วีดิทัศน์ เรื่องจากพระคัมภีร์

คำสอนและเรื่องราวจากพระคัมภีร์ใหม่ ออกแบบมาเพื่อผู้ใหญ่กับเด็กจะดูด้วยกัน เพื่อผู้ที่สนใจ จะได้คุ้นเคยกับพระเยซู และคำตรัสของพระองค์ ช่วยให้เด็กในบ้าน เด็กเพื่อนบ้าน ได้เข้าใจความรัก และพระเมตตา การอัศจรรย์ที่พระเยซูทรงทำ
มาเรียนรู้จัก สัมผัสความรักของพระเจ้า และรักพระองค์ตามทางแห่งพระคำ

และยังมีอีกหลายเรื่องที่คุณเข้าไปค้นได้ใน youtube : prakham

1 โครินธ์ 13 ความหมายแห่งรัก

1 โครินธ์ 13:1-3
แม้ว่าข้าจะพูดเป็นภาษาแปลกที่ไม่รู้จัก ไม่ว่าจะเป็นภาษาของมนุษย์หรือของทูตสวรรค์ แต่ไม่มีความรัก ข้าก็เป็นแค่เสียงฆ้องหรือฉาบที่ส่งเสียงอยู่เท่านั้น
แม้ข้าจะเผยพระดำรัสของพระเจ้าได้มีความรู้ในสิ่งล้ำลึก รอบรู้ในทุกเรื่องมีความเชื่อจนเคลื่อนภูเขาได้ แต่ไม่มีความรัก ตัวข้าก็ไม่มีค่าอะไรเลย
ถ้าข้าแจกจ่ายสิ่งของที่มีแก่คนขัดสนและยอมเอาตัวไปเผาไฟ แต่หากไม่มีความรัก ก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย

1 โครินธ์ 13:4-8
ความรักเริ่มต้นที่ความอดทนนานและใจเมตตาปราณี
ความรักไม่อิจฉา ไม่โอ้อวด ไม่หยิ่งยโส ไม่หยาบคาย ไม่เห็นแก่ตัว ไม่โกรธง่าย ไม่ช่างจำความผิด ไม่พอใจกับการทำผิด
แต่ยินดีกับความจริง
ความรักทนต่อทุกอย่าง เชื่อมั่นอยู่เสมอ มีความหวังใจ และมีหัวใจพากเพียร บากบั่นในทุกสิ่ง
ความรักนั้นยืนยงมั่นคงนิรันดร์
แม้การเผยพระคำจะเลิกไป หรือการพูดภาษาที่แปลกจะเลิกไป หรือความรู้ใด ๆ จะเสื่อมไป

1 โครินธ์ 13:9-11
เป็นเพราะว่า เรามีความรู้เพียงบางส่วนและเผยพระคำเพียงบางส่วนแต่เมื่อความสมบูรณ์เพียบพร้อมมาถึงความไม่สมบูรณ์นั้นจะสูญไป

เมื่อข้ายังเป็นเด็ก ข้าพูดอย่างเด็กคิดและหาเหตุผลอย่างเด็ก
แต่เมื่อข้าเป็นผู้ใหญ่ ข้าก็เลิกพฤติกรรมอย่างเด็ก

1 โครินธ์ 13:12-13
เพราะเวลานี้ เราเห็นภาพสะท้อนมัว ๆ เหมือนดูในกระจก แต่ในเวลานั้นเราจะเห็นภาพชัดตามความเป็นจริง
เวลานี้ข้ารู้เพียงบางส่วน แต่ในเวลานั้นข้าจะรู้ชัดเจนแจ่มแจ้งเหมือนกับที่พระองค์ทรงรู้จักข้า
และบัดนี้ สามสิ่งที่ยังคงอยู่ก็คือ ความเชื่อ ความหวังใจ และความรัก
แต่สิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าทั้งหมด ก็คือความรัก

คำอธิบายเพิ่มเติม

1 โครินธ์ 13:1-3
หนังสือ 1 โครินธ์บทที่ 13 นับได้ว่า เป็นข้อพระคำที่ผู้คนรู้จักกันมากที่สุด เพราะมีการนำมาร้องเป็นเพลงรัก และใช้อ่านในงานแต่งงานกันเสมอแต่พระคำข้อแรกนี้ กำลังแนะนำเราว่า การมีของประทานที่ปราศจากความรักนั้น ไม่มีประโยชน์อันใดในสายพระเนตรของพระเจ้า ดังนั้น คน ๆหนึ่งที่มีของประทานจากพระเจ้า อาจสอนเก่ง เทศน์เกิดผล พูดและแปลภาษาที่แปลกได้ รักษาโรคได้ แต่หากไร้รัก ก็ไร้ค่าสำหรับตัวเขาเอง
จะเห็นว่าการใช้ของประทานนั้น บางคนอาจใช้โดยไม่ได้มีความรักเลย เขาเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกให้เผยพระคำ ให้แบ่งปันความรู้ ให้มีความเชื่อเพื่อช่วยเหลือพี่น้องแต่หากไร้ซึ่งความรัก สิ่งที่ทำสำเร็จกลับไม่มีค่าเป็นความสำเร็จที่ไม่สมบูรณ์แบบ ไม่เต็มร้อย มีคนกล่าวว่า สัญญาณว่าคน ๆ หนึ่งเต็มด้วยพระวิญญาณของพระเจ้าไม่ใช่การอัศจรรย์ต่าง ๆแต่เป็นความรัก
ท่านเปาโลยังอธิบายต่อไปว่า จะเป็นคนใจดีแจกจ่ายให้คนอื่นมากมาย ทำงานที่ทำให้คนอื่นได้ดี แถมยังยอมแม้กระทั่งทำร้ายตัวเอง ยอมถูกทรมานเพื่อความเชื่อ ถึงขนาดนั้นแล้วท่านเปาโลยังมองว่าหากไม่ประกอบด้วยความรัก นั่นจะไม่มีค่าอะไรเลย
ทำให้เราย้อนไปถึงพระเยซู บนไม้กางเขน การที่พระองค์ทรงยอมสิ้นพระชนม์ยอมอับอาย ยอมทุกอย่างไม่ใช่เพื่อเป็นวีรบุรุษแต่เพราะพระองค์ทรงรักพระบิดาและชาวโลกนี้

1 โครินธ์ 13:4-8
เราอาจจะถามว่า แล้วรักคืออะไรล่ะสองสิ่งที่รักเป็น คืออดทนและเมตตา เมื่อเรามีความรัก สองสิ่งแรกที่เป็นส่วนประกอบของรักนั้น จะต้องปรากฏ ถ้าไม่มีก็ไม่ใช่รัก ยังมีอีกแปดอย่างที่ไม่ใช่รัก ..คำอธิบายของสิ่งที่ไม่ใช่ความรักของท่านเปาโล ทำให้เรารู้เลยว่า ในชีวิตครอบครัว ในความสัมพันธ์กับเพื่อนของเรานั้น มันใช่ไหมว่าเป็นรักหรือเปล่า
ไม่เฉพาะอดทนนาน และเมตตาเท่านั้น แต่คนที่รักจะทนต่อทุกอย่าง มีความเชื่อหวังใจ บากบั่นพากเพียรแม้จะยากเพียงไร สิ่งที่เป็นของประทาน
ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามอาจเสื่อมไป แต่ความรักจะอยู่ตราบเท่าที่มีนิรันดร์กาล
สุดยอด พระคำตอนนี้ เพราะว่า พระเจ้าทรงเป็นความรัก ความรักจึงเป็นส่วนที่อยู่ไปตลอดไม่มีวันหมดหรือจบสิ้น

1 โครินธ์ 13:9-11
เมื่อความสมบูรณ์เพียบพร้อมจากพระเจ้ามาถึงของประทานก็จะหมดไป หยุดไปจากพระคำข้อนี้ เราพอจะสรุปได้ว่า ของประทานฝ่ายพระวิญญาณนั้นสำคัญ แต่ของประทานนั้นมีวันที่จะสูญสิ้นไปด้วย มันจะสูญไปเมื่อความสมบูรณ์เพียบพร้อมของพระเจ้ามาถึง นั่นคือ เมื่อพระเจ้า และอาณาจักรของพระองค์มาถึงเราครบถ้วน เราได้อยู่ต่อพระพักตร์ และพระองค์ทรงชนะเหนือศัตรูทั้งปวง
ทำไมท่านเปาโลพูดเช่นนี้ ท่านกำลังจะบอกว่าเด็กก็เหมาะกับการเล่น การคิด การทำอะไรแบบเด็ก ๆ น่ารักบ้าง น่าโมโหบ้าง แต่ก็เป็นเด็ก
เมื่อเราเติบโตในพระเจ้า เราก็ไม่มีความคิดแบบเด็กอีกต่อไป เหมือนกับเมื่อคริสเตียนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ความหมกมุ่นวุ่นวายกับของประทาน
นั้นก็จะลดลง เพราะความรักมาเหนือสิ่งเหล่านั้นท่านไม่ต้องการให้พี่น้องเน้นเรื่องของประทานเกินความรักที่มีต่อกัน

1 โครินธ์ 13:12-13
เมื่อเราเห็นพระเยซูต่อพระพักตร์ ของประทานฝ่ายพระวิญญาณนั้นก็เหมือนจะเลือนไปเลยเพราะพระองค์ทรงยิ่งใหญ่กว่าสิ่งเหล่านั้นเมื่อเรามีพระองค์อยู่ตรงหน้าเรา เราจะต้องการสิ่งใดอีกเล่า ดังนั้นท่านเปาโลจึงมองว่า ของประทานฝ่ายพระวิญญาณนั้นจะสูญไป แต่พระเจ้าและความรักของพระองค์จะยืนยง และที่สำคัญคือเราจะได้เห็นพระองค์ชัด เราจะรู้ถึงพระองค์อย่างแจ่มแจ้ง ไม่เหมือนตอนนี้ที่รู้ไม่หมด
ขอบคุณพระเจ้าที่ท่านเปาโลได้สรุปให้เราเห็นชัดเจนว่าอะไรเป็นอะไร ทุกอย่างที่เป็นความรู้ความสามารถ ของประทาน การอัศจรรย์
ฤทธิ์ต่าง ๆ กลับกลายเป็นสิ่งที่หายไป ไม่มีอีก เมื่อมาถึงเส้นชัยสุดท้ายของโลกและจักรวาลเมื่อพระเจ้าเปลี่ยนโลกนี้เป็นอีกโลกสิ่งที่ยังคงอยู่คือ ความเชื่อ ความหวังใจ ความรักและท่านเปาโลมองว่า รักนั้น สำคัญที่สุด

 พระคำเชื่อมโยง

สุภาษิต 2 ปัญญาที่ปกป้องชีวิต

มุ่งเสาะหาปัญญา
1 ลูกชายของเราเอ๋ย หากเจ้ายอมรับคำของเรา
และสะสมคำสั่งของเราไว้ในตัวเจ้า
2 หากเจ้าตั้งใจฟังปัญญา
และหันใจของเจ้าเข้าหาความเข้าใจ
3 ยิ่งไปกว่านั้น หากเจ้าร้องหาการหยั่งรู้
และส่งเสียงหาความเข้าใจ
4 หากเจ้าตามหามันเหมือนตามหาเงิน
และค้นหามันเหมือนหาสมบัติที่ถูกซ่อนเอาไว้
5 แล้วเจ้าก็จะเข้าใจความยำเกรงพระเจ้า
และพบความรู้ของพระองค์

สุภาษิต 2:1-5


สติปัญญาจากพระเจ้าช่วยป้องกันเราไว้

6 เพราะพระยาห์เวห์ประทานปัญญา
ความรู้และความเข้าใจมาจากพระโอษฐ์ของพระองค์
7พระองค์ทรงสะสมความสำเร็จให้กับคนเที่ยงตรง
ทรงเป็นโล่ให้กับคนที่ใช้ชีวิตไร้ตำหนิ
8 พระองค์ ทรงรักษาทางแห่งความยุติธรรมไว้
และปกป้องทางของคนที่ติดตามพระองค์
9 แล้วเจ้าจะเข้าใจความเที่ยงธรรม ความยุติธรรม
ความซื่อตรง และหนทางที่ดี
10 เพราะปัญญาจะเข้าไปในจิตใจของเจ้า
และความรู้จะทำให้ใจของเจ้ารื่นรมย์
11 ความสุขุมรอบคอบจะคุ้มครองดูแลเจ้า
และความเข้าใจจะพิทักษ์เจ้าไว้

สุภาษิต 2:6-11

ปัญญาช่วยเราให้พ้นจากคนชั่ว
12 โดยช่วยกู้เจ้าให้พ้นจากทางความชั่ว
จากคนที่กล่าวคำบิดเบือน
13 จากคนที่ละทิ้งทางแท้จริง
แล้วไปเดินในทางแห่งความมืด
14 จากคนที่มีความสุขกับการทำชั่ว
และชอบฉลองความวิปริต
15 คนเหล่านี้เดินในทางคด
เป็นคนที่หลอกลวง

สุภาษิต 2:12-15


ปัญญาช่วยเราให้พ้นจากหญิงชั่ว
16 ปัญญาจะช่วยให้เจ้าหนีพ้นจากหญิงต้องห้าม
จากหญิงแปลกหน้าที่มีคำพูดหวานเย้ายวนใจ
17 เธอได้ทิ้งคู่ชีวิตสมัยสาวๆ
และลืมคำสัญญาของพระเจ้าของเธอ
18 บ้านของเธอนั้นจมลงสู่ความตาย
และทางของเธอมุ่งตรงไปยังแดนคนตาย
19 คนที่ไปหาเธอไม่มีทางได้กลับมา
ไม่มีใครได้กลับคืนสู่ทางแห่งชีวิต
20 ดังนั้นจงตามทางของคนดี
และรักษาทางอย่างคนเที่ยงธรรม
21 เพราะคนเที่ยงตรงจะได้อาศัยในแผ่นดิน
และคนที่ไร้ตำหนิจะอยู่ในที่นั้น
22 แต่คนชั่วร้ายจะถูกตัดออกจากแผ่นดิน
และคนทรยศจะถูกถอนรากถอนโคนออกไป

สุภาษิต 2:16-22

คำอธิบายเพิ่มเติม

สุภาษิต 2:1-5 มุ่งเสาะหาปัญญา
วิธีการมุ่งหาปัญญาของกษัตริย์โซโลมอนเน้นที่การหิวหา แสวงหา ตามหา ค้นให้พบ สะสมไว้ เป็นการติดตามพระคำของพระเจ้าเหมือนกับที่คนทั่วไปตามหาเงินเพื่อเลี้ยงชีวิต ..
เท่ากับว่า ต้องทำทุกวัน สม่ำเสมอ ด้วยหัวใจมุ่งมั่น ไม่มีการหยุดล้มเลิกไป แล้วผลที่จะได้ก็คือ จะเข้าใจว่าการยำเกรงพระเจ้าในชีวิตของเราคือแบบไหน และความรู้ในพระเจ้าที่เรายังขาดอยู่ เราจะได้รับอย่างเต็มบริบูรณ์ด้วย

สุภาษิต 2:6-11 สติปัญญาจากพระเจ้าช่วยป้องกันเราไว้
ลูกชายลูกสาวที่จะประสบความสำเร็จในชีวิต เขาต้องมีผู้ปกป้องไว้ แม้ว่าแต่ละคนจะมีคำสอนที่ดี มีการ เตรียมตัวที่ดี เพื่อจะไม่ตกอยู่ในทางบาป แต่ทุกคนต้องการพลังของพระเจ้าที่จะช่วยให้พ้นการทดลอง

สุภาษิต 2:12-15 ปัญญาช่วยเราให้พ้นจากคนชั่ว
ตอนนี้ความชั่วในโลกมีดาษดื่น มากมายยิ่งกว่าความจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโลกโซเชียล เราจำเป็นต้องรู้ว่า สิ่งใดจะต้องไม่เชื่อ เราจะต้องไม่เป็นคนเชื่ออะไรง่าย ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำพูดที่เกิดมาจากความเกลียดชัง เพราะสิ่งเหล่านั้นดูน่าเชื่อเหลือเกิน

สุภาษิต 2:16-22 ปัญญาช่วยเราให้พ้นจากหญิงชั่ว
กษัตริย์โซโลมอนเป็นคนที่เข้าใจเรื่องการเย้ายวนของหญิงชั่วเป็นอย่างดี เพราะในที่สุดท่านก็ตกหลุมแห่งความพอใจทางเพศ ท่านรู้ดีกว่าพวกเรา ดังนั้น ฟังท่านและพิจารณาให้ดี เราจะได้ปลอดภัย

พระคำเชื่อมโยง

1* สุภาษิต 4:10; 3:1
2* สุภาษิต 22:17;
4* สุภาษิต 3:14; โยบ 3:21; มัทธิว 13:44
5* สุภาษิต 1:7
6* โยบ 32:8; ยากอบ 1:5
7* สดุดี 84:11; สุภาษิต 30:5
8* 1 ซามูเอล 2:9; สดุดี 66:9
9* สุภาษิต 8:20; 4:18

10* สุภาษิต 14:33; 22:18
11* สุภาษิต 4:6; 6:22
12* สุภาษิต 28:26; 6:12
13* สุภาษิต 21:16; 4:19; สดุดี 82:5; ยอห์น 3:19; 3:20
14* สุภาษิต 10:23; เยเรมีย์ 11:15
15* สดุดี 125:5; สุภาษิต 21:8
16* สุภาษิต 6:24; 7:5; 23:27

17* มาลาคี 2:14-15; ปฐมกาล 2:24
18* สุภาษิต 7:27
19* สดุดี 16:11; สุภาษิต 5:6
20* ฮีบรู 6:12; สุภาษิต 4:18
21* สดุดี 37:9; 29; สุภาษิต 10:30; 28:10
22* สดุดี 37:38; สุภาษิต 10:30; 11:3; เฉลยธรรมบัญญัติ 28:63; สดุดี 52:5

กิจการ 20 คงไม่ได้พบกันอีก

กลับมายังมาซิโดเนีย โตรอัส และแคว้นเอเชียน้อย

การสอนครั้งนี้ ยาวนาน…..จนเกิดอัศจรรย์

เตือนใจพี่น้องที่มาจากเอเฟซัส

ให้ระมัดระวังอันตรายที่มีต่อคริสตจักร

พื้นฐานการรับใช้

อธิบายเพิ่มเติม

กิจการ 20:1-3
ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นจากกลุ่มช่างเงินช่างทองในเอเฟซัส ทำให้เปาโลต้องออกจากที่นั่น โดยวางแผนที่จะไปเยรูซาเล็ม ผ่านมาซิโดเนียและอาคาเชีย
โดยที่เปาโลจะช่วยนำกลุ่มคนที่นำเงินถวายไปช่วยคนที่เยรูซาเล็มที่พวกเขาเจอกับการกันดารอาหารอย่างหนัก เราทราบเรื่องนี้เพราะว่าเปาโลได้เขียนถึงคริสตจักรโครินธ์ก่อนที่จะออกมาจากเอเฟซัส ( 1 โครินธ์ 16:1-4 )
เป็นอันว่าได้มีโอกาสเยี่ยมเมืองต่าง ๆ ที่เคยประกาศมาก่อนหน้านี้(ดูกิจการ 16-17) และไปพักในกรีก (ซึ่งหมายถึงอาคาเชียนั่นเอง ซึ่งน่าจะเป็นเมืองโครินธ์ ตามที่เขียนใน 1 โครินธ์ 16:5-7) สามเดือน ซึ่งระหว่างนั้นเอง ก็ได้ทำให้ชาวยิวในพื้นที่ไม่พอใจเหมือนเคย พวกเขาพยายามทำร้ายเปาโล ซึ่งเปาโลก็เลี่ยงโดยการเปลี่ยนเส้นทางจากเดิมจะไปแคว้นซีเรียทางเรือ ก็เลยไปทางบก
กิจการ 20:4-6
เปาโลให้พี่น้องส่วนหนึ่งไปรอที่เมืองโตรอัส พี่น้องเหล่านี้น่าจะเป็นคนจากคริสตจักรต่าง ๆ ที่ได้ถวายเงินเพื่อส่งไปเยรูซาเล็ม เราจะชินกับคนสองสามคนในกลุ่มนี้ อย่างเช่นกายอัส ทิโมธี พวกเขาเป็นคนที่เปาโลพบและสอนให้รู้จักทางของพระเจ้า และพยายามที่จะส่งต่อความเชื่อให้กับคนเหล่านี้ เพื่อพวกเขาจะสอนต่อไปได้ ( 2 ทิโมธี 2:2). เปาโลยังได้อยู่ที่เมืองฟีลิปปีพักหนึ่งเพื่อร่วมเทศกาลไร้เชื้อด้วย
ครั้งนี้เปาโลลงเรือข้ามทะเลอีเจียนไปทางตะวันตก เข้าไปทางแคว้นเอเชียน้อย ที่เมืองโตรอัส การเล่าเรื่องเหตุการณ์ต่าง ๆ เป็นการเล่าของลูกา ที่จากเนื้อความเราจะเห็นว่า ลูกาได้พูดคำว่า เรา หลาย ๆ ครั้ง ทำให้รู้ว่า ลูกาได้เดินทางไปพร้อมกับเปาโล
กิจการ 20:7-9 ก
น่าสนใจที่ลูกาเล่าว่า วันอาทิตย์ พี่น้องมาประชุมกัน พวกเขาไม่ได้ประชุมกันวันเสาร์ในศาลาธรรมอย่างยิวแล้ว เราไม่ทราบว่าเป็นเช้าหรือเย็น อย่างไรก็ดีการประชุมครั้งนี้ยืดยาวไปถึงเที่ยงคืน เนื่องจากในอาณาจักรโรม วันอาทิตย์คนที่เป็นทาสก็ยังต้องทำงาน พวกเขาจึงน่าจะประชุมกันตอนเย็นของวันอาทิตย์
(สตีเวน เจ โคล) พวกเขามาหักขนมปังด้วยกัน ก็คือ มีพิธีระลึกถึงการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูด้วยกัน
และครั้งนี้เปาโลสอนนานมาก … จนมีคนหนึ่งหลับคาหน้าต่าง ในห้องมีตะเกียงหลายดวง อากาศก็ไม่ค่อยดี คนก็เหนื่อย แต่เปาโลก็ตื่นเต้นที่จะสอน
กิจการ 20:9
แล้วเด็กหนุ่มที่หลับคาหน้าต่างชื่อยุทิกัส ชื่อของเขาแปลว่า โชคดี เขาอาจเป็นทาสที่ทำงานมาทั้งวัน และมานั่งฟัง พยายามตื่นแต่ร่างกายก็ไม่ไหว แล้วในที่สุดเขาตกลงมาจากตึกชั้นที่สาม เมื่อมีคนวิ่งไปดูประคองเขาขึ้นมา ก็บอกว่าเขาตายแล้ว! และการที่ลูกาผู้เขียนซึ่งเป็นแพทย์ยืนยัน เราจึงเชื่อได้ว่า ยุทิกัสนี้สิ้นลมจริง
กิจการ 20:10-12
แต่เปาโลไม่นิ่งนอนใจ เขาลงไปข้างล่าง โอบยุทิกัสไว้ และบอกพี่น้องว่า ว่า ไม่ต้องตกใจ เขายังมีชีวิต .. ลูกาผู้เขียนไม่ได้บอกรายละเอียดเรื่องนี้เลย แต่เราเห็นได้ว่า การเข้าไปสัมผัสครั้งนี้ ทำให้ยุทิกัสมีชีวิตคืนขึ้นมา
ดูเหมือนการตกลงมาจากตึกสามชั้นไม่ได้ทำให้ยุทิกัสมีบาดแผลด้วย พวกเขาขึ้นไปบนตึก และยังไปหักขนมปังด้วยกัน เช้ามา ต่างก็ลาจากกันไป เป็นการจากไปที่ต่างมีความยินดีมาก ๆ
กิจการ 20:13-16
ข้อความตอนนี้ได้เล่ารายละเอียดว่า เปาโลเดินทางบกแล้วไปเจอพี่น้อง จากนั้นก็ลงเรือไปด้วยกัน ที่นั่นที่นี่หลายแห่ง โดยไม่แวะเอเฟซัส จนกระทั่งมาถึงเมืองมิเลทัสซึ่งอยู่ไม่ห่างจากเอเฟซัสเท่าไรนัก ที่เปาโลทำเช่นนี้ น่าจะเป็นโอกาสที่ได้ประกาศกับเมืองระหว่างทาง หรือเป็นเวลาที่จะอยู่ตามลำพังเพื่อเดินไปอธิษฐานไป? เปาโลสั่งให้คนอื่นไปก่อน แต่ตัวเองกลับเดินเท้าไปยังอัสโสสซึ่งเป็นเมืองเล็ก ๆ อยู่ห่างโตรอัสประมาณ 40 กิโลเมตร
กิจการ 20:17-19
เปาโลส่งคนไปเชิญ ผู้ปกครองคริสตจักรเอเฟซัสที่รู้จักกันใกล้ชิด มาประชุมด้วยกันเพื่อจะได้สอนและหนุนใจพี่น้องเหล่านั้น โดยที่ไม่ไปแวะเอเฟซัสเลย
อย่างแรกที่เปาโลกล่าวถึงคือ เวลาที่ได้ใช้ชีวิตร่วมกับพี่น้องในเอเฟซัสว่า เป็นอย่างไร การอยู่อย่างถ่อมตน การเจอกับแผนร้ายของยิวสารพัด
แคว้นเอเชียในที่นี้ คือดินแดนที่โรมครอบครองในแคว้นเอเชีย ซึ่งอยู่ในตุรกีปัจจุบันบางส่วน และพื้นที่เมืองโตรอัส มิเซีย ลิเดีย คาเรีย ฟรีเจียบางส่วน โดยมีเอเฟซัสเป็นเมืองหลวง
กิจการ 20:20-23
เปาโลได้สอนยิวในศาลาธรรม ตามบ้าน และสอนกรีกที่ของทิรันนัส (19:9) ชักชวนให้กลับใจเชื่อพระเยซู แต่แล้วพระวิญญาณของพระเจ้าได้ทรงนำให้เขาไปเยรูซาเล็ม ซึ่งเปาโลเองก็รู้ดีว่า ต้องมีเรื่องร้าย ๆ รออยู่แน่นอน
กิจการ 20:24-25
ที่เปาโลต้องเรียกพวกเขามาคุยเพราะรู้ว่า จะไม่ได้มีโอกาสเจอกันอีก .. อ่านโรม 15:23 จะเข้าใจเหตุการณ์เบื้องหลัง แต่เป้าหมายชีวิตของเปาโลนั้นชัดเจนมาก คือ การประกาศข่าวดีของพระเยซู ไม่มีอะไรที่ทำให้เปาโลมุ่งมั่นไปกว่านี้อีกแล้ว สำหรับเปาโล พระบัญชาของพระเยซูในเรื่องนี้มีค่ายิ่งกว่าชีวิตของเขาเอง สิ่งที่ทำให้พวกเขาเสียใจคือ เปาโลได้แจ้งให้พวกรู้ว่า นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้พบกัน
กิจการ 20:26-28
ตอนนี้เปาโลเห็นว่า งานในพื้นที่แถบนี้เสร็จลงแล้ว ได้บอกแผนการ พระประสงค์ของพระเจ้าทั้งสิ้นให้ทราบ โดยไม่ได้ปิดบังไว้เลย ดังนั้น เปาโลจะฝากพี่น้องไว้กับเหล่าผู้อาวุโสเหล่านี้ พวกเขามีหน้าที่จะต้องเลี้ยงดูพี่น้องต่อไป ชีวิตฝ่ายวิญญาณของพี่น้องอยู่ในมือพวกเขาแล้ว ทุกคนที่เข้ามาฟังเปาโล เป็นผู้ใหญ่พอที่จะช่วยกันรักษาคริสตจักรของพระเจ้าในเอเฟซัส ซึ่งเปาโลบอกว่า เป็นกลุ่มชนที่พระเจ้าทรงซื้อมาด้วยพระโลหิตของพระบุตรนั่นเอง
กิจการ 20:29-31
เปาโลรู้แก่ใจดีว่า ในอนาคตจะมีคนที่หลอกลวงเข้ามาในคริสตจักร และเราก็จะเห็นว่า ในคริสตจักรทุกวันนี้ก็จะเจอคนที่เข้ามาหลอก ปัญหาจากทั้งข้างนอกและข้างในคริสตจักรเอง สำคัญคือต้องตื่นตัว อยู่เฉย ๆ ไปวัน ๆ ไม่ได้ เวลาเปาโลรับใช้ ไม่ได้แค่ตั้งใจรับใช้ แต่เต็มด้วยหัวใจที่เป็นห่วง อธิษฐานร้องไห้เพื่อพวกเขา
กิจการ 20:32-35
เปาโลฝากพี่น้องไว้กับพระเจ้า ฝากไว้กับพระคุณที่จะสร้างและรักษาชีวิตของพวกเขาให้ปลอดภัย เปาโลรักพี่น้องจากเอเฟซัสที่ได้อยู่ด้วยกันนานถึงสามปี ดูเหมือนว่าเปาโลจะตระหนักดีว่า พี่น้องจะต้องเจอการข่มเหงอีกไม่น้อย และตัวเปาโลเองก็มีภาระหนักอยู่ข้างหน้าด้วย
เปาโลได้ย้ำเตือนพวกเขาว่า ได้รับใช้ท่ามกลางพวกเขาด้วยความคิดอย่างไร ต้องเห็นแก่คนที่อ่อนแอกว่า ต้องทำงานหนัก ชีวิตไม่ใช่อยู่สบาย ๆ ง่าย ๆ การดำเนินชีวิตที่เป็นตัวอย่างทำให้เปาโลสามารถพูดกับพี่น้องได้ว่า ให้ทำตามตัวอย่างชีวิตของเขา
คำที่บอกว่า การให้นั้นเป็นสุขกว่าการรับ ก็กลายเป็นพื้นฐานความคิดของการรับใช้ในแผ่นดินของพระเจ้าเพื่อผู้อื่น หลายศตวรรษต่อมา ทำให้คริสตจักรได้ส่งคนออกไปเพื่อประกาศและรับใช้ด้านต่าง ๆ มากมายไม่ว่าจะเป็นทางการศึกษา การแพทย์ การช่วยเหลือด้านอื่น ๆ
กิจการ 20:36-38
พวกเขาอธิษฐานด้วยกัน ร้องไห้ด้วยกัน เป็นความรักของคนที่รักพระเจ้าและผ่านความยากลำบากมาด้วยกันเพื่อข่าวประเสริฐ เพื่อให้คนอื่นได้รับความรอด พวกเขารู้สึกว่า จะไม่ได้พบกับเปาโลอีก จึงรู้สึกเสียใจมาก แต่ยังมีความหวังว่า จะได้พบกันต่อพระพักตร์ของพระเจ้า ซึ่งเวลานี้พวกเขาก็คงได้พบกันแล้ว




พระคำเชื่อมโยง

1* 1 ทิโมธี 1:3
2* กิจการ 17:15; 18:1
3* 2 โครินธ์ 11:26
4* โคโลสี 4:10; กิจการ 19:29; 16:1; เอเฟซัส 6:21; 2 ทิโมธี 4:20
5* 2 ทิโมธี 4:13
6* อพยพ 12:14-15; 2 ทิโมธี 4:13
7* 1 โครินธ์ 16:2; กิจการ 2:42, 46; 20:11
8* กิจการ 1:13
10* 1 พงศ์กษัตริย์ 17:21; มัทธิว 9:23-24


16* กิจการ 18:21; 19:21; 21:4; 24:17; 2:1
18* กิจการ 18:19; 19:1, 10; 20:4, 16
19* กิจการ 20:3
20* กิจการ 20:2721* กิจการ 18:5; 19:10; มาระโก 1:15
22* กิจการ 19:21
23* กิจการ 21:4, 11
24* กิจการ 21:13; 2 ทิโมธี 4:7; กิจการ 1:17; กาลาเทีย 1:1
26* กิจการ 18:6

27* ลูกา 7:30
28* 1 เปโตร 5:2; 1โครินธ์ 12:28; เอเฟซัส 1:7, 14; ฮีบรู 9:14
29* มัทธิว 7:15
30* 1 ทิโมธี 1:20
31* กิจการ 19:8,10; 24:17
32* ฮีบรู 13:9; กิจการ 9:31; ฮีบรู 9:15
34* กิจการ 18:3
35* โรม 15:1
37* กิจการ 21:13; ปฐมกาล 45:14