมากเกินไปนั้นไม่ดี
และการพยายามจะแสวงหาเกียรติให้ตนเองก็ไม่ดีเช่นกัน
28 คนที่ไม่อาจควบคุมอารมณ์ตนเองได้
เป็นเหมือนกำแพงเมืองที่ถูกทำลาย
.
พระคำเชื่อมโยง สุภาษิต 25
1* 1 พงศ์กษัตริย์ 4:32
2* เฉลยธรรมบัญญัติ 29:29
4* 2 ทิโมธี 2:21
5* สุภาษิต 16:12; 20:8
7* ลูกา 14:7-11
8* มัทธิว 5:25
9* มัทธิว. 18:15
11* สุภาษิต 15:23
13* สุภาษิต 13:17
14* สุภาษิต 20:6; ยูดา 12
15* สุภาษิต 15:1
18* สดุดี 57:4
20* ดาเนียล 6:18
21* โรม 12:20
22* 2 ซามูเอล 16:12
23* สดุดี 101:5
24* สุภาษิต 19:13
25* สุภาษิต 15:20
27* สุภาษิต 27:2
28* สุภาษิต 16:32
มาระโก 16 คืนพระชนม์!
นัดกันมาชโลมพระศพ
1 วันสะบาโตผ่านไป มารีย์ชาวมักดาลา มารีย์มารดาของยากอบ
และซาโลเมได้ซื้อเครื่องหอมมาเพื่อว่าพวกเธอจะได้มาชโลมพระศพของพระเยซู
2 เช้าตรู่ของวันต้นสัปดาห์ หลังจากดวงอาทิตย์ขึ้น
พวกเธอมายังถ้ำเก็บพระศพ
3 พวกเธอถามกันและกันว่า “ใครจะช่วยกลิ้งหินออกจากปากถ้ำ?”
4 แต่เมื่อพวกเธอเงยหน้ามอง ก็เห็นว่า
หินที่ใหญ่มาก ถูกกลิ้งออกมาแล้ว!
5 เมื่อเข้าไปในถ้ำ ก็เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งสวมเสื้อยาวสีขาวนั่งอยู่ข้างขวา พวกเธอตกใจมาก
6 แต่เขาพูดกับทุกคนว่า “อย่าตื่นตระหนกไปเลย ท่านมาหาพระเยซูชาวนาซาเร็ธ ที่ทรงถูกตรึง พระองค์ทรงคืนพระชนม์ขึ้นมาแล้ว พระองค์ไม่ได้อยู่ที่นี้ ดูตรงที่ ๆ เขาวางพระศพสิ
7 แต่ขอให้ท่านไปบอกพวกศิษย์ และเปโตรว่า
‘พระองค์เสด็จไปยังแคว้นกาลิลีล่วงหน้า ที่นั่น พวกท่านจะได้พบพระองค์ อย่างที่พระองค์เคยตรัสเอาไว้’ ”
8 ดังนั้นพวกผู้หญิงจึงออกจากถ้ำ และวิ่งออกไป พวกเธอตัวสั่น ตะลึงลาน และเป็นเพราะกลัวมาก พวกเธอจึงไม่ได้พูดอะไรกับใครเลย
พระเยซูทรงปรากฎแก่มารีย์ชาวมักดาลา
9 เช้าตรู่วันต้นสัปดาห์ หลังจากที่พระเยซูคืนพระชนม์แล้วพระองค์ทรงปรากฏพระองค์ครั้งแรกกับมารีย์ชาวมักดาลาซึ่งเป็นคนที่ทรงขับผีออกจากเธอ 7 ตน
10 เธอจึงออกไปและบอกเรื่องนี้กับคนที่เคยอยู่กับพระองค์พวกเขากำลังร้องไห้เป็นทุกข์อยู่
11 และเมื่อเขาได้ยินว่าพระเยซูทรงพระชนม์
และเธอได้เห็นพระองค์ แต่พวกเขาก็ไม่เชื่อเรื่องนี้!
พระเยซูปรากฏพระองค์ต่อศิษย์สองคน
12หลังจากนี้ พระเยซูทรงปรากฏพระกายอีกแบบหนึ่ง
ให้กับศิษย์ทั้งสองขณะที่พวกเขากำลังเดินอยู่นอกเมือง
13 พวกเขากลับมาเล่าให้คนอื่น ๆ ฟัง
แต่กลับไม่มีใครเชื่อพวกเขาเลย!
พระมหาบัญชา
(Matthew 28:16–20)
14 ต่อมา ขณะที่พวกเขากำลังรับประทานอาหารด้วยกัน
พระเยซูทรงปรากฏพระองค์แก่ศิษย์ทั้งสิบเอ็ดคน
และทรงตำหนิที่พวกเขาขาดความเชื่อ และยังมีใจแข็งกระด้างเพราะพวกเขาไม่เชื่อคนที่เห็นพระองค์หลังจากที่ทรงคืนพระชนม์แล้ว
15 และพระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า
“จงออกไปทั่วโลก และสั่งสอนเรื่องพระกิตติคุณให้แก่ทุกคน 16 ใครที่เชื่อ และรับบัพติศมาจะได้รับความรอด
ส่วนคนที่ไม่เชื่อจะถูกพิพากษาโทษ
17 และหมายสำคัญต่อไปนี้ จะตามคนที่เชื่อไป คือ พวกเขาจะขับผีในนนามของเรา พวกเขาจะพูดภาษาที่แปลกออกไป 18 พวกเขาจะจับงูด้วยมือ และหากดื่มยาพิษแรงถึงตายก็จะไม่มีอะไรทำร้ายพวกเขาได้ พวกเขาจะวางมือคนป่วยและคนเหล่านั้น จะหายโรค”
เสด็จสู่สวรรค์
19หลังจากที่องค์พระเยซูเจ้าตรัสจบ พระองค์ก็ทรงถูกรับขึ้นไปบนสวรรค์ และประทับนั่ง ณ เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า
20 แล้วพวกศิษย์ก็ออกไป และเทศนาสั่งสอนทุกหนแห่ง
และองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำการผ่านพวกเขา
ยืนยันถึงพระดำรัสโดยหมายสำคัญที่เกิดขึ้นพร้อม ๆ กันไป
อธิบายเพิ่มเติม
มาระโก 16:1-8
1 วันสะบาโตจบในเวลาดวงอาทิตย์ตกของวันเสาร์ ซึ่งหลังจากเวลานั้น พวกผู้หญิงสามารถซื้อเครื่องหอมได้โดยไม่ผิดกฎสะบาโต เช้าวันอาทิตย์ มาระโกกล่าวถึงผู้หญิงสามคน แต่ยอห์นบอกว่า มีมารีย์ มารดาของพระเยซูด้วย (ยอห์น 19:26) ลูกาเองบอกว่า มีผู้หญิงคนอื่น ๆ อีกเช่นกัน (ลูกา 24:10). พวกเธอตั้งใจจะนำเครื่องหอมเหล่านี้มาเพื่อทำให้พระศพเน่าช้าลง จะได้ไม่มีกลิ่นที่รุนแรง ถ้าเราจะมองความตั้งใจของพวกเธอ เราเห็นว่า ไม่มีใครคาดว่าจะมีการคืนพระชนม์
2-6 พอฟ้าสว่างแล้ว พวกเธอมาพร้อมเครื่องหอม เจอหินที่ปิดถ้ำไว้ (หินถูกปิดไว้ตามคำขอของเหล่าธรรมาจารย์ มัทธิว 27:62-66) ถูกกลิ้งออกแล้ว พวกเธอเข้าไปในถ้ำ แทนที่จะพบพระเยซู กลับพบชายใส่เสื้อขาวนั่งอยู่ ชายผู้นั้นก็คือ ทูตสวรรค์ของพระเจ้านั่นเอง ในถ้ำนั้นมีทูตสองท่านแต่มาระโกสนใจท่านที่พูดกับพวกผู้หญิง
7-8 ทูตนั้นได้บอกพวกเธอให้รู้ชัดว่า กำลังพูดถึงพระเยซูผู้ถูกตรึงเมื่อวันศุกร์ เช้าวันนี้ พระศพไม่มีให้พวกเธอชโลมด้วยเครื่องหอม ที่ ๆ วางพระศพ ก็ไม่มีพระองค์จริง ๆ ยิ่งไม่พบพระศพยิ่งทำให้พวกเธอตื่นตะลึง “ทำไมไม่มีพระศพ? พระศพหายไปไหน?”คำถามเหล่านี้วนอยู่ในความคิดของพวกเธอ และช่วงนี้ มาระโกบอกเราว่า พวกเธอกลัวมากจนไม่ได้พูดกับใคร
และน่าแปลกที่ท่านกล่าวชื่อเปโตรชัดเจน.. แสดงว่า การที่เปโตรกล่าวปฏิเสธพระองค์ในวันศุกร์นั้น พระเยซูไม่ได้ทรงตัดเขาออกจากการเป็นศิษย์ของพระองค์
มาระโก 16:9-11
จากข้อ 9-20 เป็นตอนที่ผู้เชี่ยวชาญพระคัมภีร์ให้ความเห็นว่า อาจเป็นข้อความที่เติมเข้ามา ไม่ใช่ของมาระโกเขียนตั้งแต่ต้น
9 จากนั้น มีบันทึกว่า พระเยซู ทรงปรากฏกับมารีย์มักดาลาเป็นคนแรก .. มารีย์ไปบอก ไม่มีใครเชื่อ มัวแต่ร้องไห้ที่พระเยซูสิ้นพระชนม์ พระเจ้าทรงให้เกียรติเธอเป็นอย่างมาก มารีย์มักดาลา เป็นคนที่ทำตามคำบัญชาของพระเยซูทันที
แต่น่าเสียดาย พวกเขาไม่เชื่อคำของเธอ … ทำไม? ทั้ง ๆ ที่พระเยซูทรงบอกล่วงหน้าแล้วว่า พระองค์จะคืนพระชนม์ อ่าน มาระโก 14:28
มาระโก 16: 12-13
12ทรงเจอศิษย์สองคนนอกเมือง ไปบอก ไม่มีใครเชื่อ รายละเอียดของเรื่องนี้ อยู่ใน ลูกา 24:13-32
พวกเขากำลังเดินทางระหว่างนครเยรูซาเล็มกับเมืองเอมมาอู สองคนที่คุยกันถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ก็ได้พบพระเยซูองค์ที่ฟื้นขึ้นมาแล้ว พระองค์ทรงเดินสนทนาไปกับพวกเขา โดยที่พวกเขาไม่ได้เห็นว่า เป็นพระองค์ จนกระทั่งพระองค์ทรงเปิดเผยพระองค์เอง เขาทั้งสองจึงมั่นใจ
13 แต่เมื่อไปเล่าสิ่งที่เกิดขึ้น คนอื่น ๆ ไม่เชื่อพวกเขา (จะเห็นจากบทนี้ว่า ไม่มีใครสักคนคิดว่า พระเยซูจะฟื้นคืนพระชนม์เลย บอกแล้วยังไม่เชื่อด้วย ผู้ที่ติดตามพระองค์เวลานั้น เอาแต่เสียใจว่า พระองค์สิ้นพระชนม์ไป โดยลืมไปว่า พระองค์ได้ตรัสแล้วว่าจะคืนพระชนม์ขึ้นมา
มาระโก 16:14-18
14 แล้วพระองค์มาปรากฏกับศิษย์ 11 คน (เป็นเรื่องเดียวกับมัทธิว 28:16-20) ทรงต่อว่าที่พวกเขาไม่เชื่อ ใจแข็ง นั่นคือ ไม่เชื่อพี่น้องที่ได้เห็นพระเยซูแล้ว แปลกที่พวกเขาไม่ไว้ใจพี่น้องที่พูดความจริง และคราวนี้ทุกคนต้องยอมรับว่า ได้เห็นพระองค์จริง
15แต่แล้วจากคนที่ไม่ยอมเชื่อเหล่านี้ จากคนที่ต้องเห็นพระองค์จริง ๆ จึงเชื่อ พระองค์ก็ได้ตรัสสั่งให้ออกไปประกาศพระนามของพระองค์ทั่วโลก
ทำไมพระเยซูทรงสั่งแบบนั้น?
เป็นเพราะนี่คือแผนการของพระเจ้ามาตั้งแต่สมัยอับราอัม พระองค์ทรงบอกเขาหลายพันปีก่อนว่า ลูกหลานของพวกเขาจะเป็นพระพรให้แก่ชาวโลก แต่ชาวยิวสมัยพระเยซูไม่ได้คิดอย่างนั้นเลยพวกเขาเห็นแค่เพียงว่า พระเยซูทรงเป็นพระเมสสิยาห์ที่จะมาช่วยพวกเขาให้พ้นจากโรม
คำตรัสของพระเยซูจึงแปลกสำหรับพวกเขา และพวกเขาก็ไม่ได้ออกไปประกาศต่างประเทศจริงจังจนกระทั่งมีการข่มเหงคริสตจักร จนกระทั่งท่านเปาโลได้รับคำสั่งของพระเยซูด้วยตัวเอง
พระเยซูทรงสั่งศิษย์ของพระองค์ และเราทุกคน และพระองค์ได้ทรงบอกล่วงหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง …เป็นหมายสำคัญตามหลังการประกาศพระนาม
มาระโก 16:19-20
ตรัสจบก็เสด็จขึ้นสวรรค์ ต่อหน้าต่อตาคนจำนวนมาก อ่านเรื่องเดียวกันนี้ที่ลูกา 24:50-53 และกิจการ 1:6-11
พระเยซูทรงสัญญาว่า เมื่อพวกเขาประกาศพระนาม ก็จะมีหมายสำคัญเกิดขึ้นในหมู่ผู้เชื่อ เราจึงติดตามข่าวประเสริฐก่อน ไม่ใช่ติดตามหมายสำคัญ
พระคำเชื่อมโยง
1* ยอห์น 20:1-8; ลูกา 23:56
2* ลูกา 24:1
5* ยอห์น 20:11-12
6* มัทธิว 28:6; โฮเชยา 6:2
7* มัทธิว 26:32; 28:16-17
8* มัทธิว 28:8
9* ลูกา 8:2
10* ลูกา 24:10
11* ลูกา 24:11,14
12* ลูกา 24:13-35
14* 1โครินธ์ 15:5
15* มัทธิว 28:19; โคโลสี 1:23
16* ยอห์น 3:18,36; 12:48
17* กิจการ 5:12; ลูกา 10:17; กิจการ 2:4
18* กิจการ 28:3-6; ยากอบ 5:14
19* กิจการ 1:2-3; อิสยาห์ 9:7; ลูกา 9:51; 24:51; สดุดี 110:1
20* ฮีบรู 2:4
สุภาษิต 24 สติปัญญาสร้างสรรค์
1 อย่าอิจฉาคนโหดร้าย หรืออยากไปเป็นพวกของเขา
2 เพราะพวกเขาเอาแต่คิดเรื่องความรุนแรง
ปากของพวกเขาก็ประกาศแต่เรื่องเดือดร้อน
คำกล่าวที่ 21
3 บ้านเรือนถูกสร้างขึ้นมาด้วยสติปัญญา
และบ้านนั้นมีความมั่นคงได้ด้วยความเข้าใจ
4 เพราะความรู้ ในห้องจึงมีทรัพย์สมบัติที่มีค่า
และงดงามเต็มไปหมด
5 นักรบที่มีสติปัญญานั้นเข้มแข็ง
และชายที่มีความรู้จะเพิ่มพลังให้ตัวเอง
6 เจ้าควรจะทำสงครามด้วยคำแนะนำจากหลาย ๆ คน
จะมีชัยชนะได้ก็ด้วยการมีที่ปรึกษามากมาย
คำกล่าวที่ 23
7 สติปัญญานั้นสูงเกินไปสำหรับคนโง่
เขาต้องไม่เปิดปากของตนที่ประตูเมือง
คำกล่าวที่ 24
8 คนที่วางแผนชั่ว จะได้ชื่อว่าเป็นคนออกอุบาย
9 การออกอุบายโง่ ๆ เป็นความบาป
และคนที่ช่างเยาะเป็นคนที่ใคร ๆ ก็รังเกียจ
คำกล่าวที่ 25
10 หากเจ้าล้มลงในวันแห่งความทุกข์ใจ
ก็แสดงว่า เจ้ามีกำลังน้อยเหลือเกิน!
11 จงช่วยชีวิตคนที่ถูกนำไปสู่ความตาย
จงยับยั้งคนที่เดินโซเซมุ่งไปยังแดนประหาร
12 หากเจ้ากล่าวว่า “ดูเถิด เราไม่รู้เรื่องนี้เลย”
พระเจ้าผู้ทรงชั่งใจจะไม่ทรงเห็นหรือ?
พระองค์ผู้ทรงคุ้มครองชีวิตของเจ้าจะไม่รู้หรือ?
และจะไม่ทรงตอบสนองแต่ละคนตามการกระทำของเขาหรือ?
คำกล่าวที่ 26
13 ลูกเอ๋ย จงกินน้ำผึ้ง เพราะเป็นสิ่งดี
และน้ำผึ้งที่หยดจากรวงนั้น ก็หวานชื่นใจนัก
14 จงรู้ว่า สติปัญญาก็หวานต่อจิตวิญญาณของเจ้า
หากเจ้าพบสติปัญญา เจ้าก็จะมีอนาคต
และความหวังของเจ้าจะไม่ถูกตัดออกไป
คำกล่าวที่ 27
15 โอ คนชั่วร้ายเอ๋ย อย่าไปซุ่มดักใกล้ ๆ บ้านคนเที่ยงธรรม
อย่าทำลายที่อยู่อาศัยของเขา
16 เพราะถึงแม้ว่าคนเที่ยงธรรมจะล้มเจ็ดครั้ง
แต่เขายังคงลุกขึ้นมาได้ แต่คนชั่วจะล้มลงในเวลาแห่งหายนะ
คำกล่าวที่ 28
17 อย่าไปยินดีเมื่อศัตรูของเจ้าล้มลง
อย่าให้ใจของเจ้าร่าเริงเมื่อเห็นเขาสะดุด
18 เกรงว่า พระเจ้าจะทรงเห็น และไม่พอพระทัย
และหันพระพิโรธออกจากพวกเขา
คำกล่าวที่ 29
19 อย่าไปเดือดร้อนเพราะคนทำความชั่ว
อย่าไปอิจฉาคนที่โหดร้าย
20 เพราะคนชั่วไม่มีอนาคต
และตะเกียงของคนโหดร้ายจะถูกดับไป
คำกล่าวที่ 30
21 ลูกของเราเอ๋ยจงยำเกรงพระเจ้าและองค์กษัตริย์
อย่าไปรวมหัวกับคนที่คิดกบฎ
22 เพราะมันจะนำหายนะมาให้เจ้าอย่างทันควัน
ใครจะรู้บ้างว่า ความเสียหายที่พระเจ้าและองค์กษัตริย์
ทรงนำมานั้นจะหนักหนาขนาดไหน?
คำกล่าวเพิ่มเติมจากผู้มีปัญญา
23สิ่งที่จะกล่าวต่อไปนี้ มาจากคำสอนของปราชญ์เช่นกัน :
การตัดสินความด้วยความลำเอียงนั้นไม่ดีเลย
24 คนใดที่บอกคนทำผิดว่า “เจ้าไม่ผิด”
คนนั้นจะถูกผู้คนสาปแช่ง และชาติต่าง ๆ จะประณามเขา
25 แต่สำหรับคนที่ลงโทษคนผิด
ทุกอย่างจะเป็นไปด้วยดี
และจะมีพระพรยิ่งใหญ่เหนือชีวิตของเขา
26 คำตอบที่ซื่อตรงเป็นเหมือนได้จูบที่ริมฝีปาก
27 จงทำงานข้างนอก เตรียมทุ่งนาให้พร้อม
จากนั้นเจ้าจึงสร้างบ้านของเจ้า
28 อย่าไปเป็นพยานเท็จต่อต้านเพื่อนบ้านอย่างไร้สาเหตุ
และอย่าหลอกลวงด้วยริมฝีปากของเจ้า
29 อย่ากล่าวว่า “ฉันจะทำกับเขาอย่างที่เขาทำต่อฉัน
ฉันจะตอบสนองเขาตามสิ่งที่เขาได้ทำลงไป”
30 ข้าได้เดินผ่านทุ่งของคนสันหลังยาว
ผ่านสวนองุ่นของคนไร้สามัญสำนึก
31 มีหนามโผล่ขึ้นมาทุกแห่ง ไม้หนามก็ขึ้นคลุมดิน
และกำแพงหินพังทลายไปแล้ว
32 ข้าสังเกตและเอาไปวิเคราะห์
ข้ามองและได้รับคำเตือนว่า
33 การขอนอนต่ออีกนิด ขอหลับต่ออีกหน่อย
ขอกอดอก พักผ่อนอีกชั่วครู่
34 แล้วความยากจนจะจู่โจมเข้ามาเหมือนโจร
และความขัดสนจะเข้ามาเหมือนคนเข้ามาปล้น
พระคำเชื่อมโยง สุภาษิต 24
1* สดุดี 1:1; 37:1
5* สุภาษิต 21:22
6* ลูกา 14:31
7* สดุดี 10:5
8* โรม 1:30
10* ฮีบรู 12:3
11* สดุดี 82:4
12* สุภาษิต 21:2; สดุดี 62:12
13* บทเพลงโซโลมอน 5:1
14* สดุดี 19:10; 58:11
16* มีคาห์ 7:8; เอสเธอร์ 7:10
17* โอบาดีย์ 12
19* สดุดี 37:1
21* 1 เปโตร 2:17
23* เลวีนิติ 19:15
24* อิสยาห์ 5:23
25* สุภาษิต 28:23
27* สุภาษิต 27:23-27
28* เอเฟซัส 4:25
29* สุภาษิต 20:22
31* ปฐมกาล 3:18
33* สุภาษิต 6:9-10
34* สุภาษิต 6:9-11
มาระโก 15 พระเยซูสิ้นพระชนม์
พระเยซูถูกสอบสวนต่อหน้าปีลาต
1 เช้าตรู่ของวันต่อมา พวกหัวหน้าปุโรหิต ผู้อาวุโส ธรรมาจารย์ และ
สภาแซนเฮอดรินทั้งหมดก็วางแผนร่วมกัน เขามัดพระเยซู และส่งให้กับปีลาต
2 ปีลาตถามพระองค์ว่า “ท่านเป็นกษัตริย์ของยิวอย่างนั้นหรือ?”
พระเยซูตรัสตอบว่า “ก็เป็นอย่างที่ท่านว่า”
3 แล้วพวกหัวหน้าปุโรหิตก็เริ่มต้นกล่าวหาพระองค์หลายกระทง
4 แล้วปีลาตจึงถามพระองค์อีกครั้งว่า“ท่านจะไม่ตอบหรือ? เห็นไหมว่า พวกเขากล่าวหาท่านหลายอย่างขนาดนี้!”
5 แต่พระเยซูไม่ทรงตอบประการใด ทำให้ปีลาตประหลาดใจนัก
ฝูงชนเลือกอาชญากรตัวจริง
6 เป็นธรรมเนียมของปีลาตที่จะปล่อยนักโทษคนที่ประชาชนเลือกออกมาในช่วงเทศกาล
7 และมีชายคนหนึ่งชื่อบารับบัสถูกจำคุกพร้อมกับพวกกบฏที่ได้ฆ่าคนระหว่างการจลาจล
8 ดังนั้นฝูงชนได้ขึ้นไปขอให้ปีลาตทำตามธรรมเนียมที่เคย
9 “พวกเจ้าต้องการให้เราปล่อยกษัตริย์ของชาวยิวหรือ?” ปีลาตถาม
10 เพราะเขารู้อยู่ว่า เหล่าหัวหน้าปุโรหิตต้องการส่งมอบพระเยซูให้เขาก็เพราะพวกเขาอิจฉาพระองค์
11 แต่เหล่าหัวหน้าปุโรหิต กลับปลุกปั่นฝูงชนให้เรียกร้องปีลาตปล่อยบารับบัสมาแทน
ปีลาตมอบพระเยซูให้ประหาร
12 แล้วปีลาตก็ถามพวกเขาอีกว่า“แล้วพวกเจ้าจะให้เราทำอย่างไรกับคนที่ท่านเรียกว่า กษัตริย์ของพวกยิว?”
13 พวกเขาตะโกนกลับมาว่า “ตรึงเขาที่ไม้กางเขน!”
14“ตรึงทำไม?” ปีลาตถาม “เขาทำชั่วร้ายอะไรเล่า?” แต่พวกเขากลับตะโกนดังขึ้น “ตรึงเขาที่ไม้กางเขน!”
15 ปีลาตพยายามเอาใจฝูงชน เขาจึงปล่อยบารับบัสออกมาให้ แต่กลับสั่งให้โบยพระเยซู และมอบตัวพระองค์ให้ไปตรึงที่ไม้กางเขน
พวกทหารเยาะเย้ยพระองค์
16 แล้วพวกทหารจึงนำพระเยซูออกไปยังวังของผู้ว่าคือศาลปรีโทเรียม และระดมกองกำลังทั้งหมดเข้ามา
17 พวกเขาสวมเสื้อคลุมสีม่วงให้พระองค์ และสานมงกุฎหนามมาสวมพระเศียร
18 จากนั้นก็ถวายคำนับและร้องว่า “ขอกษัตริย์ของพวกยิวจงทรงพระเจริญ!”
19 พวกเขาเอาไม้ฟาดพระเศียรและถ่มน้ำลายรดพระองค์ แล้วจากนั้นคุกเข่าถวายคำนับต่อพระองค์
20 หลังจากที่ได้เยาะเย้ยพระองค์ขนาดนั้นแล้ว
ก็ถอดเสื้อคลุมออก นำฉลองพระองค์กลับมาสวมให้
จากนั้นจึงนำพระองค์ออกไปเพื่อตรึงบนไม้กางเขน
การตรึงบนไม้กางเขน
21 ซีโมนชาวเมืองไซรีน เป็นบิดาของอเล็กซานเดอร์และรูฟัส ได้เดินทางจากเมืองข้างนอกเข้ามาพอดี และทหารก็บังคับให้เขาแบกไม้กางเขนแทนพระองค์
22 พวกเขานำพระเยซูมายังสถานที่ชื่อโกละโกธา
ซึ่งหมายถึงสถานที่แห่งหัวกระโหลก
23 แล้วเขาก็เอาเหล้าองุ่นเจือมดยอบมาให้พระองค์ แต่พระเยซูไม่ทรงรับ
24 จากนั้นเขาตรึงพระองค์บนไม้กางเขน และยังนำฉลองพระองค์มาจับฉลากเพื่อตัดสินว่าใครจะได้ส่วนใดไป
25 ตอนที่เขาตรึงพระเยซูนั้น เป็นเวลาเก้าโมงเช้า
26 มีป้ายข้อกล่าวหาเขียนไว้ว่า“กษัตริย์ของพวกยิว”
27 พวกเขายังตรึงโจรอีกสองคนพร้อมกับพระเยซูด้วย
ข้างขวาคนหนึ่งข้างซ้ายคนหนึ่ง
28 (เพื่อเป็นไปตามพระคัมภีร์ที่ว่า
“และพระองค์ทรงถูกนับเข้ากับคนที่ล่วงละเมิด”)
เหล่าคนเยาะเย้ย
29 คนที่เดินผ่านไป ก็พากันทับถมเยาะเย้ยพระองค์ ส่ายหัว กล่าวว่า “ฮะฮ้า ท่านผู้ที่จะทำลายพระวิหารและสร้างขึ้นใหม่ในสามสิบวัน
30 ลงมาจากไม้กางเขน และช่วยตัวเองให้รอดเถอะ!”
31เช่นเดียวกัน ในหมู่เหล่าหัวหน้าปุโรหิต และธรรมาจารย์ก็เยาะเย้ยพระองค์ กล่าวว่า “เขาช่วยคนอื่นให้รอด แต่กลับช่วยตัวเองไม่ได้!”
32 “ให้พระคริสต์ กษัตริย์แห่งอิสราเอลลงมาจากไม้กางเขน เพื่อว่าเราจะได้เห็นและเชื่อพระองค์กัน!” แม้กระทั่งคนที่ถูกตรึงพร้อมกับพระองค์ก็ยังกล่าวสบประมาทพระองค์ด้วย
การสิ้นพระชนม์
33 จากเที่ยงวันจนกระทั่งบ่ายสามโมง เกิดมืดมัวทั่วทั้งแผ่นดิน
34 พอถึงบ่ายสามโมง พระเยซูทรงร้องเสียงดังว่า “เอโลอี เอโลอี ลามา สะบักธานี” ซึ่งแปลว่า “พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ เหตุใดพระองค์จึงทรงละทิ้งข้าพระองค์ไป?”
35 เมื่อมีคนบางคนที่ยืนอยู่ได้ยินอย่างนั้น เขาก็ว่า “ดูสิ เขากำลังร้องเรียกเอลียาห์”
36 มีบางคนวิ่งไปแล้วเอาฟองน้ำจุ่มเหล้าองุ่นติดปลายไม้อ้อ ยื่นให้พระองค์ได้จิบ แล้วพูดว่า”ปล่อยเขา มาดูกันสิว่า เอลียาห์จะมาเอาเขาลงไปหรือไม่”
37 แต่พระเยซูทรงร้องออกมาเสียงดัง และหายพระทัยครั้งสุดท้าย
38 และม่านในพระวิหารก็ขาดออกเป็นสองท่อนจากบนลงมาล่าง
39เมื่อนายร้อยที่ยืนอยู่เบื้องหน้าพระเยซูเห็นว่า พระองค์ได้ทรงหายพระทัยครั้งสุดท้ายอย่างไร เขากล่าวว่า “แท้จริง ท่านผู้นี้เป็นพระบุตรของพระเจ้า!”
40 มีพวกผู้หญิงเฝ้ามองดูอยู่ห่าง ๆ ซึ่งในหมู่ผู้หญิงก็มี มารีย์ชาวมักดาลา มารีย์มารดาของยากอบน้อย และโยเสส และนางสะโลเม
41 พวกเธอได้ติดตามพระเยซู และรับใช้ปรนนิบัติพระองค์ขณะที่ทรงอยู่ในกาลิลี และมีผู้หญิงคนอื่นอีกหลายคนซึ่งขึ้นมายังเยรูซาเล็มกับพระองค์
ฝังพระศพ
42 วันนั้นเย็นแล้ว เป็นวันเตรียม ซึ่งหมายถึงวันก่อนสะบาโต
43 โยเซฟชาวอาริมาเธีย ซึ่งเป็นสมาชิกคนสำคัญที่รอคอยอาณาจักรของพระเจ้า ได้เข้าไปพบปีลาตอย่างกล้าหาญ เพื่อขอพระศพของพระเยซู
44 ปีลาตเองรู้สึกแปลกใจที่ได้ยินว่า พระเยซูสิ้นพระชนม์แล้ว ดังนั้น เขาจึงเรียกนายร้อยมาถามว่า พระองค์สิ้นพระชนม์แล้วจริงหรือไม่
45เมื่อปีลาตได้รับคำยืนยัน จากนายร้อย เขาจึงอนุญาตให้โยเซฟ นำพระศพไป
46 ดังนั้นโยเซฟได้ซื้อผ้าลินินมา และนำร่างของพระองค์ลงมา พันพระศพ และนำพระศพไปวางไว้ในถ้ำเก็บศพที่สกัดไว้ก่อนหน้านี้ แล้วเขาก็กลิ้งหินปิดปากถ้ำไว้
47 โดยที่มารีย์มักดาลา และมารีย์มารดาของโยเซฟ ก็ได้เห็นที่เก็บพระศพด้วย
อธิบายเพิ่มเติม
มาระโก 15:1-5
เมื่อคืน พวกยิวได้สอบสวนพระเยซูตามแบบของยิว เพื่อหาหลักฐานมาส่งฟ้องตอนเช้า ซึ่งพวกเขานำพระเยซูไปส่งให้ปีลาต แต่เช้าตรู่ เพราะโดยปกติแล้ว การทำคดีของโรมมักจะทำเช้ามาก ๆ
ถึงแม้ว่าพวกเขาอยากประหารพระเยซูมากเพียงไร แต่เป็นเพราะโรมปกครองอยู่ เขาจึงไม่มีสิทธิทำอะไรเช่นนั้น อีกอย่างประชาชนคงลุกฮือขึ้นอย่างแน่นอน วิธีเดียวที่ปลอดภัยคือยืมมือของปีลาตให้ทำตามแผนของพวกเขา
ข้อกล่าวหาคือ “พระเยซูทรงตั้งตนเป็นกษัตริย์ของยิว” ซึ่งหมายถึงการที่พระองค์จะนำประชาชนลุกฮือ ต่อต้านโรมนั่นเอง นับเป็นข้อหาทางการเมืองที่จะส่งผลถึงการประหารได้ (ที่จะบอกว่า พระเยซูทรงอ้างว่า พระองค์เป็นพระเมสสิยาห์ที่พระเจ้าส่งมา หรือว่าพระองค์ทรงอ้างว่า ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้านั้น ปีลาตจะไม่เข้าใจเลย)
พอปีลาตถามว่าพระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ยิวหรือ พระองค์ก็ทรงตอบในเชิงว่าใช่ตามที่ปีลาตถาม
จากนั้น เมื่อพระองค์โดนใส่ความเพิ่มทับถมเข้ามา ปีลาตก็แปลกใจนักที่พระองค์ไม่แก้ตัวใด ๆ ทั้งสิ้น
มาระโก 15:6-11
ปีลาตรู้มาตั้งแต่แรกว่า พวกยิวพยายามใช้ให้เขาเป็นคนสั่งประหารพระเยซู เนื่องจากพวกเขาอิจฉาที่พระองค์ได้รับความนิยมจากประชาชนมาก แล้วตอนนี้พวกยิวกลับมาใช้ประเพณีที่มีการปล่อยตัวนักโทษประจำปีเลือกปล่อยอาชญากร ที่ทั้งกบฏ และฆ่าคน ทั้ง ๆ ที่ปีลาตเสนอให้ปล่อยพระเยซู เพราะจากการสนทนาสอบสวน ปีลาตรู้อยู่แก่ใจว่า การฟ้องร้องของยิวนั้น ไม่มีหลักฐานแน่นหนา แต่เป็นการใส่ร้ายอย่างจงใจ ปีลาตเห็นอาการอิจฉาอย่างชัดเจน (10)
ก่อนหน้านี้ฝูงชนส่วนหนึ่งติดตามพระเยซู แต่เมื่อมีการใส่ร้าย ผู้คนได้ฟังความพยานเท็จ พวกเขาก็เปลี่ยนใจจากชอบพระเยซูเป็นเกลียดจนต้องการประหารพระองค์ ฝูงชนเป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก ๆ และแน่นอนในเหตุการณ์นี้ต้องมีคนที่คอยบงการปลุกระดมฝูงชนอยู่ ก็เหมือนอย่างที่เราเห็นในปัจจุบันด้วย
มาระโก 15:12-15
ปีลาตหันไปถามฝูงชนว่าต้องการอะไร เป็นการกระทำที่ทำให้เห็นว่า เขาต้องการเอาใจคนยิวที่มาฟ้องพระเยซู แต่กลับได้คำตอบที่ไม่คาดว่า จะรุนแรงขนาดนั้น …ให้ตรึงที่ไม้กางเขน .. เป็นการลงโทษอาชญากรที่โหดเหี้ยม เลวร้ายแบบโรม แต่พระเยซูไม่ได้ชั่วร้าย ไม่ได้เป็นฆาตกรหรือกบฏด้วยซ้ำ
การสั่งโบยพระเยซู เป็นเพียงเพื่อเอาใจฝูงชน การโบยนี้รุนแรงกว่าการสั่งเฆี่ยนนักโทษธรรมดา
พระเยซูถูกโบยด้วยแส้หนังหลายเส้น ที่ตรงปลายติดไว้ด้วยกระดูกแหลม หรือเหล็กคมเพื่อขูดเนื้อของนักโทษออกไปทุกครั้งที่โบยทำให้เกิดแผล ผิวหนังจะลอกออกมาเป็นริ้ว ๆ เป็นรอยที่เจ็บปวดมาก อิสยาห์ 52:14 ได้อธิบายไว้ล่วงหน้าว่า พระบุตรของพระเจ้าจะทรงเผชิญอะไร เวลานี้ พระโลหิตไหลท่วมร่างของพระองค์!
มาระโก 15:16-20
วังของผู้ว่าก็คือ สถานที่พักทางราชการของผู้ว่าฯ ที่โรมจัดไว้ให้ เป็นที่ ๆ สามารถสอบสวน ตัดสินความได้ มีการระดมกำลังทหารเข้ามาเพื่อจัดระเบียบ ไม่ให้ฝูงชนทำร้ายจำเลย..
พวกเขาสวมเสื้อคลุมสีม่วงให้และสวมมงกุฎหนามด้วยเป็นการเยาะเย้ยพระองค์อย่างถึงที่สุด มงกุฎนี้ ทำจากกิ่งไม้หนามที่มีอยู่ทั่วไป และบัดนี้พระเศียรของพระองค์ก็อาบโลหิตเต็มไปหมด! มาระโกไม่ได้บันทึกถึงความรู้สึกของพระเยซูเลย เขาเพียงรายงานว่า พระองค์ทรงถูกกระทำอย่างไรบ้าง …เราเองเป็นผู้ที่จะต้องทบทวนว่า พระบุตรของพระเจ้าทรงโดนคนต่ำทรามเหล่านี้ ดูแคลนพระองค์ขนาดไหน พระองค์ทรงโดดเดี่ยวขนาดไหนในเวลานั้น แล้วพระองค์ถูกฟาดพระเศียรด้วยไม้อีกครั้ง หนามทิ่มลึกลงไป พระโลหิตไหลออกมาอีกเป็นสายโลหิตท่วมพระพักตร์! ตามด้วยน้ำลายของทหารอันธพาลที่โสโครกเหล่านั้น ไม่รู้กี่คนต่อกี่คน
พวกเขายังเยาะเย้ยพระองค์ด้วยวิธีสามานย์ที่สุดเท่าที่จะทำได้ คุกเข่า คำนับพร้อมกับแสดงความเหยียดหยาม
ช่วงนี้เองที่ยอห์นเล่าว่า ปีลาตพยายามช่วยให้พระเยซูไม่ถูกตรึงอีกครั้ง แต่ไม่สำเร็จ (ยอห์น 19:4-5)
จากนั้น พวกเขาก็ถอดเสื้อคลุมของพระองค์ ให้สวมเสื้อเดิม และนำพระองค์ออกไปนอกเมืองเพื่อที่จะประหารในวันนั้นเอง โดยให้พระองค์แบกกางเขนออกไปเอง แบกท่อนไม้ขนาดใหญ่ที่คนแข็งแรงยังแบกยาก…
มาระโก 15:21-28
การแบกกางเขนนั้น ก็เหมือนการลากไม้กางเขนไป เพราะทหารจะให้ปลายไม้อยู่บนดิน นักโทษจะต้องแบกและลากไป
ซีโมนชาวเมืองไซรีน อยู่ทางเหนือของอัฟริกา เขาน่าจะเป็นคนยิวที่เข้ามาร่วมในพิธีปัสกา เขาได้รับเกียรติจากพระเจ้าสูงสุดให้ช่วยแบกไม้กางเขนแทนพระเยซูที่ทรงบาดเจ็บอย่างสาหัส ผ่านคำสั่งของทหารโรมเองที่เห็นว่า นักโทษคงไม่มีแรงพากางเขนไปถึงที่หมายได้ (ส่วนรูฟัสคนนี้ รู้จักกับเปาโลในโรมด้วย (โรม 16:13)
สถานที่ซึ่งเขาจะตรึงพระเยซูน่าจะเป็นเนินที่มีรูปร่างคล้ายหัวกระโหลก คนจึงเรียกเช่นนั้น เป็นสถานที่อยู่นอกเมืองออกไป
มีคนหนึ่งเอาเหล้าองุ่นเจือมดยอบซึ่งจะช่วยทำให้ความเจ็บปวดทุเลาลงได้ มีคุณสมบัติทำให้ชาไปทั้งตัว แต่พระเยซูเลือกที่จะไม่รับสิ่งนั้น พระองค์ต้องรู้พระองค์จนถึงสิ้นลมหายใจ… พระองค์เองเคยตรัสว่าจะไม่ดื่มเหล้าองุ่นจนถึงวันนั้นที่จะมีคริสตจักรดื่มกับพระองค์
(มัทธิว 26:29)ดาวิดได้กล่าวถึงเหตุการณ์นี้ในข้อ 24 ล่วงหน้าในสดุดี 22:16-18
มาระโก 15:29-32
การทำโทษด้วยตรึงมักทำในที่ ๆ คนเดินไปมานอกเมืองเพื่อนักโทษจะได้รับการดูหมิ่นเหยียดหยาม คนที่ผ่านมาก็นิสัยทรามมากเพราะว่าสามารถหาเรื่องมาลงที่ผู้ที่อยู่บนไม้กางเขน ไม่มีเห็นใจ มีแต่การทับถมซ้ำ
หัวหน้าปุโรหิต และธรรมาจารย์กล่าวหาว่า พระเยซูทรงหมิ่นประมาทพระเจ้า(มาระโก 14:64) แต่พวกเขานั่นแหละที่กำลังทำบาปนี้อย่างไม่รู้ตัว สมควรที่จะได้รับโทษประหาร(เลวีนิติ 24:16)
มาระโก 15:33-41
ทั้งแผ่นดิน มืดสนิท ช่างเป็นภาวะที่น่ากลัว เป็นความมืดในเวลากลางวันถึงสามชั่วโมง พระเยซูทรงเจ็บปวดในพระทัยขนาดไหน จนกระทั่งทรงร้องตัดพ้อพระบิดาว่า เหตุใดทรงทิ้งพระองค์ไป .. เป็นคำเดียวกับที่กษัตริย์ดาวิดได้กล่าวไว้ในสดุดีบทที่ 22 ทรงทำให้เราได้รู้ว่า สิ่งที่กล่าวไว้ในสมัยโบราณนั้น จำเป็นต้องเกิดขึ้นตามจริง จำได้ไหมว่า พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ว่า พระองค์ผู้ไม่ได้มีบาปต้องรับบาปเพื่อว่า เราจะได้มีชีวิตที่ถูกต้องกับพระเจ้า (อ่าน 2 โครินธ์ 5:21)
เราไม่อาจมีชีวิตถูกต้องกับพระเจ้าโดยผ่านความดีของตัวเอง หรือการช่วยเหลือของใคร นอกจากองค์พระเยซูเท่านั้น
แล้วพระเยซูทรงร้องเสียงดังตามที่ยอห์น 19:30 บันทึกไว้คือ “สำเร็จแล้ว”แล้วก็สิ้นพระชนม์
ม่านในพระวิหารเป็นผ้าทอหนาราว 9 นิ้ว เป็นผ้าที่หนาแบบหาได้ยาก ขนาดประมาณ 30×60 ฟุต
ในวันนั้น ม่านที่แยกคนออกจากพระเจ้าผู้บริสุทธิ์ขาดออกเป็นสองท่อน บนลงล่าง ทำให้เรารู้ว่า ไม่ใช่เป็นสิ่งที่มนุษย์ทำ แต่พระเจ้าทรงทำเพื่อแจ้งให้รู้ว่า พระองค์ทรงฉีกที่กั้นออกไปแล้ว พระเยซูทรงทำให้มนุษย์สามารถเข้ามาหาพระเจ้าได้โดยไม่ต้องมีตัวแทนอย่างปุโรหิตอีกต่อไป
ผู้ที่ไม่ได้เชื่อพระเจ้าคนหนึ่งคือ นายร้อยโรมเห็นเหตุการณ์ทั้งสิ้น เขากล่าวยอมรับว่า พระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า! ชายคนนี้ต้องเห็นการทำโทษโดยตรึงบนไม้กางเขนมาบ้าง และเขาก็รู้ว่า พระเยซูไม่ใช่นักโทษ และพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าแน่ ๆและยังมีคนที่ติดตามพระเยซูดูอยู่ห่าง ๆ อย่างเศร้าใจ มาระโกได้บันทึกถึงสตรีเหล่านี้ให้เราได้รู้ว่า มีทั้งชายและหญิงที่ติดตามพระองค์ใกล้ชิด
มาระโก 15:42-47
แม้เราจะไม่ได้รู้จักโยเซฟชาวอาริมาเธียมาก่อน แต่ในช่วงเวลาก่อนที่พระเยซูจะถูกตัดสิน เขาก็ไม่เห็นด้วย (ลูกา 23:50-51) แต่จำเป็นต้องมีการเก็บพระศพของพระเยซูนั้น เขาก็ปรากฏตัวขึ้น เขาเป็นคนสำคัญในการเมือง และก็มีฐานะ กล้าที่จะเข้าไปขออนุญาตจากปีลาตโดยตรง เหตุที่วันต่อมาจะเป็นวันสะบาโต และวันต่อมาก็จะเป็นเทศกาลขนมปังไร้เชื้อ จะไม่มีการทำงานใด ๆ (เลวีนิติ 23:5-7) ผู้ที่เชื่อ ติดตามพระองค์ ก็จะต้องเก็บพระศพทันที
ปีลาตแปลกใจที่พระเยซูสิ้นพระชนม์ เพราะจริงแล้ว การตรึงบนไม้กางเขนจะทรมานนักโทษที่ถูกตรึงหลายวันก่อนตาย ตามธรรมเนียมของโรม ก็จะทิ้งศพไว้อีกหลายวันเพื่อประจาน และให้สัตว์มาทึ้งร่างด้วยแต่ปีลาตก็อนุญาตให้เอาพระศพลงมา แสดงว่า เขาน่าจะเข้าใจชัดเจนว่า พระองค์ไม่ได้ทรงทำผิด ไม่เป็นอาชญากรอย่างที่พวกผู้นำศาสนายิวกล่าวหา
โยเซฟได้นำพระศพมา และตามธรรมเนียมจะต้องทำความสะอาดพระศพด้วยจึงจะใส่เครื่องหอมสมุนไพรที่พวกเขาจะใช้ชโลมศพที่ นิโคเดมัสเป็นผู้นำมา (ยอห์น 19:39) ในคืนนั้น เขาเตรียมพระศพเรียบร้อย ห่อด้วยผ้าลินิน และโยเซฟ เก็บพระศพไว้ที่ถ้ำเก็บศพของครอบครัวเขาเองซึ่งอยู่ใกล้ ๆ ที่ประหารนั้น
ส่วนพวกผู้หญิงที่อยู่ตรงไม้กางเขนก็เห็นสิ่งที่โยเซฟ นิโคเดมัส และคนของพวกเขาได้เตรียมให้พระเยซูก่อนจะเก็บพระศพและกลิ้งหินปิดปากถ้ำตามคำขอของพวกผู้นำศาสนายิว
พระคำเชื่อมโยง
มาระโก15
1* สดุดี 2:2; อิสยาห์ 53:7; กิจการ 3:13
2* มัทธิว 27:11-14
3* ยอห์น 19:9
4* มัทธิว 27:13
5* สดุดี 38:13-14; อิสยาห์ 53:7; ยอห์น 19:9
6* มัทธิว 27:15-26
11* กิจการ 3:14
12* มีคาห์ 5:2
14* 1 เปโตร 2:21-23
15* มัทธิว 27:26; อิสยาห์ 53:8
16* มัทธิว 27:27-31
19* อิสยาห์ 50:6; 52:14; 53:5; มีคาห์ 5:1
20* ลูกา 22:63; 23:11
21* มัทธิว 27:32
22* ยอห์น 19:17-24
23* มัทธิว 27:34
24* สดุดี 22:18
25* ยอห์น 19:14
26* มัทธิว 27:37
27* อิสยาห์ 53:9, 12; ลูกา 22:37
28* อิสยาห์ 53:12; ลูกา 22:37
29* สดุดี 22:6-7; 69:7; 109:25; ยอห์น 2:19-21
30* สดุดี 22:8
31* สดุดี 69:19; ลูกา 18:32; ยอห์น 11:43
32* สดุดี 22:8; มัทธิว 27:44
33* อาโมส 8:9; ลูกา 23:44-49
34* สดุดี 22:1
36* ยอห์น 19:29; สดุดี 69:21
37* มัทธิว 17:23; 27:50
38* อพยพ 26:31-33; เศคาริยาห์ 11:10-11
39* ลูกา 23:47
40* มัทธิว 27:55; สดุดี 38:11
41* ลูกา 8:2-3
42* ยอห์น 19:38-42
43* อิสยาห์ 53:9; ลูกา 2:25, 38; 23:51
46* มัทธิว 27:59-60; 26:12; มาระโก 14:8
ฮีบรู 13 ชีวิตที่พอพระทัย
ฮีบรู 13:1-2 จงรักกันอย่างพี่น้องสืบต่อไป
อย่าละเลยการต้อนรับแขกแปลกหน้า
เพราะการทำเช่นนั้นทำให้บางคนได้
ต้อนรับทูตสวรรค์อย่างไม่รู้ตัว
ฮีบรู 13:3 จงระลึกถึงผู้ที่ถูกจำจองราวกับว่าท่าน
เองอยู่ในเรือนจำเช่นเดียวกับพวกเขา
และระลึกถึงคนที่ถูกข่มเหงราวกับว่า
ท่านก็ได้ทนทุกข์ไปพร้อมกับเขา
ฮีบรู 13:4 จงให้การสมรสเป็นเกียรติน่านับถือ
แก่คนทั้งหลาย และให้เตียงสมรส
ไร้มลทิน เพราะพระเจ้าจะทรงพิพากษา
คนที่ผิดศีลธรรมทางเพศ
และคนที่ผิดประเวณี
ฮีบรู 13:5-6 จงรักษาชีวิตให้พ้นจากการรักเงิน และจงพอใจกับสิ่งที่ท่านมี เพราะพระเจ้าตรัสว่า “ไม่มีวันที่เราจะละจากเจ้า ไม่มีวันที่เราจะทอดทิ้งเจ้าไป” ดังนั้นเราจึงพูดด้วยความมั่นใจว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นผู้ช่วยของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่กลัว มนุษย์จะทำอะไรข้าพเจ้าได้เล่า?”
ฮีบรู 13:7 จงระลึกถึงผู้นำของท่านที่ได้กล่าวพระดำรัสของพระเจ้าให้ท่าน จงพิจารณาผลการดำเนินชีวิตของพวกเขา และทำตามอย่างความเชื่อของพวกเขา
ฮีบรู 13:8 องค์พระเยซูคริสต์ทรงเป็นเหมือนเดิม ทั้งวานนี้ วันนี้ และตลอดไปเป็นนิตย์
ฮีบรู 13:9 อย่าหลงเชื่อคำสอนแปลก ๆ หลากหลายอย่าง เพราะเป็นการดีที่ใจของเราจะรับพลังจากพระคุณ ไม่ใช่จากอาหารตามพิธีกรรมที่ไม่เป็นประโยชน์กับคน
ที่ปฏิบัติตาม
ฮีบรู 13:10-11 เรามีแท่นบูชาซึ่งผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่ในพลับพลาไม่มีสิทธิกินอาหารจากแท่นนั้น ปุโรหิตนำเลือดของสัตว์เข้ามาในสถานบริสุทธิ์เพื่อเป็นเครื่องบูชาลบบาปแต่ร่างของสัตว์ก็จะถูกเผานอกค่าย
ฮีบรู 13:12 องค์พระเยซูก็เช่นกัน ทรงทนทุกข์นอก
เขตประตูเมืองเพื่อให้คนทั้งหลายได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ด้วยพระโลหิตของพระองค์
ฮีบรู 13:13-14 ดังนั้น ให้เราออกไปหาพระองค์นอกค่าย
และรับความอับอายที่พระองค์ได้ทรงแบกรับไว้ เพราะเราไม่มีเมืองถาวรที่นี่ แต่เรากำลังรอคอยเมืองที่กำลังจะมา
ฮีบรู 13:15-16 ดังนั้น ให้เราถวายเครื่องบูชาแห่งคำ
สรรเสริญแด่พระเจ้าผ่านองค์พระเยซูตลอดไป เป็นการถวายคำยอมรับพระนามของพระองค์จากปากของเรา
อย่าลืมที่จะทำความดี และแบ่งปันให้ผู้อื่น เพราะพระเจ้าทรงพอพระทัยเครื่องบูชาเช่นนี้
ฮีบรู 13:17 จงเชื่อฟังผู้นำของท่าน และยอมใต้การดูแลของเขา เพราะพวกเขาดูแลท่าน ในฐานะของผู้ที่จะต้องเสนอรายงาน ถึงขนาดนี้แล้ว จงให้เขานำท่านด้วยความยินดี ไม่ใช่ด้วยความทุกข์ใจ เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นจะไม่เกิดประโยชน์อันใดแก่ท่าน
ฮีบรู 13:18-19 จงอธิษฐานเผื่อเรา เราแน่ใจว่า เรามีจิตสำนึกอันบริสุทธิ์ และมีความตั้งใจที่จะใช้ชีวิตอย่างมีเกียรติในทุก ๆ ทาง เราขอร้องเป็นพิเศษ
ที่ท่านจะอธิษฐานเพื่อให้ข้าพเจ้า
มาพบกับท่านในไม่ช้านี้
ฮีบรู 13:20 บัดนี้ ขอพระเจ้าแห่งสันติสุข
พระองค์ผู้ทรงนำองค์พระเยซูเจ้า
องค์พระผู้เลี้ยงที่ยิ่งใหญ่ของฝูงแกะ
ให้ฟื้นจากความตาย
ด้วยพระโลหิตของพันธสัญญานิรันดร์ได้ทรง………
ฮีบรู 13:21 ได้ทรง…ให้ท่านได้เต็มด้วยสิ่งดี ที่จะช่วยให้ทำ ตามน้ำพระทัยของพระองค์ และขอให้พระองค์ทรงทำราชกิจสำเร็จในตัวเราตามที่ชอบพระทัยของพระองค์ทาง
พระเยซูคริสต์ ขอพระสิริจงมีแด่พระองค์ตลอดไปเป็นนิตย์ อาเมน
ฮีบรู 13:22-23 พี่น้องเอ๋ย ข้าขอให้ท่านได้อดทนรับ
คำเตือน คำหนุนใจจากข้า เพราะข้าเขียนจดหมายสั้น ๆ มาถึงท่าน ขอเรียนให้ทราบว่า ทิโมธีน้องของเราถูกปล่อยตัวแล้ว หากเขามาถึงเร็ว ข้าจะมาพร้อมกับเขาเพื่อจะได้พบท่าน
ฮีบรู 13:24-25 ข้าขอฝากความคิดถึงมายังผู้นำของ
ท่านและวิสุทธิชนทุกท่านผู้ที่มาจากอิตาลีขอฝากความคิดถึงมาด้วยขอพระคุณจงดำรงกับท่านทุกคน
ฮีบรู 13:1-2
พระเยซูคริสต์ทรงบัญชาศิษย์และผู้เชื่อของพระองค์ให้รักกันและกัน เพื่อโลกจะรู้ว่า เราเป็นของ ๆ พระองค์ (ยอห์น 13:35) เรารักกันอย่างพี่น้องเพราะเรามีพระบิดาองค์เดียวกัน แม้ว่าจะเป็นคนละเชื้อชาติ แต่ผู้เชื่อพระเยซูก็เป็นพี่น้องกันในพระคริสต์ นี่เป็นความคิดที่แปลกไปจากความคิดของคนทั่วไป ยิ่งกว่านั้น ยังให้เรามีใจต้อนรับในแง่ของการช่วยเหลือ ไม่ใช่เพื่อบันเทิง พระเจ้าทรงประสงค์ให้เราดีต่อคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิต
ฮีบรู 13:3
ในช่วงเวลานั้น คริสเตียนจำนวนมากถูกจับเพราะก่อนหน้านี้ พวกเขาไปยังวิหารต่างชาติ กราบไหว้เทพชาวโรม แต่พอพวกเขาเชื่อพระเจ้าก็เลิกถูกจับเข้าคุกไม่พอ ยังถูกส่งให้สัตว์ร้ายกิน ถูกเผา ผู้เขียนบอกเราให้ระลึกถึงคนที่ถูกจองจำและให้
ตระหนักว่า เราถูกจองจำเหมือนเขาด้วย บางคนสามารถที่จะไปเยี่ยม ให้กำลังใจ อธิษฐานด้วยกัน บางคนอธิษฐานเผื่อ
ฮีบรู 13:4
พระคำข้อนี้ ไม่ต้องอธิบายมากเลย ชัดเจน สั้นตรงไปตรงมา ข้อเสียของโลกปัจจุบันคือ เราคิดว่า เรื่องนี้ไม่สำคัญ ใคร ๆ ก็ได้กันก่อนทั้งนั้นแล้วคริสเตียนแทนที่จะคิดอย่างพระเจ้า แต่กลับไปคิดอย่างโลก แล้วก็คิดด้วยว่า อยู่ด้วยกันแล้วไม่ถูกใจก็เลิก ซึ่งไม่ใช่เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงตั้งพระทัยให้กับครอบครัว พระองค์ทรงประสงค์ครอบครัวที่ถูกต้องกับพระองค์ และคู่สมรสที่จะอยู่ยืนยาวไปด้วยกัน
ฮีบรู 13:5-6
เมื่อเราอยู่กับเพื่อน ๆ ที่ไม่เชื่อพระเจ้า พวกเขาไม่รู้จักที่จะวางใจพระเจ้าในทุกก้าวของชีวิต พวกเขาก็จะไม่เข้าใจเราที่ทำงานเหมือน ๆ กับเขาแต่ทำไมช่างวางใจว่า พระเจ้าจะทรงเลี้ยงดู พระเจ้าจะไม่ทอดทิ้ง พวกเขามองว่า การที่เราวางใจพระเจ้าเป็นความอ่อนแอ เราต้องพึ่งตนเองมากที่สุดเขาไม่รู้กันเลยว่า การที่มีความเชื่อในพระเจ้านั้นเป็นประกันความปลอดภัยในชีวิตที่ดีสุด
ฮีบรู 13:7
พระคำตอนนี้ไม่ได้มีเพื่อผู้ตามให้ตามอย่างดี แต่มีเพื่อผู้นำที่จะเป็นตัวอย่างที่ดีของรุ่นต่อ ๆ มามีผู้นำเป็นจำนวนมากที่นำมานานจนหลงตัวเองคิดว่า ตนเองโอเคทุกเรื่อง อย่างหนึ่งที่สำคัญคือต้องพิจารณาความเชื่อ การกระทำของตนเองว่า
ตรงกับที่ตนเองสอนผู้อื่นหรือเปล่า ชีวิตของทุกคนต้องมีการเปลี่ยนแปลงทุกวัน หากไม่เปลี่ยน ชีวิตก็เหมือนกิ่งไม้ที่ไม่ได้ติดกับลำต้น มีแต่จะแห้งเหี่ยวไป
ฮีบรู 13:8
ก่อนหน้านี้ ได้กล่าวถึงการที่จะมีชีวิตคริสเตียนเต็มด้วยความเชื่อและการกระทำที่ตรงกับพระคำของพระเจ้า และข้อต่อไปได้กล่าวถึงการที่จะไม่หลงไปตามความเชื่อผิด ผู้เขียนต้องการให้พี่น้องได้รู้ว่า ความเชื่อในพระเยซูคริสต์นั้นตั้งอยู่บนพื้นฐานความจริงที่ว่าพระเยซูไม่ทรงเปลี่ยนแปลง มาตั้งแต่ก่อนที่จะได้เสด็จมาเป็นมนุษย์จนเสด็จสู่สวรรค์ และแม้กระทั่งทุกวันนี้ เรายังมั่นใจในพระองค์ได้เสมอ
ฮีบรู 13:9
เนื่องจากมักจะมีคำสอนแปลก ๆ เกิดขึ้นอยู่ไม่หยุดหย่อนตั้งแต่สมัยคริสตจักรเริ่มแรกจนกระทั่งทุกวันนี้ เดี๋ยวก็มีพิธีกรรมใหม่ ๆ ให้ผู้เชื่อได้ตื่นเต้น แทนที่จะดื่มด่ำในพระคำของพระเจ้า ดังนั้น ผู้เชื่อจึงต้องระวังคำสอนที่เน้นการกระทำ บิดเบือนพระคำของพระเจ้า เราได้รับพลังในการใช้ชีวิตตามพระเจ้าจากพระคุณยิ่งใหญ่ มิใช่ด้วยการกระทำตามพิธีกรรม
ฮีบรู 13:10-11
แท่นบูชาที่ผู้เขียนกล่าวถึงในข้อนี้ คือไม้กางเขนขององค์พระเยซูคริสต์ เป็นแท่นบูชาที่บรรดาคนที่ยังเชื่อในระบบการถวายเครื่องบูชาแบบของโมเสส พูดง่าย ๆ คือ คนที่ยังติดอยู่กับพิธีกรรมของโมเสส ไม่มีสิทธิใด ๆ ในไม้กางเขนนี้คนที่พยายามทำให้พระเจ้าพอพระทัยด้วยพิธีกรรมต่าง ๆ นั้น จะไม่ได้รับการประกาศว่าเป็นคนที่ถูกต้องกับพระเจ้าเหมือนอย่างคนที่เชื่อในพระนามของพระเยซูคริสต์
ฮีบรู 13:12
เหมือนอย่างที่โคบูชานั้นถูกฆ่าเพื่อทำให้อาโรนและเหล่าปุโรหิตได้บริสุทธิ์ พระเยซูทรงสิ้นพระชนม์เพื่อให้คนที่เชื่อได้กลายเป็นผู้ที่ถูกต้องกับพระเจ้า เป็นผู้ที่ถูกรับว่าเป็นคนบริสุทธิ์ พ้นจากโทษบาป สัญญลักษณ์ของการถูกทิ้งนอกค่าย ชี้มายังพระเยซูที่ทรงสิ้นพระชนม์นอกประตูเมือง มีความหมายถึงการที่พระองค์ทรงถูกทิ้งถูกปฏิเสธ นี่คือความอับอายที่ทรงเผชิญเพื่อเรา
ฮีบรู 13:13
ความอับอายของพระเยซูคริสต์ที่ทรงเผชิญนั้นลึกล้ำกว่าที่เราจะเข้าใจได้จริง ๆ พระองค์ทรงกลายเป็นอาชญากรผู้ถูกประหารทั้งที่ไม่มีความผิดใด ๆ ถูกผู้คนละทิ้ง และปฏิเสธ ที่สำคัญไปถึงพระบิดาที่รักทรงทอดทิ้งพระองค์ด้วยอย่างที่พระองค์ได้ตรัสด้วยความเจ็บปวดในพระทัยว่า “พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของ ข้าพระองค์ ไฉนทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย?” (มาระโก 15:34)
ฮีบรู 13:14
ก็เหมือนกับบรรพบุรุษของอิสราเอลที่ต่างมีความเชื่อในพระเจ้าถึงสิ่งที่พระองค์ทรงสัญญาแม้ว่าพวกเขายังไม่ได้ ก็จะเชื่อต่อไป ตรงจุดนี้เป็นขั้นของการพิสูจน์ความเชื่อของทุกคนยังไม่เห็น แต่จะเชื่อหรือเปล่า.. ยังไม่เกิด แต่จะเชื่อต่อไปไหม เราทุกคนผ่านประสบการณ์เช่นนี้มาอยู่แล้ว และต่อไปข้างหน้าหรือแม้วันนี้เราจะยังเจอเหตุการณ์ที่ทำให้เราต้องเชื่อแม้ว่าสิ่งที่ทูลขอยังมาไม่ถึง
ฮีบรู 13:15-16
พระคำข้อนี้ ช่วยบอกเราชัดเจนว่า การสรรเสริญนมัสการพระเจ้านั้น ไม่ได้อยู่แค่ที่การร้องเพลงสรรเสริญนมัสการจากวิญญาณและความจริงเท่านั้น แต่การทำความดีให้กับผู้อื่น แบ่งปันสิ่งดีที่มีให้ผู้อื่น ก็เป็นเครื่องบูชาจากเราได้ด้วย
เราจะเห็นสิ่งดีที่ผู้รับใช้ในประเทศต่าง ๆ ได้ทำเพื่อคนอื่น สร้างโรงเรียน โรงพยาบาล ฯลฯ แต่เราคนเล็ก ๆ ก็สามารถทำสิ่งดีให้กับคนรอบข้างได้อย่างไม่จำกัดเช่นกัน
ฮีบรู 13:17
ผู้นำฝ่ายวิญญาณของเรา เขาต้องดูแลเรา พระเจ้าทรงเรียกให้เขานำประโยชน์ฝ่ายวิญญาณมาให้ชีวิตของเรา ยิ่งกว่านั้น พวกเขาต้องถวายรายงานเรื่องชีวิตของเราด้วยสำหรับพระคำข้อนี้ เราต้องคิดย้อนด้วย หากเราเป็นผู้นำฝ่ายวิญญาณของคนรอบข้างล่ะ หากเราเป็นพ่อ แม่ หรือ ผู้ใหญ่ในครอบครัวที่นำทุกคนมาหาพระเจ้าล่ะ เราต้องรับผิดชอบอย่างไรที่จะ
เข้าไปเสนอรายงานต่อพระเจ้าอย่างภาคภูมิใจ?
ฮีบรู 13:18-19
ตอนนี้ผู้เขียนกำลังสรุปเรื่องราวทั้งหมดมา เขาขอร้องให้พี่น้องได้อธิษฐานเผื่อพวกเขาที่เป็นผู้นำฝ่ายวิญญาณ เราอย่าคิดว่า ผู้นำไม่ต้องการคำอธิษฐาน พวกเขายิ่งต้องการมากเพราะเขาจะต้องทำงานรับใช้พระเจ้าอย่างเกิดผล เราเจอมามากที่ผู้ตามไม่ได้อธิษฐานเผื่อผู้นำ เพราะคิดว่าเขาเป็นผู้นำแล้ว เขาก็เก่งแล้วนี่นา เขาต้องผ่านได้ทุกเรื่อง แต่พระคัมภีร์ข้อนี้ไม่ให้เราทิ้งผู้นำไว้คนเดียว อธิษฐานเผื่อทุกเรื่อง
ฮีบรู 13:20
นี่เป็นคำอธิษฐานของผู้เขียนฮีบรู ซึ่งเราไม่ทราบว่าท่านเป็นใคร หลายคนคิดว่าเป็นท่านเปาโล แต่วิธีการเขียนนั้น แตกต่างจากท่านมาก คำอธิษฐานนี้เป็นการจบจดหมายที่ท่านเขียนมา ท่านมีใจปรารถนาให้พี่น้องได้รับสิ่งดีจากพระเจ้า ท่าน
อธิษฐานถึงพระเจ้าแห่งสันติสุข เน้นว่าพระเยซูทรงฟื้นจากความตาย จำได้ไหมว่าท่านเริ่มต้นจดหมายนี้ด้วยการยกย่องพระเยซูคริสต์อย่างสูงและท่านจะจบจดหมายด้วยพระเยซูเช่นกัน
ฮีบรู 13:21
ท่านทูลขอพระเยซูผู้ทรงพระชนม์อยู่ทรงทำให้พี่น้องมีสิ่งดี ๆ เป็นเครื่องมือที่จะทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า และขอให้พระประสงค์ของพระองค์ในชีวิตเรานั้นสำเร็จ นี่เป็นคำอธิษฐานตัวอย่างที่เราจะอธิษฐานเผื่อทั้งผู้นำและพี่น้องที่มีความเชื่อร่วมกับเรา คำอธิษฐานนี้ก็เพื่อว่า พระเยซูเจ้าจะทรงได้รับพระเกียรติสูงสุด จากสิ่งดีที่เราทำ จากการเปลี่ยนแปลงที่พระเจ้าทรงทำให้ชีวิตของพวกเรา
ฮีบรู 13:22-23
เราจะเห็นว่า ผู้รับใช้ของพระเจ้าเช่นเปาโลหรือแม้ทิโมธีเองซึ่งเป็นผู้รับใช้ที่ใกล้ชิดของเปาโลก็ถูกจำจองด้วยซึ่งเป็นเพราะเขารับใช้พระเจ้านั่นเอง ผู้เขียนฮีบรูคงเป็นส่วนหนึ่งของราชกิจที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้าในช่วงคริสตจักรยุคแรกนี้ ท่านขอให้พี่น้องรับทั้งคำเตือน คำหนุนใจ ซึ่งก็รวมถึงคำสอนต่าง ๆ เกี่ยวกับองค์พระเยซูคริสต์ผู้ทรงเป็นองค์ปุโรหิตนิรันดร์
ฮีบรู 13:24-25
จดหมายฉบับนี้ไม่ได้มาถึงแค่พี่น้องในคริสตจักรแต่มาถึงทั้งผู้นำและผู้ตาม เป็นชุมชนคริสเตียนที่มีอยู่จริง ๆ เป็นขุมชนที่ต้องการคำสอนของหนังสือฮีบรูนี้ คำสุดท้ายของจดหมายคือ ขอให้พระคุณของพระเจ้าดำรงอยู่กับท่านทุกคน นี่เป็นสิ่งที่เราเองก็จะได้รับเมื่ออ่านพระคัมภีร์ฉบับนี้ และได้รับการเปลี่ยนแปลงชีวิตเพราะการติดตามพระเจ้า
พระคำเชื่อมโยง
1* โรม 12:10
2* มัทธิว 25:35; ปฐมกาล 18:1-22; 19:1
3* มัทธิว 25:36
4* สุภาษิต 5:18-19;1โครินธ์ 6:9
5* เฉลยธรรมบัญญัติ 31:6, 8;โยชูวา 1:5
6* สดุดี 27:1; 118:6
8* ฮีบรู 1:12
9* เอเฟซัส 4:14; 1 ทิโมธี 6:3-5
10* 1โครินธ์ 10:20; 5:7-8
11* เลวีนิติ 16:27
12* ฮีบรู 9:12-14; ยอห์น 19:17-18
13* 1 เปโตร 4:14
15* เอเฟซัส 5:20; เลวีนิติ 7:12; โฮเชยา 14:2
16* โรม 12:13; ฟีลิปปี 4:18
17* ฟีลิปปี 2:29; เอเสเคียล 3:17
18* เอเฟซัส 6:19; กิจการ 23:1
20* โรม 5:1-2, 10; 15:33 โฮเชยา 6:2; โรม 4:24; 1 เปโตร 2:25; 5:4เศคาริยาห์ 9:11
21* ฟีลิปปี 2:13
ฮีบรู 12 ทรงเป็นไฟที่เผาผลาญ
ฮีบรู 12:1 ดังนั้น ในเมื่อเรามีพยานมากมายรอบข้างเช่นนี้ ให้เราสละทิ้งทุกอย่างที่ถ่วงเราไว้ออกไปรวมถึงบาปที่พันเราจนยุ่งเหยิง
และให้เราวิ่งแข่งตามที่กำหนดไว้ข้างหน้าด้วยความทรหดอดทน
ฮีบรู 12:2 ให้เราจับตาที่พระเยซู ผู้ทรงเบิกทางความเชื่อ และผู้ทรงทำให้ความเชื่อของเราสมบูรณ์ พระองค์ทรงทนรับเอาความตายบนกางเขน ไม่ใส่พระทัยกับความน่าอับอายก็เพื่อความยินดีที่อยู่เบื้องหน้า และพระองค์ได้ประทับนั่งเบื้องขวาพระหัตถ์พระที่นั่งของพระเจ้า
ฮีบรู 12:3 ขอให้พิจารณาถึงพระองค์
ผู้ทรงทนต่อความเกลียดชัง
จากคนบาป
เพื่อว่า
ท่านจะไม่อ่อนล้า และท้อใจไป
ฮีบรู 12:4-5 การที่ท่านต่อสู้กับบาปนั้น ท่านยังไม่ได้ต่อต้านจนถึงกับต้องหลั่งเลือดเลย และท่านได้ลืมคำแห่งกำลังใจที่มาถึงท่านในฐานะที่เป็นบุตรว่า “ลูกเอ๋ย อย่าเฉยเมยต่อการลงวินัยขององค์พระผู้เป็นเจ้า และอย่าท้อใจไปเมื่อพระองค์ทรงตำหนิ
ฮีบรู 12:6-7 เพราะพระเจ้าทรงฝึกวินัยคนที่พระองค์
ทรงรัก และทรงตีสอนคนที่พระองค์ทรง
รับเป็นบุตร จงอดทนต่อความยากลำบาก
โดยถือว่าเป็นการฝึกวินัย พระเจ้า
ทรงปฏิบัติต่อท่านในฐานะที่เป็นบุตร
มีบุตรคนไหนบ้างที่พ่อไม่เคยตีสอน?
ฮีบรู 12:8-9 หากท่านไม่เคยรับการฝึกวินัยเหมือนคน
อื่น ๆ เท่ากับท่านเป็นบุตรนอกกฎหมาย
ไม่ใช่บุตรแท้ ยิ่งกว่านั้น เราทุกคนมีพ่อที่เป็นมนุษย์ซึ่งตีสอนเรา และเราก็นับถือท่าน ไม่ควรที่เราจะสยบต่อพระบิดาแห่งจิตวิญญาณของเรายิ่งกว่านั้นเพื่อเราจะได้มีชีวิตหรือ?
ฮีบรู 12:10 พ่อ ๆ ของเราได้ฝึกวินัยเราในช่วง
เวลาสั้น ๆ ตามที่พวกเขาเห็นว่าดีที่สุด
แต่พระเจ้าทรงฝึกวินัยแก่เราเพื่อประโยชน์ของเรา
เพื่อว่าเราจะได้มีส่วนในความบริสุทธิ์ของพระองค์
ฮีบรู 12:11 ไม่มีการฝึกวินัยใด ๆ ดูน่าสนุก น่ายินดี
ในเวลานั้น มีแต่ความเจ็บ
แต่ต่อมาภายหลังมันจะส่งผลแห่ง
ความเที่ยงธรรมและสันติสุข
ให้แก่ผู้ที่รับการฝึกจากวินัยเหล่านั้น
ฮีบรู 12:12-13 ดังนั้น จงตั้งใจทำให้แขนที่อ่อนกำลัง
กับเข่าที่อ่อนล้านั้นแข็งแรงขึ้น
จงทำทางให้ราบเรียบสำหรับเท้าของ
ท่าน เพื่อว่าคนง่อยจะไม่กลายเป็น
พิการ แต่ได้รับการรักษาให้หาย
ฮีบรู 12:14
จงอุตส่าห์ที่จะอยู่อย่างสงบสันติกับทุกคน
และอุตส่าห์ใช้ชีวิตอย่างบริสุทธิ์
เพราะถ้าไม่มีความบริสุทธิ์แล้ว
เราไม่อาจเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าได้
ฮีบรู 12:15 คอยระวังอย่าให้ใครพลาดที่จะได้รับ
พระคุณของพระเจ้า และ
อย่าให้รากแห่งความขมขื่นงอกขึ้นมา
เพราะจะสร้างความยุ่งยากสับสน
และยังอาจทำให้หลายคนเป็นมลทิน
ฮีบรู 12:16-17 คอยระวังอย่าให้ใครทำผิดศีลธรรมทาง
เพศ หรือเป็นคนไร้พระเจ้าอย่างเอซาวที่ขายสิทธิบุตรหัวปีแลกอาหารเพียงมื้อเดียว เพราะท่านรู้ว่า ในเวลาต่อมาเมื่อเขาต้องการที่จะได้รับพระพรเป็นมรดกเขาก็ถูกปฏิเสธ แม้ว่าเขาพยายามตามหาพระพรนั้นด้วยน้ำตา
ฮีบรู 12:18-19 เพราะท่านไม่ได้มายังภูเขาที่จับต้องได้ซึ่ง
ลุกเป็นไฟ ไม่ได้มายังความมืด
ความหมองหม่นและพายุ ไม่ได้มายัง
เสียงแตรดังสนั่น หรือมายังเสียงที่ทำให้คนที่ได้ยินแล้วกลับต้องขอร้องไม่ให้ตรัสกับพวกเขาอีกต่อไป
ฮีบรู 12:20-21 เป็นเพราะพวกเขาไม่อาจทนคำบัญชาได้
“แม้แต่สัตว์มาแตะต้องภูเขา มันต้องถูกหินขว้างตาย”
ภาพที่เห็นนั้นน่ากลัวมาก แม้โมเสสยังกล่าวว่า
“ข้าตัวสั่นเพราะกลัวนัก”
ฮีบรู 12:22 แทนที่จะเป็นอย่างนั้น ท่านได้เข้ามายังภูเขาศิโยน มายังเมืองของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ คือเยรูซาเล็มแห่งสวรรค์ ท่านได้เข้ามาถึงทูตสวรรค์จำนวนมากมายที่ไม่อาจนับได้
ฮีบรู 12:23 มาถึงที่ประชุมของบุตรหัวปีผู้ที่มีชื่อบันทึกไว้ในสวรรค์ (1:6). มาถึงพระเจ้าผู้ทรงพิพากษาคนทั้งปวง
มาถึงดวงวิญญาณของผู้เที่ยงธรรม ซึ่งทรงทำให้สมบูรณ์ทุกประการแล้ว(11:40)
ฮีบรู 12:24 มาถึงพระเยซูผู้ทรงเป็นคนกลางของพันธสัญญาใหม่ และมาถึงพระโลหิตที่ประพรม ซึ่งได้กล่าวเป็นคำที่ดีกว่าคำแห่งโลหิตของอาเบล
ฮีบรู 12:25 จงระวัง อย่าปฏิเสธพระองค์ผู้กำลังตรัสอยู่ เพราะหากประชาชนไม่อาจหนีเมื่อพวกเขาปฏิเสธพระองค์ในโลกเราจะหนีได้อย่างไร หากเราปฏิเสธพระองค์ผู้ทรงเตือนเราจากสวรรค์?
ฮีบรู 12:26 ในเวลานั้นพระสุรเสียงของพระองค์
เขย่าโลกจนสะเทือน
แต่มาบัดนี้พระองค์ทรงสัญญาว่า
“อีกครั้งที่เราจะไม่เพียงเขย่าโลกเท่านั้น แต่จะเขย่าทั้งฟ้าสวรรค์ด้วย”
ฮีบรู 12:27-29 คำ “อีกครั้ง”บ่งถึงการขจัดสิ่งที่สะเทือนได้
นั่นก็คือสิ่งที่ทรงสร้าง เพื่อว่าสิ่งที่ไม่สะเทือนจะดำรงอยู่ ดังนั้นในเมื่อเรากำลังรับราชอาณาจักรที่ไม่สะเทือน ก็ขอให้ใจเราเต็มด้วยการขอบพระคุณ และนมัสการพระเจ้าตามที่ทรงพอพระทัยด้วยความเคารพและเกรงกลัว “เพราะพระเจ้าของเราทรงเป็นไฟที่เผาผลาญ”
ฮีบรู 12:1
ผู้เชื่อที่ได้กล่าวมาในบทที่แล้วนั้น เป็นคนที่อาจทำพลาดในชีวิต แต่แล้วการกลับใจของเขาการยอมรับ สารภาพ และการตั้งใจเชื่อและเชื่อฟัง
ของพวกเขา ทำให้พวกเขาก้าวต่อไปได้การสละของที่เป็นอุปสรรคต่อความก้าวหน้าในความเชื่อ จำเป็นที่สุด นิสัยใจคอที่ต้องทิ้งวาจาที่เคยสามหาว ฯลฯ แต่ละคนก็มีสิ่งที่ต้องทิ้งไปต่าง ๆ กัน จากนั้น ก็ตั้งต้นใช้ชีวิตใหม่ด้วยความพากเพียรอดทนเป็นที่สุด
ฮีบรู 12:2
ตัวอย่างจากชีวิตของพระเยซู เป็นตัวอย่างที่เราควรติดตามที่สุด พระองค์ทรงยินดีที่จะรับความทุกข์ยากทั้งสิ้น เพราะพระองค์ทรงเชื่อ และวางใจ
พระบิดาว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นผลดีกับผู้ที่รักพระองค์ การสละพระชนม์ของพระองค์ทำให้ได้การฟื้นคืนชีวิตขึ้นมา และทำให้ผู้เชื่อทุกคนจะ
ได้ไปอยู่ใน เมืองที่พระเจ้าทรงเป็นผู้ออกแบบและทรงสร้าง (ฮีบรู 11:10) ถ้าพระเยซูไม่ทรงเชื่อ และเชื่อฟัง พวกเราก็พินาศ
ฮีบรู 12:3
เราได้รับการบันทึกว่า พระเยซูได้อธิษฐานขอให้พระองค์พ้นจากสถานการณ์ร้ายที่จะจบชีวิตของแล้วจากนั้น เมื่อทรงได้รับคำตอบจากพระบิดาพระองค์ก็ทรงเต็มพระทัย ทรงทำตามน้ำพระทัยพระบิดา ยอมถูกทุรชนทำร้ายและดูหมิ่น เหยียดหยาม และทำกับพระองค์อย่างโหดเหี้ยม (อ่านมาระโก 14-15) การสิ้นพระชนม์ของพระบุตรของพระเจ้าในเงื้อมมือของคนโหดนั้นเป็นเรื่องที่เราต้องบอกว่า ไม่ยุติธรรมเลย!
ฮีบรู 12:4-5
ผู้เขียนให้กำลังใจกับพี่น้องชาวยิวว่า พวกเขายังไม่ได้ถูกทำร้ายอย่างพระเยซูคริสต์ ในขณะที่พระเยซูทรงเป็นพระเจ้า และทรงมาเป็นมนุษย์ที่ไร้บาป ไม่น่าที่จะมีความทุกข์ยาก การทำร้ายมาถึงพระองค์เลย แต่แล้ว กลับทรงต้องถูกทรมานหลั่งพระโลหิต โดยที่ไม่มีคำออกจากพระองค์ว่า“ไม่รับ จะไม่ทน!” เลยแม้แต่ครั้งเดียวบัดนี้ พระองค์ได้ทรงเป็นกษัตริย์ผู้ทรงสมควรได้รับการสรรเสริญอย่างยิ่ง
ฮีบรู 12:6-7
มีคำกล่าวว่า “การไม่ใส่ใจ ไม่สนใจนั้น เจ็บปวดยิ่งกว่าเกลียดเสียอีก” หากพ่อแม่ ไม่สนใจลูกไม่รู้ว่า ลูกกำลังเป็นอย่างไร ปล่อยให้เขาเติบโตไปด้วยตัวเอง เท่ากับเป็นพ่อแม่ที่เฉยเมย แต่พ่อแม่ที่รักลูกจะคอยเตือน สั่งสอน ให้วินัยเมื่อลูกพลาดเพื่อเขาจะไม่พลาดต่อไป ดังนั้น เมื่อเราพบความทุกข์ยาก อย่าไปคิดว่าพระเจ้าไม่ทรงสนพระทัย ลองพิจารณาดูว่าพระองค์ทรงประสงค์ให้ได้เรียนรู้จักพระองค์อย่างไรจากเหตุการณ์นั้น
ฮีบรู 12:8-9
หลังจากที่เราได้เกิดใหม่ รับความรอดจากพระเจ้าเราได้รับตำแหน่งว่า เป็นลูกของพระองค์ทันที ดังนั้น เมื่อเข้ามาในครอบครัวใหม่ เราก็ต้องเรียนรู้ว่า ครอบครัวนี้เขาเป็นอย่างไรกัน อะไรบ้างที่เป็นวัฒนธรรมของครอบครัวนี้ คนทุกคนที่รอดแล้วควรที่จะคาดหวังได้ว่า พระเจ้าจะทรงสอนเราจะทรงบอกเราว่า เราควรดำเนินชีวิตอย่างไรเพื่อว่าเราจะเติบโตเป็นที่รัก เป็นคนในครอบครัวแท้จริง การฝึกวินัยจึงเป็นเรื่องธรรมดามาก!
ฮีบรู 12:10
ว้าว นี่ไง เป้าหมายของการฝึกวินัยของพระเจ้าคือเพื่อให้เรามีชีวิตที่บริสุทธิ์ภายใต้ความบริสุทธิ์ขององค์พระเยซูคริสต์บางครั้งเราได้ยินเสียงเตือนจากพระเจ้าแต่เราก็ทำเหมือนไม่ได้ยิน แล้วอะไร ๆ ต่าง ๆก็เกิดขึ้นในชีวิตเพื่อเราจะได้ฟังเสียงของพระองค์ลองเข้าไปดูในพระคัมภีร์ ไม่ว่าจะเป็นอับราฮัม
โมเสส ดาวิด เปโตร เปาโล ต่างได้รับการฝึกวินัยจากพระเจ้าทั้งสิ้น
ฮีบรู 12:12-13
อีกแล้วที่เราเห็นคำซึ่งใช้กับนักกีฬา พระคำตอนนี้มาจาก อิสยาห์35:3 จงช่วยให้คนอ่อนล้ามีกำลัง…ตรงนี้เป็นพระคำที่หนุนใจให้เราอดทนผ่านความยากลำบากทุกอย่าง เราต้องเข้าใจว่า ความลำบากทุกอย่างของเรา มีเป้าหมายที่จะช่วยให้เราดีขึ้น และเราต้องหลีกเลี่ยงทุกอย่างที่ขัดขวางการพัฒนาชีวิต
ต้องมุ่งมั่นสร้างทั้งร่างกายจิตใจให้เข้มแข็ง อย่าลืมเรามีชีวิตหลายด้าน จิตใจ ร่างกาย จิตวิญญาณ
ฮีบรู 12:11
ความสัมพันธ์ของพ่อ ลูกที่แนบแน่นนั้นคือ พ่อสามารถมองไปไกลในอนาคตว่า ถ้าลูกไม่พร้อมในเรื่องหนึ่งเรื่องใด ลูกอาจจะผิดหวัง อาจพลาดไปได้ พระเจ้าทรงมองเห็นอนาคตของพวกเราชัดว่า จะพบเจออะไร จะต้องชนะศึกในชีวิตแบบไหนบ้าง พระองค์ทรงฝึกเราอย่างฝึกนักกีฬา ซึ่งต้องมีการเอาชนะตัวเองทุกวัน เราจึงจะได้รับผลอย่างที่ต้องการ … ฝึกให้ชนะ และรับผลที่ดีเลิศ
ฮีบรู 12:14
ผู้เขียนได้ขอให้เราใช้ชีวิตอย่างมีสันติสุขกับคนรอบข้าง การที่เราจะอยู่ด้วยกันได้อย่างมีสันติก็ต้องเป็นคนที่เติบโต เข้าใจชีวิต ไม่ใช่มีความคิดร้ายต้องการให้อีกฝ่ายตกต่ำ หรือ เสียหาย และทำให้เกิดสงครามอย่างที่เราเห็นในยูเครน และในกาซา อิสราเอล แค่มีชีวิตอย่างสันติด้วยกันยังไม่พอ พระเยซูตรัสว่า เมื่อเรารักกันและกัน และยังต้องมีชีวิตที่บริสุทธิ์ต่อกัน ต่อพระเจ้า ไม่คิดทางลบใด ๆ กับพี่น้องของเรา
ฮีบรู 12:15
ถ้าเรามาพบพระเจ้าแล้ว และยังพลาดที่จะได้รับความรอด รับพระคุณอันยิ่งใหญ่นี้ เป็นเรื่องน่าเสียดายที่สุดในชีวิต เพราะมันส่งผลในชีวิตนิรันดร์กาลของเราด้วย อีกเรื่องคืออย่าให้เรามีรากขมขื่น ซึ่งเป็นสิ่งร้ายจากคนอื่นที่อาจจะเกิดกับเราแล้วเราไม่สามารถยกโทษให้จนกลายเป็นรากขมขื่น หรืออาจจะเกิดจากสิ่งที่พลาดในอดีตไม่อาจยกโทษให้ตัวเองได้ เหล่านี้จะส่งผลออกมาเป็นพฤติกรรมที่ทำลายทั้งตัวเองและคนรอบข้าง
ฮีบรู 12:16-17
มีสองเรื่องสำคัญในตอนนี้ คือ ให้ระวังการทำผิดศีลธรรมทางเพศ ซึ่งเป็นเรื่องที่พระคัมภีร์เฝ้าบอกแล้วบอกอีก การทำผิดต่อร่างกายของตนเองและของคนอีกคนนั้น ไม่ได้ส่งผลร้ายต่อคนสองคนเท่านั้น แต่ส่งผลร้ายให้กับครอบครัว และคนรอบข้างด้วย ส่วนเอซาวที่ถือว่าผิดหนักก็เพราะว่า เขาดูหมิ่นสิทธิหัวปีของเขาเอง เป็นสิทธิที่พระเจ้าประทานให้กับลูกชายหัวปีเท่านั้น เขายอมที่จะแลกกับสิ่งที่ไม่คู่ควรเลย ปฐมกาล 25:24-33
ฮีบรู 12:18-19
ย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์หลายพันปีก่อน คนอิสราเอลพบพระเจ้าแบบตรงไปตรงมา พบกับความมหัศจรรย์ที่น่ากลัวของพระเจ้า อ่านอพยพ 20:18–21; เฉลยธรรมบัญญัติ 5:22–33พระเจ้าทรงอยู่ในที่ ๆ มีเสียงดังสนั่น ซึ่งน่าจะเป็นเหมือนฟ้าคำรามที่ต่อเนื่อง พร้อมกับฟ้าแลบ ยังมีเสียงแตรด้วยมากับควันโขมงบนภูเขา ไม่ให้กลัวได้อย่างไร น่ากลัวมาก แต่พระเจ้าตรัสกับคนอิสราเอลในฮีบรูนี้ ไม่ได้น่าสะพรึงขนาดนั้น
ฮีบรู 12:20-21
ในวันนั้น ประชาชนถูกกำหนดให้อยู่รอบนอกของเขตที่กำหนดไว้ ใครจะเข้าไปใกล้เกินกว่านั้น จะถูกหินขว้างหรือยิงให้ตาย (อพยพ 19:12-13)พระเจ้าทรงน่ากลัวแต่เราในทุกวันนี้กลับไม่กลัวและไม่เชื่อในสิ่งที่ควรเชื่อ พระเจ้าให้โมเสสกำชับประชาชนให้ไม่ล่วงล้ำเข้ามาถึงพระเจ้า (ข้อ21)สิ่งที่น่าหวาดหวั่นสำหรับคนทั้งหลายที่อยู่รอบ ๆภูเขาซีนายคือ พอโมเสสกราบทูลพระเจ้า พระองค์ทรงตอบเป็นเสียงดั่งฟ้าร้องคำราม ดังสนั่นแบบที่ ลำโพงใด ๆ ในโลกไม่อาจเทียบได้!
ฮีบรู 12:22
ภูเขาศิโยน มีความหมายแตกต่างจากภูเขาซีนายเพราะมีความหมายถึงที่ประทับของพระเจ้าในแผ่นดินสวรรค์ (ตรงนี้ไม่ได้หมายถึงภูเขาศิโยนแห่งนครเยรูซาเล็ม) เป็นสถานที่ซึ่งรอรับคนที่เชื่อในพระเจ้า ไม่มีใครอาจทำให้พระเจ้าทรงพอพระทัยด้วยการทำตามกฎที่ได้มาจากภูเขาซีนายเลย แต่คนที่เข้ามาหาพระเจ้าผ่านองค์พระเยซูคริสต์ จะเข้ามาถึงภูเขาศิโยนในแผ่นดินสวรรค์ได้
ฮีบรู 12:23
การรับพระบัญญัติของสมัยก่อน กับการรับพระคุณหลังจากที่องค์พระเยซูเสด็จสู่สวรรค์แล้วมีความแตกต่างกันมาก ซึ่งเราจะได้เห็นว่าสมัยพระบัญญัติมีแต่ความเข้มงวด ที่สั่งให้มนุษย์กระทำตามสิ่งที่พวกเขาทำได้บ้าง และทำไม่ได้บ้างพวกเขามีความผิดพลาดกเกิดขึ้นทุกเวลาแต่เมื่อพระเยซูมาเปลี่ยนแปลงชีวิต บรรยากาศแบบเดิมก็เปลี่ยนแปลง แทนที่จะเป็นทาสของบทบัญญัติ กลับเป็นเสรีชนในพระเยซูคริสต์
ฮีบรู 12:24
พระเยซูทรงเป็นคนกลางระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์เป็นผู้ที่สร้างไมตรี ความเชื่อมต่อให้เกิดขึ้น ดังนั้นมนุษย์บาปจึงสามารถเข้ามาเฝ้าพระเจ้าได้ผ่านพระองค์ ใน 11:4 กล่าวว่า อาเบลยังพูดอยู่ แม้ว่าตายแล้วอาเบลหลั่งเลือดโดยไม่ได้ตั้งใจ (ปฐมกาล 4:8) ดังนั้นเลือดของเขาจึงร้องขอการชดเชย แต่พระเยซูทรงสละพระชนม์ด้วยเต็มพระทัย และได้ช่วยเหลือมนุษยชาติจากโทษบาป พระโลหิตจึงดังและเด่นเหนือเลือดเอเบล
ฮีบรู 12:25
การฟังหรือไม่ฟังพระสุรเสียงของพระเจ้านั้น เป็นการเลือกจากใจของเราเอง ดังนั้น เราคือคนตัดสินใจว่าอนาคตของเราจะเป็นอย่างไร พวกพี่น้องหลายคนกำลังถูกกดขี่ข่มเหง พวกเขาอาจจะคิดกลับไปอยู่ในศาสนายิวเหมือนเดิมแทนที่จะติดตามพระเจ้า ผู้เขียนเป็นห่วงที่พี่น้องจะกลับไปตามความเท็จแทนที่จะติดตามความจริงจากองค์พระเยซูคริสต์ !
ฮีบรู 12:26
เมื่อครั้งก่อน กว่าจะได้พระบัญญัติมา พระเจ้าทรงสำแดงความยิ่งใหญ่ผ่านพายุ ไฟ ความมืด โลกที่สั่นสะเทือน แต่พระเยซูจะเสด็จมาอีกครั้งอย่างแน่นอน และทั้งจักรวาลจะสั่นสะเทือนอย่างน่าสะพรึงยิ่งนัก หากเราดูฮีบรู 10:26 พระเจ้าทรงเตือนไม่ให้เราตั้งใจทำบาปต่อไป ฮีบรู 2:4เตือนว่า หากเราละเลยความรอดยิ่งใหญ่ เราจะหนีรอดตายไปได้อย่างไร ในข้อนี้ ผู้เขียนยังคงให้เราตัดสินใจให้ดี (ฮักกัย 2:6)
ฮีบรู 12:27-29
การที่เราจะเข้ามาอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้ามีพระองค์ทรงเป็นองค์กษัตริย์ พระองค์ทรงดำรงชีวิตอยู่เป็นนิรันดร์ อาณาจักรของพระองค์ถาวรยั่งยืน ไม่สะเทือนสะท้านต่อสิ่งใด สิ่งที่เราสมควรจะตอบสนองพระองค์คือ ใจขอบพระคุณ และการนมัสการพระองค์สมกับที่พระองค์ทรงยิ่งใหญ่ เรียนรู้ที่จะเคารพและยำเกรงพระเจ้าของเรา อย่าคิดว่าทำอะไรผ่าน ๆ ก็โอเคแล้ว ..พระเจ้าของเราทรงพระคุณ และทรงร้อนแรง!
พระคำเชื่อมโยง
1* โคโลสี 3:8 ; 1โครินธ์ 9:24 ; โรม 12:12
2* ลูกา 24:26; สดุดี 68:18; 69:7, 19; ฟิลิปปี 2:8; สดุดี 110:1
3* มัทธิว 10:24; กาลาเทีย 6:9
4* 1โครินธ์ 10:13
5* สุภาษิต 3:11-12
6* วิวรณ์ 3:19
7* เฉลยธรรมบัญญัติ 8:5; สุภาษิต 13:24; 19:18; 23:13
8* 1 เปโตร 5:9
9* โยบ 12:10
10* เลวีนิติ 11:44
11* ยากอบ 3:17-18
12* อิสยาห์ 35:3
14* สดุดี 34:14; มัทธิว 5:8
15* ฮีบรู 4:1; เฉลยธรรมบัญญัติ 29:18
16* 1โครินธ์ 6:13-18; ปฐมกาล 25:33
17* ปฐมกาล 27:30-40
18* เฉลยธรรมบัญญัติ 4:11; 5:22
19* อพยพ 20:18-26
20* อพยพ 19:12,13
21* เฉลยธรรมบัญญัติ 9:19
23* ยากอบ 1:18; ลูกา 10:20; สดุดี 50:6; 94:2; ฟีลิปปี 3:12
24* ฮีบรู 8:6; 9:15; อพยพ 24:8; ปฐมกาล 4:10
25* ฮีบรู 2:2, 3
26* ฮักกัย 2:6
27* อิสยาห์ 34:4; 54:10; 65:17
28* ดาเนียล 2:44; ฮีบรู 13:15, 21
29* อพยพ 24:17
ฮีบรู 11 ความเชื่อที่จะเดินตาม
ฮีบรู 11:1-2 นี่แน่ะ ความเชื่อคือความมั่นใจในสิ่งที่เราหวังไว้ และเป็นความมั่นใจในสิ่งที่เรามองไม่เห็น คนสมัยโบราณได้รับการชมเชยจากพระเจ้าเพราะพวกเขามีความเชื่อ
ฮีบรู 11:3 เราเองเข้าใจโดยความเชื่อว่า เอกภพนี้
ถูกสร้างขึ้นโดยพระดำรัสของพระเจ้า
ดังนั้น สิ่งที่มองเห็น จึงเกิดจากสิ่งที่มองไม่เห็น
ฮีบรู 11:4 โดยความเชื่อ อาแบลได้ถวายเครื่องบูชาที่ดีกว่าของคาอิน โดยความเชื่อ เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นคนเที่ยงธรรม เมื่อพระเจ้าทรงชมเชยเครื่องถวายของเขา โดยความเชื่อเขาจึงยังพูดอยู่ทั้ง ๆ ที่เขาตายไปแล้ว
ฮีบรู 11:5 โดยความเชื่อ เอโนคจึงถูกรับขึ้นไป
เพื่อว่าเขาจะไม่ต้องพบความตาย “ไม่มีใครพบเขาเพราะพระเจ้าทรงรับเขาไป เพราะก่อนที่เขาจะถูกรับไปนั้น เขาได้รับการยกย่องว่า เป็นบุรุษที่พระเจ้าทรงพอพระทัย
ฮีบรู 11:6 ถ้าไม่มีความเชื่อ นั่นคือจะทำให้พระเจ้าพอพระทัยไม่ได้เลยเพราะใครก็ตามที่จะเข้ามาใกล้พระองค์
นั้น ต้องเชื่อว่า พระองค์ทรงดำรงอยู่และประทานรางวัลแก่คนที่แสวงหาพระองค์
ฮีบรู 11:7 โดยความเชื่อ โนอาห์ ได้สร้างนาวาใหญ่
เพื่อช่วยให้ครอบครัวรอดพ้น เมื่อได้รับการเตือนถึงสิ่งที่ยังมองไม่เห็น โดยความเชื่อท่านได้กล่าวโทษโลกและ
ได้มาเป็นทายาทแห่งความเที่ยงธรรมที่มีมาโดยความเชื่อ
ฮีบรู 11:8โดยความเชื่อ อับราฮัม ได้เชื่อฟัง
และเดินทางไปเมื่อได้รับการทรงเรียกให้ไป
ยังที่ซึ่งท่านจะได้รับเป็นมรดกในเวลาต่อมา
ทั้ง ๆ ที่ยังไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน
ฮีบรู 11:9-10 โดยความเชื่อ ท่านได้อาศัยอยู่ในแผ่นดิน
ที่ทรงสัญญาในฐานะคนแปลกหน้าซึ่งอาศัยในต่างแดน ท่านอาศัยในเต็นท์ทั้งอิสอัคและยาโคบซึ่งเป็นทายาทร่วม
พระสัญญาเดียวกัน ก็ใช้ชีวิตเช่นนั้นเพราะท่านตั้งตาคอยเมืองที่มีฐานรากที่พระเจ้าเป็นผู้ออกแบบและทรงสร้าง
ฮีบรู 11:11-12 โดยความเชื่อ ซาราห์ ได้รับฤทธิ์ที่จะตั้งครรภ์ แม้ว่าเธอเลยวัยเจริญพันธุ์มาแล้ว เพราะเธอเชื่อว่าพระเจ้าผู้ให้สัญญาทรงซื่อตรง ดังนั้น จากชายคนเดียวที่
เป็นดั่งบุรุษที่ตายแล้วกลับมีลูกหลานสืบเชื้อสายมากราวกับดาวบนท้องฟ้าและนับไม่ถ้วนดั่งทรายบนชายหาด
ฮีบรู 11:13-14 โดยยังไม่ได้รับสิ่งที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้
แต่พวกเขาเห็นและยอมรับสิ่งนั้นแต่ไกลและพวกเขาตระหนักว่า พวกเขาเป็นคนแปลกหน้า เป็นคนต่างแดนในโลกคนที่พูดอย่างนี้ ทำให้เห็นว่าพวกเขากำลังแสวงหาบ้านเมืองของเขาเอง
ฮีบรู 11:15-16 หากพวกเขาได้คิดถึงเมืองที่จากมา พวก
เขาคงมีโอกาสกลับไปได้แต่พวกเขากลับปรารถนาเมืองที่ดีกว่าคือเมืองสวรรค์ ดังนั้น พระเจ้าไม่ทรงละอายที่เขาเรียกพระองค์ว่า พระเจ้าของพวกเขา เพราะทรงเตรียมเมืองหนึ่งไว้ให้พวกเขาแล้ว
ฮีบรู 11:17-18 โดยความเชื่อเมื่ออับราฮัมถูกทดสอบ
ให้ถวายอิสอัคบนแท่นบูชาท่านเป็นผู้ที่ได้รับคำสัญญา ก็พร้อมที่จะถวายลูกชายคนเดียว คนเดียวเท่านั้นแม้พระเจ้าได้ตรัสกับท่านว่า “เจ้าจะมีเชื้อสายผ่านทางอิสอัค”
ฮีบรู 11:19 แม้พระเจ้าได้ตรัสกับท่านว่า“เจ้าจะมีเชื้อสายผ่านทางอิสอัค” อับราฮัมมั่นใจว่า พระเจ้าทรงทำให้คนตายฟื้นขึ้นได้ กล่าวได้อีกอย่างก็คือท่านได้รับอิสอัคคืนมาจากความตาย
ฮีบรู 11:20-21 โดยความเชื่อ อิสอัคได้อวยพรยาโคบ
และเอซาวสำหรับอนาคตของทั้งสองโดยความเชื่อ ขณะที่ใกล้จะสิ้นชีวิตยาโคบได้อวยพรลูกชายแต่ละคนของ
โยเซฟและนมัสการพระเจ้าในขณะที่เอนตัวลงพิงไม้เท้าของท่าน
ฮีบรู 11:22 โดยความเชื่อ ขณะที่ความตายใกล้เข้ามา
โยเซฟได้กล่าวถึงการอพยพของชนอิสราเอลจากอียิปต์ และกำชับสั่งเรื่องกระดูกของท่าน
ฮีบรู 11:23 โดยความเชื่อ พ่อแม่ของโมเสสได้ซ่อนท่านไว้สามเดือนหลังจากเกิดเพราะเขาทั้งสองเห็นว่าท่านเป็นเด็กที่งดงามและไม่กลัวคำบัญชาของกษัตริย์เลย
ฮีบรู 11:24-25 โดยความเชื่อ เมื่อโมเสสเติบโตขึ้น ท่านจึงไม่ยอมให้ใครเรียกว่าเป็นโอรสของธิดาฟาโรห์
ท่านเลือกที่จะทนทุกข์กับคนของพระเจ้า แทนที่จะเพลินไปกับความสำราญจากบาปชั่ว
ฮีบรู 11:26-27 ท่านเห็นคุณค่าของการทนทุกข์เพื่อ
พระคริสต์เหนือทรัพย์สมบัติของอียิปต์ ท่านมองไปข้างหน้าเห็นรางวัลที่จะได้รับโดยความเชื่อ โมเสสละจากอียิปต์โดยไม่กลัวความโกรธของกษัตริย์อียิปต์ ท่านพากเพียร บากบั่น เพราะท่านเห็นพระองค์ผู้ที่ไม่อาจมองเห็นได้
ฮีบรู 11:28 โดยความเชื่อ ท่านรักษาพิธีปัสกา และการประพรมเลือดเพื่อว่า ผู้ที่ทำหน้าที่ประหารบุตรหัวปีจะไม่แตะต้องลูกชายหัวปีของชนอิสราเอล
ฮีบรู 11:29 โดยความเชื่อ
ประชาชนเดินผ่านทะเลแดงราวกับเดินบนพื้นแห้ง แต่เมื่อชาวอียิปต์พยายามตามพวกเขามา ก็กลับจมน้ำตาย
ฮีบรู 11:30 โดยความเชื่อ กำแพงเมืองเยรีโคพังทลายลง!หลังจากที่ประชาชนได้เดินแถวรอบ ๆ เมืองเจ็ดวัน
ฮีบรู 11:31โดยความเชื่อ ราหับ หญิงโสเภณี จึงไม่ถูกสังหารไปพร้อมกับคนที่ไม่เชื่อฟังเพราะเธอได้ต้อนรับสายสืบอิสราเอลด้วยไมตรี
ฮีบรู 11:32-33 จะให้ข้าพเจ้ากล่าวอะไรเพิ่มเติมอีกเล่า?
ไม่มีเวลาพอที่จะเล่าเรื่องของกิเดโอน บาราค แซมสัน เยฟธาห์ ดาวิด ซามูเอลและเหล่าผู้เผยพระดำรัส พวกเขาได้พิชิตอาณาจักรต่าง ๆ โดยความเชื่อ ได้ให้ความยุติธรรม และได้รับสิ่งที่ทรงสัญญาไว้ ได้ปิดปากของสิงโต
ฮีบรู 11:34 ได้ดับเปลวไฟที่ไหม้เผาผลาญและหนีจากคมดาบ ได้รับกำลังแม้ว่าจะอ่อนแอ กลับกลายเป็นคนที่กล้าหาญในการสู้รบ และทำให้กองทัพชาวต่างชาติต้องแตกพ่ายหนีไป
ฮีบรู 11:35 พวกผู้หญิงได้รับคนที่ตายไปแล้วคืนมา
พวกเขาฟื้นคืนชีวิต แต่บางคนก็ถูกทรมานและไม่ยอมถูกปล่อยออกมาเพื่อว่าพวกเขาจะได้รับการฟื้นคืนชีวิต
ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีกว่า
ฮีบรู 11:36-37 ยังมีคนอื่นที่ยอมทนการเยาะเย้ย การ
โบยตี และบางคนถูกล่ามโซ่และจำจองพวกเขาถูกหินขว้าง พวกเขาถูกเลื่อยสองท่อน พวกเขาตายด้วยคมดาบ
พวกเขาสวมหนังแพะหนังแกะเร่ร่อนไปสิ้นเนื้อประดาตัว ถูกข่มเหง และถูกทารุณกรรม
ฮีบรู 11:38
โลกนี้ไม่ดีพอสำหรับพวกเขาพวกเขาเร่ร่อนไปตามแผ่นดินกันดาร ตามภูเขาและซ่อนตัวในถ้ำตามโพรงใต้ดิน
ฮีบรู 11:39-40 พวกเขาได้รับคำชื่นชมเพราะความเชื่อของพวกเขา ถึงกระนั้น พวกเขายังไม่ได้รับสิ่งที่ทรงสัญญา
พระเจ้าได้ทรงเตรียมสิ่งที่ดีกว่านั้นให้เราเพื่อว่า พวกเขาจะได้รับการทำให้สมบูรณ์เพียบพร้อมไปพร้อม ๆ กับเรา
ฮีบรู 11:1-2
ไม่ใช่คริสเตียนเท่านั้นที่มีความเชื่อ คนทุกคนที่มีความเชื่อในพระของเขา ไม่ว่าจะอยู่ในศาสนาใดต่างก็มีความเชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็นทั้งสิ้น แล้ว
ความแตกต่างอยู่ตรงไหนกันล่ะ? คริสเตียนเชื่อในพระสัญญาของพระเจ้า เชื่อในสิ่งที่พระเจ้าตรัสบอกเราในพระคัมภีร์ หลายอย่างที่เชื่อ ไม่อาจพิสูจน์ได้ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์แต่วิธีการทางวิทยาศาสตร์นั้นก็ไม่อาจล้มล้างสิ่งที่เราเชื่อได้เช่นกัน เช่นบางคนไม่เชื่อว่ามีพระเจ้า แต่ยังไม่มีใครสามารถพิสูจน์ว่า ไม่มีพระเจ้า!!
ฮีบรู 11:3
คริสเตียนเป็นผู้ที่เชื่อในสิ่งที่พระเจ้าตรัส ในสิ่งที่พระเจ้าทรงเปิดเผยให้พวกเขาทราบจากพระคัมภีร์ ซึ่งเป็นหนังสือที่บันทึกพระดำริ พระดำรัสของ
พระองค์ ในหนังสือเล่มนี้ ไม่ได้บอกเราทุกอย่างบางอย่างเรารู้ไม่ได้ เพราะสมองความเข้าใจของเราไปไม่ถึง แต่เราเชื่อพระองค์ได้ในทุกคำที่ตรัส
แก่เรา ผู้ที่ไม่เชื่อ มีความเชื่อในสิ่งที่เขาอยากจะเชื่อ เชื่อคำสอนต่าง ๆ ที่เขาคิดว่าให้ประโยชน์แต่ไม่ได้เชื่อในพระเจ้าองค์พระผู้สร้าง
ฮีบรู 11:4
เราเห็นแล้วว่า ความเชื่ออันเป็นที่พอพระทัยพระเจ้าอยู่ที่เราเชื่อในพระดำรัสของพระองค์เรื่องที่กล่าวถึงอยู่ในหนังสือปฐมกาล 4:2-16พี่ชายน้องชายเอาของมาถวายแต่พระเจ้า พี่ชายเอาพืชมา ส่วนน้องชายเอาสัตว์ที่ต้องหลั่งเลือดมาต่อพระพักตร์ และพระเจ้าทรงรับของน้องชาย เราคงสงสัยว่าทำไมหรือ? เป็นเพราะการถวายของอาเบลน้องชายนั้น กำลังสื่อถึงการที่พระเจ้าจะทรงลงมาหลั่งพระโลหิตเพื่อไถ่บาปของมนุษย์
ฮีบรู 11:5
พระคัมภีร์บันทึกว่า เมื่อเอโนคอายุ 65 ปีท่านมีลูกชาย หลังจากนั้นก็ดำเนินกับพระเจ้า 300 ปี มีลูกชายหญิงอีกหลายคน เอโนคดำเนินกับพระเจ้าแล้วหายหน้าไปเพราะพระเจ้าทรงรับเขาไป(ปฐมกาล 5:21-24) มีหลายคนในพระคัมภีร์เดินไปกับพระเจ้าอย่างที่พระองค์ทรงพอพระทัย
แต่ไม่มีใครได้ไปอยู่กับพระเจ้าเจ้าโดยไม่ผ่านความตายเหมือนเอโนค ทั้ง ๆ ที่เขาก็ไม่ได้ทิ้งชีวิตที่มีครอบครัวไปอยู่คนเดียว เขาเดินกับพระองค์
อย่างไรกัน?
ฮีบรู 11:6
นี่เป็นคำตอบหนึ่งว่าชีวิตของเอโนคเป็นเช่นไรเขาเชื่อว่าพระเจ้าทรงมีชีวิตอยู่ เขาติดสนิทกับพระองค์ เขาใกล้ชิดพระองค์ และรางวัลที่เขาได้รับนั้นก็แตกต่างจากใคร ๆ พระคัมภีร์ข้อนี้ได้ย้ำเตือนเราว่า เราไม่ได้เชื่อพระเจ้าแบบนับถือศาสนา แต่เราเชื่อมั่นว่า พระองค์ทรงพระชนม์อยู่เป็นความเชื่อในปัจจุบัน เราจึงเดินไปกับพระองค์ ทุ่มเทแสวงหาพระองค์ไม่ใช่มีชีวิตไปวัน ๆ โดยไม่มีการพัฒนาวิญญาณ
ฮีบรู 11:7
เมื่อพระเจ้าทรงสั่งให้โนอาห์สร้างเรือนั้น ยังไม่มีวี่แววว่า เรือจะลงน้ำที่ไหน เขาสร้างบนพื้นที่แห้งคำสั่งของพระองค์นั้นดูเหมือนไม่เข้าท่าเอาเลย เขาต้องสร้างเรือที่ใหญ่มาก ไม่มีทางที่จะลากไปยังทะเลเลยด้วยซ้ำ แต่การกระทำของโนอาห์กลับกลายเป็นการกล่าวโทษโลก ทำไมหรือ?
นั่นคือ เขาเชื่อฟังพระเจ้า ไม่ได้เดินตามความพอใจของสังคมที่เขาอยู่ คนที่เข้ามาเยาะเย้ยเขา ในที่สุดก็ถูกพระเจ้าทรงพิพากษา
ฮีบรู 11:8
ความเชื่อขั้นแรกของอับราฮัมคือ ท่านเริ่มรับคำบัญชาจากพระเจ้า ออกจากบ้านเกิดเมืองนอนและเดินทางไปยังแผ่นดินที่ไม่รู้จัก เป็นแผ่นดิน
ที่ทรงสัญญาที่ให้พวกเขาสร้างไม่แค่ครอบครัวแต่สร้างชนชาติหนึ่ง เขาไม่รู้ว่า ผลจะออกมาในรูปใด แต่ท่านก็เชื่อพระเจ้าทั้งที่ไม่รู้ว่า พระสัญญา
จะสำเร็จหรือไม่ แต่เขาเชื่อพระองค์ไปแล้วและพร้อมที่จะทำตามทุกอย่างที่ทรงบัญชา
ฮีบรู 11:9-10
ต่อมาอับราฮัมอาศัยในแผ่นดินโดยไม่สร้างบ้านเรือนเป็นหลักฐาน เขาอาศัยในเต็นท์ฐานะคนต่างแดน รวมทั้งอิสอัคและยาโคบ จริงแล้ว เราไม่ได้ต่างจากเขาเหล่านี้ เพราะโลกเป็นเพียงทางผ่านของเรา ไม่ใช่ที่ ๆ เราจะอยู่เป็นนิรันดร์ เรารอคอยจะอยู่ในบ้านเมืองที่พระเยซูทรงเตรียมให้ (ดู
ยอห์น 14) นี่เป็นความเชื่อของเราว่า วันหนึ่งเราจะได้ไปอยู่กับพระเจ้าตลอดไป
ฮีบรู 11:11-12
ที่เราอ่านมา เราเห็นชัดว่าความเชื่อตามมาด้วยการกระทำตามความเชื่อที่พระเจ้าทรงสำแดงที่จริง ตอนแรกซาราห์ยังหัวเราะกับคำสัญญาของ
พระเจ้าที่จะให้เธอตั้งครรภ์ และคลอดบุตรให้อับราฮัม ก็ยากที่จะเชื่อเพราะว่า เธออายุมากแล้ว อับราฮัมก็เหมือนคนตายแล้วเพราะชราขนาด
นั้นจะเป็นไปได้อย่างไร แต่แล้ว เมื่อทั้งสองเชื่อพระเจ้า เหตุการณ์ก็เป็นจริงอย่างที่พระเจ้าทรงบอกไว้ ลูกหลานมากมายเหลือเชื่อ!
ฮีบรู 11:13-14
ผู้เขียนกำลังย้ำให้เรารู้จัก และเข้าใจคนที่มีความเชื่อในพระเจ้าว่า พวกเขายังคงเชื่อทั้งที่ยังมีการทดลองใจให้ไม่เชื่อ อย่างเช่นการที่ถูกผู้คนเยาะตอนที่โนอาห์สร้างเรือบนดินแห้ง การที่อับราฮัมและซาราห์ต้องรอนานมาก ก่อนจะมีลูกชายอิสอัคพวกเขายังเชื่อทั้งที่ยังไม่เห็น ทั้งที่ถูกลองใจ เป็นความเชื่อทางบวกที่ข้ามอุปสรรคทั้งปวง และเราเองก็ต้องเผชิญการทดลองที่ทำให้หมดความเชื่อ แต่เราต้องเชื่อในพระสัญญาต่อไป
ฮีบรู 11:15-16
หากเรารู้ว่า โลกนี้ไม่ใช่บ้านแท้ ๆ ของเรา เราจะไม่กังวลอะไรมากมายนัก เรารู้ว่า ไม่จำเป็นต้องตั้งถิ่นฐานแบบว่าจะไม่จากโลกนี้ไป เห็นไหมว่า
แม้ในปัจจุบัน ยังมีคนที่อยากเป็นอมตะ ไม่ต้องการสิ้นชีวิต และบางคนก็เก็บบางส่วนของตนไว้เผื่อว่าวันหนึ่งเทคโนโลยีก้าวล้ำจนสามารถเอา
เซลที่เขาเก็บไว้มาทำให้เขาเกิดมีชีวิตขึ้นมาอีกคนเหล่านั้นที่เชื่อในพระสัญญาของพระเจ้าเรื่องชีวิตนิรันดร์จึงมักไม่กลัวความตาย
ฮีบรู 11:17-18
อิสอัคเป็นคนเดียวที่ถือว่าเป็นลูกชายคนเดียวที่จะสืบเชื้อสายของอับราฮัมที่จะเป็นชนชาติยิว ซึ่งพระบุตรของพระเจ้าจะมาเกิดในวงศ์วานของเขาอิชมาเอลไม่ใช่คนที่พระเจ้าทรงเลือกไว้ ดังนั้นอิสอัคจึงถูกเรียกว่า เป็นลูกชายคนเดียว…ในวันที่พระเจ้าทรงสั่งให้เขาไปถวายอิสอัคเหมือน
กับถวายแกะบูชานั้น เขาคงสับสน คงแปลกใจกับคำสั่งของพระเจ้า ถึงกระนั้น เขาก็ทำตามคำบัญชาของพระองค์
ฮีบรู 11:19
ที่อับราฮัมยอมเป็นเพราะเขาให้เหตุผลกับตัวเองว่า พระเจ้าเป็นผู้ทรงวางแผนให้อิสอัคเป็นลูกชายที่จะส่งต่อเชื้อสายของเขาจนมีลูกหลานเต็มเหมือนดาวบนท้องฟ้า ดังนั้น ถ้าพระเจ้าจะให้ถวายบูชาลูกชาย เขาก็ต้องฟื้นจากความตายโดยฤทธิ์ของพระเจ้าแน่นอน เพราะพระองค์จะทรงทำตามพระสัญญา ไม่มีวันที่พระองค์จะผิดคำสัญญา ดังนั้นเมื่อได้รับคำสั่งจากพระเจ้าที่แปลกมากเขาจึงเชื่ออย่างไม่มีใจสงสัย..
ฮีบรู 11:20-21
อิสอัคได้อวยพรแก่เอซาวและยาโคบสลับตัวกันแทนที่พี่ชายจะได้รับพรของลูกชายคนโต กลับกลายเป็นของน้องชาย แต่สิ่งที่ผู้เขียนต้องการ
กล่าวในเวลานี้คือ อิสอัคมองเห็นอนาคตข้างหน้าว่าครอบครัวของเขาจะใหญ่โตเพียงไร เขาเชื่อตามที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ และพอมาถึงรุ่น
หลาน ยาโคบอวยพรอีก แม้ว่าจะแก่เฒ่ามากในเวลานั้น แต่ยาโคบก็ไม่ได้ขาดความเชื่อว่าพระเจ้าจะทรงจัดการอนาคตให้หลาน ๆ ของเขา
ฮีบรู 11:22
เมื่ออายุหนึ่งร้อยสิบปี โยเซฟสั่งให้คนที่จะกลับไปยังแผ่นดินคานาอันที่ครอบครัวจากมา ไม่ว่าจะเป็นเมื่อไรในอนาคต ก็ขอเอาศพเขากลับไปด้วย
ปฐมกาล 50 โยเซฟเชื่อว่า พระเจ้าจะทรงนำอิสราเอลกลับไปอีก ทั้ง ๆ ที่เขาไม่รู้ว่าจะเป็นเวลานานแค่ไหน แต่โยเซฟมีความเชื่อ แน่นอนที่ความเชื่อของทั้งปู่ทวดอับราฮัมปู่อิสอัค และพ่อยาโคบ ได้ส่งต่อลงมายังโยเซฟและความเชื่อนั้นก็ส่งต่อมาจนทุกวันนี้
ฮีบรู 11:23
พ่อ แม่ของโมเสสต้องเผชิญกับคำสั่งของผู้มีอำนาจให้กำจัดชีวิตของลูกชาย แต่ทั้งสองกลับไม่กลัวคำสั่งนั้น หาวิธีที่จะให้ลูกชายมีชีวิตอยู่
ผู้เขียนได้กล่าวชื่อของโมเสสหลายครั้ง ความเชื่อของพ่อแม่โมเสสในครั้งนี้ ไม่ใช่แค่เชื่อว่าลูกจะรอดชีวิต แต่เชื่อว่า พระเจ้าจะส่งให้เขาและลูก
ผ่านการกดขี่ของฟาโรห์ไปได้ด้วย เป็นความเชื่อที่ต้องต่อสู้กับอุปสรรคที่ยากเย็น และพระเจ้าก็ทรงพลิกชีวิตของโมเสสให้ไปอยู่ในวังฟาโรห์!
ฮีบรู 11:24-25
โมเสสเติบโตขึ้นมาโดยรู้ภูมิหลังของตนเองเป็นอย่างดี เพราะคนที่เลี้ยงดูเขามาในวังของฟาโรห์คือแม่ของเขาเอง เป็นแม่ที่จะส่งต่อความเชื่อใน
พระเจ้าให้กับเขา ส่งต่อความรักในชนชาติของตนให้กับเขาด้วย ตอนที่เขากำลังเป็นหนุ่มแน่น โมเสสได้เลือกที่จะอยู่ฝ่ายคนอิสราเอล แทนที่จะ
เสวยสุขสบาย ๆ ในวัง แทนที่จะกลายเป็นผู้ปกครองในฐานะเจ้าชายแห่งอียิปต์ เขาเข้าไปคลุกคลีกับพี่น้อง… และรับผลร้ายที่ต้องยอมรับ
ฮีบรู 11:26-27
โมเสสต้องหนีจากราชวังของฟาโรห์ ไปอยู่ในถิ่นกันดารมีเดียน นี่เป็นการพลิกชีวิตอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ ในขณะที่เกิดเรื่องขึ้น โมเสสจะต้อง
วางใจพระเจ้าให้ปกป้องชีวิตของเขาให้ปลอดภัยจากเงื้อมมือฟาโรห์ น่าแปลกที่ผู้เขียนได้ย้ำชัดว่าโมเสสได้เห็นพระเจ้าผู้ไม่อาจมองเห็น เราเข้าใจว่าท่านได้สัมผัสกับพระเจ้าแห่งอิสราเอลตั้งแต่ยังเล็กจนกระทั่งเจอปัญหาใหญ่ในวัยหนุ่มกับกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ของอียิปต์
ฮีบรู 11:28
ต่อมาเมื่อโมเสสต้องนำประชากรอิสราเอลออกจากแผ่นดินอียิปต์ ท่านก็ได้ทำตามขั้นตอนทุกอย่างที่พระเจ้าทรงบัญชา ท่านช่วยให้คนอิสราเอล
ไม่ต้องเผชิญกับความทุกข์ใจเมื่อเผชิญกับวิบัติครั้งสุดท้ายของอียิปต์ ท่านปกป้องลูกชายคนโตของคนอิสราเอลโดยสั่งให้ทุกคนทาเลือดแกะไว้
ที่ประตู เป็นการแจ้งให้ทูตสวรรค์ได้รู้ว่า พวกเขาเป็นคนของพระเจ้า ไม่ใช่คนอียิปต์ และจะผ่านครอบครัวนั้น ๆ ไม่แตะต้องชีวิตลูกชายคนโต
ฮีบรู 11:29
ต่อมาเราได้เห็นความเชื่อที่เป็นความเชื่อชุมชนไม่ใช่เป็นคน ๆ เดียวต่อไป เมื่อคนอิสราเอลเห็นการปกป้องชีวิตจากวิบัติสุดท้าย พวกเขาก็มี
ความเชื่อมากขึ้น ในขณะที่หนีออกจากอียิปต์นั้นเอง ข้างหน้าของพวกเขาคือทะเล แต่พระเจ้าทรงเปิดทะเลให้พวกเขาเดินไปได้ ในวันนั้น จะมีทั้งคนเชื่อและไม่เชื่อ จะมีคนบ่นกลัว แต่แล้ว พวกเขาก็ยอมที่จะเชื่อพระเจ้าแล้วเดินลงไปในก้นทะเลที่แห้งแข็งพอที่จะเดินผ่านไปได้
ฮีบรู 11:30
เมื่อคนอิสราเอลพร้อมใจกันที่จะเชื่อและเชื่อฟังพระเจ้า พวกเขาก็พบว่า สามารถที่จะเอาชนะศัตรูได้ พวกเขาจำเป็นต้องมีทั้งความเชื่อและ
ส่งผลออกมาเป็นความเชื่อฟังลงมือทำตามที่เชื่อนั้น ที่อิสราเอลยังคงมีชาติอยู่ในทุกวันนี้ถึงแม้มีความพยายามกำจัดเผ่าพันธุ์ยิวให้สิ้นซาก
ก็เพราะพระสัญญาของพระเจ้าและเป็นเพราะเพราะมีคนส่วนหนึ่งที่เชื่อในพระสัญญานิรันดร์ที่มีต่อชนชาติของเขา จึงลงมือทำและได้ผล
ฮีบรู 11:31
ความเชื่อของราหับ หญิงต่างชาติที่เป็นหญิงโสเภณี ยังได้รับการตอบรับจากพระเจ้าอย่างที่ไม่มีใครจะคาดได้เลย พระองค์ทรงไว้ชีวิตของ
เธอในขณะที่คนอื่นถูกสังหาร ที่พระเจ้าทรงไว้ชีวิตคนเหล่านี้ ไม่ใช่เพราะพวกเขาเป็นคนดีเพียบพร้อม แต่เป็นเพราะพวกเขามีความเชื่อมั่น
ในพระองค์ แม้ว่าราหับไม่ได้เป็นคนที่อยู่ในพันธสัญญา แต่เธอกลับเชื่อพระเจ้าแห่งอิสราเอลว่าจะปกป้องเธอไว้
ฮีบรู 11:32-33
จะเห็นได้เลยว่า เหล่าคนที่ผู้เขียนฮีบรูได้เรียงรายชื่อมาเหล่านี้ ต่างสำเร็จในความเชื่อในสถานการณ์ต่าง ๆ อย่างเช่นกิเดโอน (ผู้วินิจฉัย 6-8)ได้มีชัยชนะในสงครามแม้ตัวเองมีทหารน้อยกว่าฝ่ายตรงข้ามแบบไม่น่าเชื่อ คนที่ปิดปากสิงโตก็มีทั้งดาเนียล (ดาเนียล 6:16-28) แซมสัน (ผู้วินิจฉัย 14:5-6) รวมทั้งดาวิดด้วย (1ซามูเอล 17:34-37) ทั้งหมดนี้ เขาชนะในสถานการณ์ลำบากเพราะเขาเชื่อพระเจ้า
ฮีบรู 11:34
วีรบุรุษของพระเจ้าเหล่านี้กล้าหาญได้เพราะเขามีพระเจ้าเป็นผู้นำทางชีวิต ผู้ที่ยุ่งเกี่ยวกับไฟทั้งที่ไม่อยากจะยุ่ง แต่พวกเขาก็เชื่อจนกระทั่งกษัตริย์ ที่ส่งเขาเข้ากองไฟ กลับได้เห็นพระบุตรของพระเจ้าในกองไฟนั้น คือ เพื่อนของดาเนียลทั้งสามคน (ดาเนียล 2:49-3:30) ส่วนผู้ที่หนีจากคมดาบ ด้วยความเชื่อนั้นก็อย่างเอลียาห์ ( 1 พงศ์กษัตริย์ 19:2) เป็นต้น คนที่ตัวเล็ก แต่สามารถโค่นโกลิอัทลงได้ก็คือดาวิดนั่นเอง (1 ซามูเอล 17)
ฮีบรู 11:35 ผู้หญิงที่ได้รับคนตายคืนมานั้น ก็มีตัวอย่างอยู่ในชีวิตของเอลียาห์ที่ช่วยทำให้ลูกชายของหญิงม่ายเมืองเศราฟัทฟื้นขึ้นมา ( 1 พงศ์กษัตริย์ 17:17-24 ) และเอลีชาที่ทำให้ลูกชายของหญิงชาวเมืองชูนัม… ฟื้นคืนมา ( 2 พงศ์กษัตริย์ 4:18-37)บางคนก็เสียชีวิตของเขาไปเพื่อวันหนึ่งด้วยความเชื่อ เขาจะได้คืนชีวิตขึ้นมากับพระเยซูคริสต์
ฮีบรู 11:36-37
คนที่เป็นยิวแล้วกลับมาเชื่อพระเยซูถูกเยาะเย้ยถูกปฏิเสธจากครอบครัว ถูกเจ้าหน้าที่จับตัวไปเพราะเชื่อพระเยซูนั้นก็มีมากจนแม้กระทั่งทุกวันนี้
ตัวอย่างในพระคัมภีร์ของผู้เชื่อที่ถูกหินขว้างนั้นอย่างเช่น สเทเฟน คนที่ถูกเลื่อยสองท่อนนั้นก็อย่างเช่นอิสยาห์ และเยเรมีย์ (ตามประวัติศาสตร์นอกพระคัมภีร์ มีการเล่าต่อกันมาว่าท่านทั้งสองตายจากการสั่งประหารด้วยให้เลื่อยตัวขาดสองท่อน)
ฮีบรู 11:38
ผู้เผยพระดำรัสของพระเจ้าในสมัยโบราณอย่างเอลียาห์ เอลีชา พวกเขาไม่ได้อยู่อย่างสบาย แต่กลับต้องเผชิญกับชีวิตที่หลบ ๆ ซ่อน ๆ เพื่อเอาชีวิตรอด ถึงกระนั้น พวกเขาก็ยังเชื่อต่อไป ถ้าจะคิดถึงคนที่ซ่อนตัวตามภูเขา ซ่อนตามถ้ำ เราก็นึกถึงดาวิดที่ต้องหนีจากซาอูลในช่วงแรกของชีวิตดาวิดต้องหลบหนีกษัตริย์ซาอูลอย่างเสียเปรียบเพราะดาวิดจะไม่ทำร้ายซาอูลเลย และในที่สุดท่านก็ได้รับตามสัญญา
ฮีบรู 11:39-40
ความยากลำบากที่ผู้เขียนได้บรรยายมานั้น ก็เพื่อหนุนใจให้พี่น้องผู้เชื่อในพระเจ้าได้ยึดมั่นในความเชื่อเมื่อต้องเจอกับความทุกข์ยากไม่ว่าใน
รูปแบบใดก็ตาม เพราะว่า พระเจ้าทรงเตรียมสิ่งดีกว่าไว้ให้ ตอนที่เราต้องเผชิญกับสิ่งที่ไม่คาดฝันนั้น เราอาจตกใจ เป็นทุกข์ รู้สึกจนมุมจนแทบไปต่อไม่ได้ แต่.. พระสัญญาของพระเจ้า พระวิญญาณของพระเจ้าจะช่วยให้เรายืนขึ้นมาได้อีกครั้ง
พระคำเชื่อมโยง
1* โรม 8:24
3* สดุดี 33:6
4* ปฐมกาล 4:3-5; ฮีบรู 12:24
5* ปฐมกาล 5:21-24
7* ปฐมกาล 6:13-22; 1เปโตร 3:20; โรม 3:22
8* ปฐมกาล 12:1-4
9* ปฐมกาล 12:8; 13:3, 18; 18:1, 9; ฮีบรู 6:17
10* ฮีบรู 12:22; 13:14
11* ปฐมกาล 17:19; ฮีบรู 10:23
12* โรม 4:19; ปฐมกาล 15:5; 22:17; 32:12
13* ฮีบรู 11:39; ปฐมกาล 12:7; ยอห์น 8:56; สดุดี 39:12
14* ฮีบรู 13:14
15* ปฐมกาล 11:31
16* อพยพ 3:6, 15; 4:5; วิวรณ์ 21:2
17* ยากอบ 2:21
18* ปฐมกาล 21:12
19* โรม 4:17
20* ปฐมกาล 27:26-40
21* ปฐมกาล 48:1,5,16,20
22* ปฐมกาล 50:24-25
23* อพยพ 2:1-3; 1:16,22
24* อพยพ 2:11-15
26* ฮีบรู 13:13; โรม 8:18
27* อพยพ 10:28
28* อพยพ 12:21
29* อพยพ 14:22-29
30* โยชูวา 6:20
31* โยชูวา 2:9; 6:23; 2:1
32* วินิจฉัย 6:11; 7:1-25; 4:6-24; 13:24-16:31; 11:1-29;12:1-7; 1ซามูเอล 16; 17; 1 ซามูเอล 7:9-14
33* ดาเนียล 6:22
34* ดาเนียล 3:23-28
35* 1 พงศ์กษัตริย์ 17:22; กิจการ 22:25
36* ปฐมกาล 39:20
37* 1 พงศ์กษัตริย์ 21:13; 2 1 พงศ์กษัตริย์ 1:8; เศคาริยาห์ 13:4
38* 1 พงศ์กษัตริย์ 18:4, 13; 19:9
39* ฮีบรู 11:2,13
40* ฮีบรู 5:9
ฮีบรู 10 มีชีวิตโดยความเชื่อ
ฮีบรู 10:1 บทบัญญัตินั้น เป็นเพียงเงาของสิ่งดีที่จะมาในภายหลัง ไม่ใช่ตัวจริง ดังนั้นบทบัญญัติจึงไม่อาจทำให้ผู้ที่เข้ามาใกล้เพื่อนมัสการนั้น บริสุทธิ์เพียบพร้อมได้ด้วยเครื่องบูชาเดิม ๆ ซ้ำ ๆ ปีแล้วปีเล่า
ฮีบรู 10:2-3 เพราะหากเครื่องบูชาชำระบาปได้ เขาก็ควรหยุดถวายเครื่องบูชาไปแล้วเพราะผู้ที่มานมัสการคงได้รับการชำระครั้งเดียวจบ จะไม่รู้สึกผิดกับบาปของพวกเขาอีกต่อไป แต่กลับกลายเป็นว่าเครื่องบูชาเหล่านั้น เป็นการเตือนให้คิดถึงบาปอยู่ทุกปี
ฮีบรู 10:4-5 เพราะเลือดของโคผู้และแพะไม่อาจ
จะชำระบาปให้หมดสิ้นไปได้ ดังนั้น เมื่อพระคริสต์เสด็จเข้ามาในโลก พระองค์ตรัสว่า “พระองค์ไม่ทรงปรารถนาเครื่องสักการะและของถวาย แต่พระองค์ทรงเตรียมร่างหนึ่งไว้ให้ข้าพระองค์ได้ถวาย (สดุดี 40:6-8)
ฮีบรู 10:6-7 พระองค์ไม่ทรงยินดีกับเครื่องเผาบูชาและเครื่องบูชาไถ่บาป แล้วข้าพระองค์ทูลว่า ‘โอ พระเจ้า ข้าพระองค์ได้มาเพื่อทำตามพระประสงค์ของพระองค์
ตามที่มีคำเขียนถึงข้าพระองค์ในหนังสือม้วน’”
ฮีบรู 10:8 ก่อนหน้านี้ พระองค์ตรัสว่า “พระองค์มิได้ทรงพอพระทัยใน เครื่องสักการะและของถวาย เครื่องเผาบูชา และเครื่องบูชาไถ่บาปและพระองค์ก็ไม่ได้ทรงยินดีในสิ่งเหล่านั้นด้วย (แม้ว่าจะเป็นการถวายตามบทบัญญัติก็ตาม)
ฮีบรู 10:9-10พระองค์ยังตรัสต่อไปว่า “โอ พระเจ้าข้าข้าพระองค์มาเพื่อทำตามน้ำพระทัยของพระองค์” พระองค์ทรงยกเลิกแบบแรกออกไปเพื่อสร้างแบบที่สอง และด้วยพระประสงค์เช่นนี้ เราจึงได้รับการชำระให้บริสุทธิ์โดยที่พระเยซูคริสต์ถวายพระกายครั้งเดียวเป็นพอ
ฮีบรู 10:11-12 ปุโรหิตทุกคนได้ยืนปรนนิบัติรับใช้และถวายเครื่องบูชาแบบเดิม วันแล้ววันเล่า ซ้ำแล้วซ้ำอีก ซึ่งเป็นเครื่องบูชาที่ไม่อาจลบล้างบาปได้ แต่เมื่อพระองค์
ท่านนี้ได้ถวายเครื่องบูชาเพียงครั้งเดียวเพื่อลบบาปทั้งสิ้น ตลอดไป พระองค์ก็ทรงประทับนั่ง ณ เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า
ฮีบรู 10:13-14 ณ ที่นั้น พระองค์ก็ทรงรอจนกว่าศัตรู
ทั้งหลายจะถูกนำมาเป็นแท่นรองพระบาท ด้วยการถวายเครื่องบูชาครั้งเดียว พระองค์ทรงทำให้คนที่รับการชำระให้บริสุทธิ์เป็นผู้ที่สมบูรณ์พร้อมเป็นนิตย์
ฮีบรู 10:15-16 องค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นพยาน
กับเราเรื่องนี้ อย่างแรก พระองค์ตรัสว่า “นี่เป็นพันธสัญญาที่เราจะทำกับเขา หลังจากวันเหล่านั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสเราจะใส่บทบัญญัติของเราไว้ในใจพวกเขา และจะจารึกคำนั้นไว้ในความคิดของพวกเขา
ฮีบรู 10:17-18 แล้วพระองค์ตรัสอีกว่า “เราจะไม่จดจำบาปและการอธรรมของเขาอีกต่อไป” และเมื่อมีการอภัยบาปแล้วก็ไม่ต้องมีการถวายเครื่องบูชาลบบาปอีกต่อไป
ฮีบรู 10:19-21 ดังนั้นพี่น้องทั้งหลาย ในเมื่อเรามีใจกล้า
ที่จะเข้าสู่ที่บริสุทธิ์ที่สุด โดยพระโลหิตของพระเยซู
โดยหนทางใหม่ที่มีชีวิต ได้เปิดให้เราผ่านม่านคือพระกายของพระองค์และในเมื่อเรามีมหาปุโรหิตผู้ทรงดูแลพระนิเวศของพระเจ้า….
ฮีบรู 10:22 พวกเราจงเข้ามาใกล้ด้วยใจจริง และมั่นใจในความเชื่อเต็มที่ โดยมีจิตใจที่ได้รับการประพรม
เพื่อชำระเราให้หมดจากจิตสำนึกผิดและร่างกายของเราก็ได้รับการชำระด้วยนำ้บริสุทธิ์
ฮีบรู 10:23-24 ให้เรายึดมั่นในความหวังที่เราเชื่ออย่าง
แน่วแน่ เพราะพระองค์ผู้ทรงสัญญานั้นทรงซื่อตรง
และให้เราพิจารณาดูว่า เราจะทำอย่างไรที่จะหนุนใจกันให้รักกันและกันและทำความดี
ฮีบรู 10:25 เราอย่าขาดการประชุมเหมือนอย่างที่บางคนทำเป็นนิสัย แต่ให้เราหนุนใจกันและกันมากขึ้น เพราะท่านก็รู้ว่าวันนั้นใกล้เข้ามาแล้ว
ฮีบรู 10:26-27 หากเรายังคงตั้งหน้าตั้งตาทำบาปต่อไปทั้ง ๆ ที่ได้รู้จักความจริง ก็จะไม่มีเครื่องบูชาลบบาปให้
มีแต่ความหวาดกลัวเพราะการพิพากษาที่จะมา และไฟอันร้อนแรงที่จะเผาผลาญศัตรูของพระเจ้า
ฮีบรู 10:28-29 คนที่ทำผิดบทบัญญัติโมเสสก็ยังต้อง
ตายโดยไม่ได้รับความเมตตา หากมีพยานสองสามปาก แล้วท่านคิดว่า ผู้ที่เหยียบย่ำพระบุตรของพระเจ้า ผู้ที่
หยาบคายต่อพระโลหิตและพันธสัญญาที่ชำระเขาให้บริสุทธิ์ ผู้ที่ดูหมิ่นองค์พระวิญญาณแห่งพระคุณ จะถูกลงโทษหนักกว่านั้นสักเพียงใด?
ฮีบรู 10:30-31 เพราะเรารู้จักพระองค์ผู้ตรัสว่า “การ
ตอบแทนเป็นของเรา เราเองจะตอบสนอง” และอีกครั้งว่า“องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงพิพากษาประชากรของพระองค์”การตกอยู่ในเอื้อมพระหัตถ์ของพระเจ้า
ผู้ทรงพระชนม์นั้น เป็นเหตุการณ์น่าหวาดกลัวยิ่งนัก
ฮีบรู 10:32 จงนึกถึงวันแรก ๆ ที่ท่านได้เข้ามาอยู่ในความสว่าง ในช่วงเวลาเหล่านั้น ท่านมีความทรหดอดทนอย่างมั่นคงขณะที่เผชิญความทุกข์ยาก
ฮีบรู 10:33-34 บางครั้งท่านถูกประจานต่อหน้า สาธารณชน ถูกเยาะเย้ย และถูกข่มเหง บางครั้งท่านร่วมทุกข์กับคนที่ถูกกระทำเช่นนั้นท่านเห็นใจผู้ที่ถูกขัง และยอมให้ทรัพย์สมบัติถูกยึดไปด้วยใจยินดีเพราะรู้ว่า ท่านยังมีทรัพย์สินที่ยั่งยืนและดีกว่านั้น
ฮีบรู 10: 35-36
ดังนั้น อย่าทิ้งความมั่นใจของท่านไป เพราะท่านจะได้รับรางวัลยิ่งใหญ่ท่านจำเป็นต้องพากเพียรอดทน เพื่อว่าเมื่อท่านทำตามพระทัยของพระเจ้าแล้ว ท่านก็จะได้รับสิ่งทรงสัญญาไว้
ฮีบรู 10:37-39 เพราะว่า “อีกครู่เดียว พระองค์ผู้เสด็จ
มาก็จะมาถึง พระองค์จะไม่ล่าช้า แต่คนเที่ยงธรรมของเราจะมีชีวิตอยู่ได้ด้วยความเชื่อ หากเขาถอยกลับไป เราจะไม่
ยินดีในตัวเขา” แต่เราไม่ใช่เป็นคนที่จะถอยกลับสู่หายนะ แต่เป็นคนที่มีความเชื่อ และได้รักษาจิตวิญญาณให้รอด
อธิบายเพิ่มเติม
ฮีบรู 10:1
เราจะเห็นว่า บัญญัติในพันธสัญญาเดิม เป็นเพียงเงาที่มาก่อนของจริงคือพันธสัญญาใหม่ การที่มีเงามาก่อน ก็เหมือนกับการที่พระเจ้าทรงสอน
ให้รู้ว่า ลักษณะแท้จริงของพันธสัญญาที่สมบูรณ์แบบน่าจะเป็นเช่นไร เงานั้นมีโครงร่าง รูปร่างคล้ายของจริง แต่ไม่ใช่ของจริง ท่านผู้เขียน
พยายามที่จะอธิบายกับพี่น้องฮีบรูที่มาเป็นคริสเตียนว่า ที่พวกเขาเคยเข้าไปในพระวิหารและถวายเครื่องบูชาแด่พระเจ้า ยังไม่สมบูรณ์แบบ
ฮีบรู 10:2-3
การถวายเครื่องบูชาแบบที่ต้องทำซ้ำแล้วซ้ำอีกทำให้ผู้คนระลึกถึงบาปของตนเองที่ไม่อาจหลุดไปจากตัวพวกเขาได้อย่างสิ้นเชิง พวกเขายังต้อง
รู้สึกกับความผิดไม่หยุดยั้ง ยิ่งถ้าเป็นบาปร้ายมาก ๆ คน ๆ หนึ่งก็จะเสียใจอย่างที่อาจถึงทำให้เขาต้องทำลายตัวเองไปเพราะไม่อาจลบบาปที่
ทำผิดได้ พวกเขาถูกเตือนไว้ว่า “นายยังบาปอยู่นายยังไม่อาจเข้ามาเฝ้าพระเจ้าได้ นายมันคนโสโครก ไม่มีวันดีขึ้นได้!”
ฮีบรู 10:4-5
ชัดเจนว่า เลือดของสัตว์ไม่พอที่จะชำระบาปของมนุษย์ได้จากตรงนี้ เราจะเห็นว่า มีคำพยากรณ์ถึงองค์พระเยซูคริสต์มาตั้งแต่ครั้งกษัตริย์ดาวิด ผู้เขียนได้พยายามให้คริสเตียนยิวได้เข้าใจชัดเจนว่าสิ่งที่เขาเชื่อมาก่อนหน้านั้น ไม่ได้ผิดพลาด แค่เป็นเงาของสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้จริง ๆ คือองค์พระเยซูคริสต์ ในพันธสัญญาใหม่จะไม่ต้องถวายเครื่องบูชาซ้ำ ๆ อีกต่อไป
ฮีบรู 10:6-7
ในประโยคใกล้ ๆ กัน มีการย้ำว่า พระเจ้าไม่ทรงยินดีกับเครื่องเผาบูชา ของถวายเหล่านั้น สิ่งเหล่านั้นไม่อาจช่วยมนุษย์ได้อย่างยั่งยืนไม่มีฤทธิ์ที่จะเปลี่ยนชีวิตจากมืดเป็นสว่างไม่มีความผูกพันทางจิตใจระหว่างเจ้าตัวที่สละเลือด กับคนที่ได้รับการยกโทษในวันนั้น สำหรับพระเจ้าแล้ว การยกบาปให้มนุษย์ พระองค์จะต้องทรงสละพระบุตรของพระองค์ ให้รับความอับอายอย่างที่มนุษย์ต้องเผชิญ!
ฮีบรู 10:8
พระเจ้าไม่ได้พอพระทัยทั้งสี่สิ่งนี้ พระองค์ทรงพอพระทัยที่มนุษย์จะรักและเชื่อฟังพระองค์ การถวายสิ่งของเหล่านี้ มนุษย์ทำไปทำมา ก็กลายเป็นพิธีที่ไร้ความหมาย ไร้ค่า กลายเป็นภาระของพวกเขา กลายเป็นเครื่องมือที่จะทำให้คนคิดว่า พวกเขาเป็นคนที่พระเจ้าชำระ ทั้ง ๆที่ใจไม่ได้ใสสะอาดสักนิด พระเจ้าทรงเห็นภายในที่มนุษย์พูด คิด ทำ ทรงเห็นแรงจูงใจทั้งสิ้น สดุดี 139
ฮีบรู 10:9-10
เราต้องไม่ลืมว่า ที่เราได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ก็เป็นเพราะพระเยซูทรงตั้งใจมาทำตามน้ำพระทัยขององค์พระบิดา ถ้าพระเยซูไม่ทรงเต็มพระทัย
ที่จะทำสิ่งนี้ จะไม่มีคนใดในโลกได้รับความรอดเลย! พระองค์ทรงยกเลิกพิธีกรรมแบบเดิมเพื่อว่า พระเยซูคริสต์จะทรงทำตามน้ำพระทัยที่ให้สิ้นพระชนม์บนกางเขน ครั้งเดียวเท่านั้นซึ่งเป็นคำที่ผู้เขียนฮีบรูย้ำบ่อย ๆ อย่างที่เราได้อ่านมาแล้ว
ฮีบรู 10:11-12
ดูความแตกต่างของพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่ว่า แตกต่างกันมากเหลือเกิน ผู้เขียนฮีบรูต้องการให้พี่น้องยิวที่มาเชื่อพระเยซูมั่นใจ และไม่กลับไปหาพิธีกรรมแบบเดิมอีก ซึ่งเราต้องยอมรับว่า ทุกวันนี้ ยังมีคนที่เชื่อในพระเจ้าแต่ยังคงรักษารูปแบบปุโรหิตเอาไว้อย่างเหนียวแน่น พวกเขาทำให้ผู้เชื่อต้องพึ่งพาเหล่านักบวชอย่างไม่สามารถหลุดออกได้เลย พระคำตอนนี้จึงทำให้เรามั่นใจว่า พระเยซูเท่านั้นที่ทรงเป็นปุโรหิตแท้ของเรา
10:13-14
อ้างถึงสดุดี 110:1 ซึ่งเหตุการณ์ที่กล่าวไว้นี้จะสำเร็จเมื่อพระเยซูเสด็จกลับมาครั้งที่สองและเมื่อมนุษย์ทุกคนจะต้องคุกเข่ากราบลงและยอมรับว่า พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าเหนือสรรพสิ่งแม้ว่าในวันนี้ เราจะเห็นคนมากมายดูหมิ่นพระเจ้าและท้าทายพระองค์ แต่วันหนึ่งทุกคนที่โอหัง ก้าวร้าวจะพบว่าเขาเป็นผู้แพ้ ศัตรูของพระองค์จะถูกปราบจนราบคาบ
10:15-16
พันธสัญญาใหม่มาหลังจากวันเหล่านั้น เท่ากับพันธสัญญาใหม่นั้นใหม่จริง ๆ ไม่ใช่ของเดิมอีกต่อไป เพราะเป็นการเปลี่ยนแปลงภายในใจของ
ผู้คน นี่เป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะไม่ใช่เป็นการเปลี่ยนแค่รูปแบบภายนอก พระเจ้าทรงประสงค์ที่จะให้พระดำรัสของพระองค์เป็นสิ่งที่อยู่ในใจ
ในความคิดของผู้เชื่อ ไม่ได้อยู่ที่แผ่นศิลา หรือหนังสือม้วนอีกต่อไป (ดูเยเรมีย์ 31:33-34,โคโลสี 3:16) พระเจ้าทรงทำให้ เราตอบสนอง
ฮีบรู 10:17-18
เราโล่งใจเมื่อได้ยินคำแบบนี้ ความบาปใด ๆ ที่ได้ทำมานั้น พระเจ้าจะไม่ทรงถือโทษ ยิ่งกว่านั้น จะไม่ทรงจำบาปเหล่านั้นอีกต่อไป ไม่มีการบันทึกไว้ในที่จะสืบค้นได้อีก นี่ไง พันธสัญญาใหม่ด้วยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ..ทรงยกโทษให้อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่มีการเรียกกลับคืนมาให้รับโทษอีก และพระองค์ยังทรงให้ชีวิตเปลี่ยนเพื่อเราจะไม่กลับไปสู่ชีวิตเก่าอีก
ฮีบรู 10:19-21
พระคำตอนนี้บอกว่า เรามีใจกล้าที่จะเข้าเฝ้าพระเจ้า ไม่เหมือนตอนที่ปุโรหิตเข้าเฝ้าพระองค์ด้วยความกลัวลาน ที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่า พระเยซู
ทรงมาเป็นทางนั้น ที่ทำให้เราเข้าหาพระเจ้าได้โดยตรงโดยไม่มีม่านใด ๆ มากั้นไว้ พระเยซูทรงเป็นองค์ปุโรหิตที่ดูแลพระนิเวศของพระเจ้า ทำให้
ผู้เชื่อพระเยซูทุกคนสามารถเข้าหาพระเจ้าได้ ในอดีตแตกต่างจากนี้มาก พวกเรามักต้องเห็นคุณค่า สิทธิพิเศษของการเข้าเฝ้าโดยตรงเช่นนี้
ฮีบรู 10:22
เราเข้ามาเข้าเฝ้าพระเจ้าได้ด้วยความเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์ ผู้เขียนได้ชวนให้เราเข้ามาใกล้องค์พระเจ้า ไม่ใช่มีชีวิตที่อยู่ห่างพระองค์ ตรงนี้
ที่เป็นปัญหาของพวกเราเอง พระเจ้าทรงเตรียมทุกอย่างให้แล้ว แต่พวกเราไม่สนใจ กลับไปสนใจเรื่องต่าง ๆ รอบตัวในชีวิตจนเหนื่อย หมดกำลังก่อนที่จะเข้ามาหาพระเจ้า สิ่งสำคัญของเราคือการที่จะอยู่ใกล้ชิดพระเจ้า แสวงหาพระองค์ก่อน แล้วจะเห็นว่า ชีวิตจะแตกต่างจากวันที่ห่างพระองค์!
ฮีบรู 10:23-24
ให้เรายึดมั่นอย่างไม่ลังเลใจ หรือพูดง่าย ๆ คือให้เรามีความแน่วแน่ในความหวังที่มีในพระเจ้าโดยไม่ให้อะไรมาทำให้เราไขว่้เขวได้เลย การยึด
มั่นในพระเจ้าคือการไว้ใจในพระสัญญาของพระองค์ว่าที่ทรงสัญญาไว้ จะทรงทำให้แน่นอนสิ่งนี้อยู่ในใจเรา เป็นส่วนตัว แต่สิ่งที่เราต้องใส่ใจทำต่อมา คือรักกัน และทำดีให้กันและกัน ตรงนี้ เราจะเห็นว่า เป็นเรื่องไม่ส่วนตัวอีกต่อไป แต่เราต้องมีคนที่รักและทำดีให้
ฮีบรู 10:25
เราเห็นพี่น้องจำนวนมากไปประชุม เจอเพื่อนได้หนุนใจกันอย่างต่อเนื่อง เราเห็นคนที่ขาดการประชุมเนื่องด้วยเหตุผลใดก็ตาม ในระยะยาว มัน
ส่งผลร้ายต่อผู้เชื่อไม่ว่าใครก็ตาม การหลงทางไปจากพระเจ้า การไม่ได้ยินเสียงของพระเจ้าอีกต่อไปเกิดขึ้นได้ง่ายมากเมื่อเราไม่มีพี่น้องที่คอย
ช่วยเหลือกันแม้ว่าคนหนึ่งอาจอ้างว่า เฝ้าพระเจ้าคนเดียวก็ได้ แต่นั่นไม่ใช่สุขภาพจิตที่แข็งแรง แม้คริสตจักรจะมีข้อเสียบ้างแต่เราอย่าขาดประชุมเลย
ฮีบรู 10:26-27
เรื่องของคริสเตียนยิวที่ผู้เขียนเป็นห่วงคือการที่เขาจะหันกลับไปหาศาสนายิว กลับไปสู่กฎบัญญัติพิธีการลบบาปแบบเดิม หันหลังให้กับไม้กางเขนของพระเยซูคริสต์ ที่เราคิดว่าเป็นแบบนั้นเพราะในข้อต่อไปได้พูดถึง แต่สำหรับพวกเขาก็ชัดเจนว่า ถ้าเราทำผิดทั้งที่รู้ความจริงเราจะเจอกับอะไร หากเราปฏิเสธพระเจ้า ก็จะไม่มีเครื่องบูชาลบบาปอีกต่อไปนั่นเอง สิ่งที่จะเพิ่มมาคือการพิพากษาของพระเจ้าต่อคนที่มาเชื่อแล้วก็เลิกไป
ฮีบรู 10:28-29
นี่คือความบาปที่ทำซ้ำ ๆ ซึ่งผู้เขียนได้พูดในก่อนหน้านี้ หากใครคนหนึ่งดูหมิ่นพระบุตรพระเจ้าผู้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเขาด้วยการปฏิเสธพระองค์
ทั้ง ๆ ที่รู้ ผู้เขียนอธิบายว่า การทำเช่นนั้น เป็น 1 การเหยียบย่ำพระเยซู 2หยาบคายต่อพระโลหิตและพันธสัญญา 3 ดูหมิ่นองค์พระวิญญาณผู้
ทรงสอนให้เรารู้จักพระเยซูคริสต์ ผู้เขียนเตือนไม่ให้คนที่เชื่อกลับไปสู่พิธีกรรมแบบเดิมที่เคยทำและเตือนเราเช่นกันด้วย
ฮีบรู 10:30-31
การตกอยู่ในเงื้อมพระหัตถ์ของพระเจ้า คือการที่ต้องเผชิญกับพระเจ้าในวันที่พระองค์ทรงพิพากษา ไม่มีใครจะหนีพ้นวันนั้นไปได้ ตอนที่
ไม่เอาใจใส่ เดินหนีพระองค์ไป ดูเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นทันที เพราะพระเจ้าทรงให้เราทุกคนมีโอกาสที่จะเลือกทำให้ถูกต้องที่สุดคือ การ
ถวายพระเกียรติแด่พระองค์ผู้ทรงสร้าง ผู้ทรงไถ่ชีวิตของเราให้รอด พวกเราไม่ควรที่จะท้าทายพระองค์เลย เพราะผลนั้นน่ากลัวมาก
ฮีบรู 10:32
ตอนแรกที่พวกยิวมาเชื่อใหม่ ๆ นั้น พวกเขามีรักแรกให้กับพระเจ้า เป็นรักที่แนบสนิท รักมากจากคนที่เคยอยู่ในความมืดมาพบความสว่างของ
พระเจ้า ทำให้ชีวิตเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดช่วงนั้นเป็นเวลาฮันนีมูน ที่พวกเขาเจออะไรก็ทนได้หมด สามารถทนทุกข์เพื่อพระคริสต์อย่างเต็ม
ใจ สุดใจ สุดกำลัง พวกเขาถูกยิวในศาสนายิวขับไล่จากชุมชน ถูกกดขี่ข่มเหงหนักมาก
ฮีบรู 10:33-34
ผู้เขียนได้อธิบายชัดเจนว่า พี่น้องเหล่านี้ต้องเผชิญกับสิ่งใดบ้าง พวกเขามาเชื่อ และถูกกระทำอย่างไม่ยุติธรรมจากคนที่เคยเป็นเพื่อน เคยอยู่
ในชุมชนเดียวกัน ในศาลาธรรมเดียวกัน บัดนี้กลายเป็นถูกเกลียดชังอย่างรุนแรง แต่เวลานั้นพวกเขามีความหวังในพระเจ้าอย่างมั่นคง ไม่คิด
ที่จะหันกลับไป มั่นใจและยังร่วมทุกข์กับคนที่ถูกข่มเหงด้วย การที่พวกเขาเผชิญได้ถึงขนาดนี้ไม่น่าจะมีคนที่เปลี่ยนใจกลับสู่โลกเดิมเลย
ฮีบรู 10: 35-36
ตรงนี้ทั้งคริสเตียนยิวและเรารับการเตือนว่าอย่าให้เราทิ้งความมั่นใจในพระเจ้าเด็ดขาด! อาจมีสถานการณ์ร้ายเกิดขึ้น แต่เรายังต้องวางใจ
เราจะไม่กลับไปดำเนินชีวิตแบบเก่าที่ทำตามใจตัวเอง ไม่ใช้วิธีของตนเองในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ เราจะวางใจพระเจ้าแค่ไหนขึ้นอยู่กับตัวเรา รู้ไหมว่าความวางใจพระเจ้านั้นเป็นอาวุธที่จะต่อสู้กับสิ่งต่าง ๆ ที่โถมเข้ามาในชีวิตได้ และต้องมีความอดทนอย่างสูงที่จะไม่ลังเลใจ
ฮีบรู 10:37-39
พระคัมภีร์หลายตอนได้บอกเราว่า คนเที่ยงธรรมจะมีชีวิตอยู่โดยความเชื่อ พวกเขาไม่ได้มีชีวิตอย่างล่องลอย เชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง พวกเขามั่นคง
ในพระเจ้า หวังใจในพระองค์เต็มร้อย ไม่ลังเลไม่รีรอที่จะเดินตามพระองค์ และตอนนี้บอกเราชัดว่า พระเจ้าจะไม่ทรงพอพระทัยหากเราหันกลับไป
สู่ชีวิตเดิม ซึ่งจะนำสู่ความตาย จะเห็นว่า เราเองเป็นผู้ที่จะต้องร่วมมือกับพระเจ้าในการรักษาจิตวิญญาณให้ถึงความรอด
พระคำเชื่อมโยง
1* ฮีบรู 8:5; 7:19; 9:9
4* มีคาห์ 6:6-7
5* สดุดี 40:6-8
10* ยอห์น 17:19; ฮีบรู 9:12
11* กันดารวิถี 28:3
12* โคโลสี 3:1; สดุดี 110:1
13* สดุดี 110:1
16* เยเรมีย์ 31:33-34
17* เยเรมีย์ 31:34
19* เอเฟซัส 2:18; ฮีบรู 9:8,12
20* ยอห์น 14:6
21* สดุดี 110:4
22* ฮีบรู 7:19; 10:1; เอเฟซัส 3:12
23* 1โครินธ์ 1:9; 10:13
25* กิจการ 2:42; โรม 13:11; ฟีลิปปี 4:5
26* กันดารวิถี 15:30; 2 เปโตร 2:20; ฮีบรู 6:6
27* เศฟันยาห์ 1:18
28* เฉลยธรรมบัญญัติ 17:2-6; 19:15
29* ฮีบรู 2:3; 1โครินธ์ 11:29; มัทธิว 12:31
30* เฉลยธรรมบัญญัติ 32:35-36
31* ลูกา 12:5
32* กาลาเทีย 3:4
33* 1โครินธ์ 4:9; ฟีลิปปี 1:7
34* 2 ทิโมธี 1:16; มัทธิว 5:12; 6:20
35* มัทธิว 5:12
36* ลูกา 21:19; โคโลสี 3:24
37* ลูกา 18:8; ฮาบากุก 2:3-4
38* โรม 1:17
39* 2 เปโตร 2:20; โรม 3:22
ฮีบรู 9 พระโลหิตคือคำตอบ
ฮีบรู 9:1-2 ในพันธสัญญาแรกนั้น มีกฎเกณฑ์ต่างๆเรื่องการนมัสการ และยังมีสถานบริสุทธิ์บนแผ่นดินโลก พลับพลาถูกเตรียมไว้ในห้องแรกคือคันประทีป โต๊ะ และขนมปังบริสุทธิ์ต่อพระพักตร์ ณ ที่นี้ เรียกว่า สถานบริสุทธิ์ (วิสุทธิสถาน)
ฮีบรู 9:3-4 หลังจากม่านชั้นที่สอง เป็นห้องที่เรียกว่า สถานบริสุทธิ์ที่สุด (อภิสุทธิสถาน)ในห้องนี้ มีแท่นบูชาทองคำสำหรับเผาเครื่องหอม และหีบพันธสัญญาหุ้มทองคำ ข้างในหีบมีโถทองคำใส่มานาไว้รวมทั้งไม้เท้าที่ผลิดอกตูมของอาโรนและแผ่นศิลาแห่งพันธสัญญา
ฮีบรู 9:5 บนหีบพันธสัญญามีรูปเครูบแสดงถึงพระเกียรติสิริของพระเจ้า โดยเครูบกางปีกปกคลุมฝาหีบของพระที่นั่งแห่งพระกรุณา แต่เรายังไม่อาจกล่าวถึงรายละเอียดของสิ่งต่าง ๆ ในเวลานี้
ฮีบรู 9:6-7 ในเมื่อทุกสิ่งถูกจัดเตรียมดังกล่าว เหล่าปุโรหิตก็จะเข้าไปยังส่วนแรกเป็นประจำเพื่อปฏิบัติหน้าที่อันศักดิ์สิทธิ์มีเพียงมหาปุโรหิตที่เข้าไปในส่วนที่สองได้และเข้าได้เพียงปีละครั้ง พร้อมกับนำเลือดเข้าไปด้วย ซึ่งเป็นเลือดที่ถวายเพื่อตนเอง และเพื่อบาปที่ประชาชนซึ่งทำลงไปโดยไม่เจตนา
ฮีบรู 9:8 องค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสำแดงจากการทำทุกสิ่ง (คือระบบปุโรหิต)ตามที่กล่าวมา ให้รู้ว่าทางเข้าสถานที่บริสุทธิ์ที่สุดก็ยังไม่เปิดออกมา ตราบใดที่พลับพลาแรกยังคงตั้งอยู่
ฮีบรู 9:9-10 นี่เป็นภาพอธิบายเพื่อปัจจุบัน เพราะทั้งของถวายและเครื่องบูชาที่ถวายไป ไม่อาจชำระให้มโนธรรมของผู้นมัสการให้บริสุทธิ์ได้เลย ทั้งหมดนี้ เป็นเรื่องของอาหาร เครื่องดื่ม พิธีการชำระล้าง ซึ่งเป็นข้อปฏิบัตินอกกาย ที่ใช้ไปจนกว่าจะถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนระบบใหม่
ฮีบรู 9:11 แต่เมื่อพระคริสต์ทรงปรากฏในฐานะมหาปุโรหิตเหนือสิ่งดีที่มาก่อนหน้านี้พระองค์ทรงเข้าสู่พลับพลาที่ยิ่งใหญ่สมบูรณ์เพียบพร้อมกว่า ซึ่งเป็นพลับพลาที่ไม่ได้สร้างด้วยมือมนุษย์และไม่ได้เป็นส่วนของสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง
ฮีบรู 9:12 พระองค์มิได้เข้าไปด้วยเลือดของแพะ และวัว แต่ทรงเข้าไปยังที่บริสุทธิ์ที่สุดครั้งเดียวเป็นพอพร้อมกับพระโลหิตของพระองค์เองทำให้ได้มาซึ่งการไถ่บาปชั่วนิรันดร์
ฮีบรู 9:13-14 เพราะหากเลือดแกะและโคผู้ และเถ้าจากลูกโคเมียที่ประพรมลงบนคนที่มีมลทิน สามารถชำระให้ร่างกายมนุษย์ให้สะอาดบริสุทธิ์ได้ ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด ที่พระโลหิตของพระคริสต์ผู้ทรงสละพระองค์เองอย่างไร้ตำหนิแด่พระเจ้าโดยทางพระวิญญาณนิรันดร์ จะชำระจิตสำนึกของเราจากการกระทำที่นำสู่ความตาย เพื่อว่าเราจะได้รับใช้พระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่
ฮีบรู 9:15 เพราะเหตุนี้เอง พระคริสต์จึงทรงเป็นคนกลางของพันธสัญญาใหม่ เพื่อว่าคนที่ได้รับทรงเรียกจะได้รับมรดกนิรันดร์ที่ทรงสัญญาไว้ เพราะบัดนี้ พระองค์ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อไถ่พวกเขาจากการล่วงละเมิดที่ได้กระทำลงไปภายใต้พันธสัญญาแรก
ฮีบรู 9:16-18 ในกรณีของหนังสือพินัยกรรม จำเป็นต้องพิสูจน์ว่า ผู้ทำพินัยกรรมได้สิ้นชีวิตแล้ว เพราะพินัยกรรมจะไม่มีผลบังคับใช้จนกว่าคนที่ทำพินัยกรรมสิ้นชีวิตไป หากเขายังมีชีวิตอยู่พินัยกรรมก็ไม่มีผลใด ๆ ดังนั้น พันธสัญญาแรกก็ไม่มีผลใด ๆ จนกว่าจะต้องมีโลหิตเสียก่อน
ฮีบรู 9:19 เพราะเมื่อโมเสสประกาศคำสั่งทุกข้อของบทบัญญัติแก่ประชาชน ท่านได้นำเลือดของลูกโคและแพะผสมน้ำพร้อมขนแกะสีแดง ไม้หุสบมาประพรมทั้งหนังสือม้วนและประชาชน
ฮีบรู 9:20-21 กล่าวว่า “นี่เป็นโลหิตแห่งพันธสัญญาซึ่งพระเจ้าทรงสั่งให้ท่านทั้งหลายรักษาไว้” และด้วยวิธีเดียวกัน ท่านก็ได้ประพรมพลับพลาและอุปกรณ์ทุกชิ้นที่ใช้ในการนมัสการด้วยโลหิตนั้น
ฮีบรู 9:22 ความจริง ตามบทบัญญัติ ทุกสิ่งได้รับการชำระให้สะอาดด้วยโลหิต! และหากไม่มีการหลั่งโลหิตก็จะไม่มีการให้อภัยบาป
ฮีบรู 9:23-24 ดังนั้น การที่ของจำลองตามแบบสวรรค์จะได้รับการชำระด้วยพิธีบูชาแบบนี้จึงจำเป็นแต่สิ่งที่อยู่ในสวรรค์นั้น มีเครื่องถวายบูชาที่ดีกว่า เพราะพระคริสต์ไม่ได้ทรงเข้ามายังสถานนมัสการซึ่งถูกสร้างด้วยมือโดยจำลองตามสถานนมัสการแท้ แต่เสด็จสู่สวรรค์โดยตรง บัดนี้ทรงปรากฏพระองค์ต่อพระพักตร์พระเจ้าเพื่อพวกเรา
ฮีบรู 9:25 ทั้งพระองค์ไม่ได้เข้าไปยังสวรรค์เพื่อถวาย
พระองค์เอง ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเหมือนกับมหาปุโรหิตที่เข้าไปยังอภิสุทธิสถานทุกปีพร้อมกับโลหิตที่ไม่ใช่เป็นของตัวเขา
ฮีบรู 9:26 หากเป็นเช่นนั้น พระคริสต์คงต้องทนทุกข์ทรมานซ้ำ ๆ มาตั้งแต่การเริ่มต้นของโลก แต่เวลานี้พระองค์ทรงปรากฏเพียงครั้งเดียวเป็นพอในปลายยุค เพื่อกำจัดบาปโดยการถวายพระองค์เองเป็นเครื่องบูชา
9:27-28 เหมือนมนุษย์ทุกคนที่ถูกกำหนดให้ตายครั้งเดียว และหลังจากนั้นจะพบการพิพากษา พระคริสต์ทรงถวายพระองค์เองครั้งเดียว เป็นเครื่องลบบาปของคนจำนวนมาก และพระองค์จะทรงปรากฏเป็นครั้งที่สอง ไม่ใช่เพื่อกำจัดบาป แต่เพื่อนำความรอดสู่คนที่จดจ่อรอคอยพระองค์
อธิบายเพิ่มเติม
ฮีบรู 9:1-2
บทที่ 8 ที่ผ่านมา ผู้เขียนฮีบรูอธิบายว่า จำเป็นต้องมีพันธสัญญาใหม่ เพราะพันธสัญญาเดิมนั้นมีข้อบกพร่องอยู่ ในบทที่ 9 นี้ ท่านได้บอกว่า
สิ่งต่าง ๆ ที่ปรากฏในพันธสัญญาเดิมเป็นเครื่องหมายที่ชี้มายังพันธสัญญาใหม่ เป็นเงาของสิ่งที่จะมาในอนาคต และสิ่งที่สำคัญคือ พระเยซูทรง
เหนือกว่าสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ ผู้เขียนได้เริ่มให้เราเห็นภาพว่าในพลับพลานั้นประกอบด้วยอะไรบ้าง
ถอดความจาก ฮีบรู 9:3-4
ในเมื่ออุปกรณ์ทุกชิ้นมีความหมาย ผู้เขียนจึงเริ่มทำให้ชาวยิวที่อ่านเรื่องราวนี้ ได้กลับไประลึกถึงสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ในพลับพลา ในห้องชั้นในสุดมีหีบพันธสัญญาอยู่ หีบนี้เป็นหีบทองคำ ท่านไม่ได้ให้รายละเอียดมาก บอกคร่าว ๆ ให้ผู้อ่านได้เข้าใจ มานาบ่งบอกการที่พระเจ้าทรงเลี้ยงดูในถิ่นกันดาร ศิลาแห่งพันธสัญญาระลึกถึงบัญญัติที่พระเจ้าประทานผ่านโมเสส และไม้เท้าที่สื่อหน้าที่ปุโรหิต
ถอดความจาก ฮีบรู 9:5
เมื่อกล่าวถึงของที่มี่อยู่ในหีบพันธสัญญาแล้วผู้เขียนก็เล่าว่า บนหีบพันธสัญญาซึ่งเป็นหีบไม้ที่มีทองคำปิดทับไว้ ส่วนเครูปคือ ทองคำที่ทำเป็น
รูปเลียนแบบของเครูบซึ่งเป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตที่อยู่ใกล้ชิดบัลลังก์ของพระเจ้าในสวรรค์ โดยที่เครูปเอาปีกปกคลุมเหนือหีบพันธสัญญา พระเจ้า
จะทรงพบกับปุโรหิต ณ ที่ตรงนี้ เพื่อบอกสิ่งที่ทรงประสงค์จะบอกคนอิสราเอล อพยพ 25:22
ฮีบรู 9:6-7
ตอนนี้ ผู้เขียนเริ่มที่จะอธิบายความว่า ปุโรหิตทำหน้าที่ในห้องชั้นแรกเป็นประจำทุกวัน แต่ในห้องบริสุทธิ์ที่สุดนั้น จะมีหนึ่งท่านที่เข้าไปเพียงปีละครั้งเท่านั้น และที่เข้าไปก็เพื่อถวายเลือดเป็นเครื่องบูชาเพื่อลบบาปของตนเอง ของประชาชน การทำเช่นนี้ เป็นสัญลักษณ์ให้รู้ว่า การทำบาปทำให้เราแยกออกจากพระเจ้า และเราต้องได้รับการอภัยเพื่อกลับเข้ามาสู่ความสัมพันธ์กับพระองค์
ฮีบรู 9:8
รูปแบบพันธสัญญาเดิมที่อธิบายมานี้ไม่ได้เป็นสิ่งที่ผิด แต่ยังไม่สมบูรณ์เพียบพร้อม ความผิดบาปของมนุษย์จะต้องถูกจัดการซ้ำแล้วซ้ำเล่า
หากเรายังใช้ระบบเดิมของพลับพลานี้อยู่ หากยังใช้ระบบปุโรหิตคนกลางที่เป็นมนุษย์แล้ว ทางเข้าสถานที่บริสุทธิ์ที่สุด คือ ทางที่จะเข้าไปหาพระเจ้าและสื่อสารกับพระองค์โดยตรงก็ไม่เปิดได้อย่างอิสระ ระบบเดิมกับใหม่ใช้ไปพร้อมกันไม่ได้
ฮีบรู 9:9-10
ระบบเดิมนั้น ไม่อาจชำระชีวิตของผู้ที่เข้ามาหาพระเจ้าได้อย่างถาวร สิ่งต่าง ๆ ที่ใช้ในพิธี และพิธีกรรมต่าง ๆ นั้น ไม่ได้เป็นแผนการสุดท้าย
ของพระเจ้า เป็นเพียงวิธีการที่พระเจ้าทรงช่วยให้มนุษย์ได้เข้าใจถึงวิธีการที่จะจัดการกับบาปอย่างแท้จริงและยั่งยืนในองค์พระเยซูคริสต์ผู้ทรงเป็นคนกลางเดียวเท่านั้นที่จะนำความรอดมาให้ พระเจ้าทรงแจ้งให้รู้ว่า ชีวิตบาปต้องมีการกำจัด
ฮีบรู 9:11
ข้อความตอนนี้ ได้สรุปชัดว่า ในสวรรค์มีพลับพลาที่ดีกว่า เพียบพร้อมกว่า ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นด้วยมือมนุษย์ ไม่ได้อยู่ในส่วนของธรรมชาติที่พระเจ้า
ทรงสร้าง เป็นเรื่องของอีกโลกหนึ่ง เป็นพลับพลาที่เหมาะกับองค์มหาปุโรหิต ซึ่งเราไม่ทราบว่ามีลักษณะเป็นอย่างไรบ้าง ในพระคัมภีร์ไม่ได้บอกไว้ และก็ไม่ได้มีบันทึกในที่อื่น ๆ ที่สำคัญคือพลับพลาสวรรค์สมบูรณ์แบบกว่าพลับพลาในโลก
ฮีบรู 9:12
วิธีการของพลับพลาสวรรค์นี้แตกต่างจากระบบของพลับพลาในโลก ตรงที่ว่า เลือดที่เข้าไปเพื่อรับการไถ่บาปให้มนุษย์ไม่ใช่เป็นเลือดสัตว์
แต่เป็นพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ที่ทรงสละพระชนม์ชีพของพระองค์บนไม้กางเขน ในการถวายเครื่องบูชาของปุโรหิตในโลกเป็นการทำซ้ำ
แต่สำหรับพระเยซูแล้ว ทรงทำครั้งเดียวเท่านั้นแล้วคนที่เชื่อวางใจก็ได้รับการไถ่บาปเลย
ฮีบรู 9:13-14
ตอนนี้ผู้เขียนก็ยังเล่าว่า ขนาดเลือดของโคและแกะยังมีพลังช่วยให้มนุษย์สะอาด บริสุทธิ์ได้ แม้จะเป็นเพียงชั่วคราว แต่ก็ยังมีพลังตามที่
พระเจ้าทรงกำหนดให้ ดังนั้น พระโลหิตของพระบุตรพระเจ้าจะยิ่งมีพลังเหลือล้นมากมายกว่านั้นขนาดไหน เป็นพระโลหิตที่ชำระเราจากชีวิต
เก่าที่วนเวียนอยู่กับการกระทำที่นำสู่ความตายกลายเป็นคนมีชีวิตใหม่ ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแต่มุ่งรับใช้พระเจ้าผู้ทรงพระชนม์
ฮีบรู 9:15
เมื่อเห็นคำว่า “มรดกนิรันดร์” ที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ เราสรุปได้ว่า พระเจ้าทรงประสงค์ที่จะให้มนุษย์ได้รับมรดกนิรันดร์ซึ่งทรงเตรียมไว้ให้
พวกเขามาแต่ไหนแต่ไร สำหรับพี่น้องยิวที่อ่านข้อความตอนนี้ ทำให้พวกเขาได้รู้ว่า พระเยซูทรงเป็นคนกลางระหว่างพระเจ้ากับพวกเขา ไม่ใช่
พิธีกรรมใด ๆ ในพระวิหารหรือพลับพลาที่ต้องผ่านเหล่าปุโรหิตอีกต่อไป
ฮีบรู 9:16-18
คำว่าพินัยกรรม กับคำว่าพันธสัญญามีการใช้สลับกัน แต่ในภาษากรีกเป็นคำ ๆ เดียวกัน เสปอร์เจียนให้ความเห็นว่า ถ้าเรามีหลักฐานว่า
ผู้ทำสัญญาหรือผู้ทำพินัยกรรมได้สิ้นชีวิตไปแล้วสัญญาหรือพินัยกรรมนั้นจะส่งผลบังคับใช้ เช่นเดียวกับข่าวประเสริฐ ถ้าพระเยซูมิได้สิ้นพระชนม์ข่าวประเสริฐนั้นก็จะใช้ไม่ได้ ในพันธสัญญาเดิมต้องมีการใช้เลือดประพรมทุกอย่าง
ฮีบรู 9:19
อย่างที่ได้เล่าในข้อ 18 แล้วว่าพันธสัญญาเดิมนั้นต้องการเลือดของโค แพะ แกะมาเป็นตัวแสดงให้เห็นว่า มีการอภัยบาปเกิดขึ้น บาปเป็น
เรื่องจริง เป็นเรื่องที่ไม่ใช่เล่น ๆ เพราะว่ามันทำให้คนที่ทำบาปนั้น รับโทษถึงตาย จะเกิดการอภัยให้บาปนั้นก็ต้องมีการรับโทษถึงตายเสียก่อน ในพันธสัญญาเดิมได้เลือกให้เป็นการตายของสัตว์เพื่ออภัยบาปตามที่พระเจ้าทรงสั่งโมเสสเอาไว้โดยต้องมีการฆ่าเอาเลือดกันเป็นประจำทุกวัน
ฮีบรู 9:20-21
ประชาชนจะต้องทำตามอย่างที่พระเจ้าทรงสั่งผ่านโมเสสในเรื่องเลือด ภายใต้พันธสัญญาเดิมนั้น อุปกรณ์ทุกชิ้นในพลับพลา จะได้รับการชำระให้สะอาดด้วยการประพรมเลือดลงไป การทำเช่นนี้ชี้ให้เห็นถึง ในมาระโก 14:24 พระเยซูตรัสในคืนสุดท้ายกับศิษย์ โดยทรงหยิบถ้วยน้ำองุ่นและตรัสว่า นี่เป็นโลหิตแห่งพันธสัญญาของเรา ซึ่งต้องเทออกเพื่อคนเป็นอันมาก ชี้ให้เห็นถึงพระโลหิตที่จะมาชำระเราให้สะอาด
ฮีบรู 9:22
พระเจ้าทรงจัดการกับความบาปของมนุษย์ด้วยสิ่งที่มนุษย์เองคาดไม่ถึง ความดี ด้วยการขอโทษ หรือรับโทษที่ได้ทำไปแต่หลักพื้นฐานของการที่พระเจ้าจะทรงจัดการกับความบาปของมนุษย์คือ การหลั่งเลือด ซึ่งในสมัยโบราณ พระองค์ทรงให้ประชาชนรับการอภัยบาปผ่านพิธีต่าง ๆ ที่ต้องมีการหลั่งเลือดของสัตว์ แต่ที่สุด พระองค์ทรงใช้พระโลหิตพระเยซู!
ฮีบรู 9:23-24
พลับพลา พิธีต่าง ๆ ซึ่งทำในสมัยโมเสสนั้น ช่วยให้คนรับการชำระด้วยเลือดสัตว์ที่เป็นเครื่องบูชาซึ่งไม่สมบูรณ์แบบเต็มร้อย นี่เป็นพิธีในโลก
แต่ในสวรรค์ พระเยซูทรงเข้าไปในสถานนมัสการต้นแบบในสวรรค์ ซึ่งเป็นของแท้ที่ยั่งยืนเป็นนิตย์พระเยซูทรงปรากฏพระองค์ต่อพระพักตร์พระเจ้าในฐานะองค์ปุโรหิตเพื่อช่วยให้เราพ้นจากความบาป นี่เป็นเกียรติอันสูงส่งของผู้ที่เชื่อในพระองค์เป็นความล้ำเลิศที่ไม่มีใครให้ได้
ฮีบรู 9:25
การเข้าเฝ้าพระบิดาในฐานะปุโรหิตของมนุษยชาตินั้น เป็นการเข้าเฝ้าที่ยังคงทำเพื่อเราเสมอ คือพระองค์ทรงอธิษฐานเพื่อเรา แต่พระองค์ไม่ต้อง
ถวายพระองค์บนไม้กางเขนอีกเลย สิ้นพระชนม์ครั้งเดียวนั้น เป็นพอ สิ่งที่ปุโรหิตในสมัยก่อนทำหรือแม้กระทั่งในกลุ่มศาสนาที่ต้องมีตัวแทนติดต่อระหว่างมนุษย์กับพระเจ้านั้น ไม่สามารถเปลี่ยนชีวิตใครได้เลย มีพระเยซูเท่านั้นที่ทรงลบบาปให้และยังทรงเปลี่ยนชีวิตเราจากมืดเป็นสว่างอย่างเห็นได้ชัด
ฮีบรู 9:26
เลือดของสัตว์ที่ปุโรหิตใช้เป็นสิ่งที่ต้องหามาใหม่ทุกครั้งที่ทำพิธีลบล้างบาป เพราะเป็นระบบการถวายเครื่องบูชาที่จำกัด แต่พระโลหิตของพระเยซูนั้นสมบูรณ์แบบที่จะทำลายอำนาจและการลงโทษบาปได้ พระองค์ไม่ต้องทรงสิ้นพระชนม์ซ้ำแล้วซ้ำอีก พระเยซูทรงปรากฏพระองค์ในปลายยุคก็คือ เมื่อพระเยซูเสด็จมา พระองค์ทรงเป็นผู้ขีดเส้นให้รู้ว่า ยุคของพันธสัญญาเดิมนั้นจบลงไปแล้ว ต่อไปคือยุคของพันธสัญญาใหม่
ฮีบรู 9:27-28
ชีวิตเดียว และตายครั้งเดียว พวกเราซึ่งพระเจ้าทรงเมตตาให้เกิดมานั้น มีโอกาสครั้งเดียวของชีวิตที่จะรับเอาพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดเราทุกคนจะพบการพิพากษาของพระเจ้า เราต้องให้การกับพระองค์ด้วยตัวของเราเอง นี่เป็นสิ่งที่เราต้องไม่ลืม เพื่อเราจะได้ไม่อายในวันที่พระองค์เสด็จกลับมาครั้งที่สอง พระเยซูทรงตายเพื่อคนเป็นจำนวนมาก เราจึงไม่หยุดยั้งที่จะชวนคนอื่นให้มาพบพระองค์เช่นกัน
พระคำเชื่อมโยง
1* อพยพ 25:8
3* อพยพ 26:31-35; 40:3
4* อพยพ 25:10; 16:33; กันดารวิถี 17:1-10; อพยพ 25:16; 34:29
5* เลวีนิติ 16:2
6* กันดารวิถี 18:2-6; 28:3
7* อพยพ 30:10; ฮีบรู 5:3
8* ยอห์น 14:6
9* ฮีบรู 7:19
10* โคโลสี 2:16; กันดารวิถี 19:7;
เอเฟซัส 2:15
11* ฮีบรู 10:1
12* ฮีบรู 10:4; เอเฟซัส 1:7; เศคาริยาห์ 3:9; ดาเนียล 9:24
13* เลวีนิติ 16:14-15; กันดารวิถี 19:2
14* อิสยาห์ 53:2; 1 ยอห์น 1:7; ฮีบรู 6:1;
ลูกา 1:74
15* โรม 3:25; ฮีบรู 3:117* กาลาเทีย 3:15
18* อพยพ 24:6
19* อพยพ 24:5-6; เลวีนิติ 14:4,7
20* มัทธิว 26:28; อพยพ 24:3-8
21* อพยพ 29:12, 36
22* เลวีนิติ 17:11
23* ฮีบรู 8:5
24* ฮีบรู 6:20; 8:2; 8:34
25* ฮีบรู 9:7
27* ปฐมกาล 3:19; 2 โครินธ์ 5:10
28* โรม 6:10; 1 เปโตร 2:24; มัทธิว 26:28; ทิตัส 2:13
ฮีบรู 8 เราทุกคนรู้จักพระองค์
ฮีบรู 8:1-2 สิ่งที่เป็นจุดสำคัญคือเรามีมหาปุโรหิตเช่นนี้ ผู้ประทับนั่ง ณ เบื้องขวาของพระที่นั่งแห่งองค์ผู้ทรงยิ่งใหญ่ในสวรรค์และพระองค์ทรงปฏิบัติกรณียกิจในสถานบริสุทธิ์ และพลับพลาแท้ที่พระเจ้าทรงสถาปนา มนุษย์ไม่ได้เป็นผู้สร้างขึ้น
ฮีบรู 8:3-4 ในเมื่อมหาปุโรหิตทุกท่านถูกแต่งตั้งขึ้นมาเพื่อถวายทั้งของถวายและเครื่องบูชาจึงจำเป็นที่องค์ปุโรหิตท่านนี้จะต้องมีสิ่งที่จะถวายเช่นกัน หากพระองค์ทรงอยู่ในโลกพระองค์ก็จะไม่ได้เป็นปุโรหิตเพราะมีปุโรหิตท่านอื่น ๆ ที่ถวายของต่าง ๆ ตามที่บัญญัติกำหนดไว้อยู่แล้ว
ฮีบรู 8:5 ปุโรหิตเหล่านั้นได้ปฏิบัติหน้าที่ในสถานที่ซึ่งเป็นแค่แบบจำลอง เป็นเงาของสิ่งที่อยู่ในสวรรค์ นี่เองที่โมเสสได้เตือนไว้ตอนที่ท่านกำลังจะสร้างพลับพลาว่า “จงระวังทำทุกอย่างตามต้นแบบ(แบบร่าง)ที่ได้แสดงให้เจ้าเห็นบนภูเขานั้น”
ฮีบรู 8:6-7 อย่างไรก็ตาม พระเยซูองค์มหาปุโรหิตของเรา ทรงได้รับพันธกิจที่เป็นเลิศกว่า (ระบบปุโรหิตเดิม) เพราะพระองค์ทรงเป็นสื่อกลางให้กับพันธสัญญาดีกว่าซึ่งอยู่บนพระสัญญาที่เหนือกว่า เพราะหากว่าพันธสัญญาแรกไม่มีข้อบกพร่องก็ไม่ต้องมีพันธสัญญาที่สองอีก
ฮีบรู 8:8 เมื่อพระเจ้าทรงพบความผิดในหมู่ประชากรและตรัสว่า “ดูเถิด วันนั้นจะมาถึง พระเจ้าทรงประกาศ .. เมื่อเราจะทำพันธสัญญาใหม่กับวงศ์วานอิสราเอลและกับวงศ์วานยูดาห์
ฮีบรู 8:9 จะไม่เป็นเหมือนพันธสัญญาที่เราทำกับบรรพบุรุษของพวกเขา ในเวลาที่เราจูงมือนำพวกเขาออกจากแผ่นดินอียิปต์เพราะพวกเขาไม่ซื่อตรงในพันธสัญญาของเรา และเราจะหันหลังให้พวกเขา” องค์พระผู้เป็นพระเจ้าตรัสดังนั้น
ฮีบรู 8:10 องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า นี่คือพันธสัญญาที่เราจะทำกับวงศ์วานอิสราเอลหลังจากสมัยนั้น นั่นคือเราจะใส่บทบัญญัติของเราเข้าไปในจิตใจของพวกเขา และจารึกมันไว้บนแผ่นหัวใจของเขา และเราจะเป็นพระเจ้าของเขา พวกเขาจะเป็นประชากรของเรา
ฮีบรู 8:11-12 ไม่มีใครในพวกเขาที่จะสอนเพื่อนบ้านหรือพี่น้องว่า“จงรู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้า”เพราะเขาทุกคนจะรู้จักเราตั้งแต่คนที่ต่ำต้อยสุดไปจนถึงคนที่ใหญ่โตสุดเพราะเราจะอภัยความบาปชั่วของพวกเขา และจะไม่จดจำบาปของพวกเขาอีกต่อไป”
ฮีบรู 8:13 เมื่อพระเจ้าตรัสถึงพันธสัญญาใหม่เท่ากับพระองค์ทรงทำให้พันธสัญญาเดิมนั้นพ้นไป ในไม่ช้า สิ่งที่พ้นยุคและเก่าแก่นั้นจะสูญหายไป
ฮีบรู 8:1-2
หลังจากที่พระเยซูทรงสิ้นพระชนม์ คืนพระชนม์ และเสด็จสู่สวรรค์แล้ว พระองค์ประทับเบื้องขวาพระหัตถ์ของพระบิดา ทรงทำหน้าที่ในฐานะปุโรหิตตามอย่างเมลคีเซเดคในสวรรค์ ซึ่งเป็นของแท้ ต้นแบบของพลับพลาที่โมเสสสร้างขึ้น บัดนี้ เราจึงมีพลับพลานิรันดร์ องค์ปุโรหิตของ เราทรงอยู่ใกล้ชิดพระบิดามากและทรงอยู่ด้วยกันทุกเวลา ไม่เหมือนปุโรหิตที่มาพระวิหารแล้วก็ไป
ฮีบรู 8:3-4
พระเยซูทรงเป็นปุโรหิตตามแบบของเมลคีเซเดคทรงมาจากตระกูลยูดาห์ซึ่งเป็นตระกูลของกษัตริย์ดาวิด หากทรงอยู่ในโลก พระองค์ก็ไม่อาจเป็นปุโรหิตตามสายเลือดได้เลย แต่ผู้เขียนเองได้บอกเราก่อนหน้านี้ว่า จะมีปุโรหิตที่ยิ่งใหญ่กว่าสายของเลวีมากนัก หากเรากลับไปอ่านในฮีบรู 7:11-19 จะเห็นว่าผู้เขียนพยายามอธิบายเรื่องนี้ให้กับยิวที่กำลังลังเลว่าจะกลับไปอยู่ในศาสนายิวเดิมหรือไม่เพราะเป็นคริสเตียนถูกข่มเหงเสมอ
ฮีบรู 8:5
พระเจ้ามักจะทรงใช้เหตุการณ์ สิ่งต่าง ๆ รอบตัวรูปแบบจำลองเรื่องราว มาช่วยให้ผู้คนเข้าใจพระดำริของพระองค์ การสร้างพลับพลาเพื่อนมัสการพระเจ้า ระบบปุโรหิตและการถวายเครื่องบูชาเหล่านี้ ต่างมีเพื่อให้คนได้เข้าใจว่า ความรอดจากพระเจ้ามีการวางแผนอย่างชัดเจน รอบคอบโดยพระองค์เอง ดังนั้น เราจึงต้องมองเรื่องต่าง ๆ ในพระคัมภีร์ทะลุถึงพระดำริในแต่ละสถานการณ์
ฮีบรู 8:6-7
ผู้เขียนกำลังบอกผู้อ่านชาวยิวที่กลับใจมาเป็นคริสเตียนว่า ระบบปุโรหิตเดิมที่พวกเขาคุ้นเคยนั้น เป็นระบบที่มีข้อบกพร่องในแง่ที่ว่า พวกเขาไม่อาจทำตามบัญญัติต่าง ๆ ที่มีอยู่ได้ครบครันเลย พวกเขายังต้องกลับมาถวายเครื่องบูชาไถ่บาปไม่หยุดหย่อน พระเจ้าทรงบอกพวกเขาล่วงหน้าหลายร้อยปีแล้วว่า พระองค์จะทรงทำอะไรกับบัญญัติเดิม แต่ตอนนั้นคนยิวที่ได้ยินคำพยากรณ์นี้ ก็ไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร
ฮีบรู 8:8
ตั้งแต่สมัยของเยเรมีย์ พระเจ้าได้ทรงบอกล่วงหน้าว่า พระองค์จะทรงทำพันธสัญญาใหม่กับพวกเขา และตอนนั้น พวกเขาก็ไม่เข้าใจว่าสิ่งที่พระองค์ตรัสนั้น หมายความว่าอย่างไร พระองค์ทรงชัดเจนมาก ว่าพระองค์จะทรงทำพันธสัญญาใหม่กับชนอิสราเอล พวกเขาจะไม่ต้องใช้ชีวิตอย่างเดิมในเรื่องการมาถวายเครื่องบูชาในพลับพลาหรือพระวิหารอีกต่อไป
ฮีบรู 8:9 (เยเรมีย์ 31:31-32)
ชัดเจนว่า พระเจ้าทรงประสงค์ที่จะทำพันธสัญญาใหม่มาตั้งนานแล้ว พระองค์ทรงทราบล่วงหน้าว่าสิ่งนี้ต้องเกิดขึ้น แต่หากไม่มีระบบเดิมอันนี้มาก่อน ผู้คนก็จะไม่รู้ว่า พวกเขาไม่สามารถที่จะทำตามบัญญัติของพระเจ้าด้วยตัวเอง พันธสัญญาใหม่เน้นความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้ากับคนของพระองค์ การรักพระเจ้าสุดใจสุดจิตสุดกำลังความคิด มาเหนือการกระทำใด ๆ
ฮีบรู 8:10 (เยเรมีย์ 31:31-32)
นี่ไง พันธสัญญาใหม่ที่เหนือกว่าพันธสัญญาเดิมมากมายนัก ไม่ได้เป็นพันธสัญญาที่อยู่บนศิลาสองก้อนที่พระเจ้าประทานให้กับโมเสส แต่เป็นพันธสัญญาที่พระเจ้าจะจารึกเข้าไปในจิตใจ ในความคิด ในสมอง ในชีวิตของประชากรของพระองค์ ผู้ที่ติดตามพระเจ้าไม่จำเป็นต้องติดต่อกับพระองค์ผ่านคนกลางไม่ว่าเป็นแบบใดทั้งสิ้น เพราะพวกเขาจะติดต่อกับพระเจ้าโดยตรง
ฮีบรู 8:11-12 (เยเรมีย์ 31:34)
ในเวลานั้น การมีคนกลางระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์เป็นเรื่องธรรมดา คนทั่วไปจะไม่รู้วิธีที่จะเข้ามาหาพระเจ้า และไม่ได้รับอนุญาตขนาดนั้นด้วย ในประวัติศาสตร์ของยิว จากระบบปุโรหิตก็ยังมีเหล่าธรรมาจารย์สำนักต่าง ๆ ที่เราเห็นในพระคัมภีร์ใหม่ คือพวกสะดูสี ฟาริสี ที่สำคัญคือ
พระเจ้าทรงสัญญาว่า เมื่อยกโทษแล้วพระองค์จะไม่ทรงจำบาปนั้นอีกต่อไป
ฮีบรู 8:13
พันธสัญญาใหม่ที่พระเจ้าประทานผ่าน พระเยซูคริสต์นั้น แตกต่างจากระบบเดิมของความเชื่อที่ส่งต่อมาตั้งแต่สมัยโมเสสลงมาจนยุคของพระเยซูอย่างสิ้นเชิง และในข้อนี้ได้บอกชัดว่า เมื่อระบบเดิมสิ้นไป มันจะหายไปเลย ไม่มีต่อไปอีก นี่เป็นเรื่องสำคัญสำหรับคนยิวที่เคยชินกับการทำพิธีต่าง ๆ ในพระวิหาร สิ่งที่เขารักษาไว้จะหายไปอย่างนั้นหรือ? พวกเขาต้องยอมรับให้ได้
พระคำเชื่อมโยง
1* โคโลสี 3:1
2* ฮีบรู 9:8, 12; 9:11, 24
3* ฮีบรู 5:1; 8:4; เอเฟซัส 5:2
5* ฮีบรู 9:23-24; โคโลสี
2:17; อพยพ 25:40
6* 2 โครินธ์ 3:6-8; ฮีบรู 7:22
7* อพยพ 3:8; 19:5
8* เยเรมีย์ 31:31-34
10* เยเรมีย์ 31:33; เศคาริยาห์ 8:8
11* อิสยาห์ 54:13; เยเรมีย์ 31:34
12* โรม 11:27
13* 2 โครินธ์ 5:17
มาระโก 14 ก้าวสู่แดนประหาร
แผนสังหารพระเยซู
(มัทธิว 26:1–5; ลูกา 22:1–2; ยอห์น 11:45–57)
1 อีกสองวันก็จะถึงเทศกาลปัสกาและเทศกาลขนมปังไร้เชื้อและเหล่าหัวหน้าปุโรหิตและธรรมาจารย์กำลังหาวิธีที่จะลอบจับกุม และสังหารพระเยซูอย่างลับ ๆ
2 “แต่อย่าลงมือในช่วงเทศกาล”พวกเขากล่าว “ไม่อย่างนั้น ผู้คนอาจจะก่อความไม่สงบขึ้นมาได้”
ระวัง
ประชาชน
ก่อจลาจล!
การชโลมที่เบธานี
(มัทธิว 26:6–13; ลูกา 7:36–50; ยอห์น 12:1–8)
3 ขณะที่พระเยซูทรงอยู่ในบ้านเบธานี ประทับนั่งเอนพระกาย ที่โต๊ะอาหารบ้านของซีโมนชายโรคเรื้อน มีหญิงผู้หนึ่งนำกระปุกใส่น้ำมันหอมบริสุทธิ์ราคาแพงมากมา น้ำมันหอมนั้นทำจากไม้หอมบริสุทธิ์ เธอทุบกระปุก และเทน้ำมันหอมลงบนพระเศียรของพระเยซู!
4 บางคนที่อยู่ด้วยได้แสดงความเห็นต่อกันอย่างไม่พอใจว่า “เหตุใดจึงทำให้น้ำมันหอมนี้เสียเปล่าเล่า?
5 ถ้าเอาไปขายก็ได้เงินมากกว่าสามร้อยเดนาริอัน (ค่าจ้างคนงานทั้งปี) และเอาเงินไปแจกให้คนยากจนได้” และพวกเขายังตำหนิเธอด้วย
6 แต่พระเยซูตรัสว่า “ปล่อยเธอไป เหตุใดพวกเจ้าต้องกวนใจเธอด้วย? เธอได้ทำสิ่งที่ดีงามให้กับเรา
7 คนยากคนจะอยู่กับเจ้าเสมอ และเจ้าก็ช่วยพวกเขาเมื่อไรก็ได้ แต่เราจะไม่อยู่กับพวกเจ้าตลอดไป
8 เธอได้ทำสิ่งที่ทำได้เพื่อเจิมร่างของเราล่วงหน้า ก่อนที่จะมีพิธีศพ
9 และเราขอบอกความจริงแก่เจ้าว่า ไม่ว่าข่าวประเสริฐจะถูกประกาศในที่แห่งใดในโลก สิ่งที่เธอทำนี้จะถูกกล่าวถึงเป็นการระลึกถึงเธอ“
ยูดาสตกลงใจที่จะทรยศพระเยซู
(มัทธิว 26:14–16; ลูกา 22:3–6)
10 แล้วยูดาส อิสคาริโอท ซึ่งเป็นหนึ่งในศิษย์สิบสองคน ได้ไปหาเหล่าหัวหน้าปุโรหิต เพื่อจะมอบพระองค์ให้พวกเขา 11 ได้ยินอย่างนั้น พวกเขาต่างดีใจ และสัญญาว่าจะให้เงินแก่เขา ยูดาสจึงเฝ้ารอโอกาสที่จะทรยศพระเยซู
เตรียมปัสกา
(มัทธิว 26:17–19; ลูกา 22:7–13)
12วันแรกของเทศกาลขนมปังไร้เชื้อ เมื่อมีการฆ่าเพื่อถวายลูกแกะปัสกา
พวกศิษย์ของพระเยซูทูลถามว่า “พระองค์ท่านต้องการให้พวกเราเตรียมปัสกาเพื่อให้พระองค์รับประทานที่ไหนขอรับ?”
13 ดังนั้นพระองค์จึงทรงส่งศิษย์สองคนไป ตรัสว่า “จงเข้าไปในเมือง จะมีชายคนหนึ่งแบกเหยือกน้ำมาพบเจ้า จงตามเขาไป
14 ไม่ว่าเขาจะเข้าไปบ้านไหน ก็จะกล่าวกับเจ้าของบ้านว่า ‘ท่านอาจารย์ถามว่า ห้องรับแขกของเราอยู่ที่ไหน? และเราจะรับประทานปัสกากับศิษย์ของเราได้ที่ไหน?’
15 และเขาก็จะชี้ให้เจ้าดูห้องใหญ่ชั้นบนที่ตกแต่ง เตรียมไว้พร้อมแล้ว จงเตรียมปัสกาไว้ให้เราที่นั่น”
16ดังนั้นศิษย์ทั้งสองก็เข้าไปในเมือง และที่นั่นพวกเขาก็พบทุกสิ่งตามที่พระเยซูทรงบอกไว้ และพวกเขาก็เตรียมปัสกา
อาหารมื้อสุดท้าย
(มัทธิว 26:20–30; ลูกา 22:14–23; 1 โครินธ์ 11:17–34)
17 เมื่อถึงเวลาค่ำ พระเยซูทรงมาถึงพร้อมกับศิษย์ทั้งสิบสอง
18 และขณะที่พวกเขาเอนกาย และรับประทานอยู่นั้น พระเยซูตรัสว่า “เราบอกความจริงแก่เจ้าว่า มีคนหนึ่งในพวกเจ้าที่กำลังรับประทานด้วยกันกับเราจะทรยศเรา”
19พวกเขารู้สึกเสียใจ และถามพระองค์ทีละคนว่า “เป็นข้าพเจ้าหรือไม่?”
20 พระองค์ทรงตอบว่า “เขาคือคนหนึ่งในสิบสองคน คนที่กำลังจิ้มขนมปังในชามนี้ร่วมกับเรา
21บุตรมนุษย์จะต้องไป ตามที่มีเขียนไว้เกี่ยวกับท่าน แต่วิบัติมายังคนที่ทรยศท่าน จะว่าไปแล้วหากเขาไม่ได้เกิดมาก็ดีกว่า”
พิธีมหาสนิท
22 ขณะที่เขากำลังรับประทานกันอยู่ พระเยซูทรงหยิบขนมปัง และขอพระพร ทรงหักขนมปังเป็นชิ้น ยื่นให้กับศิษย์ ตรัสว่า “จงรับไปเถิด นี่คือกายของเรา”
23 แล้วพระองค์ทรงหยิบถ้วย ทรงขอบพระคุณพระเจ้า แล้วประทานให้เขา ทุกคนก็ดื่มจากถ้วยนั้น
24 พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า
“นี่เป็นโลหิตแห่งพันธสัญญาของเรา ซึ่งต้องเทออกเพื่อคนจำนวนมาก
25 เราบอกความจริงว่า เราจะไม่ดื่มจากน้ำจากผลองุ่นนี้อีกจนกว่าถึงวันที่เราจะดื่มใหม่อีกครั้งในอาณาจักรของพระเจ้า”
26และหลังจากที่ร้องเพลงสรรเสริญแล้ว พวกเขาก็ออกไปยังภูเขามะกอกเทศ
พระเยซูทรงบอกเรื่องที่เปโตรปฏิเสธพระองค์ล่วงหน้า
(เศคาริยาห์ 13:7–9; มัทธิว 26:31–35; ลูกา 22:31–38; ยอห์น 13:36–38)
27 แล้วพระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “พวกเจ้าจะทิ้งเราไป เพราะมีคำเขียนว่า ‘เราจะฟาดผู้เลี้ยงแกะ แล้วแกะทั้งหลายจะกระจัดกระจายไป’
28 แต่หลังจากที่เราคืนชีพขึ้นมา เราจะไปยังกาลิลีก่อนหน้าพวกเจ้า”
29 เปโตรกล่าวออกมาว่า “แม้คนอื่นจะทิ้งพระองค์ไป แต่ข้าพเจ้าจะไม่ทำอย่างนั้น”
30“เราบอกเจ้าจริง ๆ” พระเยซูตรัสตอบ “คืนนี้ ก่อนไก่ขันสองครั้ง เจ้าจะปฏิเสธว่าไม่รู้จักเราสามครั้ง”
31แต่เปโตรยังยืนยันหนักแน่นว่า “ถึงแม้ข้าพเจ้าจะต้องตายกับพระองค์ ข้าพเจ้าจะไม่ปฏิเสธพระองค์แน่นอน”
ศิษย์คนอื่น ๆ ก็พูดอย่างเดียวกัน
พระเยซูทรงอธิษฐานในสวนเกทเสมนี
(มัทธิว 26:36–46;ลูกา 22:39–46)
32 แล้วพวกเขามาถึงสถานที่แห่งหนึ่งเรียกว่า เกทเสมนี และพระเยซูตรัสกับศิษย์ว่า “จงนั่งอยู่ที่นี่ ตอนที่เราไปอธิษฐาน”
33พระองค์ทรงพาเปโตร ยากอบ และยอห์นไปกับพระองค์ และทรงปวดร้าวพระทัยลึกนัก และทรงหนักพระทัยเป็นอย่างมาก
34 แล้วพระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “จิตวิญญาณของเราเป็นทุกข์หนักแทบจะตายอยู่แล้ว จงอยู่ที่นี่ และเฝ้าระวังไว้”
35 พระองค์ทรงเดินไปอีกหน่อย ทรงซบพระพักตร์ลงและอธิษฐานว่า หากเป็นไปได้ ขอให้ชั่วโมงนั้นพ้นผ่านไปจากพระองค์
36 “โอ อับบา พระบิดาเจ้า” พระองค์ทูล “ทุกอย่างเป็นไปได้สำหรับพระองค์ ขอทรงเอาถ้วยนี้ออกไปจากข้าพระองค์ด้วย แต่อย่าให้เป็นตามใจข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระองค์เถิด”
37 แล้วพระเยซูทรงกลับมา พบศิษย์หลับอยู่ “ซีโมนเอ๋ย เจ้าหลับอยู่หรือ?”พระองค์ตรัสถาม “เจ้าไม่อาจเฝ้าระวังอยู่สักชั่วโมงเลยหรือ?
38 จงเฝ้าระวังและอธิษฐาน เพื่อว่าเจ้าจะไม่เข้าไปในการทดลอง เพราะวิญญาณพร้อมก็จริง แต่ร่างกายอ่อนกำลัง”
39 พระองค์ทรงออกไปอีกครั้งและอธิษฐาน ตรัสอย่างเดียวกัน
40 ทรงกลับมาอีก และพบพวกเขาหลับอยู่ เพราะง่วงมากจนลืมตาไม่ขึ้น พวกเขาไม่รู้จะตอบพระองค์อย่างไร
41 เมื่อพระเยซูทรงกลับมาครั้งที่สาม พระองค์ตรัสว่า “พวกเจ้ายังจะนอนหลับพักผ่อนอยู่อีกหรือ? พอเถอะ ! เวลามาถึงแล้ว ดูสิ บุตรมนุษย์ถูกทรยศให้ตกในเงื้อมมือคนบาป
42 ลุกขึ้นเถิด ไปกัน ดูสิ คนทรยศมาใกล้เต็มที!”
การทรยศพระเยซู
(มัทธิว 26:47–56; ลูกา 22:47–53; ยอห์น 18:1–14)
43 ขณะที่พระเยซูยังคงตรัสไม่ขาดคำ ยูดาสซึ่งเป็นหนึ่งในศิษย์สิบสองคนก็มาถึง โดยมีฝูงชนถือดาบและกระบองมาด้วย พวกหัวหน้าปุโรหิต ธรรมาจารย์และ ผู้อาวุโสเป็นคนส่งพวกเขามา
44 และตอนนี้เองที่คนทรยศได้ส่งสัญญาณที่เตรียมไว้กับพวกเขา “คนที่ข้าไปจูบก็คือชายคนนั้น พวกเจ้าจับกุมและคุมตัวเขาไปได้เลย”
45 ยูดาสตรงเข้าไปหาพระเยซู กล่าวว่า “รับบี!” และจูบพระองค์
46 แล้วคนเหล่านั้นก็ยึดและจับกุมพระองค์ไว้
47 มีคนที่ยืนดูอยู่คนหนึ่ง ชักดาบออกมาและฟันหูของคนรับใช้ปุโรหิตใหญ่คนหนึ่งออก
48 พระเยซูตรัสว่า “พวกเจ้าออกมาจับเราพร้อมดาบและกระบองราวเหมือนกับจับโจรอย่างนั้นหรือ?
49 ทุกวันเราอยู่กับพวกเจ้า สอนในบริเวณพระวิหาร และเจ้าไม่จับกุมเรา แต่ที่เกิดเหตุเช่นนี้ก็เพื่อเป็นจริงตามพระคัมภีร์”
50 จากนั้นทุกคนก็หนีไป ทิ้งพระองค์ไว้
51 มีชายหนุ่มคนหนึ่งที่เคยติดตามพระเยซู เขาใช้ผ้าลินินคลุมตัวไว้ แล้วพวกเขาก็ดึงตัวชายคนนั้นไว้
52 แต่เขาสลัดผ้าทิ้ง วิ่งหนีไปทั้ง ๆ ที่เปลือยกาย
พระเยซูต่อหน้าสภาแซนเฮดริน
(มัทธิว 26:57–68; ลูกา 22:66–71; ยอห์น 18:19–24)
53 พวกเขานำพระเยซูไปพบมหาปุโรหิตใหญ่ และหัวหน้าปุโรหิตทั้งหลาย รวมทั้งผู้อาวุโสและธรรมาจารย์ที่เข้ามาชุมนุมกัน
54 ส่วนเปโตรตามพระเยซูมาห่าง ๆ จนถึงลานบ้านของมหาปุโรหิต เขาไปนั่งผิงไฟกับพวกเจ้าหน้าที่
55 ตอนนี้ทั้งหัวหน้าปุโรหิตและทั้งสภาแซนเฮดริน พยายามรวบรวมหลักฐานปรักปรำพระเยซูเพื่อให้ต้องโทษถึงประหารชีวิต แต่พวกเขาก็ไม่สามารถหาหลักฐานได้
56 หลายคนขึ้นเป็นพยานเท็จปรักปรำพระองค์ แต่คำให้การของพวกเขากลับไม่สอดคล้องกันเลย
57 แล้วมีบางคนยืนขึ้นเป็นพยานเท็จกล่าวหาพระองค์
58 “เราได้ยินเขากล่าวว่า ‘เราจะทำลายวิหารที่มนุษย์สร้างขึ้น และภายในสามวันเราจะสร้างวิหารขึ้นใหม่ที่ไม่ได้สร้างด้วยมือ’ ”
59 ถึงอย่างนั้น คำพยานของเขาก็ยังไม่สอดคล้องกัน
60 ดังนั้น ปุโรหิตใหญ่จึงยืนขึ้นต่อหน้าพวกเขา ถามพระเยซูว่า “ท่านไม่มีคำตอบอะไรเลยรึ? จะว่าอย่างไรกับคำกล่าวหาของคนพวกนี้?”
61แต่พระเยซูยังคงนิ่งและไม่ทรงตอบอะไร ปุโรหิตใหญ่ถามพระองค์อีกครั้งว่า “ท่านเป็นพระคริสต์ (พระเมสสิยาห์) พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงเป็นที่สรรเสริญอย่างนั้นหรือ?”
62 “เราคือผู้นั้น” พระเยซูตรัส “และเจ้าจะได้เห็นบุตรมนุษย์ประทับ ณ เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์ผู้ทรงฤทธิ์ และเสด็จมาพร้อมกับหมู่เมฆแห่งสวรรค์”
63 เป็นเช่นนี้ มหาปุโรหิตจึงฉีกเสื้อของตนและประกาศว่า “เราจะต้องไปหาพยานที่ไหนอีก?
64 ท่านทั้งหลายได้ยินเขาพูดหมิ่นประมาทแล้วไง ท่านตัดสินอย่างไรเล่า? พวกเขาจึงรวมหัวกันตัดสินว่า พระองค์สมควรรับโทษประหาร
65 แล้วบางคนก็เริ่มต้นถ่มน้ำลายใส่พระองค์ พวกเขาเอาผ้ามาผูกปิดพระเนตร และต่อยพระองค์ ถามว่า
“ทำนายมาสิ!” พวเจ้าหน้าที่มานำตัวพระองค์ไปพร้อมกับตบพระพักตร์
เปโตรปฏิเสธพระเยซู
(มัทธิว 26:69–75; ลูกา 22:54–62; ยอห์น 18:15–18)
66 ขณะที่เปโตรยังอยู่ที่ลานบ้านข้างล่างนั้นเอง มีสาวใช้ของมหาปุโรหิตคนหนึ่งเดินผ่านมา
67 เห็นเขากำลังผิงไฟอยู่ เธอมองตรงไปที่เปโตร และกล่าวว่า “เจ้าก็อยู่กับท่านเยซูแห่งนาซาเร็ธด้วย”
68 แต่เขาปฏิเสธ “ข้าไม่รู้จักท่านสักหน่อย เจ้าพูดอะไรข้าไม่เข้าใจ” แล้วเขาก็ออกไปยังทางเข้าออก และตอนนั้นเองไก่ก็ขัน
69 ที่นั่น สาวใช้คนนั้นเห็นเขา จึงพูดกับคนที่ยืนแถวนั้นอีกว่า “ชายคนนี้เป็นพวกเดียวกันกับเขา”
70 แต่เปโตรก็ปฏิเสธอีก สักครู่ต่อมา คนที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ พูดกับเขาว่า “แน่เลย เจ้าเป็นหนึ่งในพวกเขา เพราะสำเนียงเจ้าบอกว่า เจ้าเป็นชาวกาลิลี”
71 แต่เขาเริ่มต้นสบถ และสาบานขึ้นมา “ข้าไม่รู้จักชายคนที่เจ้าพูดถึงสักหน่อย”
72 ทันใดนั้นเอง ไก่ก็ขันเป็นครั้งที่สอง
แล้วเปโตรก็นึกถึงคำที่พระเยซูตรัสกับเขาว่า “ก่อนที่ไก่ขันสองครั้ง เจ้าจะปฏิเสธเราสามครั้ง” เปโตรคิดขึ้นได้นั้น เขาก็ร้องไห้ออกมา
คำอธิบายเพิ่มเติม
มาระโก 14:1-2
การฉลองปัสกาอยู่ในวันที่สิบสี่ของเดือนนิสาน(เทียบได้กับมีนาคม-เมษายน) ส่วนเทศกาลขนมปังไร้เชื้อจะทำในวันที่สิบห้าต่อไปจนถึงวันที่ยี่สิบเอ็ดเดือนเดียวกัน พวกผู้นำต้องการจับกุมและสังหารพระเยซูอย่างจริงจังและต้องการทำแบบลับ ๆ ไม่ให้ใครรู้ด้วย แต่อุปสรรคคือ ในช่วงเทศกาลจะมีชาวยิวเข้ามารวมตัวกันในกรุงเยรูซาเล็มมากมายถ้าคนรู้เข้าก็จะเกิดเรื่องแน่นอน
มาระโก 14:3-9
เราไม่ทราบว่า ซีโมนคนนี้เป็นคนเดียวกับที่พระเยซูทรงรักษาในบทที่ 1:40-42 หรือไม่ดูเหมือนน่าจะเป็นเขา เพราะเขาไม่ต้องออกไปอยู่เองนอกเมืองตามกฎบัญญัติแล้ว แต่มีบ้านที่สามารถรับแขกได้ด้วย พระเยซูได้ไปรับประทานอาหารที่บ้านชายคนนี้
แล้วมีเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้น คือ ผู้หญิงคนหนึ่งเอาน้ำมันหอมราคาแพงมาเทบนพระเศียรของพระองค์ … (เรื่องนี้แตกต่างจากอีกเรื่องที่มีผู้หญิงชโลมพระบาท) คนที่เห็นต่างวิพากษ์วิจารณ์กันไป ทั้ง ๆ ที่ตัวเองไม่ได้เสียหายอะไร ไม่ได้จ่ายค่าน้ำมันหอมนั้น แต่พระเยซูทรงห้ามพวกเขาไว้ และยังตรัสด้วยว่า ไม่ว่าเรื่องของพระเจ้าประกาศที่ใด ผู้คนก็จะรู้เรื่องนี้ด้วย และก็เป็นจริงดังนั้น เพราะมาระโก มัทธิว ก็ได้บันทึกเรื่องราวนี้ไว้ ส่วนยอห์น 12 ได้บอกถึงมารีย์ที่ชโลมพระบาท
พระเยซูทรงทราบล่วงหน้าอยู่แล้ว และทรงแจ้งให้ศิษย์ทราบด้วยว่า พระองค์จะสิ้นพระชนม์อย่างไร แต่ดูเหมือนพวกศิษย์จะไม่ได้สนใจมาก พวกเขารู้สึกเหมือนว่า พระเยซูจะทรงอยู่กับพวกเขาไปตลอด. น้ำมันหอมดังกล่าวราคาแพงขนาดค่าจ้างแรงงานทั้งปี และพระเยซูก็ไม่ได้ทรงเรียกร้องสิ่งนั้น แต่เป็นสิ่งที่เธออยากจะทำถวายพระเยซู … มีคำถามเดียวว่า พวกเราแต่ละคน มีอะไรบ้างที่จะทำถวายพระเยซูอย่างเธอคนนี้?
มาระโก 14:10-11
จากเรื่องเดียวกันนี้ มัทธิวได้บันทึกว่า ยูดาสตกลงราคาที่สามสิบเหรียญ
จากวันนี้ได้ ยูดาสก็คอยโอกาสที่จะได้เงินนั้นมาเป็นของคนทั้ง ๆ ที่หมายถึงเขาต้องทรยศพระเจ้าและพระอาจารย์ของเขา
นี่คือสิ่งที่ยูดาสแตกต่างจากผู้หญิงคนที่มาเทน้ำมันเจิมพระเยซูมาก ทั้ง ๆ ที่เขาเป็นศิษย์วงในของพระองค์
มาระโก 14:12-16
ลูกแกะจะถูกฆ่าในวันที่สิบสี่ตอนเย็น วันต่อมาคือวันที่สิบห้าของเดือนนิสาน ก็เป็นเทศกาลขนมปังไร้เชื้อต่อจากเทศกาลปัสกา นี่นับเป็นวันพฤหัส ซึ่งพระเยซูทรงเตรียมที่สำหรับการรับประทานอาหารปัสการ่วมกัน พระองค์ทรงส่งเปโตร และยอห์นไปพบชายคนหนึ่งที่แบกเหยือกน้ำมา และคนนี้จะบอกว่า สถานที่รับประทานอาหารปัสกาอยู่ที่ไหน ซึ่งมีการจัดอยู่ที่ห้องชั้นบนที่ตกแต่งไว้แล้ว และพระเยซูทรงให้ศิษย์ทั้งสองเตรียมอาหารให้ที่นั่น สถานที่แห่งนี้น่าจะเป็นที่เดียวกับห้องชั้นบนที่ผู้เชื่อรอคอยพระวิญญาณในกิจการ 1:13
มาระโก 14:17-21
สดุดี 41:9 บันทึกว่า “แม้กระทั่งเพื่อนของข้า คนที่ข้าไว้ใจ คนที่กินอาหารกับข้า ก็ยังหันหลังให้” และสิ่งนั้นก็เกิดขึ้นกับพระเยซูจริง ๆ
นั่นคือยูดาสที่จิ้มขนมปังชามเดียวกับพระเยซู แต่ศิษย์ทั้งหลายก็ไม่เข้าใจแม้พวกเขาจะถามพระองค์ และได้รับคำตอบอย่างชัดเจน มัทธิว
มาระโกและยอห์นได้บันทึกเหตุการณ์ตอนนี้ไว้ มีรายละเอียดต่างกันบ้างนิดหน่อย ตามแต่ว่าแต่ละคนเห็นอะไรชัดกว่ากัน มัทธิว ยอห์นบอกชัดว่า คน ๆ ที่จะทรยศพระเยซูก็คือยูดาห์นั่นเอง
พระเยซูทรงรู้ล่วงหน้าว่า ยูดาห์จะเลือกทรยศพระองค์ เพราะเห็นแก่เงิน แต่ก็ยังทรงเลือกเขาให้เป็นศิษย์ใกล้ชิด … แปลกจริง
หลังจากตอนนี้ ยูดาห์ออกไปจากห้อง เขาไม่ได้มีส่วนในพิธีมหาสนิท
มาระโก 14:22-26
ในการรับประทานอาหารปัสกาแบบนี้ ทุกอย่างที่ทำ ที่กินเข้าไปมีความหมายทั้งสิ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นการระลึกถึงการเป็นทาสในอียิปต์ ความทุกข์ทรมาน และการได้เป็นอิสระออกมาพวกเขาจะกินขนมปังไร้เชื้อ เพื่อระลึกถึงการหนีจากอียิปต์ ขนมปังจะเป็นแผ่นที่ต้องหักกิน พวกเขาไม่มีเวลารอให้ขนมปังฟูขึ้นด้วยเชื้อ
พระเยซูทรงเปรียบเทียบขนมปังนี้ว่าเป็นพระกายของพระองค์ ที่กินแล้วจะไม่ตาย คือเรายอมให้พระองค์มาเป็นส่วนในชีวิตของเรา
ส่วนเหล้าองุ่นนั้น พระองค์ทรงอ้างถึงพระโลหิตแห่งพันธสัญญาใหม่ ในวันที่พระองค์จะสิ้นพระชนม์เพื่อรับโทษบาปแทนมนุษย์บนไม้กางเขน การที่ดื่มเข้าไปนั้นบ่งบอกถึงว่า ฤทธิ์เดชการชำระบาปได้เข้าไปในชีวิต จะเปลี่ยนแปลงชีวิตจากข้างในมายังข้างนอก
การร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าจากการทำพิธีมหาสนิทแบบนี้ มักจะร้องจากหนังสือสดุดี 116-118 เราจะเห็นว่า พระเยซูทรงร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าก่อนที่พระองค์จะถูกจับในคืนเดียวกันนั้นเอง
มาระโก 14:27-31
ระหว่างทางนั้นเอง พระเยซูทรงบอกเหตุการณ์สำคัญอย่างหนึ่งล่วงหน้าแก่เปโตรและศิษย์คนอื่น นั่นคือ พวกเขาจะทิ้งพระองค์ไปแน่นอน เมื่อพระองค์ถูกจับกุม แต่เปโตรและทุกคนยืนกรานว่า จะไม่มีวันปฏิเสธพระองค์ และตรัสด้วยว่า พระองค์จะไปรอพวกเขาที่กาลิลี ซึ่งเมื่อพวกเขาเจอทูตสวรรค์ในเช้าวันที่คืนพระชนม์ ทูตก็ได้ย้ำคำนี้ด้วย (16:7)
เปโตรมั่นใจมากเป็นคนแรกว่า เขาจะไม่ทิ้งพระองค์ แต่สิ่งที่ทรงตอบเขากลับมานั้น น่าจะทำให้เปโตรเสียหน้าพอควรเลยทีเดียว
มีมาระโกเท่านั้นที่บันทึกว่า เปโตรจะปฏิเสธพระเยซูสามครั้งก่อนไก่ขันสองครั้ง เชื่อว่า เมื่อเปโตรเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้มาระโกฟัง เขายังรู้สึกเจ็บปวดกับเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่
มาระโก 14:32-42
ในเวลาเช่นนี้ พระเยซูทรงต้องการเข้าเฝ้าพระบิดาเป็นที่สุด เพราะสิ่งที่จะทรงเผชิญต่อไปคือ ความตายที่น่าอับอายดั่งนักโทษประหาร ความน่ากลัวของการรับโทษบาปของคนทั้งโลก การทำตามพระทัยพระบิดาโดยที่เวลาหนึ่งพระองค์จะทรงถูกทอดทิ้ง แม้จะเป็นเวลาไม่นานในสายตาของพวกเรา แต่พระองค์ไม่เคยห่างจากพระบิดาเลย…เป็นเวลาที่ไม่ควรเกิดขึ้นกับพระเยซูพระบุตรเลย
ทรงเป็นทุกข์เจียนตาย ศิษย์ของพระองค์ไม่อาจเข้าใจถึงความเจ็บปวดในพระทัยได้ คนอื่น ๆ ทรงให้นั่งอยู่ แต่ทรงนำเปโตร ยากอบ และยอห์นไปด้วย แม้กระนั้น ทั้งสามก็ไม่ได้เข้าไปอธิษฐานพร้อมกับพระองค์ พวกเขาเห็นการคร่ำครวญของพระองค์ ได้ยินคำอธิษฐานนั้นบางส่วน แต่แล้วก็หลับไป เป็นอย่างนี้ถึงสามรอบ พวกเขาง่วง เหนื่อยจนไม่อาจนั่งอธิษฐานกับพระเยซูได้
พระเยซูทรงเป็นทุกข์มากจนถึงกับขอว่า หากเป็นได้ .. ก็ขอให้ไม้กางเขนนั้นผ่านไป แต่..พระบิดาได้ไม่ได้ทรงประสงค์เช่นนั้น เพราะเป็นถ้วยแห่งพระพิโรธที่พระบุตรผู้เดียวเท่านั้นที่ดื่มได้! (ยอห์น 18:11)
ในคำอธิษฐานของพระเยซู คำว่า ถ้วยนี้คือ ถ้วยแห่งพระพิโรธของพระเจ้าที่มีต่อบาปของมนุษย์ซึ่งจริง ๆ แล้ว ไม่ใช่เป็นบาปของพระองค์ที่ต้องมารับเลย (อิสยาห์ 57:17; สดุดี 75:8) แต่พระองค์ทรงรับแทนมนุษย์ที่พระเจ้าทรงรัก แม้ว่าพวกเขาจะกบฏต่อพระองค์มากแค่ไหนก็ตาม
และพระองค์ก็ตรัสให้เขาและเรารู้ว่า การเฝ้าระวังและอธิษฐานสำคัญมาเพื่อจะไม่เข้าในการทดลอง เป็นงานสำคัญที่ต้องตั้งใจสู้ ไม่ใช่ตั้งรับอย่างเดียว
มาระโก 14:43-52
ที่ยูดาสออกไปจากการกินอาหารร่วมกันนั้น ก็เพื่อไปรวบรวมทหารและผู้คนมาจับกุมพระเยซูนั่นเอง ยอห์นกล่าวว่าเป็นกองทหารกับเจ้าหน้าที่จากปุโรหิต ถ้าเป็นทหารหนึ่งกองจะมีประมาณ 600 คน พวกเขาตั้งใจมาจับกุมเพื่อนำพระองค์ไปประหารให้ได้ พวกเขามีทั้งดาบและกระบองมาครบครัน และยูดาสก็เข้ามาพบพระองค์ จูบพระองค์เป็นเครื่องหมายให้คนเหล่านั้นรู้ว่า คนนี้แหละ พระเยซู!
ในเหตุการณ์นี้ มีทาสคนหนึ่งถูกฟันหูขาด มาระโกไม่บอกว่าใคร แต่ยอห์นบันทึกว่าเป็นเปโตรที่ทำเช่นนั้น (ยอห์น 18:10)
จะเห็นได้ว่า พระเยซูไม่ได้หลบ ไม่หนี ไม่ต่อต้าน แต่เพียงกล่าวให้พวกเขารู้ว่า ที่พวกเขาพากันมาจับพระองค์ในลักษณะนี้เพราะเป็นไปตามพระคัมภีร์ที่เขียนไว้ถึงพระองค์ (อิสยาห์ 53:7-9)
ดูสถานการณ์แล้ว พระเยซูทรงยอมให้พวกเขาจับพระองค์แน่นอน ศิษย์ของพระองค์ทุกคนก็เลยพากันหนีไปหมด เกรงว่าตัวเองจะโดนจับตามไปด้วย
เป็นเพราะมาระโกเท่านั้นที่เล่าเรื่องนี้ หลาย ๆ คนจึงให้ความเห็นว่า ชายหนุ่มคนนี้น่าจะเป็นมาระโกนั่นเอง
มาระโก 14:53-65
การสอบสวนพระเยซูนั้น แบ่งเป็นสองขั้นตอนคือ กับสภาสูงของยิวก่อนแล้วจึงส่งพระองค์ไปสอบสวนโดยผู้มีอำนาจจากโรม
หลังจากที่ยูดาห์พาทหารไปจับกุมพระเยซู ก็พามายังผู้นำศาสนายิวที่บ้านของมหาปุโรหิต
ถ้าเรานำเรื่องราวจากมัทธิว มาระโก ลูกา ยอห์น มาเรียบเรียงให้ถูกตามเวลา เราจะเห็นถึงขบวนการทั้งหมด ตอนนี้เราดูว่า มาระโกรายงานว่าอย่างไร …
1 หัวหน้าปุโรหิตและสภาสูงพยายามหาหลักฐานมาเพื่อให้พระเยซูถูกตัดสินประหาร แต่หาไม่ได้
2 เอาคนมาเป็นพยานเท็จ แต่คำพยานของคนเหล่านั้นขัดแย้งไปคนละทิศละทาง
3 ในที่สุดจึงถามพระเยซูเอง .. พระองค์ไม่ตอบ
4 เมื่อพวกเขาถามว่า พระองค์ทรงเป็นพระเมสสิยาห์ที่พระเจ้าทรงเจิม พระองค์ทรงตอบว่าทรงเป็นผู้นั้น …จุดนี้เองที่ทำให้พวกเขาเอามาเป็นข้อฟ้องร้องพระองค์เท่ากับตอนนี้ ผู้นำศาสนายิวได้บทสรุปว่า พระเยซูสมควรถูกประหารจากนั้นก็มีการเยาะเย้ยถากถางพระองค์ มีคนถ่มน้ำลายรดพระเยซู เอาผ้าปิดพระเนตร และให้ทายว่าใครทำร้าย
ถ้าเป็นสำนักงานข่าว เราจะพบว่า มาระโกรายงานเพียงเท่านี้
มาระโก 14:66-72
แล้วมาระโกก็หันไปรายงานเรื่องของเปโตรที่ได้ปฏิเสธพระเยซู
เราจะเห็นว่า เขาเดินตามพระเยซูไปห่าง ๆ ยังมีความกลัวว่าพวกทหารอาจจะจับเขาไปด้วย และในความกลัวนี้เอง เมื่อมีคนทักสามครั้งทำให้เขา
ปฎิเสธพระองค์ทันที
ครั้งที่ 1 พูดว่า ไม่รู้จัก ไม่รู้เรื่องที่เขาพูดออกมา
ครั้งที่ 2 ปฎิเสธอีกครั้ง
ครั้งที่ 3 คนจับได้ว่าสำเนียงทางเหนือ เริ่มสบถ
บอกว่าไม่รู้จักอีก
เมื่อไก่ขันครั้งที่สอง เปโตรก็นึกได้ว่า พระเยซูได้ตรัสไว้ล่วงหน้าแล้วว่า เขาจะปฏิเสธพระองค์ เขาเสียใจมาก …
เปโตรได้รับการฟื้นฟูอีกครั้ง พระเยซูทรงให้โอกาสเขาบอกรักพระองค์ถึงสามครั้งหลังจากที่ทรงฟื้นจากความตาย (ยอห์น 21 )
แต่น่าเสียดาย ยูดาส อิสการิโอท ไม่ได้กลับใจ แต่ตัดสินใจทำร้ายตัวเอง ทำให้หมดโอกาสที่จะรื้อฟื้นความสัมพันธ์กับพระเยซูอีกครั้ง (กิจการ 1:18)
พระคำเชื่อมโยง
Cross Reference มาระโก 14
1* ลูกา 22:1-2; อพยพ 12:1-27
3* ลูกา 7:37
5* มัทธิว 18:28; ; ยอห์น 6:61
7* เฉลยธรรมบัญญัติ 15:11; ยอห์น 7:77; 8:21; 14:2, 12; 16:10, 17, 28
8* ยอห์น 19:40-42
9* ลูกา 24:47
10* มัทธิว 10:2-4
12* มัทธิว 26:17-19
17* มัทธิว 26:20-24
18* สดุดี 41:9; ยอห์น 6:70, 71; 13:18
21* ลูกา 22:22
22* 1โครินธ์ 11:23-25; 1 เปโตร 2:24
26* มัทธิว 26:30
27* มัทธิว 26:31-35; เศคาริยาห์ 13:7
28* มาระโก 16:729* ยอห์น 13:37-38
30* มาระโก 14:72; ลูกา 22:6132* ลูกา 22:40-46
33* มาระโก 5:37; 9:2; 13:3
34* ยอห์น 12:27
36* กาลาเทีย 4:6; ฮีบรู 5:7; อิสยาห์ 50:5; ยอห์น 5:30; 6:38
38* ลูกา 21:36; โรม 7:18; 21-24
41* ยอห์น 13:1; 17:142* ยอห์น 13:21; 18:1-2; มัทธิว 20:18; 26:2143* ลูกา 22:47-53
44* สุภาษิต 27:648* มัทธิว 26:55
49* มัทธิว 21:23; อิสยาห์ 53:7
50* สดุดี 88:8
53* มัทธิว 26:57-68; มาระโก 15:1; ยอห์น 7:32; 18:3; 19:6
54* ยอห์น 18:15
55* มัทธิว 26:59
56* อพยพ 20:1657* สดุดี 27:12; 35:11
58* ยอห์น 2:19
60* มัทธิว 26:62
61* อิสยาห์ 53:7; ลูกา 22:67-7162* ลูกา 22:69
64* ยอห์น 10:33, 36; มัทธิว 20:18; มาระโก 10:33;ยอห์น 19:7
65* อิสยาห์ 50:6; 52:1466* ยอห์น 18:16-18; 25-27
67* ยอห์น 1:45
69* มัทธิว 26:71
70* ลูกา 22:59
71* กิจการ 2:7
72* มัทธิว 26:75
ฮีบรู 7 ครั้งเดียวเป็นพอ
ฮีบรู 7:1 เมลคีเซเดคท่านนี้ ทรงเป็นกษัตริย์แห่งเมืองซาเล็ม และเป็นปุโรหิตของพระเจ้าองค์สูงสุด ท่านพบอับราฮัมตอนที่กลับมาจากการต่อสู้กับกษัตริย์ทั้งหลายและได้อวยพรท่าน (ปฐมกาล 14:8-16)
ฮีบรู 7:2 และอับราฮัมได้มอบหนึ่งในสิบจาก ของที่ริบมาทั้งหมด ประการแรกนามของท่านหมายถึง “กษัตริย์แห่งความเที่ยงธรรม” ท่านยังเป็น “กษัตริย์แห่งเมืองซาเล็ม” ซึ่งหมายถึง “กษัตริย์แห่งสันติสุข”
ฮีบรู 7:3 ไม่มีบันทึกลำดับวงศ์วานของท่าน ไม่มีบิดามารดา ไม่มีบันทึกวันเริ่มต้นชีวิตหรือวันสิ้นสุดชีวิต แต่เป็นเหมือนกับพระบุตรของพระเจ้า ท่านดำรงตำแหน่ง ปุโรหิตเป็นนิตย์
ฮีบรู 7:4-5 ให้พิจารณาให้ดีว่า ท่านเมลคีเซเดคยิ่งใหญ่เพียงใด แม้แต่อับราฮัมต้นวงศ์วานของเรา ยังได้ถวายหนึ่งในสิบจากสิ่งที่ริบมาจากการสู้รบ บทบัญญัตินั้นสั่งให้วงศ์วานเลวีที่มีตำแหน่งปุโรหิตรับหนึ่งในสิบจากประชาชน นั่นคือ จากพี่น้องของพวกเขา แม้ว่า พี่น้องของเขาเองก็เป็นเชื้อสายของอับราฮัมเช่นกัน
ฮีบรู 7:6-7 แต่ท่านเมลคีเซเดค ท่านไม่ได้สืบเชื้อสายจากเลวี ก็ได้เก็บหนึ่งในสิบจากอับราฮัม และอวยพรให้เขาผู้ได้รับพระสัญญาการที่ผู้น้อยได้รับพรจากผู้ใหญ่นั้นเป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้
ฮีบรู 7:8 ในกรณีของเลวี คนที่รับหนึ่งในสิบเป็นมนุษย์ที่ตาย แต่กรณีของท่านเมลคีเซเดคท่านเป็นผู้ที่ได้รับการประกาศว่า ดำรงชีวิตอยู่ตลอดไป
ฮีบรู 7:9-10 กล่าวได้อีกอย่างคือเลวีที่รับหนึ่งในสิบ ได้ถวายหนึ่งในสิบผ่านอับราฮัมแล้วเพราะเมื่อท่านเมลคีเซเดคพบอับราฮัม เลวียังอยู่ในกายของอับราฮัมซึ่งเป็นบรรพบุรุษของเขาฮีบรู 7:11 หากว่าระบบปุโรหิตเลวีซึ่งเป็นฐานของบทบัญญัติ สามารถทำให้ผู้คนมีความสมบูรณ์แบบอย่างที่พระเจ้าทรงประสงค์ เหตุใดพระองค์จึงทรงตั้งระบบปุโรหิตที่แตกต่างไป โดยมีปุโรหิตตามแบบอย่างท่านเมลคีเซเดค ไม่ใช่ตามแบบอย่างของอาโรน?
ฮีบรู 7:12-13 เพราะเมื่อระบบของปุโรหิตเปลี่ยนแปลงกฎบัญญัติก็ต้องเปลี่ยนด้วยเช่นกันปุโรหิตผู้ที่เรากล่าวถึงเป็นผู้ที่มาจากเผ่าอื่น ซึ่งไม่เคยมีใครในเผ่านั้นรับใช้ต่อหน้าแท่นบูชาในฐานะปุโรหิตมาก่อน
ฮีบรู 7:14-15 เพราะเป็นที่ประจักษ์ชัดว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรามาจากเชื้อสายเผ่ายูดาห์ โมเสสเองไม่เคยกล่าวว่ามีปุโรหิตมาจากเผ่านั้น และสิ่งที่เรากล่าวถึงจะชัดเจนมากขึ้น เมื่อมีปุโรหิตอีกท่านที่เหมือนท่านเมลคีเซเดคปรากฏขึ้น
ฮีบรู 7:16-17 พระองค์เป็นปุโรหิตโดยไม่ได้ใช้กฎระเบียบการสืบทอดตามบรรพบุรษแต่เป็นโดยฤทธิ์เดชแห่งชีวิตซึ่งไม่อาจทำลายได้ ตามที่ได้มีคำยืนยันว่า
“ท่านเป็นปุโรหิตตลอดไปเป็นนิตย์ตามแบบอย่างของท่านเมลคีเซเดค”
ฮีบรู 7:18-19 กฎเกณฑ์ดั้งเดิม (ในระบบปุโรหิต)จึงถูกยกเลิกไป เพราะไม่ได้คุณภาพและไร้ประโยชน์ (เพราะบทบัญญัติไม่อาจทำให้สิ่งใดดีพร้อมได้เลย) มีการให้ความหวังที่ดีกว่า ความหวังนี้ทำให้เราเข้าใกล้พระเจ้าได้
ฮีบรู 7:20-21 และทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ก็ด้วยคำปฏิญาณจากพระเจ้า เพราะผู้อื่นที่มาเป็นปุโรหิตต่างมาโดยไม่ได้มีคำปฏิญาณใด ๆ แต่พระเยซูทรงมาเป็นปุโรหิตด้วยคำปฏิญาณ เมื่อพระเจ้าตรัสกับพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงปฏิญาณแล้วและจะไม่เปลี่ยนพระทัย คือว่า ท่านเป็นปุโรหิตตลอดไปเป็นนิตย์”
ฮีบรู 7:22-23เป็นเพราะคำปฏิญาณนี้เอง พระเยซูจึงทรงมาเป็นผู้ประกันของพันธสัญญาที่ดีกว่าเดิม มีปุโรหิตมากมายที่รับตำแหน่งสืบทอดต่อ ๆ กัน เพราะความตายนั้นกั้นไม่ให้พวกเขาทำงานในตำแหน่งนั้นตลอดไป
ฮีบรู 7:24-25 แต่เป็นเพราะพระเยซูทรงพระชนม์เป็นนิตย์ พระองค์จึงทรงเป็นปุโรหิตที่ดำรงตำแหน่งอย่างยั่งยืน
ดังนั้น พระองค์จึงทรงช่วยคนที่เข้ามาใกล้พระเจ้าโดยทางพระองค์ถึงที่สุดเพราะพระองค์ทรงพระชนม์อยู่เสมอ
เพื่อทูลวิงวอนเพื่อพวกเขา
ฮีบรู 7:26 มหาปุโรหิตเช่นนี้ สามารถช่วยเราจริง ๆ นั่นคือ
ท่านที่บริสุทธิ์ ปราศจากความผิดไร้ตำหนิ ถูกแยกออกจากคนบาปและเป็นที่ยกย่องเหนือฟ้าสวรรค์
ฮีบรู 7:27 พระเยซูไม่เหมือนมหาปุโรหิตอื่น เพราะพระองค์ไม่จำเป็นต้องถวายเครื่องบูชาประจำวันเพื่อบาปของพระองค์ก่อนและต่อมาเพื่อบาปของประชาชน ที่พระองค์ทรงสละชีวิตของพระองค์เอง เท่ากับเป็นเครื่องบูชาเพื่อบาปครั้งเดียวเป็นพอ
ฮีบรู 7:28 เพราะกฎบัญญัติแต่งตั้งคนที่มีข้อจำกัดเพราะเป็นมนุษย์ที่อ่อนแอมาเป็นมหาปุโรหิต แต่คำปฏิญาณที่มาหลังกฎบัญญัตินั้นได้แต่งตั้งพระบุตรผู้ทรงถูกทำให้สมบูรณ์เพียบพร้อมตลอดไปเป็นนิตย์
อธิบายเพิ่มเติม
ฮีบรู 7:1
ครั้งแรกที่เราพบท่านเมลคีเซเดคนั้น คือครั้งที่อับราฮัมไปช่วยชีวิตโลทหลานชาย โดยการสู้รบกับกษัตริย์จากตะวันออกที่กวาดต้อนชาวโสโดม
ไป ชนะพวกเขาได้ราบคาบ และริบข้าวของมาอีกมากมาย เมื่อกลับมา ก็มาพบกับท่านเมลคีเซเดคโดยอับราฮัมได้มอบทรัพย์สินที่ได้มาหนึ่งในสิบให้กับท่านซึ่งเป็นทั้งกษัตริย์เมืองเยรูซาเล็ม และเป็นปุโรหิตคือคนกลางระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ด้วย
ฮีบรู 7:2
ชื่อของท่านเมลคีเซเดกนั้น มีความหมายตรงไปยังองค์พระเยซูคริสต์ นั่นคือ คำว่า เมลคี หมายถึงกษัตริย์และ เซเดค คือ ความเที่ยงธรรม
แปลชื่อท่านตรง ๆ คือ “กษัตริย์แห่งความเที่ยงธรรม” และยังทรงเป็นกษัตริย์แห่งสันติสุขซึ่งก็มีความหมายถึง องค์พระเยซูผู้ประทานสันติสุขให้ไม่เหมือนสันติสุขแบบของโลก อิสยาห์ 9:6 และ 11:14 ได้บอกล่วงหน้าว่าพระเยซูคือราชาแห่งสันติ
ฮีบรู 7:3
อย่าเพิ่งถอดใจเรื่องของท่านเมลคีเซเดคผู้นี้ เราอาจคิดว่า ท่านเป็นใคร เกี่ยวข้องอะไรกับฉันคนนี้ ถ้าเรารู้จักท่าน เราจะเข้าใจอะไร ๆ ที่เกี่ยวกับพระเยซูในฐานะคนกลางระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ มากขึ้น มีบันทึกเกี่ยวกับท่านในหนังสือโบราณอื่น ๆ แต่สิ่งสำคัญที่เราต้องรู้จากฮีบรูคือ ท่านเหมือนพระบุตรพระเจ้า และดำรงตำแหน่งนี้ตลอดไป
ฮีบรู 7:4-5
การที่อับราฮัมมอบสิบลดให้กับเมลคีเซเดค เท่ากับว่า เมลคีเซเดคเป็นผู้ที่ใหญ่กว่า อับราฮัมยอมรับว่า กษัตริย์-ปุโรหิตองค์นี้ ต้องได้รับการนับถือต้องได้รับของถวาย เมลคีเซเดคมาก่อนระบบปุโรหิต-เลวีในสมัยของโมเสส การมอบของถวายหนึ่งในสิบของอับราฮัมนี้ เป็นต้นแบบสำคัญที่อีกสี่ร้อยปีต่อมาที่พระเจ้าได้ทรงให้โมเสสตั้งระบบคนกลางระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ด้วยเผ่าเลวี ซึ่งเป็นระบบที่จะหมดสิ้นในวันหนึ่ง
ฮีบรู 7:6-7
แม้ว่าอับราฮัมเป็นที่นับถือของผู้คนมากมาย ในฐานะที่เป็นบิดาของประชาชาติ แต่แล้วกลับมาพบว่า มีผู้ที่ยิ่งใหญ่กว่าเขา และยังอวยพรเขาด้วย ที่กล่าวเช่นนี้เป็นเพราะท่านเมลคีเซเดค รับของถวาย และให้พรแก่อับราฮัม เท่ากับอับราฮัม บิดาแห่งประชาชาติยังมีฐานะที่ต่ำกว่าท่านเมลคีเซเดค จากเหตุการณ์ตอนนี้เราพบว่า ระบบคนกลางระหว่างพระเจ้ามนุษย์มีมานานแล้ว ก่อนระบบปุโรหิตสมัยโมเสส
ฮีบรู 7:8
จากข้อสามกล่าวว่าลักษณะของท่านเมลคีเซเดคก็คือ ไม่มีบิดามารดา ไม่มีลำดับวงศ์ ไม่มีวันเกิดหรือวันสิ้นชีวิต เป็นเหมือนพระบุตรพระเจ้า และ
เป็นปุโรหิตตลอดไป สิ่งที่กำลังหมายถึงก็คือการที่เมลคีเซเดคมาปรากฏตัว มีความสำคัญมากกว่าระบบปุโรหิตของเผ่าเลวีที่โมเสสตั้งขึ้น
มีความเหมือนกับหน้าที่ตำแหน่งของพระเยซูแบบเหมือนเป๊ะ ทุก ๆ อย่างตามที่บรรยายไว้
ฮีบรู 7:9-10
สิบลดที่อับราฮัมมอบให้กับเมลคีเซเดค มีความสำคัญมากเพราะเท่ากับว่า เลวีในสมัยสี่ร้อยปีต่อมา ก็ได้ให้สิบลดแก่เมลคีเซเดคล่วงหน้าแล้ว
ผ่านอับราฮัมซึ่งเป็นต้นตระกูลของพวกเขาที่ผู้เขียนได้พยายามอธิบายมาถึงตอนนี้ ก็เพื่อผู้อ่านซึ่งเป็นคนยิว ที่ยังยึดติดกับระบบปุโรหิต
จะได้เข้าใจว่า การที่พระเยซูทรงเป็นปุโรหิตหรือคนกลางของเรานั้นสำคัญอย่างยิ่ง
ฮีบรู 7:11
เราจะเห็นว่า พระเจ้าทรงต้องการระบบคนกลาง (ปุโรหิต) แบบอย่างของท่านเมลคีเซเดค ไม่ใช่แบบอาโรน ตรัสกับพระเยซูในในฮีบรู 5:5-6 ว่า “เจ้าเป็นบุตรชายของเรา.. เจ้าเป็นปุโรหิตนิรันดร์ตามแบบอย่างของท่านเมลคีเซเดค” ระบบของอาโรนทำให้เรารู้ว่าเราบาปอย่างไร และมีมนุษย์เป็นคนกลาง แต่ระบบของเมลคีเซเดค มีพระเยซูผู้เดียวเป็นคนกลางระหว่างเรากับพระเจ้า
ฮีบรู 7:12-13
ระบบปุโรหิตเปลี่ยน แทนที่ปุโรหิตจะเป็นมนุษย์ที่อ่อนแอ และทำผิดบาป กลับกลายเป็นพระเยซูทรงมาเป็นคนกลางระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์แทน
ดังนั้น กฎบัญญัติจึงไม่เหมือนเดิมในหลาย ๆ กรณี อย่างเช่นสมัยก่อนเรายึดกฎบัญญัติเป็นหลักในการที่ทำให้พระเจ้าพอพระทัย แต่มาบัดนี้
การเชื่อวางใจ และติดตามพระเยซูต่างหากที่ทำให้พระเจ้าทรงพอพระทัย
ฮีบรู 7:14-15
ย้อนกลับไปที่เรื่องของปุโรหิตหรือคนกลางระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ สมัยโมเสสผู้ที่จะเป็นปุโรหิตได้ก็ต้องมาจากเผ่าเลวีเท่านั้น ทั้งหมดที่ผ่านมา
ระบบต่าง ๆ ที่เราเห็น เป็นเพียงการบอกเราว่าเราซึ่งเป็นมนุษย์ต้องได้รับการช่วยเหลือจากพระเจ้าด้วยวิธีของพระองค์ และสิ่งที่ดีกว่าระบบ
ปุโรหิตของโมเสสก็คือ ความบริสุทธิ์ขององค์ผู้เป็นปุโรหิต และศักดิ์ศรีความเป็นกษัตริย์
ฮีบรู 7:16-17
พระเยซูทรงเป็นคนกลางระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์โดยที่พระองค์ไม่ได้รับตำแหน่งนี้มาด้วยการสืบทอดทางสายเลือดเหมือนอย่างเลวี แต่พระองค์
ทรงเป็นคนกลางหรือปุโรหิตแบบเดียวกับท่านเมลคีเซเดคซึ่งท่านมีตำแหน่งปุโรหิตนี้ก่อนที่จะมีระบบปุโรหิตในสมัยโมเสส และตำแหน่งหน้าที่ของพระองค์ก็ไม่ได้อยู่ชั่วคราว แต่ยั่งยืนเป็นนิตย์ไม่มีใครทำลายได้ ไม่หายไป ไม่มีวันสูญสิ้น
ฮีบรู 7:18-19
เราเป็นคนต่างชาติ ระบบปุโรหิตเป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจ ผู้เขียนกำลังบอกเราว่า กฎในระบบคนกลางระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ซึ่งเป็นของเดิมที่พระเจ้าทรงตั้งในสมัยโมเสสนั้น ได้บอกชัดว่า ไม่สมบูรณ์แบบ ช่วยให้คนรอดไม่ได้จริง ๆ พระเจ้าไม่ทรงต้องการให้มนุษย์ติดกับดักของบัญญัติที่เพียงชี้ให้เห็นเราว่า เราเป็นคนแบบใด เราทำผิดอย่างไรไปบ้าง แต่เราต้องมาหาพระผู้ช่วยแท้
ฮีบรู 7:20-21
คำว่า คำปฏิญาณนั้น คือคำสัญญาอันเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะทำตามสัญญาที่ให้ไว้ อิสราเอลสมัยก่อนจะขอให้พระเจ้าทรงเป็นพยานคำปฏิญาณคำปฏิญาณบ่งบอกความตั้งใจที่จะทำให้สิ่งที่กล่าวไว้สำเร็จตามที่พูดอย่างแน่นอน ปุโรหิตหรือคนกลางทั้งหลายสมัยโมเสสเป็นต้นมาถูกตั้งโดยระบบต่อเนื่อง แต่พระเยซูทรงถูกตั้งโดยคำปฏิญาณของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์
ฮีบรู 7:22-23
ที่ทรงเป็นปุโรหิตที่ดีกว่าด้วยเหตุผลหลายประการเป็นเพราะพระเจ้าปฏิญาณจะประทานปุโรหิตนิรันดร์ ไม่ว่าจะเป็นช่วงอายุไหน ปีไหนในประวัติ-
ศาสตร์ เราก็มีพระเยซูเป็นคนกลางระหว่างพระเจ้ากับเรา -พระเยซูทรงพระชนม์อยู่เป็นนิตย์ -การเป็นคนกลางของพระองค์ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ต้องเปลี่ยนตัว มีการนับว่าจากสมัยโมเสสถึงค.ศ. 70 มีการเปลี่ยนตัวปุโรหิตถึง 83 คน !
ฮีบรู 7:24-25
ที่พระเยซูทรงช่วยได้เพราะทรงเป็นพระเจ้าเป็นมนุษย์ในพระองค์เดียวกัน พระเยซูทรงพระชนม์อยู่เพื่อวิงวอนเพื่อคนที่มาใกล้พระองค์ ทรงชำระให้บริสุทธิ์ ทรงเปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาการที่ทรงช่วยจนถึงที่สุดหมายถึงได้ทั้งการช่วยอย่างสมบูรณ์แบบ และ เสมอไป การช่วยให้รอดของพระองค์เพื่อเราจึงสมบูรณ์แบบรอบด้านและเป็นการช่วยเสมอ ตลอดไป
ฮีบรู 7:26
ความเหมาะสมเช่นนี้ ไม่มีใครทำให้ได้นอกจากพระเจ้าจะทรงกำหนดให้ เวลาเรามีอาจารย์หรือครูสอนที่เราชอบ วันหนึ่งเราอาจผิดหวังเพราะเขาเป็นแค่มนุษย์มีโอกาสทำพลาดได้ แต่พระเยซูทรงอยู่เหนือมนุษย์คนใด เหนือฟ้าสวรรค์ ทรงไร้ที่ติหน้าที่คนกลางระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์จึงเหมาะสมที่จะเป็นของพระองค์ผู้เดียว
ฮีบรู 7:27
พระองค์ทรงแตกต่างจากปุโรหิตที่เป็นมนุษย์ที่อ่อนแอ เดี๋ยวพลาด เดี๋ยวกลับใจ เดี๋ยวดี พระองค์ได้ทรงสละชีวิตของพระองค์บนไม้กางเขน
เพียงครั้งเดียว และการสละครั้งนั้น เพียงพอแล้วและบัดนี้ทรงนั่งข้างขวาพระบิดาในสวรรค์ทรงรับการยกย่องเหนือผู้ใดในเอกภพ (ปุโรหิต
ทั่วไปต้องถวายเครื่องบูชาในวันลบบาปปีละครั้งแถมยังต้องถวายเครื่องบูชาทุกวันด้วย)
ฮีบรู 7:28 เราต้องแยกระหว่างกฎบัญญัติ กับคำปฏิญาณของพระเจ้า กฎ ทำไว้เพื่อให้ทำตามกฎกันต่อไปเรื่อย ๆ และมนุษย์ก็มีความจำกัด เพราะแพ้บาปได้เสมอ เราเองเป็นคนบาปที่ถูกแยกออกจากพระเจ้า ไม่มีระบบใดในโลก วิธีการใดที่จะเป็นสะพานระหว่างพระเจ้ากับเรา ดังนั้นเราจึงต้องการพระบุตรของพระเจ้าองค์นี้ มาเป็นผู้เชื่อมความสัมพันธ์ ให้เราคืนดีกับพระเจ้าอีกครั้งหนึ่ง
พระคำเชื่อมโยง
1* ปฐมกาล 14:18-20
5* กันดารวิถี 18:21-26
6* ปฐมกาล 14:19-20; โรม 4:13
8* ฮีบรู 5:6; 6:20
11* ฮีบรู 7:18; 8:7
14* อิสยาห์ 1:1; มัทธิว 1:217* สดุดี 110:4
18* โรม 8:3
19* กิจการ 13:39; ฮีบรู 6
:18-19; โรม 5:2
21* สดุดี 110:4
22* ฮีบรู 8:6
25* ยูดา 24; โรม 8:34
26* ฮีบรู 4:15; เอเฟซัส 1:20
27* เลวีนิติ 9:7; 16:6
ฮีบรู 6 คำปฏิญาณจากองค์ผู้สูงสุด
หลักคำสอนพื้นฐาน
6:1 ดังนั้น ให้เราพากันผ่านหลักคำสอนพื้นฐานเกี่ยวกับพระคริสต์ และก้าว
ต่อไปสู่ความเป็นผู้ใหญ่ อย่าให้เราต้องวางพื้นฐานซ้ำอีกในเรื่อง
1 การกลับใจจากการกระทำที่นำสู่ความตาย
2 และความเชื่อในพระเจ้า
6:2-3 3 คำสอนเรื่องการชำระให้สะอาด
4 การวางมือ
5 เรื่องการคืนชีพจากความตาย
6 และการพิพากษาลงโทษนิรันดร์
หากพระเจ้าทรงอนุญาต เราจะมุ่งหน้าก้าวต่อไป
อย่าทิ้งทางนี้ไป..เพราะอันตราย
6:4-5 ส่วนบรรดาคนที่ครั้งหนึ่งเคยได้รับความเข้าใจ ได้ลิ้มรสของประทาน
จากสวรรค์ คนที่มีสัมพันธ์สนิทกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ คนที่เคยรับความดีแห่งพระวจนะของพระเจ้าได้สัมผัสฤทธิ์เดชของยุคที่กำลังเคลื่อนเข้ามา
6:6แล้วกลับละทิ้งทางนี้ไป … กรณีนี้เป็นไปไม่ได้ที่จะนำพวกเขากลับมา สู่การกลับใจอีกครั้ง เพราะพวกเขาได้ตรึงพระบุตรของพระเจ้าอีกครั้ง
และทำให้พระองค์ทรงอับอายต่อหน้าสาธาณชน
6:7-8 ผืนดินที่ได้รับน้ำฝนซึ่งตกลงมา และเกิดพืชผลต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์
แก่คนที่เพาะปลูกดูแล ก็เท่ากับเป็นพระพรจากพระเจ้า แต่ผืนดินที่เกิด
ต้นหนามเล็กหนามใหญ่ก็ไร้ค่าใกล้ถูกสาป ในที่สุดก็จะถูกไฟเผา
6:9 เพื่อนรัก แม้ว่าเราจะพูดเช่นนี้ เราก็ตระหนักว่า ในกรณีของท่าน
นั้นยังมีสิ่งที่ดีกว่า คือสารพัดสิ่งที่จะมาพร้อมกับความรอด
พากเพียรบากบั่น จนถึงที่สุด
6:10 เพราะพระเจ้าทรงยุติธรรม พระองค์จะไม่ทรงลืมงานที่ทำ และความรัก
ที่ท่านมีต่อพระนามของพระองค์ ในขณะที่ท่านได้รับใช้วิสุทธิชนของพระเจ้า และยังจะรับใช้พวกเขาต่อไป
6:11-12 เราปรารถนาให้ท่านแสดงว่าได้พากเพียรบากบั่นจนถึงที่สุด เพื่อว่าจะทำให้สิ่งที่ท่านหวังนั้นเกิดขึ้นจริง เพื่อท่านจะไม่เป็นคนเฉื่อยช้า แต่จะเลียนแบบคนที่ได้รับมรดกตามพระสัญญาโดยอาศัยทั้งความเชื่อและความทรหดอดทน
คำปฏิญาณจากองค์ผู้สูงสุด
6:13-14 เมื่อพระเจ้าทรงทำสัญญาต่ออับราฮัมนั้น พระองค์ทรงกล่าวคำปฏิญาณโดยอ้างพระนามของพระองค์เอง เพราะไม่มีใครใหญ่กว่าพระองค์ที่จะทรงอ้างในคำปฏิญาณได้ ตรัสว่า“เราจะอวยพรเจ้าแน่นอนและทวีจำนวนลูกหลานที่สืบเชื้อสายจากเจ้า”
6:15-16 ดังนั้น อับราฮัมจึงได้รับตามพระสัญญาหลังจากที่ได้รอคอยอย่างอดทน มนุษย์นั้นจะสาบานโดยอ้างบุคคลที่ยิ่งใหญ่กว่าตนเอง และคำปฏิญาณของพวกเขาก็เป็นสิ่งยืนยันเพื่อจบการโต้แย้งใด ๆ
6:17 ดังนั้น เมื่อพระเจ้าทรงเต็มพระทัยที่จะแสดงให้ทายาทที่จะรับตามพระสัญญารู้ชัดว่า ไม่มีการเปลี่ยนสิ่งที่ทรงตั้งพระทัยไว้ พระองค์ทรงยืนยันพระสัญญานั้นด้วยคำปฏิญาณ (ภาษาเดิมว่าคำสาบาน)
ความหวังที่อยู่ข้างหน้า
6:18 ดังนั้น โดยสองสิ่งนี้ที่ไม่มีวันเปลี่ยนและเป็นไปไม่ได้ที่พระเจ้าจะตรัสมุสา พวกเราที่ได้หนีไปยึดความหวังซึ่งเตรียมไว้ต่อหน้าพวกเราจึงต่างได้รับกำลังใจ
6:19-20 เรามีความหวังนี้ เป็นสมอสำหรับจิตวิญญาณทั้งมั่นคง ปลอดภัย เป็นหวังที่ได้เข้าไปยังสถานที่บริสุทธิ์เบื้องหลังม่าน เป็นที่ซึ่งพระเยซูผู้ทรงเข้าไปก่อนเพื่อเรา พระองค์จึงทรงเป็นมหาปุโรหิตเป็นนิตย์ตามแบบอย่างท่านเมลคีเซเดค
อธิบายเพิ่มเติม
ฮีบรู 6:1
ประเด็นสำคัญตอนนี้ คือ การเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในความเชื่อ พี่น้องที่เข้ามาเชื่อนั้น ส่วนใหญ่เปลี่ยนจากศาสนายิว มาสู่ความเชื่อในพระเยซูคริสต์ ผู้เขียนได้กล่าวถึงพื้นฐานที่สำคัญหกหัวข้อ หลักคำสอนพื้นฐานดังกล่าวจะเป็นรากฐานที่สำคัญให้กับผู้เชื่อ สอง อย่างแรกคือ การกลับใจและความเชื่อ ซึ่งนับว่าเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเราเช่นกัน
ฮีบรู 6:2-3
การชำระให้สะอาดและการวางมือนั้น คู่กัน มีความหมายถึงการรับบัพติศมา และเมื่อ มีการวางมืออธิษฐานให้ เป็นภาษาท่าทางที่สื่อว่า คน ๆ นั้น ได้รับพระวิญญาณของพระเจ้าเข้ามาในชีวิต และก้าวเข้าสู่ชุมชนพระกายของพระคริสต์ ส่วนสองข้อสุดท้ายคริสเตียนจะต้องเข้าใจว่า พระเยซูผู้ทรงคืนชีพจากตายจะเสด็จกลับมาและพิพากษาโลก
ฮีบรู 6:4-5
พระคำตอนนี้ต้องอ่านคู่ไปกับข้อที่หก ในสองข้อนี้กำลังอธิบายถึงคนที่เคยรู้จักพระเจ้ามาอย่างดี ทั้งเข้าใจ ทั้งได้ของประทานที่ล้ำเลิศ ทั้งได้เคยสนิทกับองค์พระวิญญาณรู้จักพระวจนะของพระเจ้าอย่างทะลุปรุโปร่ง เป็นคนที่ได้รับสิ่งดี ๆ จากพระเจ้าอย่างเหลือล้น แต่แล้ว เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันคือ …..
ฮีบรู 6:6
เขาละทิ้งทางของพระเจ้าทั้งที่รู้ดีกว่าใครเหมือนกับคนที่พระธรรมโรม 1:28 กล่าวว่า “เขาไม่เห็นคุณค่าของการที่รู้จักพระเจ้า” ข้อความตอนนี้ยากที่จะเข้าใจ และยังน่ากลัวสำหรับชีวิตของคน ๆ นี้ด้วย การที่บอกว่าเขาตรึงพระเยซูอีกครั้งก็คือ เขากำลังทำอย่างเดียวกับคนที่ตรึงพระเยซูในอดีต… คือปฏิเสธเยาะเย้ย และดูหมิ่นพระองค์
ฮีบรู 6:7-8
นี่เป็นภาพเดียวกับที่กล่าวมาตั้งแต่ต้น คนหนึ่งได้รับของดีจากพระเจ้ามาทั้งชีวิตแต่แล้วปฏิเสธพระองค์ ก็เหมือนกับแผ่นดินที่ได้รับน้ำฝนอย่างเพียงพอ แต่กลับเกิดต้นหนามทั้งเล็กใหญ่ ผืนดินนั้นก็เท่ากับไร้คุณค่า บางครั้งเราคิดว่า เราโอเคแล้ว เป็นลูกคริสเตียน หรือเป็นสมาชิกในโบสถ์ แต่หารู้ตัวไม่ว่าจริง ๆ เป็นคนที่ยังไม่ได้รู้จักพระเจ้า
ฮีบรู 6:9
หลังจากที่ผู้เขียนได้บอกเล่าถึงสิ่งน่ากลัวที่จะเกิดกับคนที่ปฏิเสธพระเจ้าไป ท่านก็พูดถึงสิ่งที่ทำให้เกิดความหวังใจในสิ่งดี ๆ ท่านเชื่อว่าพี่น้องที่อ่านจดหมายฉบับนี้ จะไม่อยู่ในกรณีนั้น ท่านกำลังบอกว่า “ข้าเชื่อว่าเจ้าทั้งหลายจะได้รับความรอด” นั่นเอง เราต้องดูต่อไปว่าทำไมท่านมีความหวังใจเช่นนี้
ฮีบรู 6:10
ที่ผู้เขียนฮีบรูมีความหวังใจกับพี่น้องเป็นเพราะพวกเขาได้ออกแรงทำงานรับใช้พี่น้องรับใช้พระเจ้าด้วยความรักที่มีต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเอง ท่านให้กำลังใจว่า ทุกสิ่งที่ได้ทำนั้น พระเจ้าไม่ทรงลืม พระองค์ทรงยุติธรรมที่จะประทานพร รางวัลให้แก่พวกเขา สิ่งที่ทำให้ท่านรู้ว่า พวกเขาเป็นผู้เชื่อแท้ก็เพราะพวกเขารักพระเจ้า รับใช้อย่างไม่หยุดยั้ง
ฮีบรู 6:11-12
จากข้อความนี้ เราเห็นชัดว่า ผู้เขียนขอร้องให้พี่น้องเอาจริงเอาจังกับความเชื่อในพระเจ้า ไม่ใช่ทำตัวสบาย ๆ ใช้ชีวิตตามใจตัวเอง เรามีตัวอย่างของคนที่มีความเชื่อและความอดทนในพระคัมภีร์หลายคน และแน่นอน รอบตัวเรา ก็น่าจะมีคนที่เป็นแบบอย่างให้กับเราด้วย
ฮีบรู 6:13-14
น่าแปลกที่พระเจ้าทรงสัญญาต่ออับราฮัมว่าท่านจะได้มีลูกหลานจำนวนมากมายราวกับดวงดาวบนท้องฟ้า แต่แล้ววันหนึ่งพระองค์ก็ทรงสั่งให้เอาอิสอัคไปถวายเป็นเครื่องบูชา ซึ่งตัวอับราฮัมผู้ที่ได้คุ้นเคยกับพระเจ้า และมีความมั่นใจในพระองค์เต็มร้อย ก็ลงมือทำตามอย่างที่พระเจ้าทรงขอให้ทำ แต่ท่านยังเชื่อว่าพระเจ้าจะทรงหาทางให้อิสอัคมีชีวิตอยู่ ถึงแม้ต้องตายไปก่อน
ฮีบรู 6:15-16
อับราฮัมได้อย่างที่พระเจ้าทรงสัญญา ที่จริงคำมั่นสัญญาของพระเจ้านั้น ไม่จำเป็นต้องอ้างใครเพื่อให้เกิดการเชื่อถือ เราเชื่อพระสัญญาได้เพราะพระเจ้าทรงซื่อตรงต่อพระดำรัา ไม่เคยมีครั้งใดที่พระองค์ทรงเปลี่ยนคำของพระองค์ตามพระทัยตามอารมณ์หรือตามสถานการณ์ มนุษย์เราเวลาให้สัญญาก็มักจะต้องอ้างถึงผู้ที่ใหญ่กว่าตนเสมอ แต่พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าแห่งพันธสัญญาทรงใหญ่ที่สุดในเรื่องนี้
ฮีบรู 6:17
ที่พระเจ้าทรงยืนยันพระสัญญาด้วยคำปฏิญาณของพระองค์ ก็เพื่อเห็นแก่อับราฮัม เพื่อเขาจะเชื่ออย่างเต็มร้อย เพื่อเขาจะไม่ต้องสงสัยในพระสัญญา (อย่างที่พวกเรามักจะสงสัย ไม่เชื่อคิดว่าพระเจ้าทรงทำไม่ได้ คิดว่าพระเจ้าทรงลืมไปแล้ว) เราจะเห็นคำว่า ทายาทที่จะรับตามพระสัญญา นั่นก็คือ พวกเราที่เชื่อพระเยซูนั่นเอง(กาลาเทีย 3:29) พระคำตอนนี้จึงพูดกับเราโดยตรง
ฮีบรู 6:18
เวลาพระเจ้าตรัสสิ่งใดกับมนุษย์ คำไหนเป็นคำนั้นไม่เปลี่ยนไปมาอยู่แล้ว พระองค์ทรงเป็นผู้เริ่มภาษาให้กับเรา พระเยซูตรัสว่า ทรงเป็นทางนั้นเป็นความจริง และเป็นชีวิต จะเห็นว่า ความจริงคือพระลักษณะของพระองค์เอง เราเองต้องทบทวนตัวเองว่า เรามั่นใจในพระลักษณะ พระดำรัส และคำสัญญาของพระองค์ขนาดไหนถ้ายังมีไม่พอ ต้องอ่าน ฟังพระคำเยอะหน่อย!
ฮีบรู 6:19-20
สถานที่บริสุทธิ์ที่สุดนั้น ห้ามคนเข้าไปเด็ดขาดเป็นที่ ๆ บอกว่า พระเจ้าผู้บริสุทธิ์กับมนุษย์ไม่อาจพบปะกันได้ แต่พระเยซูคริสต์ ทรงเข้าไปก่อนแล้ว ทรงเป็นผู้กลางระหว่างพระเจ้ากับเราที่บอกว่า เราหวังจะได้เข้าที่บริสุทธิ์หลังม่านก็คือที่จะได้พบกับพระเจ้าต่อพระพักตร์พระองค์เราในปัจจุบันไม่ทราบกันว่า ในสมัยโบราณนั้นการเข้าหาพระเจ้าไม่ง่ายเหมือนเวลานี้เลย
พระคำเชื่อมโยง
1* ฮีบรู 5:12; 9:14
2* กิจการ 19:3-5; 8:17; 17:31;24:25
4* ยอห์น 4:10; กาลาเทีย 3:2,5
6* ฮีบรู 10:29
7* สดุดี 65:10
8* อิสยาห์ 5:6
10* โรม 3:4; 1 เธสะโลนิกา 1:3; โรม 15:25
11* โคโลสี 2:2
12* ฮีบรู 10:36
13* ปฐมกาล 22:16-17
14* ปฐมกาล 22:16-17
15* ปฐมกาล 12:4; 21:5
16* อพยพ 22:11
17* ฮีบรู 11:9; โรม 11:29
18* กันดารวิถี 23:19; โคโลสี 1:5
19* เลวีนิติ 16:2,15
20* ฮีบรู 4:14; 3:1;5:10-11
ฮีบรู 5 องค์มหาปุโรหิต..
ปุโรหิตมนุษย์ที่พลาดได้
5:1 มหาปุโรหิตทุกคน ถูกเลือกมาจากหมู่มนุษย์เพื่อทำหน้าที่แทนพวกเขาในเรื่องความสัมพันธ์ของเขากับพระเจ้า
พวกเขานำของถวายและเครื่องบูชามาถวายเพื่อรับการอภัยบาป
5:2-3 เขาสามารถทำหน้าที่ของเขาได้ด้วยความเข้าใจคนที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์และคนที่ถูกชักนำไปในทางผิด เป็นเพราะเขาเองก็อ่อนแอเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงต้องถวายเครื่องบูชาเพื่อบาปของตนเองเช่นเดียวกับบาปของประชาชนด้วย
5:4 ไม่มีใครอาจรับเกียรติทำหน้าที่นี้ด้วยตัวเอง เขาต้องได้รับการทรงเรียก
จากพระเจ้าเหมือนอย่างที่อาโรน ได้รับการทรงเรียกนั้น
องค์ปุโรหิตนิรันดร์
5:5 เช่นเดียวกัน พระคริสต์มิได้ทรงถือเอาเกียรติแห่งการเป็นมหาปุโรหิตด้วยพระองค์เอง….. แต่ทรงได้รับการทรงเรียกโดยพระองค์ผู้ตรัสกับพระองค์ว่า “เจ้าเป็นบุตรชายของเรา วันนี้เราประกาศว่า เราเป็นบิดาของเจ้า”
5:6 และในอีกตอนหนึ่ง พระองค์ตรัสว่า “เจ้าเป็นปุโรหิตองค์นิรันดร์ ตามแบบอย่างของท่านเมลคีเซเดค”
5:7 ระหว่างที่พระเยซูทรงดำเนินชีวิตในโลกพระองค์ทรงทูลอธิษฐานอ้อนวอนด้วยสุรเสียงดังพร้อมน้ำตาพรั่งพรู ต่อพระองค์ผู้ทรงสามารถช่วยพระองค์จากความตาย และพระเจ้าก็ทรงรับฟังเพราะพระเยซูทรงนบนอบเชื่อฟัง
5:8-10 แม้ว่าทรงเป็นพระบุตร พระองค์ทรงเรียนรู้การเชื่อฟังจากความทุกข์ทรมานที่ทรงเผชิญและเมื่อทรงรับความสมบูรณ์เพียบพร้อมทุกประการแล้ว พระองค์จึงทรงเป็นแหล่งความรอดนิรันดร์แก่ทุกคนที่เชื่อฟังพระองค์และพระเจ้าทรงแต่งตั้งให้พระองค์ทรงเป็นมหาปุโรหิตตามแบบอย่างของท่านเมลคีเซเดค
จิตวิญญาณที่ไม่โต
5:11-12 เรายังมีประเด็นที่จะกล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่เป็นการยากที่จะอธิบายเพราะพวกท่านเรียนรู้ช้า ถึงแม้ว่าขณะนี้ ท่านควรเป็นครูสอนคนอื่นได้แล้ว ท่านกลับต้องให้มีคนมาสอนหลักการพื้นฐานของพระดำรัสซ้ำอีก ท่านต้องการน้ำนม ไม่ใช่อาหารแข็ง
5:13-14 เพราะทุกคนที่ยังกินนมอยู่คือเด็กทารก ไม่เข้าใจคำสอนเรื่องความเที่ยงธรรม แต่อาหารแข็งนั้นเป็นของผู้ที่เติบโตแล้ว เป็นคนที่ฝึกประสาทสัมผัสของตนเองให้รู้จักแยกความดีออกจากความชั่วถอด
อธิบายเพิ่มเติม
ฮีบรู 5:1
หันกลับไปอ่านอพยพ 28 เป็นต้นไปเราจะพบว่า พระเจ้าทรงเป็นผู้จัดระบบการเลือกว่าใครเหมาะสมจะเป็นปุโรหิตได้ในสมัยของโมเสสพวกเขาทำหน้าที่เกี่ยวกับการถวายเครื่องบูชาประจำวัน อย่างเช่นถวายลูกแกะเช้าตัวหนึ่งเย็นตัวหนึ่ง และยังมีการถวายเครื่องบูชาแบบอื่น ๆ ด้วย เราจะเห็นว่า ไม่ใช่ว่าเครื่องบูชาทุกอย่างเป็นการเสียเลือด แต่ยังมีของถวายที่แสดงการขอบพระคุณ และอื่น ๆ อีก
ฮีบรู 5:2-3
ปุโรหิตที่รู้จักตัวเอง จะรู้ตัวดีว่า ตนเองก็เป็นมนุษย์และมีโอกาสทำความผิดเหมือนกับคนของพระเจ้าที่พวกเขากำลังปรนนิบัติรับใช้อยู่
แต่ก็มีปุโรหิตที่ทำไป ๆ ก็คิดว่าตนเองเป็นผู้ที่ดีเหนือผู้อื่น ตรงจุดนี้ สอนเราว่า เราเองต้องมองตนเองให้ถูก เรามีโอกาสพลาดเสมอ ที่เสื้อนอก
ปุโรหิตมีอัญมณี 12 ช่องเพื่อทำให้เขาระลึกถึงชนอิสราเอลทั้งหมดที่เขากำลังรับใช้อยู่ ปุโรหิตที่เข้าใจก็จะเห็นอกเห็นใจคนที่อ่อนแอ
ฮีบรู 5:4
งานอื่น ๆ ในโลก ล้วนเกิดจากความจำเป็น ความถนัด ความชอบ หรือโอกาสที่ได้รับของคนที่ทำงานนั้น แต่งานรับใช้ในพลับพลาหน้าที่ปุโรหิต
หรือเลวี ต้องได้รับการทรงเลือกจากพระเจ้าเพื่อประชากรของพระองค์ ไม่มีใครนึกอยากจะรับใช้ก็มาทำได้ สำหรับคนอิสราเอลแล้ว พวก
เขามาจากเผ่าเลวีซึ่งเป็นครอบครัวหนึ่งที่สืบเชื้อสายมาจากยาโคบ (ยาโคบมีลูกชาย 12 คนที่ออกลูกหลานกลายเป็น 12 ตระกูล)
ฮีบรู 5:5
สถานะการเป็นปุโรหิตของพระเยซูนั้น เหนือชั้นกว่าของปุโรหิตสมัยโมเสสมากนัก เพราะว่าพระองค์ทรงได้รับเลือกจากพระเจ้าโดยตรง และ
พระองค์ทรงทำหน้าที่มากกว่าเป็นผู้สื่อกลางระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ พระองค์ทรงเป็นทั้งพระเจ้า และทรงเป็นมนุษย์ และทรงเป็นผู้มารับโทษบนไม้กางเขนแทนโทษที่มนุษย์สมควรจะรับเท่ากับทรงเป็นดั่งลูกแกะที่ถูกถวายเป็นเครื่องบูชาด้วย
ฮีบรู 5:6
ที่สำคัญ พระเยซูไม่ได้ทรงเป็นปุโรหิตตามแบบอย่างของปุโรหิตที่มาจากเผ่าเลวี แต่ทรงเป็นตามแบบของเมลคีเซเดคที่อยู่มาก่อนระบบปุโรหิต
ที่พระเจ้าทรงสถาปนาให้กับคนอิสราเอลในสมัยของโมเสส ชื่อของท่านเมลคีเซเดค ปรากฏเพียงสองครั้งในพระคัมภีร์เดิม แต่มาปรากฏอีกหลายครั้งในหนังสือฮีบรูนี้ ท่านเมลคีเซเดคนั้นเป็นมนุษย์จริง ๆ หรือไม่ หรือเป็นพระเยซูที่มาปรากฏในสมัยของอับราฮัมหรือเปล่านะ?
ฮีบรู 5:7
เรารู้ว่า ก่อนที่พระเยซูจะถูกตรึงนั้น ทรงเข้าไปในสวนเกทเสมนี ทรงเป็นทุกข์ยิ่งนักเพราะความตายที่รออยู่เบื้องหน้า ทั้งทารุณ ทั้งน่าอับอาย พระองค์จะถูกประหารเยี่ยงอาชญากรที่เลวร้ายที่สุด ทั้ง ๆ ที่พระองค์ไม่ได้ทำสิ่งใดผิดเลย แต่ที่ต้องเป็นเช่นนั้นเพื่อจะทรงรับโทษของคนทั้งโลก
ไม่มีใครเข้าใจความรู้สึกของพระองค์ นอกจากองค์พระบิดาที่ทรงตอบคำอธิษฐานในคืนนั้น
ฮีบรู 5:8-10
สำหรับเราทั่วไปแล้ว การเชื่อฟังพระเจ้าไม่ใช่มาได้ง่าย ๆ แต่ต้องปฏิเสธตนเอง นิสัยเดิมของเราที่ไม่ตรงกับพระเจ้าต้องถูกกำจัดออกไป แต่พระเยซูคริสต์ไม่ได้มีปัญหาแบบเรา ทรงผ่านไม้กางเขน เป็นความทรมานที่ไม่สมควรจะได้รับ ทรงทนทุกข์พร้อมกับต้องเผชิญความอยุติธรรม แต่ก็ทรงผ่านเป็นที่มาของความรอดของเราทุกคน
ฮีบรู 5:11-12
ผู้เขียนกำลังเล่าเรื่องของพระเยซูคริสต์ผู้ทรงเป็นปุโรหิตตามอย่างมัลคีเซเดค แต่แล้วเขากลับบอกว่า ยากที่จะอธิบายเรื่องนี้ให้กับผู้อ่าน เป็นเพราะพวกเขาเรียนรู้ช้า ..พวกเขาควรสอนคนอื่นได้แล้ว เป็นคนที่อยู่ในทางของพระเจ้ามานานแล้ว แต่กลับไม่รู้อะไรเอาแต่เรียนเรื่องพื้นฐานซ้ำ กลายเป็นคนที่ไม่อาจเรียนสิ่งที่ลึกกว่านี้ได้
ความจาก ฮีบรู 5:13-14
ในภาษากรีก มีคำชัดเจนว่า เอสเธทิเรียหมายถึง senses ประสาทรับรู้ คำ ๆ นี้หมายความถึงความสามารถในการรับรู้ด้วยจากประสาทสัมผัส สติสัมปัญชัญญะหรือเชาวน์ปัญญา ว่าอะไรดีอะไรชั่วในสายพระเนตรพระเจ้า ตรงนี้เป็นสิ่งที่ต้องฝึกตัดสินใจว่าอะไรดีชั่ว หนังสือสุภาษิตก็เป็นหนึ่งที่ช่วยสอนเราในเรื่องนี้
พระคำเชื่อมโยง
1* ฮีบรู 2:17; 8:3
2* ฮีบรู 7:283* เลวีนิติ 9:7; 16:6
4* อพยพ 28:1
5* ยอห์น 8:54; สดุดี 2:7
6* สดุดี 110:4
7* มัทธิว 26:39, 42, 44; สดุดี 22:1; มัทธิว 26:53, 39
8* ฟีลิปปี 2:8
9* ฮีบรู 2:10
10* สดุดี 110:4
11* ยอห์น 16:12; มัทธิว 13:15
12* 1โครินธ์ 3:1-3
13* เอเฟซัส 4:14
14* อิสยาห์ 7:15
ฮีบรู 4 พระสัญญาแห่งการพัก
4:1 ดังนั้น ในขณะที่พระสัญญาเรื่องการเข้าสู่ที่พักของพระเจ้ายังคงใช้ได้อยู่
เราก็จงระวัง (จงเกรงกลัว) ที่จะไม่ให้มีใครสักคนพลาดไปจากการพักนี้
4:2 เพราะเราเองก็ได้รับข่าวประเสริฐเหมือนอย่างพวกเขา แต่เนื้อหาที่เขา
ได้ยินกลับไม่มีคุณค่าสำคัญแก่พวกเขา เพราะเขาได้ยินแต่ไม่เชื่อสิ่งที่พระเจ้า
ตรัสกับเขา
4:3 บัดนี้ เราที่เชื่อได้เข้าไปสู่การพักนั้น แต่สำหรับผู้อื่น พระเจ้าตรัสว่า
“เราจึงปฏิญาณด้วยความโกรธของเราว่า พวกเขาจะไม่มีวันได้เข้าสู่การพักของเรา” แม้ว่าราชกิจของพระองค์สำเร็จเสร็จสิ้นตั้งแต่การสร้างโลก
4:4-5 มีตอนหนึ่งพระองค์ได้ทรงกล่าวถึงวันที่เจ็ดว่า “ในวันที่เจ็ด พระเจ้าทรงหยุดพักจากราชกิจทั้งสิ้นของพระองค์”และอีกครั้งหนึ่งในข้อความข้างต้น
พระองค์ตรัสว่า “พวกเขาจะไม่มีวันได้เข้าสู่การพักของเรา”
4:6 ที่ยังคงเป็นอย่างนี้คือ บางคนจะได้เข้าสู่การพักของพระองค์ และเหล่าคนที่ได้ยินข่าวประเสริฐในครั้งก่อน ไม่ได้เข้าไป เพราะพวกเขาไม่เชื่อฟัง
4:7 พระเจ้าจึงทรงกำหนดอีกวันขึ้นมาอีกครั้งโดยเรียกว่า “วันนี้”หลังจากเวลาผ่านไปนานแล้ว พระองค์ได้ตรัสเรื่องนี้ผ่านดาวิดเหมือนที่ได้ตรัสไว้ก่อนว่า “วันนี้ หากท่านได้ยินเสียงของพระองค์ ก็อย่าทำใจแข็ง”
4:8-10 เพราะหากโยชูวาได้ให้พวกเขาเข้าพัก พระเจ้าก็คงจะไม่ได้ตรัสถึงวันอื่นอีกในภายหลัง จึงมีวันสะบาโตให้คนของพระเจ้าได้พัก เพราะว่าคนใดที่ได้เข้าสู่การพักของพระเจ้า ก็ได้พักจากงานของเขาเหมือนกับที่พระเจ้าทรงหยุดพักจากราชกิจของพระองค์
เห็นตนเองจากพระคำของพระเจ้า
4:11 ดังนั้นให้เราพยายามทุกวิถีทางที่จะเข้าสู่การพักดังกล่าวเพื่อจะไม่มีใครพลาดไปเพราะทำตามอย่างการไม่เชื่อฟังของพวกเขา
4:12 เพราะพระคำของพระเจ้านั้นมีชีวิตและมีอานุภาพ คมยิ่งกว่าดาบสองคม สามารถแทงลึกลงไปในจิตและวิญญาณ ทั้งข้อต่อและไขกระดูก สามารถวินิจฉัยทั้งความคิดและความมุ่งหมายในใจ
4:13 ไม่มีสิ่งใดที่พระเจ้าทรงสร้างจะหลบซ่อนจากพระเนตรของพระเจ้าได้เลย ทุกอย่างถูกเปิดเผย ถูกตีแผ่ต่อพระเนตรของพระองค์ผู้ที่เราต้องถวาย
คำรายงาน
องค์มหาปุโรหิตผู้ทรงเมตตา
4:14 ดังนั้น ในเมื่อเรามีองค์มหาปุโรหิตผู้ทรงผ่านสวรรค์มาแล้ว คือพระเยซูพระบุตรของพระเจ้า ก็ให้เรายึดมั่นในคำที่เรายอมรับด้วยปาก
4:15 เพราะเรามิได้มีองค์มหาปุโรหิตที่ไม่อาจเห็นใจในความอ่อนแอของเรา แต่เรามีพระองค์ผู้ทรงถูกลองใจ เหมือนพวกเราทุกอย่าง ถึงอย่างนั้น
พระองค์ก็ทรงไร้บาป
4:16 ให้เราเข้ามาใกล้บัลลังก์แห่งพระคุณด้วยความมั่นใจ เพื่อว่าเราจะได้รับ
พระเมตตาและพบพระคุณที่จะช่วยเราในยามที่จำเป็น
อธิบายเพิ่มเติม
ฮีบรู 4:1
น่าแปลกที่เราได้ยินเรื่องของการที่คนอิสราเอลใจแข็ง และการที่พวกเขาไม่ได้เข้าไปยังดินแดนแห่งการพักของพระเจ้า แต่พระเจ้าไม่ได้ทรงล้มเลิกการพักดังกล่าว “ยังคงใช้ได้อยู่” เท่ากับว่าใช้ได้กับคริสเตียนยิวที่อ่านหนังสือฮีบรู และยังใช้ได้กับพวกเราที่เชื่อด้วย การพักดังกล่าวไม่ได้หมายถึงการพักผ่อนธรรมดาหรือแผ่นดินแต่หมายถึงการที่ผู้เชื่อจะได้มีส่วนในชีวิตนิรันดร์กับพระองค์เป็นการพักตลอดไป
ฮีบรู 4:2
การได้ยินข่าวประเสริฐส่งผลสองทาง คือทางหนึ่งไปอยู่กับพระเจ้าเป็นนิตย์ อีกทางคือการแยกออกจากพระองค์ตลอดไป ขึ้นอยู่กับคนที่ได้ยินนั้นเชื่อหรือไม่เหมือนกับที่ท่านเปาโลได้กล่าวว่าข่าวประเสริฐเป็นกลิ่นอันหอมหวานสำหรับคนที่เชื่อ แต่เป็นกลิ่นแห่งความตายสำหรับคนที่ไม่รับ2 โครินธ์ 2:15-17 เราจะเห็นว่ามนุษย์ทุกคนได้รับผลจากการตัดสินใจของตนว่า จะรับหนทางของพระเจ้าหรือไม่รับ
ฮีบรู 4:3 (สดุดี 95:11)
ชัดเจนว่า มีคนสองพวกที่ผู้เขียนจะพูดถึงบ่อย ๆคือคนที่พระเจ้าทรงให้เข้าสู่การพัก กับคนที่พระเจ้าไม่ทรงอนุญาตให้เข้าสู่การพักนั้นทำไมพระเจ้าทรงโกรธ? มันก็น่าอยู่หรอก เพราะว่าพระองค์ทรงทำราชกิจของพระองค์เพื่อมนุษย์ให้พวกเขาทั้งมีความสุขและได้ประโยชน์กับสรรพสิ่งที่ทรงสร้าง และยังทรงยื่นความสัมพันธ์สนิทให้กับเขา แต่พวกเขากลับเมินพระองค์ รับแต่เพียงความสุขแต่ไม่ได้รับพระองค์ผู้ประทานความสุขนั้น
ฮีบรู 4:4-5
พระเจ้าทรงกล่าวถึงการพัก ซึ่งมีความหมายถึงราชอาณาจักรของพระองค์ การที่พระเจ้าทรงปกครองอยู่เหนือชีวิตของผู้ที่เชื่อ พระเจ้าทรงทำการของพระองค์ตลอดเวลาก็จริง แต่พระองค์ทรงสงวนวันหนึ่งไว้ที่คนของพระองค์จะไดัพักจากงานประจำ และเข้ามาติดสนิทกับพระองค์ ข้อนี้พูดถึงวันที่เจ็ด .. เป็นการพักสะบาโต คนยิวเข้าใจทันทีว่า คำ ๆ นี้มีความหมายถึงอะไรบ้าง
ฮีบรู 4:6
การพักดีที่สุดคือการมีความสัมพันธ์สนิทกับพระเยซู ศาสนาต่าง ๆ พยายามให้คนมีการพัก ทำสมาธิ เขาฌาณ เป็นการทำให้พ้นทุกข์ ให้พักใจ แต่ในการทำอย่างนั้น ไม่ได้มีใครเข้ามาแบ่งปันสุขทุกข์ที่กำลังเผชิญ การพักในพระเจ้านั้นแตกต่าง เพราะพระเยซูเป็นผู้ประทานสันติสุขในการพักนั้น ยอห์น 14:27
ฮีบรู 4:7
พระเจ้าตรัสเกี่ยวกับคำว่า วันนี้ หลายครั้ง ในครั้งนี้ พระเจ้าตรัสกับคนยิวว่า อย่าดื้อดึง อย่ากบฏต่อพระเจ้า พระคำตอนนี้มาจากสดุดี 95 ซึ่งกษัตริย์ ดาวิดเองได้เผชิญกับการช่วยเหลือและการลงโทษของพระเจ้าด้วยตัวท่านเอง เมื่อท่านไม่เชื่อฟังพระเจ้า พระเจ้าทรงตักเตือนด้วยชีวิตของลูกชายของท่าน ดาวิดจึงเข้าใจดีว่า การใจแข็งนั้น ส่งผลร้ายอะไรให้กับ
ชีวิตบ้าง ท่านเตือนแล้ว ก็ฟังเถอะ
ฮีบรู 4:8-10
เรื่องการพักดังกล่าว เป็นเรื่องสำคัญที่ผู้เขียนฮีบรูย้ำนักหนาว่า คนที่เชื่อในพระเจ้าจริง ๆ จะได้มีโอกาสพัก การเชื่อและเชื่อฟังพระเจ้า ทำให้คนหนึ่ง ๆ ได้พักสงบกับพระเจ้า แม้ว่าเขาจะต้องต่อสู้อะไรต่าง ๆ มากมาย การพักผ่อนในพระเจ้าไม่ได้มีเฉพาะวันที่พระเจ้าพักจากราชกิจ แต่เป็นการพักที่คนของพระเจ้าได้ทำต่อสืบเนื่องกันมาจนปัจจุบัน การพักวันสะบาโต เป็นพักที่มีนัยสำคัญคือเราได้พัก พร้อมกับมีสัมพันธ์สนิทกับพระเจ้า
ฮีบรู 4:11
เรื่องของการพักที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้เรานั้นเป็นสิ่งที่เราไม่ค่อยคิดกันเท่าไร ยิ่งโลกทุกวันนี้ทำให้เราไม่ได้มีโอกาสพักเลย สมอง สายตาหูของเราทำงานตลอดเวลาเพราะจอดำที่อยู่ข้างตัว สิ่งเหล่านี้ดูเหมือนไม่ใช่ปัญหา แต่จริงแล้วเป็นปัญหาใหญ่มาก เพราะมันทำให้เราไม่ขยัน ไม่มีความพยายามที่จะพักกับพระเจ้า ไม่ใช่แค่ไม่เชื่อหรือไม่เชื่อฟังเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของการที่เราไม่สนใจคำเตือนของพระเจ้าเลย
ฮีบรู 4:12
พระดำรัสของพระเจ้านั้น ไม่เหมือนคำของคนทั่วไป เพราะเป็นพระดำรัสที่มีชีวิต นั่นคือเมื่อเรามาอ่านพระคัมภีร์ เท่ากับเรากำลังฟังสิ่งที่พระเจ้ากำลังตรัสกับเราโดยตรง พระคำเป็นดั่งบุคคล ไม่ใช่แค่ตัวหนังสือ และยังมีอานุภาพเหนือเรา
ด้วย บางครั้งอ่านแล้วเจ็บแปลบปลาบเข้าไปลึกมากเพราะพระคำมองเห็นใจของเราทะลุปรุโปร่ง เราไม่อาจปิดบังความคิดของเราไว้จากพระคำของพระเจ้าเลย ล้อมเราไว้หมด..
ฮีบรู 4:13
แม้ความคิดของเราเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น แต่พระเจ้าทรงรู้ว่าเราคิดอะไรอยู่ ถ้าคิดนั้นบาป พระคำของพระเจ้าสามารถเข้าไปและรักษาความคิดบาปนั้นได้ เมื่อเรายอม และขอความช่วยเหลือจากพระองค์การที่เราต้องถวายรายงานต่อพระเจ้านั้น เป็นสิ่งน่ากลัวหากเรายังมีบาปอยู่ในชีวิต การสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนจึงจำเป็นต่อชีวิตในภายภาคหน้าของเรา เราต้องมาหาพระองค์ขอทรงลบบาปทั้งสิ้นที่เราไม่ต้องการตีแผ่ให้ใครได้รับรู้!
ฮีบรู 4:14
พระคำข้อนี้ และข้อต่ำ ๆ ไปจะกล่าวถึงพระเยซูในฐานะที่ทรงเป็นปุโรหิตของผู้เชื่อ พระบุตรของพระเจ้าทรงเป็นหลายอย่างในชีวิตของเรา ทรงเป็นพระผู้เลี้ยงที่สละชีวิตของพระองค์ ทรงเป็นพระผู้ไถ่บาป ทรงเป็นแสงสว่างที่นำทางไปยังเป้าหมายคือชีวิตนิรันดร์ ได้อยู่กับพระเจ้าตลอดไปและที่สำคัญ ทรงเป็นผู้ติดต่อกับพระเจ้าเพื่อเราเราไม่ต้องไปสารภาพบาปกับมนุษย์คนใด แต่เรามาหาพระเยซู แล้วเราจะได้เข้าถึงองค์พระบิดา
ฮีบรู 4:15
ทุกคนที่เป็นมนุษย์ แม้ว่าคนๆ นั้น มีหน้าที่ปุโรหิตหรือในสมัยนี้ เป็นอาจารย์ ศิษยาภิบาล ผู้รับใช้ต่างมีความอ่อนแอ และแข็งแรงในแต่ละเวลาไม่เท่ากัน และมีโอกาสที่จะชนะหรือแพ้การทดลองที่ผ่านเข้ามาแต่ละชั่วโมงไม่เท่ากันด้วย พระเยซู
องค์เดียวเท่านั้นที่ทรงเป็นมนุษย์เต็มร้อย ที่ไม่แพ้การทดลองอย่างมนุษย์ทั่วไป พระองค์นี้ที่ทรงเป็นผู้กลางระหว่างพระเจ้ากับเรา เราจึงมีความมั่นใจว่า เราจะผ่านไปสู่ชีวิตนิรันดร์โดยพระองค์
ฮีบรู 4:16
เราจึงเข้ามาเฝ้าพระเจ้าด้วยตัวเองอย่างมั่นใจไม่ต้องหวังพึ่งคนกลางที่เป็นมนุษย์ เมื่อสารภาพบาป เราก็สารภาพกับพระเจ้าโดยตรง ณ ที่นั้นเราจะได้รับพระเมตตา และพระคุณของพระเจ้าที่มนุษย์คนใดไม่อาจให้ได้ ในเวลาเดียวกัน เราอย่าลืมว่า พระเจ้าทรงเป็นองค์ผู้พิพากษาอย่างยุติธรรมด้วย เราเป็นคนบาปตกอยู่ในบาป ถ้าหากเราไม่ได้มารับ มาพบ
พระบัลลังก์แห่งพระคุณ เราจะไหวหรือ??
พระคำเชื่อมโยง
1* ฮีบรู 12:15
3* สดุดี 95:11
4* ปฐมกาล 2:2
5* สดุดี 95:11
7* สดุดี 95:7-8
8* โยชูวา 22:4
11* 2 เปโตร 1:10
12* สดุดี 147:15; อิสยาห์ 49:2; เอเฟซัส 6:17; 1 โครินธ์ 14:24-25
13* สดุดี 33:13-15; 90:8; โยบ 26:6
14* ฮีบรู 2:17; 7:26; ฮีบรู 10:23
15* อิสยาห์ 53:3-5; ลูกา 22:28
16* เอเฟซัส 2:18
สุภาษิต 23 อย่าเห็นแก่กิน
คำกล่าวที่ 7
1 เมื่อเจ้านั่งรับประทานอาหารร่วมกับผู้ครองเมือง
ขอให้เจ้าระมัดระวังว่า มีอะไรวางอยู่ตรงหน้าเจ้า
2 ให้เอามีดจ่อคอหอยตัวเองไว้
หากว่าเจ้าเป็นคนเห็นแก่กิน
3 อย่าไปโลภอยากได้ของโอชะของเขา
เพราะอาหารเหล่านั้นเป็นสิ่งลวง
คำกล่าวที่ 8
4 อย่าตรากตรำทำงานจนหมดแรงเพื่อที่จะร่ำรวย
จงฉลาดพอที่จะยับยั้งตนเองไว้
5 แค่เจ้า ชายตามองความมั่งคั่ง มันก็หายไป
เพราะมันติดปีกของมันเอง บินลับฟ้าไปเหมือนนกอินทรี
คำกล่าวที่ 9
6 อย่าไปกินอาหารของคนตระหนี่
และอย่าไปอยากกินอาหารที่ดูอร่อยของเขา
7 เพราะในใจของเขานั้นจะคอยคิดราคาตามไปเสมอ
เขาพูดกับเจ้าว่า “มากินและดื่มเถอะ”
แต่ใจของเขาไม่ได้คิดอย่างนั้น
8 เจ้าจะอาเจียนสิ่งที่กินเข้าไปเพียงนิดหน่อย
และเสียดายคำพูดที่เจ้าได้พูดยกย่องเขา
คำกล่าวที่ 10
9 อย่าไปร่วมวงสนทนากับคนโง่
เพราะเขาจะดูหมิ่นปัญญาที่เจ้ากล่าวออกมา
คำกล่าวที่ 11
10 อย่าย้ายหลักเขตเก่าแก่
หรือรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของลูกกำพร้าพ่อ
11 เพราะองค์พระผู้ไถ่ของเขาทรงเข้มแข็ง
จะทรงว่าความต่อสู้เจ้าให้เขาด้วยพระองค์เอง
คำกล่าวที่ 12
12 จงให้ใจของเจ้าใส่ใจคำตักเตือน
และให้หูของเจ้าตั้งใจฟังคำแห่งความรู้
คำกล่าวที่ 13
13 อย่ายับยั้งการฝึกวินัยให้เด็ก
แม้เจ้าตีสอนเขาด้วยไม้เรียว เขาจะไม่ตาย
14 หากเจ้าตีสอนเขาด้วยไม้เรียว
เจ้าจะช่วยวิญญาณของเขาจากแดนตาย
คำกล่าวที่ 14
15 ลูกเอ๋ย หากใจของเจ้ามีปัญญา
ใจของเราก็จะยินดีจริง ๆ
16 ส่วนลึกของใจเราจะยินดียิ่งนัก
เมื่อเจ้าพูดสิ่งที่ถูกต้อง
คำกล่าวที่ 15
17 อย่าหลงไปอิจฉาคนบาป
แต่จงตั้งหน้ายำเกรงพระเจ้าตลอดไป
18 เพราะมีอนาคตให้แน่
และความหวังของเจ้าจะไม่ถูกตัดออกไป
คำกล่าวที่ 16
19 ลูกเอ๋ย จงตั้งใจฟัง และเป็นคนฉลาด
และรักษาใจของเจ้าให้อยู่ในทางที่ถูกต้อง
20อย่าไปร่วมวงกับคนขี้เหล้าและคนตะกละกินเนื้อ
21 เพราะคนขี้เหล้าและคนตะกละจะกลายเป็นคนยากจน
และความง่วงเหงาทำให้เหลือแต่ผ้าขี้ริ้วพันตัว
คำกล่าวที่ 17
22จงฟังพ่อที่ให้กำเนิดเจ้ามา
และอย่าดูหมิ่นแม่ของเจ้าที่ชราแล้ว
23 จงซื้อความจริงไว้ อย่าขายความจริงนั้นไป
จงซื้อปัญญา คำสอน และความเข้าใจ
24 พ่อของคนเที่ยงธรรมจะยินดีมาก
และพ่อที่มีลูกซึ่งมีปัญญาก็จะชื่นชมกับลูกของเขา
25 ขอให้พ่อและแม่ของเจ้าได้ยินดี
และขอให้เธอที่ให้กำเนิดเจ้านั้นได้ชื่นใจ
คำกล่าวที่ 18
26 ลูกชายเอ๋ย ขอใจของเจ้าให้เราเถิด
และให้สายตาของเจ้านั้นชื่นชมกับทางของเรา
27 เพราะหญิงโสเภณีนั้นเป็นดั่งหลุมลึก
และคนเป็นชู้ก็เป็นบ่อที่คับแคบ
28 เธอซุ่มตัวอยู่เหมือนโจร
และเพิ่มจำนวนชายที่ไม่ซื่อสัตย์ต่อภรรยา
คำกล่าวที่ 19
29 ใครที่เจอความทุกข์? ใครที่เศร้าใจ?
ใครที่ต้องเจอกับการวิวาท? ใครมีเรื่องร้องทุกข์?
ใครต้องบาดเจ็บโดยไม่มีเหตุ? ใครที่ตาแดงก่ำ?
30 ก็คือคนที่จมปลักกับเหล้าองุ่น
คนที่ทดลองชิมเหล้าผสม
31 อย่าไปจับตาดูเหล้าองุ่นเมื่อมันยังมีสีแดง
เมื่อมีฟองส่องประกายวับในแก้ว
และลื่นลงคอง่าย ๆ
32 ในที่สุดมันจะฉกกัดเหมือนงู
และพ่นพิษออกมาดั่งงูพิษ
33 ตาของเจ้าจะมองเห็นภาพหลอน
และความคิดของเจ้าจะสับสนอลเวง
34 เจ้าจะเป็นเหมือนคนที่นอนลอยกลางทะเล
เหมือนคนที่นอนอยู่บนยอดเสากระโดงเรือ
35 เจ้าจะพูดออกมาว่า
“พวกเขาฟาดข้า แต่ข้าก็ไม่เห็นจะเจ็บเลย
เขาทุบตีข้า แต่ข้าก็ไม่รู้สึกอะไร
เมื่อไรหนอที่ข้าจะสร่างเมา และจะไปดื่มอีกสักแก้ว?”
พระคำเชื่อมโยง สุภาษิต 23
4* 1 ทิโมธี 6:9-10; โรม 12:16
6* เฉลยธรรมบัญญัติ 15:9
7* สุภาษิต 12:2
9* มัทธิว 7:6
11* สุภาษิต 22:23
13* สุภาษิต 13:24
17* สดุดี 37:1; สุภาษิต 28:14
18* สดุดี 37:37
20* อิสยาห์ 5:22
22* สุภาษิต 1:8
23* มัทธิว 13:44
24* สุภาษิต 10:1
27* สุภาษิต 22:14
28* สุภาษิต 7:1229* อิสยาห์ 5:11-12;
ปฐมกาล 49:12
30* เอเฟซัส 5:18; สดุดี 75:8
35* เยเรมีย์ 5:3 ; เอเฟซัส 4:19
สุภาษิต 22 คำกล่าวจากคนมีปัญญา
1 ชื่อเสียงที่ดีนั้นน่าปรารถนายิ่งกว่าความมั่งคั่ง
การเป็นที่โปรดปรานก็ดีกว่าเงินและทอง
2 สิ่งหนึ่งที่คนรวยคนจนเป็นเหมือนกัน
นั่นคือ พระยาห์เวห์ทรงสร้างพวกเขามา
3 คนฉลาดเห็นอันตรายแล้วก็หลบให้พ้น
แต่คนเขลากลับก้าวออกไปและต้องเผชิญกับผลที่ตามมา
4 รางวัลของความถ่อมใจและความยำเกรงพระยาห์เวห์
คือความมั่งคั่ง เกียรติยศ และชีวิต
5 หนามและกับดักเรียงรายอยู่ในทางของคนหัวแข็ง
คนที่ระวังรักษาใจของตนจะอยู่ห่างจากทางนั้น
6 จงฝึกฝนอบรมเด็กในทางที่เขาควรจะเดินไป
และเมื่อเขาเติบโตขึ้น เขาจะไม่พรากไปจากทางนั้น
7 คนมั่งคั่งปกครองคนยากจน
และลูกหนี้ก็จะเป็นทาสรับใช้เจ้าหนี้ของเขา
8คนที่หว่านความอยุติธรรมจะได้เก็บเกี่ยววิบัติ
และอำนาจที่โกรธเกรี้ยวของเขาจะถูกทำลาย
9 คนที่มีน้ำใจจะได้รับพระพร
เพราะเขาได้แบ่งอาหารให้กับคนยากจน
10 จงไล่คนช่างเยาะออกไป แล้วความขัดแย้งจะจากไป
แม้กระทั่งการวิวาท และการดูหมิ่นก็จะหยุดลงด้วย
11 คนที่รักใจบริสุทธิ์ และวาจาอ่อนโยน
จะได้กษัตริย์มาเป็นเพื่อน
12 พระเนตรของพระยาห์เวห์ทรงปกป้องความรู้
แต่ทรงลบล้างคำพูดของคนไม่ซื่อตรง
13 คนเกียจคร้านกล่าวว่า
“มีสิงโตอยู่ข้างนอก! ฉันจะถูกมันฆ่ากลางถนน!”
14 ปากของหญิงที่เป็นชู้นั้นเหมือนหลุมลึก
คนที่พระเจ้าทรงพิโรธจะตกลงในหลุมนั้น
15 มีความโง่อยู่ในใจของเด็ก
แต่การฝึกวินัยด้วยการตีสอน
จะไล่ความโง่นั้นออกไปไกลจากตัวเขา
16 การกดขี่คนยากจนเพื่อทำให้ตนมั่งคั่ง
หรือการมอบของกำนัลให้แก่คนรวย
จะนำสู่ความยากจนเป็นแน่
คำกล่าวของคนมีปัญญา สามสิบข้อ
คำกล่าวที่ 1
17 จงเอียงหูของเจ้าฟังคำของคนมีปัญญา
และใส่ใจในความรู้ของเรา
18 เพราะเมื่อเจ้ารักษามันไว้ในใจก็เป็นความชื่นใจ
โดยให้เจ้าพร้อมที่จะเอ่ยคำเหล่านั้นออกมา
19 เพื่อว่าเจ้าจะวางใจในองค์พระยาห์เวห์
เราสอนให้เจ้าเรียนรู้ในวันนี้ ใช่แล้ว เจ้านั่นเอง
20 เราไม่ได้เขียนคำกล่าวสามสิบข้อให้เจ้าหรือ
เป็นทั้งคำปรึกษา และความรู้
21 เพื่อทำให้เจ้ารู้จักคำที่เป็นจริงซึ่งวางใจได้
และเจ้าจะได้ตอบให้กับคนที่ส่งเจ้าไป?
คำกล่าวที่ 2
22 อย่าปล้นคนยากจนเพราะเขายากจน
และอย่าขยี้คนที่ยากไร้ที่ประตูเมือง
23 เพราะพระยาห์เวห์จะทรงว่าความให้กับพวกเขา
และจะทรงยึดคืนจากคนที่ปล้นพวกเขามา
คำกล่าวที่ 3
24 อย่าเป็นเพื่อนกับคนที่โกรธง่าย
และอย่าไปสังสรรค์กับคนที่ใจร้อน
25 เพราะเจ้าอาจไปเลียนแบบเขา
และทำให้ตนเองติดกับดัก
คำกล่าวที่ 4
26 อย่าไปให้คำสัญญาใด ๆ
หรือประกันคนหนึ่งคนใด
27 หากเจ้าไม่มีอะไรจะจ่ายค่าชดใช้
ทำไมจะให้เขามายึดเตียงนอนของเจ้าไปเล่า?
คำกล่าวที่ 5
28 อย่าเคลื่อนย้ายหลักเขตที่เก่าแก่
ซึ่งบรรพบุรุษของเจ้าได้ปักเอาไว้
คำกล่าวที่ 6
29 เจ้าเห็นคนที่มีความเชี่ยวชาญในงานของเขาไหม?
เขาจะได้รับใช้เหล่ากษัตริย์ เขาจะไม่ต้องรับใช้คนธรรมดาทั่วไป
พระคำเชื่อมโยง สุภาษิต 22
1* ปัญญาจารย์ 7:1
2* สุภาษิต 29:13; โยบ 31:15
3* สุภาษิต 27:12
6* เอเฟซัส 6:4
7* ยากอบ 2:6
8* โยบ 4:8
9* 2 โครินธ์ 9:6; สุภาษิต 19:17
10* สดุดี 101:5
11* สดุดี 101:6
13* สุภาษิต 26:13
14* สุภาษิต 2:16; 5:3; 7:5; ปัญญาจารย์ 7:26
15* สุภาษิต 13:24; 23:13,14
21* ลูกา 1:3-4; 1 เปโตร 3:15
22* อพยพ 23:6
23* 1 ซามูเอล 24:12
24* สุภาษิต 29:22
26* สุภาษิต 11:15
28* เฉลยธรรมบัญญัติ 19:14; 27:17
ฮีบรู 3 มั่นคงจนจบ
พระบุตรทรงซื่อตรง
3:1 ดังนั้น เหล่าพี่น้องผู้บริสุทธิ์ผู้มีส่วนในการทรงเรียกจากสวรรค์ จงใส่ใจ จดจ่อที่พระเยซูผู้ทรงเป็นองค์อัครทูต และมหาปุโรหิตซึ่งเรารับว่าเราเชื่อพระองค์
3:2 พระองค์ทรงซื่อตรงต่อพระเจ้าผู้ทรงแต่งตั้งพระองค์ เหมือนกับที่โมเสส
ซื่อตรงต่อทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับบ้านของพระเจ้า
3:3 เหตุว่าพระเยซูทรงสมควรที่จะรับเกียรติยิ่งใหญ่กว่าเกียรติของโมเสส
ดังที่ผู้สร้างบ้านย่อมมีเกียรติกว่าตัวบ้าน
3:4-5 และบ้านทุกหลังก็จะมีผู้สร้างแต่พระเจ้าทรงเป็นผู้สร้างทุกสิ่ง โมเสสซื่อตรงในฐานะที่ท่านเป็นผู้รับใช้ทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับบ้านของพระเจ้า เป็นพยานเรื่องต่าง ๆที่พระเจ้าจะตรัสในเวลาต่อมา
3:6 แต่พระคริสต์ทรงซื่อตรงในฐานะบุตรชายที่ทรงครอบครองบ้านของ
พระเจ้า และเรานี่แหละคือบ้านของพระเจ้า หากเรายืนหยัดใน
ความมั่นใจ และความยินดีในความหวังอย่างมั่นคงจนถึงที่สุด
ภักดีต่อพระสุรเสียง
3:7-8 ดังนั้น ตามที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ตรัสไว้คือ
“วันนี้ ถ้าเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์
ก็อย่าทำใจแข็งเหมือนครั้งที่เจ้าได้ดื้อรั้นต่อเราในวันที่ถูกทดสอบในถิ่นกันดาร
3:9-11 เป็นที่ซึ่งบรรพบุรุษของเจ้าได้ทดสอบและลองดีกับเรา
ทั้งที่ได้เห็นแล้วว่าราชกิจของเราคืออะไรในสี่สิบปีนั้น
เราจึงกริ้วต่อคนรุ่นนั้น และเรากล่าวว่า
“ใจของพวกเขาโน้มเอียงที่จะหลงผิดเสมอ
และไม่รู้จักหนทางของเรา
เราจึงสาบานในความโกรธของเราว่า
“พวกเขาจะไม่มีวันได้เข้าในการพักของเรา”
ให้กำลังใจกันในวันนี้
3:12-13 พี่น้องทั้งหลาย จงระวังระไวว่า จะไม่มีคนใดในพวกท่านมีใจโฉดชั่ว และไม่เชื่อแล้วหันหลังไปจากพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์
แต่จงให้กำลังใจกันทุกวันตราบเท่าที่เรียกว่า
“วันนี้” เพื่อว่าจะไม่มีใครสักคนในพวกท่านใจแข็งไปเพราะการล่อลวงของบาป
3:14-15 เราได้มามีส่วนร่วมกับพระคริสต์
หากเรามั่นคงในความเชื่อมั่นที่เรามีแต่ต้นจนถึงที่สุด
ตามที่มีการกล่าวไว้ว่า “วันนี้ หากว่าเจ้าได้ยิน
พระสุรเสียงของพระองค์
ก็อย่าทำให้ใจของเจ้าแข็งกระด้างเหมือนในวันที่เจ้ากบฏ”
ความล้มเหลวของคนในถิ่นกันดาร
3:16-17 ใครนะที่เป็นคนที่ได้ยินแล้วยังกบฏ? ไม่ใช่ทุกคนที่โมเสสได้พาออกมาจากอียิปต์หรอกหรือ? แล้วพระเจ้าทรงโกรธใครเป็นเวลาสี่สิบปีเล่า? ไม่ใช่คนที่ทำบาป แล้วร่างของพวกเขาก็ล้มตายในถิ่นกันดารหรอกหรือ?
3:18-19 แล้วพระเจ้าทรงปฏิญาณกับใครว่าจะไม่ได้เข้าที่พักของพระองค์
ถ้าไม่ใช่คนที่ขาดการเชื่อฟัง? ดังนั้น เราจึงเห็นว่า ที่พวกเขาไม่อาจเข้าไปได้ก็เป็นเพราะพวกเขาไม่เชื่อ
อธิบายเพิ่มเติม
ฮีบรู 3:1
ผู้มีส่วนในการทรงเรียก กับคำว่า สหาย ใน 1:9 เป็นคำ ๆ เดียวกัน ผู้เขียนให้เราตั้งใจ พินิจพิจารณาความซื่อตรงขององค์พระเยซู ผู้ทรงเป็น
ทั้งอัครทูตและปุโรหิต พระคำตอนนี้ย้ำว่าพระเยซูทรงเป็นทั้งผู้ที่พระเจ้าทรงส่งมาเพื่อจะทำให้โลกได้รู้จักพระบิดา (ยอห์น 14:7)และเป็นตอนเดียวที่เน้นถึงตำแหน่งของพระองค์ทั้งสองตำแหน่งคือผู้ที่ถูกส่งมา และในฐานะปุโรหิต ทรงผู้ที่เป็นสื่อกลางระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์
ฮีบรู 3:2
คนยิวที่เป็นคริสเตียนเป็นคนได้รับจดหมาย พวกเขาเห็นว่าโมเสสเป็นผู้รับใช้ที่ยิ่งใหญ่กว่าใครผู้เขียนได้เปรียบเทียบพระเยซูกับโมเสส ว่า
ทั้งสองต่างชื่อตรงต่อหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมาสิ่งที่โมเสสได้ทำในสมัยของท่านต่างเป็นเหมือนเงาของสิ่งที่จะเกิดขึ้นในสมัยของพระเยซู ท่านทั้งสองเป็นผู้ดูแลที่ซื่อตรงในงานของท่าน( 1 โครินธ์ 4:2, กันดารวิถี 12:7, ฮีบรู 2:17)
ฮีบรู 3:3
ตัวบ้านในที่นี้คือชุมชนของพระเจ้าที่พระเยซูทรงสร้างขึ้นด้วยพระโลหิตของพระองค์ พระเยซูทรงยิ่งใหญ่กว่าโมเสส เพราะพระองค์ทรงเป็นผู้สร้างบ้านหรือครอบครัว หรือชุมชนของผู้เชื่อด้วยพระองค์เอง โมเสสนั้นเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนผู้เชื่อเขาไม่ได้เป็นผู้สร้างอย่างที่พระเยซูทรงทำ เอเฟซัส 2:19-22 “สมาชิกในครอบครัวของพระเจ้าซึ่งมีรากฐานอยู่บนอัครทูต ผู้กล่าวพระคำและพระเยซูคริสต์ทรงเป็นศิลามุมเอก”
ฮีบรู 3:4-5
สิ่งที่โมเสสได้สร้าง ต่างชี้ไปยังพระผู้ช่วยให้รอดที่จะมา ท่านเป็นผู้รับใช้ที่สร้างพลับพลาขึ้นตามรายละเอียดทุกขั้นตอน ท่านเป็นผู้ดูแล “บ้าน”
ของพระเจ้าหรือชุมชนอิสราเอลในเวลานั้น โดยที่ทุกสิ่งที่ท่านทำชี้ไปยังราชกิจของพระเยซูที่ทรงสร้าง ดูแล “บ้าน” ของพระเจ้าในสมัยของ
พระองค์ คือทั้งคนอิสราเอล และคนต่างชาติที่รวมตัวกันเป็นคริสตจักรของพระเจ้า คนของพระเจ้าจากโมเสสถึงปัจจุบัน คือ บ้าน ที่กล่าวถึง
ฮีบรู 3:6
นี่ไง พวกเราที่เชื่อ คือบ้านแท้ของพระคริสต์ คนที่อยู่ในพระคริสต์ คือสมาชิกแท้ในครอบครัวยิ่งใหญ่นี้ การมีคริสตจักรจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก พระคริสต์ประทับอยู่กับกลุ่มผู้เชื่อทรงเป็นพระบุตรที่เป็นศีรษะของชุมชนนี้ โคโลสี 1:18 และพระองค์ยังทรงเป็นศิลามุมเอกด้วย (เอเฟซัส 2:19-22)
คริสตจักร เป็นคนกลุ่มที่มั่นใจ มั่นคงในองค์พระเยซูผู้เป็นบุตรชายที่ครองบ้านจนถึงที่สุด
ฮีบรู 3:7-8
พระคำตอนต่อไปนี้ พระเจ้าตรัสถึงการพักผ่อนฝ่ายวิญญาณ เล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในเมรีบาห์ และมัสสาห์ในถิ่นกันดาร (ฮีบรูเอาคำมาจากสดุดี 95
เหตุการณ์จริงบันทึกไว้ที่ อพยพ 17) เรื่องของเรื่องคือ หากพระเจ้าตรัส ก็อย่าดื้อ อย่าหาเหตุผลมากลบเกลื่อนพระบัญชาของพระองค์ วันแห่งการ
ทดสอบครั้งนั้น มีมาเพื่อคนอิสราเอล แล้วพวกเขาไม่ผ่านการทดสอบ เพราะพบว่า พวกเขาไม่ได้วางใจ ไม่เชื่อฟัง บ่น ว่า ยั่วยุเหมือนเดิม
ฮีบรู 3:9-11
พระเจ้าทรงให้พวกเขาเข้าไปในแผ่นดินที่สัญญา แต่พวกเขากับปฏิเสธ เพราะกลัวคนในพื้นที่ซึ่งดูตัวใหญ่ น่ากลัว มากกว่าที่จะเกรงกลัวพระเจ้าที่
ทรงนำเขามาตลอดสี่สิบปี พวกเขาเห็นการอัศจรรย์มากมาย คนเป็นล้านที่ต้องการน้ำพระเจ้าก็ประทานน้ำให้อย่างมากมายไม่ใช่เพื่อให้คนดื่มกินคนละนิดละหน่อย แต่ประทานให้อย่างล้นเหลือ ถึงกระนั้นพวกเขายังไม่สำนึกในความรักยิ่งใหญ่ของพระเจ้าที่ทรงช่วยพวกเขามาโดยตลอด
ฮีบรู3:12-13
มีปัจจัยหลายอย่างเกิดขึ้นทำให้ใครคนหนึ่งห่างไปจากทางของพระเจ้า เพื่อนต้องคอยดูเพื่อนว่า มีอะไรบ่งว่าเขากำลังจะออกจากทางของพระเจ้า และการเตือนสติ การอธิษฐานเผื่อจะต้องทำตั้งแต่วันนี้ ไม่ใช่ปล่อยให้เป็นไปจนกู่ไม่กลับ เพราะหากเขาไปไกลแล้ว การจะช่วยให้กลับมาในทางของพระเจ้าก็ยากขึ้นไปอีก ผู้เขียนฮีบรูจึงเตือนสติเราให้ช่วยกันระวังระไว
ฮีบรู 3:14-15
อย่างที่เราบอกว่า การเริ่มต้นดีไม่ได้หมายความว่าจะจบดี เคล็ดลับคือ เราต้องพากเพียรบากบั่น ในการแสวงหาที่จะรู้จักพระเจ้ามากขึ้น เราอย่าไปเชื่อว่า ในพระเจ้ามีความรู้แค่นี้ก็พอ รู้แค่กางเขนคริสตมาส อีสเตอร์ก็พอ ในพระเจ้ามีสิ่งที่เราต้องเรียนรู้ไม่มีวันจบ เราต้องไม่ยอมให้ใจของเราแข็งกระด้างไป ใจแข็งเกิดจากการได้ยินเสียงของพระเจ้าแล้วทำเฉยเมย ไม่นำพา ขอให้เราได้เป็นดินดีที่เกิดผลในสวนแห่งความเชื่อ
ฮีบรู 3:16-17
พระเจ้าทรงนำประชากรของพระองค์ผ่านถิ่นกันดารเพื่อไปสู่ดินแดนที่ทรงสัญญาก็จริง แต่ว่าเป้าหมายสูงสุดของพระองค์นั้น เพื่อพวกเขาจะ
ได้เข้ามาอยู่กับพระองค์ มีการพักอย่างนิรันดร์ในแผ่นดินสวรรค์ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากอียิปต์สู่คานาอัน เป็นเรื่องเดียวกันกับชีวิตของเราที่ออก
จากบาปไปสู่การพักพิงในพระเจ้า ผ่านถิ่นกันดารผ่านการช่วยเหลือของพระเจ้า แล้วเราเองต้องตัดสินใจว่าจะวางใจพระองค์ไปจนสุดทางหรือไม่
ฮีบรู 3:18-19(อ่านกันดารวิถี 14 เพิ่มเติม)
อิสราเอลที่ตายเป็นเบือในถิ่นกันดาร เป็นเพราะการที่พวกเขาไม่เชื่อฟังนั่นเอง อะไรเป็นเหตุที่ทำให้เขาไม่ฟังเสียงของพระเจ้า? อะไรที่ทำให้คิดว่า
พระเจ้าทรงทำผิดไปหมด? ใจขอบพระคุณไม่มี ขอบ่น ขอสู้ ขอทะเลาะกับโมเสส บ่นด่าว่าท่านตลอดมา พวกเขาดื้อดึง ไม่ฟังเสียงของพระเจ้าชวนกันต่อต้าน จนกระทั่งโมเสสก็ไม่ไหว อารมณ์ชั่ววูบที่ตอบโต้พวกเขาทำให้ท่านเองก็ไม่ได้เข้าในแผ่นดินคานาอัน
พระคำเชื่อมโยง
1* สดุดี 110:4
2* กันดารวิถี 12:7
3* เศคาริยาห์ 6:12-13
4* เอเฟซัส 2:10
5* ฮีบรู 3:2; อพยพ 14:31; เฉลยธรรมบัญญัติ 18:15, 18-19
6* ฮีบรู 1:2; 1โครินธ์ 3:16; มัทธิว 10:22
7* กิจการ 1:16; สดุดี 95:7-11
15* สดุดี 95:7-8
16* กันดารวิถี 14:2, 11, 3017* กันดารวิถี 14:22-23
18* กันดารวิถี 14:1019* 1โครินธ์ 10:11-12
ฮีบรู 2 ความรอดจากพระบุตร
อย่าเฉยเมยต่อความรอด
2:1 เราจะต้องใส่ใจต่อสิ่งที่เราได้ยินมากขึ้นกว่าเดิม เพื่อว่าเราจะไม่หลงไป
2:2เพราะหากคำที่ทูตสวรรค์กล่าวนั้นยังมีผลผูกมัด และการล่วงละเมิดการไม่เชื่อฟังทุกอย่างจะได้รับการลงทัณฑ์อย่างยุติธรรม….
2:3 หากเราละเลยความรอดที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ เราจะหนีรอดไปได้อย่างไร? องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นผู้ประกาศเรื่องความรอดมาตั้งแต่แรก และได้รับการยืนยันจากคนที่ได้ยินจากพระองค์
2:4แล้วพระเจ้าก็ทรงยืนยันรับรองด้วยหมายสำคัญ สิ่งมหัศจรรย์ การอัศจรรย์และของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่พระองค์ประทานให้ตามพระดำริของพระองค์
พระบุตรที่ทรงต่ำกว่าทูตสวรรค์ขณะหนึ่ง
2:5-6 พระองค์ไม่ได้ให้ทูตสวรรค์ปกครองโลกในอนาคตที่กำลังมา ซึ่งเรากล่าวถึงแต่มีคนได้กล่าวคำยืนยันไว้ว่า “มนุษย์เป็นใคร ที่พระองค์ทรงคิดถึง? บุตรของมนุษย์เป็นใครที่พระองค์ทรงดูแลรักษาเขา? (สดุดี 8:4)
2:7พระองค์ทรงทำให้ท่านต่ำกว่าทูตสวรรค์ชั่วขณะหนึ่ง พระองค์ทรงสวมมงกุฎแห่งศักดิ์ศรี และเกียรติยศให้แก่ท่าน ทรงให้ท่านอยู่เหนือสรรพสิ่งที่ทรงสร้าง (สดุดี 8:5-8)
2:8 และทรงวางทุกสิ่งไว้ใต้เท้าของท่าน”เมื่อพระเจ้าทรงให้ทุกสิ่งอยู่ในการควบคุมของท่าน จึงไม่มีสิ่งใดเลยที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของท่านแต่ในเวลานี้ เรายังไม่เห็นว่า ทุกสิ่งอยู่ใต้อำนาจของท่าน
2:9 แต่เราเห็นองค์พระเยซู ผู้ทรงถูกจัดให้ต่ำกว่าทูตสวรรค์ชั่วขณะ ทรงรับมงกุฎที่ทรงพระสิริและทรงรับพระเกียรติ เพราะพระองค์ทรงสิ้นพระชนม์อย่างทรมานเพื่อว่า โดยพระคุณของพระเจ้าพระองค์ทรงเผชิญความตายเพื่อทุกคน
นำบุตรมากมายมาถึงพระสิริ
2:10 การที่จะนำบุตรมากมายมาถึงพระสิรินั้นนับว่าเหมาะสมที่พระเจ้าผู้ที่สรรพสิ่งทั้งปวงดำรงอยู่ทั้งเพื่อพระองค์ และโดยพระองค์ จะทรงทำให้ผู้ เปิดทางแห่งความรอดของพวกเขาได้ทรงเพียบพร้อมผ่านการทนทุกข์
2:11 ทั้งสองฝ่ายคือ พระองค์ผู้ทรงชำระให้บริสุทธิ์กับผู้ที่รับการชำระนั้นเป็นครอบครัวเดียวกัน ดังนั้น พระเยซูจึงไม่ทรงละอายที่จะเรียกพวกเขาว่า พี่น้อง
2:12 พระองค์ตรัสว่า “ข้าพเจ้าจะประกาศพระนามของพระองค์แก่พี่น้องทั้งหลายของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะร้องเพลงสรรเสริญพระองค์ท่ามกลางที่ประชุม”(สดุดี 22:22)
2:13 และยังตรัสอีกว่า “ข้าพเจ้าจะวางใจในพระองค์” และตรัสอีกครั้งว่า “ข้าพเจ้า รวมทั้งบุตรที่พระเจ้าประทานให้แก่ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่” (อิสยาห์ 8:17-18)
2:14 บัดนี้ ในเมื่อบุตรทั้งหลายเป็นเลือดเป็นเนื้อ พระองค์ก็จะทรงเข้ามามีส่วนในการเป็นมนุษย์แบบเดียวกับพวกเขา เพื่อว่า พระองค์จะทรงทำลายผู้ที่มีอำนาจแห่งความตายคือมารด้วยการสิ้นพระชนม์
ทรงเป็นเหมือนพี่น้องทุกประการ
2:15-16 และจะทรงช่วยปลดปล่อยผู้ที่ทั้งชีวิต
ตกเป็นทาสความกลัวตายเพราะพระองค์มิได้ทรงช่วยเหล่าทูตสวรรค์
แต่ทรงช่วยลูกหลานของอับราฮัม
2:17 ด้วยเหตุนี้ จึงต้องให้พระองค์เป็นเหมือนพี่น้องของพระองค์ทุกประการ
เพื่อว่าจะทรงมาเป็นมหาปุโรหิตผู้ทรงเต็มด้วยความเมตตา
และทรงซื่อตรงในการรับใช้พระเจ้า
เพื่อจะทรงลบล้างบาปให้กับผู้คนทั้งหลาย
2:18 เพราะพระองค์เองทรงเป็นทุกข์เมื่อทรงถูกทดลองใจพระองค์
จึงทรงสามารถที่จะช่วย (ทั้งปลอบใจและช่วยกู้)
เหล่าคนที่ถูกทดลองใจ
อธิบายเพิ่มเติม
ฮีบรู 2:1
เวลาเรารู้เรื่องอะไร ไม่ว่าจะใหม่ เก่า ใกล้ตัวหรือไกลตัว หากว่าเราได้ยินแล้ว เราก็ปล่อยให้ผ่านไปโดยไม่สนใจ อีกไม่กี่วันเราก็จะลืม และสิ่งที่รู้ก็ไม่ส่งผลต่อชีวิตในทางที่ดี เหมือนกับเวลาเราลอยตัวในน้ำ แล้วปล่อยให้น้ำพาเราล่องลอยไปตามสายลมที่พัดมา วิธีง่ายสุดที่เราจะไม่ได้พบแผ่นดินสวรรค์แต่กลับเจอนรกก็คือ การที่เราปล่อยชีวิตไปวัน ๆ ห่างจากพระเจ้าไปทีละน้อยจนกู่ไม่กลับค่อย ๆ ลืมพระองค์ ค่อย ๆ ล่องลอยออกไป
ฮีบรู 2:2
ตั้งแต่สมัยโบราณมา เมื่อคนอิสราเอลไม่เชื่อฟังพระเจ้า จะมีผลสืบเนื่องเสมอมา ตอนที่พวกเขาหันไปไหว้รูปวัวทองคำ พระเจ้าทรงให้เกิดภัยพิบัติแก่พวกเขา (อพยพ 32:35) และเมื่ออาคานเก็บของบางสิ่งที่พระเจ้าไม่ทรงอนุญาต เขาและครอบครัวก็ถูกหินขว้างจนตาย (โยชูวา 7)ผู้เขียนฮีบรูได้เตือนสติ
ให้เรา เอาใจใส่สิ่งที่เราฟังจากพระคำ อ่านจากพระคัมภีร์ สิ่งที่ได้ยินจาก การเตือนสติจากคนรอบข้าง
ฮีบรู 2:3
ความรอดที่ยิ่งใหญ่นี้ มีมาเพื่อชาวโลกผ่านการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน พระเจ้าทรงบอกเราเรื่องความรอดมาตั้งแต่หนังสือปฐมกาล เป็นเพราะพระเจ้าไม่ทรงประสงค์ให้มนุษย์แม้สักคนเดียวต้องพินาศ และทรงยื่นความรอดให้พวกเขาโดยพระบุตรของพระองค์ แต่สำหรับคนที่ปฏิเสธ คนที่คิดว่าตนเองเก่งกว่าพระเจ้า เขาก็จะไม่ได้รับความรอดนั้น
ฮีบรู 2:4
เรื่องของความรอดผ่านทางพระเยซูคริสต์นี้ เป็นเรื่องที่เชื่อถือได้แน่นอน เพราะว่า พระเจ้าทรงให้เกิดหมายสำคัญ การอัศจรรย์ต่าง ๆ ในทั้งในเวลาที่พระเยซูทรงอยู่ในโลกนี้ รวมไปถึงของประทานแห่งพระวิญญาณ ที่ทำให้เกิดผลดีในคริสตจักรในเวลาต่อมา เหตุการณ์ต่าง ๆ ดังกล่าวมีพยานเห็น และบันทึกไว้อย่างชัดเจน เรื่องที่คนเห็นเป็นพยานนั้นสำคัญ และเมื่อบอกว่าพระเจ้าทรงรับรองว่าเป็นจริงก็สำคัญมากขึ้นอีก
ฮีบรู 2:5-6
แล้วผู้เขียนก็ยืนยันกับคนยิวที่คิดว่า ทูตสวรรค์ใหญ่ และคงจะได้ปกครองโลก .. ทูตสวรรค์ไม่ใช่ผู้ที่จะครองมนุษยชาติ แต่จะเป็นมนุษย์ผู้หนึ่งที่เป็นมนุษย์พิเศษกว่าใคร ๆ เพราะท่านผู้นั้น เป็นทั้งมนุษย์และพระเจ้าเต็มร้อย ในฮีบรู 1:3ย้ำว่า พระบุตรทรงเป็นรัศมีแห่งพระเกียรติสิริตระการของพระเจ้า และข้อต่อมาบอกว่าทรง
ดำรงสถานะเหนือเหล่าทูตสวรรค์ เพราะว่าพระนามสูงส่งเหนือกว่านามของทูตสวรรค์
ฮีบรู 2:7
มนุษย์ท่านนี้ เป็นผู้ที่ถูกทำให้ต่ำกว่าทูตสวรรค์เพราะท่านลงมาเป็นมนุษย์เต็มตัว แต่เป็นชั่วเวลาหนึ่งเท่านั้น พระเจ้าไม่ได้ให้พระเยซูทรงมาเป็นทูตสวรรค์ แต่ให้เป็นมนุษย์ พระเจ้าทรงให้สิทธิครอบครองแก่มนุษย์ ไม่ใช่แก่ทูตสวรรค์ ผู้ที่มีเกียรติและศักดิ์ศรีสูงกว่าผู้ใดในจักรวาลคือพระเยซูคริสต์ ผู้เขียนฮีบรูได้ย้ำเตือนผู้อ่านที่
เป็นยิวให้รู้ว่า พระเยซูทรงยิ่งใหญ่กว่าทูตสวรรค์ที่พวกเขาเคารพ
ฮีบรู 2:8
การที่บอกว่า พระเยซูทรงมีเกียรติสูงเหนือผู้ใด เราต้องเข้าใจด้วยว่า ทุกสิ่งในเอกภพอยู่ในการควบคุม ครอบครองของพระเยซู ตั้งแต่สัตว์โลกตัวจิ๋วอย่างจุลินทรีย์จำนวนมากมายที่มองไม่เห็นด้วยตา ไปจนถึงดวงดาวมหึมาที่ใหญ่กว่าโลกหลายล้านเท่า ไม่ใช่แค่นั้น แต่วิญญาณทุกดวงในเอกภพก็เป็นของพระองค์เช่นกัน ทรงอยู่เหนือทั้งวิญญาณทูตสวรรค์ และมนุษย์ตอนนี้เรามองไม่เห็น แต่ความจริงคืออย่างนั้น
ฮีบรู 2:9
การที่พระเยซูทรงลงมาเป็นมนุษย์และรับสภาพมนุษย์ ก็เพื่อว่าพระองค์จะทรงสิ้นพระชนม์ และคืนพระชนม์ เสด็จสู่สวรรค์ ซึ่งเป็นชัยชนะเหนือความตายที่ยิ่งใหญ่นัก ชัยชนะนี้ ทำให้มนุษย์มีโอกาสที่จะได้รับชีวิตนิรันดร์ผ่านความเชื่อวางใจในพระองค์ และที่พระองค์ทรงเผชิญความตายโดยที่ความตายไม่สามารถยึดพระองค์ในแดนตาย
ได้ก็โดยพระคุณของพระบิดาเจ้า (กิจการ 2:24)
ฮีบรู 2:11
พระคำตอนนี้สุดยอด .. พระเยซูทรงมองว่า เราเป็นพี่น้องของพระองค์ เป็นครอบครัวเดียว พระบิดาองค์เดียวกัน ที่ทรงเรียกเราว่า เป็นพี่น้องได้นั้น เพราะว่า พระองค์ทรงมาเป็นมนุษย์แบบพวกเรา พระองค์ทรงชำระเราให้บริสุทธิ์ด้วยการสละพระชนม์เป็นเครื่องบูชาลบบาปให้แล้วเราเอง เป็นคนบาปที่ไม่อาจจะเรียกพระองค์ว่าเป็นพี่น้องได้ แต่พระองค์กลับทรงเป็นผู้ยื่นความเป็นพี่น้องให้กับเรา
ฮีบรู 2:12
ในสดุดี 22 เล่าถึงการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูล่วงหน้า และคำสัญญาว่าจะประกาศพระนาม จะร้องเพลงสรรเสริญในหมู่ผู้คน .. พระเยซูทรงประกาศพระนามของพระเจ้าแก่เหล่าคนอิสราเอลและทรงสรรเสริญพระเจ้าก็คนเหล่านั้นในศาลาธรรมก็จริง แต่ทุกวันนี้ พระวิญญาณของพระองค์ก็ทรงดลใจให้ผู้รับใช้ประกาศพระนามไม่หยุด เรารู้ว่า พระเยซูทรงอยู่ท่ามกลางพี่น้องทั่วโลกขณะที่เขารวมตัวกันเพื่อพระนาม (มัทธิว 18:20)
ฮีบรู 2:13
ตอนที่พระเยซูทรงอยู่บนไม้กางเขน พระองค์ทรงวางใจในพระเจ้าว่า จะทรงช่วยกู้ให้พ้นจากโลกแห่งความตายอย่างแน่นอน เป็นความวางใจที่สะท้อนมาจากสดุดี 18:16-17 พระเยซูทรงมองเห็นว่า คนที่วางใจในพระองค์นั้น
มีค่ายิ่งนัก พวกเขาเป็นคนที่พระบิดาเจ้าประทานให้ ผู้ที่เชื่อวางใจเป็นของขวัญจากพระบิดาและเป็นผู้ที่พระองค์จะทรงรักษาไม่ให้หายไปจากสายพระเนตร (ยอห์น 6:39)
ฮีบรู 2:14
ผู้เขียนได้แจ้งให้เราทราบว่า ผู้กำอำนาจความตายของมนุษยชาติไว้ในมือคือมาร มารได้อำนาจนี้มาเมื่ออาดัมและเอวาได้หลงเชื่อ และพ่ายแพ้การหลอกลวงของมัน มันพยายามให้มนุษย์สิ้นชีวิตโดยปราศจากพระเจ้า จะได้ลงนรกห่างจากพระเจ้าตลอดไป แต่หากพวกเขาเชื่อพระองค์ ความตายไม่อาจมีชัยชนะเหนือพวกเขาได้ พระเยซูได้ทรงถือกุญแจแห่งความตายแล้ว (วิวรณ์ 1:17-18)
ฮีบรู 2:15-16
พระเยซูคริสต์เท่านั้นที่จะทำให้เราไม่ตกอยู่ในความกลัวตาย ศาสนาต่าง ๆ ทำให้เรารู้ว่า มนุษย์กลัวความตายมากเพียงไร เพราะพยายามหาหนทางไปอยู่ในภพดี ๆ หลังจากที่ตายไปแล้วแต่..เสียดายที่ทำอย่างไรไม่มีวันสำเร็จเพราะค่าจ้างของบาปคือตาย! (โรม 6:23)ทางเดียวที่จะไปได้คือ ต้องไปทางเจ้าของสวรรค์ ทางเดียวคือทางพระเยซูคริสต์ (ยอห์น 14:6)
ฮีบรู 2:17
พระเยซูไม่ได้ทรงมาช่วยทูตสวรรค์ที่หลงทางไปพรอมกับมาร แต่ทรงมาเพื่อช่วยมนุษย์ที่หลงทางไปเพราะมาร วิธีเดียวที่จะทำให้พระองค์ลบล้างบาปพวกเขาได้คือ มาเป็นพวกเดียวกับเขา มารับรสชาติความเป็นมนุษย์ โดยอย่างเดียวที่ไม่ทรงเหมือนพวกเขาคือ พระองค์ทรงปราศจากความบาป พระองค์ไม่ได้ทรงช่วยตามหน้าที่ แต่ด้วยความรักเมตตาอย่างที่พระบิดาทรงเมตตาสงสารพวกเขา
ฮีบรู 2:18
บทบาทของผู้ที่จะปลอบใจ และช่วยกู้มนุษย์ที่ต้องเจอกับความทุกข์ยากนั้น ไม่ใช่เป็นของทูตสวรรค์ เพราะพวกเขาไม่อาจจะเข้าใจความรู้สึกของมนุษย์ได้เหมือนพระบุตรของพระเจ้าที่ลงมาบังเกิดเป็นมนุษย์ด้วยพระองค์เอง พระองค์ได้ทรงเผชิญกับความอ่อนแอ ความเหน็ดเหนื่อยความทุกข์ยากของความเป็นมนุษย์ ทั้งที่ทรงพบด้วยพระองค์เอง ทั้งที่ทรงพบในผู้คนรอบข้างที่มาขอความช่วยเหลือไม่หยุดหย่อน
พระคำเชื่อมโยง
2* กิจการ 7:53; กันดารวิถี 15:30
3* ฮีบรู 10:28; มัทธิว 4:17; ลูกา 1:2
4* กิจการ 2:22, 43
5* 2 เปโตร 3:13
6* สดุดี 8:4-6
8* มัทธิว 28:18; 1โครินธ์ 15:25, 27
9* ฟีลิปปี 2:7-9; กิจการ 2:33; 3:13; ยอห์น 3:16
10* โคโลสี 1:16; ฮีบรู 5:8-9; 7:28
11* ฮีบรู 10:10; กิจการ 17:26; มัทธิว 28:10
12* สดุดี 22:22
13* 2 ซามูเอล 22:3;อิสยาห์ 8:17-18
14* ยอห์น 1:14; โคโลสี 2:15; 2 ทิโมธี 1:10
15* อิสยาห์ 42:7; 49:9; 61:1 ; ลูกา 1:7417* ฮีบรู 4:15; 5:1-10
18* ฮีบรู 4:15-16
สุภาษิต 21 ชัยชนะมาจากพระเจ้า
1 พระทัยขององค์กษัตริย์เป็นดั่งธารน้ำในพระหัตถ์ของพระยาห์เวห์
จะทรงเปลี่ยนสายน้ำไปยังทิศที่ทรงพอพระทัย
2 สำหรับมนุษย์แล้ว ทางทั้งสิ้นของเขาก็ดูเหมือนถูกต้อง
แต่พระยาห์เวห์ทรงตรวจสอบชั่งใจของเขา
3 ที่จะทำความเที่ยงธรรมและความยุติธรรม
ก็เป็นสิ่งที่พระยาห์เวห์ทรงพอพระทัยมากกว่าของถวายบูชา
4 สายตาเย่อหยิ่งและหัวใจยโส
และตะเกียงนำทางของคนชั่วร้ายล้วนเป็นความบาป
5 แผนการของคนที่ขยันขันแข็งนำความมั่งคั่ง
พอ ๆ กับความรีบร้อนที่นำความยากจน
6 ความร่ำรวยที่ได้มาจากการโกหกนั้น
เป็นเหมือนไอน้ำที่ระเหยหายไป เป็นกับดักแห่งความตาย
7 ความรุนแรงของคนโหดร้ายจะกวาดพวกเขาไป
เพราะพวกเขาไม่ยอมทำตามความยุติธรรม
8 หนทางของคนผิด คดเคี้ยว ลดเลี้ยวนัก
แต่การกระทำของผู้บริสุทธิ์ก็เที่ยงตรง
9 ที่จะอาศัยในมุมหนึ่งของดาดฟ้า
ก็ดีกว่าการอยู่ร่วมกับภรรยาที่ชอบหาเรื่อง
10 คนชั่วร้ายนั้นโหยหาความชั่ว
เขาไม่เคยเมตตาเพื่อนบ้านของตนเองเลย
11 เมื่อคนช่างเยาะถูกลงโทษ คนอ่อนต่อโลกก็เริ่มเข้าใจ
และเมื่อคนมีปัญญารับการสอน เขาก็ได้รับความรู้
12 องค์ผู้ทรงเที่ยงธรรมทรงพิจารณาครอบครัวคนชั่วร้าย
และทรงโยนเขาไปสู่ความหายนะ
13 คนที่ปิดหูจากเสียงร้องขอของคนยากจน
เมื่อเวลาเขาร้องขอก็จะไม่มีใครตอบเขา
14 ของกำนัลที่แอบให้ ทำให้ความโกรธละลายไป
และสินบนที่แอบให้ก็ช่วยบรรเทาความเกรี้ยวกราด
15 การทำความยุติธรรมเป็นความยินดีของคนเที่ยงธรรม
แต่หายนะจะมาถึงคนที่ตั้งใจทำความชั่ว
16 คนที่หลงออกไปจากความเข้าใจ
จะจบชีวิตใน หมู่คนตาย
17 คนที่รักความสนุกสนานจะกลายเป็นคนยากจน
คนที่รักเหล้าองุ่นและน้ำมันจะไม่มีวันร่ำรวยขึ้นมา
18 คนชั่วร้ายจะกลายเป็นค่าไถ่ให้คนเที่ยงธรรม
และคนไม่ซื่อเป็นค่าไถ่ให้คนที่เที่ยงตรง
19 การอาศัยในถิ่นกันดาร
ยังดีกว่าอาศัยอยู่กับภรรยาอารมณ์ร้ายที่ชอบหาเรื่อง
20 ทรัพย์สินมีค่า และน้ำมันมีอยู่ในที่อาศัยของคนมีปัญญา
แต่คนโง่กลับเผาผลาญไปจนหมดสิ้น
21 คนที่ติดตามความเที่ยงธรรม และรักมั่นคงนั้น
จะพบชีวิต รางวัล และเกียรติยศ
22 คนฉลาดสามารถโจมตีเมืองของคนแข็งแรง
และทำลายป้อมที่พวกเขาวางใจได้
23 คนที่ระมัดระวังปากและลิ้น
จะรักษาวิญญาณของตนให้พ้นจากความหายนะ
24 “นักเยาะเย้ย” เป็นชื่อของคนที่เย่อหยิ่ง จองหอง
เป็นคนที่ทำตัวหยิ่งยโสเกินเหตุ
25 ใจที่อยากได้ของคนเกียจคร้านนั้นจะฆ่าเขา
เพราะเขาไม่ยอมลงมือทำงาน
26 เขากระหายอยากได้ไม่หยุด
แต่คนเที่ยงธรรมนั้นเอื้อเฟื้ออย่างไม่อั้น
27 เครื่องบูชาของคนชั่วร้ายนั้นน่ารังเกียจ
เมื่อเขาถวายด้วยเจตนาร้าย จะยิ่งน่ารังเกียจกว่านั้นสักเท่าใด
28 ผู้ที่เป็นพยานเท็จจะพินาศ
ส่วนคนที่รายงานตามจริงนั้น คำของเขาจะอยู่ตลอดไป
29 คนชั่วจะทำหน้าตาขึงขัง
แต่คนเที่ยงตรงจะก่อตั้งทางชีวิตของเขาให้มั่นคง
30 ไม่มีสติปัญญาใด ความเข้าใจใด
และแผนการใดที่จะต่อต้านองค์พระยาห์เวห์ได้
31 ม้าศึกนั้น ถูกเตรียมไว้สำหรับวันทำสงคราม
แต่ชัยชนะมาจากองค์พระยาห์เวห์
พระคำเชื่อมโยง สุภาษิต 21
2* สุภาษิต 16:2; 24:12
3* 1 ซามูเอล 15:22
4* สุภาษิต 6:17
5* สุภาษิต 10:4
6* 2 เปโตร 2:3
9* สุภาษิต 19:13
10* ยากอบ 4:5
11* สุภาษิต19:25
13* มัทธิว 7:2; 18:30-34
16* สดุดี 49:14
20* สดุดี 112:3
21* มัทธิว 5:6
22* สุภาษิต 24:5
23* ยากอบ 3:2
25* สุภาษิต 13:4
26* สุภาษิต 22:9
27* เยเรมีย์ 6:20
30* เยเรมีย์ 9:23-24
31* สดุดี 3:8
ฮีบรู 1 พระเยซูคือผู้ใด?
1:1 ในอดีตที่ผ่านมา พระเจ้าตรัสกับบรรพบุรุษของเราหลายครั้ง
ผ่านทางผู้เผยพระดำรัสด้วยวิธีต่าง ๆ
1:2 แต่ในยุคสุดท้ายนี้ พระองค์ตรัสกับเราผ่านพระบุตรของพระองค์
ผู้ซึ่งพระองค์ทรงตั้งให้เป็นทายาทซึ่งจะรับสรรพสิ่งเป็นมรดก
และพระองค์ทรงสร้างจักรวาลโดยพระบุตรองค์นี้
1:3 พระบุตรทรงเป็นรัศมีแห่งพระเกียรติสิริตระการของพระเจ้า
ทรงมีพระลักษณะเหมือนพระองค์ทุกประการ
และทรงผดุงรักษาสรรพสิ่งไว้ด้วยพระดำรัสอันทรงฤทธิ์
หลังจากที่ทรงชำระบาปแล้ว ก็ประทับนั่งเบื้องขวา
พระหัตถ์ของพระองค์ผู้ยิ่งใหญ่เบื้องบน
1:4 ดังนั้น พระองค์ทรงมาเป็นผู้ที่ดำรงสถานะเหนือเหล่าทูตสวรรค์
เพราะว่าพระนามที่พระองค์ทรงได้รับมานั้น
สูงส่งเหนือกว่านามของทูตสวรรค์ทั้งหลาย!
1:5 เพราะมีทูตสวรรค์องค์ใดที่พระเจ้าได้ตรัสกับท่านว่า
“เจ้าเป็นลูกชายของเราวันนี้ เราได้เป็นบิดาของเจ้า?” หรือได้ตรัสว่า
“เราจะเป็นบิดาของเขา และเขาจะเป็นลูกชายของเรา?”
1:6-7 และอีกครั้งที่พระเจ้าทรงนำพระบุตรหัวปีของพระองค์เข้ามาในโลก
พระองค์ตรัสว่า “ให้เหล่าทูตสวรรค์ของพระเจ้า
นมัสการพระองค์” พระองค์ได้ตรัสถึงทูตสวรรค์ดังนี้
“พระองค์ทรงทำให้ทูตสวรรค์เป็นลมของพระองค์
ให้ผู้รับใช้ของพระองค์เป็นเปลวเพลิง”
1:8 แต่กับพระบุตรนั้น พระองค์ตรัสว่า
“โอ พระเจ้า ราชบัลลังก์ของพระองค์จะยืนยงดำรงนิรันดร์ พระองค์ทรงปกครองราชอาณาจักรของพระองค์ด้วยคทาแห่งความยุติธรรม
1:9 พระองค์ทรงรักความเที่ยงธรรมและทรงชังความชั่วร้าย
ดังนั้น พระเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าของพระองค์ ได้ทรงเจิมพระองค์เหนือสหายทั้งหลายด้วยน้ำมันแห่งความยินดี”
1:10 และพระองค์ตรัสต่อไปว่า “โอ องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงวางรากฐานของแผ่นดินโลก และฟ้าสวรรค์ก็เป็นผลงานแห่งฝีพระหัตถ์
1:11-12 สิ่งเหล่านี้จะสูญไป แต่พระองค์ทรงดำรงอยู่ สิ่งเหล่านี้จะเก่าผุไปเหมือนเครื่องนุ่งห่มพระองค์จะทรงม้วนสิ่งเหล่านี้เหมือนม้วนเสื้อคลุม และสิ่งเหล่านี้จะเปลี่ยนแปลงไป เหมือนเสื้อผ้า แต่พระองค์ยังทรงดำรงเหมือนเดิม”
ฮีบรู 1:13-14 พระเจ้าได้ตรัสกับทูตสวรรค์องค์ไหนบ้างว่า.. “จงมานั่งทางด้านขวามือของเรา จนกว่าเราจะทำให้ศัตรูของเจ้าเป็นแท่นวางเท้าของเจ้า”
ทูตสวรรค์ทั้งหลาย มิได้เป็นวิญญาณผู้รับใช้ที่พระเจ้าทรงส่งไปรับใช้คนที่จะได้รับความรอดเป็นมรดกหรอกหรือ?
www.publicdomainpictures.net
อธิบายเพิ่มเติม
ฮีบรู 1:1
พระเจ้าของเรา ทรงเป็นพระเจ้าที่ทรงเปิดเผยพระดำริของพระองค์มาแต่ไหนแต่ไร พระองค์ไม่ใช่รูปเคารพที่มนุษย์สร้างขึ้นมา แล้วพูดไม่ได้แต่ทรงเป็นพระเจ้าที่ตรัสเสมอ ตรัสตั้งแต่วันแรกที่ทรงสร้างโลก พระองค์ตรัสผ่านการเขียนของโมเสสที่เล่าเรื่องต้นกำเนิดของโลก ของชนชาติอิสราเอล สิ่งที่เกิดขึ้นกับชนชาตินี้ ในหนังสือห้าเล่มแรกของพันธสัญญาเดิม ความรู้สึกของพระองค์ที่มีต่อชาวโลกปรากฏชัดในหนังสือสดุดี…
ฮีบรู 1:2
พระเยซูตรัสว่า “ถ้าพวกเจ้ารู้จักเรา เจ้าก็รู้จักพระบิดาของเราด้วย ต่อจากนี้ไปเจ้าก็รู้จักพระบิดาจริง ๆ และได้เห็นพระองค์แล้ว ยอห์น 14:7เพราะพระเยซูทรงเป็นพระบุตรพระเจ้าผู้ทรงสร้างโลกนี้พร้อมกับพระบิดา พระองค์ทรงเป็นผู้ที่จะรับสรรพสิ่งมาครอบครอง (อิสยาห์ 8:6) ทรงปกครองเหนือมนุษย์และสรรพสิ่งทั้งสิ้น ทูตสวรรค์ประกาศเรื่องนี้ว่า “อาณาจักรจะเป็นของพระคริสต์และจะทรงครอบครองเป็นนิตย์” (วิวรณ์ 11:15)
ฮีบรู 1:3
ข้อความตอนนี้มหัศจรรย์.. พระเยซูทรงเป็นราศีที่มาจากพระเจ้าโดยตรง ไม่ใช่แสงสะท้อน แต่เป็นพิมพ์เดียวกัน ทรงเกิดเป็นมนุษย์ก็จริง ทรงอยู่ท่ามกลางมนุษย์ก็จริง แต่ขณะเดียวกันทรงเป็นพระบุตรที่บริบูรณ์ด้วยพระคุณและความจริงเหมือนพระบิดา (ยอห์น 1:14) ที่เป็นอย่างนั้นเพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าเช่นเดียวกับพระบิดาและความบริบูรณ์เพียบพร้อมทั้งสิ้นนั้น อยู่ในพระองค์ (โคโลสี 1:19)
ฮีบรู 1:4
พระเยซูทรงเหนือทูตสวรรค์ เป็นเพราะพระองค์ประทับข้างขวาของพระบิดา ทรงเป็นผู้รับมรดก ยิ่งกว่านั้น พระนามของพระองค์สูงส่ง มีฤทธิ์สูงยิ่งเหนือนามทั้งหลาย (ฟีลิปปี 2:9-11)เป็นเพราะพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าทรงถ่อมพระองค์ สละพระชนม์ชีพเพื่อให้มนุษยชาติได้รับการอภัยบาปจากพระเจ้า การสละชีวิตของ
พระองค์นี้ทำให้พระเจ้าทรงมอบพระเกียรติสูงสุดยกพระนามของพระองค์เหนือนามใด ๆ
ฮีบรู 1:5
แม้ทูตสวรรค์จะได้ชื่อว่าเป็นบุตรของพระเจ้า แต่พวกเขาก็มีลักษณะวิญญาณแบบทูตสวรรค์ พระเยซูเท่านั้นที่ทรงเป็นพิมพ์เดียวกับพระเจ้า ทรงเป็นพระบุตรองค์เดียวที่พระเจ้าทรงส่งมาในโลก เพื่อทำราชกิจสำคัญตามพระดำริ คือการช่วยมนุษย์ให้พ้นจากโทษบาป ข้อนี้อ้างถึงพันธสัญญาเดิมสองที่คือ สดุดี 2:7, 1 ซามูเอล 7:14 สดุดีเน้นการเป็นลูกชาย ซามูเอลเน้นการเป็นกษัตริย์เชื้อสายดาวิด
ฮีบรู 1:6-7
เป็นคำที่สื่ออย่างชัดเจนว่า พระเยซูทรงยิ่งใหญ่กว่าทูตสวรรค์มากนัก ผู้เขียนเน้นย้ำความแตกต่างนี้ในข้อ 5-14 โดยอ้างถึงสิ่งที่บันทึกไว้ในสดุดีทูตสวรรค์บอกเสมอว่า พวกเขาเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า คนทั้งหลายจะต้องไม่นมัสการกราบไหว้พวกเขา แต่จะต้องนมัสการพระเจ้า ทั้งดานิเอลยอห์น และอีกหลาย ๆ คนก็ได้ฟังคำแบบนี้จากปากของทูตสวรรค์เอง ส่วนทูตที่ต้องการให้คนกราบไหว้นั้น เป็นฝ่ายมารแน่นอน
ฮีบรู 1:8
ผู้เขียนฮีบรูได้อธิบายให้คนยิวเข้าใจว่าพระเยซูทรงยิ่งใหญ่กว่าทูตสวรรค์จริง ๆในขณะที่บอกว่า ทูตสวรรค์เป็นลมเป็นเปลวเพลิงที่รับใช้พระเจ้าอยู่ ก็ได้บอกชัดเจนว่า พระเยซูทรงเป็นองค์ราชาที่ปกครองตลอดไป พระองค์
ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งระดับทูตสวรรค์ ผู้เขียนอ้างถึงสดุดี 45:6 ซึ่งมีความหมายถึงพระเยซูผู้ทรงมีเจ้าสาวคือคริสตจักร และจะทรงครอบครองเป็นนิตย์
ฮีบรู 1:9
ผู้เขียนฮีบรูได้อ้างถึงสดุดี 45:7 อย่างตรงไปตรงมา เพื่อจะแจ้งให้ทราบว่า พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงครอบครองนั้นทรงอยู่ฝ่ายความเที่ยงธรรม ทรงเป็นความสว่าง ทรงอยู่ตรงข้ามกับความชั่ว ยิ่งกว่านั้น พระองค์ทรงเป็นผู้ที่
พระบิดาทรงเจิมด้วยน้ำมันแห่งความยินดี (มีความหมายถึงองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์)เท่ากับว่า เราได้สัมผัสกับ องค์ตรีเอกานุภาพอย่างชัดเจนในข้อนี้
ฮีบรู 1:10
ที่เขียนมาล้วนแล้วแต่นำมาจากพันธสัญญาเดิมข้อ10-12 มาจาก สดุดี 102 :25-27 เพื่อบอกเราว่า พระเยซูผู้ทรงเป็นพระเจ้านั้น ทรงเป็นอย่างไรในแง่มุมต่าง ๆ นอกจากทรงครอบครองเป็นนิตย์แล้ว ทุกสิ่งในธรรมชาติ ทั้งแผ่นดินและอวกาศ ดวงดาวต่าง ๆ ล้วนเป็นผลงานของพระองค์ทั้งสิ้น พระเยซูทรงเต็มด้วยความยิ่งใหญ่ตระการ พระนามของพระองค์อยู่เหนือนามทั้งสิ้นในโลกนี้ ไม่มีใครมาเปรียบเทียบกับพระองค์ได้
ฮีบรู 1:11-12
น่าประหลาดที่โลกอันสวยงาม ธรรมชาติที่ไม่มีใครสร้างได้ ท้องฟ้ายิ่งใหญ่ ภูเขา ป่าไม้ ทะเลเป็นสิ่งทรงสร้างที่จะสูญไป พระคำตอนนี้ได้บอกเราว่า พระเจ้าจะทรงม้วนฟ้าสวรรค์เข้าไปเหมือนกับม้วนเสื้อผ้า ฟ้าสวรรค์เปลี่ยนแปลงไป เก่าไป ซึ่งเราเองก็เห็นอยู่ตำตาว่า ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมา ก็ตั้งต้นที่จะเก่า แต่ที่ประหลาดคือ พระเจ้าไม่ทรงเก่า ไม่ทรงแก่ พระองค์ยังทรงดำรงเป็นอย่างเดิมตลอดไป
ฮีบรู 1:13-14
สำหรับพี่น้องชาวยิวที่ได้อ่านฮีบรูบทที่ 1 นี้ พี่น้องที่ยังเคยคิดว่าทูตสวรรค์ยิ่งใหญ่ก็จะพบแล้วว่า พระเยซูผู้เป็นพระบุตรของพระเจ้านั้นทรงยิ่งใหญ่กว่าทูตสวรรค์ที่พวกเขาเข้าใจว่าใหญ่และศักดิ์สิทธิ์ และสิ่งที่น่าตกใจสำหรับพวกเขาคือทูตสวรรค์ไม่ได้เป็นเจ้าเหนือหัว แต่กลับเป็นวิญญาณผู้รับใช้ของพระเจ้าที่พระเจ้าทรงส่งมาเพื่อดูแล ปกป้องช่วยเหลือคนที่กำลังจะได้รับความรอด เราล่ะ ตื่นเต้นไหม?
พระคำเชื่อมโยง
1* กันดารวิถี 12:6,8
3* ยอห์น 1:14; 2 โครินธ์ 4:4; โคโลสี 1:17; ฮีบรู 7:27; สดุดี 110:1
4* ฟีลิปปี 2:9-10
5* สดุดี 2:7; 2 ซามูเอล 7:14
6* โรม 8:29; เฉลยธรรมบัญญัติ 32:43
7* สดุดี 104:4
8* สดุดี 45:6-7
9* อิสยาห์ 61:1,3
10* สดุดี 102:25-27
11* อิสยาห์ 34:4, 50:9, 51:6
12* ฮีบรู 13:8
13* สดุดี 110:1
14* สดุดี 103:20; โรม 8:17
สุภาษิต 20 ย่างเท้า.. พระเจ้าทรงกำหนด
1 เหล้าองุ่นทำให้คนเยาะหยันคนอื่น เหล้าแรงพาไปสู่การวิวาท
และใครที่ยอมให้มันพาเขาหลงไป ก็เป็นคนไร้ปัญญา
2 พิโรธของกษัตริย์เป็นเหมือนเสียงคำรามของสิงโต
ใครก็ตามที่ยั่วยุพระองค์ให้โกรธ เท่ากับเอาชีวิตไปแลก
3 การที่พยายามหลีกเลี่ยงการทะเลาะวิวาทนั้นเป็นเกียรติ
แต่คนโง่ชอบทะเลาะเบาะแว้งเสมอ
4 คนเกียจคร้านไม่ยอมไถในฤดู
พอถึงเวลาเก็บเกี่ยว เขามองออกไป ก็ไม่มีอะไรให้เก็บเกี่ยว
5 ความตั้งใจของมนุษย์เป็นดั่งน้ำลึก
แต่คนที่มีความเข้าใจจะหยั่งรู้ใจนั้นได้
6 คนมากมายอ้างว่า ตนเองนั้นจงรักภักดี
แต่ใครจะพบคนที่เราวางใจได้เล่า?
7 คนเที่ยงธรรมเดินไปด้วยความเที่ยงตรง
ลูกหลานรุ่นต่อมาจะได้รับพระพร
8 องค์กษัตริย์ที่ประทับบนบัลลังก์เพื่อพิพากษา
จะฝัดร่อนความชั่วออกไป ด้วยพระเนตรของพระองค์
9 ใครจะกล่าวว่า “ข้าได้รักษาใจของข้าให้บริสุทธิ์
ข้าสะอาด ไร้ความบาปแล้ว?”
10ตาชั่งที่ไม่เที่ยง และเครื่องตวงที่ไม่ตรง
ทั้งสองเป็นที่น่าชังสำหรับองค์พระยาห์เวห์
11 เรามองออกจากการกระทำของเด็ก ๆ ได้ว่า
ต่อไป เขาจะมีชีวิตที่บริสุทธิ์และเที่ยงตรงหรือไม่
12 หูที่ฟัง ตาที่มองเห็น
พระยาห์เวห์ทรงสร้างทั้งสองนี้มา
13 อย่าเอาแต่ชอบนอน เพราะเจ้าจะยากจน
จงเปิดตาขึ้น แล้วเจ้าจะมีอาหารบริบูรณ์
14“ไม่ดีเลย ไร้ค่า” คนซื้อพูดอย่างนั้น
แต่พอเดินออกไป เขาก็คุยโม้โอ้อวด
15 มีทองคำและแร่ทับทิมเหลือเฟือ
แต่ริมฝีปากที่เต็มด้วยความรู้ก็เป็นทรัพย์มีค่าที่หายาก
16 จงยึดเสื้อผ้าของคนที่ไว้ใจคนแปลกหน้า
ต้องมีสัญญาเป็นประกัน หากเขาไว้ใจคนต่างถิ่น
17 อาหารที่ได้มาด้วยการคดโกงนั้น
หวานชื่นสำหรับคนหนึ่ง
แต่ในที่สุด ปากของเขาจะเต็มด้วยก้อนกรวด
18 จงวางแผนด้วยการปรึกษาหารือ
จงลงมือทำสงคราม ตามคำแนะนำที่ฉลาดรอบคอบ
26 องค์กษัตริย์ที่ทรงปัญญาสามารถแยกคนชั่วออกมา
และหมุนล้อนวดข้าวทับเขาเหล่านั้น
27 วิญญาณของคน ๆ หนึ่งเป็นตะเกียงของพระยาห์เวห์
มันช่วยส่องให้เห็นส่วนลึกที่สุดของเขา
28 ความรักที่ทุ่มเทและความเที่ยงตรง
ช่วยปกป้ององค์กษัตริย์ไว้
บัลลังก์มั่นคงได้ก็เพราะสิ่งเหล่านี้
29 ศักดิ์ศรีของคนอายุน้อยคือกำลังของเขา
และผมขาวเป็นความสง่างามของคนชรา
30 ไม้เรียวและบาดแผลช่วยขจัดความชั่ว
การถูกโบยก็ช่วยชำระล้างส่วนลึกที่สุดให้สะอาด
พระคำเชื่อมโยง สุภาษิต 20
1* ปฐมกาล 9:21
3* สุภาษิต 17:14
4* สุภาษิต 10:4; 19:15
7* 2 โครินธ์ 1:12; สดุดี 37:26
9* 1 พงศ์กษัตริย์ 8:46
10* เฉลยธรรมบัญญัติ 25:13
11* มัทธิว 7:16
12* อพยพ 4:11
13* โรม 12:11
15* สุภาษิต 3:13-15
16* สุภาษิต 22:26
17* สุภาษิต 9:17
18* สุภาษิต 24:6; ลูกา 14:31
19* สุภาษิต 11:13; โรม 16:18
20* มัทธิว 15:4; โยบ 18:5-6
21* สุภาษิต 28:20; ฮาบากุก 2:6
22* โรม 12:17-19; 2 ซามูเอล 16:12
26* สดุดี 101:8
27* 1 โครินธ์ 2:11
28* สุภาษิต 21:21
29* สุภาษิต 16:31
สุภาษิต 19 ใจเราก็มีแผนมากมาย
1 ที่จะเป็นคนยากจนแต่เดินในความสัตย์จริง
ก็ยังดีกว่าเป็นคนโง่ที่พลิกลิ้น
2 ความกระตือรือร้นที่ขาดความรู้นั้นไม่ดีเลย
และคนที่รีบร้อนนักมักพลาดเป้าหมาย
3 ความโง่ของคน ๆ หนึ่งทำลายทางชีวิตของตนเอง
แต่เขากลับโกรธเกรี้ยวองค์พระยาห์เวห์
4 ความมั่งคั่งทำให้มีเพื่อนมากมาย
แต่คนยากจนก็ถูกเพื่อนทิ้งไป
5 พยานเท็จจะไม่พ้นโทษ
และคนที่กล่าวคำโกหกจะหนีไม่พ้น
6 คนมากมายประจบสอพลอคนมีอำนาจ
และทุกคนเป็นมิตรกับคนที่ให้ของกำนัล
7 พี่น้องของคนยากจนต่างก็เกลียดชังเขา
เพื่อน ๆ จะยิ่งหลีกเลี่ยงเขามากกว่านั้นสักเท่าใด
เขาอาจจะตามไปอ้อนวอนแต่เขาก็จะไม่พบใครสักคน
8 คนที่ตามหาปัญญาจนได้มานั้น เป็นคนรักตนเอง
คนที่รักความเข้าใจจะพบกับความสำเร็จ
9 พยานเท็จจะไม่พ้นโทษ
และคนที่พูดมุสาจะพบหายนะ
10 ชีวิตที่หรูหราไม่เหมาะกับคนโง่
ที่ทาสจะปกครองเหนือเจ้านายยิ่งไม่เหมาะไปกว่านั้นอีก
11 คนที่มีความหยั่งรู้จะอดทนโกรธช้า
การให้อภัยความผิดคนอื่นก็เป็นศักดิ์ศรีของเขา
12 พระพิโรธขององค์กษัตริย์เป็นเหมือนเสียงสิงโตคำราม
ความโปรดปรานของพระองค์เป็นเหมือนน้ำค้างบนใบหญ้า
13 ลูกที่โง่เขลาเป็นหายนะของพ่อ
ภรรยาที่ช่างทะเลาะเป็นเหมือนฝนที่โปรยไม่หยุด
14 บ้านและความมั่งคั่งเป็นมรดกจากพ่อแม่
แต่ภรรยาที่ฉลาดเฉลียวมาจากพระยาห์เวห์
15 ความเกียจคร้านทำให้คนหลับสนิท
และคนที่เกียจคร้านจะหิวโหย
16 คนที่รักษาพระบัญญัติจะรักษาวิญญาณจิตของตนไว้
แต่คนที่ขาดความระมัดระวังจะต้องเสียชีวิตไป
17 การมีน้ำใจให้กับคนยากจนเป็นเหมือนให้พระเจ้าทรงยืม
และพระองค์จะทรงตอบแทนสิ่งที่เขาได้ทำลงไป
18จงฝึกวินัยลูกชายของเจ้า เพราะจะมีความหวัง
แต่อย่าทำจนถึงกับเขาต้องเสียชีวิต
19 คนที่อารมณ์ร้ายวู่วามจะต้องรับผลของตน
หากเจ้าช่วยเขาเจ้าจะต้องช่วยเขาอยู่ร่ำไป
20 จงฟังคำแนะนำและยอมรับวินัย
เพื่อว่าเจ้าจะฉลาดเฉลียวไปตลอดชีวิตของเจ้า
21 มนุษย์มีแผนในใจเป็นอันมาก
แต่พระประสงค์ของพระยาห์เวห์จะสำเร็จ
22 สิ่งที่มนุษย์ปรารถนาเป็นอย่างยิ่งคือที่จะมีความรักยั่งยืน
และการเป็นคนยากจนก็ยังดีกว่าเป็นคนมุสา
23 ความยำเกรงพระยาห์เวห์นำมาสู่ชีวิต
เขาจะพักผ่อนอย่างเป็นสุข ไม่มีภัยใด ๆ มาแผ้วพาน
24 คนเกียจคร้านแช่มือในจาน
เขายังไม่ยอมแม้แต่จะป้อนตนเอง
25 จงเฆี่ยนคนที่ชอบเยาะเย้ย และคนรู้น้อยจะได้รับปัญญา
จงตักเตือนคนที่มีวิจารณญาณ และเขาก็จะได้รับความรู้
26 คนที่ก้าวร้าวต่อพ่อ และขับไล่แม่ของเขา
เป็นลูกที่นำความอับอายและความเสื่อมเสียมาให้
27 ลูกเอ๋ย หากเจ้าหยุดที่จะฟังคำสอน
เจ้าก็จะหลงไปจากถ้อยคำแห่งความรู้
28 พยานที่คดโกงนั้น เยาะเย้ยความยุติธรรม
ปากของคนโหดร้ายกลืนความชั่วลงไป
29 โทษทัณฑ์เตรียมไว้สำหรับคนชอบเยาะเย้ย
และการโบยก็เตรียมไว้สำหรับ หลังของคนโง่
พระคำเชื่อมโยง
1* สุภาษิต 28:6
4* สุภาษิต 14:20
5* อพยพ 23:1
7* สุภาษิต 14:20; สดุดี 38:11
8* สุภาษิต 16:20
10* สุภาษิต 30:21-22
11* ยากอบ 1:19; เอเฟซัส 4:32
12* สุภาษิต 16:14; โฮเชยา 14:5
13* สุภาษิต 10:1; 21:9,19
14* 2 โครินธ์ 12:14; สุภาษิต 18:22
15* สุภาษิต 6:9; 10:4
16* ลูกา 10:28; 11:28
17* 2 โครินธ์ 9:6-8
18* สุภาษิต 13:24
20* สดุดี 37:37
21* ฮีบรู 6:17
23* 1 ทิโมธี 4:8
24* สุภาษิต 15:19
25* เฉลยธรรมบัญญัติ 13:11; สุภาษิต 9:8
26* สุภาษิต 17:2
28* โยบ 15:1629* สุภาษิต 26:3
สุภาษิต 18 อำนาจลิ้น
1 คนที่แยกตัวออกไปคือคนที่ทำตามใจตนเอง
เขาต่อต้านสติปัญญาที่ถูกต้องทุกอย่าง
2 คนโง่ ไม่มีความยินดีในความเข้าใจ
แต่เขาสนุกกับการออกความเห็นของตัวเองเท่านั้น
3 คนชั่วร้ายมาพร้อมกับการดูหมิ่นผู้อื่น
และยังมีความอัปยศและความอับอายตามมาด้วย
4 คำพูดของคน ๆ หนึ่งเป็นเหมือนน้ำลึก
น้ำพุแห่งปัญญา เป็นเหมือนสายธารที่ไหลไปไม่หยุด
5 การเข้าข้างคนชั่วนั้นไม่ดีเลย
และการยับยั้งความยุติธรรมให้คนบริสุทธิ์ ก็ไม่ดีเช่นกัน
6 ปากของคนโง่เชื้อเชิญการวิวาท
และปากของเขาก็เชิญการโบย
7 ปากของคนโง่คือหายนะของเขา
และริมฝีปากของเขาเป็นกับดักชีวิตของเขาเอง
8 คำซุบซิบนินทาเป็นเหมือนอาหารอร่อย
ซึ่งกลืนลงไปยังส่วนลึกที่สุดของร่างกาย
9 คนใดที่เกียจคร้านชอบหนีงาน
ก็เป็นพี่น้องกับคนช่างทำลาย
10 พระนามของพระเจ้าเป็นดั่งป้อมเข้มแข็ง
คนเที่ยงธรรมจะวิ่งเข้าไปในนั้น และปลอดภัย
11 ความมั่งคั่งของคนรวยเป็นเหมือนเมืองป้อมของเขา
มันเป็นกำแพงสูงในความคิดของเขา
12 เมื่อมีความหยิ่งผยองเกิดขึ้นในใจ
การล้มลงก็ตามมา แต่ความถ่อมตนนำหน้าเกียรติ
13 คนที่ตอบก่อนฟัง
ทั้งเขลาและขายหน้า
14 กำลังใจของคน ๆ หนึ่งช่วยทำให้เขาอดทนผ่านความเจ็บป่วยได้
แต่ใครจะทนผ่านจิตใจที่แตกสลายไปได้เล่า?
15 ใจของคนมีวิจารณญาณใฝ่หาความรู้
และคนที่มีปัญญาก็ใช้หูตามหามันจนเจอ
16 ผู้ที่ให้ของกำนัลเท่ากับเปิดช่องทางให้กับตนเอง
และนำเขาไปยังคนที่ยิ่งใหญ่
17 คนที่ให้การในคดีก่อนมักจะดูเหมือนเป็นคนถูกต้อง
จนกระทั่งมีคนอื่นมาและสอบสวนเขาอีกครั้ง
18การจับฉลากช่วยยุติการทะเลาะวิวาท
และแยกคู่ต่อสู้ออกจากกัน
19 พี่น้องที่บาดหมางกันนั้นยากที่จะไกล่เกลี่ย
ยิ่งกว่าการยึดเมืองป้อมเสียอีก
การวิวาทเป็นเหมือนปราสาทที่มีกลอนลั่นดาลไว้
20 ท้องของคน ๆ หนึ่งอิ่มได้จากผลของคำพูด
เขาจะอิ่มได้โดยเก็บเกี่ยวจากคำพูดของเขาเอง
21 ชีวิตและความตาย อยู่ใต้อำนาจของลิ้น
และคนที่รักลิ้นจะได้กินผลจากลิ้นนั้น
22 คนที่พบภรรยาก็ได้พบของดี
และได้รับความโปรดปรานจากพระยาห์เวห์
23 คนยากจนร้องขอความเมตตา
แต่คนรวยก็จะตอบอย่างหยาบคาย
24 คนที่มีเพื่อนมากอาจเสียหายจนหายนะได้
แต่ก็ยังมีเพื่อนที่ใกล้ชิดกว่าพี่น้อง
พระคำเชื่อมโยง
2* ปัญญาจารย์ 10:3
4* สุภาษิต 10:11; ยากอบ 3:17
5* สุภาษิต 17:15
7* สุภาษิต 10:14; ปัญญาจารย์ 10:12
8* สุภาษิต 12:18
10* 2 ซามูเอล 22:2-3, 33
12* สุภาษิต 15:33; 16:18
16* ปฐมกาล 32:20,21
18* สุภาษิต 16:33
20* สุภาษิต 12:14; 14:14
21* มัทธิว 12:37
22* สุภาษิต 12:4; 19:14
23* ยากอบ 2:3, 6
24* สุภาษิต 17:17
สุภาษิต 17 เกียรติยศของคนชรา
1 การได้กินเศษขนมปังแห้งในความสงบ
ยังดีกว่าอยู่ในบ้านที่จัดเลี้ยงพร้อมกับเสียงอึกทึกจากการวิวาท
2 คนรับใช้ที่มีปัญญาจะปกครองเหนือลูกชายที่น่าอาย
และจะได้รับมรดกราวกับเป็นลูกชายอีกคน
3 เบ้ามีเอาไว้หลอมแร่เงิน เตาถลุงสำหรับแร่ทอง
แต่พระยาห์เวห์ทรงเป็นผู้ทดสอบจิตใจ
4 คนชั่วร้ายมักจะฟังคำจากปากที่ชั่ว
คนช่างมุสาก็มักฟังลิ้นที่จ้องทำลาย
5 คนที่เยาะเย้ยคนยากจนเท่ากับกำลังดูหมิ่นพระผู้สร้าง
คนที่ยินดีกับวิบัติ จะหนีไม่พ้นการลงโทษ
6 หลาน ๆ เป็นมงกุฎของคนชรา
และเกียรติของลูกชายก็คือบิดาของเขา
7คำพูดที่คมคายไม่เหมาะกับคนโง่
คำมุสาก็ยิ่งไม่เหมาะกับปากของผู้นำ
8 สินบนเป็นเหมือนเสน่หาสำหรับผู้มอบให้
ไม่ว่าเขาหันไปที่ใด ก็ประสบความสำเร็จไปทั่ว
9 คนที่ให้อภัยการบาดหมางคือคนที่สร้างเสริมความรัก
แต่คนที่ขุดคุ้ยเรื่องเก่าขึ้นมาทำให้เพื่อนต้องแยกจากกัน
10 การเตือนสติคนที่มีวิจารณญาณเพียงครั้งเดียว
ได้ผลมากกว่าการเฆี่ยนหลังคนโง่ร้อยครั้ง
11 คนชั่วร้ายเอาแต่ดึงดันต่อต้านเท่านั้น
ดังนั้นจะมีการส่งคนใจโหดเข้ามาจัดการเขา
12 ที่จะต้องเผชิญหน้ากับแม่หมีที่ลูกถูกขโมยมา
ก็ยังดีกว่าต้องเจอคนโง่ที่มาพร้อมกับความเขลา
13 หากคนใดใช้ความชั่วตอบแทนความดี
ความชั่วจะไม่มีวันหายไปจากบ้านของเขา
14 ที่จะเริ่มต้นวิวาทก็เหมือนกับการปล่อยน้ำจากเขื่อน
ดังนั้นจะต้องหยุดการโต้เถียงก่อนที่จะเกิดการวิวาท
15 การปล่อยคนผิดให้ลอยนวล
และการลงโทษคนเที่ยงธรรม
ทั้งสองอย่างนี้เป็นที่น่าชังต่อพระเจ้า
16 คนโง่มีเงินในมือไปเพื่ออะไร
ในเมื่อเขาไม่มีความคิดที่จะซื้อปัญญาให้ตัวเอง?
17 เพื่อนก็รักกันทุกเวลา
และพี่น้องเกิดมาเพื่อช่วยกันยามยากเข็ญ
18 คนไร้ความคิดก็จับมือให้สัญญา
และรับประกันเพื่อนบ้านของเขา
19 คนที่รักการทำผิด ก็รักการวิวาท
คนที่สร้างประตูรั้วให้สูงก็เชื้อเชิญความพินาศ
20 คนที่มีใจคดจะไม่พบความเจริญ
และคนที่มีลิ้นล่อหลอกจะพบความยุ่งยาก
21 คนที่เป็นพ่อของคนโง่นั้นก็เป็นทุกข์นัก
และพ่อของคนโง่ไม่อาจมีความยินดีได้
22 ใจที่ชื่นชมยินดีเป็นยาชั้นเยี่ยม
แต่จิตใจที่แตกร้าวทำให้กระดูกแห้งไป
23 คนชั่วรับสินบนลับ ๆ
เพื่อล้มล้างความยุติธรรม
24 สายตาคนที่หยั่งรู้นั้นมุ่งมั่นที่ปัญญา
แต่สายตาของคนโง่กวาดไปถึงสุดปลายแผ่นดินโลก
25ลูกชายที่โง่เขลานำความเสียใจมาให้พ่อ
และนำความขมขื่นมาให้กับแม่ที่เกิดเขามา
26 การลงโทษคนบริสุทธิ์
หรือโบยผู้ที่ซื่อตรงในหน้าที่นั้นเป็นสิ่งที่ไม่ดีเลย
27 คนที่มีความรู้จะยับยั้งคำพูดของเขา
คนที่มีความเข้าใจจะควบคุมตนให้สงบ
28 คนโง่จะถูกมองว่าเป็นคนฉลาดถ้าเขารู้จักนิ่ง
และหากเขาสงบปากสงบคำก็จะ ดูเหมือนคนมีความเข้าใจ
พระคำเชื่อมโยง
1* สุภาษิต 15:17
2* สุภาษิต 10:5
3* เยเรมีย์ 17:10
5* สุภาษิต 14:31 ;โยบ 31:29
6* สดุดี 127:3; 128:3
9* สุภาษิต 10:12; 16:28
10* มีคาห์ 7:9
12* โฮเชยา 13:8
13* สดุดี 109:4-5
14* สุภาษิต 20:315* อพยพ 23:7
17* รูธ 1:16
18* สุภาษิต 6:1
19* สุภาษิต 16:18
20* ยากอบ 3:8
22* สุภาษิต 12:25; 15:13, 15
24* ปัญญาจารย์ 2:14
25* สุภาษิต 10:1; 15:20; 19:13
27* ยากอบ 1:19
28* โยบ 13:5
สุภาษิต 16 มนุษย์คิด พระเจ้าทรงตอบ
1 แผนงานในใจนั้นเป็นของมนุษย์
แต่คำตอบจากลิ้นมาจากพระยาห์เวห์
2 ในสายตามนุษย์แล้วทางทั้งสิ้นของเขาบริสุทธิ์
แต่พระยาห์เวห์จะทรงชั่งดูแรงจูงใจของเขา
3 จงมอบงานต่าง ๆ ของเจ้าแด่พระยาห์เวห์
แล้วแผนงานของเจ้าจะสำเร็จผล
4 พระยาห์เวห์ทรงสร้างทุกสิ่งโดยมีพระประสงค์
แม้คนชั่วร้าย ก็เพื่อวันหายนะ
5 คนใดที่มีใจเย่อหยิ่งนั้นเป็นที่น่าชังต่อพระยาห์เวห์
แน่ใจได้เลยว่า เขาไม่อาจลอยนวลไปได้
6 ความผิดบาปถูกลบล้างไปด้วยความรักและความซื่อตรง
และคน ๆ หนึ่งหันไปจากความชั่วก็เพราะเขายำเกรงพระเจ้า
7 เมื่อทางของคน ๆ หนึ่งเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า
พระองค์ก็ทรงช่วย แม้ ศัตรูก็อยู่อย่างสันติกับเขา
8 การมีน้อยพร้อมกับความเที่ยงธรรม
ก็ดีกว่าการได้มามากมายพร้อมกับความอยุติธรรม
9 ใจของคนก็วางแผนงานไว้
แต่พระยาห์เวห์ทรงเป็นผู้กำหนดย่างเท้าของเขา
10 คำชี้ขาดจากพระเจ้านั้นอยู่ที่พระโอษฐ์ขององค์กษัตริย์
พระโอษฐ์นั้นจะตัดสินอย่างยุติธรรม
11ตราชั่งและตราชูที่เที่ยงตรงมาจากพระยาห์เวห์
พระองค์ทรงเอาพระทัยใส่ ตุ้มน้ำหนักในถุงนั้น
12 พฤติกรรมที่โหดร้ายเป็นที่ชิงชังขององค์กษัตริย์
เพราะบัลลังก์ตั้งอยู่ได้ด้วยความเที่ยงธรรม
13 ริมฝีปากที่เที่ยงธรรมทำให้องค์กษัตริย์ทรงยินดี
และคนที่กล่าวความถูกต้องนั้นก็เป็นที่รัก
14 พระพิโรธขององค์กษัตริย์ เป็นเหมือนการส่งผู้สื่อสารความตาย
แต่คนฉลาดจะช่วยระงับมันไว้
15 เมื่อพระพักตร์ขององค์กษัตริย์สดชื่นแจ่มใส นั่นก็คือชีวิต
เพราะความโปรดปรานของท่านเป็นเหมือนเมฆฝนในฤดูใบไม้ผลิ
16 การที่ได้รับปัญญานั้นดีกว่าได้แร่ทองคำ
การได้ความเข้าใจก็น่าปรารถนายิ่งกว่าแร่เงิน
17ทางหลวงของคนเที่ยงตรงนำออกจากความชั่ว
คนที่ระวังทางของเขาจะป้องกันชีวิตของตนไว้
18 ความเย่อหยิ่งยโสนำหน้าการทำลาย
และใจที่ผยองนำหน้าการล้มลง
19 ที่จะมีใจถ่อมลงท่ามกลางคนที่ยากจน
ก็ดีกว่าที่จะแบ่งรับของริบจากคนที่เย่อหยิ่ง
20 ใครก็ตามที่เอาใจใส่คำแนะนำจะพบความสำเร็จ
และคนที่วางใจพระยาห์เวห์ก็ได้รับพร
21 เขาเรียกคนที่มีปัญญาในใจว่าเป็นคนมีวิจารณญาณ
และคำพูดที่น่าฟังนั้น ชักชวนใจได้ดี
22 ความเข้าใจเป็นน้ำพุแห่งชีวิตกับคน ๆ นั้น
แต่วินัยของคนโง่ก็คือความเขลา
23 ใจของคนที่ฉลาดจะพูดในสิ่งที่มีปัญญา
และเพิ่มการโน้มน้าวใจให้มากขึ้น
24 คำกล่าวที่น่ายินดีเป็นเหมือนรวงผึ้ง
ที่หวานต่อวิญญาณ และบำบัดรักษาร่างกาย
25 มีทางที่ดูเหมือนถูกต้องกับมนุษย์
แต่ท้ายที่สุดกลับกลายเป็นทางแห่งความตาย
26 ความหิวของคน ทำให้เขาได้ทำงาน
เพราะความหิวนั้นช่วยผลักดันเขาไปข้างหน้า
27 คนที่ไร้ค่าขุดความชั่วร้ายขึ้นมา
และคำของเขาก็เป็นเหมือนไฟที่เผาผลาญ
28 คนที่พูดจา บิดเบือนกระจายความแตกร้าว
และการพูดนินทาก็แยกเพื่อนสนิทออกจากกัน
29 คนที่รุนแรงหลอกล่อเพื่อนบ้าน
และนำเขาไปในทางที่ไม่ดี
30 คนที่ขยิบตาก็วางแผนการร้ายอยู่
คนที่ปิดปากนิ่งก็กำลังจะทำความชั่วจนสำเร็จ
31 ผมสีเลานั้นเป็นมงกุฎเกียรติยศ
ที่ได้รับมาระหว่างทางแห่งความเที่ยงธรรม
32 เป็นคนที่ช้าในการโกรธก็ดีกว่าเป็นนักรบ
และคนที่ควบคุมอารมณ์ของตนได้
ก็ยิ่งใหญ่กว่าคนที่สามารถยึดเมืองสำเร็จ
33 สลากนั้นก็โยนไว้ที่ตัก
แต่การตัดสินใจทุกเรื่องมาจากพระยาห์เวห์
พระคำเชื่อมโยง
1* เยเรมีย์ 10:23; มัทธิว 10:19
2* สุภาษิต 21:2
3* สดุดี 37:5
4* อิสยาห์ 43:7; โรม 9:22
5* สุภาษิต 6:17; 8:13
6* สุภาษิต 8:13; 14:16
8* สดุดี 37:16
9* สุภาษิต 9:21. 10:23
11* เลวีนิติ 19:36
12* สุภาษิต 25:5
13* สุภาษิต 14:35
14* สุภาษิต 25:1515* เศคาริยาห์ 10:1
16* สุภาษิต 8:10, 11, 19
20* สดุดี 34:8
25* สุภาษิต 14:12
26* ปัญญาจารย์ 6:7
27* ยากอบ 3:6
28* สุภาษิต 17:931* สุภาษิต 20:29
32* สุภาษิต 14:29; 19:11
สุภาษิต 15 คำตอบที่เหมาะสม
1 คำตอบที่อ่อนโยนช่วยทำให้ความโกรธลดลง
แต่คำพูดที่แข็งกระด้างจะยั่วโทสะให้แรงขึ้น
2 ลิ้นของคนมีปัญญานำสู่ความรู้
แต่ปากของคนโง่พลุ่งพล่านพ่นความเขลาออกมา
3 พระเนตรของพระยาห์เวห์อยู่ทุกหนแห่ง
พระองค์ทรงเฝ้าดูทั้งคนชั่วและคนดี
4 ลิ้นที่อ่อนโยนเป็นต้นไม้แห่งชีวิต
แต่ลิ้นที่ตลบแตลงนั้น ขยี้จิตใจให้แตกสลาย
5 คนโง่จะดูหมิ่นวินัยคำสอนของพ่อ
แต่คนที่เอาใจใส่การตักเตือน ก็เป็นคนฉลาดเฉลียว
6 ในบ้านของคนเที่ยงธรรมมีสมบัติมากมาย
แต่รายได้ของคนชั่วร้ายนั้น คือความลำบาก
7 ริมฝีปากของคนมีปัญญาแผ่ความรู้ออกไป
แต่จิตใจของคนโง่ไม่ได้เป็นอย่างนั้น
8 เครื่องบูชาของคนโหดร้ายเป็นสิ่งน่าชังต่อพระยาห์เวห์
แต่คำอธิษฐานของคนเที่ยงตรงเป็นความยินดีของพระองค์
9 พระยาห์เวห์ทรงชังทางของคนโหดร้าย
แต่ทรงรักคนที่ตามติดความเที่ยงธรรม
10 คนที่หันไปจากทางที่ถูกต้องนั้น จะพบโทษหนัก
ส่วนคนที่เกลียดการแนะนำแก้ไขจะพบความตาย
11 แดนตาย และแดนแห่งความพินาศ
ก็เปิดกว้างต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์
แล้วหัวใจของมนุษย์จะเปิดกว้างมากกว่านั้นสักเท่าใด
12 คนช่างเยาะไม่ชอบการตักเตือน
และเขาจะไม่ไปปรึกษาคนที่มีปัญญา
13 หัวใจที่เป็นสุขทำให้หน้าตาสดชื่นแจ่มใส
แต่หัวใจที่เป็นทุกข์ทำให้จิตวิญญาณแตกสลาย
14 ใจที่สุขุมรอบคอบตามหาความรู้
แต่ปากของคนโง่กินความเขลาเป็นอาหาร
15 ทุกวันของคนที่ถูกกดขี่ข่มเหงช่างเลวร้าย
แต่จิตใจที่ร่าเริงนั้นเหมือนมีการเลี้ยงอย่างต่อเนื่อง
16 มีน้อยแต่มีความยำเกรงพระยาห์เวห์
ก็ดีกว่ามีทรัพย์สมบัติมหาศาลพร้อมกับความวุ่นวาย
17 มีผักกินในที่ ๆ มีความรัก
ก็ดีกว่าได้กินเนื้อวัวอ้วนพร้อมกับความจงเกลียดจงชัง
18 คนที่อารมณ์เสียง่าย ๆ ก็มักทำให้เกิดการวิวาท
แต่คนที่โกรธช้าจะช่วยทำให้การโต้เถียงจบลง
19 หนทางของคนที่เกียจคร้านเหมือนรั้วหนาม
แต่ทางของคนเที่ยงตรงนั้นจะราบรื่น
20 ลูกที่มีปัญญานำความยินดีมาให้พ่อ
แต่คนโง่เป็นคนที่ดูหมิ่นแม่ของเขาเอง
21 คนที่ขาดสามัญสำนึกก็ชอบความโง่เขลา
แต่คนที่มีความเข้าใจจะเดินในทางตรงไป
22 แผนการล้มเหลวเพราะขาดการปรึกษาหารือ
แต่เมื่อมีคนแนะนำหลายคนงานก็สำเร็จ
23 พอได้คำตอบที่เหมาะสมก็ทำให้เกิดความยินดี
และคำพูดที่เหมาะกับสถานการณ์ก็ดียิ่งนัก
24 หนทางแห่งชีวิตนำคนมีปัญญาไปยังที่ สูงขึ้น
เพื่อว่าเขาจะหลีกเลี่ยงหนทางที่ลงไปยังแดนคนตาย
25 พระยาห์เวห์ทรงรื้อบ้านของคนเย่อหยิ่ง
แต่ทรงปกป้องพื้นที่ของหญิงม่าย
26 พระยาห์เวห์ทรงชังความคิดของคนชั่ว
แต่คำจากคนใจสะอาดนั้นบริสุทธิ์
27 คนที่ละโมภต้องการจะได้จากการคดโกงนั้น
นำความลำบากมาสู่ครอบครัว
แต่คนที่เกลียดชังสินบนจะมีชีวิตอยู่
28ใจของคนเที่ยงธรรมตรึกตรองว่าจะตอบอย่างไร
แต่ปากของคนโหดร้ายก็พลุ่งพล่านไปด้วยความชั่ว
29 พระยาห์เวห์ทรงอยู่ห่างคนชั่วร้าย
แต่พระองค์ทรงฟังคำอธิษฐานของคนเที่ยงธรรม
30 ประกายจากดวงตาทำให้ใจพองโต
และข่าวดีก็เป็นอาหารบำรุงกระดูกให้สดชื่น
31 คนที่ยอมฟังการตักเตือนที่ให้ชีวิต
จะได้อยู่ท่ามกลางคนที่มีปัญญา
32 คนที่ไม่ใส่ใจกับวินัยก็ดูถูกตนเอง
แต่คนที่ใส่ใจกับการแก้ไขความผิดพลาดก็จะไดัรับความเข้าใจ
33 ความยำเกรงพระยาห์เวห์เป็นคำสอนที่ให้ปัญญา
ความถ่อมตนนั้นนำหน้าเกียรติยศ
พระคำเชื่อมโยง
1* สุภาษิต 25:15; 1 ซามูเอล 25:10
2* สุภาษิต 12:23
3* โยบ 34:21
5* สุภาษิต 10:1; 13:18
8* อิสยาห์ 1:11
9* สุภาษิต 21:21
10* 1 พงศ์กษัตริย์ 22:8; สุภาษิต 5:12
11* โยบ 26:6; 2 พงศาวดาร 6:30
12* อาโมส 5:10
13* สุภาษิต 12:25; 17:22
15* สุภาษิต 17:22
16* สดุดี 37:16
17* สุภาษิต 17:1
18* สุภาษิต 26:21
19* สุภาษิต 22:5
20* สุภาษิต 10:1
21* สุภาษิต 10:23; เอเฟซัส 5:15
22* สุภาษิต 11:14
23* สุภาษิต 25:11
24* ฟีลิปปี 3:20; สุภาษิต 14:16
25* สุภาษิต12:7; สดุดี 68:5-6
26* สุภาษิต 6:16, 18 ; สดุดี 37:30
27* อิสยาห์ 5:8
28* 1 เปโตร 3:15
29* สดุดี 10:1; 34:16; 145:18
33* สุภาษิต 1:7; 18:12
มาระโก 13 จงเฝ้าระวัง!
หมายสำคัญและหายนะของพระวิหาร
จะเกิดขึ้นเมื่อไรกัน?
(Matthew 24:1–8; Luke 21:5–9)
1 ขณะที่พระเยซูทรงออกจากพระวิหาร ศิษย์คนหนึ่งทูลว่า “ท่านอาจารย์ ดูสิว่า ศิลานี้ก้อนใหญ่มาก และพระวิหารก็เป็นอาคารใหญ่งดงาม”
2“เจ้าเห็นตึกใหญ่ตระการเช่นนี้อย่างนั้นหรือ?” พระเยซูตรัสตอบ
“หินก้อนใดที่วางซ้อนกันอยู่ตรงนี้จะไม่เป็นอย่างเดิม มันจะถูกโยนทิ้งไปทั้งหมด”
3 ขณะที่พระเยซูประทับนั่งอยู่บนภูเขามะกอกเทศ ตรงข้ามพระวิหาร เปโตร ยากอบ ยอห์น และอันดรูว์ ทูลถามพระองค์เป็นส่วนตัวว่า
4 “ขอพระองค์ทรงบอกเราเถิดว่าเหตุการณ์เหล่านี้จะเกิดขึ้นเมื่อไร? และมีอะไรเป็นหมายสำคัญบ่งบอกว่า ทุกสิ่งใกล้จะสำเร็จ?”
5 พระเยซูทรงเริ่มต้นบอกเขาว่า “จงระวัง อย่าให้ใครหลอกลวงเจ้า
6 หลายคนจะมาในนามของเราอ้างว่า “เราคือพระองค์นั้น” แล้วล่อลวงคนเป็นอันมาก
7 เมื่อเจ้าได้ข่าวเกี่ยวกับสงคราม และข่าวลือเรื่องสงคราม
ก็อย่าตกใจไป เพราะสิ่งเหล่านี้ต้องเกิดขึ้น แต่จุดจบยังไม่มาถึง
8 เชื้อชาติต่าง ๆ จะต่อสู้กัน อาณาจักรต่าง ๆ จะทำสงครามกัน จะมีแผ่นดินไหวเกิดขึ้นตามสถานที่ต่าง ๆ รวมไปถึงการกันดารอาหาร และนี่คือการเริ่มต้นของความเจ็บปวดก่อนการคลอดบุตร
การเป็นพยานสู่ชาติต่าง ๆ
(มัทธิว 24:9–14; ลูกา 21:10–19)
9 ดังนั้น ขอให้เจ้าระวังตัว เพราะเจ้าจะถูกคุมตัวไปยังศาลต่าง ๆ และถูกโบยในศาลาธรรม เจ้าจะต้องยืนเป็นพยานต่อหน้าผู้ว่าการและกษัตริย์เพื่อเรา
10 จะต้องมีการประกาศข่าวประเสริฐและชาติต่าง ๆ ทั้งปวงก่อน
11 แต่เมื่อพวกเขาจับกุมเจ้า และส่งตัวขึ้นศาล ขออย่ากังวลล่วงหน้าไปว่าจะพูดอย่างไร แต่จงพูดตามถ้อยคำที่เจ้าจะได้รับในเวลานั้น เพราะไม่ใช่เจ้าที่พูด แต่เป็นองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์
12 พี่น้องจะทรยศกันเองถึงตาย และพ่อจะทรยศลูก
ลูกจะขัดขืนพ่อแม่ และทำให้พวกเขาถูกประหาร
13 ใคร ๆ จะเกลียดชังท่านเพราะนามของเรา
แต่คนที่ยืนหยัดจนถึงที่สุดจะได้รับความรอด
สิ่งเลวทราม การหลอกลวงที่จะเกิดขึ้น
(มัทธิว 24:15–25; ลูกา 21:20–24)
14 ดังนั้น เมื่อเจ้าเห็นสิ่งที่เลวทราม ซึ่งเป็นต้นเหตุของวิบัติ ตั้งอยู่ในที่ซึ่งไม่ใช่ที่ของมัน (ขอให้ผู้อ่านเข้าใจเองเถิด) เมื่อนั้น ให้คนที่อยู่ในยูเดีย หนีไปยังภูเขา
15 อย่าให้คนที่อยู่บนดาดฟ้า กลับลงไปในบ้านเพื่อจะขนสิ่งใดออกมา
16 และอย่าให้ใครที่อยู่ในทุ่ง กลับไปหยิบเสื้อคลุม
17 วันเวลาเหล่านั้นจะยากลำบากมากสำหรับหญิงมีครรภ์ หรือแม่ลูกอ่อน
18 จงอธิษฐานขอเพื่อเหตุการณ์นี้จะไม่เกิดในฤดูหนาว
19 เพราะเวลานั้น เป็นเวลาแห่งความทุกข์เข็ญ อย่างที่ไม่มีครั้งใดเทียบได้ตั้งแต่เริ่มแรกที่พระเจ้าทรงสร้างโลกจนบัดนี้ และจะไม่มีให้เห็นอีกในภายหน้า
20 หากองค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ทรงลดจำนวนวันเหล่านั้นให้น้อยลง ก็จะไม่มีใครรอดชีวิตเลย แต่เพื่อเห็นแก่คนที่พระเจ้าทรงเลือก คนที่พระองค์ทรงเลือกสรรไว้ พระองค์จึงทรงทำให้วันเหล่านั้นสั้นลง
21 ในเวลานั้น หากมีใครพูดกับเจ้าว่า “ดูนั่นสิ พระคริสต์อยู่ที่นี่” หรือ “พระคริสต์อยู่ที่โน่น” อย่าได้หลงเชื่อ
22 เพราะว่า พระคริสต์ปลอมและผู้กล่าวพระคำเท็จจะปรากฏตัวขึ้น และแสดงหมายสำคัญ การอัศจรรย์ โดย หากเป็นไปได้ จะลวงกระทั่งคนที่พระเจ้าทรงเลือกไว้
23 ดังนั้นจงเฝ้าระวัง เราได้บอกทุกสิ่งแก่เจ้าล่วงหน้าไว้แล้ว
สิ่งที่สำคัญต่อเรามากในยุคสุดท้ายนี้
(Matthew 24:26–31; Luke 21:25–28)
24 แต่ในเวลานั้น หลังจากเวลาแห่งความทุกข์เข็ญผ่านไป ดวงอาทิตย์จะมืดไป
ดวงจันทร์จะไม่ส่องสว่าง
25 ดวงดาวจะร่วงลงมาจากท้องฟ้า และอำนาจทั้งหลายในสวรรค์จะสั่นสะเทือน’
26 เวลานั้นเอง พวกเขาจะได้เห็นบุตรมนุษย์เสด็จมาในหมู่เมฆ
ด้วยราชอำนาจและพระเกียรติสิริยิ่งใหญ่ตระการ
27 และพระองค์จะทรงส่งทูตสวรรค์เพื่อรวบรวมคนที่พระองค์ทรงเลือก
จากลมทั้งสี่ทิศ จากที่สุดปลายแผ่นดินโลกจนถึงสุดปลายฟ้าสวรรค์
บทเรียนจากต้นมะเดื่อ
(Matthew 24:32–35; Luke 21:29–33)
28 ขอให้เอาบทเรียนมาจากต้นมะเดื่อ คือว่า ทันทีที่กิ่งเริ่มเขียวสด แตกใบอ่อนเท่ากับฤดูร้อนกำลังเคลื่อนเข้ามา
29 เช่นกัน เมื่อเจ้าเห็นเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้น ขอให้รู้ว่า พระองค์ทรงมาใกล้ อยู่ที่ประตู
30 เราบอกความจริงแก่เจ้าว่า คนยุคนี้ยังไม่ทันจะตายไป จนกว่าเหตุการณ์ทั้งปวงนี้จะเกิดขึ้นก่อน
31 สวรรค์และโลกจะสูญสิ้นไป แต่คำของเราจะไม่มีวันสูญหายไปเลย
ต้องเตรียมพร้อมไม่ว่าเวลาใด
(Matthew 24:36–51; Luke 12:35–48)
32 ไม่มีใครรู้วันและชั่วโมงนั้น หรือแม้แต่ทูตสวรรค์ในสวรรค์ หรือพระบุตรก็ไม่ทรงทราบ พระบิดาเท่านั้นที่ทรงทราบ
33 จงระวังและตื่นตัวเอาไว้ เจ้าไม่รู้ว่า เวลาที่กำหนดจะมาถึงเมื่อไร
34 ก็เป็นเหมือนกับชายคนหนึ่งเดินทางจากบ้านไป โดยที่เขามอบหมายคนรับใช้แต่ละคนให้รับผิดชอบหน้าที่ต่าง ๆ และสั่งให้คนเฝ้าประตูคอยเฝ้าระวัง
35 ดังนั้นจะเฝ้าระวังอยู่ เพราะเจ้าไม่รู้ว่า เจ้าของบ้านจะกลับมาเมื่อไร อาจจะเป็นเวลาเย็น เที่ยงคืน เวลาไก่ขันหรือรุ่งเช้า
36 ไม่อย่างนั้น ท่านอาจจะกลับมาถึงโดยไม่บอกล่วงหน้า และพบเจ้าหลับอยู่
37 สิ่งที่เราบอกเจ้า ก็ขอบอกกับทุกคนด้วยว่า “จงเฝ้าระวัง!”
มาระโก 13:1-8
บทที่ 13 เป็นบทที่เชื่อมระหว่างบทที่ 11-12 กับบทที่ 14 เป็นบทที่เข้าใจยากที่สุดของมาระโก พระเยซูทรงบอกศิษย์พระองค์ล่วงหน้าถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นอีกประมาณไม่กี่สิบปีข้างหน้า และทรงบอกถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในยุคสุดท้ายหรือในช่วงเวลาปัจจุบันนี้ด้วย
ขณะที่ทั้งกลุ่มออกจากพระวิหารซึ่งขณะนั้นยังสร้างไม่เสร็จดี เป็นวิหารที่ใช้เวลาสร้างถึง 8 ศตวรรษ โดยเฮโรดเป็นผู้เริ่มต้นเมื่อ 19 ปีกคศ.และเสร็จเมื่อปี 63 วิหารนี้ใช้หินก้อนใหญ่มากหนักกว่า 400 ตันวางเรียงซ้อนกัน และยังมีการฉาบอาหารด้วยทองคำ เมื่อสร้างเสร็จ อีกประมาณเจ็ดปีต่อมา ก็ถูกทำลายโดยอาณาจักรโรมที่เข้ามากวาดล้างหมู่คนยิวที่กบฎต่อโรม วิหารแห่งนี้เป็นความภาคภูมิใจของคนยิว และบางครั้งถึงกับใหญ่ในใจของพวกเขายิ่งกว่าพระเจ้าอีก !
หลังจากนั้นพวกเขาไปนั่งอยู่บนเขาตรงข้ามพระวิหาร โดยมีหุบเขาขิดโรนขวางอยู่ แล้วก็มีคำถามจากศิษย์ว่า สิ่งเหล่านั้นจะเกิดขึ้นเมื่อไร แต่คำตอบของพระเยซูนั้นไม่ได้อยู่แค่การสิ้นสุดของพระวิหาร เป็นคำตอบที่บอกถึงอนาคตที่ไกลมากเป็นคำตอบที่อยู่ในบทที่ 13 นี้ทั้งหมด น่าสนใจที่ ศิษย์สี่คนที่นั่งกับพระองค์ (พวกเขาเป็นพี่น้องมาจากสองครอบครัว)
สิ่งที่พระเยซูตรัสอย่างแรกคือ ระวังไม่ให้ใครหลอกเรา นั่นหมายความว่า เราต้องเข้าใจเหตุการณ์ อ่านเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันให้ออก และเข้าใจในสายตาที่มองจากพระคัมภีร์ เข้าใจเรื่องของคำพยากรณ์ตั้งแต่ในสมัยพระคัมภีร์เดิมมาจนถึงวันที่พระเยซูตรัสนี้
เพราะในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา เราจะเจอวิญญาณแห่งการหลอกลวง และท่วมท้นในยุคสุดท้ายนี้
พวกเขาจะมาและบอกว่าตนเองเป็นพระเจ้า หรือผู้ที่พระเจ้าส่งมา เราเห็นมากมายในหลาย ๆ ประเทศ คนเหล่านี้สามารถหลอกคนมากมายได้ แต่คนของพระเจ้าได้รับการเตือนแล้ว ไม่ควรจะหลงไป
ส่วนเรื่องของสงครามนั้น จะเกิดขึ้นมากมายในโลกนี้ และพระเยซูตรัสสั่งว่า ไม่ต้องกลัวเพราะว่า มันต้องเกิดขึ้นอยู่แล้ว พระเยซูไม่ได้บอกว่าชีวิตจะโรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่เราจะเจอการยากลำบากเมื่อเราติดตามพระองค์ ไม่ว่าจะมีทั้งแผ่นดินไหว และการอดอยาก เราจะเห็นว่า แผ่นดินไหวเกิดถี่ขึ้นเรื่อย ๆ ความอดอยากมากขึ้นอีก แต่เหล่านี้ ไม่ได้เป็นจุดจบ มันเป็นความเจ็บปวดที่ถี่ขึ้นเรื่อย ๆ …เหมือนหญิงมีครรภ์ใกล้คลอด
มาระโก 13:9-13
ความยากลำบากที่เกิดขึ้น เพราะความเชื่อไม่ใช่เรื่องประหลาดเลยเพราะเป็นมาตั้งแต่เริ่มต้นคริสตจักรแล้ว
ถ้าเราได้รู้เรื่องของคริสเตียนในสมัยที่คอมมิวนิสต์เข้ามาครองในช่วงเหมาเจ๋อตง เราจะรู้ว่าชีวิตของคริสเตียนลำบากแค่ไหน ซึ่งยังเป็นอยู่จนทุกวันนี้ คนมากมายเกิด ในประเทศที่มีการห้ามเชื่อ ห้ามคิด ห้ามพูดตามที่ใจอยาก พวกเขาถูกจำกัดความเป็นคนเต็มคนเพียงเพื่อให้อำนาจของผู้ปกครองยั่งยืน
การที่คนในครอบครัวทรยศกันเองเป็นความเจ็บปวดอย่างยิ่ง แต่มันก็เกิดขึ้นอยู่ไม่หยุดหย่อน
สิ่งสำคัญของเราคือ เราต้องรู้ว่า พระวิญญาณจะทรงช่วยเราเมื่อเราอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้น แต่นี่ไม่ได้เป็นเหตุผลที่เราจะไม่เรียนรู้พระคัมภีร์ให้มากที่สุด
สิ่งที่พระเยซูทรงเตือนเราสำคัญสุดคือ ให้ยืนหยัดจนถึงที่สุด
มาระโก 13:14-23
พระเยซูทรงอธิบายว่า จะเกิดเหตุการณ์อย่างไรบ้าง และผู้เชื่อต้องทำอย่างไร ข้อ 18 ให้รู้ว่า เราต้องอธิษฐานขอจากพระเจ้าที่ความทุกข์ยากนั้นจะบรรเทาบ้างจนเราพอทนได้ เพราะความทุกข์ยากที่พระเยซูทรงกล่าวถึงนั้น มันเป็นแบบว่า ไม่เคยมีอะไรอย่างนั้นให้เห็นมาก่อน ในข้อยี่สิบพระเจ้าทรงจำเป็นที่จะต้องให้วันของพระองค์าเร็วขึ้น เพราะไม่อย่างนั้นแล้ว จะไม่มีใครเหลือ เนื่องจากความโหดร้ายที่เกิดขึ้นมันรุนแรงเกินทน
ยังมีอีกเรื่องคือ การที่คนวิ่งไปหาผู้ช่วยให้พ้นความลำบาก คำว่า พระคริสต์ คือ พระผู้ช่วยให้รอด คนทั้งหลายจะบอกกันต่อ ๆ ว่า ไปหาคนนั้น คนนี้สิ เขาจะช่วยได้ ไปหาโค้ชชีวิตคนนั้น คนนี้ ซึ่งทั้งหมดพระเยซูทรงเตือนล่วงหน้าว่า อย่าหลงเชื่อเป็นอันขาด
เราขอสรุปคำของพระเยซูที่สำคัญในตอนสั้น ๆ นี้คือเมื่อถึงเวลาต้องหนี ให้หนีโดยไม่ต้องรีรอ อธิษฐานขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า อย่าเชื่อคนหลอกลวง เฝ้าระวัง โดยทำอย่างขยันขันแข็งไม่ใช่แบบตามสบายอะไรก็ได้
มาระโก 13:24-27
พระเยซูทรงอธิบายภาพของการเสด็จมาอีกครั้งให้เราทราบ ซึ่งเราน่าจะจินตนาการได้ว่า เป็นอย่างไร
เป้าหมายของพระองค์คือ แสดงพระราชอำนาจ พระเกียรติยิ่งใหญ่ และมารับคนที่ทรงเลือกไว้ในแผ่นดินโลกไปกับพระองค์
พระเยซูไม่ทรงเน้นว่าเมื่อไร ทรงเน้นว่า ให้เตรียมพร้อม!
มาระโก 13:28-31
เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในยุคสุดท้ายนั้น ช่างตรงกับเวลาที่เราอยู่ในทุกวันนี้ เราเจอกับโรคระบาดกันทั้งโลกซึ่งไม่เคยมีมาก่อน ปี 2024 นี้ เราก็พบกับสงครามร้อน ๆ ในยูเครน ตะวันออกกลาง พม่า และมีความตึงเครียดของจีนและใต้หวัน
สงครามความคิดในสังคมผู้คนแตกแยก ความเห็นทางการเมืองที่แตกต่าง ทำให้คนไม่รักกัน และชังกันและกัน
สิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้ เป็นเหมือนกิ่งของต้นมะเดื่อที่เริ่มแตกใบอ่อน
มาระโก 13:32-37
มีคนจำนวนไม่น้อยที่อึดอัดกับการที่พระเยซูทรงบอกให้เตรียมพร้อม โดยไม่บอกเวลาวันปีเดือนให้ชัดเจน ดังนั้น ก็จะมีคนเตรียมพร้อมที่อาจจะอ่อนแรงเพราะยังไม่พบพระองค์สักที แต่การบอกของพระองค์อย่างนี้ มีความสำคัญเหมือนกับว่า เราอยู่ในสงครามที่ไม่รู้ว่า ศัตรูจะบุกตอนไหน ทิ้งระเบิดเวลาใด เราจึงเตรียมพร้อมเหมือนทหารที่อยู่ในสงคราม
และหากใครมาอวดอ้างว่ารู้เวลาแน่นอน เท่ากับเขากำลังกล่าวเท็จ
เรามีเวลาคร่าว ๆ ให้รู้ แต่ไม่มีใครรู้เวลาที่กำหนดชัดเจน
สิ่งที่สำคัญมากคือการตื่นตัว ไม่ประมาท ไม่หลับไหลในทางของพระเจ้า
Cross Reference มาระโก 13
1* ลูกา 21:5-36
2* ลูกา 19:44
3* มัทธิว 16:18; มาระโก 1;19; ยอห์น 1