1 ทิโมธี 4 คนหนุ่มของพระเจ้า

อ่านคอลัมน์ด้านซ้ายลงไปเป็นพระคัมภีร์ฉบับถอดความ ช่องกลางเป็นภาพและข้อพระคำเชื่อมโยง ส่วนช่องขวามือสุด เป็นการอธิบายเบื้องต้น

พระวิญญาณได้ตรัสไว้ชัดเจนว่า ในภายหน้า จะมีคนที่ละทิ้งความเชื่อ หันไปติดตามวิญญาณล่อลวง และคำสอนของมารคำสอนดังกล่าวมาจากความหน้าซื่อใจคดของคนมุสาที่จิตสำนึกตายสนิท
1 ทิโมธี 4:1-2

1 ทิโมธี 4:1-2, 1 ยอห์น 2:18 ,วิวรณ์ 16:14

กิจการ 20:29-30 พระคำ
ข้อนี้ บอกว่าผู้เชื่อทั้งหลายนั้น พระวิญญาณทรงแต่งตั้งให้ผู้รับใช้ของพระองค์ดูแล จะมีคนที่เหมือนสุนัขป่าเข้ามาจะจัดการโดยไม่เว้นแกะสักตัว คนเหล่านี้จะชักชวนผู้เชื่อให้หลงตามเขาไป ยูดา 18 บอกว่า ในสมัยสุดท้าย จะมีคนเย้ยหยัน ซึ่งคน เหล่านี้จะทำตามตัณหาชั่วของตัว

มีการห้ามแต่งงาน ห้ามกินอาหารบางชนิดซึ่งพระเจ้าทรงสร้างไว้ สำหรับคนที่เชื่อและรู้ความจริง ให้กินด้วยการขอบพระคุณ เพราะ
ทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างนั้นดีถ้ากินด้วยการขอบพระคุณก็ ไม่ห้ามเลยสักสิ่งเดียว สิ่งเหล่านั้น ได้รับการชำระด้วยพระคำและการอธิษฐานแล้ว

1 ทิโมธี 4:3-5

มัทธิว 7:15, เอเฟซัส 4:19

พวกที่สอนเท็จ มักจะนำ
เอากฎเกณฑ์ต่าง ๆ มาควบคุมวิถีชีวิตของคน พวกเอสซีนซึ่งเป็นกลุ่มหนึ่งในศาสนายิวถือว่า การเป็นโสดสำคัญมากที่จะทำให้ชีวิตสะอาด
บริสุทธิ์ ยังมีคนที่ห้ามกินเนื้อในพวกยิว คนต่างชาติ ชาวโรม ท่านเปาโลได้บอกชัดเจนว่า นี่ไม่ใช่พระดำริของพระเจ้า

ถ้าเจ้าได้แจกแจงสิ่งเหล่านี้ให้พี่น้องเข้าใจ เจ้าก็เป็นผู้รับใช้ที่ดีของพระเยซูคริสต์ซึ่งเติบโตด้วยถ้อยคำแห่งความเชื่อ ในหลักคำสอนที่ดีซึ่งเจ้ายึดถือทำตาม อย่าเข้าไปข้องเกี่ยวกับตำนาน เรื่องเล่าลี้ลับท่ีไร้สาระ แต่จงฝึกตนในทางของพระเจ้า
1 ทิโมธี 4:6-7

2 ทิโมธี 3:14,2:16,ฮีบรู 5:14

ผู้รับใช้ของพระเจ้าต้องอ่าน ศึกษา ใคร่ครวญเข้าใจในเนื้อหาของแต่ละเรื่องราว เพื่อจะได้สอน ชี้แจงให้ผู้ที่รู้น้อยกว่าได้เข้าใจ ทิโมธีเองก็เป็นคนที่เอาใจใส่เรื่องนี้มาแต่ยังเด็ก 2 ทิโมธี 3:15
อีกเรื่องคือ ไม่ให้ไปใส่ใจในตำนาน เรื่องราวลี้ลับที่มีอยู่มากมาย ในปัจจุบันมีมหาศาลในภาพยนต์ หนังสือต่าง ๆ

ในขณะที่การฝึกร่างกายมีประโยชน์ อยู่บ้าง แต่การฝึกในทางของพระเจ้าประโยชน์รอบด้าน คือให้ประโยชน์กับชีวิตนี้ และชีวิตหน้า
1 ทิโมธี 4:8

1 โครินธ์ 8:8, สดุดี 37:9

ท่านเปาโลหมายถึง
การฝึกอย่างนักกีฬาซึ่งนิยมกัน ในโลกกรีกโรมโบราณ ท่านบอกว่าการฝึกทางของพระเจ้านั้นสำคัญกว่ามาก เพราะให้ประโยชน์คุ้มไปถึงนิรันดร์กาล การฝึกทั้งสองอย่างนี้ต้องมีวินัย การทุ่มเท การทำอย่างสม่ำเสมอ ต่อเนื่อง ใช้เวลามาก การทำให้ดีขึ้น ๆ ยิ่งฝึกมาก ทักษะก็ยิ่งเพิ่ม

ข้อความนี้ไว้ใจได้ สมควรรับไว้โดยไม่สงสัย ที่เราตรากตรำบากบั่น ก็เพื่อสิ่งนี้ คือเราเชื่อวางใจในพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ ทรงเป็นผู้ช่วยให้รอดของมนุษย์ทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ของคนที่เชื่อในพระองค์
1 ทิโมธี 4:9-10

สดุดี 36:6

ที่เปาโลตรากตรำเพื่อนำให้คนมาพบพระเจ้า เป็นเพราะ….เขาวางใจในพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ และความเชื่อนี้ทำให้เขามีชีวิตอยู่เพื่อถวายพระเกียรติของพระองค์ พระเยซูคริสต์ทรงช่วยมนุษย์ได้ทั้งโลก แต่คนอีกเป็นอันมากที่ปฏิเสธความรอด ของพระองค์จึงต้องสูญเสียชีวิตนิรันดร์ไปอย่างน่าเสียดายที่สุด

จงสั่งสอนสิ่งเหล่านี้ อย่าให้ใครดูหมิ่นเพราะเจ้ายังหนุ่ม แต่จงเป็นแบบอย่างแก่ผู้เชื่อทั้งในทางวาจา การดำเนินชีวิต ความรัก ความเชื่อและความบริสุทธิ์ จงทุ่มเทเวลาในการอ่านพระคัมภีร์ในที่ประชุม ทั้งในการเทศนา
สั่งสอนจนกว่าเราจะมา

1 ทิโมธี 4:11-13

คนหนุ่มสาวของพระเจ้า ไม่จำเป็นต้องเหมือนคนหนุ่มสาวทั่วไปเขาไม่ต้องทำตามพวกนั้น ไม่จำเป็นต้องดูเจ๋ง สูบบุหรี่ กินเหล้า เที่ยวกลางคืน คนหนุ่มสาวของพระเจ้าต้อง
แตกต่าง แต่ เราฉลาดที่เลือกทางที่สูงกว่า ดีกว่า สามข้อสั้น ๆ นี้ บอกครบเลยว่า คนหนุ่มสาวของพระเจ้ามีลักษณะแบบใด

อย่าละเลยของประทานซึ่งพระเจ้าทรงให้เจ้าผ่านทางการเผยพระคำเมื่อผู้ปกครองวางมือบนเจ้า
จงฝึกฝนสิ่งเหล่านี้เป็นชีวิตจิตใจ เพื่อทุกคนจะได้เห็นความก้าวหน้าของเจ้า

1 ทิโมธี 4:14-15

2 ทิโมธี 1:6 , กิจการ 6:6 ของประทาน คืองานของพระวิญญาณในบุคคล คนหนึ่งอย่างพิเศษ มาจากคำว่า คารีสหรือพระคุณ

เมื่อพระเจ้าประทานความสามารถพิเศษให้แล้ว หน้าที่ของเราคือการร่วมมือเพื่อให้ได้ผลสมบูรณ์แบบตัวอย่างของการวางมือ เพื่อรับใช้เฉพาะเจาะจงให้ไปดูที่กิจการ 13:1-3
ยิ่งกว่านั้น ทิโมธีจะต้องทำให้เกิดความก้าวหน้าขึ้นอีกใช่แล้ว ทั้งไม่ละเลย ทั้งฝึกฝน ทั้งทำให้ก้าวหน้า

จงเอาใจใส่ ดูแลทั้งชีวิตและคำสอนของตัวเจ้าเป็นอย่างดี
จงพากเพียรบากบั่น ในสิ่งเหล่านี้ เมื่อทำเช่นนั้นแล้วเจ้าจะช่วยทั้งตัวเจ้าและผู้ฟังให้รอดได้

1 ทิโมธี 4:16

การวางมือทำให้เรารู้ว่า ผู้ใหญ่ได้เห็นราชกิจของพระเจ้าในชีวิตของทิโมธี

เราต้องใส่ใจคือ ชีวิตของตัวเองทั้งภายนอกและภายใน ถ้าคำสอนดี ถูกต้อง น่าเชื่อถือแต่ชีวิตภายในของคนสอนกลับคดโกง ทุกสิ่งจะพังไม่เป็นท่า บากบั่นคือ มุมานะ พากเพียร ไม่ยอมถอย ไม่ยอมแพ้จะต้องช่วยทั้งตัวเอง และคนอื่นให้รอดได้ ถ้าคนอื่นรอดแล้วตัวเองพินาศนับเป็นความน่าเสียใจที่สุดของชีวิตคนนั้น

สดุดี 74 การคร่ำครวญถึงหายนะของพระวิหาร

1 โอ พระเจ้า เหตุใดพระองค์จึงทรงเหวี่ยงพวกเราออกไปเป็นนิตย์?
เหตุใดพระพิโรธของพระองค์จึงคุกรุ่น
ต่อแกะแห่งทุ่งหญ้าของพระองค์​?
2 ขอทรงระลึกถึงชุมชนที่พระองค์ทรงซื้อไว้ในอดีต
เผ่าต่าง ๆ ที่ทรงไถ่่เป็นมรดกของพระองค์
ขอทรงระลึกถึงภูเขาศิโยนแห่งนี้ซึ่งพระองค์เคยประทับ
3 ขอทรงก้าวไปยังที่ซึ่งเป็นซากปรักหักพังเป็นนิตย์
ศัตรูได้ทำลายทุกสิ่งในสถานบริสุทธิ์ของพระองค์
4 เหล่าศัตรูของพระองค์คำรามท่ามกลางที่ประชุมของพระองค์
พวกเขายกธงชัยขึ้นเป็นเครื่องหมาย
5 พวกเขาทำตัวเหมือนคนที่ยกขวานโค่นไม้ในป่ารก
6 และบัดนี้ได้ทำลายงานไม้แกะสลักทั้งสิ้น
ด้วยขวานและค้อน
7 พวกเขาจุดไฟเผาที่บริสุทธิ์ของพระองค์
ได้ทำลายล้างผลาญที่ประทับของพระนาม
8 พวกเขากล่าวในใจว่า เราจะพังให้พินาศย่อยยับ
และลงมือเผาที่นมัสการพระเจ้าทุกแห่งในแผ่นดิน
9 เราไม่เห็นสัญลักษณ์ของพวกเราเลย
ไม่มีผู้เผยพระคำเหลือสักคน
ไม่มีใครในพวกเรารู้ว่า เหตุการณ์นี้จะยืดเยื้อไปอีกนานเท่าไร
10 โอพระเจ้า ศัตรูจะเยาะเย้ยไปอีกนานเท่าไร
ศัตรูจะเยียดหยามพระนามตลอดไปหรือ?
11เหตุใดพระองค์จึงทรงยับยั้งพระหัตถ์ขวาของพระองค์ไว้?
โปรดยื่นพระหัตถ์จากฉลองพระองค์ และทำลายพวกเขาเสีย

12แต่พระเจ้าทรงเป็นพระราชาของข้ามาตั้งแต่อดีต
ทรงนำความรอดมายังผืนโลก
13 พระองค์ทรงแยกทะเลออกด้วยอานุภาพของพระองค์
พระองค์ทรงขยี้หัวของงูทะเลทั้งหลาย
14 ทรงบดหัวของเลวีเอธานเป็นชิ้น ๆ
ทรงให้เป็นอาหารแก่สิ่งมีชีวิตในถิ่นกันดาร
15 พระองค์ทรงเปิดน้ำพุ และสายน้ำลำธาร
ทรงทำให้แม่น้ำใหญ่กลายเป็นที่แห้งผาก
16 กลางวันเป็นของพระองค์
กลางคืนก็เป็นของพระองค์ด้วย
พระองค์ทรงเตรียมแสงสว่างและดวงอาทิตย์
17 พระองค์ทรงกำหนดขอบเขตของแผ่นดิน
ทรงทำให้เกิดฤดูร้อน ฤดูหนาว
18 โอ พระยาห์เวห์ ขอทรงระลึกว่า ศัตรูเยาะเย้ยพระองค์ และเหล่าคนโง่หยามเหยียดพระนาม
19 โอ ขออย่าทรงยื่นชีวิตนกพิราบของพระองค์ให้สัตว์ป่า
ขออย่าทรงลืมชีวิตของคนยากไร้ของพระองค์เป็นนิตย์
20 ขอทรงระลึกถึงพันธสัญญาของพระองค์
เพราะทุกมุมมืดของโลกนั้นเต็มด้วยความโหดร้ายทารุณ
21 โอ ขออย่าให้คนที่ถูกข่มเหงกลับมาด้วยความละอาย
ขอให้คนยากจนและคนขัดสนได้สรรเสริญพระนามของพระองค์
22 ขอทรงลุกขึ้น พระเจ้าข้า ขอทรงสู้ความของพระองค์
ขอทรงระลึกว่า คนโง่เยาะเย้ยพระองค์วันยังค่ำ
23 ขออย่าทรงเฉยต่อเสียงร้องของศัตรู
ทั้งการลุกฮือไม่หยุดยั้งของคนที่ต่อต้านพระองค์

1 ทิโมธี 3 คุณสมบัติผู้รับใช้

คุณสมบัติของผู้ดูแล ผู้ปกครองในคริสตจักร

ข้อความต่อไปนี้เป็นจริง คือ ถ้าใครต้องการจะดูแลคนในคริสตจักร เท่ากับเขากำลังปรารถนางานที่มีเกียรติ ผู้ปกครองดูแลคนนี้ต้องเป็นคนไร้ตำหนิ มีภรรยาคนเดียวรู้จักประมาณตน ควบคุมตนเองได้ น่านับถือ มีน้ำใจรับรองแขก มีทักษะในการสอน
1 ทิโมธี 3:1-2

กิจการ 20:28, 1 เปโตร 5:2 ,2:25, ทิตัส 1:7, 3:2, โรม 12:13

จากภาษาเดิม ความต้องการ..คือการยื่นมือออกไปเพื่อบางสิ่ง แต่ความปรารถนา เป็นความเร่าร้อนในใจ การเป็นผู้ดูแลนี้คือการเป็นคนที่รับผิดชอบในการนำคริสตจักร เป็นผู้ปกครอง ผู้กล่าวพระคำ (ฮีบรู 13:7) รวมไปถึงช่วยเหลือคนที่อ่อนแอฝ่ายวิญญาณ ผู้ที่ทำหน้าที่นี้เราเรียกกันว่า ผู้ปกครอง

ไม่เสพของมึนเมา ไม่ก้าวร้าวแต่สุภาพอ่อนโยน ไม่ชอบ
การทะเลาะวิวาท ไม่เห็นแก่เงิน เป็นคนจัดการครอบครัวตัวเองได้ดีดูแลลูกหลานให้เคารพเชื่อฟัง
1 ทิโมธี 3:3-4

ทิตัส 1:6-7, 2:2, 3:2, ฮีบรู 13:5, กิจการ 10:2

หากคนที่มีคุณสมบัติดังกล่าวได้ดูแลคริสตจักร จะดีมาก เพราะในคริสตจักรมี คนมาจากหลายครอบครัว มีนิสัยแตกต่างกันไป และเขาจะต้องจัดการดูแลคนที่แตกต่าง เหล่านี้ ช่วยให้อยู่ร่วมกันด้วยความรักห่วงใย กัน เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่ของง่าย

หากเขาจัดการครอบครัวไม่ได้ จะมาดูแลคริสตจักรของพระเจ้าได้อย่างไรกัน เขาจะต้องไม่ใช่คนที่ เพิ่งเข้ามาเชื่อ ไม่อย่างนั้น เขาอาจกลายเป็นคนจองหอง ลืมตัว ถูกลงโทษอย่างพญามาร เขาต้องเป็นคนมีชื่อเสียงดีในหมู่คนภายนอก เพื่อว่าเขาจะไม่ต้องอับอายเสื่อมเสีย และติดกับดักมาร
1 ทิโมธี 3:5-7

เอเฟซัส 5:24, 5:32, กิจการ 20:28, 1เปโตร 5:5, อิสยาห์ 2:12, 2 โครินธ์ 8:21, โคโลสี 4:5, กิจการ 6:3

คริสตจักรเป็นที่ช่วยเปลี่ยนชีวิตคน ถ้าผู้นำยังพ่ายแพ้ คริสตจักรก็จะตกที่นั่งลำบาก ส่วนคนที่เพิ่งเข้ามาเชื่อ ยังต้องเรียนรู้ทางของพระเจ้าอีกนานพอสมควร หากผู้นำยังไม่ได้ เข้าใจทางของพระเจ้าอย่างถ่องแท้ จะเป็น ผลร้ายกับทุกคน นอกจากนั้นยังต้องมีชื่อเสียงดีทั้งนอกและในคริสตจักรด้วย ทั้งนี้เพื่อไม่ให้คริสตจักรติดกับดักมาร!

คุณสมบัติมัคนายก

ฝ่ายมัคนายกของคริสตจักร
ก็เช่นกัน เขาต้องเป็นคนที่น่านับถือ ไม่พูดจากลับไปมา ไม่เสพของมึนเมา ไม่เป็นคนโลภคดโกง จะต้องยึดมั่นในความเชื่อที่ลึกซึ้งด้วยจิตสำนึกอันบริสุทธิ์ ต้องตรวจสอบคนเหล่านี้ก่อน เมื่อเห็นว่า ไร้ข้อบกพร่อง ก็ให้เขารับใช้ดูแลงานต่าง ๆในคริสตจักร
1 ทิโมธี 3:8-10

ฟีลิปปี 1:1, เลวีนิติ 10:9, ยากอบ 3:10, 1 ทิโมธี 1:19, 1:5, 5:22, กิจการ 6:1-2

ท่านเปาโลต้องการให้มีการตรวจสอบคนที่จะเข้ามารับใช้พระเจ้า ต้องได้คนที่เหมาะสม ไว้ใจได้ เขาคนนั้นต้องพิสูจน์ว่าเขาเป็นคนจริง ไม่เสแสร้ง มีความเชื่อแท้ มั่นคง เชื่อในสิ่งที่ถูกต้อง
แต่สมัยนี้เราไม่ค่อยจะเข้มงวดในเรื่องนี้เท่าไร อาจเป็นเพราะหาคนที่มีคุณสมบัติดังกล่าวยากเกิน ก็เลยเรียก กันมาร่วมทำงานโดยไม่กลั่นกรอง

เช่นเดียวกัน ภรรยาของพวกเขาต้อง เป็นสตรีที่น่านับถือ ไม่ว่าร้ายผู้อื่น รู้จักประมาณตน วางใจได้ในทุกเรื่อง มัคนายกคริสตจักรต้องมีภรรยาคนเดียว ดูแลจัดการครอบครัวได้ดีผู้ที่รับใช้ดูแลงานในคริสตจักรเป็นอย่างดีก็ได้รับเกียรติมาก และ พวกเขามีความมั่นใจมากในความเชื่อของตนในพระเยซูคริสต์
1 ทิโมธี 3:11-13

ทิตัส 2:3, 3:2 ,สุภาษิต 10:18, 1 เปโตร 5:8, 4:10-11, ฮีบรู 6:10,

มีผู้ให้ความเห็นว่า คำว่าภรรยา ในภาษากรีก มีความหมายว่า “สตรี” เฉย ๆ ได้ด้วย ดังนั้น ท่านเปาโลอาจหมายถึงสตรีที่เป็นมัคนายก ผู้ดูแลคริสตจักรด้านอื่น ๆ ดังนั้นเราจึงสรุปได้ว่า ถ้าสตรีมา เป็นมัคนายก เธอก็ควรมีคุณสมบัติดังกล่าว การมีครอบครัวสามีเดียวภรรยาเดียวเป็นสิ่งที่ท่านเปาโลเน้นอย่างมากในบทนี้ ถ้าชายที่จะเป็นมัคนายกหรือผู้ปกครองผ่านข้อนี้ไม่ได้ ก็ไม่อาจทำหน้าที่นี้

ข้าหวังว่าจะมาหาเจ้าในไม่ช้านี้ แต่ที่เขียนมาก่อนก็เพื่อว่า หากข้าเกิดล่าช้า เจ้าจะได้รู้ว่า ควรทำอย่างไรในครอบครัวของพระเจ้าซึ่งก็คือคริสตจักรของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ อันเป็นเสาหลักและเป็นรากฐานแห่งความจริง
1 ทิโมธี 3:14-15

ฟีเลโมน 1:22, 3 ยอห์น 1:14, 1 เปโตร 2:5, เอเฟซัส 2:21-22, ,มัทธิว 16:16

ท่านเรียกว่า คริสตจักรของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ คริสตจักรที่กล่าวถึงนี้คือ ผู้เชื่อทั้งโลกที่อาศัยอยู่ตามที่ต่าง ๆ ในโลก แต่ละชุมชนคริสเตียน เป็น พระกายของพระองค์ คริสตจักรเป็นเสาหลัก และเป็นรากฐานแห่งความจริง หากคริสตจักรอ่อนแอ ไม่เชื่อฟังคำของพระเจ้าก็จะทำให้รากฐานอ่อนแอตามไปด้วย

ความล้ำลึกแห่งทางของพระเจ้านั้นยิ่งใหญ่นัก ไม่มีข้อโต้แย้งใด ๆ นั่นคือ พระองค์ได้ทรงปรากฏในกายมนุษย์ พิสูจน์แล้วโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ เหล่าทูตสวรรค์ได้เห็นพระองค์ ชาติทั้งหลายได้ยินการประกาศเรื่องพระองค์ ชาวโลกได้เชื่อในพระองค์ พระเจ้าทรงรับพระองค์ขึ้นไปสู่พระสิริรุ่งโรจน์
1 ทิโมธี 3:16

ยอห์น 1:14, โรม 16:25, ฮีบรู 1:3, โคโลสี 1:23, กิจการ 20:28

พระคำข้อนี้มหัศจรรย์ คือว่า พระเยซูทรงมาเกิดเป็นมนุษย์ เดินดินอย่างเรา(ยอห์น 1:14) พระวิญญาณทรงทำราชกิจพร้อมไปกับพระองค์ เมื่อทรงอยู่ในโลกนี้ (ยอห์น 16:7,10 โรม 1:4) และทรงให้พระองค์คืนชีพจากความตาย ทูตสวรรค์เอง ได้เห็นราชกิจและการคืนชีพนั้น พวกเขา ยังมาเป็นพยานในวันที่ทรงคืนชีพขึ้นมา (ยอห์น 20:12)มีการประกาศพระนามของพระองค์ไปทั่วโลก เริ่มจากสมัยคริสตจักรยุคแรกจนนาทีนี้ (โคโลสี 1:23) มีคนตอบรับพระองค์และได้รับความรอดเป็นพัน ๆ ล้านคน และพระองค์ทรงถูกรับขึ้นสู่สวรรค์ต่อหน้าต่อตาศิษย์ (กิจการ 1:9)จำนวนมากมาย