มัทธิว 8 ผู้ทรงสิทธิอำนาจ

พระเยซูทรงรักษาคนโรคเรื้อน
1 เมื่อพระเยซูเสด็จลงมาจากภูเขา
คนเป็นจำนวนมากได้ติดตามพระองค์ไปด้วย
2 มีชายคนหนึ่งเป็นโรคเรื้อน (โรคผิวหนัง เลวีนิติ 14) 
เข้ามาหาพระองค์ เขาคุกเข่าลงต่อพระพักตร์ และทูลว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์ทรงรักษากระผม
ให้หายสะอาดได้หากพระองค์ทรงเลือกที่จะทำ”

3 พระเยซูทรงยื่นพระหัตถ์ออกไปแตะต้องตัวเขา ตรัสว่า
“เราเลือกทำอย่างนั้น จงหายสะอาดเถิด”
ทันใดนั้น เขาก็หายจากโรคของเขา !
4 แล้วพระเยซูตรัสกับเขาว่า “ระวังอย่าไปบอกใครเรื่องนี้ แต่จงไปและแสดงตัวเจ้ากับปุโรหิต และถวายเครื่องบูชาตามที่โมเสสได้สั่งไว้ เพื่อเป็นพยานหลักฐานว่า เจ้าได้หายจากโรคแล้ว”

พระเยซูทรงรักษาโรคของบ่าวนายร้อย
5 เมื่อพระเยซูเสด็จเข้าไปในเมืองคาเปอรนาอุม 
มีนายร้อยนายหนึ่งมาหาพระองค์  ทูลขอความช่วยเหลือ
6 เขากล่าวว่า “พระองค์เจ้าข้า บ่าวของข้าพเจ้านอนป่วย
เป็นอัมพาต และเขากำลังเจ็บปวดทรมานมาก”
7 พระเยซูตรัสกับเขาว่า “เราจะไปรักษาเขา”
8 เขาตอบว่า “พระองค์เจ้าข้า ตัวข้าพเจ้าเองไม่สมควร
ที่จะให้พระองค์เสด็จมายังบ้านของข้าพเจ้า
เพียงแต่ พระองค์ทรงบัญชา
บ่าวของข้าพเจ้าก็จะหายป่วยได้
9 เพราะข้าพเจ้าเองก็เป็นคนที่อยู่ใต้บังคับบัญชา
และมีทหารใต้บังคับของข้าพเจ้าด้วย 
เมื่อข้าพเจ้าสั่งทหารคนหนึ่งให้ ไป เขาก็จะไป
ข้าพเจ้าสั่งอีกคนว่า มา เขาก็จะมา
ข้าพเจ้าสั่งบ่าวของข้าพเจ้าให้ทำสิ่งนี้ เขาก็จะทำ”
 10 เมื่อพระเยซูทรงฟังคำของเขา
ก็ทรงประหลาดพระทัย
พระองค์ตรัสกับคนที่กำลังตามพระองค์มาว่า
“เราบอกความจริงแก่เจ้าว่า เราไม่เคยพบความเชื่ออย่างนี้
แม้ในหมู่คนอิสราเอลทั้งหมด
11 เราขอบอกเจ้าว่า คนเป็นอันมากจากตะวันออก และจากตะวันตก จะเข้ามาเอนกายรับประทานอาหารร่วมกับอับราฮัม อิสอัค และยาโคบในแผ่นดินสวรรค์ 
(อิสยาห์ 25:6-8)

12 แต่เหล่าลูกหลานของอาณาจักรจะถูกโยนออกมา
ในความมืดข้างนอก  ซึ่งเป็นที่ ๆ ผู้คนจะร้อง
และขบฟันด้วยความเจ็บปวด”
13  แลัวพระเยซูตรัสกับนายร้อยว่า
“จงกลับบ้านไปเถิด บ่าวของท่านจะหายโรคตามที่ท่าน
เชื่อว่าเขาจะหาย”

และบ่าวของเขาก็หายขาดจากโรคในชั่วโมงนั้นเอง! 

พระเยซูทรงรักษาคนจำนวนมาก
14 เมื่อพระเยซูทรงไปยังบ้านของเปโตร
พระองค์ทรงเห็นแม่ยายของเปโตรนอนป่วย มีไข้
อยู่บนเตียง 
15 พระองค์ทรงจับมือของเธอ อาการไข้ก็หายไป!
แล้วเธอก็ยืนขึ้น และต้อนรับปรนนิบัติพระองค์
16 เย็นวันนั้นเอง ประชาชนก็นำคนจำนวนมาก
ที่มีผีสิงมาหาพระองค์ พระเยซูตรัส
และผีเหล่านั้นก็ออกจากพวกเขา
และพระองค์ทรงรักษาโรคให้คนป่วย  
17  ที่พระองค์ทรงทำสิ่งเหล่านี้ ก็เพื่อให้สำเร็จ
ตามคำที่อิสยาห์ ผู้เผยพระดำรัสได้กล่าวไว้ว่า
“พระองค์ทรงรับเอาความเจ็บป่วย
และนำเอาโรคต่าง ๆ ของเราไป”

ประชาชนต้องการติดตามพระเยซู 
18 เมื่อพระเยซูทรงเห็นฝูงชนมาห้อมล้อมพระองค์ พระองค์ก็ทรงบอกให้ศิษย์ข้ามไปยังอีกฝั่งทะเลสาบ
19 แล้วมีธรรมาจารย์คนหนึ่งมาหา และทูลว่า “ท่านอาจารย์ ข้าพเจ้าจะติดตามท่านไปทุกแห่งที่ท่านไป”
20 พระเยซูตรัสกับเขาว่า “สุนัขจิ้งจอกยังมีโพรงอาศัย
และนกในอากาศยังมีรัง
แต่บุตรมนุษย์ไม่มีที่จะวางศีรษะ”
21 ชายอีกคนซึ่งเป็นศิษย์ของพระองค์ทูลว่า “พระองค์เจ้าข้า ขอให้ข้าพเจ้าได้กลับไปฝังศพพ่อของข้าพเจ้าก่อน”
22 แต่พระเยซูตรัสกับเขาว่า “จงตามเรามา
และให้คนที่ตายไปฝังคนตายของเขาเองเถิด”

พระเยซูทรงห้ามพายุในทะเล
23 พระเยซูเสด็จลงเรือ และศิษย์ของพระองค์ก็ตามพระองค์ไป
24 ทันใดนั้นเอง เกิดพายุใหญ่ขึ้นในทะเลสาบจนคลื่นท่วมเข้ามาในเรือ แต่พระเยซูบรรทมอยู่ 
25 พวกศิษย์ที่ไปกับพระองค์ก็ปลุกพระองค์ขึ้นมา กล่าวว่า “พระองค์เจ้าข้า โปรดช่วยพวกเราด้วย เรากำลังจะจมน้ำตายอยู่แล้ว”
26 พระเยซูตรัสตอบว่า “เหตุใดเจ้าจึงขลาดกลัวเช่นนี้?
เจ้ามีความเชื่อน้อยนัก”
แล้วพระเยซูทรงลุกขึ้น
ตรัสสั่งให้ลมพายุ และคลื่นหยุด แล้วมันก็สงบลง 
27  พวกเขาประหลาดใจและกล่าวกันว่า “ท่านผู้นี้ทรงเป็นใครกัน? แม้กระทั่งลมและคลื่นทะเลยังเชื่อฟังท่าน!”

พระเยซูทรงขับผีจากชายผีสิงสองคน
28 เมื่อพระเยซูทรงข้ามฟากมายังอีกฝั่ง ถึงเขตแดนกาดารา (เป็นพื้นที่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของของทะเลสาบกาลิลี) มีชายสองคนที่มีผีสิงออกจากถ้ำเก็บศพ มาพบพระองค์
คนทั้งสองนั้นดุร้ายยิ่งนักจนผู้คนไม่กล้าผ่านไปทางนั้น
 29 ทั้งสองตะโกนว่า “พระองค์ต้องการทำอะไรพวกเรา?
พระบุตรของพระเจ้า ทรงมาที่นี่เพื่อทรมานเรา
ก่อนกำหนดเวลาอย่างนั้นหรือ?”
 30 ใกล้ๆ แถบนั้น มีสุกรฝูงใหญ่หากินอยู่  
31 ผี​(ในตัวชายทั้งสอง) ร้องขอพระเยซูว่า “หากพระองค์จะทรงขับเราออกจากพวกเขา ก็โปรดส่งเราไปสิงในฝูงหมูนั้นเถิด”
32 พระเยซูตรัสกับเขาว่า “ไปเลย!”
ดังนั้นผีจึงเข้าไปสิงในตัวสุกร 
ดูสิ สุกรทั้งฝูงก็กระโจนจากหน้าผาลงไปในทะเลสาบ
จมน้ำตายจนหมดทุกตัว !
33 คนเลี้ยงสุกรวิ่งหนีเข้าไปในเมืองแล้วก็ป่าวร้องเรื่องที่เกิดขึ้น  รวมทั้งสิ่งที่เกิดกับชายผีสิงทั้งสอง  
34  แล้วคนทั้งเมืองก็ออกมาพบพระเยซู  เมื่อพวกเขาเห็นพระองค์ ก็ขอร้องให้พระองค์ออกจากเขตแดนของเขา

คำอธิบายเพิ่มเติม

มัทธิว 8:1-4
เมื่อพระเยซูทรงสอนเสร็จ ทรงลงมาจากภูเขา แล้วประชาชนก็ได้เห็นว่า พระองค์ไม่ได้แค่สอนอย่างมีสิทธิอำนาจเท่านั้น แต่พระองค์ทรงสิทธิในการรักษาโรคด้วย ในบทนี้ เราจะเห็นการรักษา ชายโรคเรื้อน บ่าวนายร้อย  แม่ยายเปโตร คนจำนวนมาก และยังทรงห้ามพายุ  มัทธิวไม่ได้เรียงลำดับตามเหตุการณ์
แต่รวบรวมการรักษาของพระเยซูมาเรียงกัน
การเป็นโรคเรื้อนดังกล่าว หมายถึงโรคผิวหนังหลายระดับ ไม่เฉพาะโรคเรื้อนเท่านั้น ที่ร้ายแรงสุดคือโรคเรื้อนแท้ ๆ ที่เรียกว่า โรคแฮนเซน  คนที่เป็นโรคผิวหนังเหล่านี้จะต้องแยกตัวออกจากครอบครัว  ห้ามเข้าไปนมัสการในพระวิหาร ต้องอยู่นอกเมือง 
ชายโรคเรื้อนคนนี้เขาประกาศออกมาว่า เขาเชื่อว่าพระเยซูทรงมีฤทธิ์รักษาเขาได้หากพระองค์ทรงประสงค์ และพระเยซูทรงตอบเขาด้วยกันแตะต้องตัว ซึ่งถ้าเป็นตามบทบัญญัติ พระองค์กำลังเป็นมลทินไปแล้ว  แต่แทนที่พระองค์จะเป็นมลทิน กลับทรงทำให้เขาหายสะอาดทันที
เมื่อหายแล้ว พระองค์ทรงบอกให้เขาทำตามขั้นตอนของบทบัญญัติ ทั้งไปรับการตรวจ และถวายเครื่องบูชา เป็นนกสองตัว ไม้ซีดาร์ และด้ายแดง รวมถึงหุสบ (เลวีนิติ  14:4-8) เพื่อเขาจะได้รับการประกาศว่า หายโรคแล้วจากปุโรหิต แล้วเขาจึงจะกลับไปอยู่กับครอบครัวได้ดังเดิม   และถ้าเรากลับไปอ่านมาระโก 1:45 ซึ่งบันทึกเรื่องเดียวกันก็พบว่า เขาไม่ได้เก็บเรื่องนี้ไว้เองแต่ประกาศให้คนรู้ไปทั่ว ทำความลำบากให้พระเยซูพอสมควรเลยทีเดียว

มัทธิว 8:5-13
ในลูกาบทที่ 7 ได้เล่าเรื่องเดียวกัน แต่เล่าว่า นายทหารได้ขอให้ผู้ใหญ่ชาวยิวไปขอร้องให้พระเยซูทรงรักษา
ตอนที่พระเยซูทรงรักษาชายโรคเรื้อนนั้น เขามาขอร้องด้วยการยอมรับว่า หากพระองค์ทรงยินดีช่วย เขาจะได้รับการช่วยเหลือ จากนั้นทรงแตะต้องเขาและเขาก็หายจากโรคที่ไม่อาจหายได้ 
แต่ครั้งนี้ เหตุการณ์ต่างกันมาก คือ คนป่วยไม่ได้มาเอง แต่คนที่ห่วงใยเขาเป็นคนมาขอร้องให้พระเยซูช่วย และคนที่มาคนนี้ ก็ไม่ได้เป็นยิว แต่เป็นชาวโรม อาชีพทหาร  และมีน้ำใจ มองคนยิวด้วยความเคารพ ไม่เหมือนทหารทั่วไป
นายทหารคนนี้มาหาและเรียกพระองค์ว่า Lord พระองค์ท่าน หรือ นายท่าน เขารู้ เขาเชื่อว่า พระเยซูจะทรงทำให้บ่าวของเขาหายโรคที่กำลังกำเริบจนเกือบตายได้ พระเยซูทรงตอบทันทีว่า จะไปรักษาให้  พระเยซูไม่ได้ทำอย่างคนยิวทั่วไป พระองค์ทรงยินดีช่วยแม้จะเป็นคนต่างชาติที่ยิวจะหลีกเลี่ยง 

แต่… พระองค์ทรงถูกกั้นไว้...​ด้วยความเชื่อที่ยิ่งใหญ่  นายทหารไม่ให้พระเยซูไปที่บ้าน แต่ขอร้องให้ทรงสั่งกำราบโรคอัมพาต และบ่าวจะหาย จะเดินได้  เพราะบ้านของเขาไม่สมควรจะต้อนรับพระองค์ที่ยิ่งใหญ่เกิน
เขามองพระเยซูเป็นเหมือนทหารที่สามารถสั่งทหารชั้นผู้น้อยให้ทำอะไรก็ได้  พระเยซูทรงสามารถสั่งให้โรคหยุดทำงานได้!!  พระเยซูจะอยู่ตรงไหน ก็ทรงทำการอัศจรรย์ทางไกลได้  พระองค์ทรงอยู่เหนือกฎธรรมชาติ  นายทหารได้ข่าวเรื่องราวของพระเยซูมาก่อนหน้านี้อย่างแน่นอน และกลับกลายเป็นคนที่เชื่ออย่างไม่มีข้อสงสัยใด ๆ 
เขาทำให้พระเยซูประหลาดพระทัย ..นายทหารผู้นี้ ทำให้พระองค์ทึ่ง ทั้ง ๆ ที่ทรงเป็นพระเจ้า  พระองค์ตรัสว่า ไม่เคยเห็นความเชื่ออย่างนี้ในหมู่คนอิสราเอล ซึ่งเป็นคนที่พระเจ้าทรงเลือก จากนั้น พระองค์ทรงบอกล่วงหน้ากับคนกลุ่มที่ตามมาว่า ในอนาคต พระเจ้าจะทรงรับคนต่างชาติเข้ามาอยู่ในแผ่นดินสวรรค์ด้วย (อิสยาห์ 25:6-8; วิวรณ์ 19:9)
 และที่น่าเสียใจคือ คนที่น่าจะเป็นลูกหลานของอาณาจักร (คนอิสราเอลเอง)กลับจะถูกโยนออกมาอยู่ในนรกที่สุดทรมาน
จากพระดำรัสของพระเยซูตอนนี้ ทำให้เรารู้ว่า พระเจ้าทรงรับทุกคนที่เชื่อในพระองค์เข้าไปในแผ่นดินของพระเจ้า ไม่ทรงถือว่าเป็นชนชาติใด นี่เป็นน้ำพระทัยของพระเจ้ามาตั้งแต่ที่ทรงบอกอับราฮัมว่า ลูกหลานของเขาจะเป็นพระพรกับชาวโลก (ปฐมกาล 12:3)
แล้วนายร้อยก็ได้รับคำยืนยันจากพระเยซูว่า บ่าวของเขาจะหายโรค.. นี่เป็นหนึ่งในการอัศจรรย์ที่พิสูจน์ให้ยิวเห็นว่า
พระองค์ทรงเป็นพระเมสสิยาห์จากพระบิดาจริง ๆ 

มัทธิว 8:14-17
เดิมเปโตรมาจากเบธไซดาตามที่ยอห์นบอกไว้ในบทที่ 1 ข้อ 44 เขากับน้องชายเป็นชาวประมงมาก่อน แต่ทิ้งอาชีพเพื่อมาติดตามพระเยซู แล้วพวกเขาก็มาอยู่กันที่เมืองคาเปอรนาอุม  โดยที่ความเป็นอยู่ก็จะดูแลคนสูงอายุในบ้านด้วย เหมือน ๆ กับคนไทย
วันที่พระเยซูทรงทรงไปบ้านเปโตร ปรากฏว่า พบแม่ยายของเขานอนเป็นไข้สูงอยู่
ไม่มีใครมาขอให้พระเยซูช่วย แต่ครั้งนี้ทรงจับมือของเธอขึ้นมา แล้วอาการไข้ก็หายทันที แถมยังสามารถทำอาหารเลี้ยงทุกคนด้วย นี่แสดงว่าเธอหายไข้จริง!!
 พระเยซูทรงทำสิ่งที่แตกต่างจากธรรมาจารย์ทั้งหลายที่จะไม่แตะต้องผู้หญิงเพราะถือว่าเป็นเรื่องไม่สมควร แต่ตอนนี้พระองค์ทรงทำเพื่อรักษาเธอ..   พระองค์ทรงแตะคนที่ป่วย ซึ่งในความเชื่อของพวกเขาคือ จะทำให้พระองค์เป็นมลทิน   แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำให้พระองค์บาป

แล้วเย็นวันนั้นเอง ประชาชนก็พากันมาห้อมล้อมพระเยซูอีก ทรงพบเจอกับคนที่ถูกมารรังควาญมากมาย พระองค์ทรงสู้กับโลกฝ่ายวิญญาณอย่างเห็นได้ชัด มารทั้งหลายก็จะต้องแพ้พระองค์ทุกครั้งไป 
ในสมัยโบราณ มารทำงานของมันอย่างแข็งขันในโลกที่มีความเข้าใจโลกวิญญาณแตกต่างจากคนสมัยใหม่ เรื่องผีสิงดูเป็นเรื่องธรรมดาของคนในสมัยพระเยซู  ปัจจุบันมารก็ทำงานของมันอยู่ทั้งแบบที่พระเยซูทรงพบ และแบบที่ทำเงียบ ๆ เบื้องหลัง ไม่ให้ใครรู้ แต่มันใช้คน และสถานการณ์ต่าง ๆ ทำแทนมัน
นอกจากคนมีผีสิงแล้ว คนเจ็บป่วย ไม่ว่าโรคอะไรก็ทรงรักษาให้หมด ตามคำที่เคยเขียนไว้ว่า พระเมสสิยาห์จะทรงเป็นผู้รับความเจ็บป่วย ทรงนำโรคต่าง ๆ ออกไปจากประชาชน 

มัทธิว 8:18-22
คำว่าศิษย์ในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงแค่อัครสาวก แต่รวมไปถึงคนที่ติดตามพระองค์อย่างตั้งใจ เรียนรู้จากพระองค์
จากข้อ 18-22 เราเห็นพระเยซู ศิษย์ ฝูงชน และธรรมาจารย์คนหนึ่ง กับศิษย์อีกคน
พระเยซูชวนให้ศิษย์ข้ามไปอีกฝั่ง แต่แล้วก็มีธรรมาจารย์คนหนึ่งเข้ามาหาและขอติดตามพระองค์  ธรรมาจารย์ยิวผู้นี้ คงสรุปในใจของเขาแล้วว่า เขาต้องการตามพระเยซูไป   เขาคงเห็นคำสอนของพระเยซูที่ทรงพลัง ไม่เหมือนพวกของเขาเอง จึงตัดสินใจเลือกพระเยซูมากกว่าศาสนายิว  เขามองว่า พระเยซูทรงเป็นอาจารย์!  แต่ที่น่าเสียดาย เขาไม่ได้มองว่า พระเยซูคือ พระเมสสิยาห์ที่พระเจ้าทรงส่งมา
แต่แทนที่พระเยซูจะต้อนรับเขาทันที กลับเตือนว่า ถ้าตามพระองค์จะไม่มีที่อยู่สบาย ๆ นกป่ายังมีรัง พระองค์ไม่มีที่อยู่เป็นเรื่องราวเสียด้วยซ้ำ
แน่ใจหรือว่าจะตามมา
เราจะเห็นว่า พระองค์ทรงเตือนล่วงหน้าถึงความยากลำบากในการตามพระองค์
พระองค์ทรงให้เขาคิดดี ๆ ก่อน  การประกาศของพระองค์นั้น ทำให้พระองค์ไม่ได้มีที่อยู่
สร้างครอบครัวเหมือนอย่างธรรมาจารย์ยิว พระองค์ทรงเดินทางออกไปตลอดเวลา
การติดตามพระองค์จะไม่ได้ใช้ชีวิตเพื่อตัวเองอย่างคนทั่วไป
อีกอย่างที่สำคัญคือ พระองค์ทรงบอกให้เขารู้ว่า พระองค์คือ บุตรมนุษย์ พระองค์ทรงเป็นพระเมสสิยาห์ ผู้ที่พระเจ้าทรงเจิม  (ดาเนียล  7:13-14)

มัทธิว 8:18-21
แล้วศิษย์อีกคน ได้ยินคำนี้ คิดว่าเขายังมีหน้าที่ในฐานะลูกชาย
เพราะตามประเพณียิวแล้ว มีพิธีฝังศพบิดาอีกครั้งหลังจากที่ตายไปแล้วหนึ่งปี  เขาจึงคิดว่าจะขอเลื่อนเวลาตามพระเยซูไปสักพัก
หรืออาจเป็นว่า เขาก็ไปเลี้ยงดูพ่อจนพ่อสิ้นชีวิตก่อน แล้วค่อยมาตามพระเยซู
แต่พระเยซูทรงไม่เห็นด้วย เราที่อ่านถึงตอนนี้อาจคิดว่า พระเยซูทรงพูดรุนแรงกับเขา … แต่ที่เราเห็นชัดคือ พระเยซูทรงสั่งให้ทุกคนที่จะตามพระองค์นั้น ให้พระองค์ทรงมาก่อนสิ่งอื่น ๆ ในชีวิต (มัทธิว 10:37-38) จริง ๆ แล้ว ศิษย์คนนี้ อาจไม่อยากตามพระองค์จริง ๆ ก็เป็นได้

มัทธิว 8:23-27
เกิดพายุใหญ่ขณะที่พระเยซูกับศิษย์กำลังข้ามทะเลสาบกาลิลีไปอีกฝั่ง ทะเลแห่งนี้อยู่ทางเหนือของประเทศอิสราเอล และต่ำกว่าระดับน้ำทะเล ……
พระเยซูทรงเหนื่อยจัด และทรงหลับทันทีที่ลงเรือ จากบันทึกที่ผ่านมา เราเห็นว่า พระองค์ทรงรับใช้ประชาชนมาไม่หยุดเลย เมื่อทรงพักก็ไม่ได้ทรงเป็นห่วงเลยว่า เรือจะเป็นอย่างไร ทรงพักผ่อนแบบหลับสนิทจริง ๆ  แม้เรือโคลงขนาดนั้นยังบรรทมสบายมาก ถึงจะทรงเป็นพระเจ้า แต่ก็ทรงเป็นมนุษย์เต็มร้อย
ขณะที่พายุเกิดขึ้นนั้น ศิษย์ทุกคนรู้สึกเลยว่า ครั้งนี้ ต้องจมน้ำแน่นอน หลายคนในหมู่ศิษย์เป็นชาวประมง เขาย่อมรู้ว่า พายุแบบไหนเป็นพายุที่จะเอาชีวิตพวกเขา  แต่ในขณะนั้น พวกเขาไม่ได้คิดว่า มีพระเยซูผู้เป็นพระเจ้าอยู่ในเรือด้วย ไม่ต้องกลัวอะไร พวกเขาเห็นพายุใหญ่เกินกว่าพระบุตรของพระเจ้า (บางทีเราก็เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน ในเหตุการณ์ต่าง ๆ ของชีวิต)
มาระโกก็เล่าเรื่องนี้เช่นกัน เขาบอกด้วยว่า ศิษย์ไม่ได้แค่ขอให้พระองค์ทรงช่วย แต่พวกเขายังตัดพ้อว่า พระองค์ไม่ทรงห่วงหรือที่เราจะตายกันอยู่แล้ว  นั่นก็เป็นเหตุการณ์เดียวกัน
สิ่งที่เกิดขึ้นคือ แทนที่พระเยซูจะหลับต่อไป พระองค์ก็ทรงลุกขึ้น ทรงหันมาถามว่าทำไมถึงกลัว ?… แล้วทรงตอบให้เลยว่า พวกเจ้ามีความเชื่อน้อยนัก  จากนั้นตรัสสั่งให้ลมพายุสงบ ลมพายุก็สงบทันที ราวกับเป็นลูกน้องของพระองค์
พวกเขาประหลาดใจ … พระองค์เป็นใครที่ลมพายุ ทะเลยังเชื่อฟัง? … ยิ่งใหญ่มาก มหัศจรรย์กับตา 
เมื่อสักครู่ยังพายุกล้าเสียงสนั่น มาตอนนี้สงบนิ่งมีแค่ลมพัดเบา ๆ
นี่ทำให้เราเห็นว่า แม้เหล่าศิษย์จะอยู่กับพระองค์ เห็นการอัศจรรย์หลายอย่าง แต่พวกเขาก็ยังไม่เข้าใจเต็มร้อยว่า พระองค์คือผู้ใด
ตอนนี้เราเห็นแล้วว่า พระเยซูทรงสอนอย่างมีสิทธิอำนาจ ทรงมีฤทธิ์เหนือโลกร้ายฝ่ายวิญญาณ และโรคร้ายฝ่ายร่างกายมนุษย์ 
ใช่แล้ว… ทรงมีอำนาจเหนือธรรมชาติอย่างสมบูรณ์แบบทุกด้าน!

มัทธิว 8:28-34
เมื่อพระเยซูทรงมาถึงเขตกาดาราพร้อมกับศิษย์  เป็นด้านตะวันออกของทะเลสาบกาลิลี ดินแดนส่วนนี้ เป็นที่อยู่ของคนต่างชาติเป็นอันมาก  
ทรงพบชายสองคนที่ถูกผีสิง เป็นผีที่ดุร้ายมาก
ไม่มีใครกล้าที่จะเดินผ่านไปทางนั้น ผู้คนรู้ว่า ผีในตัวสองคนนี้เกินกำลังที่พวกเขาจะสู้ได้
เราจะเห็นแล้วว่า โลกโบราณมีความคุ้นเคยกับวิญญาณที่มองไม่เห็น แต่สามารถทำร้ายให้มนุษย์เองเปลี่ยนลักษณะกลายเป็นคนโหดร้ายไป
เมื่อชายทั้งสองพบพระองค์ วิญญาณในตัวเขาทั้งสองก็ร้องออกมา มันรู้ทันทีว่า พระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า ไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป วิญญาณเหล่านี้ รู้ว่าพระองค์ทรงอยู่เหนือพวกมัน ไม่มีทางที่มันจะเอาชนะพระองค์ได้  มันรู้ด้วยว่า มีกำหนดเวลาของมัน ไม่ใช่ว่ามันจะอยู่ได้ตลอดไป!! 
แต่เหล่าศิษย์ของพระองค์สิ พวกเขายังไม่เข้าใจเรื่องนี้เลย ไม่รู้ว่า พระองค์ทรงมีฤทธิ์เกินกว่าที่พวกเขาจะคิดออก
ในมาระโก 5:9  และลูกา 8:30 นั้น พระเยซูทรงถามชื่อของมัน และมันก็ตอบว่า กอง … เพราะหนึ่งในสองคนนั้นถูกผีหลายตนสิงในร่างเดียว  น่าสนใจคือ ผีจากคนทั้งสอง รู้ดีว่า มันต้องแพ้พระเยซู ต้องออกจากชายทั้งสอง มันจะต้องไปอยู่ในขุมลึก(คงเป็นที่ ๆ สยองมาก ๆ ขนาดผียังไม่อยากไปเลย อ่านลูกา 8:31 และวิวรณ์ 9:1-2) มันอ้อนวอน  ต่อรอง ขออนุญาตพระเยซูว่า ขอให้พวกมันไปสิงในฝูงหมูที่อยู่ใกล้ ๆ  เราอาจสงสัยว่า ยิวเลี้ยงหมูหรือ ไม่ใช่เลย ดินแดนแถบนี้เป็นคนต่างชาติ ดังนั้นการเลี้ยงหมูเป็นฝูงจึงเป็นเรื่องธรรมดาของพวกเขา  และฝูงนี้ มาระโกบอกเราว่า มีประมาณ 2000 ตัว นี่เป็นฝูงหมูที่ใหญ่มาก
แล้วพระองค์ก็ถูกเชิญออกจากเขตแดนแถบนั้น เพราะพวกเขายินดีจะอยู่กับความมืด มากกว่าที่จะได้รับความสว่างที่พระเจ้าทรงยื่นให้กับพวกเขา!

พระคำเชื่อมโยง

2* มาระโก 1:40-45; ยอห์น 9:38
3* ลูกา 4:27
4* มาระโก 5:43 ;ลูกา 5:14
5* ลูกา 7:1-3;
8* ลูกา 15:19, 21

11* อิสยาห์ 49:12; 59:19; มาลาคี 1:11
12* มัทธิว 21:43 ; ลูกา 13:28
14* มาระโก 1:29-31; 1โครินธ์ 9:5
16* ลูกา 4:40-41
17* อิสยาห์ 53:4; 1 เปโตร 2:24
19* ลูกา 9:57-58

21* ลูกา 9:59-60;1 พงศ์กษัตริย์ 19:20
24* มาระโก 4:37
26* สดุดี 65:7; 89:9; 107:29
28* มาระโก 5:1-20; ลูกา 8:26-29
34* ลูกา 5:8; กิจการ 16:39

มัทธิว 7 ทัศนคติตามน้ำพระทัย

1 “อย่าตัดสินคนอื่น เพื่อว่าเจ้าจะไม่ถูกตัดสิน
2 เจ้าจะถูกตัดสินแบบเดียวกับที่เจ้าไปตัดสินผู้อื่น และเจ้าตวงให้คนอื่นด้วยจำนวนเท่าไร เจ้าจะได้รับคืนมาแบบนั้น 
3 เหตุใดกันที่เจ้าสังเกตเห็นผงในดวงตาของเพื่อน แต่เจ้ากลับไม่เห็นไม้ทั้งท่อนที่อยู่ในดวงตาของเจ้าเอง?
4 เจ้าพูดกับเพื่อนของเจ้าว่า ‘ให้ฉันเขี่ยผงออกจากตาเพื่อนเถิด’ ได้อย่างไร   ในเมื่อยังมีไม้ท่อนใหญ่อยู่ในดวงตาของเจ้าเอง?
5 เจ้าคนหน้าซื่อใจคด  เจ้าจงเอาไม้ออกจากดวงตาของเจ้าเสียก่อน แล้วเจ้าจะมองเห็นชัด จากนั้นจึงเขี่ยผงออกจากดวงตาของเพื่อนเจ้าได้ 
6 อย่าเอาของบริสุทธิ์ให้กับพวกสุนัข และอย่าโยนไข่มุกให้กับสุกร  สุกรมันจะย่ำไข่มุก และสุนัขจะก็หันมาขย้ำเจ้า






จงทูลขอสิ่งที่จำเป็นจากพระเจ้า
7 จงเฝ้าขอ แล้วเจ้าจะได้รับจากพระเจ้า จงเฝ้าหา แล้วเจ้าจะพบ จงเฝ้าเคาะและประตูจะเปิดให้แก่เจ้า
8  ใช่แล้ว เพราะทุกคนที่ทูลขอจะได้รับ ทุกคนที่แสวงหาจะได้พบ และทุกคนที่เคาะนั้น ประตูก็จะเปิดให้เขา



9  หากลูก ๆ ขอขนมปัง มีใครในพวกเจ้าจะเอาก้อนหินให้พวกเขา?
10 หรือถ้าลูก ๆ ขอปลา เจ้าจะเอางูให้แทนอย่างนั้นหรือ?
11 แม้ว่าเจ้าเป็นคนเลว ยังรู้ว่าจะให้สิ่งดีแก่ลูก ๆ แบบไหน  พระบิดาของพวกเจ้าผู้สถิตในสวรรค์จะประทานของดีให้กับคนที่ทูลขอพระองค์มากกว่านั้นอีกเพียงใด

12 ดังนั้น จงปฏิบัติต่อคนอื่นอย่างที่เจ้าเองต้องการให้เขาปฏิบัติต่อเจ้า นี่คือบทสรุปของบัญญัติโมเสส และคำสอนของผู้เผยพระดำรัส (พระคัมภีร์เดิม)


13 จงเข้าไปทางประตูแคบ เพราะประตูกว้าง และทางกว้างนั้น นำสู่หายนะ คนจำนวนมากเข้าไปทางประตูกว้างนั้น
14 ส่วนประตูเล็กและทางแคบนั้น จะนำสู่ชีวิต มีน้อยคนที่จะพบทางนั้น

คนรู้จักเราจากการกระทำ
15 จงระวังคนที่เผยพระดำรัสเท็จ พวกเขาจะมาหาเจ้าโดยดูเหมือนแกะ แต่จริงแล้วพวกเขาอันตรายดั่งสุนัขป่าตัวร้าย

16 เจ้าจะรู้จักคนเหล่านี้ด้วยผลของพวกเขา ผลองุ่นไม่ได้เกิดจากต้นหนาม และผลมะเดื่อไม่ได้เกิดจากพุ่มหนาม
 17 เช่นเดียวกัน ต้นไม้ที่ดีทุกต้นจะออกผลดี  และต้นไม้เลวก็จะออกผลที่เลว
18 ต้นไม้ดีนั้นไม่อาจออกผลที่เลว และต้นไม้เลวก็ไม่อาจออกผลที่ดี
19 ต้นไม้ทุกต้นที่ไม่ออกผลดี จะถูกโค่น และโยนทิ้งลงในไฟ
20 เช่นเดียวกัน เจ้าจะรู้จักคนเผยพระดำรัสเท็จก็โดยดูจากผลของเขา 


21 ไม่ใช่ทุกคนที่กล่าวกับเราว่า ‘พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า’ แล้วจะได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์ แต่คนที่เข้าไปได้ คือคนที่กระทำตามพระทัยพระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์ 
22 ในวันพิพากษานั้น จะมีหลายคนกล่าวกับเราว่า ‘พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า  ข้าพเจ้าได้เผยพระดำรัสในพระนามของพระองค์  และเราขับผีในพระนามของพระองค์ และทำการอัศจรรย์ต่าง ๆ ในพระนามของพระองค์’ 
23 แล้วเราจะบอกเขาชัดเจนว่า ‘เราไม่รู้จักเจ้า จงออกไปจากเรา เจ้าผู้ทำความชั่ว!’ 

คนสองแบบ

24 “ทุกคนที่ได้ยินคำของเรา และเชื่อฟังทำตามก็เป็นเหมือนคนฉลาดที่สร้างบ้านของตนบนศิลา
25  ฝนตกหนัก น้ำท่วม และลมพัดบ้านนั้นอย่างรุนแรง แต่บ้านนั้นก็ไม้พัง เพราะถูกสร้างบนศิลา
26 คนที่ฟังคำของเรา และไม่เชื่อฟังก็เป็นเหมือนคนโง่ที่สร้างบ้านของตนไว้บนพื้นทราย
 27 ฝนก็ตกหนัก น้ำท่วมขึ้นมา และลมพัดบ้านนั้นอย่างรุนแรง และบ้านนั้น ก็พังทลายลงไม่เหลือ

28 เมื่อพระเยซูตรัสคำเหล่านี้จบลง ประชาชนต่างประหลาดใจกับคำสอนของพระองค์ 
29 เพราะพระองค์ไม่ทรงสอนเหมือนอย่างธรรมาจารย์ของพวกเขาเลย  พระองค์ทรงสอนดั่งผู้ที่มีสิทธิอำนาจ 

อธิบายเพิ่มเติม

มัทธิว 7:1-2 ในบทที่ 6  พระเยซูทรงกล่าวถึงทัศนคติของเราในใจว่า แรงจูงใจนั้นคืออะไร จะทำอะไร ของให้มีแรงจูงใจที่ถูก ไม่ใช่ต้องการอวด … แต่บทนี้เริ่มมาดูว่า เราจะคิดกับคนอื่นอย่างไร 
การตัดสินคนอื่นมักจะเกิดจากการที่เราคิดว่า เราไม่ได้เป็นอย่างนั้น เราดีกว่า แต่อย่าลืมว่า เราตัดสินคนอื่นอย่างไร พระเจ้าจะทรงตัดสินเราเช่นกัน ลองทบทวนย้อนกลับไปว่า เมื่อเราตัดสินคนอื่น เราเป็นอย่างนั้น หรือคล้ายกัน หรือหนักกว่าคนที่เราไปตัดสินหรือเปล่า  แต่ตรงนี้พระเยซูทรงบอกเราว่าอย่าไปตัดสินเพื่อเราจะไม่ถูกตัดสินด้วยมาตรฐานเดียวกัน 
มัทธิว 7:3-5 
แล้วพระเยซูทรงยกตัวอย่างให้เราเห็นอย่างชัดเจน เป็นคำอุปมาสั้น ๆ ที่เราทุกคนโดนหมด ไม่มีใครผ่านเลย  ยิ่งฟาริสีที่ฟังอยู่ ถ้าเป็นคนที่คิดเป็น เขาก็จะเห็นตัวเองชัดเจนมาก  เท่าที่ผ่านมาหลายพันปีของโลกนี้ เราจะเห็นการตัดสินผู้อื่นแบบที่ไม่ยุติธรรมมากมาย การที่เราไม่เห็นความผิดของตัวเองที่มากมาย แต่เห็นความผิดเล็กน้อยของคนอื่นนั้น  เป็นเพราะเรามองตนเองว่าเป็นคนดี 
มัทธิว 7:6  
บางครั้งคนของพระเจ้าก็มักจะเป็นคนใจดี น่ารัก ให้ได้เสมอ แต่พระเจ้าทรงเตือนว่า การให้บางสิ่งกับคนที่ไม่เห็นค่านั้น มันเป็นผลเสียมากกว่าผลดี ลึกไปกว่านั้น พวกสุนัข และสุกร ในความหมายตรงนี้คือ คนที่เป็นศัตรูต่อไม้กางเขน ถึงจะประกาศไปเท่าไร เขาก็ไม่เอา แถมเหยียบย่ำทำลาย พระกิตติคุณเสียด้วย  (แตกต่างจากคนที่ฟัง แต่ยังไม่เชื่อ)
มัทธิว 7:7-8
เป็นข้อพระคัมภีร์ที่ทุกคนจำฝังใจ … เพราะคนเรามีความต้องการจำเป็นที่แทบจะไม่มีวันหมดสิ้น เรื่องที่เราจะขอพระเจ้าหลายต่อหลายอย่าง 
เท่าที่พระเยซูได้ตรัสสอนมา  ทรงสอนสารพัดเรื่อง และตอนนี้พระองค์กำลังบอกถึงสิ่งดีที่พระเจ้าพร้อมจะประทานให้กับคนของพระองค์
เราจะเห็นว่าเริ่มจากขอ แล้วแสวงหา แล้ว เคาะ เป็นการเพิ่มระดับการขอ พระเยซูทรงสอนให้เราไม่อ่อนระอาใจในการเฝ้าขอ( ลูกา 11:5-13; 18:1-8)   ทรงสอนให้อธิษฐานมาก่อนหน้านี้  (มัทธิว 6:5-14)
ดูสิ่งที่น่าสนใจคือ ขอแล้วได้  หาแล้วพบ เคาะแล้วประตูจะเปิด  ผลที่ได้รับเป็นรางวัลของการขอ หา และเคาะ  มีคริสเตียนเป็นจำนวนมากที่ใช้ชีวิตโดยไม่รู้สึกว่า ต้องขอหาหรือเคาะ เพราะเขามีบริบูรณ์ เขาลืมไปว่า ในชีวิตจริงของเรานั้น ยังมีอีกหลาย ๆ สิ่งที่เราทำเองไม่ได้ หากเราเข้าเฝ้าพระเจ้าบ่อยเข้า เราจะตระหนักเรื่องนี้ชัดเจน
ดังนั้นคนใดที่มีความทุกข์ยาก ต้องการพระเจ้า ต้องการความช่วยเหลือ พระเจ้าทรงมีพระสัญญานี้ให้ไว้  ยิ่งเรามีชีวิตที่ขึ้นอยู่กับพระเจ้ามากเพียงไร เราจะได้สิ่งที่เหนือกว่าที่เราขอ นั่นคือ เราได้อยู่ใกล้ชิดพระเจ้าที่ทรงยิ่งใหญ่สุดในจักรวาล! 
มัทธิว 7:9-12
พระเจ้าทรงเป็นพระบิดาที่มีน้ำพระทัยดีเลิศ ทรงเตรียมทุกอย่างไว้ให้เราเพื่อเราจะมีชีวิตอยู่ อากาศ แสงแดด น้ำ ฝน อาหาร  คิดดูดี ๆ ว่า พระเจ้าทรงเตรียมไว้ล่วงหน้าเสมอ พระองค์ทรงดียิ่งกว่าพ่อแม่ที่แสนรักเรา ทรงเห็นทุกอย่างล่วงหน้า ทรงรู้แล้วว่า เราต้องการสิ่งใด แต่การที่เราทูลขอ ทำให้เราซึ่งเป็นมนุษย์ที่ค่อนข้างขาดความกตัญญูจะได้ตระหนักรู้ว่า สิ่งที่เราได้รับมาในชีวิตไม่ได้มาจากตัวเราเอง แต่มาจากพระบิดาพระเจ้าองค์สูงสุด มัทธิว 7:12
ตรงนี้ พระเยซูทรงย้อนกลับไปถึงพระคัมภีร์เดิม ซึ่งแสดงให้เห็นว่า พระองค์มิได้มาเพื่อทำลายพระบัญญัติ แต่เพื่อทำให้สำเร็จ  (มัทธิว 5:17)
คำว่า ดังนั้น คือสิ่งที่พระองค์กล่าวมาทั้งหมด มาสรุปตรงนี้ว่า สิ่งที่สมควรทำคือ ให้ปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างที่เราอยากให้เขาทำต่อเรา ( เลวีนิติ 19:18 คือรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง)  ข่าวดีคือ สิ่งเหล่านี้เป็นทักษะที่เราต้องฝึกฝน ไม่ใช่ทำบ้างไม่ทำบ้าง แต่ต้องเป็นนิสัยใจคอที่ทั้งมาจากพระเจ้า และความตั้งใจของเราด้วย
 มัทธิว 7:13-14 ทางสองเส้น
คำสอนของพระเยซูนี้ ไม่ได้แค่กล่าวถึงชีวิตในปัจจุบัน แต่เป็นการบอกถึงชีวิตข้างหน้า ในอนาคต ในวันของพระเจ้า  เราจะเห็นประตูสองแบบ ทางสองทาง คนจำนวนน้อยและมาก ชีวิตและหายนะ  และคนที่ไปสู่หายนะก็มีมากกว่า เพราะพวกเขาเลือกประตูกว้างและทางกว้างที่เปิดโอกาสให้ทำตามใจตนเอง จะคิดวิปริตอย่างไรก็ได้ แต่ประตูแคบและทางแคบนั้น เดินยากกว่า ต้องตามพระเจ้า และไม่ตามใจตัวเอง มีแผ่นดินสวรรค์เป็นเป้าหมายในใจ เดินเลียนแบบองค์พระเจ้า (โคโลสี  3:1-2) และมั่นใจว่า จะได้พบจุดหมายที่เป็นชีวิตนิรันดร์ 
มัทธิว 7:15-20  ต้นไม้สองแบบ
สำหรับคนที่กำลังฟังพระเยซูอยู่นั้น เขาอยู่ในสังคมที่ศาลาธรรม ธรรมาจารย์ ฟาริสี สะดูสีเป็นใหญ่ในเรื่องฝ่ายวิญญาณ และยังเป็นใหญ่บางส่วนในทางการเมืองด้วย  ประชาชนเองต้องรู้จักดูผลของชีวิตคนที่สอนเขาว่า มีผลออกมาอย่างไร เขาก็จะรู้ว่าใครเป็นใคร
เฉลยธรรมบัญญัติ 13:1-11 สอนว่ามีคนเผยพระดำรัสเท็จอยู่ในสังคมที่ประชาชนเองต้องรู้จักสังเกต และไม่ติดตามพวกเขา เพราะคนเหล่านี้หวังประโยชน์และพยายามให้คนเลิกติดตามพระเจ้า ผู้เผยพระดำรัสเท็จเป็นเรื่องใหญ่ เพราะสามารถทำให้ผู้ที่เชื่อมั่นคงในพระเจ้าหลงไปได้ด้วย ทำให้สูญเสียชีวิตนิรันดร์ สูญเสียองค์พระเจ้าไปจากชีวิต 
มัทธิว 7:21-23 คำกล่าวอ้าง
ในวันของพระเจ้านั้น เราจะพบคนที่เอาแต่พูดเรื่องพระเจ้า  กับคนที่ลงมือทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า คนสองแบบนี้จะได้รับผลจากการตัดสินของพระเจ้าแตกต่างกัน  การเป็นครูสอนคนอื่น แต่ตนเองไม่ได้ทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้านั้น รับผลที่น่ากลัว
สังเกตด้วยว่า ตอนนี้พระเยซูกล่าวถึงพระบิดาว่า ทรงเป็น “พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์”
พระเยซูตรัสว่า หลายคน!! ทูลต่อพระบิดาว่า เขาได้ประกาศพระนาม ขับผี ทำการอัศจรรย์ ในพระนามของพระองค์ แต่ทำไมพระองค์ตรัสตอบว่า “เราไม่รู้จักเจ้า”?  พวกเขาจะถูกขับออกไปให้พ้นพระพักตร์!!   คนที่เป็นอาจารย์ที่สอนผิดจะเจอกับเหตุการณ์นี้ 
มัทธิว 7:24-27 คนสร้างบ้านสองแบบ
สองข้อก่อนหน้านี้เป็นเรื่องของการพูดกับการลงมือทำ ส่วนคำอุปมาสั้น ๆ เรื่องการสร้างบ้าน เป็นเรื่องของการ   ฟังแล้วลงมือทำแบบที่ต่างกัน 
ตอนนี้พระเยซูทรงกล่าวถึงคนที่ได้ยิน “คำของเรา”  แล้วทำตามก็เป็นคนฉลาดเหมือนคนสร้างบ้านบนพื้นที่แข็งแรงกับอีกคนที่ฟังแล้วไม่ทำตามก็เป็นเหมือนคนที่สร้างบ้านบนฐานที่อ่อนแรง
นั่นคือ คนที่ยินคำของพระเยซู และทำตาม เป็นคนที่วางใจในพระเยซูผู้ทรงเป็นดั่งศิลาที่แข็งแกร่ง สร้างชีวิตบนพระคำของพระองค์ ติดตามใกล้ชิด คนนั้นคือคนที่สร้างบ้านบนศิลา
ส่วนอีกคนที่สร้างชีวิตบนคำคม ติดตามความคิดของคนในโลกที่ระบาดอยู่ทั่วไป ชีวิตขึ้นอยู่กับความเห็นของคนนั้น คนนี้ ไม่ได้สร้างขึ้นบนพระคำ ก็คือคนที่สร้างบ้านบนทรายนั่นเอง .. เมื่อเจอพายุของชีวิต ก็ยากที่จะแก้ไข เราจึงเห็นคนมากมายที่ขาดศิลาอันมั่นคง ทำลายชีวิตตัวเอง และบางคนถึงกับฆ่าตัวตายไปเพราะหาทางออกไม่ได้
มัทธิว 7:28-29 คำตรัสของพระเยซูไม่ได้เป็นเหมือนของฟาริสี ธรรมาจารย์ที่พยายามสั่งสอนให้คนทำตามบัญญัติอย่างเคร่งครัด แต่เป็นคำสอนสำหรับคนที่รับแผ่นดินของพระเจ้าแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องของการเปลี่ยนแปลงจิตใจที่ส่งผลมายังการกระทำ  พระองค์ตรัสเสมอ  เรากล่าวแก่เจ้าว่า …. 

พระคำเชื่อมโยง

1* โรม 12:1-2
2* ลูกา 6:38
3* ลูกา 6:41
5* ลูกา 6:42
6* สุภาษิต 9:7-8
7* มาระโก 11:24
8* สุภาษิต 8:17
9* ลูกา 11:11
11* ปฐมกาล 6:5; 8:21

12* ลูกา 6:31;
13* ลูกา 13:24
14* ลูกา 13:23-30
15* 1 ยอห์น  4:1
16* มัทธิว 7:20; ลูกา 6:43
17* มัทธิว 12:23
18* กาลาเทีย 5:17
19* ยอห์น 15:2, 6
20* มัทธิว 7:16

21* ลูกา 6:46 ; โรม 2:13
22* กันดารวิถี 24:4
23* 2 ทิโมธี 2:19; สดุดี 5:5; 6:8
24* ลูกา 6:47-49
25* ยากอบ 1:12; สดุดี 125:1-2
26* ลูกา 6:49; เยเรมีย์ 8:9
27* มัทธิว 13:19-22
28* มัทธิว 13:54
29* ยอห์น 7:46

มัทธิว 6 ทัศนคติที่แตกต่าง

 เรื่องของการให้

1 จงระวัง เมื่อเจ้าทำดี อย่าทำต่อหน้าคนอื่นเพื่อให้พวกเขาเห็น หากเจ้าทำอย่างนั้น เจ้าจะไม่ได้รับรางวัลจากพระบิดาของเจ้าผู้สถิตในสวรรค์ 
2  ดังนั้น เมื่อเจ้าให้ของแก่คนยากจน อย่าทำตัวเหมือนพวกที่หน้าซื่อใจคด พวกเขามักเป่าแตรในศาลาธรรม ตามถนนเพื่อคนจะได้เห็นและชื่นชมตัวเขา เราบอกความจริงแก่เจ้าว่า คนหน้าซื่อใจคดเหล่านั้น ได้รางวัลไปแล้ว
3 ดังนั้น เมื่อเจ้าให้แก่คนยากคน
อย่าให้มือซ้ายรู้ว่ามือขวาทำอะไร 
4 เจ้าควรให้แก่ผู้อื่นอย่างลับ ๆ  พระบิดาของเจ้าทรงเห็นสิ่งที่เจ้าทำเป็นการลับจะทรงให้รางวัลแก่เจ้า  

พระเจ้าทรงสอนเรื่องการอธิษฐาน

5 เมื่อเจ้าอธิษฐาน อย่าทำตัวเหมือนคนหน้าซื่อใจคด พวกเขาชอบยืนในศาลาธรรม และตามมุมถนน และอธิษฐานเพื่อให้ใคร ๆ เห็น  เราบอกความจริงแก่เจ้าว่า พวกเขาได้รับรางวัลเต็มที่แล้ว
6 เมื่อเจ้าอธิษฐาน เจ้าควรเข้าไปในห้องส่วนตัว ปิดประตู และอธิษฐานต่อพระบิดาของเจ้าผู้ที่ไม่มีใครเห็นได้  พระบิดาทรงเห็นว่าเจ้าได้ทำอะไรในที่ส่วนตัวนั้น และพระองค์จะประทานรางวัลแก่เจ้า
7 “และเมื่อเจ้าอธิษฐานอย่าทำตัวเหมือนคนที่ไม่รู้จักพระเจ้า พวกเขาคิดว่าการพูดซ้ำไปซ้ำมา จะเป็นคำที่ได้ยิน
8 อย่าทำเหมือนพวกเขาเลย เพราะพระบิดาของเจ้าทรงรู้ถึงความจำเป็นของเจ้าก่อนที่เจ้าจะทูลขอ

ทรงสอนเรื่องการอธิษฐานต่อพระบิดา

9 ดังนั้นเมื่อเจ้าอธิษฐาน ควรอธิษฐานอย่างนี้ว่า
‘ข้าแต่พระบิดาของข้าพเจ้าทั้งหลายผู้สถิตในสวรรค์
ขอให้พระนามของพระองค์เป็นที่เคารพอย่างบริสุทธิ์

10 ขอให้แผ่นดินของพระองค์ลงมาตั้งอยู่
 ขอให้พระประสงค์ทั้งสิ้นสำเร็จในแผ่นดินโลก
เช่นเดียวกับที่สำเร็จในแผ่นดินสวรรค์

11 ขอทรงโปรดประทานอาหารประจำวันแก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย  12 ขอทรงอภัยบาปให้แก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย

เหมือนอย่างที่ข้าพเจ้าทั้งหลายได้อภัยให้แก่คนที่ทำผิดต่อข้าพเจ้าทั้งหลาย
13 ขออย่าทรงนำข้าพเจ้าทั้งหลายเข้าไปในการทดลอง แต่ขอทรงช่วยกู้ให้พ้นจากมารร้าย 
(ราชอาณาจักร ฤทธานุภาพ และพระเกียรติสิริตระการเป็นของพระองค์เป็นนิตย์ อาเมน)


14 เพราะหากเจ้ายกโทษให้กับผู้อื่นที่ทำผิดต่อเจ้า พระบิดาของเจ้าผู้สถิตในสวรรค์จะทรงยกโทษให้เจ้าเช่นกัน
15  แต่หากเจ้าไม่ยกโทษให้ผู้อื่น พระบิดาของเจ้าผู้สถิตในสวรรค์ก็จะไม่ยกโทษบาปเจ้าเช่นกัน
 
ทรงสอนเรื่องการนมัสการพระเจ้า
16 เมื่อเจ้าอดอาหาร (เพื่ออธิษฐาน) อย่าทำหน้าเศร้า หดหู่เหมือนกับคนหน้าซื่อใจคด  พวกเขาทำหน้าดูเศร้าหมองเพื่อให้คนรู้ว่า กำลังอดอาหารอยู่  เราบอกความจริงแก่เจ้าว่า คนหน้าซื่อใจคดเหล่านั้น ได้รับรางวัลของเขาไปแล้ว 
17 ดังนั้นเมื่อเจ้าอดอาหาร จงพรมน้ำมันบนหัวของเจ้าและล้างหน้า
18 ใคร ๆ จะไม่รู้ว่าเจ้ากำลังอดอาหารอยู่ แต่พระบิดาของเจ้าผู้สถิตในที่ลี้ลับทรงเห็นสิ่งที่ทำเป็นการลับ พระองค์จะประทานรางวัลแก่เจ้า  

พระเจ้าทรงสำคัญกว่าทรัพย์สมบัติ

 19 อย่าสะสมทรัพย์สมบัติเพื่อตัวเองในโลกซึ่งแมลงและสนิมทำลายได้ และโจรสามารถบุกเข้ามาและฉกชิงเอาไปได้
20 แต่จงสะสมทรัพย์สมบัติไว้ในสวรรค์ ซึ่งไม่อาจถูกทำลายโดยแมลงหรือสนิม และโจรไม่อาจบุกเข้าไปและฉกชิงเอาไปได้
21 ทรัพย์ของเจ้าอยู่ที่ไหน ใจของเจ้าก็อยู่ที่นั่นด้วย    

ความสัมพันธ์กับพระเจ้าและเพื่อนมนุษย์

22 ดวงตาเป็นดั่งตะเกียงของร่างกาย หากสุขภาพดวงตาของเจ้าดี ร่างกายก็จะเต็มด้วยความสว่าง
23 แต่หากสุขภาพดวงตาไม่ดี ชั่วร้าย ร่างกายก็จะเต็มด้วยความมืด และหากแสงเดียวที่เจ้ามีเป็นความมืดแล้ว ความมืดในตัวเจ้าจะมืดมนเพียงไหน!

24 ไม่มีใครสามารถเป็นข้าสองเจ้าบ่าวสองนายได้จริง เขาจะเกลียดนายคนหนึ่ง และรักอีกคน หรือจะสวามิภักดิ์ต่อนายคนหนึ่ง และจะดูหมิ่นนายอีกคน ดังนั้น เจ้าจะรับใช้ทั้งพระเจ้าและความมั่งคั่งพร้อมกันไม่ได้ 


อย่ากังวลไป
25 “ดังนั้น เราขอบอกเจ้าว่า อย่าเป็นกังวลเรื่องอาหารหรือน้ำที่จำเป็นเพื่อต่อชีวิต หรืออย่ากังวลเรื่องเสื้อผ้าที่เจ้าต้องการ ชีวิตนั้นมีค่ายิ่งกว่าอาหารและร่างกายก็สำคัญกว่าเสื้อผ้า
26 จงพิจารณาดูนกในอากาศ มันไม่หว่าน ไม่เก็บเกี่ยวหรือสะสมอาหารในยุ้งฉาง แต่พระบิดาผู้สถิตในสวรรค์ทรงเลี้ยงดูพวกมัน  และเจ้าก็รู้ว่า ตัวเจ้ามีค่ายิ่งกว่านกทั้งหลาย
27 มีใครในพวกเจ้าที่สามารถต่อชีวิตให้ยืนยาวไปอีกสักศอกด้วยความวิตกกังวลเล่า?
28 “แล้วเหตุใดเจ้าจะต้องกังวลเรื่องเสื้อผ้า จงดูว่าดอกพลับพลึงในทุ่งหญ้างอกงามขึ้นอย่างไร  มันไม่ทำงานหรือปั่นด้าย


29 แต่เราขอบอกเจ้าว่า แม้แต่ในความสง่างามสูงส่งของกษัตริย์โซโลมอน ก็ยังไม่ได้งามเท่าดอกไม้นี้ดอกหนึ่ง
30 หากพระเจ้าทรงตกแต่งดอกไม้ในทุ่งซึ่งมีชีวิตวันนี้ แต่วันต่อมาจะถูกโยนเผาไฟ  พระเจ้าจะไม่ทรงตกแต่งเจ้ายิ่งกว่านั้นอีกหรือ โอ.. เจ้าคนที่มีความเชื่อน้อยนิด

31 อย่ากังวลและกล่าวว่า ‘เราจะกินอะไร?’  หรือ ‘เราจะดื่มอะไร?’ หรือ ‘เราจะสวมอะไร?’
32 เพราะคนที่ไม่รู้จักพระเจ้านั้น ต่างตามหาสิ่งเหล่านี้ และพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ทรงรู้ว่าเป็นความจำเป็นของเจ้า
 
33 จงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และพระประสงค์เสียก่อน แล้วพระองค์จะประทานสิ่งเหล่านี้ให้เจ้าเอง
34 ดังนั้นเจ้าต้องไม่กังวลถึงวันพรุ่งนี้ เพราะพรุ่งนี้ก็มีสิ่งที่วันพรุ่งนี้ต้องดูแล  แต่ละวันก็มีเรื่องทุกข์ร้อนใจพอเพียงแล้ว   

อธิบายเพิ่มเติม

มัทธิว 6:1-4
ความคิดเรื่องการให้ของพระเยซูแตกต่างจากโลกอย่างสิ้นเชิง เพราะใคร ๆ ก็อยากดูดี เป็นคนใจกว้าง เมตตาต่อผู้อื่น ดังนั้นจึงมีการให้แบบที่โด่งดัง มีวิธีการสร้างอีเวนท์ให้ผู้คนได้เห็นว่า กลุ่มของฉัน ครอบครัวของฉัน ตัวฉัน ทำอะไรเพื่อใครบ้าง ยิ่งสมัยนี้ ยิ่งเห็นชัดแจ้งว่า ใครได้รางวัลจากโลกไปแล้ว
ในโลกโบราณนั้นการให้ของแก่คนยากจนเป็นความดีที่ทุกคนยกย่อง และก็มีคนโอ้อวด แต่พระเจ้าให้เราทำในที่คนไม่เห็น เราไม่ต้องบอกใคร แต่พระเจ้าทรงเห็น ดังนั้น พระองค์จะทรงเป็นผู้ประทานรางวัล
น่าเสียดายที่คนช่างอวดจะได้รับรางวัลที่อาจมีความสุขในวันที่ได้ แต่ไม่นานทุกคนก็จะลืมไป ต่างจากรางวัลที่พระเจ้าประทานซึ่งยั่งยืนเป็นนิตย์
**คำ “เราบอกความจริงแก่เจ้าว่า” ในภาษาเดิมว่า อาเมน

มัทธิว 6: 5-8
เรื่องการทำดีอีกเรื่องคือการอธิษฐานต่อพระเจ้า คนที่หน้าซื่อ ๆ แต่ใจคดนั้น ชอบประกาศตัวให้รู้ว่า เขาอธิษฐานอย่างไรบ้าง ดังนั้นวิธีการของพวกเขาคือ ต้องไปยืนในศาลาธรรม ตามมุมถนนให้คนได้เห็น ได้ชื่นชม
แต่พระเจ้าทรงให้เราอธิษฐานโดยไม่มีใครเห็น .. พระองค์ทรงเห็น และทรงสัญญาประทานรางวัลให้ เรื่องนี้สุดยอดเลย เมื่อเราอธิษฐานส่วนตัว แม้จะเป็นคนเดียว พระเจ้าก็ทรงตอบ
อีกอย่างหนึ่งคือ อย่าอธิษฐานแบบสวด กล่าวคำซ้ำ ๆ ที่คิดว่า ศักดิ์สิทธิ์มีพลัง เพราะนั่นไม่ใช่พลังแต่กลับเป็นคำซ้ำที่ไร้ความหมาย พลังมาจากการอธิษฐานด้วยการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ มาจาก การอธิษฐานอย่างร้อนรน (ยากอบ 5:16, โรม 8:26-27)

มัทธิว 6:9-13
คำอธิษฐานที่พระเยซูทรงสอนสาวกนั้น แบ่งเป็นสองตอนสำคัญ ช่วงแรกเป็นการมุ่งที่องค์พระเจ้าพระบิดา ช่วงที่สองเป็นเรื่องของพวกเรา
พระเยซูทรงสอนให้เรามุ่งใจไปที่พระเจ้าก่อนตนเอง เริ่มต้นด้วยคำว่า พระบิดาของข้าพเจ้าทั้งหลาย ไม่ได้กล่าวว่า พระบิดาของฉัน (คนเดียว) พระเยซูทรงให้เรารู้ว่า คนทั้งโลกที่เชื่อในพระองค์นั้น เป็นคนในครอบครัวเดียวกัน ขอให้พระนามของพระองค์เป็นที่เคารพอย่างบริสุทธิ์ คือขอให้ทุกคนในโลกนี้ได้เคารพพระนามของพระองค์เพราะพระองค์ทรงบริสุทธิ์ ทุกคนควรจะเคารพพระนามยิ่งใหญ่นี้
ขอให้แผ่นดินของพระองค์ลงมาตั้งอยู่ เมื่อไรที่พระเมสสสิยาห์คือพระเยซูทรงมาครองครอง เท่ากับแผ่นดินนั้นมาตั้งในโลกนี้อย่างสมบูรณ์แบบ เมื่อนั้นคำอธิษฐานดังกล่าวจะสำเร็จ นั่นหมายความถึงพระองค์ทรงปราบบาปทั้งสิ้นให้หมดไป ขอให้พระประสงค์ทั้งสิ้นสำเร็จในแผ่นดินโลก
เช่นเดียวกับที่สำเร็จในแผ่นดินสวรรค์
ตอนนี้พระเยซูประทับในสวรรค์
ทุกอย่างที่พระเจ้าทรงประสงค์
ต่อมาเป็นคำของเกี่ยวกับชีวิตประจำวัน ทั้งเรื่องการเลี้ยงดูของพระเจ้า
คือ อาหารประจำวัน การที่พระเจ้าจะทรงชำระบาปทั้งสิ้น (โดยที่มีเงื่อนไขว่า เราได้อภัยคนที่ทำผิดต่อเราด้วย เรื่องนี้ต้องสำคัญมากเพื่อจะไม่มีอะไรมาขัดขวางคำอธิษฐานของเรา เพราะบาปสามารถกั้นคำอธิษฐานของเราได้ อิสยาห์ )
คำขอสุดท้ายเป็นการขอเพื่อพระเจ้าจะทรงให้เราพ้นจากศัตรูที่คอยวนเวียนพยายามจับคนที่มันจะกัดกินได้ เรื่องนี้ เราควรอธิษฐานทั้งเผื่อตนเองและเพื่อน ๆของเราที่อาจถูกมารรังควาญ เผื่อเด็กเล็ก ๆ ที่เขาจะพ้นจากสิ่งชั่วร้ายต่าง ๆ ที่พวกเขาเจอระหว่างอยู่ที่โรงเรียน อยู่กับเพื่อน
จบคำอธิษฐาน
แล้วจบคำอธิษฐานด้วยการยกย่องพระเจ้า ให้เราตระหนักถึงความยิ่งใหญ่ตระการของพระองค์

มัทธิว 6:14-15
เรื่องการยกโทษเป็นสิ่งที่ทำแสนยากแสนเย็น เพราะเมื่อใครทำผิดต่อเรา เราก็มักคิดซ้ำย้ำอยู่อย่างนั้นว่าเขาทำไม่ดี เขาตั้งใจ เขาไม่ซื่อฯลฯ แต่พระเจ้าทรงให้เราลืม และยกโทษให้ ไม่หาทางแก้แค้น แต่ลืมไป แถมยังสอนให้เราอธิษฐานเผื่อเพื่อเขาจะได้สิ่งดีที่สุด (มัทธิว 5:44)

มัทธิว 6:16-18
จะอดอาหารอธิษฐานก็อย่าไปทำให้ใครเขารู้ แน่นอนมีบางครั้งที่เราทำการอธิษฐานอดอาหารเป็นกลุ่มเพื่อรวมพลังเข้าเฝ้าพระเจ้า แต่ไม่ว่าจะทำเดี่ยวหรือทำกลุ่ม แรงจูงใจข้างในนั้น เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงมองพระเยซูถึงกับบอกให้เราแต่งตัว ทำผม พรมน้ำมันให้ดูดี เป็นการปิดบังไม่ให้ใครรู้ว่า เรากำลังอดอาหารอธิษฐานอยู่

มัทธิว 6:19-21
เรื่องทรัพย์สมบัติ การที่บอกว่า อย่าสะสม.. หมายถึงอย่าให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นที่หนึ่งในชีวิต แต่ให้ความสำคัญกับสิ่งที่เราทำแล้วมีรางวัลจากพระเจ้าเป็นสิ่งที่ควรทำ เพราะใจเราให้ความสำคัญกับสิ่งใด เราก็จะหมกมุ่นกับสิ่งเหล่านั้น
การรักเงินทองเป็นรากแห่งความชั่วสารพัด (1 ทิโมธี 6:10) และยากอบก็ได้เตือนว่าวันหนึ่งคนมั่งมีจะพบวิบัติแบบที่หายนะเกิดขึ้นกับทรัพย์แสนรักของพวกเขา และสิ่งเปล่านั้นจะเป็นหลักฐานว่า เขาใช้ชีวิตในโลกแบบไหน (ยากอบ 5:1-3)
อีกด้านของการสะสมทรัพย์นี้คือ ความตระหนี่ที่ไม่ยอมแบ่งให้ใคร การที่ใครคนหนึ่งมีมากมาย ก็เพื่อเอื้อเฟื้อกับคนอื่นด้วยวิธีต่าง ๆ ในสถานการณ์ที่ต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นการให้เปล่า การสร้างงาน การสร้างคนมีคุณภาพ ฯลฯ เพื่อให้ทุกคนมีชีวิตอย่างเป็นสุข มัทธิว 6:22-23
เรามองเห็นทุกอย่างได้เพราะแสงสว่างที่สาดส่องเข้ามาในโลก สายตาที่ดีรับแสงเข้ามา ให้แสงนั้นทำงาน และเขาก็มองเห็นทุกอย่าง เขาเห็นสิ่งดีก็รับไว้ สิ่งชั่วเขาก็หลีกหนีไปได้ ส่วนคนที่ตามืดมัวปล่อยให้ร่างกายอยู่ในความมืด พวกเขาก็ไม่อาจได้ประโยชน์จากแสงสว่างได้เลย ไม่สามารถมองเห็นอะไรได้ ถึงจะพยายามก็มองไม่เห็น ชีวิตจึงอยู่ในสภาพที่เลวร้าย
พระเยซูทรงเน้นว่า สายตาดีจะทำงานอย่างดี เป็นสัญญาณทำให้เห็นว่า คนๆ นั้นมีสุขภาพของวิญญาณดี

มัทธิว 6:22-23
เรามองเห็นทุกอย่างได้เพราะแสงสว่างที่สาดส่องเข้ามาในโลก สายตาที่ดีรับแสงเข้ามา ให้แสงนั้นทำงาน และเขาก็มองเห็นทุกอย่าง เขาเห็นสิ่งดีก็รับไว้ สิ่งชั่วเขาก็หลีกหนีไปได้ ส่วนคนที่ตามืดมัวปล่อยให้ร่างกายอยู่ในความมืด พวกเขาก็ไม่อาจได้ประโยชน์จากแสงสว่างได้เลย ไม่สามารถมองเห็นอะไรได้ ถึงจะพยายามก็มองไม่เห็น ชีวิตจึงอยู่ในสภาพที่เลวร้าย
พระเยซูทรงเน้นว่า สายตาดีจะทำงานอย่างดี เป็นสัญญาณทำให้เห็นว่า คนๆ นั้นมีสุขภาพของวิญญาณดี

มัทธิว 6:24
การเลือกระหว่างสองนาย ก็เหมือนการเลือกระหว่างทรัพย์ในโลกกับทรัพย์ในสวรรค์ เหมือนกับการเลือกสว่างหรือมืด (ความมั่งคั่งที่ว่านี้ ในภาษาเดิมเรียก มาโมนา  μαμωνᾶ หมายถึงความร่ำรวย เงิน ทรัพย์สมบัติ ) เราทุกคนต้องเลือกว่าจะรับใช้ใครให้ชัดเจน การมีสองใจพระเจ้าไม่รับ

มัทธิว 6:25-26
ข้อนี้ต่อมาจากเรื่องการที่เราต้องเลือกพระเจ้าองค์นิรันดร์ เหนือการตามหาทรัพย์สมบัติที่แมลงแทะกินได้ พระเยซูทรงบอกให้เราไม่ต้องกังวลกับการเลี้ยงชีวิต นี่ไม่ได้หมายความว่า เราอยู่เฉย ๆ แต่พระเจ้าทรงให้เราทำงานพร้อมไปกับการไว้วางใจพระองค์ นกในอากาศออกไปหาหนอนก็จริง แต่มันก็อยู่ใต้การเลี้ยงดู การจัดหาของพระเจ้า (สดุดี 147:9)

มัทธิว 6:27-28
คนบางคนไม่เข้าใจว่า ความกังวลเป็นเหมือนตัวร้ายที่กัดกร่อนใจที่มั่นคงของเรา มันเป็นศัตรู ไม่ใช่เป็นเพื่อน ทุก ๆ เรื่องที่ผ่านเข้ามาล้วนสร้างความกังวลใจได้ทั้งสิ้น ผู้คนที่ฟังพระเยซูอยู่นั้น เป็นคนยากจน ไม่ใช่แค่หาเช้ากินค่ำ แต่ยังมีขอทาน แม่ม่ายที่ขาดคนเลี้ยงดู พระเยซูทรงบอกเขาชัดเจนว่า พวกเขามีความหมายต่อพระเจ้า ทรงดูแลนก ทรงดูแลดอกหญ้าที่ขึ้นตามทุ่ง จะทรงดูแลพวกเขายิ่งกว่านั้นอีก!

มัทธิว 6:29-30
สำหรับพระเยซูแล้ว ดอกไม้นี้ยังสวยกว่าความสง่างามขององค์กษัตริย์ที่ทรงเครื่องแต่งกายเต็มยศ คนที่ฟังอยู่จะรู้สึกอย่างไรกับคำตรัสนี้ กษัตริย์ยังไม่งามเท่าและถ้าเรามองแบบคนสมัยใหม่ ในระดับไมโครแล้ว ก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ เพราะว่านอกจากความความภายนอกแล้ว ความละเอียดซับซ้อนของโครงสร้างดอกไม้ภายในนั้นงดงามจริง ๆ เป็นงานศิลปะที่ไม่มีใครจะเลียนแบบได้เลย
ดอกไม้ในทุ่งที่คนไม่เห็นค่า มีอายุแสนสั้น แต่พระเยซูทรงยืนยันว่า พระเจ้ายังทรงตกแต่งมันอย่างงดงาม พระเจ้าจะทรงตกแต่งคนที่รักพระองค์ให้งามยิ่งกว่า และอย่าลืมว่าความงามดังกล่าวไม่ใช่แบบแฟชั่น ตามมาตรฐานมนุษย์ แต่เป็นความงามที่พระเจ้าทรงปรุงแต่งให้ เป็นความงามที่ยั่งยืน

มัทธิว 6:31-32
มีคนบอกว่า จะหมดความกระวนกระวายได้ก็คือ ให้แผ่นดินของพระเจ้ามาเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต ให้รู้ว่า พระเจ้าทรงจัดหาให้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ผู้ที่เชื่อในพระเจ้าต่างมีคำพยานเรื่องการจัดหาของพระองค์เสมอมา

มัทธิว 6:33-34
แล้วพระเยซูทรงจบด้วยเคล็ดลับสำคัญคือ ในแต่ละวันให้แสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และนำ้พระทัยของพระเจ้าก่อน นั่นคือ ให้พระองค์ได้ตรัสกับเราผ่านพระคัมภีร์ ให้เราได้นมัสการพระองค์ ขอบพระคุณตั้งแต่เช้าตรู่ ก่อนที่จะออกไปทำอะไร เป็นความเรียบง่ายที่หากทำทุกวันแล้ว เราก็จะมีวินัยที่ดีในการแสวงหาพระเจ้า แล้วพระเจ้าจะทรงเพิ่มเติมทั้งปัญญา ความเข้าใจ การเปลี่ยนแปลงชีวิตไปในทางที่ดีขึ้น ทุกด้าน ดีเกินความคาดหมายของเราเสียด้วยซ้ำ

พระคำเชื่อมโยง

1* มัทธิว 23:5 
2* โรม 12:8 ;มัทธิว 6:5
3* ยอห์น 7:4
4* ลูกา 14:12-14; เยเรมีย์ 17:10
5* ลูกา 18:10-11
6* มัทธิว 14:23
7* ปัญญาจารย์ 5:2; 1 พงศ์กษัตริย์ 18:26
8* โรม 8:26
9* ลูกา 11:2-4; มัทธิว 5:9, 16; มาลาคี 1:11 
10* มัทธิว 26:42
11* สุภาษิต 30:8

12* มัทธิว 18:21
13* 2 เปโตร 2:9; ยอห์น 17:15
14* มาระโก 11:25
15* มัทธิว 18:35
16* อิสยาห์ 58:3-7
17* รูธ 3:3
18* มัทธิว 6:4, 6
19* สุภาษิต 23:4
20* มัทธิว 19:21
21* โคโลสี 3:1-3
22* ลูกา 11:34-35

23* 1 ยอห์น 2:11
24* ลูกา 16:9, 11, 13
25* ลูกา 12:22
26* ลูกา 12:24
27* ลูกา 12:25-26
28* มัทธิว 6:25
29* 2 พงศาวดาร 9:20-22
30* ลูกา 12:28
31* 1 เปโตร  5:7
32* มัทธิว 6:8
33* 1 ทิโมธี 4:8

มัทธิว 6

โรม 1 ข่าวประเสริฐมีฤทธิ์!

โรม 1:1-2
จากข้า เปาโลผู้เป็นทาสรับใช้ของพระเยซูคริสต์ พระเจ้าทรงเรียกข้าให้เป็นอัครทูตและทรงเลือกให้ข้าประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้า เป็นข่าวประเสริฐที่พระเจ้าได้ทรงสัญญานานมาแล้ว ผ่านเหล่าผู้เผยพระดำรัสของพระองค์ ซึ่งบันทึกไว้ในพระคัมภีร์บริสุทธิ์

โรม 1:3-4
เป็นข่าวประเสริฐเรื่องของพระบุตรของพระองค์ ซึ่งในฐานะมนุษย์ ทรงเป็นเชื้อสายของกษัตริย์ดาวิด พระเจ้าทรงประกาศผ่านองค์พระวิญญาณแห่งความบริสุทธิ์ว่า ทรงเป็นพระบุตรที่ทรงฤทธานุภาพของพระเจ้า โดยการที่ทรงฟื้นขึ้นมาจากความตาย 

โรม 1:5-6
โดยพระคุณ เราได้รับมอบหมายให้เป็นอัครทูต ผ่านองค์พระคริสต์ เพื่อนำประชาชนจากชาติต่าง ๆ ให้มาเชื่อฟังจนถึงเชื่อวางใจ และท่านทั้งหลายที่อยู่ในโรมนั้น ก็เป็นผู้ที่อยู่ในหมู่คนที่พระเจ้าทรงเรียกให้มาเป็นคนของพระเยซูคริสต์

โรม 1:7
ถึง ท่านทุกคนซึ่งพระเจ้าทรงรักและทรงเรียกให้เป็นวิสุทธิชนของพระองค์ที่อยู่ในโรม ขอพระคุณและสันติสุขจากพระเจ้าพระบิดาของเราและจากองค์พระเยซูคริสต์เจ้าจงมีแก่ท่านทั้งหลายเถิด


โรม 1:8
ก่อนอื่นใด ข้าขอขอบพระคุณพระเจ้า
ของข้าผ่านองค์พระเยซูคริสต์
สำหรับพวกท่านทุกคน
เพราะคนทั้งหลายในโลกต่างกล่าวถึง
ความเชื่อของพวกท่าน


โรม 1:9-10
องค์พระเจ้าผู้ที่ข้ารับใช้ด้วยสุดจิตสุดใจด้วยการประกาศข่าวประเสริฐเรื่องพระบุตรของพระองค์ ทรงเป็นพยานได้ว่า ข้าไม่เคยหยุดที่จะเอ่ยถึงพวกท่าน ทุกครั้งที่ข้าอธิษฐาน
ข้าอธิษฐานว่าที่สุดแล้ว หากพระองค์ทรงประสงค์ ข้าจะไดัมาเยี่ยมพวกท่าน


โรม 1:11-12
ข้าปรารถนาที่จะพบพวกท่านเป็นอย่างมากเพื่อจะได้แบ่งปันของประทานแห่งพระวิญญาณ เพื่อว่าพวกท่านจะเข้มแข็ง
ข้าหมายถึงว่า อยากจะให้เราทั้งสองฝ่ายต่างหนุนใจซึ่งกันและกัน ด้วยความเชื่อของเราทั้งสองฝ่าย ความเชื่อของพวกท่านช่วยข้า และความเชื่อของข้าก็ช่วยท่าน

โรม 1:13
พี่น้องชายหญิงเอ๋ย ข้าอยากให้พวกท่านทราบว่า ข้าวางแผนเพื่อจะมาหาพวกท่านหลายครั้ง แต่มีอุปสรรคจนกระทั่งเวลานี้
ข้าต้องการที่จะมาเพื่อจะได้ช่วยพวกท่านให้เติบโตฝ่ายวิญญาณ ได้เกี่ยวเก็บผลท่ามกลางพี่น้อง เหมือนอย่างที่ข้าได้ทำในหมู่คนต่างชาติ

โรม 1:14-15
ข้าเอง เป็นหนี้คนทั้งหลาย ทั้งชาวกรีก และชนชาติอื่น ๆ (ที่ถูกมองว่า เป็นคนที่ไม่มีอารยะ) ทั้งคนที่มีสติปัญญา และคนที่รู้น้อย ดังนั้นข้าเองจึงร้อนใจที่จะประกาศข่าวประเสริฐแก่พวกท่านที่อยู่ในกรุงโรมด้วย

โรม 1:16
เพราะข้าพเจ้าไม่อายเรื่องข่าวประเสริฐ
เพราะข่าวประเสริฐนี้เป็นฤทธิ์เดชที่พระเจ้าทรงใช้เพื่อช่วยทุกคนที่เชื่อช่วยคนยิวก่อน และจากนั้นก็ช่วยคนต่างชาติด้วย


โรม 1:17
ข่าวประเสริฐนี้ แสดงให้เห็นว่า พระเจ้าทรงทำให้มนุษย์เรามีความถูกต้องอย่างเที่ยงธรรมกับพระองค์โดยเริ่มต้นที่
ความเชื่อ และจบลงด้วยความเชื่อ
ตามที่พระคัมภีร์บันทึกว่า
“คนเที่ยงธรรมจะมีชีวิตได้โดยความเชื่อ”(ฮาบากุก 2:4)

โรม 1:18
พระพิโรธของพระเจ้า ได้แสดงออกมาจากสวรรค์ต่อต้านการอธรรม และความชั่วร้ายที่มนุษย์ได้ลงมือกระทำ
พวกเขาได้เหยียบย่ำ บิดเบือนความจริง
ด้วยความชั่วร้ายของพวกเขาเอง

โรม 1:19
เพราะว่า สิ่งที่มนุษย์จะรู้เกี่ยวกับ
พระเจ้านั้น ก็ปรากฏชัดเจนแก่พวกเขา
เพราะพระเจ้าทรงสำแดง
ให้ประจักษ์ชัดแก่พวกเขา

โรม 1:20
เพราะตั้งแต่การสร้างโลกนี้มา พระลักษณะของพระเจ้าที่มองไม่เห็นด้วยตา นั่นก็คือ ฤทธิ์เดชนิรันดร์ และสถานะความเป็นพระเจ้าของพระองค์นั้น เป็นที่สัมผัสรู้ และเข้าใจได้จากสิ่งต่าง ๆ ที่พระองค์ทรงสร้างขึ้น ดังนั้น มนุษย์จึงไม่มีข้อแก้ตัว

โรม 1:21
พวกเขารู้จักพระเจ้า แต่ไม่ยอมถวายพระเกียรติแด่พระองค์ หรือขอบพระคุณพระองค์ ความคิดของพวกเขาจึงกลายเป็นความไร้ประโยชน์ (ไร้เหตุผล) ความคิดอันโง่เขลาของพวกเขาจึงถูกเติมเต็มด้วยความมืด

โรม 1:22-23
พวกเขาอ้างว่าตนเองฉลาดแต่กลับกลายเป็นคนโง่เขลา
และได้แลกพระสิริตระการของพระเจ้าผู้ทรงดำรงนิรันดร์ กับรูปเคารพที่ถูกสร้างให้เหมือนกับมนุษย์ นก สัตว์ต่าง ๆ รวมไปถึงสัตว์เลื้อยคลาน!

โรม 1:24
เพราะเขากระทำเช่นนั้น
พระเจ้าจึงทรงปล่อยให้พวกเขาทำตาม
ความเร่าร้อนที่จะทำบาป
ทำให้เขาได้กระทำความอัปยศ
อดสูต่อร่างกายของกันและกัน

โรม 1:25
พวกเขาเอาความจริงของพระเจ้าแลกกับความเท็จ และกราบไหว้ รับใช้สรรพสิ่งที่ถูกสร้างแทน
องค์พระผู้สร้างผู้ทรงสมควรที่จะได้รับการสรรเสริญตลอด
ไปเป็นนิตย์ อาเมน

โรม 1:26
เพราะพวกเขาทำเช่นนี้ 
พระเจ้าจึงทรงปล่อยให้พวกเขาตามติดตัณหาที่ต่ำทราม
พวกผู้หญิงก็หยุดความสัมพันธ์ตาม
ธรรมชาติ และไปมีความสัมพันธ์ทางเพศกับผู้หญิง



โรม 1:27
ฝ่ายผู้ชายก็ทำเช่นกัน คือ หยุดมี
ความสัมพันธ์ทางเพศกับผู้หญิง ต่างกระสันกันและกัน
ผู้ชายได้ทำสิ่งที่น่าละอายกับผู้ชายด้วยกัน
และพวกเขาจึงได้รับการลงโทษในร่างกาย
สมกับความผิดที่เขาได้กระทำไปนั้น 

โรม 1:28
นอกเหนือไปจากนั้น เมื่อพวกเขาไม่เห็นว่า การรู้จักพระเจ้าอย่างแท้จริงเป็นสิ่งที่สมควร
พระเจ้าจะทรงละทิ้ง ปล่อยให้เขาทำตามความคิดเสื่อมทรามที่ไร้ค่า ซึ่งนำไปสู่การกระทำที่ไม่ควรทำ


โรม 1:29
ดังนั้น ในตัวพวกเขาจึงเต็มด้วยความอธรรม ความชั่วร้าย ความเห็นแก่ตัวและความเกลียดชัง พวกเขาเต็มไปด้วยความอิจฉา ฆาตกรรม การทะเลาะวิวาท
โกหกหลอกลวง และคิดร้ายต่อกันและกันและยังนินทากัน

โรม 1:30-31
พวกเขากล่าวร้ายกันและกัน เกลียดพระเจ้า หยาบคาย และโอหัง อวดตัว คิดแผนชั่วไม่ให้เกียรติพ่อแม่
พวกเขาโง่งม ไม่เคยรักษาสัญญา
ไร้ความเมตตา ไร้ความสงสารผู้อื่น

โรม 1:32
แม้พวกเขารู้ว่า พระเจ้าทรงสั่งว่า
คนที่ทำสิ่งเหล่านี้สมควรตาย
แต่พวกเขายังคงทำการชั่วเหล่านี้ต่อไป
และยังสนับสนุนคนที่ทำเช่นนั้น


อธิบายเพิ่มเติม

โรม 1:1-2
ท่านเปาโล แนะนำตัวเองว่า เป็นทาสรับใช้ขององค์พระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นทาสแบบสมัครใจ ไม่ใช่ทาสที่ถูกบังคับให้เป็น (อพยพ 21:1-6) และพระเจ้าก็
ทรงเลือกให้ท่านเป็นอัครทูต ซึ่งมีความหมายว่า คนที่ถูกส่งออกไป หน้าที่สำคัญที่สุดในชีวิตของท่านเปาโลคือการประกาศข่าวประเสริฐ เรื่องที่พระเจ้า
ทรงรักโลก และประทานพระเยซูมารับโทษบาปแทนมนุษย์ทั้งหลายที่พระเจ้าทรงรัก ในหนังสือโรมจะบอกเราว่า ขอบเขตข่าวประเสริฐมีกว้างขนาดไหน
โรม 1:3-4
การที่พี่น้องมาจากหลายที่หลายแห่ง ยังไม่มีคริสตจักรที่แน่นอน เป็นการประชุมตามบ้าน ทำให้ท่านเปาโลเขียนจดหมายนี้ อธิบายแผนการแห่งความรอดให้ชัดเจนเริ่มต้นที่พระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าซึ่งมาทางสายของดาวิด พระองค์ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์โดยฤทธิ์แห่งพระวิญญาณ​(ลูกา 1:35 อิสยาห์ 7:14) ไม่ว่าพระองค์จะทำสิ่งใด ทรงทำตามพระบิดาโดยการทรงนำ พลัง และอำนาจแห่งพระวิญญาณ (มัทธิว 3:16; ยอห์น 3:34) ยิ่งกว่านั้น ทรงฟื้นขึ้นจากความตายอย่างที่พวกเขาได้ทราบแล้ว
โรม 1:5-6
คำว่าอัครทูต มีความหมายกว้าง ๆ ถึงคนที่ถูกส่งไปเพื่อประกาศความรอด (กิจการ 14:14) พระเยซูก็ทรงเป็นอัครทูตด้วย (ฮีบรู 3:1) การเชื่อฟังข่าวประเสริฐมาก่อน การวางใจและการจำนนต่อพระเยซูคริสต์จึงตามมา (โรม 10:9-10) พระเจ้าจะทรงเรียกให้ทุกคนมาหาพระองค์ ไม่ประสงค์ให้ใครพินาศเลย (2 เปโตร 3:9) และพี่น้องชาวโรมเหล่านี้ทั้งยิวและคนต่างชาติตอบรับการทรงเรียกของพระองค์
โรม 1:7
ในโรมสมัยของท่านเปาโล เป็นเมืองที่นับได้เป็นมหาอำนาจเวลานั้น ตอนนั้นยังไม่มีคริสตจักรในโรม แต่พวกเขานมัสการในบ้านเป็นส่วนใหญ่ เราเห็นว่า ท่านเปาโลบอกถึงฐานะของท่านว่าเป็นทาสของพระเยซูคริสต์ พี่น้องก็จะเข้าใจว่าท่านภักดีต่อพระองค์อย่างไร โรมช่วงเวลานั้นเป็นมหาอำนาจ และคริสเตียนก็จะถูกกดขี่ข่มเหงเพราะพวกเขาไม่ยอมที่จะก้มหัวนมัสการซีซาร์ว่าเป็นพระเจ้า
โรม 1:8
ที่ผ่านมา เราจะเห็นว่า หัวใจของท่านเปาโลอยู่ที่ข่าวประเสริฐที่เปลี่ยนชีวิตของพี่น้อง ไม่เฉพาะยิว แต่เป็นคนชาติต่าง ๆ ทั่วโลก ในจดหมายนี้ท่านเน้น
คนที่อยู่ในโรมก็จริง ข่าวเรื่องความเชื่อของคนในโรมนั้น โด่งดังไปทั่วดินแดนยุโรปตอนใต้ เอเชียน้อย ท่านขอบคุณพระเจ้าเพราะการประกาศได้รับการตอบรับมีคนเชื่อ มีคนเปลี่ยนชีวิต นั่นเป็นที่สุดในหัวใจของท่านเปาโลแล้ว
โรม 1:9-10
ท่านเปาโลอธิษฐานเผื่อพี่น้องในโรมเสมอ ทั้ง ๆ ที่ส่วนใหญ่แล้วท่านไม่รู้จักเป็นส่วนตัว ท่านรู้ดีว่าจะเกิดผลได้ ต้องพึ่งพาพระเจ้า ใจของท่านเปาโลอยากพบพี่น้อง และท่านก็อธิษฐานขอพระเจ้าโปรดเปิดทางให้ มีบางครั้งพระเจ้าก็ไม่ได้ให้ตามที่ท่านขอ และท่านก็ต้องยอมกับน้ำพระทัยของพระเจ้าทุกครั้งไป (ดู 2 โครินธ์ 12:7-10)
โรม 1:11-12
เหตุผลที่อยากมาพบก็คือ อยากจะให้ทั้งสองฝ่ายได้แบ่งปันสิ่งที่เป็นพระพรให้กันและกัน ครูแท้จริงทุกคนได้รับสิ่งดี ๆ จากนักเรียนของเขา นักเรียน
สามารถที่จะทำให้ครูเก่งขึ้นได้อย่างไม่น่าเชื่อท่านเปาโลเป็นเช่นนั้น ท่านรู้ว่า พี่น้องมีสิ่งดีที่จะแบ่งปันให้ท่าน ต่างจากสิ่งดีที่ท่านกำลังจะแบ่งปันให้เขา ต่างฝ่ายต่างช่วยกันและกัน ดังนั้นพี่น้องทุกคนอย่างคิดว่าตนไม่มีประโยชน์ เราทุกคนมีสิ่งดีที่จะให้กันและกัน
โรม 1:13
ท่านเปาโลตั้งใจ วางแผนที่จะมาหาพี่น้องชาวโรมแต่พระเจ้าทรงกั้นไว้ การเติบโตฝ่ายวิญญาณต้องมีการดูแล เอาใจใส่ ให้อาหารเหมือนอย่างต้นไม้ที่เราปลูก ต้องดูแลสม่ำเสมอ เติมปุ๋ยท่านเปาโลต้องการแบ่งปันทุกสิ่งที่ท่านเข้าใจจากพระเจ้าให้กับพี่น้อง เพื่อเขาจะเติบโตอย่างดี แข็งแรงและสามารถส่งต่อความเข้าใจนั้นให้ผู้อื่นประโยคสุดท้ายของท่านนั้น ทำให้รู้ว่าท่านเปาโลทำงานท่ามกลางคนต่างชาติไม่น้อยเลยทีเดียว
โรม 1:14-15
ทำไมจึงรู้สึกเป็นหนี้คนทุกคนเช่นนี้? ความรู้สึกอย่างนี้มาจากไหน? พระเจ้าทรงมอบงานประกาศเรื่องราวแห่งแผ่นดินสวรรค์ เรื่องการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ไว้ให้ท่าน งานที่พระเจ้าทรงมอบให้นี้ เป็นสิ่งที่ยังทำไม่เสร็จ ท่านเปาโลรู้สึกเป็นหนี้ในฐานะที่ยังจ่ายความรู้ ความเข้าใจในพระเจ้าไม่ครบ
จึงร้อนใจมากที่จะคืนสิ่งดีนี้ให้กับผู้ที่ยังไม่รู้จักพระเจ้า ไม่ว่าจะเป็นใคร ชนชั้นใด ไม่ว่าจะมีความรู้หรือไม่ จะร่ำรวยหรือยากจน ท่านก็เป็นหนี้อยู่
โรม 1:16
สำหรับท่านเปาโลแล้ว เรื่องข่าวประเสริฐ (ที่รัฐบาลโรม ผู้นำศาสนายิวพยายามกำจัด) คือความภูมิใจที่สุดในชีวิต แม้ว่ามีความพยายามที่จะทำลายข่าวประเสริฐด้วยสารพัดวิธี แต่ข่าวประเสริฐนั้น เต็มด้วยฤทธิ์เดชที่พระเจ้าทรงทำการพร้อมกับผู้รับใช้ของพระองค์โดยการเปลี่ยนแปลงชีวิตอย่างมหัศจรรย์ ข่าวประเสริฐเรื่องของพระเยซูนี้ ช่วยชีวิตคนทุกคนในโลก ไม่ได้เว้นใครเลย
โรม 1:17
ข่าวประเสริฐ ทำให้คนที่บาปกลับกลายเป็นคนที่ถูกต้องกับพระเจ้า วิธีคือ คนบาปนั้นต้องกลับใจสำนึกผิด และเชื่อในวิธีการที่พระเจ้าทรงใช้เพื่อทำ
ให้เขาถูกต้องกับพระองค์ เป็นความเชื่อในพระเยซูสิ่งที่พระองค์ทรงทำบนไม้กางเขน จนคืนพระชนม์ ไม่มีวิธีอื่นใดที่จะทำให้เราถูกต้องกับพระเจ้าได้นอกจากเชื่อว่า พระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าที่ลงมาเพื่อให้เราได้กลับไปอยู่กับพระองค์
โรม 1:18
ผู้เชื่อในพระเจ้านั้น ครั้งหนึ่งก็คือคนที่ได้เหยียบย่ำและบิดเบือนความจริง แต่พระเจ้าได้ทรงเมตตา ผ่านองค์พระเยซู พระเจ้าทรงยกโทษให้กับคนที่กลับใจ
และไม่ทำเช่นนั้นอีก เราจะเห็นความพยายามของคนที่ทำผิดแล้วอ้างว่าตนไม่ผิดมากมาย และเรื่องที่จะอ้างว่า ไม่มีพระเจ้าก็ไม่ต่างกัน ถ้าเขาไม่อยาก
ให้มีพระเจ้า เขาก็จะอ้างสารพัดอย่าง จะพยายามพิสูจน์ให้ได้เพื่อจะบอกว่า ไม่มีพระเจ้า
โรม 1:19
ไม่ใช่ว่าทุกคนในโลกได้ยินเรื่องของพระเจ้า ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีพระคัมภีร์ ยังมีคนอีกมากมายในโลกที่ไม่เคยสัมผัสเรื่องของพระเจ้าเที่ยงแท้
แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนเห็นตำตาของพวกเขาคือตัวมนุษย์ สัตว์ ธรรมชาติที่อยู่รอบตัวของเขา ท่านเปาโลได้บอกว่า พระเจ้าได้ทรงสำแดงให้แมนุษย์ได้รู้ว่า มีพระเจ้าผู้ทรงสร้างอยู่จริง ๆพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าที่มองไม่เห็น แต่ทรงสร้างสิ่งที่มองเห็นมาให้เป็นพยานถึงพระองค์เอง
โรม 1:20
จากธรรมชาติที่เราเห็นรอบตัว เราจะเห็นพระเจ้าได้หากเราไม่ปิดใจไปเสียก่อน ทุกอย่างในจักรวาลต้องมีผู้สร้าง สิ่งต่าง ๆที่เราใช้อยู่ทุกวัน มีการผลิต
ออกมาจากโรงงานบ้าง จากการสร้างสรรค์ด้วยมือคน ธรรมชาติที่เราเห็นในต้นไม้ ในแม่น้ำ ทะเล ต่างมีทั้งความงาม มีประโยชน์ มีความซับซ้อนมีระบบระเบียบการทำงานเพื่อให้ดำรงชีวิตอยู่ได้ ยิ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์ เป็นแพทย์ ที่เห็นระบบของร่างกาย ต้นไม้อวกาศ ยิ่งอดไม่ได้ที่จะสรุปว่า มีองค์ผู้ทรงสร้างแน่!
โรม 1:21
แต่ก่อนเราก็เป็นอย่างนั้น เราไม่เชื่อพระเจ้าองค์พระผู้สร้าง เราเคยเชื่อในวิวัฒนาการซึ่งวันนี้ เริ่มพิสูจน์ให้เห็นว่าเป็นไปไม่ได้เลย เพราะทุกอย่างมีแต่จะด้อย
ลง ไม่ใช่จากสัตว์เซลเดียวแล้วขยายเป็นสิ่งที่ซับซ้อนขึ้น แต่คนที่ไม่ต้องการรับพระเจ้าก็ยังยืนยันที่จะเชื่อทฤษฎีซึ่งเปลี่ยนสมมติฐานไปเรื่อย ๆ น่าเสียดาย
ที่นักวิทยาศาสตร์จำนวนมากได้เสียเวลาของชีวิตอันแสนสั้น เพื่อพิสูจน์ว่า ในจักรวาลนี้ไม่มีพระเจ้าใจของเขามืดไป ไม่อาจรับความสว่างได้…
โรม 1:22-23
เวลาเราย้อนกลับไปตอนที่เรายังไม่เชื่อพระเจ้า และกราบไหว้รูปปั้นใด ๆ ที่เป็นรูปคน สัตว์ เราก็จะรู้สึกแย่เอามาก ๆ ว่า ทำลงไปได้อย่างไรกัน เมื่อ
ก่อนทำไมจึงมืดบอดได้ขนาดนี้ จำได้ไหมถึงวันที่เราวางใจในสร้อยตะกรุดของเราที่คิดว่าจะกันไม่ให้ผีเข้ามาสิงเรา ตอนนั้นเราคิดว่า ตัวเองเก่งและรู้
จักผู้ที่มีฤทธิ์อำนาจจะช่วยได้ โดยไม่ได้รู้เลยว่าเป็นแค่มารปลอมตัวมาให้เราหลงทาง หลงกราบหลงไหว้และหลงให้ความไว้วางใจ
โรม 1:24
มีการเอามาทำเป็นภาพยนต์โดยมีบทให้ตัวเอกในหนังหลายเรื่อง มีพฤติกรรมที่พระคัมภีร์บอกว่าเป็นบาป พยายามทำให้เป็นพฤติกรรมธรรมดาที่รับได้ ความจริงคนที่กระทำการเช่นนี้เขารู้ตัวว่ามันผิดธรรมชาติ แต่ก็พอใจที่จะทำและเกลียดชังคนที่ไม่รับพฤติกรรมเช่นนี้ไปด้วย มันเป็นบาปที่มีการทำให้กลายเป็นถูกกฎหมาย แต่ยังฝืนกฎธรรมชาติที่พระเจ้าทรงสร้างพวกเขามาอยู่ดี
โรม 1:25
พระเจ้าทรงเป็นพระผู้สร้าง สมควรที่เราจะนมัสการเป็นผู้ที่มนุษย์ทั้งหลายควรตามหาเพื่อขออยู่ใต้ร่มพระคุณ การที่เอาความจริงของพระเจ้าแลกความ
เท็จนั่นก็คือ แทนที่จะเลือกนมัสการพระเจ้าผู้คนกลับเลือกชื่นชมกับไอดอล รูปปั้นต่าง ๆสิ่งที่นิยมกันในช่วงเวลานั้น แทนที่จะยึดมั่นในพระเจ้า ก็กลับเชื่อสิ่งต่าง ๆ ที่คนโอ้อวดว่าเป็นผู้มีฤทธิ์ ทำให้รวย ทำให้สวย ทำให้ประสบความสำเร็จ ฯลฯ
โรม 1:26
นี่เป็นครั้งที่สองที่ท่านเปาโลกล่าวว่า พระเจ้าทรงปล่อยให้คนกระทำตามความต้องการทางชั่วของเขาเอง เรารู้ว่า ถ้าพระเจ้าไม่ปล่อย พระองค์จะทรงทำอะไรก็ได้ จะลงโทษอย่างทันทีทันควันก็ได้ แต่เรารู้ว่า พระเจ้าทรงดี ทรงอดกลั้น และอดทนนานมาก เพื่อให้เขาคิดใหม่ กลับใจใหม่ (โรม 2:2-3)
โรม 1:27
ท่านเปาโลได้เขียนจดหมายฉบับนี้เป็นการชี้ให้ผู้เชื่อในโรมได้รู้ว่า การนิยมความสนุกทางเพศแบบนี้อย่างดาษดื่น เป็นพฤติกรรมที่ขัดต่อน้ำพระทัยของพระเจ้า พวกเขาจะต้องถวายเกียรติพระเจ้าด้วยการไม่ทำตาม ละเว้นจากสิ่งที่สังคมโรมกำลังนิยมชมชอบ ดังนั้นจะเห็นว่า ความเชื่อของคริสเตียนนั้นตรงข้ามกับโลกอย่างสิ้นเชิง สังคมโรมเกลียดชังคริสเตียนเพราะพวกเขารู้ดีว่าสิ่งที่พวกเขาทำนั้นต่ำทรามเพียงใด
โรม 1:28
ข้อนี้เป็นความคิดที่ต่อเนื่องมาจากข้อก่อน ๆ ในเรื่องที่ว่า พระเจ้าทรงปล่อยให้คนที่ไม่สนใจ ไม่ติดตาม คนที่ไม่เห็นว่าการรู้จักพระเจ้าเป็นสิ่งที่สำคัญ
สำหรับชีวิตที่ยังมีลมหายใจอยู่ พระเจ้าทรงปล่อยและตรงนี้เอง ทำให้พวกเขาจะรู้สึกว่า อะไรก็โอเคไม่ต้องรับผิดชอบกับใคร จากความคิดที่ทำให้เกิด
ความสัมพันธ์ที่ผิดธรรมชาติ ต่อมาก็เป็นความคิดที่เสื่อมทรามทำให้คนเราสามารถทำได้ทุกอย่างที่ทำให้ชีวิตของตนตกต่ำลงไปอีก
โรม 1:29
พระคำข้อนี้ ท่านเปาโลอธิบายว่า เกิดอะไรขึ้นกับคนที่หันเหไปจากความจริงจากพระเจ้า แต่หากเราคิดในระดับชาติ เราจะพบว่า ในสังคมของเรานั้น คนที่
ต้องการควบคุมคนอื่น คนมีอำนาจ จะควบคุมให้คนอื่นทำตามอย่างเขาต้องการ ให้ใช้ชีวิตแบบที่เอื้อประโยชน์กับพรรคพวกของเขา จึงเกิดความทุกข์
ไม่ใช่สันติสุข เราเห็นความพยายามที่จะแก้กฎหมายให้พวกตนเองได้รับประโยชน์ ผู้คนจะทุกข์ยากขนาดไหน พวกเขาก็ไม่สนใจ
โรม 1:30-31
คนที่มุ่งมั่นใช้ชีวิตบาป ไม่อาจรักพระเจ้าได้ เพราะน้ำพระทัยพระเจ้าไม่ตรงกับความต้องการของเขาและเขาตกอยู่ใต้อำนาจมารที่ทำลายชีวิตตนเอง
เวลาเดียวกัน เขาต้องการพวกพ้อง จึงต้องทำทีว่ารัก และเห็นใจคนอื่น ชักชวนคนอื่นให้ทำบาปอย่างเขา ตรงนี้ที่ทำให้โลกยิ่งไม่น่าอยู่เข้าไปอีก คนที่
น่าสงสารที่สุดก็คือคนที่ถูกหลอก ถูกทำลายคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรเป็นเหมือนปลาที่ถูกจับเป็นฝูง
โรม 1:32
การที่คนเราเกลียดพระเจ้าทำให้เขาทำทุกอย่างที่จะให้คนเกลียดชังกัน ทำทุกอย่างที่จะชักชวนให้คนทำชั่วต่อกัน ชวนให้ผู้คนทำร้ายตัวเอง ในโลก
ของยาเสพติด โลกของการค้ามนุษย์ การล่อลวงให้ร่ำรวยอย่างแก๊งค์คอลเซนเตอร์ เป็นการล่อให้คนมีความสุขที่ไม่จริง ทั้งอันตรายผสมอยู่กับความทุกข์ทรมานเพราะการหลงเชื่อคนที่ทำชั่ว คนเหล่านี้ ไม่ได้ทำชั่วคนเดียวแต่ยังช่วยกันทำเพื่อทำร้ายคนอื่นอีกด้วย

พระคำเชื่อมโยง

1* 1 ทิโมธี 1:11; กิจการ 9:15; 13:2
2* กิจการ 26:6; กาลาเทีย 3:8
3* กาลาเทีย 4:4
4* สดุดี 2:7; 16:10-11; กิจการ 9:20; 13:33; ฮีบรู 9:14
5* เอเฟซัส 3:8; กิจการ 6:7; 9:15
6* 1 เปโตร 2:9
7* 1โครินธ์ 1:2, 24; 1:3
8* 1โครินธ์ 1:4; โรม 16:19
9* โรม 9:1; กิจการ 27:23;
1 เธสะโลนิกา 3:10
11* โรม 15:29

12* ทิตัส 1:4
13* 1 เธสะโลนิกา 2:18; ฟีลิปปี 4:17
14* 1โครินธ์ 9:16-23
15* โรม 15:20
16* สดุดี 40:9-10; 1โครินธ์ 1:18,24; กิจการ 3:26
17* โรม 3:21; 9:30; ฮาบากุก 2:4
18* กิจการ  17:30; 2 เธสะโลนิกา 14:17
19* กิจการ 14:17;17:24; ยอห์น 1:9
20* สดุดี 19:1-6
21* เยเรมีย์ 2:5

22* เยเรมีย์ 10:1423* 1 ทิโมธี 1:17; เฉลยธรรมบัญญัติ 4:16-1
24* เอเฟซัส 4:18-19; 1โครินธ์ 6:18; เลวีนิติ 18:22
25* 1 เธสะโลนิกา 1:9; อิสยาห์ 44:20
26* เลวีนิติ 18:22
27* เลวีนิติ 20:13; 18:22
28* เอเฟซัส 5:4
29* 2 โครินธ์ 12:20
30* 2 ทิโมธี 3:2; ยูดา 1:16
31* 2 ทิโมธี 3:3; สุภาษิต 18:2