มาระโก 8 ตามพระเยซูกันดีกว่า

พระเยซูทรงเลี้ยงคนสี่พันคน
1 เวลานั้น มีฝูงชนมารวมตัวกันกันอีก และพวกเขาไม่มีอะไรกิน พระเยซูทรงเรียกศิษย์มาหาและตรัสว่า
2“เราสงสารคนมากมายเหล่านี้ เพราะพวกเขาอยู่กับเราสามวันแล้ว และไม่มีอะไรกินเลย
3 ถ้าเราส่งพวกเขากลับบ้านไปทั้งที่หิวโหยอยู่ พวกเขาจะเป็นลม หมดแรงกันไปตามทาง เพราะบางคนก็มาจากที่ไกลมาก”
4ศิษย์ของพระองค์ทูลว่า “ในที่กันดารอย่างนี้ เราจะไปหาขนมปังให้พอเลี้ยงคนมากมายให้อิ่มที่ไหนกัน?”
5“เจ้ามีขนมปังอยู่กี่ก้อน?” พระเยซูตรัสถาม “เจ็ดก้อนขอรับ” พวกเขาตอบ
6 และพระองค์ทรงสั่งให้ประชาชนนั่งลงบนพื้น จากนั้นทรงนำเอาขนมปังทั้งเจ็ดก้อนมา ขอบพระคุณ และฉีกมันออก จากนั้นก็แบ่งให้ศิษย์เอาไปแจกให้ประชาชน และพวกเขาก็นำไปแจก

7 พวกเขายังมีปลาเล็ก ๆ สองสามตัว และพระเยซูก็ทรงอวยพระพร
และทรงสั่งให้พวกเขาเอาไปแจกเช่นกัน
8 ประชาชนได้กินจนอิ่มและศิษย์ของพระองค์

ได้เก็บเศษที่เหลือได้ถึงเจ็ดตะกร้าพูน
9 มีผู้ชายสี่พันคนอยู่กันที่นั่นและเมื่อพระองค์ทรงให้พวกเขากลับไป
10 พระองค์ก็ทรงลงเรือกับศิษย์และเดินทางไปยังเขตเมืองดาลมานูธา

ถามหาหมายสำคัญ
11 แล้วฟาริสีก็มาและเริ่มโต้แย้งกับพระเยซู ต้องการทดสอบพระองค์โดยขอให้พระเยซูแสดงหมายสำคัญจากสวรรค์
12พระเยซูทรงถอนพระทัยลึก ๆ ตรัสว่า
“เหตุใดคนยุคนี้จึงเรียกร้องหาหมายสำคัญ? เราบอกความจริงแก่เจ้าว่า จะไม่มีการให้หมายสำคัญกับคนยุคนี้”
13 แล้วพระองค์ทรงละจากพวกเขา ทรงลงเรือและข้ามไปอีกฝั่ง


เชื้อของฟาริสีและเฮโรด
14 ตอนนี้ศิษย์ของพระองค์ลืมเอาขนมปังไปด้วย ยกเว้นแค่หนึ่งก้อนเดียวที่อยู่ในเรือ
15 “จงระวังให้ดี” พระเยซูทรงเตือนพวกเขา
“จงระวังเชื้อจากฟาริสีและเฮโรด”
16 พวกเขาจึงคุยกันเองว่า พวกเขาไม่มีขนมปังเลย
17 พระเยซูทรงทราบว่าเขาคุยอะไรกัน ทรงถามพวกเขาว่า “ทำไมเจ้าจึงโต้กันเรื่องไม่มีขนมปัง เจ้ายังไม่เห็น ไม่เข้าใจอีกหรือ?
ทำไมพวกเจ้าจึงใจแข็งนัก?
18 ..เจ้ามีตา แต่มองไม่เห็น มีหูแต่ไม่ได้ยินอย่างนั้นหรือ?
และเจ้าจำไม่ได้หรือว่า 
19 เมื่อเราหักขนมปังห้าก้อนให้คนห้าพันคน มีเศษขนมปังเหลือกลับมากี่กระบุง?” พวกเขาตอบว่า “สิบสองกระบุงขอรับ”
20 “ แล้วตอนที่เราหักขนมปังเจ็ดก้อนให้คนสี่พันคนนั้น เจ้าเหลือเศษขนมปังมากี่ตะกร้า?”  “เจ็ด ขอรับ” พวกเขาตอบ
21 แล้วพระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “เจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ?”

ทรงรักษาคนตาบอดที่เบธไซดา
22 เมื่อพวกเขามาถึงเบธไซดา มีบางคนนำชายตาบอดคนหนึ่งมา และทูลขอให้พระเยซูทรงแตะต้องเขา
23 พระองค์จึงทรงจูงมือเขาออกไปนอกหมู่บ้าน ทรงบ้วนน้ำลายลงบนดวงตาทั้งสองข้าง และวางพระหัตถ์ทั้งสองบนเขา “เจ้าเห็นอะไรบ้างไหม?” ทรงถามเขา
24 ชายคนนั้นเงยหน้าขึ้นมองและกล่าวว่า “ข้าเห็นคน แต่พวกเขาเป็นเหมือนต้นไม้ที่เดินไปมาขอรับ”
25 พระองค์จึงทรงวางพระหัตถ์ทั้งสองที่ดวงตาทั้งสองข้างของเขา และเมื่อเขาเปิดตา สายตาของเขาก็เป็นปกติ และเขาเห็นทุกอย่างชัดเจน
26 พระเยซูทรงส่งเขาให้กลับบ้าน ตรัสว่า “อย่ากลับเข้าไปในเมืองเลย อย่าเล่าเรื่องนี้ให้คนในเมืองฟัง”

เปโตรสารภาพว่า พระเยซูทรงเป็นพระเมสสิยาห์ (พระคริสต์)
27 แล้วพระเยซูกับศิษย์ของพระองค์ก็เดินทางไปยังหมู่บ้านต่าง ๆ แถบซีซาริยาห์ฟีลิปปี
ระหว่างทาง พระองค์ทรงถามศิษย์ว่า “ผู้คนกล่าวว่า เราเป็นใคร?”
28 พวกเขาตอบว่า “บางคนว่าทรงเป็นยอห์นผู้ให้บัพติศมา บางคนว่าทรงเป็นเอลียาห์ และยังมีบางคนว่า พระองค์ทรงเป็นผู้กล่าวพระคำคนหนึ่ง”
29“ แต่เจ้าล่ะ? เจ้าว่าเราเป็นใคร?” พระเยซูตรัสถาม เปโตรทูลตอบว่า “พระองค์ทรงเป็นพระคริสต์ขอรับ”
(นั่นหมายถึงทรงเป็นผู้ที่ถูกเจิมจากพระเจ้าลงมาในโลก หรือที่ยิวเรียกพระนามว่า พระเมสสิยาห์)
30 และพระเยซูทรงเตือนพวกเขาไม่ให้บอกใครเรื่องพระองค์

บอกล่วงหน้าเรื่องการทนทุกข์
31 แล้วพระองค์จึงทรงสอนพวกเขาว่า บุตรมนุษย์จะต้องทนทุกข์หลายประการ และเหล่าผู้ใหญ่ หัวหน้าปุโรหิต และธรรมาจารย์ จะไม่ยอมรับพระองค์ และพระองค์จะถูกประหาร อีกสามวันจะทรงคืนชีพขึ้นมา
32 พระองค์ตรัสเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมา และเปโตรจึงดึงพระองค์ไป
และทูลต่อว่าพระองค์
33 แต่พระเยซูทรงหันมามองดูศิษย์ทั้งหลาย ทรงตำหนิเปโตรและตรัสว่า “จงถอยออกไป ซาตาน เพราะในหัวของเจ้าไม่ได้คิดอย่างพระเจ้า แต่คิดอย่างมนุษย์”

ในหัวของเจ้า
ไม่ได้
คิดอย่างพระเจ้า
แต่
คิดอย่างมนุษย์

จงแบกกางเขนตามเรามา
34 แล้วพระเยซูทรงเรียกประชาชนมาหาพระองค์พร้อมกับศิษย์และทรงบอกพวกเขาว่า “หากใครต้องการติดตามเรามา เขาจะต้องปฏิเสธตนเอง และรับกางเขนของตน และตามเรามา”
35 เพราะใครก็ตามที่ต้องการรักษาชีวิตของตนไว้ จะสูญเสียชีวิตไป แต่คนที่ยอมเสียชีวิตเพื่อเห็นแก่เราและข่าวประเสริฐจะรักษาชีวิตนั้นไว้
36 มีประโยชน์อะไรกับคนหนึ่งหากว่าเขาได้ทั้งโลกแต่ต้องสูญเสียวิญญาณของตนไป?
37 หรือใครคนหนึ่งจะเอาอะไรมาแลกกับวิญญาณของตนได้?

38 หากคนใดละอายเพราะเราและถ้อยคำของเรา ในโลกที่ชั่วช้า บาปหน้า บุตรมนุษย์ก็จะละอายเพราะเขา เมื่อพระองค์เสด็จมาในพระเกียรติสิริของพระบิดาพร้อมกับทูตสวรรค์ผู้บริสุทธิ์ของพระองค์”

อธิบายเพิ่มเติม

มาระโก 8:1-10
เปรียบเทียบครั้งนั้น(ตอนเลี้ยง 5000 คน) กับครั้งนี้ (การลี้ยง 4000 คน)
ในมาระโกบทที่หก คนอยู่กับพระเยซูเพียงหนึ่งวัน แต่ในครั้งนี้ อยู่ถึงสามวันแล้วพวกเขาก็หิวมากด้วย
ครั้งนั้นบันทึกว่าห้าพันคน ครั้งนี้นับสี่พันคน (ซึ่งนับผู้ชายเท่านั้น ยังไม่มีผู้หญิงกับเด็ก)
ครั้งนั้น พวกเขาได้นั่งบนทุ่งหญ้าเขียวในแถบตะวันตกของกาลิลี มีคนยิวหนาแน่น แต่ครั้งนี้พวกเขานั่งบนพื้นดินในเขตแดนทางตะวันออกที่เรียกว่าทศบุรี เป็นเวลาห่างจากครั้งแรกหลายเดือน และผู้คนแถบทศบุรีส่วนใหญ่จะเป็นคนต่างชาติ เป็นเมืองที่โรมสร้างไว้
ครั้งก่อนเลี้ยงจาก ขนมปัง 5 ก้อน ปลาสองตัว ครั้งนี้จากขนมปัง 7 ก้อนกับปลาสองสามตัว
ครั้งที่แล้วเหลือขนมปัง 12 กระบุงเล็ก ๆ แต่ครั้งนี้เหลือ 7 ตะกร้าใหญ่มาก
ที่เหมือนกันคือทุกคนกินจนอิ่มหนำสำราญ และคงจะมีกลับไปบ้านด้วย
สิ่งที่ควรสังเกต….
**ศิษย์ของพระองค์ทูลว่า “ในที่กันดารอย่างนี้ เราจะไปหาขนมปังให้พอเลี้ยงคนมากมายให้อิ่มที่ไหนกัน?”
ทั้ง ๆ ที่พวกเขาเคยเห็นพระเยซูเลี้ยงคนห้าพันคนมาแล้ว ทำไมพวกเขายังไม่เชื่อว่าพระองค์จะทรงทำอีกครั้ง? อาจเป็นเพราะว่าคนเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นคนต่างชาติ พวกเขาไม่คิดว่า พระเจ้าจะทรงเลี้ยงคนเหล่านี้ แต่พระเยซูกลับทรงเลี้ยงดูด้วยความสงสาร (ข้อ 2) ครั้งนี้ศิษย์ของพระองค์ได้รับความเข้าใจชัดว่า พระเจ้าทรงรักคนต่างชาติเช่นกัน
** และพระองค์ทรงสั่งให้ประชาชนนั่งลงบนพื้น จากนั้นทรงนำเอาขนมปังทั้งเจ็ดก้อนมา ขอบพระคุณ และฉีกมันออก จากนั้นก็มอบให้ศิษย์เอาไปแจกให้ประชาชน และพวกเขาก็นำไปแจก คำเดียวที่บ่งบอกว่า เป็นกริยาที่ต่อเนื่องในภาษากรีกคือคำว่า มอบ(ให้ศิษย์ ) จึงพอสรุปได้ว่า การขยายตัวของขนมปังอย่างอัศจรรย์นั้นเกิดขึ้นโดยพระหัตถ์ของพระเยซู..เมื่อเลี้ยงเสร็จก็เดินทางข้ามทะเลมายังเมืองดาลมานูธา ซึ่งอยู่ทางตะวันตกของทะเลสาบกาลิลี ห่างเมืองคาเปอร์นาอูมมาทางใต้ประมาณ 8 กิโลเมตร

มาระโก 8:11-13
แม้ว่าฟาริสีทั้งหลายได้เห็นการอัศจรรย์ของพระเยซูมากมาย แต่พวกเขายังไม่พอใจ คนยิวกำลังรอคอยพระเมสสิยาห์หรือผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมเพื่อมาไถ่บาปพวกเขา แต่คนยิวไม่ได้มองพระเมสสิยาห์เช่นนั้น พวกเขามองว่า พระองค์ต้องเป็นนักรบที่จะมาปล่อยพวกเขาจากการเป็นเมืองขึ้นของโรม
หมายสำคัญที่พวกเขาต้องการคือ  σημεῖον เซมีออน เป็นลักษณะของหมายสำคัญพิเศษจากพระเจ้าโดยตรงเพื่อจะได้สนับสนุน และรับรองว่า คน ๆ นั้นเป็นผู้ที่มาจริง แต่พระเจ้าได้ให้หมายสำคัญมากมายแก่พวกเขาแล้ว ในเมื่อจะไม่เชื่อก็ต้องหาวิธีการที่จะให้พระเยซูเสียหาย แต่พระเยซูทรงถอนพระทัยเพราะรู้ว่าในใจของพวกเขาคืออะไร และทรงเดินออกไปจากพวกเขา โดยไม่ตรัสอะไรอีก ไม่มีประโยชน์ที่จะมาต่อล้อต่อเถียงกับคนพวกนี้ ยอห์นเคยบอกว่า การอัศจรรย์เกิดขึ้นเพื่อให้เกิดความเชื่อ (ยอห์น 20:30-31) แต่ในเหตุการณ์นี้ พวกเขาไม่ได้ต้องการที่จะเชื่อ แต่ต้องการท้าทายพระองค์

มาระโก 8: 14-21
“จงระวังให้ดี” พระเยซูทรงเตือนพวกเขา “จงระวังเชื้อจากฟาริสีและเฮโรด” นี่เป็นคำเตือนของพระเยซูที่ทำให้เรารู้ว่า ความคดโกงของฟาริสีและพรรคพวกของเฮโรดนั้น แพร่ไปทั่วแผ่นดินอิสราเอล มันเข้าแทรกซึมไปในสถาบันการปกครอง และศาลาธรรม รวมไปถึงในสังคมทั่วไป ซึ่งเด่น ๆ ก็คือ การสอนให้คนสนใจการกระทำเพื่อที่จะเป็นคนดี และไปสวรรค์ได้ อีกอย่างคือ การเป็นคนหน้าซื่อใจคด พวกเฮโรดพยายามเปลี่ยนแปลงลักษณะของสังคมยิวโดยใช้วิธีการทางการเมือง (ซึ่งเหมือนกับโลกปัจจุบัน)
พวกศิษย์ก็ไม่เข้าใจสิ่งที่พระเยซู แต่กลับไปคิดถึงเรื่องขนมปังเสียนี่ พระองค์ทรงกล่าวถึงความใจดื้อด้านของผู้นำยิว แต่ศิษย์ก็ไม่เข้าใจอยู่ดี

มาระโก 8:22-26
การรักษาครั้งนี้ เกิดขึ้นเนื่องจากที่คนที่เป็นเพื่อนของชายตาบอดพาเขามาหาพระเยซู ชายตาบอดไม่ได้รู้เรื่องอะไร แต่เพื่อนนั้นมีความเชื่อว่าเขาจะหายได้ และมาขอให้พระเยซูทรงแตะต้องเพื่อเขาจะหายได้
ครั้งนี้มาแปลก มีหลายอย่างที่ทรงทำกับชายผู้นี้ 1 พระเยซูทรงจูงเขาออกนอกเมืองออกจาก 2 ทรงบ้วนน้ำลายลงที่ตา (ราวกับยาหยอดตา) 3 วางพระหัตถ์บนเขา 4 ทรงถามเขาเหมือนกับหมอถามคนไข้.. เห็นอะไร เขาเห็นคนเหมือนต้นไม้ ทรงให้เขามองเห็นแสง สีราง ๆ ทำให้เขามีความเชื่อ จากนั้น 5 พระองค์ทรงวางพระหัตถ์ที่ตา ขณะนี้ชายตาบอดมีความเชื่ออย่างสมบูรณ์แบบ 6 แล้วเขาก็มองเห็นได้ .. 7 แล้วที่สุดไม่ทรงอนุญาตให้กลับเข้าเมือง ไม่ให้เล่าเรื่องนี้กับใคร แต่ให้กลับบ้านไปทันที
เราอาจจะนึกแปลกใจว่าทำไมพระเยซูทรงทำเช่นนี้ ในมัทธิว 11:21–24 ได้บอกว่า พระองค์ทรงสาปเมืองนี้ไปพร้อมกับเมืองโคราซิน คาเปอร์นาอูม พระองค์ทรงรู้ว่าในใจของคนเมืองเหล่านี้เป็นใจที่กระด้างยิ่งนัก

มาระโก 8:27-30
จากนั้นพระเยซูกับศิษย์เดินทางต่อไปยังเมืองซีซารียาฟีลิปปี เป็นเมืองที่เฮโรดสร้างเพื่อให้เกียรติและซีซาร์ โดยมีแนวคิดว่าซีซาร์คือพระเจ้า ​ เมืองนี้อยู่ห่างจากเบธไซดาประมาณ 40 กิโลเมตร อยู่ทางใต้ของภูเขาเฮอร์โมน ซึ่งเป็นทิวเขาที่สูงสุดในตะวันออกกลาง เป็นพื้นที่ ๆ สวยงามมาก และเป็นที่ ๆ ต้นของแม่น้ำจอร์แดน แต่ มีการสลักรูปเคารพต่าง ๆ ลงบนหินภูเขาไว้ประปราย
ระหว่างการเดินทางนั้นเอง พระเยซูทรงถามศิษย์ว่า ประชาชนมีความคิดเห็นอย่างไรกับพระองค์ พระองค์ทรงทำการอัศจรรย์ ทำการสอนกับทั้งคนยิว และคนต่างชาติ ซึ่งคำตอบก็คือ ผู้คนซึ่งมาหาพระองค์เพื่อการรักษาโรค คำสอนคิดว่า พระองค์อาจเป็น ยอห์น เอลียาห์ หรือ ผู้เผยพระคำบางคน แล้วแต่จะคิด จากนั้นทรงขอความเห็นจากศิษย์เอง ว่า พวกเขาคิดอย่างไร
เปโตรเป็นคนเดียวที่ตอบอย่างมั่นใจว่าคือ พระองค์คือ พระเมสสิยาห์ (พระคริสต์ ภาษากรีก) ซึ่งหมายถึงคนที่รับการเจิม ซึ่งในสังคมยิวนั้นมีแค่สามพวกเท่านั้นที่จะได้รับการเจิม คือ ปุโรหิต ผู้เผยพระคำ และกษัตริย์ เปโตรมองว่า พระองค์ทรงเป็นผู้ที่จะปลดปล่อยยิวจากโรม
แต่ถึงแม้รู้เช่นนั้น พระองค์ก็ทรงให้เขาเก็บเรื่องนี้เป็นความลับก่อน

มาระโก 8:31-33
เมื่อพระเยซูเล่าว่า พระเมสสิยาห์องค์นี้ จะต้องถูกประหาร
ไม่แปลกที่ เปโตรจะไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่พระเยซูตรัส เขาไม่เห็นด้วยมาก ๆ ที่พระเมสสิยาห์ของพระเจ้าจะถูกประหาร นั่นคือการแพ้นี่นา พระองค์จะต้องเป็นผู้ชนะ ไม่ใช่ต้องถูกประหาร ถึงจะคืนพระชนม์ก็เถอะ สำหรับเปโตรแล้วนี่เป็นเรื่องรับไม่ได้ เขายังไม่เข้าใจว่า พระเยซูจะต้องเป็นพระเมสสิยาห์ที่จะถูกประหารเพราะบาปของเขาเอง

มาระโก 8:34-38
หากใครคนหนึ่ง ต้องการตาม..พระเยซู เขาต้องปฏิเสธตัวเอง รับกางเขนมาแบก และตามพระองค์ไป
เราจะต้องการแค่ใช้ชีวิตที่มีอยู่หนึ่งชีวิต หรือว่าต้องการมีชีวิตที่เต็มบริบูรณ์??
การยอมให้พระเจ้ามาก่อนความคิดเห็น จิตใจของตนเองเป็นเรื่องที่ยากสำหรับทุกคน เพราะเราชินกับการที่ทำอะไรตามใจตัวเอง พระคำข้อนี้ พระเยซูทรงบอกว่า เราทุกคนต้องตัดสินใจว่าจะปฏิเสธตนเองเพื่อเห็นแก่น้ำพระทัยของพระเจ้าหรือไม่ พระเจ้าไม่ใช่ผู้ที่จะมาช่วยให้เราทำตามใจของตนเองสำเร็จ แต่เราจะต้องให้พระองค์เป็นผู้ตัดสิน นำทางชีวิตของเรา
สำหรับคนที่รักทรัพย์สมบัติ ชื่อเสียง เงินทอง และมีชีวิตเพื่อสิ่งเหล่านี้ เราเห็นตัวอย่างได้รอบตัว คนที่เห็นแก่ตัว เห็นแก่เงิน ไม่อาจที่จะเห็นแก่คนอื่นได้ ชีวิตมีไว้เพื่อตัวเองเท่านั้น แล้วในที่สุด เขาก็จะจบแบบที่ไม่มีอะไรเหลือ แม้กระทั่งชื่อเสียงคนก็จะลืมไป พระคัมภีร์ตอนนี้ ให้เรายอมพระเจ้าเป็นที่หนึ่งในชีวิต ไม่ละอายพระนามของพระองค์

พระคำเชื่อมโยง

1* มัทธิว 15:32-39
2* มาระโก 1:41; 6:34
5* มาระโก 6:38
7* มัทธิว 14:19
10* มัทธิว 15:39
11* มัทธิว 12:38; 16:1
12* มาระโก 7:34; มัทธิว 12:39
14* มัทธิว 16:515* ลูกา 12:1

17* มาระโก 6:52; 16:14
19* มัทธิว 14:20
20* มัทธิว 15:37
21* มาระโก 6:52
22* ยอห์น 9:1; ลูกา 18:5
23* มาระโก 7:33
26* มาระโก 5:43; 7:36
27* ลูกา 9:18-20

28* มัทธิว 14:2; ลูกา 9:7-8
29* ยอห์น 1:41; 4:42; 6:69;11:27
30* มัทธิว 8:4; 16:20
31* มัทธิว 16:21; 20:19; มาระโก 10:33; 9:31;10:34; ลูกา 24:36
33* วิวรณ์ 3:19
34* ลูกา 14:27
35* ยอห์น 12:25
38* มัทธิว 10:33; 2 ทิโมธี 1:8-9; 2:12



สุภาษิต 7 เตือนเรื่องชู้

1 ลูกเอ๋ย จงรักษาคำของเราไว้
จงเห็นคุณค่าของคำสั่งของเรา สะสมไว้ในตัวเจ้า 
2 จงทำตามคำสั่งของเรา และมีชีวิต
เอาใจใส่คำสอนของเราดั่งแก้วตาของเจ้า 
3 จงพันไว้รอบนิ้วมือของเจ้า
และจารึกมันไว้บนแผ่นแห่งใจของเจ้า
4 จงกล่าวแก่ปัญญาว่า “เธอเป็นพี่สาวของฉัน”
และเรียกความเข้าใจว่าเป็นญาติของเจ้า 
5 เพื่อสิ่งเหล่านี้จะรักษาเจ้าให้พ้นจากหญิงเล่นชู้
จากคนแปลกหน้าที่มีคำเย้ายวนใจ

6 เพราะว่าตรงหน้าต่างบ้านเรา
เรามองลอดบาดเกล็ดออกไป
7 ดูเหล่าคนที่อ่อนต่อโลก
ก็เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งในพวกเขาที่ไร้วิจารณญาณ 

8 เขาเดินข้ามถนนไป ใกล้หัวมุมบ้านของหญิงนั้น
เขาเดินมุ่งหน้าไปยังบ้านของนาง 
9 ตอนเย็น แสงจางลง   ความมืดเริ่มคืบคลานเข้ามา
10 แล้วหญิงนั้นก็เข้ามาพบเขา
แต่งตัวตามแบบของหญิงขายตัว และใจเต็มด้วยเล่ห์

11 นางส่งเสียงดัง ท้าทาย  อยู่ไม่ติดบ้าน
12 เดี๋ยวก็ไปที่ถนน เดี๋ยวไปที่ลานเมือง
นางคอยซุ่มอยู่แทบทุกหัวมุมถนน
13 นางคว้าตัวของเขาและจูบเขา พูดแบบไร้ยางอายว่า 
14 “นี่แน่ะ ฉันเตรียมเครื่องสันติบูชาเอาไว้
วันนี้ ฉันทำตามคำที่ได้สาบานไว้
15 แล้วฉันจึงออกมาพบเธอ ตามหาเธอ และก็พบเธอแล้ว

16 ฉันปูผ้าบนที่นอน ด้วยผ้าป่านจากอียิปต์ 
17 และประพรมที่นอนด้วยมดยอบ กฤษณาและอบเชย
18 มาเถอะ มาเริงรักกันจนเช้า มาสนุกกับการเล้าโลมกันนะ
19 เพราะสามีของฉันไม่อยู่บ้าน เขาเดินทางไปไกล
20 เขาเอาเงินไปเป็นกระเป๋า
และจะไม่กลับมาจนกว่าวันที่จันทร์เต็มดวง” 

21 นางชักชวนเขาให้หลงผิด  นางล่อลวงเขาด้วยคำหวาน
22 เขาก็ตามนางไปทันที เหมือนวัวที่ถูกนำไปโรงฆ่า
เหมือนกับกวางที่ติดกับดัก 

23 จนกระทั่งลูกธนูปักไปถึงตับ
เหมือนนกที่ถลำไปเข้ากับดัก 
โดยไม่รู้เลยว่า การทำอย่างนี้เท่ากับเดินไปหาความตาย 

24 บัดนี้ ลูกทั้งหลายเอ๋ย ขอให้ฟังเรา 
จงเอาใจใส่คำจากปากของเรา 
25 อย่าปล่อยใจของเจ้าไปตามทางของนาง
อย่าได้หลงไปตามทางนั้น 
26 เพราะนาง ได้นำคนไปสู่ความตายมากมาย
นางฆ่าคนจำนวนมากทีเดียว 

27 บ้านของนางเป็นทางไปสู่แดนตาย
ลงไปยังโถงคนตาย 

คำอธิบายเพิ่มเติม

สุภาษิต 7:1-5
จะแก้ปัญหาที่สืบเนื่องจากความไร้ศีลธรรมได้ก็โดย เอาใจใส่คำสอนของพระเจ้าราวกับเป็นแก้วตา รักษาอย่างดี เรารู้ไหมว่า พระเจ้าเองทรงรักษาเราไว้ดั่งที่เราเป็นแก้วตาของพระองค์เหมือนกัน ฉธบ 32:10
ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง การรักษาคำของพระเจ้าจะทำให้เราพ้นจากการถูกหลอก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร เรื่องเงิน เพศ งาน ฯลฯ
สุภาษิต 7:6-10
ชายหนุ่มที่กำลังจะถูกหลอกถูกเรียกว่า คนที่อ่อนต่อโลก (ซึ่งในความจริง คนเหล่านี้ไม่ได้คิดว่าตนอ่อนโลก แต่คิดว่าตนเองเป็นคนที่สามารถใช้ประโยชน์จากร่างกายของผู้หญิงได้) เขาคิดว่าเขาฉลาดกว่าหญิงคนนั้น
สุภาษิต 7:11-15
เรามักเห็นผู้หญิงแบบนี้ทั่วไปหมด หญิงเด็กสาววัยรุ่น อยู่กันเป็นกลุ่ม ไม่พูดเรื่องอื่นใดนอกจากเรื่องแบบนี้ ดังนั้น สำหรับพ่อแม่ที่จะเลี้ยงลูกสาว ให้งดงาม เป็นผู้หญิงที่มีศักดิ์ศรี และอยู่ในทางของพระเจ้า จึงเป็นสิ่งที่ท้าทายอย่างมาก ลูกชายก็เช่นกัน ที่จะเลี้ยงให้พวกเขามีความเป็นสุภาพบุรุษจริง ๆ ก็ยาก แต่หากทำตามสิ่งที่พระเจ้าทรงเตือนไว้ สอนตามทางของพระเจ้าให้คิดเป็น ไม่ถูกใครหลอกได้ ก็จะช่วยชีวิตของลูกได้ทีเดียว
สุภาษิต 7:16-20
เราจะเห็นภาพแบบนี้ในภาพยนต์ที่เด็กอาจผ่านตา การไม่ซื่อตรงในชีวิตคู่กลายเป็นเรื่องธรรมดา .. พ่อแม่เท่านั้นที่จะช่วยป้องกันลูกชายลูกสาวจากความบาปที่ปัจจุบันไม่มองเป็นบาป
สุภาษิต 7:21-23
คนที่หลงทางไป มักมองไม่เห็นตนเองในภาพนี้ ” เขาก็ตามนางไปทันที เหมือนวัวที่ถูกนำไปโรงฆ่าเหมือนกับกวางที่ติดกับดัก”  คนใดก็ตามที่มองเห็นภาพนี้ก่อนล่วงหน้า จะปลอดภัยกว่า เขาจะได้รู้ว่าเป็นภาพที่โง่เขลาขนาดไหน
สุภาษิต 7:24-27
การปล่อยใจทำผิดเรื่องเพศ เป็นสิ่งที่น่ากลัวยิ่ง เพราะท่านโซโลมอนเอง ยืนยันว่า มันเป็นทางแห่งความตาย

พระคำเชื่อมโยง

1* สุภาษิต 2:1
2* เลวีนิติ 18:5; เฉลยธรรมบัญญัติ 32:10
3* เฉลยธรรมบัญญัติ 6:8
5* สุภาษิต 2:16; 5:3

7* สุภาษิต 6:32; 9:4,16
9* โยบ 24:15
16* อิสยาห์ 19:9
21* สุภาษิต 5:3; สดุดี 12:2

23* ปัญญาจารย์ 9:12
26* เนหะมีย์ 13:26
27* สุภาษิต 2:8; 5:5; 9:18

เอเฟซัส 6 ยุทธภัณฑ์ทั้งชุด

เอเฟซัส 6:1
ผู้ที่เป็นลูก จงเชื่อฟังพ่อแม่ของตนในองค์พระผู้เป็นเจ้า
เพราะเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
เอเฟซัส 6:2-3
จงให้เกียรติพ่อแม่ของเจ้า นี่เป็นพระบัญญัติข้อแรกที่มีพระสัญญาพ่วงมาด้วยเพื่อเจ้าจะมีชีวิตอย่างเป็นสุข และเจ้าจะมีชีวิตยืนยาวในโลก

เอเฟซัส 6:4
คนที่เป็นพ่อ ก็อย่ายั่วโมโหลูกของตนเอง แต่จงอบรม เลี้ยงดู
ฝึกฝนให้เขามีวินัย และสอนเขาตามทางของพระเจ้า

เอเฟซัส 6:5-6
ผู้ที่เป็นทาส จงเชื่อฟังนายฝ่ายโลกด้วยความเคารพ และมีความจริงใจ
ให้เหมือนกับที่เชื่อฟังพระคริสต์​ไม่ใช่เชื่อฟังเขาต่อหน้าเพื่อให้เขาพอใจ
เท่านั้น แต่ให้รับใช้เหมือนที่เป็นทาสผู้รับใช้พระคริสต์ ให้ท่านทำตามพระดำริของพระเจ้าจากใจของท่าน

เอเฟซัส 6:7-8
จงรับใช้อย่างเต็มใจ เหมือนกับที่ท่านรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่รับใช้มนุษย์ เพราะท่านรู้อยู่ว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงให้รางวัลแก่ทุกคนที่ทำสิ่งดี ไม่ว่าคนนั้นเป็นทาสหรือเป็นไท
เอเฟซัส 6:9
ผู้ที่เป็นนายก็จงปฏิบัติต่อทาสอย่างเดียวกัน อย่าข่มขู่เคี่ยวเข็ญเขา ในเมื่อรู้อยู่ว่าองค์เจ้านายของท่านและของเขานั้นประทับในสวรรค์ และพระองค์ไม่ทรงเห็นแก่หน้าผู้ใด

เอเฟซัส 6:10
สุดท้ายนี้ ขอให้ท่านเข้มแข็งขึ้นในองค์พระผู้เป็นเจ้าและในฤทธิ์เดชยิ่งใหญ่ของพระองค์
เอเฟซัส 6:11
จงสวมยุทธภัณฑ์ของพระเจ้าให้ครบเพื่อท่านจะยืนหยัดต่อสู้กลลวงของมารได้
เอเฟซัส 6:12
เราไม่ได้ต่อสู้กับศัตรูที่เป็นเนื้อหนังและเลือด แต่ต่อสู้กับเหล่าเทพผู้ครอง เทพผู้มีอำนาจ เทพผู้ครอบครองโลกแห่งความมืดนี้ และต่อสู้กับบรรดาวิญญาณชั่วในฟ้าอากาศ

เอเฟซัส 6:13
ดังนั้น จงสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้าเพื่อท่านจะต้านทานในวันอันชั่วร้าย
และหลังจากที่ต่อสู้จนถึงที่สุดแล้วท่านก็ยังยืนหยัดอย่างมั่นคง

เอเฟซัส 6:14
ดังนั้นจงยืนมั่นด้วยความจริงที่คาดเอวและสวมเสื้อเกราะแห่งความชอบธรรมป้องกันอก
เอเฟซัส 6:15-16
สวมรองเท้าที่ทำให้พร้อมที่จะประกาศข่าวประเสริฐแห่งสันติสุขนอกจากนี้แล้ว จงถือโล่แห่งความเชื่อเพื่อใช้ดับลูกศรเพลิงทั้งสิ้นของมารร้าย
เอเฟซัส 6:17
จงสวมหมวกเหล็กแห่งความรอดและถือดาบแห่งพระวิญญาณ คือพระดำรัสของพระเจ้า

เอเฟซัส 6:18
จงอธิษฐานในพระวิญญาณทุกเวลาด้วยการอธิษฐาน และการวิงวอนในทุกเรื่อง จงกระตือรือร้นมีความอดทน และทูลวิงวอนเพื่อวิสุทธิชนของพระเจ้าทุกคน
เอเฟซัส 6:19
และอธิษฐานเผื่อข้าด้วย เพื่อว่าครั้งใดที่ข้าพูดพระเจ้าจะประทานถ้อยคำ
ที่จะสำแดงข้อลี้ลับแห่งข่าวประเสริฐได้อย่างกล้าหาญ
เอเฟซัส 6:20
เพราะข่าวประเสริฐข้าจึงเป็นทูตที่ถูกล่ามโซ่อยู่ ขออธิษฐานให้ข้าได้ประกาศด้วยใจกล้าอย่างที่ควร

เอเฟซัส 6:21
ทีคีกัส น้องชายที่รักเป็นผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ในองค์พระผู้เป็นเจ้า เขาจะบอกทุกอย่างให้ท่านรับทราบ ท่านจะได้ทราบว่า ข้าเป็นอยู่อย่างไรและกำลังทำอะไร
เอเฟซัส 6:22
ที่ข้าส่งเขาไปหาท่านก็เพื่อว่าให้ท่านทราบข่าวว่า พวกเราเป็นอย่างไร และ
เขาจะให้กำลังใจท่านด้วย

เอเฟซัส 6:23-24
ขอให้สันติสุขและความรักด้วยความเชื่อจากพระเจ้า องค์พระบิดา และองค์พระเยซูคริสต์เจ้าจงอยู่เหนือท่านทั้งหลาย ขอพระคุณอยู่กับคนทุกคนที่รัก
องค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเราด้วยความรักที่ไม่มีวันเสื่อมสลายไป

เอเฟซัส 6:1
ที่จริงแล้วท่านเปาโลได้ทบทวนบัญญัติสิบประการให้กับพี่น้องคริสเตียนอย่างเห็นได้ชัด การเชื่อฟังพ่อแม่จะทำให้ได้พรยิ่งใหญ่ และทำให้มีอายุยืนนานบนแผ่นดิน แต่เราสังเกตไหมว่า ท่านใช้คำว่าเชื่อฟังพ่อแม่ในองค์พระผู้เป็นเจ้า หากว่าพ่อแม่เราไม่ได้เชื่อพระเจ้า และขอให้ทำในสิ่งที่ผิด เราก็ต้องเชื่อฟังพระเจ้าก่อน…​

เอเฟซัส 6:2-3
การให้เกียรติพ่อแม่เป็นเรื่องที่ลูกทุกคนต้องทำถึงแม้ว่าพ่อแม่จะไม่ได้เป็นคนที่เชื่อพระเจ้า การตัดสินใจที่จะเชื่อฟังหรือไม่เราตัดสินใจเองได้
แม้เราต้องตัดสินใจทำสิ่งที่ผิดใจพ่อแม่ แต่ถูกต้องกับพระเจ้า ก็ไม่ได้หมายความว่า ไม่ให้เกียรติท่าน เราต้องฉลาดในการจัดการแต่ละสถานการณ์ แต่หากลูกให้เกียรติ ให้ความรักกับพ่อแม่ แม้มีความเชื่อไม่ตรงกัน ก็เป็นภาพที่งดงามมากเป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้าด้วย

เอเฟซัส 6:4
มีนักเทศน์ท่านหนึ่งเล่าว่า เคยเห็นพ่อล้อลูกเล่นจนกระทั่งลูกโกรธจัด หรือยั่วโมโหลูกแล้วยังรู้สึกสนุก บางทีเอาเรื่องไม่ดีของลูกไปเล่าให้เพื่อน
ฟังต่อหน้าเขา นั่นเป็นการทำลายความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างพ่อกับลูก และทำลายสิทธิอำนาจในฐานะที่เป็นพ่อ หน้าที่ของพ่อแม่คือ การนำให้ลูกเดินตามทางของพระเจ้า โดยมีตัวเขาเป็นต้นแบบเป็นความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ และมีเกียรติมาก

เอเฟซัส 6:5-6
แม้ในโลกปัจจุบันไม่มีใช้คำว่า ทาสแล้ว แต่เราก็หมายความถึงลูกจ้างได้ ไม่ว่าจะทำอะไรที่เป็นการรับจ้าง ก็ถืออยู่ในกรณีที่ท่านอาจารย์เปาโลกำลังกล่าวถึงได้ จุดสำคัญของท่านคือ การที่เราจะรับใช้ในหน้าที่การงานเหมือนกับที่เรารับใช้พระคริสต์อยู่ เราทำหน้าที่อย่างดีไม่ใช่เพื่อให้คนอื่นเห็นว่าทำ แต่มีแนวคิดที่ชัดเจนว่ากำลังรับใช้พระเจ้า เจ้านายเป็นตัวแทนของพระเจ้าที่มีในชีวิต

เอเฟซัส 6:7-8
การรับใช้อย่างซื่อสัตย์ และเต็มใจนั้น เราหาได้ไม่มากในโลกทุกวันนี้ ยิ่งมีโทรศัพท์มือถือติดตัว เราจะเห็นว่า แต่ละคนสามารถหลุดออกจากงานในมือหันไปหาโทรศัพท์ เปลี่ยนเป็นเรื่องอื่นที่สนใจได้อย่างรวดเร็วภายในวินาทีเดียวคนที่เป็นลูกจ้างจึงต้องมีจรรยาบรรณของตนเอง ไม่ว่าใครจะเห็นหรือไม่ เราก็ซื่อตรงต่อหน้าที่การงานในเวลา เพราะผู้ที่ให้รางวัลไม่ใช่แค่เจ้านายเท่านั้น แต่พระเจ้าเป็นผู้ตัดสินพระทัยหลัก

เอเฟซัส 6:9
ในโลกโบราณ ทาสเป็นเหมือนมนุษย์อีกพันธ์ุราวกับไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นสัตว์ที่กำลังรับใช้เจ้านายอยู่ การดูหมิ่นดูแคลนฐานะของทาสเป็นเรื่องปกติแต่สำหรับผู้เชื่อ ท่านเปาโลได้สอนให้เจ้านายปฏิบัติต่อทาสอย่างยุติธรรม ต่อพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้า เห็นชัดว่า ความเชื่อคริสเตียนเป็นความเชื่อที่เปลี่ยนสังคม ให้คนที่เชื่อมองคนอื่น เท่าเทียมกับตนไม่ว่าเขาจะเป็นใครก็ตาม เพราะพระเจ้าไม่ทรงเห็นแก่หน้าผู้ใดเป็นพิเศษ

เอเฟซัส 6:10
การเป็นผู้ที่ติดตามพระเจ้านั้่น ทำให้เราเป็นคนเข้มแข็ง กล้าหาญ และสามารถทำอะไรเกินได้อย่างมหัศจรรย์ เพราะว่า ความเข้มแข็งที่แต่ละคนมีนั้น ไม่ได้มาจากตัวเอง แต่มาจากพระเจ้า เราเห็นคนที่ป่วยเป็นมะเร็ง แต่ยังรับใช้พระเจ้าอย่างสดชื่น เห็นเด็กที่รักพระเจ้ากล้าหาญ ใครอยู่ใกล้ก็ได้กำลังใจไปด้วย ผู้รับใช้ต่างแดนที่ต้องอดทนอดกลั้นอย่างเหลือเชื่อ การเข้มแข็งในพระเจ้าในฤทธิ์ของพระอค์ …..เป็นหน้าที่ ๆ เราต้องทำ

เอเฟซัส 6:11
ทุกวันนี้การมุสา การหลอกลวงของมารเกิดขึ้นดาษดื่น เต็มโลกของเรา เวลาเราดูข่าว ดูเฟซบุ๊ค เอ็กซ์ ไอจี ติ๊กตอก ฯลฯ เราไม่รู้เลยว่าไหนจริง ไหนหลอก มารเป็นผู้ควบคุมโลกของการมุสาเหล่านี้ มันก้าวเข้าไปในโลกวิทยาศาสตร์ การแพทย์ ศิลปะ ความเชื่อ ฯลฯ และสร้างกรอบความคิดบนพื้นฐานของการโกหกหลอกลวงขึ้นมาวิธีที่จะไม่ตกหลุมลวงของมารก็คือ การสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้า

เอเฟซัส 6:12
เราต้องเข้าใจว่า เราไม่ได้แค่ต่อสู้กับมนุษย์ แต่ต่อสู้กับวิญญาณที่มองไม่เห็นซึ่งอยู่เบื้องหลังบุคคลที่เป็นศัตรูของความจริง ที่โลกนี้ต่อสู้กันไม่หยุดหย่อน ไม่อาจมีสันติสุขแท้จริงอย่างที่พระเจ้าประทานให้ก็เป็นเพราะมารครองโลกนี้อยู่และมันรู้ว่าเวลาของมันมีน้อย มันจึงขยันที่จะหลอกลวงให้คนออกจากทางของพระเจ้าอย่างมากชีวิตในพระเจ้าไม่ใช่ชีวิตที่มีสันติสุขของพระเจ้าแต่อย่างเดียวแต่มีการต่อสู้อย่างไม่หยุดหย่อนด้วย

เอเฟซัส 6:13
ต้องชัดเจนว่า คนที่มีสิทธิจะใส่ยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้าได้นั้น ไม่ใช่ใคร ๆ ก็ได้ในโลก แต่เขาต้องเป็นคนของพระองค์ และติดตามพระองค์อย่างใกล้ชิด ตามแบบหลุด ๆ รั่ว ๆ ก็ไม่ได้ด้วยเพราะการใส่ยุทธภัณฑ์นี้ มีความหมายถึงการที่เขาต้องเป็นทหารของพระคริสต์ เป็นผู้ที่จะต่อสู้เพื่อแผ่นดินของพระองค์ ต่อสู้เพื่อความจริง และเพื่อพี่น้องในพระคริสต์ และเพื่อตนเอง สำคัญคือ จะเห็นว่ามีทั้งการต้านทานและต่อสู้!

เอเฟซัส 6:14
สิ่งแรกคือความจริงที่เอว ความชอบธรรมของพระคริสต์เป็นเสื้อเกราะป้องกันอก เสื้อผ้าสมัยก่อนเป็นเสื้อยาวที่ต้องการที่คาดเอวเพื่อไม่ให้เสื้อลุ่ยลงมาเดินลำบาก ความจริงทำให้การเคลื่อนไหวเป็นไปโดยสะดวก ก้าวหน้า ชัดเจน ในฝ่ายวิญญาณเราต้องการความจริงจากพระคำเพื่อต่อต้านความเท็จที่ระบาดในสังคม การใช้ความชอบธรรมป้องกันจิตใจความคิดของเรา

เอเฟซัส 6:15-16
ความพร้อมที่จะกล่าวพระนาม ประกาศความรอดเป็นเหมือนรองเท้า และยังต้องถือโล่ที่ดับเพลิงแห่งศรความมุสา ความโหดร้ายต่าง ๆ ของมารที่พุ่งมายังเรา ท่านเปาโลใช้คำว่าศรเพลิงของมาร ไม่ใช่ลูกธนูธรรมดา แต่พร้อมที่จะจุดไฟเผาไหม้ศัตรูเราจะเห็นว่ายุทธภัณฑ์ทั้งหมดมีทั้งสำหรับป้องกันต้านรับ และสำหรับที่จะรุกไปข้างหน้า พระเจ้าไม่ทรงประสงค์ให้เราเอาแต่ตั้งรับอย่างเดียว 

เอเฟซัส 6:17
อีกสองอย่างในยุทธภัณฑ์คือ ความรอด และพระดำรัสของพระเจ้า ความรอดทำให้เราเป็นลูกของพระเจ้า เป็นผู้ที่พระเจ้าทรงปกป้องให้พ้นภัยต่าง ๆ คนที่มีความรอดแล้ว ก็จะไม่ตกไปในเงื้อมมือของมารง่าย ๆ ยกเว้นว่าเขาไม่เห็นคุณค่าของความรอด และไม่รักษาความรอดนั้นไว้ ส่วนพระแสงของพระวิญญาณคือพระคำ เป็นส่วนที่จะบุกเข้าไปในเขตแดนของมาร ในหัวใจของคนที่ยังถูกมารครอบครอง

เอเฟซัส 6:18
แม้จะสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้าแล้ว แต่เราต้องไม่ลืมว่า ทหารต้องลงมือรบ ไม่ใช่แค่เข้าประจำการแล้วนั่งกันเฉย ๆ การอธิษฐานที่ท่านเปาโลสั่งครั้งนี้ น่าสนใจมากคือคำ ทุกเวลา ทุกเรื่อง ทุกคน ใช่แล้ว ทุกเวลาคือนอกจากที่จะจัดเวลาสำหรับการอธิษฐานแล้ว ยังต้องนำทุกเรื่องมาทูลต่อพระเจ้า และพร้อมที่จะอธิษฐานเผื่อทุกคนที่เรื่องราวของเขามาถึงเรา ไม่ว่าเราจะรู้จักเขาหรือไม่ เพราะพระเจ้าทรงรู้จักทุกคนดี

เอเฟซัส 6:19
ผู้รับใช้ของพระเจ้าทุกคนที่ออกไปเป็นแนวหน้าต้องการและจำเป็นต้องมีคนที่อธิษฐานเผื่อในแนวหลัง จะปล่อยให้พวกเขาไปตามลำพังไม่ได้ เพราะพวกเขาเป็นเป้าของศัตรูที่พยายามทำลายทุกวิถีทาง โดยใช้ทุกอย่างที่จะล่อลวง ล่อหลอกให้พวกเขาล้มลง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเงิน ชีวิตส่วนตัว ชีวิตครอบครัว ชื่อเสียง สุขภาพ ฯลฯ ท่านเปาโลเตือนให้เราเห็นตัวอย่างกว่าสองพันปีมาแล้ว …

เอเฟซัส 6:20
จากข้อความตอนนี้ทำให้เรารู้ว่า ท่านเปาโลมองตัวเองเป็นทูตแห่งข่าวประเสริฐที่ถูกจำจองก็เพราะการประกาศข่าวนั้น แต่ท่านไม่ได้มีกรอบความคิดแบบคนทั่วไป ท่านมองว่า ท่านคือทูตของพระเจ้าที่มีเครื่องประดับตัวที่งดงาม เพราะคำว่าโซ่นี้แม้จะหมายถึงโซ่ตรวน แต่หากเป็นทูตที่มีโซ่ความหมายกลับกลายเป็นเรื่องของเครื่องประดับที่ทูตมักสวมไปขณะที่ทำหน้าที่ของเขา

เอเฟซัส 6:21
ในการรับใช้พระเจ้า เราไม่ได้ทำงานคนเดียว แต่มีเพื่อนร่วมงานที่ไว้ใจได้ เราเห็นว่า ท่านเปาโลมีผู้ร่วมรับใช้ที่ซื่อสัตย์หลายคน และในยุคของท่านเอง ยังมีผู้รับใช้ในท้องที่ต่าง ๆ แต่ละคนออกไปประกาศ เป็นพยานตั้งคริสตจักรอย่างไม่กลัวตายคนรุ่นแรกได้เป็นตัวอย่างให้กับพวกเรา เป็นคนกลุ่มที่พระเจ้าจะตรัสกับเขาว่า “ดีแล้ว เจ้าเป็นบ่าวที่ดีและซื่อสัตย์”  มัทธิว 25:21

เอเฟซัส 6:22
ขอบคุณพระเจ้าที่จดหมายของท่านเปาโลซึ่งเขียนจากเรือนจำ เขียนจากหลาย ๆ ที่ ได้กลายเป็นบทเรียนที่ทำให้เรารู้จักพระเจ้าอย่างมากมาย เป็วรรณกรรมจดหมายที่ขาดไม่ได้จริง ๆ งานของท่านทำให้เราทราบความหมายของการที่พระเยซูทรงมาบังเกิดในโลก ทำให้เราเห็นภาพของการรับใช้พระเจ้าในโลกโบราณ และเห็นความต่อเนื่องในการประกาศพระกิตติคุณ เห็นการติดต่อสื่อสารส่งกำลังใจ และการรับใช้ที่สู้ไม่ถอย

เอเฟซัส 6:23-24
คนที่รักพระเยซู เป็นคนที่ได้รับพรมากเหลือเกินเพราะในชีวิตของเขาจะมีทั้งพระคุณ ซึ่งเป็นความดีต่าง ๆ ของพระเจ้าที่เพิ่มมาจากพระคุณที่พระเจ้าได้ประทานให้คนในโลก เขามีสันติสุข มีความรักและความเชื่อที่ช่วยทำให้เขารับใช้ได้โดยไม่บ่นเต็มใจรับใช้ เพราะเขาได้รับพลังพิเศษจากพระเจ้า คนที่รับใช้พระเจ้าด้วยรักที่ไม่มีวันหายไปนั้นบอกได้ว่า พิเศษมาก

พระคำเชื่อมโยง

1* โคโลสี 3:20-25; สุภาษิต 23:22, 6:20, 1:8
2* อพยพ 10:12; เฉลยธรรมบัญญัติ 27:16; มัทธิว 15:4-6; สุภาษิต 20:20
3* เฉลยธรรมบัญญัติ 5:16;,4:40, 12:28, 12:25
4* โคโลสี 3:21; สุภาษิต 22:6, 29:15, 19:18 เฉลยธรรมบัญญัติ 6:7
5* 1 เปโตร 2:18-21; ทิตัส 2:9-10; โคโลสี 3:17-24; 1 ทิโมธี 6:1-3
6* โคโลสี 3:22-23; 1 เธสะโลนิกา 2:4; กาลาเทีย 1:10; เอเฟซัส 5:17
7* โคโลสี 3:23; เอเฟซัส 6:5-6; 1 โครินธ์ 10:31
8* โคโลสี 3:24, 3:11; ลูกา 14:14; มัทธิว 16:27

9* โคโลสี 3:25-4:1; กิจการ 10:34; โรม 2:11; โยบ 31:13-15
10* ฟีลิปปี 4:13; อิสยาห์ 40:31; โยชูวา 1:9; 1โครินธ์ 16:1311* 2 โครินธ์ 10:4; โรม 13:12; 1 เธสะโลนิกา 5:8; เอเฟซัส 6:13
12* โคโลสี 1:13; 2 โครินธ์ 4:4; เอเฟซัส 2:2; กิจการ 26:18
13* 2 โครินธ์ 10:4; เอเฟซัส 6:11-17, 5:16; ลูกา 21:36; มาลาคี 3:2
14* อิสยาห์ 59:17, 11:5; 1 เธสะโลนิกา 5:8; ลูกา 12:35; 1 เปโตร 1:1315* อิสยาห์ 52:7; โรม10:15; 2 โครินธ์ 5:18-21
16* 1 เปโตร 5:8-9; 1 ยอห์น 5:4-5; สดุดี 56:3-4
17* ฮีบรู 4:12; อิสยาห์ 59:17, 49:2 ; วิวรณ์

19:15; 1 เธสะโลนิกา 5:8
18* 1 เธสะโลนิกา 5:17; โคโลสี 4:2; 1 ทิโมธี 2:1; ฟีลิปปี 4:6
19* โคโลสี 4:3; กิจการ 4:29; 2 เธสะโลนิกา 3:1
20* 2 โครินธ์ 5:20; โคโลสี 4:4; 2 ทิโมธี 2:9; ฟีลิปปี 1:7
21* กิจการ 20:4; 2 ทิโมธี 4:12; ทิตัส 3:12
22* โคโลสี 4:7-8; ฟีลิปปี 2:25; 2 เธสะโลนิกา 2:17
23* กาลาเทีย 6:16, 5:6; 1 เปโตร 5:14; 1 ทิโมธี 1:14; สดุดี 122:6-9
24* มัทธิว 22:37; ทิตัส 3:15, 2:7; 2 ทิโมธี 4:22


มาระโก 7 เหนือประเพณี ใจ เชื้อชาติ โรคร้าย

ประเพณีดังเดิมสืบจากบรรพบุรุษ
1 แล้วมีฟาริสีและธรรมาจารย์จากเยรูซาเล็มมาห้อมล้อมพระเยซู
2 พวกเขาเห็นศิษย์ของพระองค์บางคนกินอาหารด้วยมือมลทินนั่นคือไม่ได้ล้างมือ
3 เพราะฟาริสีและพวกยิวจะไม่กิน จนกว่าจะได้ล้างมือตามประเพณีบรรพบุรุษเสียก่อน
4 และหากกลับจากตลาด ก็จะไม่กินจนกว่าจะได้ล้างมือ และยังมีประเพณีอื่น ๆ ที่ต้องทำตามอีกเช่น การล้างถ้วย การล้างเหยือก กาน้ำ และภาชนะอื่น ๆ
5 พวกฟาริสีและธรรมาจารย์จึงถามพระเยซูว่า “เหตุใดศิษย์ของท่านจึงไม่ดำเนินตามประเพณีบรรพบุรุษ? แต่กลับกินอาหารด้วยมือมลทิน?


6 พระเยซูทรงตอบกลับว่า “อิสยาห์ได้กล่าวคำล่วงหน้าถึงพวกเจ้าคนหน้าซื่อใจคดอย่างถูกต้องที่เขียนไว้ว่า “คนเหล่านี้ให้เกียรติเราด้วยปาก แต่ใจของพวกเขาห่างจากเรา
7 พวกเขานมัสการเราอย่างไร้ความหมาย พวกเขาสอนกฎต่าง ๆ ของมนุษย์
8 เจ้าไม่ใส่ใจพระบัญชาของพระเจ้า และกลับไปถือรักษาประเพณีของมนุษย์”

9 พระองค์ตรัสต่อไปว่า “เจ้าได้หลบเลี่ยงพระบัญชาของพระเจ้าเพื่อจะได้รักษาประเพณีของตน
10เพราะโมเสสกล่าวว่า ..จงให้เกียรติบิดาและมารดาของเจ้า.. และ..คนใดที่ด่าแช่งพ่อแม่จะต้องรับโทษถึงชีวิต..
11 แต่เจ้ากลับกล่าวว่า ถ้าคนใดกล่าวแก่พ่อหรือแม่ว่า “สิ่งที่ท่านจะได้รับจากข้าพเจ้านั้น เป็น โกระบาน นั่นคือ ของถวายแด่พระเจ้าแล้ว”
12 พวกเจ้าก็ไม่อนุญาตให้เขาทำสิ่งใดให้กับพ่อ แม่อีกต่อไป
13 เท่ากับเจ้าได้ยกเลิกพระดำรัสของพระเจ้าด้วยประเพณีที่เจ้าทำสืบเนื่องกันต่อ ๆ มา
และเจ้ายังทำแบบนี้อีกหลายอย่างด้วย”

สิ่งที่ทำให้มนุษย์เป็นมลทิน
14 อีกครั้งที่พระเยซูทรงเรียกฝูงชนเข้ามา และตรัสว่า
“ทุกคนจะฟังเรา และจงเข้าใจตามนี้
15ไม่มีสิ่งใดจากภายนอกที่เข้าไปในร่างมนุษย์แล้วจะทำให้เขาเป็นมลทิน
แต่สิ่งที่ออกมาจากมนุษย์ต่างหากที่ทำให้เขาเป็นมลทิน
16 ใครมีหูก็จงฟังเถิด


17 หลังจากที่พระเยซูทรงละจากผู้คนและเข้ามาในบ้าน
ศิษย์ของพระองค์ก็ถามเรื่องคำอุปมานั้น
18 “เจ้ายังคิดไม่ออกอีกหรือ?” พระองค์ตรัสถาม “เจ้าไม่เข้าใจหรือว่า สิ่งใด ๆ จากภายนอก ที่เข้าไปในร่างของมนุษย์ ไม่ได้ทำให้เขาเป็นมลทิน
19 เพราะมันไม่ได้เข้าไปในใจ แต่เข้าไปในท้อง แล้วก็ออกจากร่างกายไป”
(พระองค์ทรงประกาศว่า อาหารทั้งสิ้น ไม่มีมลทิน)
20 แล้วตรัสต่อไปว่า “สิ่งที่ออกมาจากมนุษย์คือสิ่งที่ทำให้เขาเป็นมลทิน
21 เพราะจากใจของมนุษย์ คือความคิดชั่ว ความผิดทางเพศ การขโมย ฆาตกรรม และการล่วงประเวณี
22 ความโลภ ความชั่วร้าย การหลอกลวง ราคะตัณหา การอิจฉา การสบประมาทผู้อื่น ความยโสจองหอง และความโง่เขลา
23ความชั่วเหล่านี้มาจากข้างในและทำให้มนุษย์เป็นมลทิน

ความเชื่อของหญิงซีเรียฟินิเชีย
24 แล้วพระเยซูทรงละจากที่นั่นเข้าไปยังเขตเมืองไทระโดยไม่ทรงประสงค์จะให้ใครรู้ว่าทรงอยู่ที่นั่น ทรงเข้าไปในบ้านหลังหนึ่ง แต่แล้ว ก็มีคนสังเกตเห็นพระองค์จนได้
25 มีหญิงคนหนึ่งที่มีลูกสาวตัวเล็ก ๆ ถูกวิญญาณโสโครกสิงอยู่ ได้ยินข่าวเรื่องพระองค์ เธอจึงเข้ามาหมอบแทบพระบาท
26 เธอเป็นหญิงชาวกรีก ที่เกิดในซีเรียฟินิเชีย และเธอเฝ้าอ้อนวอนขอให้พระเยซูทรงช่วยขับผีออกจากลูกสาวของเธอ


27 “ต้องให้ลูก ๆ กินอิ่มก่อนนี่นา ไม่ถูกต้องเลยที่จะเอาขนมปังของลูกโยนให้ลูกสุนัข” พระองค์ตรัส
28“ใช่แล้วเจ้าค่ะ พระผู้เป็นเจ้า” เธอตอบ “แม้แต่สุนัขใต้โต๊ะก็ยังกินเศษอาหารที่เหลือจากลูก”
29 พระเยซูจึงตรัสกับเธอว่า “เพราะคำตอบนี้ เจ้าไปได้ ผีร้ายได้ออกจากลูกสาวของเจ้าแล้ว”
30 เธอจึงกลับบ้านไปพบว่า ลูกสาวนอนอยู่บนเตียง และผีออกไปจากตัวเด็กน้อยแล้ว

ทรงรักษาคนหูหนวกเป็นใบ้
(Matthew 9:27–34)
31 แล้วพระเยซูทรงละจากแคว้นเมืองไทระและทรงเดินทางผ่านไซดอนไปยังทะเลสาบกาลิลี เข้าไปในเขตทศบุรี
32 มีบางคนนำคนหูหนวกที่เกือบพูดไม่ได้มาหาพระองค์ และพวกเขาขอพระองค์ทรงวางมือบนเขา
33 ดังนั้น พระองค์ทรงนำเขาออกมาจากฝูงชน อยู่เป็นส่วนตัว และทรงเอานิ้วพระหัตถ์แยงเข้าไปในหูของเขา จากนั้นทรงถ่มน้ำลายเอาไปแตะที่ลิ้นของช่ายคนนั้น
34 และทรงมองไปยังฟ้าสวรรค์ ถอนพระทัยลึก ๆ ตรัสกับเขาว่า “เอฟฟาธา” ซึ่งหมายความว่า จงเปิดออก
35 ทันใดนั้นเอง หูของเขาก็เปิด ลิ้นของเขาก็เคลื่อนไปมาได้ และเขาก็เริ่มต้นพูดเป็นปกติ
36 พระเยซูทรงสั่งพวกเขาไม่ให้บอกใคร แต่ยิ่งสั่งพวกเขาก็ยิ่งประกาศโพทนาเรื่องนี้มากขึ้น ๆ
37 ผู้คนแปลกใจมาก และกล่าวว่า “พระองค์ทรงทำทุกอย่างดีมาก ดูสิ ทรงทำให้แม้แต่คนหูหนวกได้ยิน และคนใบ้พูดได้”

คำอธิบายเพิ่มเติม

มาระโก 7:1-13
จากพระคำตอนนี้ เราจะเห็นว่า ฟาริสีและธรรมาจารย์ได้ให้ความสำคัญกับประเพณีของบรรพบุรุษเป็นอย่างมาก กฎเล็ก กฎน้อยเหล่านี้ เป็นกฎที่เล่าต่อกันมา พวกเขาเชื่อว่าถ้าทำตามกฎเหล่านี้ ก็จะช่วยให้ทำตามพระบัญญัติได้ และการทำได้ ก็จะทำให้พระเจ้าพอพระทัย พวกเขาบังคับการใช้ชีวิตของผู้ึคน แม้การล้างมือ ก่อนกินอาหาร วิธีการกิน​ฯลฯ และการทำตามกฎเหล่านี้ ทำให้พวกฟาริสี ธรรมาจารย์ทั้งหลาย มีความรู้สึกว่า ตนเองดีเหนือชาวบ้านชาวเมืองธรรมดา และยังยกระดับกฎเล็กน้อยเหล่านี้เหนือพระบัญญัติที่พระเจ้าประทานแก่โมเสส
พวกเขาถึงกับเข้าใจว่า การที่ทำตามประเพณีเช่นการล้างมือให้สะอาด เป็นหนึ่งในวิธีการที่จะทำให้ได้รับความรอดบางครั้งเราเองก็มีความคิดคล้ายคลึงกัน เพียงแต่เปลี่ยนเนื้อหาเพราะสังคมเปลี่ยนไป
เราอาจจะบอกคนหนึ่งว่า คุณจะเข้าหาพระเจ้าได้ก็ต้องเลิกเหล้า บุหรี่เสียก่อน คุณต้องเป็นคนสะอาดก่อนจึงจะเข้าหาพระเจ้าได้ ซึ่งความจริงนั้น พระเยซูได้ทรงตายเพื่อคนบาปทั้ง ๆ ที่เขายังเป็นคนบาปอยู่ การสนใจในพระบัญชาจริง ๆ ของพระเจ้า เงื่อนไขจริงของพระเจ้าสำคัญกว่าความคิดอันย้อนแย้งและสับสนของพวกเรา
ในข้อสิบสามพระเยซูได้กล่าวถึงการที่พวกเขายกเลิกพระดำรัสตรง ๆ ของพระเจ้า แล้ว เอาข้อบังคับทางประเพณีต่าง ๆ มาใช้แทนพระคำตอนนี้ เตือนเราว่า อย่าได้ถือเอาความเห็นของมนุษย์มาเหนือพระคำของพระเจ้าเด็ดขาด ทั้งยอห์นผู้ให้บัพติศมา และพระเยซู ได้กลายเป็นศัตรูสำคัญของเหล่าปุโรหิต ฟาริสี และธรรมาจารย์ เพราะไม่ยอมให้กฎของพวกเขามาเหนือพระดำรัสของพระเจ้า!

มาระโก 7:14-23
สืบเนื่องมาจากความเชื่อที่ว่า กฎต่าง ๆ ทำให้คนเราสะอาดขึ้นมาได้ ธรรมาจารย์ ฟารีสี ปุโรหิตทั้งหลายจึงระวังรักษากฎเพื่อที่จะให้ตนเองไม่เป็นมลทิน ไม่ใช่แค่พวกเขา แม้แต่ศิษย์ของพระเยซูเองก็ยังคงเชื่อเช่นนั้น พอพระเยซูตรัสบอกว่า ความสกปรกมาจากในตัวมนุษย์เอง ทำให้พวกเขาถึงงง ตั้งแต่เป็นเด็กมาก็รู้ว่า ต้องรักษากฎที่มาจากศาลาธรรมชีวิตจึงจะสะอาดนี่นา
เป็นอีกครั้งที่พระเยซูตรัสว่า ใครมีหูจงฟังเถิด ซึ่งจริง ๆ แล้ว คำ ๆ นี้สำคัญมาก บอกให้รู้ว่า คนแต่ละคนมีความสามารถในการฟัง และไตร่ตรอง และนำไปใช้ในชีวิตไม่เท่ากัน คนที่ฟังดี และคิดต่อได้ดี จะทำให้ชีวิตเปลี่ยนและเจริญขึ้น คงจะต้องกลับไปหาเยเรมีย์ 17:9-10 ที่เตือนไว้ว่า ใจของมนุษย์นั้นหลอกลวงและชั่วร้ายเหนืออื่นใด ดังนั้นการที่ใครคนหนึ่งจะสะอาดเฉพาะพระเจ้าได้ ต้องใช้เงื่อนไขกฎแห่งพระคุณของพระเจ้า กฎการสำนึกผิด การกลับใจ การให้อภัยบาปจากพระเจ้า ไม่ใช่ด้วยกฎที่เกิดจากการกระทำ ดังนั้นเราจึงเห็นว่า การนำพระคำของพระเจ้าไปใช้ในชีวิตเป็นเรื่องของจิตใจที่เปลี่ยน ไม่ใช่การกระทำตามกฎใหม่ ๆ ที่คิดว่าใช้ได้

มาระโก 7:24-30
น่าเสียดายจริง ๆ ในขณะที่ผู้นำยิว ธรรมาจารย์คนอื่น ๆ และแม้แต่ศิษย์ของพระองค์เอง ยังไม่ค่อยเข้าใจว่า พระองค์คือผู้ใด พวกเขาติดตามพระองค์และเห็นการอัศจรรย์มากมาย แต่ก็ยังขาดความเข้าใจในบางเรื่อง เราเห็นว่า แม้แต่ผีมาร (1:24; 5:7)และธรรมชาติยังยอมรับ (4:39) และเชื่อฟังพระองค์มากกว่าคนเสียอีก เป็นจริงอย่างที่ยอห์น 1:11 บันทึกไว้ว่า พระองค์เสด็จมายังบ้านเมืองของพระองค์แต่คนของพระองค์กลับไม่ต้อนรับพระองค์​ นี่เป็นบันทึกเดียวที่กล่าวถึงการที่พระเยซูออกไปนอกเขตแดนอิสราเอล และเป็นการเดินทางออกไปไกลมาก
พระเยซูทรงประสงค์ที่จะพักผ่อน และทรงเข้าไปในบ้านของคน ๆ หนึ่งที่ต้อนรับพระองค์ แต่มีคุณแม่ชาวต่างชาติที่ไม่ใช่ยิว รู้ว่า พระเยซูทรงอยู่ในบ้านนั้น ทั้ง ๆ ที่พระองค์ทรงตั้งพระทัยไม่ให้ใครรับรู้ และการพบปะครั้งนี้ ดูเหมือนพระเยซูทรงไม่สนพระทัยคนที่ตั้งใจมาหาพระองค์เสียด้วย
พระเยซูจะทรงทำอะไรกับหญิงต่างชาติที่มาขอให้ช่วยขับผีออกจากลูกสาวตัวเล็ก ๆ ซึ่งนอนซมอยู่ที่บ้าน?
จากเรื่องนี้ พระเยซูทรงทำเหมือนเมินเฉยต่อคำขอร้อง และยังเปรียบเธอเหมือนลูกสุนัขในบ้านที่คอยกินอาหารตกจากโต๊ะนาย แต่เธอยินดีที่จะเป็นลูกสุนัขตัวนั้น ขอเพียงพระเยซูทรงรักษาลูกสาวของเธอ
แล้วพระเยซูก็ทรงรักษาเพราะเธอตั้งใจมาหาพระองค์ คำตอบของเธอเป็นที่พอพระทัย แสดงถึงความเชื่อที่ไม่ยอมแพ้ แม้ว่าจะเป็นคนต่างชาติที่ยิวไม่ชอบ จะเห็นภาพชัดเจนของความเชื่อที่ก้าวข้ามทั้งความเป็นหญิงต่างชาติ เป็นคนที่ดูต่ำต้อย ก้าวข้ามคำที่เหมือนดูถูก แต่ความเชื่อยิ่งใหญ่นัก เป็นคนที่ได้รับพระพรเหนือธรรมาจารย์ และศิษย์เสียด้วยซ้ำ

มาระโก 7:31-37
​​​ เหตุการณ์ครั้งนี้ เกิดขึ้นขณะที่พระเยซูอยู่ในแคว้นทศบุรีทางตะวันออกของทะเลสาบกาลิลี เป็นถิ่นที่อยู่ของคนต่างชาติ มีคนนำพาชายหูหนวกและเกือบใบ้คนหนึ่ง มาหาพระเยซู คนที่ได้ยิน ได้รู้เรื่องของพระองค์มีน้ำใจพามา มีความเชื่อว่าเขาจะหายโรค
สำหรับชายคนนี้ พระองค์ทรงสัมผัสตัวเขา เอานิ้วของพระองค์แยงเข้าหู ทรงใช้น้ำลายของพระองค์แตะลิ้นเขาด้วย พระองค์ทรงช่วยทั้งหู และปากของเขาในเวลาเดียวกัน พระเยซูทรงมองไปยังฟ้าสวรรค์ ทรงติดต่อกับพระบิดาผู้ทรงฤทธิ์ แล้วถอนพระทัยที่บาปร้ายในโลกทำให้ชายคนนี้ต้องทนทุกข์ทรมานแล้วพระดำรัสสั่งของพระเยซูทำให้ชายหูหนวกที่เกือบพูดไม่ได้ มีหูที่เปิด และลิ้นสามารถขยับไปมาได้สามารถพูดเป็นปกติ ซึ่งก่อนหน้านี้ เขาพูดไม่ชัด เพราะหูไม่ได้ยินคำที่ถูกต้องเลย
จากเรื่องนี้ทำให้เรามั่นใจว่า ในวันนี้พระเยซูทรงทำให้คนที่หูหนวกฝ่ายวิญญาณได้ยินเสียงของพระเจ้าเป็นครั้งแรกได้ เช่นกัน เรามีความเชื่อเหมือนเพื่อนที่นำเขามาหาพระเจ้าได้
ดูสิ เมื่อพระเจ้าทรงอยู่ท่ามกลางประชาชนของพระองค์ จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง อิสยาห์บอกเราไว้ใน อิสยาห์ 35:5-6
4 จงกล่าวแก่คนที่ขลาดกลัวว่า “จงเข้มแข็ง อย่ากลัวไป พระเจ้าของเจ้าอยู่ที่นี่ พระองค์เสด็จมาพร้อมกับการแก้แค้นการตอบสนองของพระองค์กำลังมาพระองค์จะทรงช่วยเจ้า 5 แล้วคนตาบอดจะมองเห็นคนหูหนวกจะได้ยิน
6 คนง่อยจะโลดเหมือนกวางและลิ้นของคนใบ้จะร้องเพลงแห่งความยินดี

การห้ามบอกใครเรื่องการหายโรคนี้ ไม่ได้ผล ชายหูหนวกเที่ยวประกาศให้ใคร ๆ รู้ว่า เขาได้ยินแล้ว พูดได้แล้ว นี่เป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่สุดในชีวิต เมื่อเราได้เปิดหูฝ่ายวิญญาณของเรา ได้ยินสิ่งที่พระเจ้าตรัสอย่างที่ไม่เคยมาก่อน ก็จะมีความตื่นเต้น และต้องขอบอกให้โลกรู้อย่างชายคนนี้แหละ

พระคำเชื่อมโยง

1* มัทธิว 15:1-20
2* มัทธิว 15:20
3* มาระโก 7:5, 8,9,13; กาลาเทีย 1:14; 1 เปโตร 1:18
5* มัทธิว 15:2
6* มัทธิว 23:13-29; อิสยาห์ 29:13
9* สุภาษิต 1:25; อิสยาห์ 24:5; เยเรมีย์ 7:23-24
10* อพยพ 20:12; เฉลยธรรมบัญญัติ 5:16; มัทธิว 5:4; อพยพ 21:17; เลวีนิติ 20:9; สุภาษิต 20:20

11* มัทธิว 15:5; 23:18
14* มัทธิว 15:10; 16:9, 11, 1215* อิสยาห์ 59:3; ฮีบรู 12:15
16* มัทธิว 11:15
17* มัทธิว 15:15
18* อิสยาห์ 28:9-11; 1โครินธ์ 3:2; ฮีบรู 5:11-14
20* สดุดี 39:1 มัทธิว ยากอบ
21* ปฐมกาล สดุดี เยเรมีย์ มัทธิว กาลาเทีย 2 เปโตร 1 เธสะโลนิกา
22* ลูกา โรม 1 เปโตร วิวรณ์ 1ยอห์น

24* มัทธิว มาระโก
25* มาระโก ยอห์น วิวรณ์31* มัทธิว มาระโก ยอห์น ลูกา กิจการ 1โครินธ์
32* มาระโก ลูกา
33* มาระโก ยอห์น
34* มาระโก ยอห์น
35* อิสยาห์ 35:5-636* มาระโก 5:43
37* มาระโก 6:51; 10:26; มัทธิว 12:22