มาระโก 12 อุปมาเรื่องผู้เช่าโฉดชั่ว

คำอุปมาเรื่องผู้เช่าโฉดชั่ว
(มัทธิว 21:33–46; ลูกา 20:9–18)
1แล้วพระเยซูทรงกล่าวคำอุปมาแก่พวกเขาว่า “ชายคนหนึ่ง ปลูกสวนองุ่นไว้ แล้วเขาก็ล้อมรั้ว สกัดบ่อย่ำองุ่น และสร้างหอคอยสำหรับ เฝ้าสวน จากนั้น เขาก็ให้คนเช่า และออกเดินทางไปต่างแดน
2เมื่อถึงฤดูเกี่ยวเก็บ เขาก็ส่งคนรับใช้ไปยังผู้เช่าเพื่อเก็บส่วนแบ่งของเขา จากผลผลิตในสวนองุ่น
3 แต่ผู้เช่ากลับโบยตีคนรับใช้ และไล่เขาออกมามือเปล่า
4 เจ้าของสวนจึงส่งคนรับใช้อีกคนไป เขาก็ถูกตีหัว และทำให้อับอายต่อหน้าคนอื่นด้วย
5 เขาส่งคนรับใช้อีกคนไป แล้วคนนี้ก็ถูกฆ่าตาย เขาส่งคนอื่นไปอีก คนเหล่านั้น บางคนถูกโบย บางคนถูกฆ่า
6 ในที่สุด เจ้าของสวนจึงลูกชายที่รัก ไปหาผู้เช่า โดยกล่าวว่า “พวกเขาจะเคารพลูกชายของเรา”
7 แต่คนเช่ากลับพูดกันเองว่า ‘นี่ไงล่ะ ทายาท มาเถอะ ฆ่าเขาเสีย และมรดกจะเป็นของพวกเรา’
8ดังนั้น พวกเขาจึงจับลูกชายเจ้าของสวน ฆ่าเขาเสีย และโยนศพออกไปนอกสวนองุ่น
9 เจ้าของสวนจะทำอย่างไรรึ? เขาจะมาและฆ่าผู้เช่าทั้งหมด และจะมอบสวนนั้นให้กับผู้อื่น
10 เจ้าไม่เคยอ่านพระคัมภีร์ตอนนี้หรือ ที่ว่า..
‘ศิลาซึ่งช่างก่อได้ทิ้งแล้วนั้น กลับกลายมาเป็นศิลามุมเอก
11 พระเจ้าทรงกระทำการนี้ เป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ในสายตาของเรา”

12 จากข้อความนี้ พวกผู้นำรู้ว่า พระองค์ทรงกล่าวคำอุปมาต่อต้านพวกเขา จึงพยายามที่จะจับกุมพระองค์ แต่เป็นเพราะพวกเขากลัวประชาชนจึงละพระองค์ไว้ แล้ว เดินจากไป




ภาษีนี้ ส่งให้ใคร
(มัทธิว 22:15–22;ลูกา 20:19–26)
13 ต่อมา พวกเขาส่งฟาริสีบางคนกับพวกที่สนับสนุนเฮโรดมาหาพระเยซูเพื่อจับผิดพระดำรัสของพระองค์
14“ท่านอาจารย์” พวกเขากล่าว “เรารู้ว่า ท่านเป็นคนซื่อตรง ไม่แสวงหาความพอใจของมนุษย์ จริงแล้ว ท่านเป็นคนไม่เห็นแก่หน้าใคร และสอนตามทางของพระเจ้าตามความจริง เป็นการถูกต้องตามกฎหรือไม่ ที่เราจ่ายภาษีแก่ซีซาร์
15 เราควรจ่ายหรือไม่ ?” แต่พระเยซูทรงรู้ทันว่าพวกเขาหน้าซื่อใจคด ตรัสว่า “เหตุใดเจ้าจึงจับผิดเรา? เอาเหรียญหนึ่งดาริอันมาดูสิ”
16พวกเขาจึงเอาเหรียญมา และพระองค์ตรัสถามว่า “รูปในเหรียญนี้เป็นของใครกัน? และคำจารึกเป็นของใคร?” พวกเขาตอบว่า “ของซีซาร์”
17 แล้วพระเยซูทรงบอกพวกเขาว่า “สิ่งที่เป็นของซีซาร์ ก็จงให้แก่ซีซาร์ และสิ่งที่เป็นของพระเจ้าก็จงถวายแด่พระองค์”
พวกเขาประทับใจในพระองค์ยิ่งนัก

พวกสะดูสีกับประเด็นการคืนชีพ
(มัทธิว 22:23–33; ลูกา 20:27–40)
18 แล้วพวกสะดูสีซึ่งกล่าวว่า ไม่มีการคืนชีพจากตาย มาหา และทูลถามพระองค์ว่า
19“ท่านอาจารย์ โมเสสได้เขียนบอกเราว่า หากชายคนหนึ่งเสียชีวิตไป ทิ้งภรรยาไว้โดยไม่มีลูก ก็ให้พี่ชายหรือน้องชายของเขาแต่งงานกับภรรยาม่ายของผู้ตาย เพื่อจะมีลูกชายสืบตระกูลให้ชายคนนั้น
20 ทีนี้ มีพี่น้องชายอยู่ 7 คน คนแรกแต่งงาน และตายไปโดยไม่มีลูกชาย
21คนที่สองจึงแต่งงานกับหญิงม่าย และเขาก็ตายและไม่มีบุตร น้องชายคนที่สามก็ทำเช่นเดียวกัน
22 เป็นอย่างนี้จนถึงคนที่เจ็ด โดยที่ตายไปโดยไม่มีลูกชายเลย ท้ายที่สุดหญิงม่ายก็ตายด้วย
23ดังนั้น เมื่อเป็นขึ้นมาจากตาย หญิงคนนี้จะเป็นภรรยาของใครในเมื่อพี่น้องทั้งเจ็ดได้แต่งงานกับเธอ?
24 พระเยซูตรัสว่า “เจ้าผิดไปแล้วไม่ใช่หรือ? เพราะเจ้าไม่รู้พระคัมภีร์ และไม่รู้จักฤทธิ์เดชของพระเจ้า
25 เมื่อคนตายคืนชีพขึ้นมา พวกเขาจะไม่แต่งงาน หรือยกให้เป็นสามีภรรยาต่อไป แต่พวกเขาจะเป็นเหมือนอย่างทูตสวรรค์
26 เรื่องที่เกี่ยวกับการคืนชีพของคนตายนั้น เจ้าไม่เคยอ่านเรื่องพุ่มไม้ไหม้ไฟในหนังสือของโมเสสหรือ ที่พระเจ้าตรัสกับเขาว่า “เราเป็นพระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัคและพระเจ้าของยาโคบ?
27 พระองค์มิได้ทรงเป็นพระเจ้าของคนตาย แต่ทรงเป็นพระเจ้าของผู้มีชีวิต พวกเจ้าน่ะ เข้าใจผิดมากทีเดียว”

พระบัญญัติข้อที่ใหญ่สุด
(เฉลยธรรมบัญญัติ6:1–19; มัทธิว 22:34–40)
28 ธรรมาจารย์คนหนึ่งได้มา และได้ยินการตอบโต้ครั้งนี้ เขาเห็นว่า พระเยซูทรงตอบได้ดีทีเดียว จึงถามพระองค์ว่า “พระบัญญัติทั้งสิ้นที่มีอยู่นั้น ข้อไหนสำคัญที่สุดหรือ?
29 พระเยซูตรัสตอบว่า “สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ .. ‘อิสราเอลเอ๋ย องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเรา เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าเพียงผู้เดียว
30 จงรักองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้าด้วยสุดใจของเจ้า และด้วยสุดจิตของเจ้า และด้วยสุดความคิดและด้วยสุดกำลังของเจ้า’
31 ข้อที่สองคือ ‘จงรักเพื่อนบ้านเหมือนอย่างที่เจ้ารักตัวเอง’ ไม่มีคำบัญชาใดยิ่งใหญ่กว่าสองข้อนี้”

32 “เป็นอย่างนั้นจริง ท่านอาจารย์” ธรรมาจารย์ตอบ “ท่านตอบอย่างถูกต้องที่ว่า พระเจ้าทรงเป็นหนึ่งเดียว ไม่มีใครนอกจากพระองค์
33 และที่จะรักพระองค์ด้วยสุดหัวใจ สุดความเข้าใจ และสุดกำลัง และที่จะรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง ก็สำคัญกว่าเครื่องเผาบูชา และเครื่องบูชาใด ๆ ที่มีอยู่”
34 เมื่อพระเยซูทรงเห็นว่าเขาตอบด้วยปัญญา พระองค์ตรัสว่า “เจ้าอยู่ไม่ไกลจากอาณาจักรของพระเจ้า” จากนั้นมา ไม่มีใครกล้าตั้งคำถามกับพระองค์อีก

พระเยซูทรงเป็นพระบุตรของใครหรือ?

(มัทธิว 22:41–46; ลูกา 20:41–44)
35ขณะที่พระเยซูทรงสอนในลานพระวิหารอยู่นั้น ทรงถามว่า “เหตุใดเหล่าธรรมาจารย์จึงบอกว่า พระคริสต์ทรงเป็นบุตรของดาวิด?
36 ดาวิดเองเมื่อตรัสโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทรงประกาศว่า 
‘องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับพระผู้เป็นเจ้าของข้าว่า “จงนั่งที่ด้านมือขวาของเรา จนกว่าเราจะสยบศัตรูของเจ้าไว้ที่ใต้เท้าของเจ้า” 
37 การที่ดาวิดเรียกพระองค์นั้นว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า” แล้วพระองค์นั้นจะเป็นบุตรของดาวิดกันได้อย่างไรเล่า?” 
คนทั้งหลายที่ฟังต่างพากันชื่นชมยินดี

เห็นท่าทาง ไม่รู้ใจ
(ลูกา 20:45–47)
38 ขณะที่พระเยซูทรงสอนอยู่ พระองค์ตรัสด้วยว่า “จงระวังพวกธรรมาจารย์ พวกเขาชอบสวมเสื้อคลุมยาว เพื่อให้คนทักทายแสดงความเคารพในตลาด
39 พวกเขาชอบนั่งที่สำคัญในศาลาธรรม และที่ซึ่งมีเกียรติในงานเลี้ยง
40พวกเขาได้ริบเรือนของหญิงม่าย และแสดงให้คนเห็นว่า อธิษฐานยาวมาก คนเหล่านี้จะต้องถูกลงโทษอย่างหนักทีเดียว! ”


คนที่ถวายมากที่สุด!
(ลูกา 21:1–4)
41ขณะที่พระเยซูทรงนั่งตรงข้ามที่รับเงินถวายของพระวิหาร พระองค์ทรงเฝ้าดูคนนำเงินมาใส่ในนั้น และคนรวยมักเอาเงินจำนวนมากมาใส่ไว้
42แล้วมีหญิงม่ายยากจนคนหนึ่งมาและถวายเพียงสองเหรียญทองแดง ที่มีมูลค่าแค่เศษของเดนาริอันมาถวายด้วย
43 พระเยซูทรงเรียกเหล่าศิษย์ของพระองค์มา ตรัสว่า “เราบอกความจริงแก่เจ้าว่า หญิงม่ายยากจนผู้นี้ได้ถวายมากกว่าใคร ๆ เข้าคลังพระวิหาร
44 เพราะพวกเขาต่างเอาส่วนหนึ่งที่เหลือจากความมั่งคั่งของพวกเขามาถวาย แต่หญิงคนนี้ได้เอาทุกสิ่งที่เธอมีเพื่อเลี้ยงชีพมาถวายจนหมด”


อธิบายเพิ่มเติม

มาระโก 12:1-12
คำอุปมา เป็นเรื่องราวที่พระเยซูทรงเล่า ให้ผู้คนได้เข้าใจประเด็นฝ่ายวิญญาณผ่านเรื่องที่ทรงเล่านั้น
เมื่อคนฟังเรื่อง พวกเขาจะแปลความได้ว่า เจ้าของสวนองุ่นคือพระเจ้า สวนองุ่นคือ คนอิสราเอล ผู้เช่าสวนคือคนที่เป็นครูอาจารย์ ที่พระเจ้าทรงฝากให้ดูแลสวนนั้น ส่วนคนที่พระองค์ทรงส่งรับใช้มาคือเหล่าผู้เผยพระดำรัสของพระเจ้าทั้งหลายอย่างเช่นอิสยาห์ เยเรมีย์ อาโมส​ฯลฯ (ที่พวกเขาเข้าใจอย่างนี้ได้เพราะอิสยาห์บทที่ 5 มีเรื่องราวที่ชัดเจนว่าใครเป็นใคร)
ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงใครมา พวกเขามักถูกพวกผู้นำฝ่ายวิญญาณในประวัติศาสตร์จับฆ่า ในที่สุดพระเจ้าทรงส่งพระบุตรของพระองค์มา และพวกเขาก็ประหารพระองค์เช่นกัน
เมื่อพวกผู้นำศาสนาได้ยินคำเหล่านี้ พวกเขาก็รู้เลยว่า พระเยซูกำลังบอกว่า พวกเขาเป็นคนที่ทำผิดต่อพระเจ้า และคนของพระองค์
เหล่าธรรมจารย์ ผู้นำ พวกเขาได้ยินว่า ผู้เช่าสวนได้จับลูกชายฆ่า แล้วพวกเขาก็วางแผนจับกุมพระองค์ทันที คำอุปมาจึงเป็นจริงแม้ในเวลาที่พวกเขาฟังพระเยซูอยู่นั้น !
พระเยซูทรงเปลี่ยนสวนองุ่นเป็นศิลาในตอนท้ายเรื่อง ซึ่งมาจากหนังสือสดุดี 118:22-23 ทรงกล่าวถึงศิลาที่คนที่ถูกทิ้ง นั้นคือ พระบุตรของพระเจ้าหรือศิลามุมเอก ที่ยิวทอดทิ้ง ทั้งในประวัติศาสตร์และจนทุกวันนี้ ทรงมาเป็นพระองค์ผู้ประทานชีวิตนิรันดร์ให้กับทุกคนที่เชื่อในพระองค์

มาระโก 12:13-17
แล้วก็มีบางคนถูกส่งมาจับผิดพระเยซูอีก จะสังเกตได้ว่า พวกเขาต้องการให้พระเยซูพูดผิดหลักการ นั่นเป็นเป้าหมายสำคัญของฝ่ายตรงข้ามพระเยซูซึ่งเป็นพวกที่เจนจัดในธรรมบัญญัติ
เขามาถามพระเยซูเพื่อหลอกล่อให้ตอบว่า ควรเสียภาษีให้ใคร ถ้าพระเยซูตอบว่าให้ซีซาร์เท่ากับพระองค์ไม่ซื่อตรงต่อพระเจ้า ถ้าตอบว่า ถวายพระเจ้า พระองค์ก็ผิดอีกที่ไม่ซื่อต่อซีซาร์ เรียกว่าผิดทั้งขึ้นทั้งล่อง
แต่แล้วคำตอบของพระเยซู เป็นสิ่งที่ไม่คาดฝัน เพราะคำตอบนั้น ไม่ผิดต่อใครเลย!

มาระโก 12:18-27
เรื่องนี้อ่านแล้วดูสับสน ง่าย ๆ คือ หญิงคนหนึ่งต้องเป็นภรรยาชาย 7 คน เนื่องจากประเพณีของคนยิว “เธอจะเป็นภรรยาใครเมื่อฟื้นคืนชีพ?”
พวกสะดูสีตั้งคำถามขึ้นมาจากโจทย์ที่เขาคิดว่า จะทำให้พระเยซูจนตรอก ไม่สามารถอธิบายอย่างมีเหตุผลดี ๆ ได้ เป็นคำถามที่พวกเขาไม่เชื่อว่าจะเกิดขึ้นอยู่แล้วแต่พระเยซูทรงบอกเขาว่า ปัญหาของพวกเขาคือ ไม่ได้อ่านพระคัมภีร์(เดิม)จริง ๆ ไม่เข้าใจน้ำพระทัยและฤทธิ์ของพระเจ้า แต่ชอบเหมาสรุปชีวิตฝ่ายวิญญาณด้วยตัวเอง
พระองค์ทรงเมตตาที่จะตอบเขาอย่างชัดเจนว่าในโลกหลังความตายนั้นเป็นอย่างไร นั่นคือไม่ต้องมาต่อล้อต่อเถียงกันอีกว่า จะเป็นอย่างไร ตรงนี้เราเห็นชัดเจนว่า พระเยซูทรงเป็นพระเจ้าในโลกฝ่ายวิญญาณที่พวกเขาเองไม่รู้และเอาแต่เดาตามใจ

าระโก 12:28-34
ขณะนั้นเอง มีคนหนึ่งได้ฟังคำตอบของพระเยซู ก็รู้สึกว่า พระเยซูทรงปัญญาอย่างยิ่ง และพระองค์สามารถจัดการกับเล่ห์เหลี่ยมของสะดูสีได้อย่างดี เขาจึงอยากรู้จริง ๆ ว่า ความเห็นของตัวเขานั้น ตรงกับพระเยซูหรือเปล่า เพราะในใจของเขานั้น ก็มีคำตอบของตนเองอยู่แล้ว
ชายคนนี้ เป็นคนที่พระเยซูทรงกล่าวว่า เจ้าอยู่ไม่ไกลจากอาณาจักรพระเจ้า อีกนิดเดียวเท่านั้น เขาก็จะได้รู้จักพระเจ้าครบถ้วน นั่นคือ ขอเพียงเขาเชื่อวางใจพระเยซูที่อยู่ตรงหน้าเขา เขาก็จะเป็นลูกของพระเจ้าอย่างสมบูรณ์

มาระโก 12:35-37
ในเหตุการณ์เดียวกันนี้ มัทธิวได้เล่าด้วยว่า พระเยซูทรงถามพวกธรรมาจารย์ว่า “มีความคิดอย่างไรเรื่องพระคริสต์? ทรงเป็นบุตรของใคร?” พวกเขาตอบว่า “เป็นบุตรของดาวิด”
พวกธรรมาจารย์อ่านพระคัมภีร์เดิมแล้วตีความหมายไม่ถูก พวกเขาไม่เห็นว่า พระคัมภีร์เดิมเต็มไปด้วยข้อความที่บ่งบอกชีวิตของพระองค์ที่พระเจ้าทรงเจิมแล้วส่งมาในโลกคือ พระเมสสิยาห์
พระเยซูจึงทรงแก้ความเข้าใจผิดของพวกเขาว่าถึงแม้ว่ากษัตริย์ดาวิดจะเป็นบรรพบุรุษของพระเยซู ( ซึ่งในความเชื่อคนยิวแล้ว ผู้เป็นบรรพบุรุษถือว่าใหญ่กว่าลูกหลาน)แต่ดาวิดกลับกล่าวถึงเชื้อสายของท่าน ในอนาคต โดยเรียกท่านว่า พระผู้เป็นเจ้า (อาโดนาย) แสดงว่า เชื้อสายผู้นั้นใหญ่กว่าดาวิด ..และเชื้อสายผู้นั้นคือพระเยซูนั่นเอง


มาระโก 12:38-40
มาระโกเล่าสั้น ๆ ว่า พระเยซูทรงเตือนอะไรอยู่
ชาวยิวจำนวนมากที่ให้ความเคารพพวกธรรมาจารย์อย่างสูงส่ง และพวกเขามีประเพณีที่ว่า ใครน่าเชื่อถือ ดูดี พวกเขาก็จะถวายเงินให้กับธรรมาจารย์ผู้นั้น ดังนั้น ตัวธรรมาจารย์บางคนที่ไม่ใช่คนที่รักบัญญัติจริง ไม่ได้ตามพระเจ้าจริง ก็จะแสร้งทำตัวว่า เป็นครูบาอาจารย์ที่ดี น่าเชื่อถือ โดยการสร้างภาพให้ตัวเอง … แต่พระเจ้าทรงเห็นจิตใจของพวกเขาเหล่านี้ พระเยซูจึงเตือนให้ประชาชนได้รู้ว่า จริง ๆ แล้ว คนเหล่านี้ส่วนใหญ่เนื้อแท้เป็นอย่างไร

มาระโก 12:41-44
ทุกคนที่มายังพระวิหารได้ถวายเงินตามที่พระเจ้าทรงบอกให้พวกเขาทำ บางคนถวายสิบลด บางคนก็มากกว่า บางคนก็น้อยกว่า แต่แล้ว พระเยซูกลับเจอคน ๆ หนึ่งที่ถวายเกินตัว โดยจำนวนที่ถวายนั้น น้อยมาก คือสองเหรียญทองแดงเท่านั้น

แล้วพระเยซูทรงบอกศิษย์ของพระองค์ว่า เธอถวายมากกว่าใคร เพราะเธอถวายทั้งหมดที่มา ทั้งหมดที่จะต่อทุนเลี้ยงชีวิต พระเจ้าทรงเห็นจิตใจของทุกคน และไม่ได้ทรงมองจำนวน แต่ทรงมองในหัวใจว่า เขาทำเพราะอะไร หญิงผู้นี้ทำเพราะรักพระเจ้ามาก …​นั่นเป็นเหตุที่ทำให้เธอกลายเป็นคนที่ถวายมากที่สุด!

พระคำเชื่อมโยง

1* ลูกา 20:9-19
5* 2 พงศาวดาร 36:16
8* กิจการ 2:23
10* สดุดี 118:22-23
12* ยอห์น 7:25, 30, 44
13* ลูกา 20:20-26
14* กิจการ 18:2615* ลูกา 12:1
17* ปัญญาจารย์ 5:4-5
18* ลูกา 20:27-38; กิจการ 23:8

19* เฉลยธรรมบัญญัติ 25:5
25* 1โครินธ์ 15:42, 49, 52
26* วิวรณ์ 20:12-13; อพยพ 3:6, 15
28* มัทธิว 22:34-4029* เฉลยธรรมบัญญัติ 6:4-5
30* เฉลยธรรมบัญญัติ 10:12; 30:631* เลวีนิติ 19:18;โรม 13:9
32* เฉลยธรรมบัญญัติ 10:12; 30:6
33* โฮเชยา 6:6
34* มัทธิว 22:46

35* ลูกา 20:41-4436* 2 ซามูเอล 23:2; สดุดี 110:1
37* กิจการ 2:29-31
38* มาระโก 4:2; มัทธิว 23:1-7
39* ลูกา 14:7
40* มัทธิว 23:14
41* ลูกา 21:1-4; 2 พงศ์กษัตริย์ 12:943* 2 โครินธ์ 8:12
44* เฉลยธรรมบัญญัติ 24:6

มาระโก 11 โฮซันนา! โฮซันนา!

เสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็มอย่างทรงเกียรติ
(เศคาริยาห์ 9:9–13; มัทธิว 21:1–11; ลูกา 19:28–40; ยอห์น 12:12–19)
1 เมื่อพวกเขาเดินทางเข้ามาใกล้เยรูซาเล็ม เข้าไปยังหมู่บ้านเบธฟายีและเบธานี บนเนินเขามะกอกเทศ พระเยซูทรงส่งศิษย์สองคนออกไป
2 และตรัสกับเขาว่า “จงเข้าไปในหมู่บ้านข้างนี้ และเมื่อเจ้าเข้าไปก็จะเห็นลูกลาตัวหนึ่งที่ไม่เคยมีใครขี่เลยผูกอยู่ เจ้าจงแก้เชือกและจูงมันมาที่นี่
3 หากมีใครถามว่า ‘ทำไมเจ้าทำอย่างนี้?’ ให้ตอบว่า ‘พระองค์ทรงจำเป็นต้องใช้มัน และสักพักก็จะส่งมันกลับคืนให้’ ”

4 พวกเขาจึงออกไปและพบลูกลาผูกอยู่นอกประตูบนถนน ขณะที่เขากำลังแก้เชือกนั้นเอง
5 มีบางคนที่อยู่ตรงนั้นถามว่า “ทำไมเจ้าจึงแก้เชือกลูกลา?”
6 พวกศิษย์จึงตอบตามที่พระเยซูตรัสสั่ง และพวกนั้นก็ยอมปล่อยลูกลาให้เขา


7 จากนั้น พวกเขาเอาลูกลามาหาพระเยซู โยนเสื้อคลุมของพวกเขาคลุมหลังลาให้พระองค์ประทับบนหลังมัน
8 ฝูงชนเป็นอันมากได้กางเสื้อคลุมของตนตามทาง บางคนเอากิ่งไม้ที่ตัดมาจากทุ่งมาปู
9 คนที่เดินนำเสด็จ และคนที่ตามมา ต่างโห่ร้องกันว่า
“โฮซันนา .. สรรเสริญพระองค์ผู้เสด็จมาในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า”
คำว่าโฮซันนา แปลว่า ขอทรงช่วยเดี๋ยวนี้ เป็นคำตะโกนสรรเสริญพระเจ้า สดุดี 118:25


10 “ขอให้ราชอาณาจักรของกษัตริย์ดาวิด บรรพบุรุษของเราจงเจริญเถิด!”
“โฮซันนาในที่สูงสุด”
สดุดี 118:25 และ 148:1
11 แล้วพระเยซูทรงลูกลาเสด็จเข้าไปในเยรูซาเล็ม ทรงไปยังพระวิหาร แล้วทรงมองไปรอบ ๆ แต่เนื่องจากว่า ใกล้ค่ำ พระองค์จึงออกไปยังหมู่บ้านเบธานีกับศิษย์ทั้งสิบสองคน

พระเยซูทรงสาปต้นมะเดื่อ
(มัทธิว 21:18–22; มาระโก 11:20–25)
12 วันต่อมา เมื่อพวกเขาออกจากหมู่บ้านเบธานี พระเยซูทรงรู้สึกหิว
13 ทรงเห็นต้นมะเดื่อที่มีใบเขียวดก ทรงเดินเข้าไปใกล้เพื่อดูว่ามีผลบ้างหรือไม่ แต่เมื่อถึง ก็ทรงเห็นว่า มีแต่ใบ เพราะยังไม่ถึงฤดู
14 พระองค์ตรัสกับต้นมะเดื่อว่า “ต่อจากนี้ไป จะไม่มีใครได้กินผลจากเจ้าอีกเลย” พวกศิษย์ก็ได้ยินคำนี้

พระเยซูทรงชำระพระวิหาร
(มัทธิว 21:12–17; ลูกา 19:45–48; ยอห์น 2:12–25)
15 เมื่อพวกเขาไปถึงเยรูซาเล็ม พระเยซูทรงเข้าไปในบริเวณพระวิหาร และทรงขับไล่เหล่าคนที่ซื้อขายของกันอยู่ ทรงคว่ำโต๊ะคนแลกเงิน และม้านั่งของคนที่ขายนกพิราบ
16 และพระองค์ไม่ทรงอนุญาตให้ใครเอาสินค้าเข้ามายังบริเวณพระวิหาร
17 จากนั้น พระองค์ทรงเริ่มต้นสอนพวกเขา และทรงประกาศว่า
“มีเขียนไว้มิใช่หรือว่า ..พระนิเวศของเราจะได้ชื่อว่า เป็นพระนิเวศแห่งการอธิษฐานของชาติต่าง ๆ ?แต่พวกเจ้ากลับมาทำให้กลายเป็นถ้ำโจร” เยเรมีย์ 7:11
18 เมื่อหัวหน้าปุโรหิตและธรรมาจารย์ได้ยินเรื่องนี้ ก็เริ่มหาช่องทางที่จะสังหารพระองค์ เพราะพวกเขากลัวพระองค์ เนื่องจากประชาชนต่างพากันอัศจรรย์ใจกับคำสอนของพระองค์
19 ตกเย็น พระเยซูกับพวกศิษย์ก็ออกจากเมืองไป

ต้นมะเดื่อที่เหี่ยวแห้ง
(มัทธิว 21:18–22; มาระโก 11:12–14)
20 ขณะที่พวกเขาเดินกลับมาตามทาง
เขาเห็นต้นมะเดื่อแห้งจากรากขึ้นมา
21เปโตรจำได้จึงทูลพระเยซูว่า
“รับบีขอรับ ดูสิ ต้นมะเดื่อที่ท่านสาปนั้น ได้เหี่ยวลงไปแล้ว”
22 พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “จงเชื่อในพระเจ้าเถิด”
23 “เราขอบอกความจริงกับพวกเจ้าว่า หากใครจะสั่งภูเขาลูกนี้ว่า ‘จงเคลื่อนลงไปในทะเล’ โดยไม่สงสัยในใจแต่มีความเชื่อว่าจะเกิดขึ้น ก็จะเกิด
24 ดังนั้น เราขอบอกพวกเจ้าว่า เจ้าจะทูลขอสิ่งใด จงเชื่อว่าจะได้รับ และเจ้าจะได้รับสิ่งนั้น
25 และเมื่อท่านยืนอธิษฐาน หากว่ายังถือโทษใครอยู่ จงอภัยให้เขา เพื่อพระบิดาผู้สถิตในสวรรค์จะทรงอภัยการล่วงละเมิดของเจ้าเช่นกัน”

26 (แต่หากเจ้าไม่อภัยเขา พระบิดาของท่านในสวรรค์ก็จะไม่ให้อภัยเจ้าเช่นกัน)
ข้อความที่อยู่ในวงเล็บนั้น ผู้ที่แปลสงสัยว่าอาจจะไม่ได้มีอยู่ในต้นฉบับแรกของมาระโก



การท้าทายสิทธิอำนาจของพระเยซู
(มัทธิว 21:23–27; ลูกา 20:1–8)
27 หลังจากที่พวกเขากลับมายังเยรูซาเล็มอีกครั้ง พระเยซูทรงดำเนินในบริเวณพระวิหาร และปุโรหิตใหญ่พร้อมกับธรรมาจารย์และผู้อาวุโสทั้งหลาย ได้มาหาพระองค์ทูลว่า
28“ท่านทำการเหล่านี้ด้วยสิทธิอำนาจของใครกัน? ใครมอบอำนาจให้ท่านทำสิ่งเหล่านี้?”
29“เราจะถามพวกเจ้าสักข้อหนึ่ง” พระเยซูตรัสตอบ “และหากเจ้าตอบเรา เราจะบอกเจ้าว่า เราได้สิทธิอำนาจมาจากไหนจึงทำสิ่งเหล่านี้ได้
30 ตอบเรามาเถิดว่า การให้บัพติศมาของท่านยอห์นนั้นมาจากสวรรค์หรือจากมนุษย์ ”

31 พวกเขาหารือกันว่า ควรจะตอบอย่างไร “หากเราตอบว่า ‘มาจากสวรรค์ ท่านเยซูก็จะถามว่า ทำไมเราไม่เชื่อท่านยอห์น?’
32 แต่หากเราตอบว่า ‘มาจากมนุษย์’ พวกเขาก็กลัวความเห็นประชาชน เพราะประชาชนเชื่อว่า ยอห์นเป็นผู้กล่าวพระดำรัสของพระเจ้าจริง ๆ
33 ดังนั้นพวกเขาจึงตอบว่า “พวกเราไม่รู้” และพระเยซูทรงตอบพวกเขาว่า “เราก็จะไม่บอกพวกเจ้าว่า เราเอาสิทธิอำนาจทำการเหล่านี้มาจากไหนเช่นกัน”

อธิบายเพิ่มเติม

มาระโก 11:1-11
พระเยซูเสด็จมาร่วมเทศกาลอย่างนี้เสมอมาตั้งแต่เด็ก แต่ครั้งนี้แตกต่างออกไป เพราะใกล้เวลาที่พระองค์จะถูกตรึงแล้ว
พระองค์ทรงเตรียมที่จะเข้าไปในเมืองโดยนั่งบนหลังลา ซึ่งมีความหมายว่าเข้ามาโดยสันติอย่างถ่อมพระทัย ไม่ได้นั่งบนหลังม้าศึกหรือรถรบ
ลาตัวนี้ไม่เคยถูกใครนั่งมาก่อนด้วย ดูเหมือนว่า พระเยซูได้ทรงตกลงกับเจ้าของลามาก่อนหน้านี้ ศิษย์ของพระองค์แค่ไปทำตามคำสั่งเท่านั้น
จากเหตุการณ์นี้ เราเห็นความแตกต่าง ปกติแล้วพระองค์จะไม่ให้ใครทราบว่า พระองค์คือใคร แต่ตอนนี้พระองค์ประกาศแล้วว่า พระองค์คือ พระเมสสิยาห์ที่พระเจ้าทรงส่งมา ประชาชนที่เห็นต่างโห่ร้องต้อนรับพระองค์ การเสด็จเข้ามาครั้งนี้ เป็นการเปิดเผยความจริงให้กับประชาชนและผู้นำศาสนา ซึ่งเวลานั้นพวกเขาไม่พอใจมากที่ประชาชนสรรเสริญพระองค์ขนาดนั้น แต่พระองค์ตรัสว่า หากพวกเขาเงียบ ก้อนหินก็จะร้องออกมาเอง (ลูกา 19:40)

มาระโก 11:12-14
มีผู้ที่ศึกษาปีเดือนของอิสราเอลบ บอกเราว่า ช่วงเวลานี้เป็นเวลาเดือนมีนาคม ปีคศ. 33
ตอนนี้ยังไม่ถึงฤดูเก็บเกี่ยวของต้นมะเดื่อ แต่ว่าต้นที่พระเยซูทรงเห็นนั้น ออกใบเขียวทีเดียว เป็นใบออกล่วงหน้า พระเยซูเองทรงพอพระทัยที่จะสอนศิษย์ของพระองค์โดยใช้ต้นมะเดื่อต้นนี้ ความหมายก็คือ ต้นมะเดื่อต้นนี้มีใบเยอะ ดูเหมือนอิสราเอลที่น่าจะมีชีวิตฝ่ายวิญญาณที่ดี แต่กลับไม่เจอความเที่ยงธรรมในหมู่คนอิสราเอล พบเจอแต่คนหน้าซื่อใจคดในหมู่ผู้สอนพระบัญญัติ พวกศิษย์ควรรู้ว่า สภาพภายนอกกับตัวจริงข้างในนั้นอาจไม่ตรงกันก็เป็นได้ (จาก Constable’s note : Netbible.org)

มาระโก 11:15-19
การชำระพระวิหารเป็นการแสดงสิทธิอำนาจในฐานะที่ทรงเป็นพระเมสสิยาห์ที่จะชำระพระวิหาร ทำลายสิ่งที่ทำให้พระวิหารเป็นมลทิน พระองค์ไม่อนุญาตการขายของ ณ บริเวณนั้น
สถานที่เกิดเรื่อง คือส่วนลานของคนต่างชาติ ด้านนอก (ภาษากรีกสื่อว่าเป็นลานส่วนนั้น ไฮรอน) โดยปกติแล้ว ช่วงปัสกา คนที่เดินทางจากที่ไกล ๆ มา สามารถซื้อสัตว์เพื่อถวายเป็นเครื่องบูชา และแลกเงินได้จากภูเขามะกอกเทศ จึงไม่ต้องตั้งร้านค้าในพระวิหาร แต่พวกผู้นำศาสนายิวสมัยกายาฟัสกลับเอาสถานที่ส่วนนั้นมาตั้งร้านทำธุรกิจ ชาวต่างชาติที่จะมาอธิษฐานจึงไม่มีที่สำหรับอธิษฐาน
การกวาด ขับไล่ร้านค้าต่าง ๆ ครั้งนี้ ทำให้ผู้นำศาสนายิวโกรธมาก เพราะเป็นการทำลายธุรกิจผูกขาดของพวกเขา ถึงกับหาช่องที่จะกำจัดพระเยซูถึงกับฆ่าให้ตาย แต่อย่างไรก็ยังต้องรอเวลาเพราะประชาชนนิยมพระองค์มาก

มาระโก 11:20-26
เดินกลับมาตามทางก็พบว่า ต้นมะเดื่อแห้งขึ้นมาจากรากเลย ก็แสดงว่า มันไม่ได้ร้อนตาย แต่เป็นการขาดอาหารจากส่วนราก
ต้นมะเดื่อในพระคัมภีร์มีความหมายถึงอิสราเอล และเหล่าผู้นำศาสนายิว ผู้นำศาสนาเหล่านี้ไม่ได้รับใช้ประชาชน ไม่ได้เป็นพระพรสำหรับผู้คนอีกต่อไป เป็นเพราะพวกเขาไม่ยอมติดสนิทกับพระเจ้า แต่กลับติดสนิทกับกฎเกณฑ์ที่ตนเองตั้งขึ้นมา เมื่อเปโตรทักว่ามันเหี่ยวแห้งลงไปแล้ว พระเยซูกลับตรัสว่า จงเชื่อในพระเจ้าเถิด และทรงบอกด้วยว่า ถ้าจะอธิษฐานสั่งให้ภูเขาเคลื่อนก็ทำได้ แต่เวลาอธิษฐานต้องให้อภัยกับคนที่เราถือโทษอยู่
ทั้งหมดนี้ ..เกี่ยวข้องกันอย่างไร

มาระโก 11:27-33
ครั้งนี้ ฝ่ายตรงข้ามกับพระเยซู คือพวกผู้นำศาสนาต้องการจะกำจัดพระเยซูด้วยคำตรัสของพระองค์เอง พวกเขาเห็นการอัศจรรย์ที่พระองค์ทรงทำ แถมยังจัดการกับพวกที่ค้าขายในพระวิหาร (ซึ่งก็น่าจะเป็นพวกที่ให้ประโยชน์การเงินกับพวกเขา) พวกเขายอมรับว่า พระองค์มีอำนาจจริง ๆ จึงเข้ามาถามว่าใครเป็นผู้ให้อำนาจนี้
แทนที่พระเยซูจะตอบทันที ทรงถามเขากลับว่า การให้บัพติศมาของยอห์น (คือการยอมรับว่า กลับใจใหม่แล้ว) มาจากพระเจ้าหรือมาจากการตั้งพิธีขึ้นมาของมนุษย์ การย้อนถามกลับไปเป็นเรื่องธรรมดาในสมัยนั้น
พวกเรา ไม่คุ้นชินกับพิธีซึ่งเป็นพิธีที่สำคัญของยิว ยอห์นได้มาทำหน้าที่สั่งสอนให้คนกลับใจใหม่ และให้บัพติศมากับผู้คนเพื่อประกาศว่าเขากลับใจ
พวกผู้นำศาสนาเหล่านี้ ไม่อาจตอบยอมรับหรือปฎิเสธ เพราะพวกเขากลัวความเห็นประชาชนที่นับถือยอห์นเป็นอย่างมาก แผนลวงพระเยซูครั้งนี้จึงล่มไปโดยปริยาย

พระคำเชื่อมโยง

Cross Reference มาระโก 11
1* มัทธิว 21:1-9
8* มัทธิว 21:8
9* เศคาริยาห์ 9:9; สดุดี 118:25
10* สดุดี 148:1
11* มัทธิว 21:12
12* มัทธิว 21:18-22

13* มัทธิว 21:1915* ยอห์น 2:13-16; เลวีนิติ 14:22
17* อิสยาห์ 56:7; เยเรมีย์ 7:11
18* มัทธิว 21:45-46; มัทธิว 7:28
20* มัทธิว 21:19-22
23* มัทธิว 17:20; 21:21
24* มัทธิว 7:7

25* โคโลสี 3:13
26* มัทธิว 6:15; 18:35
27* ลูกา 20:1-8
28* ยอห์น 5:27
30* ลูกา 7:29-30
32* มัทธิว 3:5; 14:5