1 โครินธ์ 3 รากฐานแท้

จะอยู่ฝ่ายเนื้อหนังไปทำไม?

1 โครินธ์ 3:1-3 พี่น้องเอ๋ย ข้าไม่อาจพูดกับท่านเหมือนพูดกับ คนที่อยู่ฝ่ายวิญญาณ แต่ต้องพูดราวกับท่านยังอยู่ฝ่ายเนื้อหนัง ยังเป็นทารกในพระคริสต์ ข้าเลี้ยงท่านด้วยน้ำนมไม่ใช่ด้วยอาหารปกติ เพราะว่าเมื่อก่อนท่านรับไม่ได้ และบัดนี้ก็ยังรับไม่ได้
ท่านยังอยู่ฝ่ายเนื้อหนังตราบใดที่ท่านยังอิจฉากัน ขัดเคืองใจกัน แล้วจะไม่ให้เรียกว่า ท่านยังอยู่ฝ่ายเนื้อหนังได้อย่างไร ในเมื่อท่านยังทำตัว เหมือนกับคนทั่วไป

1โครินธ์ 3:4-5 เพราะเมื่อคนหนึ่งว่า “ข้าเป็นศิษย์ของเปาโล” และอีกคนว่า ข้าเป็นศิษย์ของอปอลโล” ท่านก็เป็นดั่งคนทั่วไปมิใช่หรือ?
อปอลโลเป็นใคร? และเปาโลเป็นใคร?พวกเขาคือผู้รับใช้ที่ช่วยให้ท่านมีความเชื่อตามที่พระเจ้าทรงกำหนดให้เราแต่ละคน

1 โครินธ์ 3:6-7 ข้าเป็นคนปลูก ส่วนอปอลโลรดน้ำแต่พระเจ้าทรงเป็นผู้ทำให้เติบโต
ดังนั้น คนที่ปลูกและคนที่รดน้ำไม่สำคัญ แต่พระเจ้าผู้ทรงให้เติบโตนั้นต่างหากที่สำคัญ

ปลูก รดน้ำ รากฐาน ตึก กับคำเตือน

1 โครินธ์ 3:8-9 คนที่ปลูก และคนที่รดน้ำนั้นเป็นพวกเดียวกัน และแต่ละคนจะได้ค่าจ้างตามการงานของตนเพราะว่าเราร่วมกันทำงานเพื่อพระเจ้า ท่านเป็นไร่นาของพระองค์ ท่านเป็นตึกของพระองค์

1 โครินธ์ 3:10-11โดยพระคุณของพระเจ้า ข้าได้วางรากฐานดั่งนายช่างผู้เชี่ยวชาญ และมีอีกคนเข้ามาก่อสร้างบนฐานนั้น แต่ละคนจะต้องระวังว่า เขาก่อขึ้นอย่างไรเพราะใครจะมาวางรากฐานอื่นได้อีกนอกจากที่วางไว้แล้วคือ พระเยซูคริสต์?

1 โครินธ์ 3:12-13 บนรากฐานนี้ หากใครจะก่อด้วยทองคำ เงิน เพชร พลอย ไม้ หญ้าแห้ง หรือฟาง งานของแต่ละคนจะปรากฏให้เห็น เพราะว่าวันนั้น จะเป็นวันที่มีการเปิดเผย รวมทั้งจะเผยให้เห็นด้วยไฟ และไฟจะพิสูจน์ว่า การงานของแต่ละคนเป็นอย่างไร

1 โครินธ์ 3:14-15 ถ้าสิ่งที่ก่อสร้างขึ้นมาอยู่คงทนผู้ก่อก็จะได้รางวัล แต่ถ้างานของใครถูกเผาไป เขาจะไม่ได้รับรางวัล เขาคนนั้นจะรอดได้ แต่เหมือนรอดจากไฟ

อย่าหลอกตัวเอง

1 โครินธ์ 3:16-17 ท่านไม่รู้หรือว่า ท่านเป็นพระวิหารของพระเจ้า และพระวิญญาณของพระเจ้าประทับในท่าน ถ้าใครทำลายพระวิหารของพระเจ้า พระเจ้าจะทรงทำลายคนนั้น เพราะพระวิหารของพระเจ้าเป็นที่บริสุทธิ์ และท่านคือพระวิหารนั้น

1 โครินธ์ 3:1819 อย่าให้ใครหลอกตัวเอง ถ้าใครคิดว่าตัวเองเป็นคนมีปัญญาตามความเห็นของยุคนี้ จงให้คนนั้นยอมเป็นคนโง่ เพื่อจะได้เป็นคนมีปัญญา เพราะปัญญาของโลกนี้ เป็นความโง่เขลาในสายพระเนตรของพระเจ้า มีคำเขียนไว้ว่า “พระองค์ทรงดักคนที่มีปัญญาด้วยกลอุบายของพวกเขาเอง”

1 โครินธ์ 3:20-23 และมีคำเขียนอีกด้วยว่า“องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทราบว่า ความคิดของคนมีปัญญานั้น ไร้ประโยชน์” ดังนั้น อย่าเอามนุษย์ขึ้นมาอวดเลยเพราะว่า ทุกสิ่งเป็นของพวกท่าน
ไม่ว่าจะเป็นเปาโล อปอลโล เคฟาสโลกนี้ ชีวิต ความตาย ปัจจุบัน หรืออนาคต เหล่านี้เป็นของท่านทั้งสิ้นและท่านทั้งหลายเป็นของพระคริสต์และพระคริสต์ทรงเป็นของพระเจ้า

คำอธิบายเพิ่มเติม

จะอยู่ฝ่ายเนื้อหนังไปทำไม?
1 โครินธ์ 3:1-3
ตอนนี้ท่านเปาโลเปรียบพี่น้องชาวโครินธ์ว่า เป็นเหมือนเด็กทารกที่ยังใส่ผ้าอ้อมอยู่ พวกเขายังไม่โต ยังโวยวาย ทุ่มเถียง ไม่เป็นผู้ใหญ่ที่มีความอดทนอดกลั้นต่อกัน ยังไม่เป็นผู้ใหญ่ที่รับเรื่องยาก ๆ ในพระเจ้าได้ ต้องเรียนรู้สิ่งที่เหมือนเด็ก ๆ เรียน เราจะเห็นจากบทที่ผ่านมาว่าท่านต้องอธิบายเรื่องเดียวนานพอสมควร พูดแล้วพูดอีกเพื่อจะแน่ใจว่าพวกเข้าใจ
คำว่าท่านยังอยู่ฝ่ายเนื้อหนังคือ ท่านยังรับอิทธิพลของความปรารถนาต่าง ๆ ของเนื้อหนังไม่มีการยับยั้งชั่งใจ ไม่มีการควบคุมตนเอง และนี่เป็นเหตุที่ทำให้ท่านเปาโลยังไม่อาจอธิบายเรื่องของพระเจ้าให้แก่พี่น้องชาวโครินธ์ไปได้มากกว่านี้ ดูเหมือนว่าท่านต้องจัดการที่พื้นฐานชีวิตก่อน
1โครินธ์ 3:4-5
งานที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้ให้เรานั้น แต่ละคนไม่เหมือนกัน ทุกคนที่รับใช้จะไม่เปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น ผู้รับคำสอนอาจจะถูกใจบางคนกว่าบางคน แต่ไม่ได้หมายความว่า ต้องแบ่งพรรคพวกเพราะพระเจ้าทรงกำหนดงานของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ในสถานที่ ในกลุ่มชนที่หลากหลายต่างกันไป ผู้ที่ควรได้รับการยกย่องมากที่สุดคือพระเจ้า ครู อาจารย์ ผู้ประกาศ เป็นเพียงผู้ที่รับทำตามพระบัญชาของพระองค์
1 โครินธ์ 3:6-7
ถ้าเราจะคิดในเชิงวิถีธรรมชาติ พันธุ์ไม้มากมายที่เกิดขึ้นในทุ่งหญ้า ป่าไม้ โดยไม่มีคนปลูกและรดน้ำแต่มันยังมีชีวิตอยู่ได้ ด้วยพระเมตตาคุณของพระเจ้า สดุดี 65:9 เล่าถึงการที่พระเจ้าทรงเยี่ยมแผ่นดิน ทรงรดน้ำให้ ท่านเปาโลกำลังเปรียบชีวิตคริสเตียนว่า เหมือนกับต้นไม้ที่มีผู้ปลูก และรดน้ำ ซึ่งเป็นหน้าที่สำคัญของผู้รับใช้ที่สอนพี่น้อง แต่ที่สุดการเติบโตมาจากพระเจ้าโดยตรง ไม่มีใครจะอ้างความดีความชอบได้

ปลูก รดน้ำ รากฐาน ตึก กับคำเตือน
1 โครินธ์ 3:8-9.
ท่านเปาโลมองว่า ทุกคนที่รับใช้พระเจ้าจะได้รับรางวัลหรือค่าจ้างตามที่พระเจ้าทรงเห็นสมควร ไม่มีใครใหญ่กว่าใครในสายพระเนตรพระเจ้าแม้ว่าในหน้าที่อาจจะมีระดับขั้นการทำงานก็ตามหลายคนคิดว่าอาจารย์ที่ใหญ่โตนั้นจะได้รับรางวัลมากกว่า หรือ ได้รับการยอมรับจากพระเจ้า
มากกว่า แต่ดูจากข้อเขียนของท่านเปาโลตอนนี้ แม้พี่น้องที่ไม่มีใครสังเกตแต่ได้รับใช้อย่างซื่อสัตย์ ก็เป็นหนึ่งในผู้ร่วมงานเพื่อแผ่นดินของพระเจ้า
1 โครินธ์ 3:10-11
ท่านเปาโลมองตัวท่านเองว่าเป็นนายช่างที่ก่อ ฐานชีวิตแห่งความเชื่อของพี่น้องด้วยพระเยซูคริสต์นั่นคือ ทุกคนจะรอดได้ไม่ใช่ด้วยสิ่งอื่นใด นอกจาก ด้วยการเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ผู้สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนและคืนชีพขึ้นมาในวันที่สาม ท่านเป็นคนแรกที่สร้าง แต่พระเจ้าจะทรงใช้คนอื่น ๆ มาช่วยดูแลชีวิตของผู้ที่เชื่อ และคนที่ตามมารับใช้นั้นจะต้องก่อต่อไปด้วยพระเยซูคริสต์
1 โครินธ์ 3:12-13
อย่างที่กล่าวมาแล้วว่า การสร้างความเชื่อของผู้เชื่อต้องมีคนงานหลายคน บางคนปลูก บางคนรดน้ำ ซึ่งก็หมายถึงผู้ที่ประกาศ สอน เทศนาและรับใช้เพื่อพี่น้องในด้านต่าง ๆ ท่านเปาโลเตือนว่า ไม่ว่าใครจะก่อขึ้นอย่างไร เขาคนนั้นจะต้องรับผิดชอบ เพราะงานของเขาอาจเป็นงานเสียหายมาตั้งแต่ต้น แต่คนมองไม่ออก แต่ในวันของพระเจ้า พระองค์จะใช้ไฟพิสูจน์งานนั้น แม้กระทั่งงานที่เพื่อน ๆ กำลังอ่านอยู่ในเวลานี้

อย่าหลอกตัวเอง
1 โครินธ์ 3:14-15
ผู้รับใช้ในฐานะที่เป็นผู้ก่อสร้างชีวิตของผู้เชื่อนั้นบางคนอาจได้รางวัล แต่บางคนอาจจะเจอการสูญเสีย สูญเปล่า หากเขาก่อสร้างอย่างไม่ระวัง ก่อสร้างแบบขอไปที หรือใช้สติปัญญาของมนุษย์ในการทำให้คริสตจักรโต แม้ว่าที่สุดเขาเองได้รับความรอดแต่ก็หวุดหวิด ไฟที่กล่าวถึงในข้อก่อนหน้านี้ คือใช้เพื่อพิสูจน์งานของผู้รับใช้ว่าเป็นอย่างไร ​แต่คำว่าไฟ ในข้อนี้ เป็นการกล่าวถึงไฟที่จะเผาผลาญ
1 โครินธ์ 3:16-17
เวลานี้ท่านเปาโลกำลังกล่าวชัดเจนว่า “ท่าน” เป็นพระวิหารของพระเจ้า มีความหมายถึงชุมชนผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่คนเดียว ท่านคือ หลายคน หากมีใคร ผู้รับใช้คนไหน พยายามที่จะทำลายชุมชนผู้เชื่อหรือที่ประทับของพระเจ้า ตั้งใจที่จะทำให้คริสตจักรต้องทำผิด ล่อลวงผู้เชื่อ พระเจ้าจะทรงทำลายผู้นั้น เราอาจถามว่า แล้วคนที่ข่มเหงคริสตจักรของพระเจ้าล่ะ? คนพวกนั้นจะโดนพระเจ้าทรงจัดการอยู่แล้ว
1 โครินธ์ 3:18
บางคนในคริสตจักรกำลังหลอกตัวเองว่า เขาเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ที่ยอดสุดในประเทศ ตามเทรนด์ที่คนกำลังชอบฟัง โดยหารู้ไม่ว่าคนนี้หลอกหรือไม่ สมัยนี้ เรามักเชื่อสิ่งที่เขาบอกกันโดยไม่ไตร่ตรอง ท่านเปาโลกำลังเตือนให้พวกเขากลับมาสู่รากฐานสำคัญของความรอดคือ ความเชื่อในพระเยซู
1 โครินธ์ 3:19
ท่านเปาโลกำลังบอกพี่น้องคริสเตียนว่า ให้เขาเลิกคิดตามคำสอนของโลกเพื่อว่าเขาจะได้เป็นคนมีปัญญาแท้จริง คำสอนของโลกนี้เปลี่ยนไปตามยุคสมัย เช่น เราจะเห็นวิธีการเลี้ยงลูกสมัยใหม่ที่ไม่ยอมให้เด็กลำบากเลย เวลาเด็กล้มก็ไปรับ ทำอย่างนี้จนโต ลูกไม่เคยต้องแก้ปัญหาเองหรือ การเชื่อว่า เราทำอะไรก็ได้ตามใจในเมื่อมันไม่ทำให้ใครเดือดร้อน โดยหารู้ไ่ม่ว่าการกระทำของมนุษย์ทุกคน เชื่อมโยงสัมพันธ์ส่งผลต่อกันเสมอ
1 โครินธ์ 3:20-23
พื้นฐานที่แท้จริงของความคิดผู้มีปัญญา กูรูทั้งหลายนั้น อยู่ที่ว่า ข้าทำได้เอง ข้าเป็นผู้กำหนดชีวิตตนเอง ข้าคือพระของตนเอง ไม่มีใครใหญ่ไปกว่าตัวตนของข้า .. แต่แล้วทุกคนก็ไปจบที่ สุดปลายคือความตายโดยยังเชื่อว่าตัวเองกำหนดได้ว่าชีวิตหลังจากนั้นจะเป็นอย่างไรเทรนด์การพัฒนาตนเองนั้นดูดี แต่กาพัฒนาตนโดยไม่มีพระเจ้านั้น ในที่สุดมันเหงา โดดเดี่ยวจริง ๆ
ที่ท่านเปาโลกล่าวว่า ทุกอย่างเป็นของเรา ท่านกล้าพูดได้ก็เพราะ พระคริสต์ทรงเป็นเจ้าของทุกสิ่ง พระคริสต์คือที่สุด ทรงเป็นผู้ที่เชื่อมโยงทุกสิ่งในโลกมนุษย์ จักรวาล โลกฝ่ายวิญญาณเข้าด้วยกัน เมื่อเราเป็นของพระคริสต์ เราจึงมีทุกอย่างที่พระคริสต์ทรงครอง โคโลสี 1:19 กล่าวว่า เพราะพระบิดาทรงพอพระทัยที่จะให้ความเต็มบริบูรณ์อยู่ในพระคริสต์​

ข้อพระคำเชื่อมโยง
1* ฮีบรู 5:13
2* 1 เปโตร 2:2; ยอห์น 16:12
5* 2 โครินธ์ 3:3,6; 4:1; 5:18;6:4
6* กิจการ 18:4; 18:24-27; 2 โครินธ์ 3:5
7* กาลาเทีย 6:3

8* สดุดี 62:12
9* 2 โครินธ์ 6:1; เอเฟซัส 2:20-22
10* โรม 1:5; 1 โครินธ์​4:15
11* อิสยาห์ 28:16; เอเฟซัส 2:20
13* 1 เปโตร 1:7; ลูกา 2:35
16* 2 โครินธ์ 6:16

18* สุภาษิต 3:7
19* โยบ 5:13
20* สดุดี 94:11
21* 2 โครินธ์ 4:5
23* 2 โครินธ์ 10:7