เอเฟซัส 4 ชีวิตที่เปลี่ยนจริง

เอเฟซัส 4:1-2
ดังนั้น ข้าซึ่งเป็นนักโทษเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า จึงขอร้องให้ท่านใช้ชีวิตอย่างเหมาะสมกับการทรงเรียกที่ท่านได้รับมา ด้วยความถ่อมตนความสุภาพอ่อนโยน ด้วยความอดทนต่อกันและกันด้วยความรัก
เอเฟซัส 4:3
ให้มุ่งรักษาความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในพระวิญญาณ ด้วยสันติสุขที่ผูกพันเราไว้

เอเฟซัส 4:4-6
มีเพียงกายเดียว และพระวิญญาณเดียว เหมือนกับที่ทรงเรียกท่านมาสู่ความหวังเดียวกัน องค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียว ความเชื่อเดียว บัพติศมาเดียว มีพระเจ้าองค์เดียวผู้ทรงเป็นพระบิดาของมนุษย์ทั้งปวง ผู้ทรงอยู่เหนือสรรพสิ่งผ่านทะลุทั้งสิ้น และอยู่ในทั้งหมด


เอเฟซัส 4:7-8
แต่ว่า พระเจ้าประทานพระคุณแก่เราแต่ละคนตามที่พระคริสต์ทรงดำริมอบให้
ดังนั้น จึงมีคำกล่าวว่า เมื่อพระองค์เสด็จสู่ที่สูง พระองค์ทรงนำเหล่าเชลยไปและทรงให้ของประทานแก่มนุษย์

เอเฟซัส 4:9-10
คำว่า“พระองค์เสด็จสู่ที่สูง”นั้นมีความหมายครอบคลุมถึงอะไร ก็คือ ได้เสด็จลงสู่เบื้องล่างของโลกด้วย
พระองค์ผู้ทรงลงไปยังเบื้องล่างคือผู้ทรงขึ้นไปสู่ที่สูงเหนือฟ้าสวรรค์สูงสุด เพื่อจะทรงเติมให้เต็มทั้งจักรวาล

เอเฟซัส 4:11-12
และพระองค์ทรงแต่งตั้งให้บางคนเป็นอัครทูต บางคนเผยพระคำ บางคนประกาศข่าวประเสริฐ บางคนเป็นผู้เลี้ยงและครูอาจารย์ เพื่อเตรียมวิสุทธิชนของพระเจ้าสำหรับการรับใช้ในการเสริมสร้างพระกายของพระคริสต์
เอเฟซัส 4:13
จนกระทั่งเราทุกคนได้มีน้ำหนึ่งใจเดียวกันในความเชื่อ
และในความรู้ถึงพระบุตรของพระเจ้า
คือชีวิตเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในความเชื่อ ถึงระดับความบริบูรณ์ของพระคริสต์ 

เอเฟซัส 4:15
แต่พูดความจริงด้วยความรัก ให้เราเติบโตในทุกด้าน
สู่พระคริสต์พระองค์ผู้ทรงเป็นศีรษะ
เอเฟซัส 4:16
จากพระองค์นั้นร่างกายทุกส่วนยึดต่อสานสัมพันธ์กัน
โดยเส้นเอ็นที่พระองค์ทรงมอบให้เพื่อสร้างตัวเองขึ้นในความรัก โดยแต่ละส่วนทำงานอย่างเหมาะสม

เอเฟซัส 4:17
บัดนี้ ข้าขอบอกและยืนยันในองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า ต่อจากนี้ไป ท่านไม่ควรใช้ชีวิตอย่างคนต่างชาติ ซึ่งคิดแต่สิ่งไร้สาระ
เอเฟซัส 4:18
ความเข้าใจของเขานั้นมืดมัวและแยกออกจากชีวิตของพระเจ้าเพราะว่าพวกเขาไม่รู้อะไรและเพราะจิตใจของ
พวกเขานั้นแข็งกระด้างนัก

เอเฟซัส 4:19
พวกเขาไม่มีความยับยั้งชั่งใจปล่อยตัวให้กับแรงกิเลส
หัวใจเร่าร้อนที่จะทำสิ่งสกปรกทุกอย่าง
เอเฟซัส 4:20-21
แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ท่านเรียนรู้จากพระคริสต์
เมื่อท่านได้ยินเรื่องแท้จริงของพระองค์
และได้รับคำสอนตามความจริงในพระเยซู

เอเฟซัส 4:22-23
ขอให้ท่านถอดชีวิตเดิมออก คือตัวเก่าที่คดโกงเสื่อมโทรมจากความใฝ่ต่ำที่หลอกลวงเพื่อรับการสร้าง
ความคิดใหม่จิตใจใหม่
เอเฟซัส 4:24
ให้ท่านสวมตัวตนใหม่ ซึ่งเป็นตัวตนที่รับการสร้างตามอย่างพระเจ้าในความเที่ยงธรรมและความบริสุทธิ์แท้

เอเฟซัส 4:25
ดังนั้น ท่านจะต้องละทิ้งสิ่งที่เป็นความเท็จและให้พูดความจริงต่อเพื่อนบ้านของเราเพราะเราต่างเป็น
อวัยวะของกายเดียวกัน
เอเฟซัส 4:26-27
“ท่านโกรธได้แต่อย่าทำบาป อย่าให้ความโกรธยังคงค้างอยู่เมื่อตะวันตกดิน” อย่าให้โอกาสแก่มาร
เอเฟซัส 4:28
คนที่เคยขโมย ก็อย่าขโมยอีกแต่ต้องทำงานใช้มือของตนทำสิ่งที่เป็นประโยชน์เพื่อว่าจะมีสิ่งที่แบ่งปัน
ให้กับคนที่ขัดสน

เอเฟซัส 4:29
อย่ายอมให้คำหยาบคายออกมาจากปากของท่าน
แต่จงพูดสิ่งที่ดีเพื่อเสริมสร้างคนที่ต้องการเป็นคุณความดีแก่คนที่ได้ยิน
เอเฟซัส 4:30
และอย่าทำให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเสียพระทัย ท่านได้รับการประทับตราโดยพระองค์
สำหรับวันที่ทรงไถ่

เอเฟซัส 4:31-32
ท่านจะต้องกำจัดทั้งความขมขื่น ความเกรี้ยวกราด
การตะโกนใส่กัน การใส่ร้ายคนอื่น รวมไปถึงการมุ่งร้ายทุกแบบ
จงมีใจเมตตาและสงสาร เห็นใจกันและให้อภัยกันและกันเหมือนอย่างที่พระเจ้าทรงอภัยท่านในพระคริสต์

เอเฟซัส 4:1-2
แล้วท่านเปาโลที่เน้นว่าตัวท่านเองเป็นนักโทษเพื่อพระเจ้า..​ขอร้องให้พี่น้องในคริสตจักรได้ใช้ชีวิตอย่างดี.. นั่นคือมีการสำรวจชีวิตของตน มีการเปลี่ยนแปลงชีวิตให้ดีขึ้นเสมอ ทำตัวให้เหมาะกับที่พระเจ้าได้ทรงเรียก และรับเข้ามาเป็นคนในครอบครัวของพระองค์ ทำอย่างไรหรือ? ท่านบอกง่าย ๆ ถึงการมีความสัมพันธ์ต่อคนอื่นด้วยใจถ่อม
สุภาพ อดทน อดกลั้นต่อกันด้วยความรัก
นี่เป็นชีวิตที่น่าอยู่ด้วย…

เอเฟซัส 4:3
การที่เราจะมีความถ่อมตน ความสุภาพอ่อนโยนและความอดทนที่กล่าวมา ทำให้เราสามารถรักษาให้พี่น้องมีน้ำหนึ่งใจเดียวกันได้ ความอดทนนั้นสำคัญยิ่ง เพราะนั่นคือการยอมรับว่าทุกคนมีข้อบกพร่องที่ต้องแก้ไข ช่วยเหลือกันจนเติบโตเป็นเหมือนพระคริสต์ มีสันติต่อกัน ไม่ทำร้ายกันและกัน การมีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน รู้ไหมว่า…ในพระวิญญาณเป็นความสัมพันธ์ดีที่สุดในโลก

เอเฟซัส 4:4-6
ความเป็นหนึ่งเดียวกันที่ท่านเปาโลกล่าวถึงนั้นล้ำลึก มีมิติที่เราไม่คาดฝัน เพราะเป็นหนึ่งเดียวในพระกาย พระวิญญาณ ความหวัง องค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวกัน (พระเยซูคริสต์) รวมไปถึงความเชื่อ บัพติศมา พระบิดาองค์เดียวกันการเป็นหนึ่งเดียวกันเช่นนี้ ทำให้ผู้เชื่ออยู่ในสถานะที่แตกต่างไปจากคนทั่วไป เพราะพวกเขาเป็นหนึ่งในพระกาย เป็นหนึ่งในพระเจ้าองค์ตรีเอกานุภาพ!

เอเฟซัส 4:7
พระคุณแก่เราที่เหมือนกันอย่างหนึ่งคือ ความรอดแก่ทุกคนที่เชื่อ พระคุณนี้ผ่านมาทางไม้กางเขน การสิ้นพระชนม์ เพื่อเราทั้งหลายทรงให้เราซึ่งเป็นศัตรูของพระเจ้าได้มาคืนดีกับองค์พระบิดาโดยที่พระเจ้าทรงใช้ท่านเปาโลและผู้รับใช้คนอื่น ๆ ให้ประกาศพระคุณแก่คนต่างชาติ แต่เพิ่มขึ้นจากนั้นคือพระคุณเฉพาะที่พระเจ้าประทานแก่แต่ละคนตามที่พระองค์ทรงดำริ

เอเฟซัส 4:8
พระคำตอนนี้เอามาจาก สดุดี 68:18 กล่าวเรื่องพระคุณของพระเยซูอยู่ แล้วมาพูดเรื่องพระเยซูเสด็จสู่ที่สูง ท่านเปาโลกำลังบอกเราว่าพระเยซูทรงเป็นกษัตริย์นักรบที่ทรงรบชนะบนไม้กางเขน จากนั้นทรงนำสิ่งที่ริบได้กลับไปยังบ้านเมือง นั่นคือพระองคฺ์ทรงนำเชลยที่ทรงไถ่แล้ว กลับไปยังแผ่นดินสวรรค์ จากนั้นทรงแจกจ่ายสิ่งที่ริบคืนมานั้นให้กับทั้งอาณาจักรของพระองค์นั่นคือ ของประทานฝ่ายวิญญาณที่ทรงให้กับคริสตจักร (John Acarthur’s commentary)

เอเฟซัส 4:9-10
ตรงนี้ท่านเปาโลบอกเราว่า พระเยซูทรงลงมาในโลก และเสด็จสู่สวรรค์ (กิจการ2) พระองค์เป็นผู้เดียวที่ทรงทำเช่นนี้ ชีวิตของพระองค์เป็นจริงตามที่มีคำบอกล่วงหน้าถึงพระองค์ทุกประการ​ทรงเกิด ทำการของพระเจ้า สิ้นชีพและคืนชีพมาจึงทรงมีสิทธิปกครองเหนือคริสตจักรทุกประการ บัดนี้พระองค์ทรงอยู่ทั่วในจักรวาล เต็มด้วยฤทธิ์ สิทธิอำนาจสูงสุด และสิทธิที่จะประทานแก่คริสตจักรตามที่ทรงพอพระทัย

เอเฟซัส 4:11-12
เราน่าจะตั้งคำถามว่า ทำไมของประทานที่กล่าวถึงนี้จึงสำคัญมาก… ร่างกายจะเติบโตได้ต้องมีการกินอาหาร ใช้กำลังพักผ่อน … ร่างกายก็จะเติบโตอย่างที่สมควร ของประทานที่พระเจ้าได้ให้แก่คริสตจักรที่ชัดเจนคือ การที่จะให้มีผู้ให้อาหารฝ่ายวิญญาณที่ดีเป็นอาหารสุขภาพ ไม่ใช่อาหารเน่าเสียที่จะส่งผลร้ายต่อร่างกาย เราต้องรู้ว่า ผู้ที่มีของประทานนี้ก็จะช่วยให้คริสตจักรของพระเจ้าเติบโตไปได้ดี

เอเฟซัส 4:13
อาหารฝ่ายวิญญาณของพี่น้อง จะต้องช่วยให้พวกเขามีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ไม่แตกแยก มีความถ่อมตน สุภาพ ความรักอย่างที่เคยกล่าวมา นอกจากนั้น เป้าหมายที่สำคัญคือ พระกายนี้จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ที่จะเกิดผล ส่งผลช่วยเหลือชีวิตของผู้อื่นต่อไปอีก ให้ถึงระดับอย่างที่พระคริสต์ทรงประสงค์ นั่นคือผู้เชื่อที่เป็นผู้ใหญ่ มีเหตุผล มีความเชื่อมั่นคง สร้างพระกายให้เข้มแข็ง ไม่ใช่เป็นคนสร้างปัญหา หรือทำลายคนอื่น

เอเฟซัส 4:15
การพูดความจริงนั้น มักมาพร้อมกับความเจ็บปวดของฝ่ายที่ถูกแก้ไข ดังนั้น การพูดความจริงด้วยความถ่อม สุภาพ ความอดทนด้วยความรัก จากเอเฟซัส 4:1-2 จึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่งและจะพูดความจริงด้วยท่าทีเช่นนี้ ก็ต้องมีการฝึกด้วย พยายามเข้าใจอีกฝ่ายว่า เขาคิดเห็นอย่างไรอยู่ เพราะว่า ทุกคนจะตอบโต้ความจริงต่างกันไป บางคนก็รับฟังได้อย่างรวดเร็ว เป็นคนฉลาดเปิดใจ แต่บางคนก็ใจปิด.. คนพูดความจริงจึงต้องคอยระวัง

เอเฟซัส 4:16
การสร้างคริสตจักรที่แข็งแรง เติบโต มีสุขภาพดีไม่ได้ขึ้นอยู่กับคน ๆ เดียว ชื่อก็บอกแล้วว่า เป็นพระกายที่มีอวัยวะหลายส่วน แต่ละส่วนต้องทำงาน ถามหน้าที่ของตน เช่นหากเป็นหัวใจ นึกจะเลิกเต้น ก็เลิกตามใจตัวเองไม่ได้ ดังนั้นพี่น้องในความเชื่อ จะต้องทำงานร่วมกันเพื่อสร้างแผ่นดินของพระเจ้า ถ้าหากว่าเราเข้าใจหน้าที่ของตนเองไม่ว่าจะเป็นหน้าที่ซึ่งมีคนเห็นหรือไม่ แต่พระบิดาทรงเห็นเสมอว่าเราทำอะไรอยู่

เอเฟซัส 4:17
ในเมื่อผู้เชื่อมีส่วนในพระกายพระคริสต์ การใช้ชีวิตจึงแตกต่าง การคิดจึงแตกต่างจากคนที่ไม่เชื่อในเรื่องฝ่ายวิญญาณ โดยที่จะไม่คิดแต่สิ่งไร้สาระเหมือนคนทั่วไป คำว่าไร้สาระของท่านเปาโลนั้น อาจดูแรง แต่หากเราพิจารณาดี ๆเราจะเห็นความคิดที่โลกพยายามยัดเยียดใส่ให้คนในสังคมคิดเหมือนแม้ว่ามันอันตราย และเป็นคำโกหก ความคิดเหล่านี้ไม่เคยหยุด มีมาตั้งแต่โบราณจนปัจจุบัน ในภาพยนต์ เพลง podcast รายการต่าง ๆ มีทั้งใช้ได้และไร้สาระ ต้องระวัง!

เอเฟซัส 4:18
ลองสังเกตดี ๆ นะว่า ความคิดของคนในโลกที่อยู่ในโซเชียลมีเดียชัดเจนมาก (เราพูดถึงความคิดของคนที่ไร้สาระจริง ๆ เราก็จะเห็นชัด) อย่างแรกคือ คิดกลับทาง ความจริงกลายเป็นเท็จ ความดีกลายเป็นชั่ว ชั่วกลายเป็นดี สองคือ ถ้าใครไม่คิดเหมือนเขา ก็จะลงมือทำลายคนนั้นด้วยวิธีต่าง ๆทั้งชื่อเสียง การงาน และอะไรที่ทำลายได้ พวกนี้ต้องการเป็นผู้นำความคิดทั้งที่ตัวเองไม่สามารถคิดสร้างสรรค์ได้เลย

เอเฟซัส 4:19
ความที่ใจแข็งกระด้าง มีความตั้งใจที่จะฝืนความรักของพระเจ้า ฝืนไม่ยอมรับว่า พระเจ้าทรงเป็นผู้ทรงสร้างทุกสิ่ง ทรงเป็นเจ้าเหนือหัวของมนุษย์ทุกคน พวกเขากลับใช้ความชั่วของตนปิดกั้นความจริง โรม 1:18-20 พวกเขาไม่ยอมให้พระเจ้าอยู่เหนือชีวิตเพราะอยากทำตามใจของตน ตามความเร่าร้อนที่มีอยู่ในตัว ไม่ต้องการควบคุมตนเอง บางคนก็ดูเป็นปัญญาชนน่าจะเข้าใจ แต่การที่เขาไม่ต้องการอยู่ใต้พระเจ้าทำให้เขาปฏิเสธพระองค์

เอเฟซัส 4:20-21
ท่านเปาโลเปรียบเทียบว่า คนที่เดินตามทางโลก ใช้ชีวิตตามใจตนเอง เป็นชีวิตที่ไร้ค่า มืดมน ไปตามใจปรารถนาทางเพศอย่างสุด ๆ ซึ่งเป็นจริงในหมู่ชาวเอเฟซัส ไม่มีความละอาย มโนธรรมหายไป ชีวิตไม่มีพระเจ้า ท่านเปาโลย้ำเตือนว่า เมื่อมาเชื่อพระเยซูแล้ว ชีวิตจะไม่เหมือนเดิม ไม่มีพฤติกรรมเลวร้ายอย่างเดิมอีก และเราทุกคนมีหน้าที่ร่วมมือกับพระเจ้าเพื่อเปลี่ยนชีวิต

เอเฟซัส 4:22-23
ที่จะร่วมมือกับพระเจ้าในการสร้างความคิด ชีวิตใหม่นั้น ท่านเปาโลบอกเราว่า ให้เราถอดชีวิตเดิมออก ใช้คำเหมือนกับถอดเสื้อผ้าเก่า โสโครกออกเราต้องมีความพยายามที่จะเลิกพฤติกรรมเดิมไม่ใช่ปล่อยไปเฉย ๆ ไม่มีความพยายามที่จะเปลี่ยนชีวิต ก่อนที่จะได้ชีวิตความคิดใหม่ ต้องมีการโละของเก่าทิ้งก่อน จะมีทั้งดีและเลวอยู่ด้วยกันไม่ได้ เวลาของเน่า เอาไว้ในที่ดี ก็จะพาของดีเสียตามกันไป

เอเฟซัส 4:24
เมื่อถอดชีวิตเดิมออกแล้ว ก็ให้สวมชีวิตใหม่ของเก่าที่เน่าเสียของชีวิตต้องทิ้งไป แล้วรับชีวิตใหม่ของพระเจ้าเข้ามา เป็นชีวิตที่ตรงกันข้ามกับของเดิม เพราะเป็นชีวิตที่ได้รับการสร้างด้วยความเที่ยงธรรม และความบริสุทธิ์ของพระเยซูด้วยการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเพื่อทำให้เราเป็นคนเที่ยงธรรม คำเปรียบเทียบของท่านเปาโลง่าย ชัดเจน และเราคงไม่ลืม เปลี่ยนเสื้อทุกวันก็เปลี่ยนนิสัยใจคอ และชีวิตทุกวันด้วย

เอเฟซัส 4:25
เสื้อตัวหนึ่งที่จะต้องถอดทิ้งคือ เสื้อของการโกหกชีวิตที่ชินกับการพูดโกหกนั้น ก็จะชินกับการโกหกโดยไม่ได้สำนึกเลยว่า ตนเองกำลังกล่าวเท็จอยู่เราอาจไม่ทราบว่า หากในที่ทำงานมีคนหลายชาติทำงานด้วยกันอยู่ พี่ไทยของเรานั้นจะได้ชื่อเสียอย่างหนึ่งคือ พูดอ้อมค้อม ไม่ตรงความจริงบอกว่าจะได้งานวันนี้แน่ แต่ที่จริงเพื่อนยังไม่ได้เริ่มต้นงานเลย บอกว่างานโอเค ดีแล้ว แต่ยังไม่ได้จับสักนิด ทำให้เจ้าของงานเสียหายมาไม่น้อย

เอเฟซัส 4:26-27
มาถึงอารมณ์โกรธบ้าง การโกรธมีหลายแบบพระเจ้าเองทรงโกรธที่มนุษย์โง่เง่า ไม่ฟังพระองค์สิ่งดีที่พระองค์ทรงยื่นให้ พวกเขาก็เมิน แต่ตอนนี้เรากำลังพูดถึงความโกรธของมนุษย์ซึ่งมีทั้งความโกรธที่พลุ่งพล่าน โกรธขมขื่น โกรธแบบแค้นฝังลึก โกรธแบบว่าคนที่เราโกรธตายไปแล้วแต่เราก็ยังไม่เลิกโกรธ เมื่อมีอารมณ์โกรธที่ไม่เลิกราเท่ากับเรากำลังเปิดช่องให้มารเข้ามาทำร้ายชีวิต ท่านเปาโลจึงให้เราระงับความโกรธ

เอเฟซัส 4:28
นอกจากความโกรธที่ต้องถอดออกจากชีวิต ก็ยังมีเรื่องการขโมยด้วย ซึ่งการขโมยสมัยก่อน อาจเป็นการขโมยข้าวของ ทรัพย์สิน วัวควาย ฯลฯแต่สมัยนี้มีการขโมยทรัพย์สินทางปัญญา มีการขโมยข้อมูล เอาข้อมูลที่สำคัญไปขายทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่เป็นข้อมูลของตนเอง แก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ก็คือรูปแบบการขโมยสมัยใหม่ที่ล้ำยุคขึ้นไปอีก ที่สำคัญท่านเปาโลให้เราทำงานด้วยมือ ด้วยตัวเองเพื่อจะเป็นประโยชน์กับตัวและคนอื่น

เอเฟซัส 4:29
ท่านเปาโลละเอียดมาก รู้ว่า สิ่งสกปรกโสโครกในชีวิตของเรานั้น มันอยู่ชิดตัวเรา ออกจากใจออกจากปากของเรา คำโกหก คำหยาบคายและความโกรธมักไปด้วยกัน คำเหล่านี้รวมไปถึงการใส่ร้ายป้ายสี พยานเท็จ เป็นของที่มักมาเป็นชุดเดียวกัน บางคนเห็นการพูดหยาบคายเป็นเรื่องธรรมดา แต่เมื่อมาเป็นคนของพระเจ้าแล้ว เราไม่ทำอย่างนั้นอีกต่อไป ทั้งต้องขอพระเจ้าทรงช่วย และมีความตั้งใจ พยายามหลุดจากสิ่งนี้

เอเฟซัส 4:30
จากที่เราอ่านมาและกำลังจะอ่านต่อไป เราน่าจะสรุปได้ว่า สิ่งที่ทำให้พระวิญญาณทรงเสียพระทัยก็คือชีวิตเดิมที่ไม่สะอาด พระองค์ทรงประทับตราเราไว้ ทรงให้เราเป็นพระวิหารที่พระองค์สถิตอยู่ ชีวิตที่สกปรกจึงไม่สมควรที่จะอยู่ในเรา ต้องถอดทิ้ง และสวมชีวิตใหม่ ให้สมกับเป็นคนที่พระเจ้าทรงจองไว้ให้ถึงวันของพระองค์ที่การไถ่จะสมบูรณ์จะเป็นของพระองค์ร้อยเปอร์เซนต์ ช่วงนี้ก็ต้องมีความพยายามต่อไปที่จะก้าวสู่เป้าหมายชีวิตแท้

เอเฟซัส 4:31
นี่ไงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้พระวิญญาณทรงเสียพระทัย ชีวิตของผู้เชื่อต้องหยุดความข่มขื่นใจที่มีต่อคนอื่น แม้ว่าอีกฝ่ายจะรังควาญไม่เลิกบางครั้งเราจะเห็น คนที่อ้างว่าตนเชื่อพระเจ้า แต่กลับยังมีบาปมลทินทางปากเช่นนี้ หรือว่าถ้าเราเป็นเสียเอง ก็พอจะประเมินได้ว่า ยังไม่ยอมสยบให้กับพระเจ้าจริง ๆ ยังต้องการเก็บนิสัยชั่วร้ายเหล่านี้ไว้คริสเตียนแท้จริงจะต้องหยุดจากพฤติกรรมที่กล่าวมานี้ทั้งหมด

เอเฟซัส 4:32
และการจะหยุดพฤติกรรมร้าย ๆ ทางปาก ใจที่คอยคิดร้ายต่อคนอื่นนั้น แล้วไม่มีสิ่งดีใส่เข้าไปก็เหมือนกับการถอดเสื้อสกปรกออก แต่ยังไม่ได้สวมใส่เสื้อแห่งการยกโทษ การไถ่ของพระเจ้ายังเปลือยอยู่ ดังนั้น เมื่อหยุดนิสัยร้าย ก็ต้องสวมนิสัยดีเข้าไป โดยเอาพระเยซูคริสต์เป็นต้นแบบของตน พระเจ้าทรงอภัยให้เราอย่างไร เราก็ไม่มีสิทธิที่จะถือโทษใครอีกต่อไป เพราะว่าเราได้รับการยกโทษบาปที่หนักหนาจากพระองค์แล้ว

พระคำเชื่อมโยง

1* 1 เธสะโลนิกา 2:12; โคโลสี 1:10; ฟีลิปปี 1:27
2* โคโลสี 3:12-13; 1 โครินธ์ 13:7
3* โคโลสี 3:14; 1 โครินธ์ 1:10
4* โรม 12:5; เอเฟซัส 2:18;
1โครินธ์ 12:2-13
5* 1โครินธ์ 8:6; 1 เปโตร 3:21;
ยูดา 3; ฮีบรู 6:6
6* มาลาคี 2:10; โรม 11:36
7* 1โครินธ์ 12:7, 11; โรม 12:3;
1 เปโตร 4:10
8* สดุดี 68:18; โคโลสี 2:15
9* ยอห์น 3:13; 20:17; มัทธิว 12:40; ยอห์น 6:33
10* กิจการ 1:9; ฮีบรู 7:26
11* เยเรมีย์ 3:15; 1โครินธ์ 12:28-29; เอเฟซัส 2:20

12* 1 เธสะโลนิกา 5:11-14; ; เอเฟซัส 4:16; 1โครินธ์ 12:27
13* โคโลสี 2:2; 1:28; ยอห์น 17:21; 1โครินธ์ 14:20
14* 1โครินธ์ 14:20; ฮีบรู 13:9; โรม 16:17-1815* เอเฟซัส 1:22; 4:25; เศคาริยาห์ 8:16; 2 เปโตร 3:18
16* โคโลสี 2:19; ยอห์น 15:5
17* โรม 1:21; 1 เปโตร 4:3-4; 1 เธสะโลนิกา 4:1-2
18* มัทธิว 13:15; เอเฟซัส 2:12; โรม 1:21-23; ยอห์น 12:40
19* 1 ทิโมธี 4:2; โคโลสี 3:5; โรม 1:24-26
20* ทิตัส 2:11-14; ยอห์น 6:45; มัทธิว 11:29
21* 1 ยอห์น 5:20; เอเฟซัส 1:13; ฮีบรู 3:7-8

22* โรม 6:6; ฮีบรู 12:1; ยากอบ 1:21
23* โรม 12:2; 8:6; สดุดี 51:10; โคโลสี 3:10
24* โคโลสี 3:10-14; 2 โครินธ์ 5:17; โรม 6:4, 7:6; 12:2
25* เศคาริยาห์ 8:16; สุภาษิต 12:22; โคโลสี 3:9
26* ยากอบ 1:19; สดุดี 4:4; 37:8
27* ยากอบ 4:7; 1 เปโตร 5:8;
เอเฟซัส 6:16
28* 1 เธสะโลนิกา 4:11-12; 1 ทิโมธี 6:18; กาลาเทีย 6:1029* โคโลสี 3:8; 1 เธสะโลนิกา 5:11; ปัญญาจารย์ 10:12
30* อิสยาห์ 7:1331* โคโลสี 3:8, 19; ยากอบ 4:11; ทิตัส 3:3
32* 2 โครินธ์ 6:10; มาระโก 11:25


เอเฟซัส 3 เผยความลี้ลับ

เอเฟซัส 3:1-2
ด้วยเหตุนี้ ข้าเปาโลผู้เป็นนักโทษเพราะเห็นแก่พระเยซูคริสต์ เพื่อท่านซึ่งเป็นคนต่างชาติ ท่านคงได้ยินถึงภาระแห่งพระคุณของพระเจ้าที่ประทานแก่ข้าเพื่อท่านทั้งหลายแล้ว
เอเฟซัส 3:3-4
คือ สิ่งลี้ลับที่พระเจ้าทรงสำแดงแก่ข้าตามที่ข้าได้เขียนไว้สั้น ๆ ก่อนหน้านี้ เมื่อท่านอ่านข้อความนี้ ท่านจะเข้าใจกระจ่าง ถึงความหยั่งรู้ของข้าในเรื่องสิ่งลี้ลับของพระคริสต์

เอเฟซัส 3:5
ซึ่งในยุคก่อนหน้านี้ไม่ได้มีการเปิดเผยให้มนุษย์รู้ เหมือนอย่างตอนนี้ที่พระวิญญาณทรงสำแดงแก่เหล่าอัครทูตและผู้กล่าวพระคำผู้บริสุทธิ์
เอเฟซัส 3:6
สิ่งลี้ลับนั้นคือคนต่างชาติได้เข้ามาเป็นผู้ร่วมรับมรดกพร้อมกับคนอิสราเอล ได้เป็นสมาชิกในกายเดียวกันและเป็นผู้มีส่วนร่วมกับพระสัญญาในพระเยซูคริสต์ ผ่านทางข่าวประเสริฐ

เอเฟซัส 3:7
ข้าเองได้รับเป็นผู้รับใช้แห่งข่าวประเสริฐนี้โดยพระคุณ ซึ่งพระเจ้าได้ประทานแก่ข้า โดยราชกิจแห่งฤทธิ์เดชของพระองค์
เอเฟซัส 3:8
แม้ข้าเป็นคนต่ำต้อยกว่าผู้เล็กน้อยที่สุดในหมู่วิสุทธิชนของพระเจ้าข้าก็ได้รับพระคุณนี้ คือ ได้มีโอกาสประกาศให้คนต่างชาติได้รู้ถึงความยิ่งใหญ่อนันต์ที่ไม่อาจหยั่งถึงของพระคริสต์
เอเฟซัส 3:9
และที่จะแสดงให้คนทั้งหลายเห็นถึงแผนการอันลี้ลับที่พระเจ้าผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งไม่ได้ทรงเปิดเผยให้ใครทราบในหลายยุคที่ผ่านมา 

เอเฟซัส 3:10-11
เพื่อว่าบัดนี้ หมู่เทพผู้ครอง และเทพผู้มีอำนาจในสวรรค์จะได้ตระหนักถึงพระปัญญามากมายรอบด้านของพระเจ้าผ่านทางคริสตจักร ตามพระดำรินิรันดร์
ของพระองค์ ซึ่งได้ทรงทำให้สำเร็จในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา
เอเฟซัส 3:12
ในพระองค์เราจึงกล้าและมั่นใจที่จะเข้ามาถึงพระเจ้าด้วยความเชื่อในพระองค์

เอเฟซัส 3:13 
ดังนั้น ข้าจึงขอให้ท่านไม่ท้อใจเพราะมาเห็นว่า ข้าต้องทุกข์ยากเพื่อท่าน ซึ่งนี่ก็เป็นศักดิ์ศรีของท่านเอง
เอเฟซัส 3:14-15
เพราะเหตุนี้ ข้าจึงคุกเข่าลงต่อพระพักตร์พระบิดาของพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าของเราผู้ทรงเป็นที่มาของทุกครอบครัวทั้งในสวรรค์และในแผ่นดินโลก

เอเฟซัส 3:16
ข้าอธิษฐานว่า จากพระสิริที่มั่งคั่ง พระเจ้าจะทรงให้ชีวิตภายในของท่านเข้มแข็งด้วยฤทธิ์เดชแห่งพระวิญญาณของพระองค์
เอเฟซัส 3:17
พื่อว่าพระคริสต์จะสถิตภายในท่านผ่านทางความเชื่อ
และข้าอธิษฐานว่าเมื่อท่านได้หยั่งรากลึก และมั่นคงในความรักแล้ว……

เอเฟซัส 3:18
ท่านก็จะมีความเข้าใจพร้อมกับวิสุทธิชนถึงความยาว และความกว้าง ความสูงและความลึกของความรักของพระเจ้า
เอเฟซัส 3:19
และที่จะรู้ถึงความรักของพระคริสต์ที่อยู่เหนือความรู้ เพื่อว่าท่านจะได้เติมเต็มด้วยความบริบูรณ์ทั้งสิ้นของพระเจ้า

เอเฟซัส 3:20
บัดนี้ แด่พระองค์ ผู้ทรงสามารถกระทำการมหาศาลเกินกว่าที่เราจะทูลขอ
หรือคาดคิดได้ตามฤทธิ์เดชที่ทำการในชีวิตของเรา 

เอเฟซัส 3:21
ขอพระสิริตระการจงมีแด่พระองค์ในคริสตจักร และในพระเยซูคริสต์ทุกชั่วอายุคน สืบไปเป็นนิตย์ อาเมน

เอเฟซัส 3:1-2
จากข้อความตอนนี้ทำให้เรารู้ว่า ท่านเขียนจดหมายถึงพี่น้องในเวลาที่ถูกจองจำ ท่านถูกจำในโรมและที่ถูกจับก็เพราะท่านตั้งหน้าตั้งตาประกาศพระกิตติคุณให้กับคนต่างชาติตามพระบัญชาแต่ต้นท่านได้รับใช้ในเมืองเอเฟซัสถึงสามปี พี่น้องจะรู้ดีว่า พระเจ้าทรงใช้ให้ท่านทำอะไรบ้าง และรู้ว่าพระเจ้าทรงเตือนล่วงหน้าว่า ท่านจะต้องได้รับทุกข์เข็ญเพื่อพระนามของพระองค์อย่างไร

เอเฟซัส 3:3-4
ท่านเปาโลได้กล่าวถึงความลี้ลับที่พระเจ้าทรงเผยให้ท่านทราบใน 1:9-10, 2:11-22 นั่นคือ การที่คนทุกชาติพร้อมกับยิวจะเป็นผู้เข้ามีส่วนในอาณาจักรของพระเจ้าเท่า ๆ กัน น่าแปลกที่ความลี้ลับอันนี้เป็นสิ่งที่พวกเราอาจไม่ได้รู้สึกลึกซึ้ง ไ่ม่เข้าใจเท่าไร เพราะพระเจ้าทรงอวยพระพรที่ให้พวกเราได้มีโอกาสพบพระองค์โดยที่ไม่ได้ต้องต่อสู้กับเรื่องเชื้อชาติเหมือนในสมัยก่อน

เอเฟซัส 3:5
ลักษณะที่คนยิวและคนต่างชาติที่เชื่อในพระเยซูจะได้มีฐานะ สภาพ มรดกเท่าๆ กันอย่างที่กล่าวมา ไม่ได้เป็นสิ่งที่ใคร ๆ คาดหวัง ไม่มีใครคิดว่าพระเจ้าจะทรงวางแผนให้เป็นอย่างนี้ เพราะยิวเองคิดเสมอว่า พวกเขาเป็นคนที่พระเจ้าทรงเลือกไว้แม้มาเป็นผู้เชื่อในพระเจ้าแล้ว ความแตกต่างของเชื้อชาติก็ยังเป็นประเด็นที่แรงเสมอ จำได้ไหมพระเจ้าทรงเริ่มบอกกับเปโตรตอนที่เขาในภวังค์ ได้เห็นสัตว์ไม่สะอาดมากมายแล้วพระเจ้าทรงสั่งให้กิน

เอเฟซัส 3:6
ต่อจากนี้เป็นต้นไป ไม่มีการแบ่งเชื้อชาติในแผ่นดินของพระเจ้า คนต่างชาติก็เป็นผู้มีส่วนร่วมในพระสัญญาแห่งความรอดที่พระเจ้าประทานให้ เมื่อพวกเขาเชื่อ เมื่อท่านเปาโลไปประกาศในเอเฟซัสนั้น ตอนแรกท่านก็ไปประกาศในศาลาธรรม แต่แล้วยิวขัดขวาง ท่านก็ออกไปสอนในสถานที่ของทีรันนัส ซึ่งมีคนทั้งยิวและคนต่างชาติ ปนกันอยู่ พวกเขาได้รับข่าวประเสริฐแบบเดียวกันและต้องเชื่อเหมือน ๆ กัน (กิจการ19)

เอเฟซัส 3:7
ท่านเปาโลเองยอมรับชัดเจนว่า ท่านมาเป็นผู้รับใช้เพื่อประกาศข่าวประเสริฐนี้ก็ด้วยพระคุณพระเจ้า เพราะท่านเองรู้ดีว่า ท่านเป็นคนที่เคยข่มเหงยิวที่เชื่อพระเจ้าอย่างรุนแรง ไม่น่าจะเป็นคนที่พระเจ้าจะทรงใช้ให้ประกาศพระนาม สิ่งที่ไม่คาดฝันนั้น พระเจ้าทรงมีไว้ให้กับคนที่ยอมจำนนต่อพระองค์อย่างเปาโล อย่างที่ท่านเขียนไว้ใน 1 โครินธ์ 2:9 สิ่งที่ตาไม่เห็น หูไม่ได้ยินคือสิ่งที่ทรงเตรียมให้คนที่รักพระองค์

 เอเฟซัส 3:8
เราทั้งหลายทุกคนที่มาพบพระเจ้าแล้ว จะได้รับพระคุณอย่างท่านเปาโลด้วย คือได้โอกาสประกาศให้เพื่อน ๆ พี่น้องของเราได้รู้ถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าที่ไม่อาจเข้าใจได้หมดเราต้องไม่คิดว่า เรารู้เรื่องพระเจ้าหมดแล้ว เพราะความรู้ในพระเจ้านั้นมีมากมาย ที่เรายังไม่อาจเข้าใจได้หมดในชีวิตนี้เสียด้วยซ้ำ สิ่งที่พระเจ้าทรงอนุญาตให้เราเข้าใจ คือสิ่งที่ต้องรักษาไว้และให้เกิดผล และแสวงหาต่อไป

เอเฟซัส 3:9
ความลี้ลับที่ว่า ทั้งยิว คนต่างชาติได้รับความรอดผ่านพระเยซูคริสต์เหมือนกัน (ข้อ 3-6) เป็นเรื่องที่ท่านเปาโลบอกว่า พระเจ้าไม่ได้ทรงเปิดเผยให้ทราบมาก่อน เมื่อเราย้อนกลับไปดูในพระคัมภีร์เดิม เราก็ไม่ได้พบเรื่องนี้จริง ๆ อย่างที่ท่านเปาโลว่า แม้จะมีคำของพระเจ้าที่บอกว่าพระองค์ทรงให้อับราฮัมเป็นพรกับคนต่างชาติทั่วโลก แต่ก็ไม่ได้พูดอย่างเฉพาะเจาะจงถึงคริสตจักร หรือพระกายพระคริสต์ ฯลฯ

เอเฟซัส 3:10-11
จากคำของท่านเปาโลที่กล่าวถึงเทพต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นทูตสวรรค์ หรือ ทูตที่อยู่ตรงข้ามกับพระเจ้า พวกเขาก็ไม่ได้รู้เรื่องนี้มาก่อนเช่นกัน คริสตจักรเป็นความล้ำลึกที่ไม่มีใครคาดคิด แม้กระทั่งในหมู่ผู้เชื่อ ตรงนี้ทำให้เรารู้ว่าพวกเขาไม่ได้เป็นผู้รู้ทุกสิ่งทุกอย่าง พวกเขารู้บางอย่างที่พระเจ้าทรงให้เขารู้ พระดำริที่เป็นนิรันดร์ที่พระองค์ทรงดำริมานานแล้ว และเปิดเผยผ่านพระเยซูคริสต์!

เอเฟซัส 3:12
การที่ใครคนหนึ่งจะเข้ามาอธิษฐาน มาเข้าเฝ้า มาทูลขอความช่วยเหลือจากพระเจ้านั้น ถ้าเรามีใจหวาดกลัว และไม่มั่นใจที่จะทูลต่อพระองค์ ก็จะไม่ได้รับอะไรเลย เพราะคนที่มาหาพระเจ้าจะต้องเชื่อว่าพระองค์ทรงฤทธิ์ ทรงยิ่งใหญ่เหนือทุกสิ่ง ความกล้าและความมั่นใจพร้อมกับความเชื่อจึงทำให้พี่น้องคริสเตียน แตกต่างกัน

เอเฟซัส 3:13 
เพราะความกล้าหาญ และมั่นใจด้วยความเชื่อที่บัดนี้พี่น้องคริสเตียนสามารถเข้าหาพระเจ้าด้วยตนเอง ท่านเปาโลขอให้พี่น้องไม่ท้อใจเมื่อเห็นผู้รับใช้ต้องลำบากเพื่อพระกายพระคริสต์ ท่านต้องเข้าคุกไม่ใช่เพราะทำผิด แต่เป็นเพราะประกาศพระนาม ทำให้คนเป็นอันมากได้กลับมาเชื่อพระเจ้า ความทุกข์ยากแลกกับแผ่นดินของพระเจ้าขยายกว้างไกล อ่าน ..ฟีลิปปี 1:12-13

เอเฟซัส 3:14-15
หลังจากที่ได้อธิบายเรื่องความลี้ลับที่ถูกปิดบังมานาน คือคริสตจักร ตอนนี้ท่านเปาโลได้หันมาอธิษฐาน ท่านถ่อมตัวลงด้วยการคุกเข่าลง ต่อพระผู้ทรงเป็นต้นของทุกครอบครัวในโลกและในสวรรค์ ซึ่งท่านเปาโลให้เราได้รู้ว่า ทุกครอบครัวสมควรจะได้มีคุณพ่อเหมือนพระบิดาไม่ว่าจะเป็นครอบครัวในอดีตหรือปัจจุบันในภาษากรีกคำว่า พ่อ คือ พาเทรา ส่วนคำว่าครอบครัวคือ พาทริอา

เอเฟซัส 3:16
ท่านเปาโลเริ่มต้นคำอธิษฐานจากพระสิริมั่งคั่งของพระเจ้า พระสิรินี้คือ ศักดิ์ศรีตระการยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ท่านเข้าไปขอแบ่งสิ่งดีจากพระสิรินี้ เพื่อพี่น้องจะมีความมั่นคงในชีวิต ชีวิตภายในคือ ชีวิตฝ่ายวิญญาณของคน ๆ หนึ่ง ท่านเปาโลขอให้พวกเขาได้เข้มแข็งฝ่ายวิญญาณ ไม่ใช้ความพยายามสุดกำลังของมนุษย์แต่ด้วยฤทธิ์แห่งพระวิญญาณ! ​ซึ่งจะทำให้ได้ความเข้มแข็งที่ถาวร ยืนนาน

เอเฟซัส 3:17
เมื่อมีความมั่นคงภายใจ หรือชีวิตฝ่ายวิญญาณยืนมั่น ไม่หลงไปง่าย ๆ ไม่ถูกพัดไปด้วยเล่ห์กลของมนุษย์ ท่านเปาโลก็ขอต่อไปให้พี่น้องได้หยั่งรากลึกในชีวิต และมั่นคงในความรักที่มีต่อพระเจ้าและพี่น้อง …​ซึ่งนี่จะเป็นพื้นฐานของสิ่งที่ท่านจะขอพระเจ้าต่อไป (โคโลสี 2:7 กล่าวทำนองเดียวกันว่า หยั่งรากและก่อร่างสร้างขึ้นในพระองค์ มั่นคงขึ้นตามความเชื่อ)

เอเฟซัส 3:18
ในจดหมายฝากไปยังเอเฟซัส ท่านเปาโลกล่าวถึงกลุ่มวิสุทธิชนบ่อย ๆ ซึ่งอ่านไปก็เข้าใจว่าท่านหมายถึงพี่น้องทุกคนที่เชื่อ ที่บอกว่าเป็นวิสุทธิชน ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาใหญ่โตเป็นคนดี เที่ยงธรรมกว่าผู้อื่น แต่ท่านมีความหมายถึงพี่น้องที่เชื่อในพระเจ้าเหมือนกัน ซึ่งควรจะสัมผัสถึงมิติด้านต่าง ๆของความรักของพระเจ้าที่มีต่อเราทุกคน อีกข้อที่พูดคล้ายกันมากคือ โรม 8:38-39

เอเฟซัส 3:19
คำแห่งชีวิตจากพระคัมภีร์นี้ เป็นคำที่สร้างกำลังใจให้กับคนอ่าน ไม่เหมือนคำสอนอื่น ๆ ที่สั่งให้เราทำความดีอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ความเชื่อในพระเจ้าได้ย้ำเน้นถึงความรักระหว่าง พระเจ้า ตัวเราและคนอื่น ในสมัยของท่านเปาโล เราจะพบทั้งศาสนายิวศาสนาชาวต่างชาติที่ต่างมีกฎเกณฑ์ต่าง ๆ มากมายไม่ได้สนใจความรัก ท่านเปาโลต้องการให้พี่น้องได้รู้ว่า เมื่อเป็นคนของพระเจ้า ความรักของพระองค์ จะเติมเต็มในตัวเรา ทำให้เราก้าวต่อไปได้

เอเฟซัส 3:20
นอกจากความรักที่เต็มล้นแล้ว พระเจ้ายังทรงฤทธิ์ที่จะทำการในชีวิต เป็นชีวิตที่ดำเนินไปด้วยการช่วยเหลือของพระเจ้า เป็นชีวิตที่มีการอัศจรรย์เกิดขึ้นทุกวัน (ซึ่งเราเองจะต้องรู้จักสังเกตด้วยว่าพระเจ้าทรงทำการอะไรในชีวิตของเราในแต่ละวัน)ใครก็ตามที่ได้ใส่ใจมองดูในชีวิตว่า พระเจ้าทรงทำอะไรให้บ้างในแต่ละวัน จะมีความสุขและความมั่นใจ ความเชื่อก็เพิ่มพูน อย่าลืมว่า “พระดำริในชีวิตนั้นยิ่งใหญ่นัก” สดุดี 139:17

เอเฟซัส 3:21
นี่เป็นคำสรรเสริญพระเจ้าสั้น ๆ แต่ยาวนานตลอดไป หัวใจของท่านเปาโลเต็มด้วยการสรรเสริญยกย่องพระเจ้า พระสิริของพระเจ้าหรือศักดิ์ศรีของพระองค์จะปรากฏชัดในพระกายคือคริสตจักรและในองค์พระเยซูคริสต์ ใช่แล้ว คนทั้งหลายควรจะเห็นพระเกียรติของพระเจ้าในชีวิตคริสเตียนในคริสตจักร และเป็นสิ่งที่จะต้องเห็นตลอดไปไม่มีวันจบสิ้น สดุดี 33:11 บอกว่า แผนการของพระเจ้ายั่งยืน พระประสงค์ดำรงทุกชั่วอายุ!

พระคำเชื่อมโยง

1* โคโลสี 1:24
2* กิจการ 9:15;โคโลสี 1:25-27; 1 ทิโมธี 1:11
3* กิจการ 22:17,21; 26:16;โรม 11:25; 16:25; เอเฟซัส 3:4,9; 6:19; โคโลสี 1:26; 4:3
4* โคโลสี 4:3; 1โครินธ์ 4:1
5* ยูดา 1:17
6* กาลาเทีย 3:28-29
7* โรม 15:16,18; 1:5

8* 1โครินธ์ 15:9; โคโลสี 1:27; 2:2-3
9* ยอห์น 1:3;โคโลสี 1:16; ฮีบรู 1:2
10* 1 เปโตร 1:12; 1 ทิโมธี 3:16; เอเฟซัส 1:21; 6:12; โคโลสี 1:16; 2:10, 15
11* เอเฟซัส 1:4, 11
12* 2 โครินธ์ ฮีบรู ยอห์น
13* ฟีลิปปี 1:14; 2 โครินธ์ 1:6
14* เอเฟซัส 1:315* เอเฟซัส 1:10

16* เอเฟซัส 1:7; 2:4; ฟีลิปปี 4:19; 1โครินธ์ 16:13; ฟีลิปปี 4:13; โคโลสี 1:11;โรม 7:22
17* ยอห์น 14:23; โรม 8:9; 2 โครินธ์ 13:5; เอเฟซัส 2:22;โคโลสี 1:23
18* เอเฟซัส 1:18; โรม 8:39
19* เอเฟซัส 1:23
20* โรม 16:25; 1โครินธ์ 2:9; โคโลสี 1:29
21* โรม 11:36

เอเฟซัส 2 มาเป็นหนึ่งเดียวกัน

เอเฟซัส 2:1-2
ถึงแม้ว่าท่านได้ตายแล้วเพราะทำการล่วงละเมิดและทำบาปสารพัด ซึ่งแต่ก่อน ท่านเคยเดินตามทางของโลก และทางของเทพผู้ครองในฟ้าอากาศ ซึ่งเป็นวิญญาณที่กำลังทำการในชีวิตของคนที่ไม่เชื่อฟังพระเจ้า

เอเฟซัส 2:3
แต่ก่อนเราทุกคนก็อยู่ท่ามกลางพวกเขาโดยใช้ชีวิตตอบสนองความต้องการฝ่ายเนื้อหนังและความคิดของตนเหมือนกับคนเหล่านั้น โดยกำเนิดแล้ว เราจึงเป็นลูกหลานที่อยู่ภายใต้พระพิโรธเหมือนกับคนอื่น ๆ
เอเฟซัส 2:4
แต่พระเจ้า!พระองค์ทรงเต็มด้วยพระเมตตาและเป็นเพราะความรักยิ่งใหญ่ที่ทรงมีต่อเรา
เอเฟซัส 2:5
พระองค์ทำให้เราได้มีชีวิตขึ้นมาใหม่กับพระคริสต์ แม้ว่าเราได้ตายไปแล้วเพราะการล่วงละเมิด ท่านจึงได้รอดด้วยพระคุณ

เอเฟซัส 2:6-7
พระองค์ทรงให้เราคืนชีพขึ้นมาพร้อมกับพระองค์และให้เรานั่งในสวรรคสถานกับพระเยซูคริสต์ เพื่อว่าในยุคที่กำลังมาถึงพระองค์จะทรงแสดง พระคุณที่มั่งคั่งอนันต์ซึ่งทรงกรุณาต่อเราในพระเยซูคริสต์
เอเฟซัส 2:8-9
เพราะว่าท่านได้รับความรอดโดยพระคุณซึ่งเกิดจากความเชื่อ ความรอดนี้ไม่ได้รับมาด้วยการกระทำของท่านเอง แต่พระเจ้าประทานให้ ไม่ได้เป็นความรอดที่เกิดจากการประพฤติตน เพื่อจะไม่มีใครเอามาโอ้อวดได้

เอเฟซัส 2:10
เพราะเราเป็นผลงานชิ้นเอก ที่พระเจ้าทรงสร้างในพระเยซูคริสต์เพื่อทำการดีที่พระเจ้าทรงเตรียมล่วงหน้าไว้ให้เราได้ทำ

เอเฟซัส 2:11-12a
ดังนั้น จงระลึกว่า แต่ก่อนท่านเป็นคนต่างชาติโดยกำเนิดและถูกพวกที่ “เข้าสุหนัต” (ซึ่งทำบนกายโดยมือมนุษย์)เรียกว่า “พวกไม่เข้าสุหนัต” จงระลึกด้วยว่า ในเวลานั้น พวกท่านถูกแยกจากพระคริสต์ ไม่เป็นประชากรในอิสราเอล
เอเฟซัส 2:12b-13
แต่เป็นคนต่างชาตินอกพันธสัญญาที่ทรงสัญญาไว้ ท่านไม่มีความหวังและท่านอยู่ในโลกอย่างไร้พระเจ้า แต่ในพระเยซูคริสต์ ท่านที่เคยอยู่ห่างไกล เวลานี้กลับได้เข้ามาใกล้แล้วโดยพระโลหิตของพระคริสต์

เอเฟซัส 2:14
เพราะพระองค์เองทรงเป็นสันติสุขของเรา ทรงเป็นผู้ที่ทำให้สองฝ่ายกลับมาเป็นหนึ่งเดียวกันและทรงทำลายกำแพงแห่งความเกลียดชังที่กั้นสองฝ่ายนี้ลง
เอเฟซัส 2:15
โดยทรงล้มเลิกบัญญัติทั้งสิ้นของยิวซึ่งเต็มด้วยข้อบังคับสารพัด เพื่อให้คนทั้งสองฝ่ายได้ถูกสร้างขึ้นเป็นคนใหม่คนเดียวในพระองค์ ทำให้เกิดสันติสุข

เอเฟซัส 2:16
และเพื่อจะทำให้เราทั้งสองฝ่ายคืนดีกับพระเจ้าในพระกายเดียว ผ่านไม้กางเขนเป็นการทำลายความเป็นศัตรูกันให้หมดไป
เอเฟซัส 2:17-18
เมื่อพระองค์เสด็จมา ประกาศสันติสุขให้กับผู้ที่อยู่ไกลและอยู่ใกล้โดยผ่านพระองค์ เราทั้งสองฝ่ายสามารถเข้าถึงพระบิดาได้โดยพระวิญญาณองค์เดียวกัน

เอเฟซัส 2:19-20
ดังนั้น ท่านจึงไม่ได้เป็นคนต่างด้าวหรือคนแปลกหน้าอีกต่อไป แต่เป็นประชากรของพระเจ้าพร้อมกับวิสุทธิชนและเป็นสมาชิกในครอบครัวของพระเจ้า ซึ่งมีรากฐานอยู่บนอัครทูต ผู้กล่าวพระคำและพระเยซูคริสต์ทรงเป็นศิลามุมเอก
เอเฟซัส 2:21-22
ในพระองค์ อาคารทั้งหลังถูกสร้างให้เชื่อมต่อกันสนิท และประกอบขึ้นเป็นพระวิหารบริสุทธิ์แด่องค์พระผู้เป็นเจ้าและในพระองค์ พวกท่านก็กำลังถูกสร้างขึ้นเชื่อมโยงกันให้เป็นที่สถิตของพระเจ้าโดยพระวิญญาณของพระองค์


เอเฟซัส 2:1-2
พระคำในบทที่หนึ่งจบด้วยความยิ่งใหญ่อลังการขององค์พระเยซูคริสต์ พระองค์ได้รับการแต่งตั้งให้ทรงเป็นศีรษะเหนือทุกสิ่งเพื่อคริสตจักร. แต่เมื่อหันมามองมนุษย์เราที่ไม่มีพระเจ้า จึงพบว่า พวกเราคือคนที่ตายไปแล้ว เพราะทำบาปสารพัด เป็นลูกหลานของคนบาป แม้ว่าจะเกิดในครอบครัวของผู้เชื่อ ต่างก็เป็นแกะที่หลงหายไป ไม่มีใครที่เป็นคนปราศจากบาป เป็นเหมือนคนที่พลัดหลงทางเร่ร่อนไปไม่รู้จุดหมาย ไม่รู้ว่าที่สุดท้ายคือที่ไหนทุกคนเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า ยังไม่พอ พวกเรายังถูกชักจูงให้หลง เดินตามวิญญาณที่เป็นศัตรูต่อต้านพระเจ้า วิญญาณนี้ ทำงานอย่างหนัก ขะมักเขม้นเพื่อที่จะให้ชีวิตของทุกคนหลุดจากพระเจ้าไป


เอเฟซัส 2:3
ท่านเปาโลชี้ให้เห็นว่า ชีวิตของคนที่ไม่มีพระเจ้านั้นก็เหมือน ๆ กันคือ ถูกมารชักจูง ถูกเนื้อหนังของตนเองเรียกร้องให้เราทำตามความต้องการของมัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของร่างกาย หรือวิญญาณไม่ได้ตามพระเจ้า สภาพของชีวิตที่อยู่ใต้พระพิโรธของพระเจ้านั้นน่ากลัว และไม่มีใครต้องการอยู่ในสภาพดังกล่าวแต่ความที่มนุษย์เราต้องการทำตามใจตัวเองเราจึงเป็นเหมือนคนตายที่เดินได้ไปมาในโลกนี้ 

เอเฟซัส 2:4
ในขณะที่เรายังเป็นคนบาป ถูกมารชักจูงให้หลงและยังหลงไปด้วยความต้องการของตนเอง ขณะที่เราทุกคนอยู่ใต้พระพิโรธของพระเจ้า ไม่สามารถช่วยตนเองให้พ้นจากคำแช่งสาปของบาปคือความตาย ด้วยพระเมตตาความรักยิ่งใหญ่ของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์ซึ่งพระองค์ทรงสร้าง(คือมนุษย์ทุกคนที่ทรงอนุญาตให้เกิดมา) พระองค์ทรงทำสิ่งที่ไม่มีใครทำได้ .. ถ้าพระเจ้าไม่ทรงเข้ามาแทรกแซง เราทุกคนจะพินาศสิ้น

เอเฟซัส 2:5
สิ่งที่ไม่มีใครทำให้ได้คือ การทำให้คนที่ตายไปแล้วมีชีวิตขึ้นมาใหม่ … นั่นคือให้ฟื้นคืนชีพฝ่ายวิญญาณนั่นเอง และการมีชีวิตใหม่ครั้งนี้ ไม่ได้อยู่คนเดียวอีกต่อไป แต่เป็นการอยู่กับพระคริสต์พระองค์ทรงปลุกเราขึ้นมาจากความตายฝ่ายวิญญาณด้วยพระคุณที่มากมาย สูงส่ง พระคุณที่ไม่มีมนุษย์คนใดสามารถตอบแทนพระคุณนั้น ทุกคนที่ได้รับการมีชีวิตใหม่ต่างจากชีวิตเดิมที่ติดตามมาร รู้ดีว่าพระคุณพระเจ้ายิ่งใหญ่เพียงไร

เอเฟซัส 2:6-7
เป็นไปได้หรือ? แต่พระเจ้าจะทรงให้เราได้ทั้งการคืนชีพจากความตายเพราะการล่วงละเมิด เมื่อเป็นขึ้นมาแล้ว ยังจะให้เราได้นั่งในสวรรค์กับพระเยซูด้วย … นี่มันอะไรกัน? เหตุใดพระเจ้าประทานให้เรามากเพียงนี้? จะมีใครบ้างที่มอบชีวิตให้กับคนที่เคยเป็นศัตรู และยังมอบสิ่งดี ๆที่สุดซึ่งไม่มีใครให้ได้ นี่บอกเราว่า เรามีที่อยู่ใหม่ในขณะที่เราติดตามพระองค์ในโลกนี้ เราก็เป็นชาวสวรรค์ด้วยในเวลาเดียวกัน (ฟีลิปปี 3:20)
ท่านเปาโลบอกเราว่า ในอดีต เราเป็นอย่างไร ในปัจจุบัน พระเจ้าทรงช่วยเราอย่างไร และในยุคที่กำลังมาถึง พระเจ้าก็ยังจะไม่ทรงยับยั้งพระคุณให้กับผู้ที่อยู่กับพระองค์นี่เป็นพระเกียรติและศักดิ์ศรียิ่งใหญ่ของพระเจ้าที่ทรงแสดงให้กับมนุษย์ พระคุณนี้มากล้น ไม่มีที่สิ้นสุด ไม่อาจนับได้ ยากที่เราจะเข้าใจถึงพระคุณดังกล่าว เพราะสมองของเรา ความเข้าใจของเรานั้นยังไม่อาจรับและเข้าใจได้หมด

เอเฟซัส 2:8-9
ความรอดที่พระเจ้าประทานให้เรานั้นไม่ได้เกิดจากการทำดีของเรา (การทำดีนั้นเป็นสิ่งที่มีเกียรติ แต่ไม่สามารถเป็นตัวแลกเปลี่ยนความรอดมาได้) ความเท่าเทียมกันของมนุษย์เราอยู่ตรงนี้ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม สูงส่ง ต่ำต้อยแค่ไหนแต่ละคนจะได้รับความรอดจากพระเจ้าด้วยเงื่อนไขอันเดียวกัน พระคุณคือ ความโปรดปรานที่พระเจ้าประทานให้กับทั้งคนดีและคนชั่ว ไม่อาจซื้อได้ และไม่มีใครสมควรได้รับนอกจากพระเยซู!

เอเฟซัส 2:10
ความหมายคือ เราเป็นผลงานศิลปะ เหมือนกับว่าเราเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงแกะสลักให้งดงาม ทรงมีพระดำริสำหรับชีวิตของมนุษย์ทุกคนให้เขาได้ทำสิ่งดีงดงามในโลกนี้ งานดีดังกล่าวเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้ให้ ผู้ที่อยู่ในพระคริสต์จะได้ทำสิ่งดีที่เหมาะสมกับชีวิตของเขา นี่เป็นเหตุให้เรามีของประทานหลาย ๆ อย่างในคริสตจักร ให้ทุกคนได้มีโอกาสทำการดีที่ทั้งเหมาะกับเราและเป็นการเตรียมล่วงหน้าจากพระองค์

เอเฟซัส 2:11-12a
ตอนนี้ท่านเปาโลหันมาพูดเรื่องการเป็นหนึ่งเดียวกันของผู้เชื่อ แม้ว่าคนที่ท่านเขียนจดหมายถึง มีหลายคนที่ไม่ได้เข้าสุหนัตแบบชาวยิว แต่ก็มีคนยิวที่ใช้เรื่องนี้เอามาดูแคลนผู้เชื่อใหม่ พวกเขามองเห็นว่าการทำพิธีเข้าสุหนัตสำคัญยิ่งกว่าความรอดที่พระเจ้าประทานเสียอีกพี่น้องต่างชาติเหล่านี้ถูกกัน และถูกตราหน้าว่าเป็นชนต่างชาติ ไม่ใช่คนในครอบครัวของพระเจ้า ท่านจึงย้ำว่าความคิดเช่นนี้มาจากมนุษย์ไม่ใช่พระเจ้า

เอเฟซัส 2:12b-13
เอาล่ะ แม้ว่าพวกเขาจะเป็นคนนอกพันธสัญญาของบรรพบุรุษอย่างเช่นอับราฮัม โมเสส ดาวิด แต่ท่านเปาโลได้ทำให้พวกเขาเข้าใจว่า การแยกกันระหว่างคนยิวกับคนต่างชาติในเรื่องการเข้าสุหนัตนั้น ไม่มีผลต่อไป! ทั้งนี้เป็นเพราะว่า พระเยซูทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเพื่อพวกเขา พวกเขาจึงเป็นคนของพระเจ้าผ่านความเชื่อไปแล้วคนที่เคยอยู่ไกล ได้เข้ามาใกล้แล้ว พวกเขามีศักดิ์ศรีเป็นลูกของพระเจ้าเหมือนกับคนยิว

เอเฟซัส 2:14
กำแพงที่กั้นสองฝ่ายคือ ความเกลียดชังที่คนยิวมีต่อคนต่างชาติและคนต่างชาติมีต่อคนยิว แต่คนใดที่ได้เชื่อในพระเยซูแล้ว ความเกลียดชังที่มีต่อกันก็ถูกทำลายลงไป คนที่เคยเกลียดกันอย่างกินเลือดกินเนื้อก็กลายเป็นคนในครอบครัวของพระเจ้าเหมือนกัน ผู้ที่อยู่คนละฝั่งของกำแพงก็ได้มาอยู่ในบริเวณเดียวกันโดยพระเยซูผู้ทรงเป็นสันติสุข ซึ่งตอนนี้โลกต้องการเหลือเกิน จะยอมรับหรือไม่? ทุกคนในโลกจึงต้องการพระคริสต์!!

เอเฟซัส 2:16
ความโกรธแค้นแบบต่อเนื่องมาจากรุ่นสู่รุ่นที่เราพบเห็นในโลกทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นคนเชื้อชาติใดยังอยู่เต็มโลก แม้กระทั่งคนในชาติเดียวกันก็ถูกสร้างกระแสให้เกิดความเกลียดชังกัน พระประสงค์ของพระเจ้าคือให้มนุษย์ได้เป็นพี่น้องหนึ่งเดียวกัน เป็นครอบครัวเดียวกันในพระคริสต์เราจึงเห็นได้ว่า เมื่อคนที่มีความเชื่อในพระเจ้าได้พบเจอกัน แม้ในสังคมบอกว่า สองเชื้อชาตินี้เข้ากันไม่ได้ แต่พวกเขาก็เป็นหนึ่งเดียวในพระคริสต์

เอเฟซัส 2:17-18
ท่านเปาโลยืนยันว่า พระเยซูเสด็จมาประกาศสันติสุข ที่เป็นเช่นนั้นเพราะพระเยซูทรงเป็นราชาแห่สันติสุข อิสยาห์ 9:6 และทรงสัญญาจะให้สันติแก่คนของพระองค์ เป็นสันติที่ไม่เหมือนโลกให้ อีกประการหนึ่ง ไม่ว่าเราจะเป็นคนชาติไหนในโลก เรามาถึงพระบิดาได้โดยเชื่อวางใจในพระเยซู ซึ่งทรงมอบพระวิญญาณให้กับเราเป็นผู้ประทับอยู่ด้วยตลอดชีวิตและนำชีวิตเราเข้าสนิทกับองค์พระบิดา

เอเฟซัส 2:19-20
บัดนี้ คนต่างชาติผู้ที่เชื่อกับยิวที่เชื่อ ก็เป็นประชากรในอาณาจักรเดียวกัน ยิ่งกว่านั้นยังเป็นสมาชิกในครอบครัวของพระเจ้าด้วย การเป็นประชากรของพระองค์ คือมีสิทธิ หน้าที่ และประโยชน์ที่ได้รับอย่างที่เจ้าอาณาจักรนั้นกำหนดไว้ การเป็นคนในครอบครัวจะได้มีความสัมพันธ์ สิทธิ หน้าที่และสิ่งดี ๆ จากครอบครัว ซึ่งในที่นี้บอกว่า มีรากฐานจากอัครทูตและพระเยซูคริสต์ทรงเป็นผู้แรก เป็นเสาเอกของครอบครัวนี้

เอเฟซัส 2:21-22
ผู้เชื่อทุกคนเป็นประชากร ครอบครัวของพระเจ้าและยังเป็นเหมือนส่วนต่าง ๆ ในอาคารที่มีพระเยซูเป็นเสาเอกด้วย ท่านเปาโลได้เปรียบเทียบชุมชนผู้เชื่อเป็นสามอย่างนี้ และภาพของอาคารทำให้เรารู้ว่า ทุกคนเชื่อมต่อกันอย่างสนิท เป็นที่สถิตขององค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ เราจึงเห็นว่าการสถิตอยู่ของพระวิญญาณมิใช่แค่ในร่างกายของแต่ละคนเท่านั้น แต่พระองค์สถิตในหมู่ผู้เชื่อที่เป็นส่วนของกันและกัน เชื่อมโยงกันสนิท

พระคำเชื่อมโยง

เอเฟซัส 2
1* โคโลสี 2:13; 1:21; เอเฟซัส 4:18 ; ลูกา 15:24
2* เอเฟซัส 4:17, 22; 5:8; โคโลสี 3:7; โรม 11:30; 1โครินธ์ 6:11; เอเฟซัส 6:12; วิวรณ์ 9:11; ยอห์น 12:31; เอเฟซัส 5:6; 1 เปโตร 1:14
3* กาลาเทีย 5:16; สดุดี 51:5; โรม 5:12; 2 เปโตร 2:14
4* เอเฟซัส 2:7; ทิตัส 3:5; โรม 2:4; ยอห์น 3:16
5* เอเฟซัส 2:1; โรม 5:6, 8,10; โคโลสี 2:12-13; ยอห์น 14:19;
วิวรณ์ 20:4; เอเฟซัส 2:8; กิจการ 15:11
6* เอเฟซัส 1:20
7* เอเฟซัส 2:4; ทิตัส 3:4
8* เอเฟซัส 2:5; 1 เปโตร 1:5; โรม 4:16; 2 โครินธ์ 3:5; ยอห์น 4:10; ฮีบรู 6:4

9* 2 ทิโมธี 1:9; ทิตัส 3:5;โรม 3:20; 1โครินธ์ 1:29; ผู้วินิจฉัย 7:2
10* เฉลยธรรมบัญญัติ 32:6, 15; สดุดี 100:3; เอเฟซัส 3:9; 4:24; โคโลสี 3:10; เอเฟซัส 4:24; 1:4;
โคโลสี 1:10
11* โรม 2:26, 28; โคโลสี 2:11,13
12* 1โครินธ์ 12:2; เอเฟซัส 5:8; โคโลสี 3:7; เอเฟซัส 4:18; โคโลสี 1:21; เอเสเคียล 14:5; กาลาเทีย 2:15; 4:8; โรม 9:4; 1 เธสะโลนิกา 4:13; เอเฟซัส 1:18
13* เอเฟซัส 2:17;กิจการ 2:39; โคโลสี 1:20;โรม 3:25
14* สดุดี 72:7; มีคาห์ 5:5; เศคาริยาห์ 9:10; โคโลสี 3:15; ลูกา 2:14; กาลาเทีย 3:28; โคโลสี 1:21-22;โรม 7:4

15* โคโลสี 2:14,20; โรม 6:4
16* โคโลสี 1:20-22; 1โครินธ์ 12:13
17* อิสยาห์ 57:19; เอเฟซัส 2:13; เฉลยธรรมบัญญัติ 4:7; สดุดี 148:14
18* ยอห์น 14:6; เอเฟซัส 3:12; ยอห์น 10:7,9; โรม 5:2; เอเฟซัส 4:4; 1โครินธ์ 12:13
19* เอเฟซัส 2:12; ฮีบรู 11:13; 13:14; ฟีลิปปี 3:20; ฮีบรู 12:22-23; กาลาเทีย 6:10
20* เยเรมีย์ 12:16; 1 โครินธ์ 3:9; มัทธิว 16:18; วิวรณ์ 21:14; 1โครินธ์ 3:11; สดุดี 118:22; อิสยาห์ 28:16
21* เอเฟซัส 4:15-16; 1 โครินธ์ 3:16-17
22* 1 เปโตร 2:5; เอเฟซัส 3:17; 2 โครินธ์ 6:16; 1 ทิโมธี 3:15


เอเฟซัส 1 องค์ผู้สูงสุด

เอเฟซัส 1:1
ข้าเปาโล ผู้เป็นอัครทูตของพระเยซูคริสต์ตามพระดำริของพระเจ้า ถึงวิสุทธิชนของพระเจ้าในเมืองเอเฟซัส ซึ่งเป็นผู้ที่ซื่อสัตย์ในพระเยซูคริสต์
เอเฟซัส 1:2
ขอให้พระคุณและสันติสุขจากพระเจ้าพระบิดาของเรา และองค์พระเยซูคริสต์เจ้าดำรงอยู่ในท่านทั้งหลายด้วยเถิด

เอเฟซัส 1:3
ขอถวายสรรเสริญแด่พระเจ้าผู้ทรงเป็นพระบิดาขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ผู้ประทานพระพรฝ่ายวิญญาณทุกอย่างจากสวรรค์สถาน ให้แก่พวกเราผู้อยู่ในพระคริสต์
เอเฟซัส 1:4
เหตุว่า พระองค์ได้ทรงเลือกเราผู้อยู่ในพระคริสต์ ไว้ตั้งแต่ก่อนทรงสร้างโลก เพื่อพวกเราจะเป็นผู้ที่บริสุทธิ์ ไร้ที่ติในสายพระเนตร

เอเฟซัส 1:5
พระองค์ทรงกำหนดเราไว้ล่วงหน้าด้วยความรัก เพื่อจะรับเราเป็นบุตรของพระองค์ ผ่านพระเยซูคริสต์ตามพระดำริและความโปรดปรานของพระองค์

เอเฟซัส 1:6
ถวายสรรเสริญแด่พระเจ้าเนื่องจากพระคุณที่เต็มด้วยพระสิริซึ่งประทานแก่เราโดยไม่คิดราคาใด ๆ ผ่านพระบุตรที่พระองค์ทรงรัก
เอเฟซัส 1:7
ในพระองค์เราได้รับการไถ่บาปโดยพระโลหิตของพระองค์ ได้รับการยกโทษบาปทั้งสิ้นตามพระคุณอันมั่งคั่งของพระองค์
เอเฟซัส 1:8-9
ซึ่งพระองค์ประทานแก่เราอย่างเหลือเฟือด้วยสติปัญญาและความหยั่งรู้ทั้งสิ้น พระองค์ทรงทำให้เรารู้ถึงความลี้ลับของพระดำริตามความโปรดปรานที่ทรงมุ่งหมายในพระคริสต์

เอเฟซัส 1:10
และเมื่อถึงเวลาที่ทรงกำหนดไว้นั้นพระเจ้าจะทรงรวบรวมสรรพสิ่งทั้งในสวรรค์และบนโลก ให้มาสยบอยู่ใต้องค์พระคริสต์
เอเฟซัส 1:11
ในพระองค์ พระเจ้าได้ทรงเลือกเราให้รับมรดกโดยทรงกำหนดเราล่วงหน้าตามพระประสงค์ของพระองค์ผู้ทรงให้ทุกสิ่งบรรลุผลตามพระดำริของพระองค์
เอเฟซัส 1:12
เพื่อว่าพวกเราที่ได้เชื่อวางใจในพระคริสต์ก่อนผู้อื่นจะถวายสรรเสริญแด่พระสิริตระการของพระองค์


เอเฟซัส 1:13
ในพระองค์เช่นกัน เมื่อพวกท่านได้ยินถ้อยคำแห่งความจริงคือข่าวประเสริฐแห่งความรอดของท่านและเชื่อวางใจในพระองค์ ท่านก็ได้รับการประทับตราโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่ทรงสัญญาไว้

เอเฟซัส 1:14
พระวิญญาณทรงเป็นผู้ค้ำประกันว่าเราจะได้รับมรดก จนถึงวันที่คนของพระเจ้าจะได้รับการไถ่อันเป็นการสรรเสริญพระสิริตระการของพระองค์

เอเฟซัส 1:15-16
เป็นเพราะข้าได้ยินถึงความเชื่อที่ท่านมีต่อองค์พระเยซูเจ้า และความรักที่ท่านมีต่อวิสุทธิของพระเจ้าทุกคน
ข้าจึงไม่หยุดขอบคุณพระเจ้าเพราะพวกท่าน ยามที่ข้าระลึกถึงท่านในเวลาที่อธิษฐาน

เอเฟซัส 1:17
ข้าอธิษฐานขอพระเจ้าผู้ทรงเป็นพระเจ้าขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเราคือพระบิดาผู้ทรงพระสิริตระการว่าจะโปรดประทานวิญญาณแห่งสติปัญญาและการสำแดงเพื่อให้ท่านรู้จักพระองค์

เอเฟซัส 1:18
ข้าอธิษฐานว่า ตาใจของท่านจะมองเห็นกระจ่างขึ้น เพื่อจะรู้ว่า อะไรคือความหวังที่พระเจ้าทรงเรียกท่านอะไรคือมรดกอันมั่งคั่งที่พระองค์ประทานให้วิสุทธิชนของพระองค์
เอเฟซัส 1:19
และรู้ว่าอะไรคือความยิ่งใหญ่ของฤทธิ์เดชอนันต์ของพระองค์ที่มีต่อเราผู้ที่เชื่อ ฤทธิ์เดชอนันต์ซึ่งเป็นพลังที่ขับเคลื่อนทำราชกิจด้วยอานุภาพอันทรงพลังของพระองค์

เอเฟซัส 1:20
ซึ่งทรงกระทำให้กับพระคริสต์เมื่อทรงให้พระคริสต์ทรงคืนชีพจากความตาย และทรงให้พระองค์ประทับเบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์ในสวรรค์สถาน 
เอเฟซัส 1:21-22 ก
สูงเหนือเหล่าเทพผู้ครองและเทพที่มีอำนาจ เทพที่มีฤทธิ์เดช และเทพผู้ครองอาณาจักร และเหนือทุกชื่อที่ถูกเรียกขึ้นมา ไม่เฉพาะในยุคนี้เท่านั้น แต่ในยุคที่กำลังเคลื่อนเข้ามาด้วย และพระเจ้าทรงกำราบทุกสิ่งให้อยู่ใต้พระบาทของพระคริสต์



เอเฟซัส 1:22ข-23
และทรงตั้งให้พระองค์เป็นศีรษะเหนือทุกสิ่งเพื่อคริสตจักร ซึ่งเป็นพระกายของพระองค์ พระกายที่เต็มบริบูรณ์ด้วยพระองค์ผู้ทรงเติม ทุกสิ่งให้เต็ม ในทุกด้าน

เอเฟซัส 1:1
จดหมายสมัยใหม่นั้น มักจะกล่าวถึงคนรับก่อน แต่จดหมายโบราณจะพูดก่อนว่าใครเป็นคนเขียนส่งมาถึงใคร ผู้เขียนจดหมายฉบับนี้คือท่านเปาโลเขียนถึงพี่น้องในเมืองเอเฟซัส ซึ่ง..ก็จะเป็นจดหมายเวียนที่เวียนอ่านกันในหมู่พี่น้องคริสตจักรต่าง ๆ ใกล้เคียง คำว่าอัครทูตคือ ผู้ที่พระเจ้าทรงส่งไปกล่าวพระคำของพระองค์ ท่านเปาโลเป็นผู้ที่พระเยซูทรงส่งไป (กิจการ 9:15) ส่วนคำว่าวิสุทธิชนนั้น คือคนที่เชื่อติดตามพระเยซูคริสต์

เอเฟซัส 1:2
ผู้ที่เป็นคนที่ติดตามพระเจ้าจริง ๆ จะได้มีพระคุณและสันติสุขในชีวิตแม้ว่ารอบข้างจะมีปัญหาคำว่าพระคุณ ในภาษาเดิมคือ ความโปรดปรานมักใช้คำนี้เมื่อบอกว่า พระเจ้าทรงพอพระทัยโปรดปรานมนุษย์ เรามีชีวิตอยู่ใต้พระคุณของพระเจ้าที่มีหลายด้าน ตั้งแต่ความรอดไปจนพระเมตตาในชีวิตประจำวันของเราตั้งแต่เช้าจนเย็น เป็นพระคุณที่ยั่งยืนดังนั้นเราต้องไม่ลืมว่าพระคุณมาใหม่ทุกเวลาเช้า

เอเฟซัส 1:3
คนที่อยู่ในพระคริสต์จริง ๆ รู้ตัวบ้างหรือเปล่าว่าเราได้รับพระพรฝ่ายวิญญาณมากมาย จริง ๆแล้วหนังสือเอเฟซัสบทที่ 1 นี้ มีเรื่องที่ต้องพูดถึงอย่างลึกซึ้ง แต่เบื้องต้นนี้ เพียงเราทบทวนว่าพระพรฝ่ายวิญญาณของเราที่พระเจ้าประทานให้เราก็พูดกันได้ไม่จบ … ทั้งความรอด พระคุณสันติสุข องค์พระวิญญาณที่ประทับภายในชีวิตพระคำที่หล่อเลี้ยงชีวิต ชุมชนผู้เชื่อ เพื่อน ๆ ที่เป็นกำลังใจ เราลองมาค้นดูสิ มากจริง ๆ

เอเฟซัส 1:4
ความจริงแล้ว ตั้งแต่ข้อ 3-14 เป็นประโยคยาวประโยคเดียวแต่พวกเราต้องค่อย ๆ เคี้ยวพระคำตอนนี้เพราะล้ำลึก และสำคัญต่อชีวิตของเรา เป้าหมายของพระเจ้าก่อนที่จะทรงสร้างโลกคือคนที่เป็นคนของพระองค์นั้น มีเป้าหมายคือการเป็นคนที่บริสุทธิ์ และไร้ตำหนิในสายพระเนตรของพระเจ้า ซึ่งเราเองก็รู้ว่า หากยังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ มันเป็นเรื่องยากมาก ชีวิตบริสุทธิ์ไร้ตำหนิจึงต้องเกิดจากพระวิญญาณของพระเจ้าเท่านั้น
เอเฟซัส 1:5
พระบิดาทรงกำหนดไว้ว่า มนุษย์เราจะได้เป็นบุตรของพระองค์ต้องผ่านพระเยซูคริสต์ การที่พระเจ้าทรงรับใครเป็นบุตรนั้น ยังขึ้นอยู่กับพระดำริ และความพอพระทัยของพระองค์ คน ๆหนึ่งจะเป็นลูกของพระเจ้าได้นั้นต้องอยู่ในเงื่อนไขของพระองค์ที่กล่าวมา พระดำริที่ชัดเจนคือ พระองค์ทรงประสงค์ที่จะให้ทุกคนได้รับความรอดและมารู้จักกับความจริง 1 ทิโมธี 2:3-4

เอเฟซัส 1:6
เรามักไม่รู้ว่าชีวิตของเราขึ้นอยู่กับพระเจ้าทุกวินาทีอากาศที่หายใจ อาหาร สภาพแวดล้อมที่เราอยู่ และ ยังมีเรื่องฝ่ายวิญญาณที่ประทานอีกมากมาย ถ้าพระเจ้าจะมอบสิ่งต่าง ๆ ให้มนุษย์โดยคิดค่าคิดราคาแล้ว ก็ไม่มีใครจะจ่ายไหว พระองค์ทรงให้อย่างไม่คิดค่า ทำให้หลายคนไม่ได้เห็นคุณค่าของพระพร พระบุตรของพระเจ้าได้ทรงสละพระชนม์ชีพเพื่อมนุษย์ อย่างไม่คิดค่า เพราะรู้ว่า ไม่มีใครสามารถจ่ายได้เลย

เอเฟซัส 1:7
ในประโยคยาว ๆ ของท่านเปาโลนี้ ท่านกล่าวถึงพระคุณบ่อยมาก และตรงนี้ เราได้เห็นพระพรฝ่ายวิญญาณที่พระเจ้าประทานให้สองอย่างที่
สำคัญยิ่ง คือ ทรงไถ่บาปเรา และทรงยกโทษให้เรา สองสิ่งนี้ เหมือนเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตใหม่ที่มีพระพรฝ่ายวิญญาณอีกมากมายรออยู่ ไม่ว่าจะ
เป็นการเติบโตในพระเจ้า พระคัมภีร์ที่ประทานให้ชุมชนพี่น้องที่จะทำให้ชีวิตมีมิติหลากหลายขึ้น ฯลฯ

เอเฟซัส 1:8-9
นอกจากได้รับการไถ่และการยกบาปแล้ว เรายังได้รับทราบถึงความลี้ลับของพระดำริที่เกี่ยวข้องกับพระคริสต์ด้วย ถ้าเราอ่านหนังสือเอเฟซัสนี้ต่อไป เราจะทราบว่า สิ่งนั้นคืออะไร พระคัมภีร์ NTV แปลภาษาไทยใช้คำว่า ความลึกลับซับซ้อนของความประสงค์ของพระองค์ เป็นการเปิดเผยที่พระเจ้าทรงให้กับท่านเปาโลก่อน จากนั้นท่านจึงอธิบายความให้ผู้เชื่อทั้งหลายได้เข้าใจพระดำริ
ของพระเจ้าในเรื่องนี้

เอเฟซัส 1:10
นี่เป็นแผนการที่พระเจ้าทรงวางไว้ และถ้าเรามองย้อนไปในประวัติศาสตร์ตั้งแต่สมัยพระคัมภีร์เดิม เราก็จะเห็นว่า พระเจ้าทรงทำตามแผนการของพระองค์มาตั้งแต่ต้นเลย พระองค์ทรงทำเรื่องนี้มาตั้งนานแล้ว เราเพิ่งจะมาเห็นและเข้าใจ แผนการลับของพระเจ้าเพื่อมนุษย์นั้น ก็คือ การที่จะให้ทุกอย่างในโลกและจักรวาลมารวมเป็นหนึ่งเดียวและสยบ ยอมจำนนกับพระบุตร คือพระเยซูคริสต์!

เอเฟซัส 1:11
เมื่อเราได้มาเชื่อ ติดตามพระเยซูคริสต์ พระเจ้าก็ทรงให้เราได้รับมรดกจากพระองค์ ข้อ 7 ตามพระคุณอันมั่งคั่ง ข้อ 8 ประทานอย่างเหลือเฟือทั้งสติปัญญาความรู้ ข้อ 9 ทรงทำให้เราตามความโปรดปราน ข้อ 11 ทรงให้ตามพระดำริทั้งหมดในชีวิตของเรา เหตุผลที่พระเจ้าทรงเลือกให้เป็นเช่นนี้ วนเวียนอยู่ที่พระดำริหรือพระประสงค์ของพระองค์มาตั้งแต่ก่อนสร้างโลก เมื่อใดที่ใคร เข้ามาอยู่ในพระองค์ก็จะได้ตามพระประสงค์นี้

เอเฟซัส 1:12
ในข้อ 11-12 คำว่าพวกเราในที่นี้หมายถึงคนยิวที่รอคอยพระเมสสิยาห์ (พระคริสต์)มาตั้งนานและเขาก็ได้พบพระองค์ และได้ตอบรับพระองค์เขาเหล่านี้จะเป็นพวกแรกที่จะได้ถวายสรรเสริญพระนามของพระองค์ พระสิริของพระองค์ ก่อนใคร ๆ พวกเขาเป็นชนชาติที่พระเจ้าทรงเลือกให้ประกาศพระนามของพระองค์ แต่ส่วนใหญ่กลับไม่ยอมมีคนบางส่วนที่ตอบรับพระองค์ 

เอเฟซัส 1:13
พวกท่านในข้อนี้ แตกต่างจากข้อ 12 ซึ่งหมายถึงยิวคริสเตียน แต่ตอนนี้ พวกท่านที่ได้ยินข่าวประเสริฐทั้งยิวและต่างชาติ และยอมรับเชื่อวางใจก็จะได้พระวิญญาณประทับตราชีวิตของเราไว้ที่เรารู้ชัดเพราะเมื่อเราเชื่อวางใจพระเจ้าจริง ๆพระองค์ทรงมาในชีวิตให้บังเกิดใหม่ ชีวิตก็เกิดการเปลี่ยนแปลงจริง ไม่ได้เป็นเหมือนเดิมอีกต่อไป พระวิญญาณในชีวิตไม่ใช่พระองค์ที่ล่องลอย แต่เป็นพระองค์ผู้ทรงประทับตราชีวิตเราไว้

เอเฟซัส 1:14
นอกจากพระเจ้าจะทรงประทับตราในชีวิตของผู้เชื่อแล้ว นอกจากที่พระองค์จะทรงให้เราเห็นการเปลี่ยนแปลงจากชีวิตเดิมหน้ามือเป็นหลังมือ ทั้งนิสัยใจคอ ความรู้สึกที่มีต่อผู้อื่น ความห่วงใยอย่างพระเจ้า การประพฤติปฏิบัติที่แตกต่างออกไปจากชีวิตเดิมแล้ว…. พระวิญญาณยังทรงเป็นผู้ประกันว่า เมื่อถึงวันของพระเจ้า วันที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้ เราจะได้รับมรดกที่พระองค์ทรงสัญญาอย่างแน่นอน

เอเฟซัส 1:15-16
ท่านเปาโลทราบดีว่า พี่น้องชาวเอเฟซัสทั้งรักพระเจ้าและรักกันและกัน ท่านหนุนใจพวกเขาให้รู้ว่า ถึงแม้ตอนนี้ท่านไม่ได้อยู่กับเขา แต่ยังระลึกถึงพวกเขาตลอดเวลา และอธิษฐานขอพระเจ้าเพื่อพวกเขาด้วย นี่เป็นตัวอย่างอันดีที่พี่น้องคริสเตียนจะอธิษฐานเผื่อกันและกัน ความจริงแล้ว ผู้ที่รู้ดีว่าเราอธิษฐานเผื่อคือองค์พระเจ้าผู้ทรงฟังและตอบคำอธิษฐานการที่ได้รับรู้ว่ามีคนอธิษฐานเผื่อก็เป็นกำลังใจมาก

เอเฟซัส 1:17
ท่านเปาโลได้เน้นว่า ท่านทูลขอต่อองค์พระบิดาผู้ทรงพระสิริเพื่อพี่น้อง พระบิดาคือผู้ที่จะประทานความเข้าใจ สติปัญญาฝ่ายวิญญาณให้กับพี่น้องชาวเอเฟซัส เราเข้าใจว่าท่านกำลังหมายถึงองค์พระวิญญาณที่อิสยาห์ได้กล่าวถึงในอิสยาห์ 11:2ยิ่งเป็นพวกเราทุกวันนี้ ยิ่งต้องการทั้งความรู้ความเข้าใจเพราะว่าเราอยู่ท่ามกลางคำโกหกตั้งแต่เช้าจนค่ำ เราต้องการความรู้ในพระเจ้าที่จะต่อต้านและนำให้คนของพระเจ้าเข้าใจความจริงถ่องแท้

เอเฟซัส 1:18
สิ่งที่ท่านเปาโลอธิษฐานสำคัญมาก คือทำให้ตาใจที่เคยมืดบอดนั้น ได้มองเห็นสิ่งดี ๆ ฝ่ายวิญญาณที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้ให้ มีสามอย่างในข้อ 18-19สองอย่างแรก คือ ความหวังที่พระเจ้าทรงเรียกเรากับความมั่งคั่งของมรดก ตาใจตรงนี้คือความเข้าใจจะขยายมองเห็นว่าความหวัง ความมั่งคั่ง นั้นมีมากมายแต่ที่สุด ๆคือการที่เราได้อยู่ใต้พระคุณพระเจ้าใกล้ชิดพระองค์ทั้งวันนี้และตลอดไป

เอเฟซัส 1:19
อย่างที่สามคือ ให้เราเข้าใจถึงฤทธิ์เดชอนันต์ที่มีต่อพวกเรา เปลี่ยนจากคนที่ตายแล้ว วิญญาณแยกจากพระองค์ กลับได้มาเป็นคนของพระองค์ ในข้อต่อไปเราจะเห็นฤทธิ์อนันต์นี้ ได้ทำสิ่งใดบ้างอย่างหนึ่งที่สำคัญคือ ฤทธิ์เดชอนันต์ของพระเจ้านี้เป็นฤทธิ์ยิ่งใหญ่ที่คนทั่วไปไม่อาจเข้าใจได้เลย เพราะก่อนที่จะเข้าใจได้ คน ๆ นั้นต้องมีความเชื่อในพระเจ้าก่อน แล้ว พระวิญญาณในเขาจะทำให้เขาเข้าใจได้

เอเฟซัส 1:20
ท่านเปาโลอธิษฐานขอให้เรามองเห็นความหวังที่พระเจ้าทรงเรียกเรา รู้จักมรดกที่ทรงเตรียมไว้และเข้าใจถึงฤทธิ์เดชอนันต์ของพระเจ้าสุดยอดมาก.. พระเจ้าทรงฤทธิ์ทรงทำให้พระเยซูองค์เมสสิยาห์คืนชีพจากความตาย และบัดนี้ทรงอยู่เบื้องขวาของพระองค์ นั่นคือพระเยซูทรงรับสิทธิอำนาจสูงสุด พระองค์ผู้ทรงลงมาเป็นมนุษย์ทรงใช้ชีวิตแบบมนุษย์ในโลก บัดนี้กลายเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในจักรวาล

เอเฟซัส 1:21-22ก
ความยิ่งใหญ่ อำนาจสูงสุดของพระเยซูไม่ได้มีเฉพาะเหนือมนุษยชาติ เหนือจักรวาลที่ทรงสร้างขึ้นมา แต่ท่านเปาโลได้บอกเราชัดเจนว่า ทรงอยู่สูงเหนือเทพต่าง ๆ ที่กำลังพยายามทำลายโลกอยู่ทุกวันนี้ เหนือทุกวิญญาณทั้งหลายที่มนุษย์ในโลกนับถือ เราผู้อยู่ใต้พระคุณของพระเจ้าจึงจะได้รับชัยชนะ เพราะว่า ผู้ที่อยู่ในเรานั้นทรงใหญ่กว่าบุคคลใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือวิญญาณเพราะทรงอยู่ข้างขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าแล้ว
เราต้องตระหนักว่า พระเจ้าทรงให้พระเยซูทรงอำนาจสูงสุด ทุกอย่างอยู่ใต้พระองค์ ทรงเป็นความหวังเดียวของเรา ทุกสิ่งในธรรมชาติที่พระเจ้าทรงสร้างมาซึ่งหมายถึงมนุษย์ด้วยต่างคร่ำครวญที่จะได้รับการไถ่จากพระเจ้าพ้นจากผลของบาปทุกอย่างในชีวิต (โรม 8:22-23) เราจึงไม่ต้องไปหาวิธีอื่นที่จะพ้นทุกข์ของชีวิตเลย … มาหาพระเยซูเป็นพอ

เอเฟซัส 1:22ข-23
และที่เป็นเช่นนี้เพราะพระเจ้าทรงเตรียมให้พระเยซูทรงดำรงตำแหน่งที่สูงสุดในคริสตจักรเช่นกัน คริสตจักรคือพระกายของพระองค์ ที่ต้องการผู้นำ ผู้สั่ง ผู้ที่คอยบอกว่าร่างกายต้องไปทางไหน อยู่อย่างไร คริสตจักรใดที่ขาดพระคริสต์เป็นศีรษะผู้ที่สอนสิ่งที่ไม่ใช่ในพระคัมภีร์ แต่สอนสิ่งผิดตามใจตัวเอง ไม่ใช่พระกายของพระองค์ คริสตจักรใดติดตามพระคริสต์ พวกเขาจะเต็มด้วยพระองค์ในทุก ๆ ด้าน

พระคำเชื่อมโยง

เอเฟซัส 1
3* 2 โครินธ์ 1:34* โรม 8:28; 1 เปโตร 1:2; ลูกา 1:75
5* โรม 8:29; ยอห์น 1:12; 1โครินธ์ 1:21
6* โรม 3:24; มัทธิว 3:17
7* ฮีบรู 9:12; โรม 3:24-25
9* โรม 16:25; 2 ทิโมธี 1:9
10* กาลาเทีย 4:4; 1โครินธ์ 3:22; โคโลสี 1:16, 20

11* โรม 8:17; อิสยาห์ 46:10
12* 2 เธสะโลนิกา 2:13; ยากอบ 1:18
13* ยอห์น 1:17; 2 โครินธ์ 1:22
14* 2 โครินธ์ 5:5; โรม 8:23; กิจการ 20:28; 1 เปโตร 2:915* โคโลสี 1:4
16* โรม 1:9
17* ยอห์น 20:17;โคโลสี 1:9

18* กิจการ 26:18; เอเฟซัส 2:12
19* โคโลสี 2:12
20* กิจการ 2:24; สดุดี 110:1
21* ฟีลิปปี 2:9-10 โรม 8:38-39
22* สดุดี 8:6; 110:1; ดาเนียล 7:13-14; มัทธิว 28:18; ฮีบรู 2:7
23* โรม 12:5;โคโลสี 2:9; 1โครินธ์ 12:6