1 เปโตร 3 ความสัมพันธ์ การทนทุกข์และพระพร

ความสัมพันธ์ในครอบครัว-ภรรยา

เช่นเดียวกัน ขอให้ภรรยาเชื่อฟังสามีของตนเพื่อว่า หากสามีคนใดไม่เชื่อพระคำของพระเจ้า แต่การกระทำของภรรยาอาจชนะใจเขาโดยไม่พูดอะไร เมื่อเขาเห็นชีวิตที่บริสุทธิ์ ความยำเกรงพระเจ้าในชีวิตของท่าน
1 เปโตร 3:1-2

โคโลสี 3:18, 1 โครินธ์ 11:3,7:16, 14:34, เอเฟซัส 5:33,ฟีลิปปี 1:27, ปฐมกาล 3:16,มัทธิว 18:15

ข้อนี้ ท่านเปโตรบอกภรรยาว่า พวกเธอควรทำอย่างไรเพื่ออาจจะชนะใจของสามี ในโลกความ เป็นจริงเราจะเห็นว่า บางครอบครัวภรรยาชนะใจได้จริง ๆ โดยไม่ต้องพูดอะไร แต่บางครอบครัว สามีก็ไม่เชื่อต่อไป ยังตกอยู่ในความบาปต่อไป ท่านเปโตรไม่ได้ยินยันว่าจะสำเร็จแต่สิ่งดีที่เกิดขึ้นคือ ตัวภรรยาเอง ได้ทำตามพระทัยของพระเจ้า

การประดับตัวของท่านไม่ควรจะเป็นแค่ภายนอกอย่างเช่น การถักผม การสวมอัญมณีทองคำ หรือเสื้อผ้าสวยล้ำแต่ให้เป็นการประดับด้วยตัวตนจริงที่อยู่ภายใน เป็นความงามที่ไม่มีวันสูญคือหัวใจที่อ่อนโยนและสงบสุภาพ ซึ่งพระเจ้าทรงเห็นว่ามีค่ายิ่งนัก
1 เปโตร 3:3-4

1 ทิโมธี 2:9-10, โรม 12:2, 2:29, 7:22, อิสยาห์ 3:18-24,โคโลสี 3:12,

ท่านเปโตรมีภรรยาด้วย สิ่งที่ท่านกล่าวถึงในตอนนี้ ไ่ม่ได้หมายความว่า แต่งตัวสวยไม่ได้ แต่ให้สิ่งนั้นมาเป็นรองความสวยงามที่เกิดขึ้นจากข้างใน เป็นความงามอย่างสงบ งามอย่างอ่อนโยนในการกระทำ เป็นความงามที่มีค่าในสายพระเนตร พระเจ้าซึ่งแตกต่างจากความงามในสายตาของ
มนุษย์อย่างสิ้นเชิง

สตรีผู้ที่หวังใจในพระเจ้าในอดีตได้ประดับตัวให้งดงามเช่นนี้โดยการที่พวกเธอยอมต่อสามี เหมือนอย่างที่ซาราห์ได้เชื่อฟังอับราฮัมและเรียกเขาว่า นายท่าน ท่านเองก็จะเป็นลูกหลานของเธอโดยการทำสิ่งดีและไม่หวั่นต่อสิ่งใด
1 เปโตร 3:5-6

ทิตัส 2:3-4 ,ปฐมกาล 18:12, โรม 9:7-9

ผู้หญิงคนหนึ่ง เลือกได้ว่าเธอจะชนะใจสามีด้วยวิธีของตัวเอง หรือทำตามอย่างที่พระเจ้าตรัสความสำเร็จที่ได้มาก็ขึ้นอยู่กับพระเจ้าท่านเปโตรขอให้สตรีหันกลับไปดูซาราห์ว่า เธอประดับชีวิตของเธอด้วยใจนิ่งสงบและเชื่อฟัง ให้เกียรติสามีของตน ยกเว้นมีครั้งหนึ่งที่เธอพลาดเรื่องฮาการ์ เมื่อเธอตัดสินใจด้วยตัวเอง (ปฐมกาล16)ผลที่เกิดขึ้นก็ร้ายแรง และยังส่งผลมาจนทุกวันนี้)




ความสัมพันธ์ในครอบครัว-สามี

ส่วนด้านของสามีก็เช่นกัน ให้ใช้ชีวิตกับภรรยาด้วยความเข้าใจว่าเธออ่อนแอกว่า และให้เกียรติเธอว่า เป็นผู้ร่วมทางชีวิตแห่งพระคุณ เพื่อว่าการอธิษฐานของท่านจะไม่มีอุปสรรคขัดขวาง
1 เปโตร 3:7

1 โครินธ์ 7:3, 12:23, เอเฟซัส 5:25, โคโลสี 3:19,

การใช้ชีวิตกับภรรยาอยู่กินด้วยกัน ทำมาหากินมีครอบครัวที่ดี ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ใครก็รู้ ครอบครัวดี น่ารัก ความสุขก็มาก ครอบครัวพัง มีแต่การทะเลาะวิวาท ทุกข์ก็เยอะ ในสมัยก่อนนั้น การที่สามีจะให้เกียรติภรรยาเป็นเรื่องยากเพราะพวกเขามองผู้หญิงต่ำกว่าผู้ชาย คำสอนของท่านเปโตรเรื่องนี้จึงฉีกไปจากสังคมคนนอกทั่วไป ความเข้าใจการให้เกียรติว่าภรรยาเป็นผู้ร่วมทางชีวิตนั้น ทำให้ตัวเขาเองเกิดผลในการอธิษฐานต่อพระเจ้า

เรียกมาให้เป็นพระพร

สุดท้ายนี้
ให้ท่านทั้งหลายอยู่ด้วยกัน
โดยมีใจเดียวกัน
ให้เห็นใจกัน รักกันอย่างพี่น้อง มีใจสงสารกันและถ่อมตนต่อกัน
1 เปโตร 3:8

โรม 12:10, 1 เปโตร 1:22, ยากอบ 3:17

ใจเดียวกันคืออย่างไร? ตอบไม่ยากเลย นั่นคือการมีใจของพระคริสต์ ถ้าทุกคนคิดได้อย่าง พระองค์ ความปรองดองก็เกิดขึ้น อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข สามารถปรับเข้าหากันได้ แม้นิสัยใจคเราไม่เหมือนกันเลย เพราะพระเจ้าทรงสร้างเรามาให้แต่ละคนมีเอกลักษณ์ของตนเองชัดเจนตั้งแต่เล็ก ๆ

อย่าทำร้ายตอบแทนการร้าย หรืออย่าดูหมิ่นตอบแทนการดูหมิ่นในทางตรงกันข้าม จงให้พรแก่เขาเสมอไป เพราะว่าท่านได้รับการเลือกมาให้ทำเช่นนี้ เพื่อว่าท่านจะได้รับพระพรเป็นมรดก
1 เปโตร 3:9

สุภาษิต 7:13, มัทธิว 5:44, มัทธิว 25:34, โรม 12:17,

เหตุใดเราจึงขอพรเพื่อคนที่ร้ายต่อเรา?เหตุใดพระเจ้าทรงให้เราขอพรเพื่อคนที่ดูหมิ่น?แล้วพระเจ้าจะทรงให้พรกับเขาตามที่เราขอตามที่พระองค์ทรงเห็นสมควร ซึ่งอาจไม่ตรงใจเรา เพราะเราเป็นผู้ถูกกระทำ แต่แล้วคำตอบคือ พระเจ้าทรงเลือกให้เราขอพรเพื่อคนที่ร้ายต่อเรา ก็เพื่อเราเองจะได้รับพร เป็นมรดก และถ้าศัตรูของเราได้พร ล้ำเลิศคือได้รู้จักพระเจ้าจริง ๆ ขึ้นมา เขาจะกลายเป็นมิตร ไม่เป็นศัตรูต่อไป

เพราะว่าคนใดรักชีวิตและอยากเห็นวันดี ๆ จะต้องรักษาลิ้นจากความชั่ว รักษาปากไม่ให้พูดด้วยอุบาย และเขาจะต้องหันจากความชั่วร้ายทำสิ่งที่ดี เขาจะต้องตามหาสันติและมุ่งมั่นต่อสู้เพื่อจะได้สันตินั้น
1 เปโตร 3:10-11

สดุดี 34:12-16, ยากอบ 1:26, สดุดี 37:27, โรม 12;18,

จากเหตุการณ์บ้านเมืองของเราในเวลานี้ ทำให้เรารู้ว่า สันติสุขในบ้านเมืองไม่ใช่เป็นเรื่องง่ายเลย การจะมีสันติสุขในครอบครัว ในที่ทำงานเป็นเรื่องที่ต้องตั้งใจ ต้องมีความอดกลั้น และต้องมีความรักจริง ๆ จึงจะมีสันติได้ บางครั้งก็ต้องมองข้าม ให้อภัย ให้พรทั้ง ๆ ที่รู้สึกว่าไม่น่าจะให้สักนิด .. หากย้อนไปอ่านเปโตรบทที่ 3 ตั้งแต่ข้อแรกแล้วชีวิตเราเปลี่ยนจริง ๆ ตามนั้น มันจะเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์มาก

เพราะว่าพระเนตรของพระเจ้า
เฝ้าดูผู้ที่เชื่อฟังพระองค์
ทรงฟังคำอธิษฐานของพวกเขา
แต่ทรงต่อต้านทุกคนที่ทำชั่ว
1 เปโตร 3:12

ยอห์น 9:31, สดุดี 34:15-16, สุภาษิต 15:29,

พระคำตอนนี้ตั้งแต่ข้อ 10-12 ท่านเปโตรอ้างอิงมาจากสดุดี 34:12-16 เรามั่นใจได้ว่า พระเจ้าทรงมองคนที่ติดตามและเชื่อฟังพระองค์ และทรงตอบคำอธิษฐาน และทรงต่อต้านคนชั่วแน่นอน เราอย่านึกว่าพระองค์ไม่ทรงเอาพระทัยใส่ ถ้าพระองค์ไม่ต่อต้านจัดการกับคนชั่วส่วนหนึ่ง ป่านนี้โลกคงเป็นจุณ แต่ถ้าพระองค์จะทรงกำจัดคนชั่วทุกคน โลกก็จะไม่เหลือใครเช่นกัน

ใครจะมาทำร้ายท่านได้ หากท่านมุ่งติดตามสิ่งที่ดี ?แต่หากท่านต้องทนทุกข์ เพื่อเห็นแก่ความเที่ยงตรง ท่านก็จะเป็นสุข อย่าไปกลัวการข่มขู่ของเขา หรืออย่ากังวลใจไป
1 เปโตร 3:13-14

สุภาษิต 16:7, โรม 8:28, 3 ยอห์น 1:11, ยากอบ 1:12, 1 เปโตร 2:19-20, อิสยาห์ 8:12-13

ที่จริงแล้ว เมื่อใครคนหนึ่งต้องการติดตามสิ่งที่ดี ถูกต้อง ก็ไม่น่าจะมีใครมาขัดขวาง แต่ในโลกความเป็นจริงนั้น ไม่ใช่อย่างนั้น คนไม่น้อยที่ทำดีให้กับสังคม กลับถูกทำร้าย คนที่ต่อสู้เพื่อเป็นปากเป็นเสียงให้กับคนที่ยากลำบาก อาจจะต้องเสี่ยงชีวิตเพราะไปขัดผลประโยชน์ของบางคน พระเจ้าทรงให้คริสเตียนรู้ว่า ถ้า ตั้งใจติดตามพระองค์ ทำสิ่งที่ดีแล้ว พระองค์ทรงให้พรเขา ทรงให้เขาเป็นสุขได้แม้จะต้องทนทุกข์

ขอให้ใจของท่านยกย่องว่า
พระคริสต์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า เตรียมตัวพร้อมที่จะตอบทุกคนที่ถามว่า เหตุใดท่านจึงมีความหวัง แต่ขอให้ตอบด้วยความสุภาพและนับถือ
1 เปโตร 3:15

สดุดี 119:46, ทิตัส 3:7, ลูกา 21:14-15, 2 ทิโมธี 2:25-26

แทนที่เราจะกลัว เรากลับมอบตัวเองให้กับพระเจ้าอีกครั้ง และมีคำตอบให้กับคนที่ถามว่า เหตุใดจึงเชื่อ เหตุใดจึงเป็นคริสเตียนเหตุใดจึงทำอย่างนั้น อย่างนี้ เราตอบทุกคนได้
อย่างกระจ่างแจ้งถ้าเตรียมพร้อม โดยตอบคำถามด้วยความสุภาพต่อคนที่ถามและความนับถือองค์พระผู้เป็นเจ้า
ดู กิจการ 2:14-39,3:11-26,4:8-12

รักษาจิตสำนึกให้ดีเพื่อว่า
เมื่อท่านถูกใครกล่าวร้ายทั้งที่ท่านทำดี คนนั้นจะอับอายที่เขากล่าวหาท่าน
หากว่านี่เป็นพระประสงค์ของพระเจ้า ‘การทนทุกข์เพราะทำความดีนั้นก็ดีกว่าทนทุกข์เพราะทำชั่ว’
1 เปโตร 3:16-17

1 ทิโมธี 1:5, ฮีบรู 13:18, 1 เปโตร 3:21, 2:12,15,3:14,4:19, กิจการ 21:14, 2

สิ่งที่ท่านเปโตรได้เตือนพี่น้องนั้น เป็นสิ่งที่ท่าน ผ่านมาหลายต่อหลายครั้ง ตัวอย่างมีอยู่ในหนังสือกิจการ 5 ท่านประกาศพระนามพระเจ้า แต่พวกผู้ใหญ่ในศาสนายิวก็พยายามปิดปากให้ท่านและพี่น้องหยุดพูดพระนามพระเยซูแต่ท่านเปโตรก็ไม่ได้รู้สึกเสียใจอะไร กลับรู้สึกดีใจ ภูมิใจที่ถูกดูหมิ่นเพราะท่านทำสิ่งที่เป็นน้ำพระทัยของพระเจ้า

การทนทุกข์ของพระคริสต์ และของเรา

เพราะว่า พระคริสต์สิ้นพระชนม์เพื่อบาปครั้งเดียวก็พอแล้ว พระองค์ผู้ทรงธรรม ทำเช่นนี้แก่คนอธรรมเพื่อทำให้พวกเขาได้เข้ามาหาพระเจ้า พระกายของพระองค์สิ้นไปแต่ฝ่ายวิญญาณทรงมีชีวิตอยู่
1 เปโตร 3:18

ฮีบรู 9:26,28, 1 เปโตร 4:6

ครั้งเดียวพอ นั่นคือ การถวายชีวิตของพระเยซูเป็นเครื่องบูชานั้น ไม่ต้องทำซ้ำเหมือนกับเครื่องบูชาอื่น ๆ ไม่ต้องมีความดีของมนุษย์มาเสริมพระเยซูทรงใช้พระโลหิตของพระองค์ไถ่คนบาป ที่ทรงทำเช่นนี้ก็เพื่อคนบาปอย่างเราจะได้มาหาพระเจ้าได้ และพระองค์ได้ทรงคืนพระชนม์ มีพระกายใหม่ที่ไร้ความจำกัดในเวลา สถานที่ ไม่ทรงมีพระกายแบบมนุษย์อีกต่อไป. อ่าน 1 เปโตร 1:19

และโดยทางวิญญาณพระองค์ได้เสด็จไปประกาศแก่บรรดาวิญญาณที่ถูกจำจอง ซึ่งในอดีต ไม่เชื่อฟังพระเจ้า ครั้งที่พระองค์ทรงอดกลั้น รอคอยให้พวกเขากลับใจในสมัยโนอาห์ ขณะที่ท่านกำลังต่อเรือใหญ่ ในเรือนั้นมีไม่กี่คน แค่แปดคนที่ได้รับความช่วยเหลือให้รอดชีวิตจากน้ำ
1 เปโตร 3:19-20

1 เปโตร 4:6, อิสยาห์ 61:1, ฮีบรู 11:7,ปฐมกาล 6:3, 5, เอเฟซัส ​5:26

ภาพจาก wikimedia common. File:Bischheim Temple38.JPG

พระคัมภีร์ตอนนี้อาจเป็นข้อที่เข้าใจยากมาก มีความเห็นจากดร. ไมเคิล ไฮเซอร์ว่า พระวิญญาณของพระเยซูทรงลงไปบอกวิญญาณที่ติดคุกว่า พวกเขายังคงพ่ายแพ้ แม้ว่าพระองค์จะถูกตรึงบนไม้กางเขน แต่แผนการความรอดและการปกครองของพระเจ้านั้นไม่ได้หยุดชะงักไป ยังคงดำเนินต่อไป การสิ้นพระชนม์คือชัยชนะเหนือทุกวิญญาณชั่วที่ต่อต้านพระเจ้า และพระองค์ทรงเป็นคือมาจากความตายแล้ว
สถิตอยู่ขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า เหนืออำนาจ
ร้ายทั้งปวง (Heiser, The Unseen Realm, p. 339)

ความหมายบัพติศมาด้วยน้ำ

และน้ำซึ่งเป็นสัญลักษณ์หมายถึงบัพติศมา บัดนี้ช่วยให้ท่าน รอดเช่นกัน ไม่ใช่เป็นการล้างสิ่งสกปรกออกจากร่าง แต่เป็นการถวายปฏิญาณต่อพระเจ้าเพื่อเราจะมีจิตสำนึกที่ดีต่อพระองค์ ความรอดนั้นมาได้ ด้วยการคืนชีพของพระเยซูคริสต์
1 เปโตร 3:21

กิจการ 16:33, เอเฟซัส 5:26, ทิตัส 3:5, โรม 10:10

น้ำท่วมครั้งโนอาห์ ได้ชำระล้างบาปและความชั่วร้ายออกไป เป็นการเริ่มต้นใหม่ของโลกนี้ การรับบัพติศมาบอกถึงความหมายฝ่ายวิญญาณ ของการจุ่มน้ำ นั่นก็คือ ผู้รับบัพติศมาได้รับการชำระชีวิต จิตสำนึกของเขาได้รับการเปลี่ยนแปลง และเขาได้ประกาศให้รู้ว่าเขาเชื่อพระเยซูแล้ว เป็นหลักฐานที่บอกว่าเขาหันหลังให้กับชีวิตเดิม เขาได้รับความรอด เพราะการสิ้นชีพ-คืนชีพของพระเยซู เป็นการเริ่มต้นใหม่ของเขา

พระองค์เสด็จสู่สวรรค์ และประทับเบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าโดยทั้งทูตสวรรค์ เหล่าผู้ที่มีสิทธิอำนาจ และเทพที่มีฤทธิ์ทั้งหลาย ถูกจัดไว้ให้อยู่ใต้อำนาจของพระองค์
1 เปโตร 3:22

สดุดี 110:1, โรม 3:38, ฮีบรู 1:6

ภาพวาดโดย John Singleton Copley 1775

ในที่สุด พระองค์เสด็จสู่สวรรค์ พระเจ้าทรงยกย่องพระเยซูสูงสุด ทรงอยู่เหนือวิญญาณทั้งสิ้นในจักรวาล ดังนั้นเราจะเห็นว่า แม้พระองค์ ทรงทนทุกข์จนสิ้นพระชนม์ แต่ชัยชนะสุดท้าย กลับเป็นของพระองค์แต่เพียงผู้เดียว 

1 เปโตร 2 พระเกียรติ และหน้าที่ของคนของพระเจ้า

มาหาพระเจ้าโดยมาหาพระดำรัส

ดังนั้น ขอให้ท่านทั้งหลายละทิ้งความชั่วทั้งปวง อุบายล่อลวงทั้งสิ้นความหน้าซื่อใจคด ความริษยา และการใส่ร้ายทุกรูปแบบ
1 เปโตร 2:1

ฮีบรู 12:1, เอเฟซัส 4:31, ยากอบ 1:21

เหตุผลที่ท่านเปโตรให้ละทิ้งสิ่งชั่วร้าย ต้องกลับไปอ่านจากบทที่ 1 เราได้เกิดใหม่ มีความหวังใหม่แล้ว พระเจ้าทรงเรียกให้เราเป็นคนบริสุทธิ์ พระเยซูทรง ไถ่เราด้วยพระโลหิตประเสริฐ เราได้เกิดจาก เมล็ดพันธุ์ที่มีชีวิต เราไม่ใช่คนที่ตายไปในบาป อีกต่อไป นี่ทำให้เรายิ่งต้องทิ้งความชั่วร้าย ไม่ให้มันมามีส่วนในชีวิตเราต่อไป

ให้ท่านมีความกระหายอยากได้น้ำนมฝ่ายวิญญาณที่บริสุทธิ์ เหมือนเด็กทารกแรกเกิดเพราะโดยน้ำนมนั้น จะทำให้พวกท่านเติบโตไปถึงความรอด ในเมื่อท่านได้ลิ้มรสแล้วว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงดีเลิศ
1 เปโตร 2:2-3

มัทธิว 18:3,19:14, มาระโก 10:15, ลูกา 18:17, 1 โครินธ์ 14:20, 3:2, ฮีบรู 5:12-13, สดุดี 34:8, 63:5, ทิตัส 3:4, ฮีบรู 6:5

น้ำนมฝ่ายวิญญาณที่บริสุทธิ์ ในบางเล่มใช้คำว่า น้ำนมแห่งพระคำบริสุทธิ์ ของพระเจ้า นั่นคือท่านเปโตรกำลังขอให้ผู้เชื่อใหม่ได้มีความ อยากที่จะรู้จักพระคำพื้นฐานที่ต้องรู้ เพื่อว่าชีวิตจะได้เติบโตไปถึงความรอด นี่เป็นการชี้ว่า เมื่อเข้ามาเชื่อแล้ว เราต้องร่วมมือกับพระองค์ ตามที่อัครทูตได้สอนไว้เพื่อเติบโต ไม่ใช่อยู่เฉย ๆ

ศิลาที่ทรงเลือก และคนที่ทรงเลือก

จงมาหาพระองค์ผู้เป็นพระศิลาที่มีชีวิต แม้มนุษย์จะปฏิเสธพระองค์แต่กลับทรงเป็นพระศิลาที่พระเจ้าทรงเลือก และล้ำค่านักในสายพระเนตร
1 เปโตร 2:4

สดุดี 118:22, กิจการ 4:11-12,อิสยาห์ 28:16

พระเยซูทรงเป็นรากฐานที่มีชีวิต ซึ่งทำให้ผู้เชื่อมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ พระเจ้าทรงเลือกพระองค์ไว้
ในขณะที่คนของพระองค์ คือยิวทั้งหลายปฏิเสธ พระองค์ ทั้งยังได้ประหารพระองค์บนไม้กางเขนด้วย พระคำตอนนี้จนถึงข้อ 10 มาจากพันธสัญญาเดิม ประเด็นสำคัญในข้อนี้บอกว่า
พระเยซูคริสต์ทรงเป็นรากฐานของคริสตจักร
สิ่งอื่นใดที่มนุษย์คิด ไม่ใช่รากฐานคริสตจักร

พวกท่านเองก็เป็นศิลาที่มีชีวิตกำลังถูกสร้างเป็นพระนิเวศฝ่ายวิญญาณเพื่อเป็นปุโรหิตบริสุทธิ์ เพื่อเป็นผู้ถวายเครื่องบูชาฝ่ายวิญญาณซึ่งเป็นที่ชอบพระทัยพระเจ้าผ่านพระเยซูคริสต์
1 เปโตร 2:5

เอเฟซัส 2:20-22, 1 โครินธ์ 3:9

คำว่าศิลาในที่นี้มีความหมายถึงหินที่ถูกสกัดไว้เพื่อ รับน้ำหนักของอาคาร ท่านเปโตรมองว่าชุมชนผู้เชื่อคือพระนิเวศฝ่ายวิญญาณ มีชีวิต มีคนเชื่อใหม่เข้ามา ก็เหมือนมีศิลาเข้ามาสร้างเพิ่มเติมในพระนิเวศนี้ ผู้เชื่อจึง เป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างทั้งหมด พวกเขาทุกคน มีหน้าที่เป็นปุโรหิต มีความสัมพันธ์กับพระเจ้า พวกเขาเป็นทั้งพระนิเวศ เป็นทั้งผู้นมัสการ เป็นศิลาที่มีชีวิตตามพระเยซูเจ้าของเขา

เพราะพระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า
“ดูเถิด เรากำลังวางศิลาก้อนหนึ่งใน ศิโยน เป็นศิลาหัวมุมที่เลือกไว้ และมีค่ายิ่งและใครก็ตามที่เชื่อในพระองค์ จะไม่ต้องอับอาย สำหรับ คนที่เชื่อ ศิลานี้ มีค่าล้ำเลิศ
1 เปโตร 2:6-7a

อิสยาห์ 28:16, โรม 9:32-33, 10:11, 1 เปโตร 2:8

ท่านเปโตรได้ใช้คำเปรียบเรื่องศิลานี้ มาจากพระคัมภีร์เดิม ท่านบอกว่า พระเยซูทรงอยู่ในฐานะเหมือนกับศิลามุมเอก ส่วนที่สำคัญยิ่งสำหรับ อาคารที่ก่อด้วยหิน พระองค์รับการแต่งตั้งมาจากพระเจ้าเพื่อเป็นรากฐานที่แข็งแรงของอาคาร ฝ่ายวิญญาณของทุกชีวิต เราต้องเข้าใจว่า พระเยซูทรงเป็นรากฐานแห่งความเชื่อของเราไม่มีรากอื่นใดนอกจากพระองค์

สำหรับคนที่ไม่เชื่อฟัง .. “ศิลาซึ่งช่างก่อทิ้งแล้วนั้น ได้กลายเป็นศิลามุมเอก และ เป็นศิลาที่ทำให้คนสะดุด เป็นหินที่ทำให้พวกเขาต้องหกล้ม ที่เขาสะดุด เป็นเพราะเขาไม่เชื่อฟัง พระคำของพระเจ้า ตามที่ถูกกำหนดไว้อย่างนั้น
1 เปโตร 2:7b-8

สดุดี 118:22, มัทธิว 21:42, ลูกา 2:34, อิสยาห์ 8:14, 1 โครินธ์ 1:23, กาลาเทีย 5:11, โรม 9:22

เมื่อคนยิวไม่ยอมรับพระเยซู พระเจ้าได้ทรงหันมา สร้างคริสตจักรที่ประกอบด้วยชนทุกชาติ ผู้ที่เชื่อพระเยซูจะได้รับแบ่งเกียรติยศจากพระองค์ ในขณะที่ผู้ไม่เชื่อฟังกลับพบว่า พระเยซู เป็นหินที่ทำให้พวกเขาต้องล้มและพบความหายนะ พระเจ้าไม่ได้ทรงกำหนดให้เขาไม่เชื่อ แต่หากไม่เชื่อ เขาก็จะสะดุด เสียดายโอกาสหลายชั่วอายุคน ที่คนยิวจำนวนมากมายเลือก ไม่เชื่อพระเยซู แต่ขอบพระคุณที่คนยิวยุคนี้ เริ่มหันมาหาพระองค์มากขึ้น

แต่ ท่านทั้งหลาย เป็นชนชาติที่พระเจ้าทรงเลือกไว้ เป็นปุโรหิตหลวง เป็นชาติบริสุทธิ์ เป็นประชากรที่เป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์
1 เปโตร 2:9a

อิสยาห์ 9:2, 42:16,กิจการ 26:18, 2 โครินธ์ 4:6,

ไม่มีใครอวดได้ว่า เขามาอยู่ในพระเจ้าเพราะตัว เขาตัดสินใจ เขาเข้ามาเอง ทุกคนที่เข้ามา อยู่ในร่มพระเมตตาของพระเจ้านั้น ได้รับการเลือกจากพระองค์ทั้งสิ้น เมื่อเข้ามาแล้ว ก็มี หน้าที่ชัดเจน เป็นปุโรหิตที่ใกล้ชิดกับพระเจ้า ทูลขอพระเมตตาเพื่อคนอื่น ๆ เสียดายที่อิสราเอลได้ละทิ้งสิทธิพิเศษนี้ พระเจ้าได้เลือกคนอีกมากมายทั่วโลกมาเป็น กรรมสิทธิ์ของพระองค์​

เพื่อว่าท่านจะประกาศถึงความดีอันล้ำเลิศของพระองค์ผู้ทรงเรียกท่าน ออกจากความมืด เข้ามาสู่ความสว่างอันมหัศจรรย์ของพระองค์
1 เปโตร 2:9b

วิวรณ์ 1:6,5:10, มัทธิว 5:16, โคโลสี 1:13

ตามพระประสงค์ คริสตจักรจะต้องทำหน้าที่ซึ่งพระเจ้าทรงเรียกให้พวกเขาทำ นั่นคือ ประกาศพระนามพระเยซูคริสต์ออกไปทั่วโลก (มัทธิว 28:19-20) เขาจะต้องเป็นเครื่องมือที่พระเจ้าทรงใช้ให้ส่องสว่างไปยังหัวใจที่มืดมิดในโลกนี้ พวกเขาได้ผ่านกระบวนการที่พระเจ้าทรง เรียกเขาออกมาจากความมืด มาสู่ความสว่าง ของพระองค์ เขาจึงมีคำพยานที่ชัดเจนให้กับ ผู้ที่ไม่เคยได้ยินเรื่องของพระเจ้า

แต่ก่อนท่านไม่ใช่ประชากร
แต่บัดนี้ท่านเป็นประชากรของพระเจ้า
แต่ก่อนท่านไม่ได้รับพระเมตตา
แต่บัดนี้ท่านได้รับพระเมตตาแล้ว
1 เปโตร 2:10

โฮเชยา 1;9-10, 2:23, โรม 9:25, 10:19, 1 ทิโมธี 1:13

มีอยู่ครั้งหนึ่งที่พระเจ้าตรัสว่าจะไม่เอาอิสราเอลที่ดื้อดึงอีกต่อไป แต่ต่อมาพระองค์ก็ยังทรงเรียกเขากลับมาหาพระองค์ คริสตจักรได้รับพระเมตตาของพระเจ้าเหมือนกับอิสราเอลได้รับ (อ่านโฮเชยา 1:6,9,10,2:23) พวกเราต้องเข้าใจและกตัญญูต่อพระเมตตานี้

เมื่อมาหาพระเยซู ..ต้องหลบหลีกอะไร?

พี่น้องที่รัก ข้าขอร้องท่านในฐานะที่อยู่ในโลกอย่างคนจร และคนแปลกถิ่น
1 เปโตร 2:11 a

โรม 8:13, กาลาเทีย 5:17, ยากอบ 4:1

ในขณะที่เราใช้ชีวิตอยู่ทุกวันนี้ ท่านเปโตรเตือน ให้มองตัวเองดี ๆ ว่า จริงแล้ว เราคือใคร ท่านบอกว่า เราคือ คนจร เข้ามาในโลก หรือเหมือนคนแปลกหน้าของโลกนี้ เป็นคนที่กำลังเดินทางมุ่งไปบ้านจริง ตอนนี้แค่มาแวะเฉย ๆ นี่เป็นตัวจริงของผู้ที่เชื่อพระเยซูคริสต์! เราเป็นเหมือนคนนอกโลก ท่านยอห์นจึงบอกเราว่า อย่ารักโลกหรือสิ่ง ของในโลก 1 ยอห์น 2:15

ให้ละเว้นจากความเร่าร้อนของเนื้อหนัง ซึ่งต่อสู้กับวิญญาณจิตของท่านอยู่
1 เปโตร 2:11b

1 ยอห์น 2:15-17, 1 เปโตร 4:2, ฮีบรู 11:13

ในเมื่อเราเป็นประชากรของอาณาจักรพระเจ้า เป็นแค่คนจร กำลังเดินทางต่อไปยังบ้านเมืองแท้จริงของตนเอง ผู้เชื่อจึงต้องกล่าวปฏิเสธความเร่าร้อนของเนื้อหน้าที่ผิดต่อตัวเอง และผู้อื่นอย่างจริงจัง คำว่าต่อสู้ในที่นี้มีความหมายคือทำสงครามเป็นการต่อสู้ที่ยืดเยื้อตลอดชีวิตของผู้เชื่อ เท่ากับเราเดินทางอยู่ในเขตสงครามฝ่ายวิญญาณตลอดเวลา

ให้ประพฤติดีท่ามกลางคนไม่เชื่อเพื่อว่าเมื่อเขากล่าวหาว่า ท่านทำชั่ว เขาจะได้เห็นการดีที่ทำและจะได้สรรเสริญพระเจ้าเมื่อพระองค์เสด็จมาเยือน
1 เปโตร 2:12

มัทธิว 5:16, 9:8, 2 โครินธ์ 8:21, ฟีลิปปี 2:15, ทิตัส 2:8, 1 เปโตร 2:15, 3:16,ยอห์น 13:31, 1 เปโตร 4:11,16

ในเมื่ออยู่ในสงครามตลอดเวลา ก็ต้องเข้าใจด้วยว่า คนที่ไม่ได้เชื่อพระเจ้ากำลังมองชีวิตการกระทำ น้ำใจ การทำงาน ทัศนคติของผู้เชื่ออยู่ โลกสมัยท่านเปโตรนั้น คริสเตียนมีน้อย และถูกจับจ้องตลอดเวลา
ส่วนโลกทุกวันนี้ คนชั่วสามารถกลายเป็นคนดูดีส่วนคนดีก็ถูกกล่าวหาให้กลายเป็นคนร้าย ได้อย่างง่ายดาย การเยี่ยมของพระเจ้านั้น ในพระคัมภีร์มีสองอย่าง มาเยี่ยมแล้วชม หรือมาเยี่ยมแล้วต้องลงโทษ!

นับถือผู้ปกครองตามที่เหมาะสม

เพื่อเห็นแก่องค์พระผู้เป็นเจ้า จงยอมอยู่ใต้อำนาจการปกครองที่มีอยู่ในบ้านเมือง ไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์ที่ถือว่าสูงสุด หรือเป็นเจ้าเมืองที่ได้รับบัญชามาเพื่อลงโทษคนที่ทำชั่ว และยกย่องคนที่ทำดี
1 เปโตร 2:13-14

มัทธิว 22:21, ทิตัส 3:1, โรม 13:1-7, 1 ทิโมธี 2:1-2, ลูกา 20:25, มาระโก 12:17


ในช่วงที่ท่านเขียนจดหมายนั้น อาณาจักรโรมกำลังรุ่งเรือง จักรพรรดิไม่ถูกกับคริสเตียนเลย แต่ท่านเปโตรกลับให้พวกเขาเชื่อฟัง พวกเขาก็ยอมเชื่อฟังเสมอ แต่หากจักรพรรดิสั่งในสิ่งที่ผิดต่อพระเจ้า พวกเขาไม่ยอมทันที อย่างเช่น จักรพรรดิสั่งให้พวกเขาเรียกจักรพรรดิว่าเป็นพระเจ้า พวกเขากลับกล่าวว่าท่านไม่ใช่พระเจ้า พระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระเจ้า พวกเขาจึงถูกเผาทั้งเป็น ถูกโยนให้สิงโตกิน

เพราะพระเจ้าทรงประสงค์ที่จะให้ท่าน
ปิดปากที่ไม่รู้อะไรของคนชั่วด้วยการทำสิ่งที่ดี
ถอดความจาก 1 เปโตร 2:15

1 เปโตร 3:17, 2:12, ทิตัส 2:8

ความดีที่กล่าวถึงนี้ จะต้องเป็นความดีที่ตั้งอยู่บน รากฐานของน้ำพระทัยพระเจ้า มีความดีหลายอย่าง
ที่ไม่ใช่ดีจริง แค่ดูเหมือนดี ดูเหมือนโอเค แต่มันเป็นการกดขี่ เบียดเบียนคนอื่น บางคนทำดีกลบเกลื่อนความชั่วของตนความดีบางอย่างเป็นแค่ทำหลอกลวงฉาบฉวยความดีของผู้เชื่อขึ้นอยู่กับคำของพระเยซูที่ตรัสว่า ท่านทั้งหลายเป็นความสว่าง และเป็นเกลือแห่งแผ่นดินโลก

จงใช้ชีวิตอย่างคนมีเสรีภาพ แต่อย่าใช้เสรีภาพเพื่อปกปิดความผิดจงใช้ชีวิตในฐานะทาสของพระเจ้า
1 เปโตร 2:16

โรม 6:14,20,22, 1 โครินธ์ 7:22, กาลาเทีย. 5:1,5:13

เสรีภาพ เสรีชน อิสระภาพนั้น คืออะไร
ในพจนานุกรมไทยให้คำจำกัดความว่า เป็นความสามารถที่จะกระทำการใด ๆ ได้ตามที่ตนปรารถนาโดยไม่มีอุปสรรคขัดขวาง เช่น เสรีภาพในการพูด เสรีภาพในการนับถือศาสนา, ความมีสิทธิที่จะทำจะพูดได้โดยไม่ละเมิดสิทธิของผู้อื่น
แต่ทำไมท่านเปโตรชวนให้เรามีอิสรชนพร้อมกับเป็นทาสของพระเยซูพร้อม ๆ กัน เพราะนั่นหมายถึงเราทั้งมีเสรี และพร้อมที่จะรับใช้ผู้อื่นดั่งที่พระเยซูทรงรับสภาพทาสมาแล้วนั่นเอง

จงให้เกียรติแก่ทุกคน
จงรักพี่น้องในพระคริสต์
จงยำเกรงพระเจ้า
จงให้เกียรติแด่องค์กษัตริย์
1 เปโตร 2:17

โรม 12:10, สุภาษิต 24:21, โรม 13:7, 1 เปโตร 5:5,

การให้เกียรติกันนั้น โดยทั่วไปต้องเรียนรู้มาจากครอบครัว เริ่มต้นจากการที่สามีภรรยา
พ่อ แม่ ลูก ปู่ย่า ตายาย ให้เกียรติกันและกัน
ข้อความตอนนี้ พูดถึงการรักกัน จะเห็นว่าท่านได้กล่าวรวมไปถึงบุคคลทุกคนที่มีส่วนชีวิตของเรา ไม่เว้นใครเลย พระคำข้อนี้ อาจไม่เป็นที่ถูกใจของคนสมัยใหม่เท่าไร แต่หากเราทุกคนใช้คำพูดดีต่อกัน โลกก็จะสวยขึ้นมากเลย

ผู้ที่เป็นลูกน้อง ให้เคารพเชื่อฟังนาย ไม่ใช่แค่นายใจดีอ่อนโยนเท่านั้น แต่กับนายที่ร้ายด้วยเพราะคนที่ยอมทนทุกข์อย่างไม่เป็นธรรมเพื่อเห็นแก่พระเจ้านั้น สมควรได้รับการยกย่อง
1 เปโตร 2:18-19

ทิตัส 2:9-10, 1 ทิโมธี 6:1-3, โคโลสี 3:22-25,มัทธิว 5:10-12, ลูกา 6:32, 1 เปโตร 3:14-17

ในมัทธิว 5:11 พระเยซูก็ตรัสเรื่องอย่างนี้เช่นกัน
คือการที่ถูกป้ายสี ทำร้ายเพราะพระนามของพระเจ้ากลับจะมีบำเหน็จในสวรรค์ จะเห็นได้ว่า เมื่อเป็นผู้เชื่อ วิธีการที่จะจัดการกับความไม่เป็นธรรมที่ตนโดนนั้น แตกต่างไป ในขณะเดียวกัน ถ้าเราเห็นคนที่ถูกทำร้าย และไม่มีปากเสียง เรา กลับต้องช่วยเขาเหล่านั้น อ่าน สุภาษิต 31:8-9 ให้ออกกฎที่เป็นธรรมแก่ผู้ยากไร้ขัดสน

หากว่าท่านถูกลงโทษเพราะทำผิด ถึงยอมทน จะถือว่าเป็นความดีความชอบได้อย่างไร แต่หากท่านทุกข์ยากเพราะทำดีและท่านอดทน นี่ถือเป็น
สิ่งที่น่ายกย่องในสายพระเนตรพระเจ้า
1 เปโตร 2:20

1 เปโตร 3:17, 4:14-16, 3:14, ฟีลิปปี 4:18,

แปลกที่พระเจ้าทรงพอพระทัยเมื่อคนของพระองค์ไม่โวยวาย กระทืบเท้า ขัดขืน หาทางเอาคึนเมื่อเขา ถูกกระทำ แต่กลับฝากเรื่องนี้ไว้ให้กับพระองค์ เป็นผู้ตัดสินว่าจะทำอย่างไร เมื่อไร ซึ่งตรงนี้เท่ากับคน ๆ นั้น ได้วางใจว่าพระเจ้าจะทรงเอาคืนให้เอง และวิธีของพระองค์ก็ดีกว่า ถาวรกว่าวิธีของเขา เรื่องนี้ เป็นเรื่องของความสัมพันธ์ของคนในสังคมที่เบี้ยวบูด ไม่ถูกต้องซึ่งเกิดขึ้นอยู่ทุกวันในโลกที่แสนวุ่นวายนี้

ตัวอย่างจากพระคริสต์

พระเจ้าทรงเรียกท่านมาเพราะเหตุนี้ เพราะว่าพระคริสต์ได้ทรงทนทุกข์เพื่อท่าน เป็นตัวอย่างให้ท่านดำเนินตามรอยพระบาท พระองค์ไม่ได้ทรงทำบาปใดๆ และไม่พบคำหลอกลวงออกมาจาก พระโอษฐ์ของพระองค์
1 เปโตร 2:21-22

1 ยอห์น 2:6, ยอห์น 13:15, มัทธิว 16:24, อิสยาห์ 53:9, 2 โครินธ์ 5:21, ฮีบรู 4:15, 1 ยอห์น 3:5

ภาพวาดโดย ​Mihaly Munkacsy 1884-1900

ใช่แล้ว ไม่อยากจะคิดอย่างนี้ แต่พระคำกลับ
บอกเช่นนั้น พระเจ้าทรงเรียกเรามาเพื่อให้เรา
ทรหดอดทน เมื่อเรามาเชื่อพระเยซูคริสต์
เราจะได้พบเจอกับการกระทำที่ไม่ยุติธรรมกับเราพระเจ้าทรงประสงค์ให้เราไม่โวยวาย แต่ให้อดทนพระเยซูทรงเป็นตัวอย่างของการไม่ตอบโต้ทรงดูเหมือนพ่ายแพ้ ถูกตรึงบนกางเขน แต่แล้วพระองค์กลับคืนพระชนม์ ตามแผนการของพระเจ้า ทำให้คิดอย่างหนึ่งว่า ในทุกเหตุการณ์ที่เราต้องเผชิญ มันมีเป้าหมายชัดเจน คือชัยชนะอันมีเกียรติ

เมื่อพระองค์ถูกคนดูหมิ่น พระองค์ไม่ทรงดูหมิ่นตอบ เมื่อทรงทนทุกข์พระองค์ก็ไม่ข่มขู่ใคร แต่ทรงมอบพระองค์เองไว้กับพระองค์ผู้ทรงพิพากษาอย่างยุติธรรม
1 เปโตร 2:23

อิสยาห์ 53:7, 1 เปโตร 4:19, ฮีบรู 12:3,

ภาพวาดโดย ​Mihaly Munkacsy 1884-1900

ท่านเปโตรให้พี่น้องคริสเตียนเดินตามแบบอย่างของพระเยซู ชัดเจนมาก ว่าเป็นแบบไหน
พระเยซูทรงกล่าวความจริงตรงๆ ถามอย่างไร
ก็ตอบไปตามความจริงที่พระองค์ทรงยืนยัน
แต่ไหนแต่ไรมา ให้คิดถึงวันที่เหล่าปุโรหิต และ ผู้ใหญ่ของยิวพร้อมใจเต็มด้วยความเกลียดชัง และยืนกรานหัวชนฝาว่า ต้องกำจัดพระเยซูให้สำเร็จ พวกเขาเต็มด้วยอารมณ์โกรธเกรี้ยว หยาบคาย เกลียดชัง ดูหมิ่น ไม่ยอมแพ้
แต่พระเยซูกลับทรงสงบนิ่งเพราะทรงวางพระทัยในพระบิดาเพียงผู้เดียว

พระองค์ทรงแบกบาปของเราไว้บน พระกายบนต้นไม้นั้น เพื่อว่า เราจะตายต่อบาป และมีชีวิตในความเที่ยงธรรม
ท่านทั้งหลายได้รับการบำบัดรักษาด้วยรอยแผลของพระองค์
1 เปโตร 2:24

อิสยาห์ 53:4-6, มัทธิว 8:17, วิวรณ์ 22:2

พระเยซูทรงเอาบาปของเราไป ความตายของ
พระองค์ทำให้เราถูกแยกจากบาปของเรา บาปไปอยู่ที่พระองค์บนกางเขนแล้ว ทั้งนี้ มีเป้าหมายให้เรามีชีวิตที่เที่ยงธรรม ไม่ติดตามทางบาปเหมือนเดิมอีกต่อไป การบำบัดรักษาในที่นี้ มีความหมายถึงบำบัดรักษาชีวิตฝ่ายวิญญาณที่จะได้รับผลอันร้ายกาจของบาปนั่นคือความตาย อาจฟังยากแต่ความหมายของเปโตรคือแบบนี้

ภาพวาดโดย กุสตาฟ ดอเร (1832/1883)

เพราะพวกท่าน
เป็นเหมือนแกะที่หลงหาย
แต่บัดนี้ได้กลับมาหาพระผู้เลี้ยง
และผู้ปกป้องวิญญาณของท่าน
1 เปโตร 2:25

อิสยาห์ 53:6, 40:11, เอเสเคียล 34:6, ลูกา 15:4-6, มัทธิว 9:36

ภาพวาดโดย TG cooper 1836-1901)

อิสยาห์ 53:6 กล่าวว่าเราเป็นเหมือนแกะที่หลงทางไปจากพระเจ้า คิดดูว่า ในการหลงทางนั้นมันมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง เราจะพบสิ่งน่าตื่นเต้นเร้าใจ เราจะพบกับหมาป่า พบอันตราย พบสิ่งต่าง ๆ ที่ไม่ปลอดภัยเหมือนอยู่ในสายตาของผู้เลี้ยง และปลายทางของแกะที่หลงก็คืออยู่ในท้องสัตว์ป่าที่หิวโหย ปลายทางคือความตาย!
แต่หากแกะได้กลับมาหาผู้เลี้ยง มันจะปลอดภัย
เพราะผู้เลี้ยงจะดูแลให้อาหารและปกป้อง
และท่านได้ปกป้องแกะด้วยชีวิตของท่านเอง!

1 เปโตร 1 ใช้ชีวิตอย่างคนบังเกิดใหม่

ทักทายพี่น้องที่ห่างไกล

ข้า เปโตร อัครทูตของพระเยซูคริสต์ ถึงคนต่างถิ่น ผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกซึ่งอาศัยกระจัดกระจายในแคว้นปอนทัสแคว้นกาลาเทีย แคว้นคัปปาโดเซีย แคว้นเอเชีย และแคว้นบิธิเนีย
1 เปโตร 1:1

ยากอบ 1:1 คนต่างถิ่นในที่นี้ ท่านเปโตรหมายถึงผู้ที่อาศัยในบ้านเมืองนั้นเพียงชั่วคราว

พี่น้องที่ท่านเปโตรเขียนจดหมายถึงนั้น อาศัยในเอเชียน้อย พวกเขากำลังเผชิญกับการ ข่มเหงเพราะความเชื่อในพระเยซู ท่านเปโตรห่วงใย พี่น้องเหล่านี้ จึงหนุนใจให้พวกเขาคิดถึง พระเยซูผู้ได้คืนพระชนม์และจะเสด็จมาอีกที
อย่างน้อยประโยคแรกก็ทำให้ผู้อ่านอบอุ่นขึ้นมา เพราะท่านบอกว่าพวกเขาเป็นคนที่พระเจ้าทรงเลือก…

พระบิดาทรงเลือกท่านไว้ตาม
ที่ทรงรู้ล่วงหน้า โดยพระวิญญาณทรงชำระท่านไว้ให้บริสุทธิ์เพื่อพวกท่านจะได้เชื่อฟัง และรับการประพรมจากพระโลหิตของพระเยซูคริสต์
ขอพระคุณและสันติสุขเพิ่มพูนแก่ท่านมากมาย
1 เปโตร 1:2

เอเฟซัส 1:4, โรม 8:29, 2 เธสะโลนิกา 2:13 , โรม 1:5, ฮีบรู 10:22, 12:24, โรม 1:7,

คำว่าเชื่อฟังนี้ หมายถึงการฟังที่ยอมจำนน ยอมรับ ยอมทำตาม

การทรงเลือกของพระเจ้าไม่ใช่สุ่มเอา
แต่ทรงเลือกตามที่ทรงรู้ล่วงหน้าด้วย
พระปัญญาหยั่งรู้ของพระองค์ พระวิญญาณทรงชำระเรา แยกเราออกจากโลก ขบวนการนี้ สำคัญสำหรับชีวิตเราเพื่อเราจะเชื่อฟังพระเจ้าโดยพลังแห่งพระวิญญาณ เราเองเชื่อฟังพระเจ้าด้วยกำลังตัวเองไม่พอ

มรดกจากเบื้องบน

ถวายพระพรแด่พระเจ้าคือพระบิดาของพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา!
พระองค์ทรงให้เราเกิดใหม่ด้วยพระเมตตายิ่งใหญ่เข้ามาสู่ความหวังที่มีชีวิตโดยการที่พระเยซูคริสต์ทรงคืนชีพจากความตาย
1 เปโตร 1:3

เอเฟซัส 1:3, กาลาเทีย 6:16, ยอห์น 3:3,5, 1 โครินธ์ 15:20,

เมตตา คือใจที่สงสาร การแสดงออกถึงความเห็นอกเห็นใจ คำนี้ใช้กับพระเจ้า อย่างใน ลูกา 1:50, โรม 15:9, กับพระเยซู ยูดา 21 หรือกับมนุษย์ทั่วไป มัทธิว 12:7

ถ้าพระเยซูทรงสิ้นพระชนม์แล้วไม่คืนชีพ ความเชื่อของเราก็ไม่ต่างอะไรคนที่ไม่รู้จักพระเจ้า พระเจ้าทรงให้เราได้เกิดใหม่ มีชีวิตใหม่ไม่ใช่ชีวิตแบบเดิม เป็นคนใหม่สิ่งเก่าล่วงไป (2 โครินธ์ 5:17) และเราได้ความหวังที่มีชีวิต ไม่ใช่ ความหวังลม ๆ แล้ง ๆ แต่เป็นความหวังที่ดำรงอยู่ทุกวัน เติบโต สดชื่นตลอดชีวิตเพราะพระเยซูทรงคืนชีพขึ้นมา

เข้ามาสู่มรดกที่ไม่เสื่อมสลาย ไร้มลทิน ไม่เลือนหายไป ซึ่งเก็บเตรียมไว้ในสวรรค์สำหรับท่าน ท่านได้รับการปกป้องด้วยฤทธิ์ของ พระเจ้า ผ่านทางความเชื่อในความรอด ซึ่งพร้อมจะเปิดเผยในวาระสุดท้าย
1 เปโตร 1:4-5

โคโลสี 1:5

ทั้งหมดที่กล่าวมา ท่านเปโตรบอกว่า
พระเจ้าทรงพร้อมเปิดเผยให้เราได้เห็น รับรู้ ได้รับในวันที่พระเยซูเสด็จกลับมา เมื่อเราได้ มาทบทวนว่า พระเจ้าทรงให้อะไรกับเราบ้าง เมื่อเราเข้ามาอยู่ในร่มพระคุณของพระองค์ ทัศนคติของเราก็จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ทั้งหมด ได้มาเพราะพระเมตตาของพระบิดา

ท่านจึงมีความยินดีในสิ่งที่กล่าวมานี้ แม้ว่าชั่วระยะหนึ่ง
จำเป็นที่ท่านต้องเผชิญ ทุกข์ทน สู้กับความยากลำบากต่าง ๆ
1 เปโตร 1:6

มัทธิว 5:12, 2 โครินธ์ 4:17, ยากอบ 1:2

เมื่อเราบังเกิดใหม่ เราก็มีชีวิตใหม่ ความหวัง ที่เติบโต เบิกบาน เราได้รับสัญญาว่าจะได้มรดกที่มั่นคงถาวรซึ่งพระเจ้าทรงเก็บไว้ในสวรรค์ให้แก่เรา เราจะได้ความปกป้องจากพระเจ้า ดังนั้น เมื่อเราทั้งหลายต้องเจอความยากลำบากเราจึงยังคงยินดี

เพื่อว่า การทดสอบความเชื่อแท้ของท่านที่มีค่ายิ่งกว่าทอง ซึ่งแม้ว่าถูกทำลายได้ ก็ยังถูกทดสอบด้วยไฟ และจะได้ผลลัพธ์เป็นคำสรรสริญ และพระสิริรุ่งโรจน์ และพระเกียรติในเวลาที่พระเยซูทรงปรากฎ
1 เปโตร 1:7

ยากอบ 1:3, โยบ 23:10,

แต่ละประโยคของท่านเปโตรนั้น ทั้งยาว และเข้าใจยาก แต่เมื่อเข้าใจแล้ว จะเป็นพื้นฐานสำหรับชีวิตคริสเตียนได้อย่างมั่นคง ดูข้อความนี้ ท่านกล่าวว่า ความเชื่อของเราจะถูกทดสอบด้วยความยากลำบาก ดังนั้น เราจึงต้องไม่มองความยากลำบาก
เป็นสิ่งที่ขวางชีวิต แต่มันคือตัวทดสอบความเชื่อเป็นตัวชำระให้บริสุทธิ์ ทำให้เราเองได้เห็นว่า เรามีความเชื่ออย่างไร เป็นความเชื่อแบบไหน

ท่านรักพระองค์ แม้ว่าท่านไม่เคยเห็นพระองค์ และแม้ว่าไม่ได้เห็นพระองค์ในเวลานี้ท่านก็ยังเชื่อพระองค์ และยินดียิ่ง สุดจะพรรณาเป็นความยินดีที่เปี่ยมด้วยศักดิ์ศรีเนื่องจากท่านได้รับตามผลแห่งความเชื่อ นั่นคือ ความรอดพ้นของจิตวิญญาณ
1 เปโตร 1:8-9

1 ยอห์น 4:20, ยอห์น 20:29

คริสเตียนที่ท่านเปโตรเขียนจดหมายถึง มีจำนวนมากที่ไม่เคยเห็นพระเยซู แต่พวกเขาก็วางใจในพระองค์ เพราะมีคนประกาศ เป็นพยานให้เขารู้ ที่เป็นเช่นนี้ได้เพราะพวกเขามีสัมพันธ์สนิทกับ พระเจ้าทางจิตใจ จิตวิญญาณของพวกเขา เขาจึงรู้แน่ว่า พระองค์ทรงพระชนม์อยู่

เหล่าผู้เผยพระคำซึ่งได้กล่าวถึงพระคุณที่จะมาถึงท่านนั้น ต่างได้สืบค้น ไถ่ถามถึงเรื่องความรอดที่จะมาถึงท่านอย่างรอบคอบ ละเอียดลออ
1 เปโตร 1 :10

ผลที่ได้รับจากการวางใจพระเจ้าแม้ตกอยู่ในความยากลำบาก ต้องทนทุกข์นั้น คือ ความรอดพ้นจากบาป ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้เผยพระคำในสมัยพันธสัญญาเดิมได้ค้นคว้า และศึกษาอย่างเอาจริงเอาจัง พวกเขาไม่มีโอกาสที่จะพบพระผู้ช่วยให้รอดอย่างพระเยซูในสมัยของพวกเขาเลย พวกเขาปรารถนาจะเห็นอย่างที่คนในยุคพระเยซูได้เห็น

พวกเขาสืบค้นว่า ที่พระวิญญาณของพระคริสต์ในใจพวกเขาทรงกล่าวถึง นั้นจะเป็นใคร เป็นในยุคใดเมื่อพระองค์ทรงกล่าวล่วงหน้าถึงการทนทุกข์ของพระคริสต์(พระเมสสิยาห์)รวมทั้งพระสิริรุ่งโรจน์ที่จะตามมา
1 เปโตร 1:11

2 เปโตร 1:21

เราจะเห็นว่า ท่านเปโตรได้กล่าวถึงการทนทุกข์กับพระสิริหรือเกียรติ เป็นของที่คู่กันไปเสมอ คำว่า “พระวิญญาณของพระคริสต์” มีปรากฏอีกครั้งเดียวใน โรม 8:9 พระวิญญาณทรงมาจากพระคริสต์ และกล่าวถึงพระคริสต์ผ่านผู้เผยพระคำในอดีต ซึ่งตอนนั้นพวกเขาก็ไม่เข้าใจไม่เห็นภาพที่สมบูรณ์ของคำที่พวกเขาพูดออกมา

เป็นที่ปรากฏแก่พวกเขาว่า
พวกเขาไม่ได้รับใช้ตนเอง แต่รับใช้ท่านเรื่องเหล่านี้ถูกแจ้งให้ท่านผ่านทางคนที่ประกาศพระกิตติคุณให้แก่ท่านโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งถูกส่งมาจากสวรรค์ เหล่าทูตสวรรค์ต่างปรารถนาที่จะเข้าใจสิ่งเหล่านี้
1 เปโตร 1:12

เอเฟซัส 3:10

ที่ว่า เขาไม่ได้รับใช้ตนเอง แต่รับใช้ท่านนั้นคือว่าผู้เผยพระคำเข้าใจว่า พระเจ้าไม่ได้ให้สิ่งที่พวกเขากล่าวล่วงหน้าให้สำเร็จในยุคของเขา แต่เป็นยุคต่อมา ซึ่งกลายเป็นยุคของท่านเปโตรนั่นเองพระคริสต์หรือพระเมสสิยาห์ได้เสด็จมาในโลกหลังจากที่พวกเขาพูดเป็นร้อยเป็นพันปี พระวิญญาณทรงทำให้คนของพระเจ้าเกิดความเข้าใจ พร้อมกับทรงบันดาลใจ ทรงทำให้คนที่ฟังคนที่ได้ยิน ได้เข้าใจ

การมีชีวิตต่อพระพักตร์พระบิดา

ดังนั้น จงเตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อม จงเอาจริงเอาจัง ตั้งความหวังในพระคุณที่จะมาถึงท่านเมื่อพระเยซูคริสต์เสด็จมาปรากฏ ในฐานะที่เป็นลูกที่มีหัวใจเชื่อฟัง อย่าทำตามความปรารถนาชั่วอย่างตอนที่ไม่รู้จักความจริง
1 เปโตร 1:13-14

โรม 12:2, 1 เปโตร 4:2,

ท่านเปโตรขอให้พวกเขามีใจมุ่งมั่นเตรียมพร้อมเหมือนกับคนที่ถลกแขนเสื้อขึ้นพร้อมที่จะทำงาน การเอาจริงเอาจังคือ การควบคุมคำพูดและการกระทำ ไม่พูดโพล่งไร้สาระ การมีความหวังในการเสด็จมาของพระคริสต์คือหน้าที่ของผู้เชื่อทุกคน

แต่ในเมื่อพระองค์ผู้ทรงเรียกท่านทรงบริสุทธิ์ ท่านก็จงบริสุทธิ์ในการกระทำทุกอย่าง
เพราะมีคำเขียนว่า “เจ้าจงเป็นคนบริสุทธิ์ เพราะเราบริสุทธิ์”
1 เปโตร 1:15-16

2 โครินธ์ 7:1, เลวีนิติ 11:44,45,19:2,20:7

คำว่า “บริสุทธิ์” หมายถึงการแยกออกจากบาป เพื่อพระเจ้า เราต้องสู้เพื่อชีวิตจะไร้บาป แน่นอน ที่เรายังมีบาป แต่ใจจะต้องมุ่งมั่นที่จะถูกแยกออกอย่างที่พระเจ้าตรัสสั่ง คำที่ท่านเปโตรใช้นั้นมาจาก เลวีนิติ 11:44-45, 19:2 ,20:7
ท่านเป็นคนที่จะอ้างกลับไปถึงพระคัมภีร์เดิมบ่อย ๆ

และหากท่านร้องทูลต่อพระองค์ในฐานะพระบิดา ผู้ทรงตัดสินความอย่างไร้อคติ ตามการกระทำของแต่ละคน จงระวังที่จะประพฤติตนด้วยความยำเกรงตลอดเวลาที่อยู่ในโลกในฐานะคนต่างถิ่น
ถอดความจาก 1 เปโตร 1:17

กิจการ 10:34

คำกล่าวข้างบนที่ว่าร้องทูลพระองค์ในฐานะพระบิดา ก็คือ หากท่านเป็นผู้เชื่อในพระเจ้า เท่ากับท่านรู้ว่าพระองค์ทรงเที่ยงตรง ไม่ลำเอียงในการพิพากษา ดังนั้นท่านก็จะรู้ดีว่าท่านควรใช้ชีวิตอย่างไรในโลก เพื่อว่าในวันที่เราต้องให้การต่อพระเจ้านั้น เราจะได้ทำได้ดีในฐานะเป็นคนต่างถิ่น ผู้เชื่อในพระเจ้ารู้ว่า โลกนี้ไม่ใช่ที่สุดท้ายของเขาดังนั้นจึงไม่ยึดติดกับสิ่งใด ๆ ในโลก

ท่านรู้อยู่แล้วว่า ท่านได้รับการไถ่ออกมาจากการใช้ชีวิตที่ไร้สาระซึ่งท่านรับมาจากบรรพบุรุษ โดยไม่ใด้ไถ่ด้วยสิ่งที่สูญไปได้ดั่งเงินหรือทอง แต่ด้วยพระโลหิตล้ำค่าของพระคริสต์ ดั่งเลือดลูกแกะที่ไร้มลทิน หรือจุดด่างดำ
1 เปโตร 1:18-19

กิจการ 20:28, 1 เปโตร 1:2, อพยพ 12:5, อิสยาห์ 53:7

ชีวิตที่ไร้สาระ หรือบางเล่มว่า การกระทำที่ว่างเปล่านั้นก็คือ ชีวิตที่จบแล้วต้องอยู่ห่างจากพระเจ้าเป็นนิตย์ พระเยซูคริสต์ได้ทรงใช้พระโลหิตของพระองค์ ซื้อชีวิตเราคืนมาจากสภาพการเป็นทาสบาป เพื่อให้เราได้ใช้ชีวิตเป็นอิสระจากบาป และมีชีวิตที่ไม่ไร้สาระอีกต่อไปเป็นชีวิตที่จะได้เข้าไปอยู่ในอาณาจักรพระเจ้าเต็มตัว บริบูรณ์

พระองค์ทรงถูกเลือกไว้ก่อนวางรากฐานโลก แต่ทรงให้พระองค์ปรากฏในยุคสุดท้ายเพื่อพวกท่านโดยพระองค์ ท่านได้เชื่อพระเจ้าผู้ทรงทำให้พระองค์คืนชีพจากตาย และประทานพระสิริรุ่งโรจน์แก่พระองค์ เพื่อให้ความเชื่อและความหวังของท่านได้อยู่ในพระเจ้า
1 เปโตร 1:20-21

โรม 3:25, กาลาเทีย 4:4, กิจการ 2:24, 33

ก่อนมีโลกนี้ ก่อนอาดัมเอวา พระเจ้าได้ทรงวางแผนงานของการไถ่มนุษย์ไว้แล้ว และผู้ที่พระเจ้าทรงเตรียมสำหรับการนี้ก็คือ องค์พระเยซูคริสต์
ยุคสุดท้ายในที่นี้ หมายถึงยุคที่พระเมสสิยาห์หรือองค์พระเยซูคริสต์ ได้เสด็จเข้ามาบังเกิดในโลกจนถึงวันที่พระองค์จะเสด็จกลับมาอีกครั้ง

บัดนี้ท่านได้ชำระจิตใจให้สะอาดบริสุทธิ์ ด้วยการเชื่อฟังความจริงจนท่านรักพี่น้องอย่างจริงใจ ดังนั้นจงรักกันและกันอย่างแรงกล้า จากใจที่บริสุทธิ์
1 เปโตร 1:22

กิจการ 15:9, ยอห์น 13:34, โรม 12:10, ฮีบรู 13:1, 1 เปโตร 2:17, 3:8

การที่ชีวิตใครคนหนึ่งจะรับการชำระหลังจากที่เราดำเนินไปกับพระเจ้านั้น ขึ้นอยู่กับการเชื่อฟังความจริงของพระเจ้าเป็นเรื่องสำคัญ เชื่อ และทำตาม จะได้รับการชำระจากพระเจ้า สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาจากการเชื่อฟัง คือ พี่น้องรักกันอย่างแรงกล้า คำนี้ ในภาษาเดิมแปลว่า รักกันจนสุดขอบเขต เป็นรักที่เราทำเองไม่ได้
คนที่พระเจ้าทรงชำระด้วยพระคำของพระองค์จึงจะได้รับกำลังที่จะทำเช่นนี้ได้

เพราะท่านได้เกิดใหม่แล้ว ไม่ได้เกิดจากเมล็ดพันธ์ุที่เสื่อมไปได้ แต่จากเมล็ดพันธ์ุที่ไม่ตาย คือจากพระวจนะที่มีชีวิตและยืนยงถาวรตลอดไป
1 เปโตร 1:23

ยอห์น 1:13, 1 เธสะโลนิกา 2:13, ยากอบ 1:18,

เท่าที่อ่านมาจนถึงตอนนี้ เราจะเห็นว่า พระคำของพระเจ้านั้นสำคัญสำหรับชีวิตมากเหลือเกินหากหันกลับไปอ่าน 2 ทิโมธี 3:15-17 เราจะได้ข้อสรุปที่ว่า พระคำของพระเจ้าคือพลังขับเคลื่อนชีวิตของเราไปสู่ความดี ความรอด พระวิญญาณของพระเจ้าทรงให้พระคำของพระเจ้าช่วยสร้างชีวิตของเราขึ้น พระคำนั้น ก็คือ เรื่องราวแห่งพระกิตติคุณที่ช่วยเราให้รอด

เพราะมนุษย์ทั้งหลายเป็นเหมือนหญ้า ศักดิ์ศรีของพวกเขาเป็นเหมือนดอกหญ้า หญ้าจะเหี่ยวแห้งไป และดอกหญ้าก็ร่วงหล่น แต่พระคำของพระเจ้ายืนยงตลอดไปพระคำนี้ เป็นข่าวประเสริฐที่ได้ประกาศให้แก่ท่านแล้ว
1 เปโตร 1:24-25

อิสยาห์ 40:6-8, ยากอบ 1:10, ยอห์น 1:1,

พระคำ กรีกว่า เรมา คือสิ่งที่พูดออกมา กล่าวออกมา ในขณะที่คำว่าโลโกส หมายถึงพระคัมภีร์ทั้งหมด เรมาหมายถึงประโยคต่าง ๆ ที่มาจากพระคัมภีร์

มีหลายตอนในพระคัมภีร์บอกเราว่า คนเรานั้น ชีวิตสั้นเหมือนดอกไม้ในทุ่ง และเปรียบเทียบให้เห็นว่า พระคำของพระเจ้ายืนนานถาวร
จากความจริงในโลก ก็เป็นเช่นนั้น ไม่ว่ามนุษย์ จะล้มหายตายจากไปกี่รุ่น ต่อกี่รุ่น แต่พระคัมภีร์ที่พระเจ้า
ทรงบันดาลใจให้คนของพระองค์เขียนขึ้นมา
เพื่อสื่อให้รู้ถึงพระดำริต่าง ๆ ตั้งแต่ต้น จนจบโลก
ก็ยังคงดำรงอยู่ทุกวันนี้ และจะอยู่ตลอดไป

ยอห์น 6 อาหารแห่งชีวิต

มีคำอธิบายในช่วงสุดท้าย ส่วนข้อพระคัมภีร์เล็ก ๆ ใต้ภาพ เป็นข้อพระคัมภีร์เชื่อมโยงที่ทำให้เรามองเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้ชัดเจนขึ้น

การเลี้ยงครั้งใหญ่ 5000 คน

มัทธิว 14:13-21,มาระโก 6:32-35, ลูกา 9:10-12, ยอห์น 6:32,21:1, มัทธิว 4:23, 8:16,9:35, 14:36, 15:30, 19:2, 14:14,,เทศกาล เลวีนิติ 23:5,7 , เฉลยธรรมบัญญัติ 16:1

มัทธิว 14:13-21, ยอห์น 1:43

ยอห์น 1:40, 2 พงศ์กษัตริย์ 4:43

มัทธิว 15:36, 1 เธสะโลนิกา 5:18, ลูกา 24:30

ปฐมกาล 49:10, เฉลยธรรมบัญญัติ18:15}18, ยอห์น 1:21, 7:40, กิจการ 3:22, 7:37

ยอห์น 18:36, 7:3-4,

พระเยซูทรงเดินบนน้ำทะเล

มัทธิว 14:23, มาระโก 6:47

มัทธิว 17:6, อิสยาห์ 43:1-2

พระเยซูผู้เป็นอาหารแห่งชีวิต

มาระโก 1:37, ยอห์น 6:15-21, ยอห์น 6:2, ลูกา 8:40,

คำถามแรกเมื่อพบพระเยซู ยอห์น 1:38-39 , โรม 16:18, ฟีลิปปี 2:21

คำถามที่สอง โคโลสี 3:2, อิสยาห์ 55:2, กิจการ 6:30,16:31, มัทธิว 19:16

ยอห์น 12:37, 1 โครินธ์ 1:22, สดุดี 105:40, 78:24-25

กาลาเทีย 4:4, ยอห์น 1:9, 1 ยอห์น 1:1-2, ยอห์น 17:8, 4:15

ยอห์น 7:37-38, 4:13-14, วิวรณ์ 22:17, 1 เปโตร 1:8-9, ลูกา 16:31, ยอห์น 17:24, 10:28-29

ยอห์น 5:30, 4:34, 3:13, ฟีลิปปี 2:7-8, ยอห์น 18:9, 17:12, 10:27-30

โรม 6:23, ยอห์น 5:24,

พระเยซูทรงอธิบายว่าเหตุใดพวกเขาไม่รับพระองค์ ยอห์น 7:12, 6:51-52, ลูกา 4:22

ยอห์น 6:65, 12:32, เอเฟซัส 2:4-10,อิสยาห์ 54:13, เยเรมีย์ 31:33-34

อาหารแท้จากสวรรค์ ยอห์น 1:18, 7:29, 5:24,37, 3:36, 1 ยอห์น 4:12, 1 โครินธ์ 10:16-17, ยูดา 1:5

ยอห์น 6:33,58, 11:25-26, ลูกา 22:19, ฮีบรู 10:5-12, 20

การต้อนรับพระเยซูคืออย่างไร? ความหมายแท้ ยอห์น 10:19,9:16 , 1 ยอห์น 5:12

ยอห์น 15:4-7, 1 ยอห์น 2:6,27,28, 3:6,24,

1 ยอห์น 3:24, 4:15-16, 15:4-5, ยอห์น 6:24, 47-51, 41,31-34, 18:20

คำแห่งชีวิตนิรันดร์ ที่หลายคนปฏิเสธ

ปฏิกริยาต่อคำของพระเยซู 2 เปโตร 3:16, ยอห์น 8:43, 2:24-25, มาระโก 16:19, ยอห์น 3:13

เหตุผลที่คนไม่รับพระองค์ กาลาเทีย 5:25, ฮีบรู 4;12, ยอห์น 10:26, 2 ทิโมธี 2:19,

ยอห์น 6:44-45, 6:37, 3:27

พวกศิษย์รับพระองค์แม้จะไม่เข้าใจทั้งหมด 1 ยอห์น 2:19, ลูกา 9:62, ฮีบรู 10:38

พระเยซูทรงรู้จักศิษย์ทุกคนอย่างดี มัทธิว 16:16, มาระโก 8:29, ลูกา 9:20, ยอห์น 1:49,11:27, 12:4,13:2,26
มัทธิว 26:14-16

ยอห์น 6:1-15 นี่เป็นหมายสำคัญครั้งที่สี่ ซึ่งท่านยอห์นได้บันทึกไว้เพื่อแสดงให้เห็นว่า พระเยซูทรงเป็นพระเมสสิยาห์ และทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า เป็นการอัศจรรย์ที่พระกิตติคุณทั้งสี่ได้บันทึกเอาไว้ ท่านยอห์นมักบอกรายละเอียดที่ท่านอื่นละเอาไว้ ทำให้เราเห็นฤทธิ์อำนาจของพระเยซูชัดเจน และยังเป็นเหตุการณ์สำคัญ ที่มาก่อนคำของพระเยซูที่ตรัสว่า ทรงเป็นอาหารแห่งชีวิตด้วย (ข้อ 22-40) |
ทั้ง ๆ ที่ผู้คนมาเพราะอยากเห็นการอัศจรรย์ แต่พระเยซูก็ไม่ได้รู้สึกทางลบกับพวกเขา ทรงทั้งสั่งสอน และรักษาโรคให้จนเย็น พระองค์ทรงถามฟีลิปว่าจะเลี้ยงพวกเขาอย่างไร การตอบโต้ของฟีลิปทำให้เราเห็นว่า เขายังคิดไม่ออกว่า พระเยซูสามารถทำการอัศจรรย์ที่เกินคาดได้ เขามองเห็นจำนวนคนก็ท้อแล้ว ในบันทึกว่า 5000 คน หมายถึงเฉพาะผู้ชาย แต่ถ้าเรารวมผู้หญิงและเด็กเข้าไปก็น่าจะถึงสองหมื่น หลังจากการเลี้ยงคนจำนวนมหาศาลด้วยขนมปังเล็ก ๆ 5 ชิ้น กับปลา 2 ตัวของเด็กชายคนหนึ่ง ข้อ 14 พวกเขาพูดกันว่า พระองค์คือ ผู้เผยพระคำ เขาพอใจพระองค์ และคิดว่าพระองค์จะทรงเป็นผู้นำที่ช่วยพวกเขาได้อย่างที่ต้องการ ข้อ 15 จึงคุยกันว่า จะบังคับให้พระองค์เป็นกษัตริย์ของพวกเขา แต่นั่นไม่ใช่เป้าหมายของพระเยซู

ยอห์น 6: 16-21 การดำเนินบนน้ำทะเลเป็นหมายสำคัญที่ห้า ที่ท่านยอห์นบันทึก เพื่อให้ผู้อ่านได้ทราบว่าพระองค์ทรงเป็นพระเมสสิยาห์และพระบุตรของพระเจ้า (ยอห์น 20:30-31) การอัศจรรย์ทุกครั้งทำให้เราได้เห็นว่า พระองค์ทรงอยู่เหนือกฎธรรมชาติ
สบาย ๆ ไม่ใช่เรื่องที่ต้องใช้พลังมากเลย หลังจากที่เลี้ยงคนจำนวนมากนั้นแล้ว ศิษย์ของพระองค์ก็มุ่งหน้าไปทางตะวันตกทันที ทะเลกาลิลีนี้แปลก อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลถึง 700 ฟุต ดังนั้น ลมเย็นจากภูเขาทางเหนือ และที่ราบสูงทางตะวันออกเฉียงใต้ก็มักจะพัดเข้ามาทำให้เกิดพายุอย่างทันควันได้เสมอ
ในหนังสือมัทธิว 14:26 ,มาระโก 6:49 บอกว่าเขาคิดว่าพระองค์เป็นผีเสียด้วยซ้ำ เพราะบรรยากาศเอื้อให้คิดอย่างนั้น
พวกเขารู้สึกหวาดกลัวมาก แต่ครั้งนี้เอง ไม่เฉพาะแค่ดำเนินบนน้ำเท่านั้น พระเยซูยังทรงสั่งให้พายุสงบ แถมเรือก็ไปถึงอีกฝั่งทันที พวกเขาจึงเห็นชัดเลยว่า ทรงยิ่งใหญ่เหนือธรรมชาติทุก ๆ ด้าน

ยอห์น 6:22-29
วันต่อมา ผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์การเลี้ยงใหญ่นั้น ก็ตามหาพระเยซู พวกเขารู้ว่าพระองค์ไม่ได้กับศิษย์ด้วย จึงตัดสินใจพากันข้ามจาก ด้านตะวันออกของทะเลมาด้านตะวันตกที่เมืองคาเปอร์นาอูม ในหมู่คนเหล่านั้นมีพวกยิวอยู่ด้วย (มัทธิว 15) แปลกที่ถามว่า พระองค์มาถึงเมื่อไร และแปลกที่พระเยซูไม่ทรงตอบคำถามนั้นกลับตรัสบอกเหตุผลว่าทำไมพวกเขาจึงมาหาพระองค์… เขาทั้งต้องการอาหาร หมายสำคัญ และกษัตริย์ที่จะช่วยพวกเขา
คำถามต่อมาคือ ต้องทำอย่างไรเพื่อจะทำให้พระเจ้าพอพระทัย… แต่นั่นเป็นพื้นฐานที่เข้าใจพระเจ้าผิด พระเยซูทรงตอบทันทีว่า สิ่งที่ต้องทำคือการเชื่อพระองค์เอง เชื่อองค์เยซูที่พระเจ้าทรงส่งมา
นี่เป็นความเข้าใจผิดของคนเป็นจำนวนมาก พวกเขาคิดว่าต้องทำดีจึงจะมาหาพระเจ้าได้ แต่พระเยซูทรงชัดเจน …ต้องเชื่อพระองค์!”

ยอห์น 6:30-37 ประชาชนที่ตามพระองค์มานั้น ยังต้องการเห็นหมายสำคัญ การอัศจรรย์อีก พวกเขาอ้างไปถึงอดีต คราวที่บรรพบุรุษของพวกเขาอยู่ในถิ่นกันดาร โดยการนำของโมเสส เขาได้รับการเลี้ยงดูเป็นเวลานานมากด้วยมานา และนกคุ่ม
พูดเป็นนัย ๆ ว่า พระเยซูจะเลี้ยงแค่มื้อเดียวเองหรือ เขาต้องการอาหารจากพระองค์ทุกมื้อจากนี้ไป
แต่พระเยซูตรัสตอบเขาว่า คนที่เลี้ยงพวกเขาไม่ใช่โมเสส แต่เป็นพระบิดาต่างหาก จากนั้นทรงโยงไปเรื่องที่สำคัญคือ พระองค์นี้แหละ คืออาหารแห่งชีวิต คืออาหารแท้จากสวรรค์ที่พระเจ้าทรงส่งลงมา พระองค์หมายความว่า ทรงเป็นอาหารฝ่ายวิญญาณที่พวกเขาต้องกิน ดื่มเข้าไป(นั่นคือเชื่อวางใจพระองค์) เพื่อจะมีชีวิต เป็นเรื่องของอาหารเลี้ยงวิญญาณ
ข้อสังเกต.. สิ่งที่พวกเขาต้องการ พระองค์ไม่ให้ แต่อาหารที่ทรงเสนอให้ คือพระองค์เอง พวกเขากลับไม่รับ การเชื่อในพระเยซูนั้น ไม่ซับซ้อน เพราะการเชื่อคือการออกมาจากชีวิตเดิม และเข้ามาหาพระองค์ พระเยซูตรัสชัดเจนว่า การเข้ามาหาพระองค์นั้น เป็นราชกิจของพระบิดา และพระบุตรจะไม่มีการปฏิเสธคนที่พระบิดาส่งมาให้พระองค์

ยอห์น 6:38-51 การสนทนากันครั้งนี้ พระเยซูตรัสตรง ๆ หลายครั้งว่า พระบิดา พระบิดา… และทรงย้ำว่า พระองค์ถูกส่งมาจากพระบิดา และใครที่มาหาพระเยซูจะมีชีวิตนิรันดร์ นี่เป็นความประสงค์ของพระบิดา
และแล้ว พวกยิวก็เริ่มเอะใจ ไม่พอใจที่พระองค์ตรัสเช่นนั้น พวกเขาไม่ยอมเชื่อว่าพระองค์ลงมาจากสวรรค์ ยังไงกัน จะยกตัวเองมากเกินไปแล้ว ก็เป็นลูกชายโยเซฟ แล้วมาอ้างอย่างนี้ได้ไง…
ในขณะที่พวกเขาคิดว่าตนเองมีเชื้อสายอิสราเอล เป็นคนพิเศษของพระเจ้า พระเยซูกลับทรงบอกเขาว่า คนที่จะได้รับชีวิตนิรันดร์นั้น เป็นการเลือกจากพระบิดา ไม่ใช่มาจากเชื้อสาย
และในที่สุด พวกเขาก็เริ่มเข้าใจว่า มานาที่พระเจ้าส่งลงมา ก็ยังไม่ใช่อาหารแห่งชีวิต เพราะคนที่กินก็ตายตาม ๆ กัน
แต่อาหารใหม่จากสวรรค์นี้ จะให้ชีวิตตลอดไป …. พระองค์ตรัสอีกประโยคที่ทำให้เราตะลึงก็คือ อาหารที่จะให้ชีวิตจริง ๆ กับโลกคือเลือดเนื้อของพระองค์

ยอห์น 6:52-59 ในหนังสือยอห์น ผู้เขียนจะบันทึกคำตรัสแบบเปรียบเทียบของพระเยซูไว้หลายครั้ง เช่นการเกิดใหม่
น้ำแห่งชีวิต อาหารแห่งชีวิต เราเป็นผู้เลี้ยงที่ดี ทำให้พวกยิวเริ่มไม่พอใจ โต้เถียงกัน กินเนื้อ ดื่มโลหิตนั่นคือ รับเอาพระองค์ทั้งหมด และพระองค์เน้นด้วยทรงเป็นเนื้อแท้ เลือดแท้… ท่านยอห์นเป็นคนที่เน้นเรื่องของ จริง, แท้ บ่อย ๆ ในข้อเขียนของท่าน
คำ “พระบิดาผู้ทรงพระชนม์” บ่งบอกว่า พระองค์ทรงมีชีวิตในพระองค์เอง และทรงมอบชีวิตนั้นให้พระบุตร (ยอห์น 5:21) ทั้งพระบิดาพระบุตรทรงทำให้คนคืนชีพ

ยอห์น 6:60-71 พวกเขาบอกว่ายากที่จะรับได้ นั่นหมายถึงว่า ไม่อยากรับว่า พระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า และในบางครั้ง พระเยซูเองก็ตรัสอะไรยากที่จะเข้าใจด้วย (มัทธิว 23:15, ยอห์น 4:17-18)
ข้อ65 ทำให้เรารู้ว่า มนุษย์ไม่หาพระเจ้าเอง แต่พระเจ้าทรงเป็นผู้เริ่มช่วยให้เขาแสวงหาพระองค์ มนุษย์เป็นผู้ที่จะตอบสนองการเริ่มต้นของพระเจ้า
ในหมู่คนที่ติดตามพระเยซูนั้น มีคนที่เชื่ออย่างจริงใจ กับคนที่ต้องการจะได้ประโยชน์ และเราพบว่า ทุกคนที่พระเยซูทรงเลือกมาตั้งแต่ต้นก็ตัดสินใจที่จะติดตามพระองค์ไป เปโตรเองเป็นคนที่บอกชัดว่า จะไปเอาใครที่ไหนมาเปรียบกับพระองค์ ไม่มีเลย เขามั่นใจเต็มร้อยว่า พระองค์ทรงเป็นองค์บริสุทธิ์ของพระเจ้า
แต่แล้วสิ่งที่น่าเสียดายคือ ยูดาสไม่เลือกที่จะเป็นคนของพระเจ้า เขาปฏิเสธพระเยซูทั้งที่เคยได้ยิน ได้เห็น และอยู่กับพระองค์มานานเท่า ๆ กับอัครทูตคนอื่น