ยอห์น 17 คำทูลก่อนไม้กางเขน

พระบุตรทูลต่อพระบิดาเพื่อพระองค์เอง

คำอธิษฐานเพื่ออัครทูต

คำอธิษฐานเผื่อผู้เชื่อทุกคน

ยอห์น 17:1-2 บทนี้ได้บันทึกคำทูลอธิษฐานของพระเยซูต่อพระบิดาที่ทรงอธิษฐานก่อนจะถูกจับไป พระองค์ทรงทราบว่า อะไรจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า และตรัสว่า “ถึงเวลาแล้ว” พระองค์ทรงอธิษฐานเพื่อพระองค์เอง เพื่ออัครทูต และเพื่อพวกเราที่มาเชื่อในพระคำของพระองค์ พวกเราที่เชื่อว่า พระเจ้าทรงส่งพระองค์มาในโลกนี้
ไม่ใช่ว่าเราอ่านทุกอย่างในพระคัมภีร์ แล้วเราจะเข้าใจหมด เพราะมีคำที่ล้ำลึกเกินความเข้าใจมากมาย แต่การที่เราได้อ่าน ได้รับรู้และได้รับการหล่อเลี้ยงด้วยพระคำนั้น เป็นสัญญาณบอกเราว่า เราอยู่ถูกทางแล้ว ให้เดินตามทางนี้ต่อไป แล้วจะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้ามากขึ้นทุกวัน
พระเยซูเป็นผู้เดียวที่ทรงมีสิทธิอำนาจเหนือคนในโลกทั้งหมด พระองค์มีอำนาจที่จะให้ชีวิตนิรันดร์ได้… ไม่มีทางอื่นที่จะได้ชีวิตนิรันดร์ + คือที่จะได้อยู่กับพระเจ้าตลอดไป

ยอห์น 17:3-4 จะได้ชีวิตนิรันดร์นั้น เราต้องรู้จักทั้งพระบิดาและพระบุตร การรู้จักพระบิดาองค์พระผู้สร้าง องค์พระเจ้าผู้ทรงยุติธรรมนั้น เราจะรอดได้อย่างไรเล่า เพราะหากพระองค์ตัดสินชีวิตของเราตามความจริงแล้ว ไม่มีใครสักคนในโลกนี้ จะรอดได้เลย
พระเยซูได้ลงมาในโลกเพื่อทำราชกิจแห่งการไถ่บาปให้สำเร็จ ทำให้คนบาปได้รับการตัดสินว่าเป็นคนที่จะได้รับชีวิตนิรันดร์ เริ่มตั้งแต่วันที่เขาสำนึกผิด และได้รับเชื่อวางใจว่า พระเยซูเป็นพระผู้ช่วยของเขา

ยอห์น 17:5-6 พระเยซูตรัสชัดเจนว่า พระองค์ทรงอยู่มาก่อนโลกนี้ ก่อนอับราฮัม พระสิริ พระเกียรติยิ่งใหญ่นั้น ทรงมีกับพระบิดามาก่อนที่มนุษย์จะเกิดมา ก่อนมนุษย์จะเข้าใจอะไร คำพูดแบบนี้ ไม่มีใครพูดออกมาได้นอกจากบุคคลที่เป็นดังนั้นจริง ๆ
ไม่มีมนุษย์คนใดจะคาดคิดได้ว่าต้องพูดอย่างนี้ แต่พระเยซูทรงกล่าวถึงความเป็นจริงของพระองค์ตั้งแต่นิรันดรกาล
ให้ศิษย์ทุกคนได้ยิน
ในข้อต่อมา ทรงอธิษฐานเพื่ออัครทูต…สิ่งที่พระองค์ตรัสทำให้เราเห็นว่า เหล่าศิษย์ของพระองค์เป็นอย่างไร พระองค์ได้เผยพระนามให้เขารู้จัก นั่นคือ พระองค์ทรงสอนให้เขารู้จักพระบิดาว่าทรงมีลักษณะอย่างไร และพวกเขาก็รักษาพระคำของพระบิดา ซึ่งหมายถึงใช้ชีวิตตามพระบัญชาของพระองค์​

ยอห์น 17: 7-8 สามปีที่อัครทูตอยู่กับพระเยซู พวกเขามั่นใจว่า พระเยซูทรงเป็นตัวกลางระหว่างเขากับพระเจ้า และทรงเป็นพระเจ้าที่พระบิดาส่งมาแน่นอน เราจะเห็นว่า พระเยซูทรงย้ำเรื่อง การที่พระเจ้าทรงส่งพระองค์มานั้น เป็นเรื่องสำคัญที่อัครทูตและผู้เชื่อจะต้องเข้าใจ หากเราไม่มีความเชื่อนี้ เราจะเชื่อเรื่องอื่น ๆ ไม่ได้เลย

ยอห์น 17:9-10 ข้อความที่ชัดเจนให้เราจับได้คือ เวลานี้ พระองค์ทรงทูลขอเพื่อคนของพระองค์ ไม่ได้ทูลขอเพื่อคนในโลก ขอเพื่อคนที่พระบิดาประทานให้กับพระองค์โดยเฉพาะ แต่ไม่ได้หมายความว่า พระองค์ไม่ได้ทรงรักคนในโลก พวกเขาจำเป็นต้องแข็งแรงเพื่อจะช่วยคนอื่นได้ พวกเขากำลังจะเจอกับการกดขี่ข่มเหงมากมาย และพวกเขาเป็นคนที่จะถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าเมื่อเจอกับความยากลำบากเหล่านั้น

ยอห์น 17:11. พระเยซูทรงขอให้อัครทูตมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน อย่างกับพระบิดาและพระองค์
คำอธิษฐานของพระเยซูไม่ได้จบในวันนั้น แต่เป็นสำหรับวันนี้ด้วย พี่น้องคริสเตียนต้องการหัวใจเดียวกันที่จะสร้างแผ่นดินของพระเจ้าในโลกนี้ พระองค์ไม่ได้ทรงหยุดอธิษฐานเพื่อพวกเขา พระองค์อธิษฐานเพื่อพวกเขาจะไม่ล้มลง (ลูกา 22:32)


ยอห์น 17: 12 จากอัครทูต 12 คน มีคนเดียวที่หลงไปจากทางของพระเจ้า พวกเขาได้รับการปกป้องอย่างดีจากพระบุตรพระเจ้า คนที่หลงไปนั้น พระเยซูทรงเรียกเขาว่า ลูกแห่งความพินาศ
ยูดาสเองอยู่กับพระเยซูเหมือนกับคนอื่น ๆ ซึ่งทุกคนตั้งใจที่จะติดตามพระเยซูไปตลอดชีวิต แต่น่าเสียดายที่ยูดาสมีเป้าหมายชีวิตเป็นอย่างอื่น นั่นคือ เขาไม่ได้ต้องการทำอย่างที่เพื่อน ๆ ทำ แต่เขาต้องการเป็นคนมีเงิน นั่นเป็นเป้าหมายสำคัญของเขา แต่เป้าหมายนั้นกลับทำให้เขาต้องพินาศ และทำในสิ่งที่ไม่น่าเป็นตัวเขาต้องทำเลยสักนิด

ยอห์น 17:13-14 พระเยซูทรงอธิษฐานด้วยความมั่นใจ รู้ว่า อีกไม่นานพระองค์จะจากโลกนี้ไปหาพระบิดาแล้ว เป็นความชัดเจนมากที่เหล่าศิษย์ไม่เข้าใจเลย
ความยินดีของพระเยซูที่ทรงขอพระบิดาให้เติมเต็มพวกเขานั้น เป็นสิ่งจำเป็นมาก ๆ เพราะอีกไม่นานพวกเขาจะพบเจอกับการข่มเหงและความเกลียดชังอย่างหนัก แต่ความยินดีและความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันนั้นจะทำให้พวกเขาผ่านไปได้
พระเยซูได้สอนพระดำรัสของพระเจ้าแก่อัครทูตอย่างพอเพียงที่จะทำให้พวกเขาก้าวต่อไปได้

ยอห์น 17:15-17 ดูสิว่า พระเยซูไม่ได้ทรงประสงค์ให้คนของพระองค์ต้องออกไปจากโลกให้หมด แต่พระองค์ทรงให้เขาอยู่ที่นี่ เพื่อช่วยคนอื่น และให้เขาพ้นจากผู้ที่ชั่วร้าย จากศัตรูของพระองค์ หากพวกเขารู้ว่า พระองค์จะเสด็จสู่สวรรค์ พวกเขาคงต้องอยากไปกับพระองค์แน่นอน เพราะในโลกนั้น มีแต่ความทุกข์ยากรออยู่
หากพวกเขาออกจากโลกไปกับพระองค์ โลกก็หมดหวังเช่นกัน เพราะไม่เหลือคนของพระเจ้าที่จะอยู่บอกพวกเขาเรื่องของพระองค์ อีกประการพวกเขาจะได้รับการชำระให้สะอาด ให้แยกออก คิดไม่เหมือนโลกด้วยพระคำของพระองค์
การชำระให้สะอาดด้วยความจริงของพระเจ้านั้นคือการแยกออกจากสิ่งไม่สะอาดในโลก เพื่อว่าจะเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า จะเป็นคนที่พระเจ้าทรงใช้ได้ตามพระประสงค์ มีความหมายถึงชีวิตที่บริสุทธิ์ตามมาตรฐานของพระเจ้า ความบริสุทธิ์นั้นขึ้นอยู่กับความจริงที่พระคัมภีร์สอนให้ทุกคนรับรู้

17:18-19 เมื่ออัครทูตได้รับการชำระจากพระเจ้าแล้ว พวกเขาก็ถูกส่งออกไปเพื่อประกาศอาณาจักรของพระเจ้าเหมือนอย่างพระเยซู เขารับใช้พระเจ้าด้วยชีวิตที่ได้รับการชำระ ถูกแยกออกจากความบาป ไม่ใช่นึกจะออกไปก็ทำได้ตามใจตัวเอง ..
ตรงนี้ที่บอกว่า ลูกได้สละชีวิตเพื่อพวกเขา มีความหมายด้วยว่า ลูกได้ชำระตัว แยกตัวออกเพื่อเห็นแก่พวกเขา เพื่อพวกเขาจะได้รับการชำระ แยกตัวออกจากโลกด้วยความจริงของพระเจ้า พระบุตรพระเจ้าทรงสละพระองค์เองตั้งแต่ที่ทรงลงมาเกิดในโลก สละสวรรค์ สละฐานะ และยังจะสละชีวิตในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า

ยอห์น 17:20-21 และแล้ว พระเยซูก็ทรงอธิษฐานเผื่อผู้เชื่อทุกคน ซึ่งหมายถึงพวกเราเอง ที่ได้เชื่อคำจากพระคัมภีร์ กลับใจใหม่ วางใจพระเยซูคริสต์ ทรงขอให้พวกเขามีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ขอให้พวกเขาได้อยู่ในพระบิดาและพระองค์ สิ่งสำคัญที่พระเยซูกล่าวหลายครั้งคือ เพื่อเขาจะได้รู้ว่า พระเจ้าทรงส่งพระองค์ลงมา

ยอห์น 17:22-23 พระเยซูทรงพร้อมที่จะประทานเกียรติให้กับผู้เชื่อ นี่เป็นเรื่องสำคัญในชีวิตเราที่เราไม่ค่อยคิดกัน เมื่อเรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว เราได้รับเกียรติสูงสุดในการได้เป็นลูกของพระเจ้า ได้คืนดีกับพระองค์ ได้เป็นผู้ที่อยู่ในครอบครัวของพระองค์ และยังมีอะไรดี ๆ ที่มากมายในเกียรติที่พระองค์ประทาน เป็นเรื่องที่เราต้องสืบค้นเพื่อจะเข้าใจให้ลึกซึ้ง
อีกครั้งที่พระเยซูทรงขอให้ผู้เชื่อได้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ลักษณะอย่างที่พระองค์ทรงเป็นหนึ่งเดียวกับพระบิดา และเพื่อว่าเขาจะเชื่อว่า พระเจ้าทรงส่งพระองค์ลงมา โลกจะมั่นใจได้ว่า พระเยซูเป็นพระบุตรที่พระบิดาทรงส่งมาได้เพราะพวกเขาเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน นี่เป็นเคล็ดลับสำคัญ ที่เราจะเห็นว่า มีการต่อสู้ของความเชื่อที่แตกต่างกัน มีความไม่เข้ากันมาโดยตลอดในประวัติศาสตร์
เราจะเห็นได้ว่า พระเจ้าทรงเกลียดชังผู้ที่หว่านความแตกร้าวในหมู่พี่น้อง เพราะความไม่เข้ากันนั้น เป็นศัตรูสำคัญของการเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน

ยอห์น 17:24
พระเยซูทรงประสงค์ให้ทุกคนที่เชื่อได้อยู่กับพระองค์ ได้ชื่นชมกับพระเกียรติสิริที่มีมาก่อนพระเจ้าทรงสร้างโลก นี่เป็นการย้อนกลับไปก่อนปฐมกาลเสียอีก ตอนนี้ พระเยซูกำลังตรัสย้อนอดีตที่ทรงอยู่กับพระบิดา และก้าวไปสู่อนาคตที่คนของพระองค์จะได้มาอยู่กับพระองค์ เป็นพระพรฝ่ายวิญญาณที่ประทานให้เรา (เอเฟซัส 1:3)

ยอห์น 17:25-26 คนที่เชื่อพระเยซู คือ คนที่เชื่อว่า พระเจ้าทรงส่งพระองค์ลงมาเป็นมนุษย์ เป็นผู้ที่ประกาศพระนามของพระเจ้า
อย่าลืมว่า พระเยซูทรงเน้นย้ำเรื่องนี้หลายครั้ง การจบคำอธิษฐานของพระเยซูกล่าวถึงการที่โลกไม่รู้จักพระเจ้า แต่พระเยซูจะทรงเป็นผู้นำพระนามนั้นไปให้โลกรู้จัก เพื่อพระวิญญาณและความรักของพระเจ้าจะได้อยู่ในพวกเขาทุกคน

พระคำเชื่อมโยง
1* ยอห์น 11:41; 7:30; 12:23; 7:39
2* มัทธิว 28:18; วิวรณ์ 2:26, 27 ; ยอห์น 10:28; 1 ยอห์น John 2:25; ยอห์น 17: 6, 9, 24; ยอห์น 6:37, 39; 10:29; 18:9; ฮีบรู 2:13
3* 1 ยอห์น 5:20; โฮเชยา 2:20; 6:3; 2 เปโตร 1:2, 3 ยอห์น 5:44; 1 เธสะโลนิกา 1:9; 1 ยอห์น 5:20; เยเรมีย์ 10:10; ยอห์น 3:17
4* ยอห์น 17: 1; ยอห์น 13:31; ยอห์น 19:30; ลูกา 22:37
5* ยอห์น 13:32; 1:1, 2; วิวรณ์​ 3:21; ดูข้อ 24; สุภาษิต 8:23; ยอห์น 8:58
6* ดูข้อ 26; สดุดี 22:22 ดูข้อ 2, 9
7* ดูข้อ 9
8* ดูข้อ 14; ยอห์น 15:15; 8:26; 12:49; 8:42; 16:27 ดูข้อ 21, 25; ยอห์น 11:42; 16:30
9* ดูข้อ 20, 21; ยอห์น 2l :6
10* ยอห์น 16:15; 2 เธสะโลนิกา 1:10
11* ยอห์น 13:1 1 เปโตร 1:5 ยอห์น 14:12; 10:30
12* ฮีบรู 2:13; 1 ยอห์น 2:19; ยอห์น 6:70; สดุดี 41:9; 109:8
13* ยอห์น 14:12; 15:11
14* ยอห์น 15:19; ดูข้อ 16; ยอห์น 8:23
15* ดูข้อ 9; 1 โครินธ์ 5:10; ดูข้อ 11 ; มัทธิว 13:19
16* ดูข้อ 14
17* 1 เธสะโลนิกา 5:23; 2 เธสะโลนิกา 2:13; 1 เปโตร. 1:22 ; ยอห์น 15:3; 2 ซามูเอล 7:28; สดุดี 119:160
18* ยอห์น 20:21; 4:38; มัทธิว 10:5
19* ทิตัส 2:14 ; ยอห์น10:36; 1 โครินธ์ 1:2, 30; 6:11; ฮีบรู 2:11; 10:10
20* ดูข้อ 9; ยอห์น 4:39; โรม 10:14; 1 โครินธ์ 3:5
21* ดูข้อ 11; 1 โครินธ์ 6:17; 1 ยอห์น 1:3; 3:24; 5:20 ; ยอห์น 14:23; ดูข้อ8
22* 1 ยอห์น 1:3; 2 โครินธ์ 3:18
23* ยอห์น 14:20; โรม 8:10; 2 โครินธ์ 13:5; 1 ยอห์น 2:5; โคโลสี 3:14; 1 ยอห์น 4:12, 17
24* 2 ทิโมธี 2:11, 12; ยอห์น 12:26 ; 1:14; 2 โครินธ์ 3:18; 1 ยอห์น 3:2; เอเฟซัส 1:4; 1 เปโตร 1:20
25* เยเรมีย์ 12:1; วิวรณ์ 16:5 ; 1 ยอห์น 1:9; ยอห์น 8:55; 10:15
26* ดูข้อ 6; ยอห์น 15:15;9