ยอห์น 7 เทศกาลอยู่เพิงสุดท้าย

ก่อนเทศกาล…ไม่เชื่อ

ระหว่างเทศกาล โต้แย้ง

หลังเทศกาล แตกคอ

คำอธิบายเพิ่มเติม

คำแนะนำของน้องชายที่ไม่เชื่อ

1-5  ระหว่างบทที่ 6 กับ 7 นั้น ระยะเวลาห่างกันนานหลายเดือน  เพราะเรื่องในบทที่ 6 เกิดในช่วงเทศกาลปัสกา(เมษายน)แต่ในบทที่7 เป็นเทศกาลอยู่เพิง (กันยายนหรือ ตุลาคม)  และในช่วงนี้ พวกยิวก็คิดไว้แล้วว่าจะกำจัดพระองค์ให้ได้
คำว่า “งาน”  เออร์กอน .. 2041 การลงแรงทำงาน  อาชีพ การกระทำงาน หนัก ความสำเร็จในงาน รับจ้าง ออกแรง  น้องชายพระเยซูกำลังหมายถึงงานที่พระเยซูทรงทำอย่างมหัศจรรย์ ด้วยฤทธิ์เดช
 เทศกาลอยู่เพิง  เป็นช่วงเวลาที่ผู้คนจะอยู่ในเพิงใบไม้เพื่อระลึกถึงความซื่อตรงของพระเจ้า ระหว่างที่อิสราเอลเดินทางในถิ่นกันดาร  และเป็นช่วงที่เขาขอบพระคุณสำหรับการเก็บเกี่ยวด้วย (เลวีนิติ 23:39-41
ชื่อของน้องชายร่วมมารดาของพระเยซูที่มัทธิวกล่าวถึง 13:55 คือ ยากอบ โยเซฟ ซีโมน และยูดาส
ยากอบกับยูดาส เป็นผู้ที่ต่อมาได้เชื่อและรับใช้อย่างซื่อสัตย์  เป็นผู้เขียนจดหมายฝาก ยากอบและยูดา พวกเขากลับใจเชื่อพระเยซูว่าทรงเป็นพระเมสสิยาห์ หรือพระคริสต์ หลังจากที่เห็นพระองค์ทรงคืนชีพ กิจการ 1:14, 1 โครินธ์ 15:7
1 ยอห์น 5:18, 7:19,25, 8:37,40 คำว่ายิวในที่นี้ หมายถึงผู้ที่มีอำนาจทางศาสนา
2 เลวีนิติ 23:34, 42-43  3 มัทธิว 12:46 5 สดุดี 69:8, มาระโก 3:21

น้องกับพี่ อยู่คนละโลก

6-10  “เวลาของเรา” พระเยซูน่าจะหมายถึงการตรึงบนไม้กางเขน แต่น้อง ๆ ของพระองค์ไม่ได้เข้าใจตามนั้น คิดว่าเป็นเวลาที่จะต้องไปเทศกาล  ไปให้ใคร ๆ รู้จัก
โลกไม่อาจชังน้อง ๆ ของพระเยซูเพราะเป็นพวกเดียวกัน  เวลานั้นพวกเขายังไม่เชื่อวางใจพระองค์  คนที่ติดตามพระเยซูจริง ๆ จะรู้ว่า โลกไม่ชอบคนของพระองค์นั้น ความรู้สึกเป็นอย่างไร
ในภาษากรีก เป็นประโยคปัจจุบัน พระเยซูกำลังตรัสว่า ตอนนี้ เรายังไม่ไป .. และจะไม่ไปตามวิธีที่น้อง ๆ แนะนำด้วย  พระองค์ทรงมีวาระ ความมุ่งหมายของพระองค์ตามพระทัยพระบิดาอยู่แล้ว
น้องชายของพระเยซูชวนให้พระเยซูไปเปิดตัว แต่พระองค์กลับเดินทางไปเยรูซาเล็มเงียบ ๆ   ตามเวลาของพระองค์ 
6 ยอห์น 2:4, 8:20  7 ยอห์น 15:19, 3:19     8 ยอห์น8:20

ผู้คนต่างรอหาพระเยซู

11-13  ยิวที่ตามหาพระเยซูเป็นพวกที่ต้องการกำจัดพระองค์ น่าจะเป็นกลุ่มที่รุนแรงไม่น้อยเพราะประชาชนต่างซุบซิบถึงพระเยซู ไม่มีใครกล้าพูดเปิดเผยเลย  พวกยิว จงเกลียดจงชังพระเยซูจนเห็นได้ชัด 
11 ยอห์น 11:56   12 ยอห์น 9:16, 10:19, ลูกา7:16   13 ยอห์น 9:22, 12:42,19:38

ไม่ยอมรับ แต่ก็ยอมรับ

14-16  น่าจะใกล้เวลาของพระเยซูแล้ว เพราะระหว่างเทศกาลนั้นเอง พระเยซูก็ทรงเริ่มต้นสอนประชาชนในลานพระวิหารอย่างเปิดเผย   คำสอนของพระองค์นั้นพวกยิวเองยังยอมรับว่า อยู่ในระดับสูงมาก  เนื้อหา การสื่อและการอธิบายทำให้พวกเขาเองทึ่งไม่น้อย
พวกเขาไม่ต้องสงสัยนานว่า พระเยซูเรียนมาจากไหน ในเมื่อไม่ได้เข้าเรียนแบบพวกเขา  พระองค์ทรงตอบชัดเจน ว่าสิ่งที่พระองค์ตรัส มาจากพระบิดาโดยตรง  ในขณะที่พวกธรรมาจารย์ ฟาริสีทั้งหลาย เรียนรู้กันตามประเพณีสืบต่อกันมา  พระเยซูทรงเรียนจากพระบิดาเจ้า เหนือกว่าพวกเขาด้วยประการทั้งปวง
จริง ๆ แล้ว ศิษย์ของพระองค์ก็ไม่ได้ผ่านโรงเรียนแบบฟาริสี แต่พวกเขาได้เรียนจากพระเยซู  
14 มาระโก 6:34    15     มัทธิว13:54    16 ยอห์น 3:11,

17-18 พวกยิวคิดว่าตัวเองรู้จักพระเจ้าด้วยการเรียนพระคัมภีร์ จดจำและนำมาอภิปรายกัน
แต่การรู้จักพระเจ้าที่พระเยซูบอกนั้น คือ คนที่ตั้งใจทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าต่างหากที่รู้จักพระองค์จริง คนเหล่านั้นจะรู้ความจริง และจะเชื่อว่าพระเยซูสอนคำที่มาจากเบื้องบน ดู 6:44 ไม่มีใครมาหาพระเยซูได้นอกจากพระบิดาทรงส่งมาให้  6:29 งานของพระเจ้าคือให้เชื่อผู้ที่พระองค์ทรงส่งมา
17 ยอห์น 3:21, 8:43  18 ยอห์น 5:41, 8:50, 2 โครินธ์ 5:21

ทรงชี้แจงให้ฟาริสีมองเห็นตัวเอง

19-24 ตอนนี้อาจเข้าใจยากนิดหนึ่งเพราะข้อความดูซับซ้อน เรื่องของเรื่องคือ ยิวเองไม่ได้รักษาบัญญัติของโมเสสจริงจัง เพราะเขาถือว่าเด็กอายุแปดวันก็ต้องให้สุหนัต ไม่ว่าวันนั้นจะไปตกอยู่วันสะบาโตหรือไม่ แต่พวกเขากับคาดคั้นไม่ยอมให้พระเยซูรักษาโรคในวันสะบาโต ดู ๆ ไป ก็น่าจะเป็นแค่ข้อแก้ตัว พวกเขาต้องการหาเหตุกล่าวโทษพระองค์ 
19 เฉลยธรรมบัญญัติ 33:4, มัทธิว 12:14    20  ยอห์น 8:48,52    22  เลวีนิติ  12:3, ปฐมกาล 17:9-14,   23 ยอห์น  5:8,9,16   24 สุภาษิต 24:23

ความเห็นที่แตกต่าง ความรู้ที่ไม่ถูกต้องเรื่องพระผู้ช่วยให้รอดที่จะมา

25-27 ไป ๆ มา ๆ คนก็เริ่มสงสัยว่า จริง ๆ แล้วถึงแม้พวกยิวจะต่อต้านพระเยซูมากเพียงใด ลึก ๆ พวกเขาอาจจะเชื่อแล้วว่า พระองค์คือ พระคริสต์ หรือ พระเมสสิยาห์ พระผู้ช่วยให้รอดที่พระเจ้าทรงส่งมาจริง ๆ  นี่เป็นเรื่องเข้าใจผิดของผู้คนต่อเนื่องกันมาว่า พวกเขาจะไม่รู้ถิ่นกำเนิดของผู้ที่เป็นพระเมสสิยาห์  แต่ใน มีคาห์ 5:2 พระเจ้าตรัสก่อนหน้าแล้วว่า พระเมสสิยาห์จะเกิดที่เมืองเบธเลเฮม พวกเขาคิดกันว่าพระเยซูมาจากนาซาเร็ธก็ต้องเกิดที่นั่นด้วย … พวกเขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพระองค์เลย 
25 มัทธิว 21:38, 26:4, ลูกา 22:2, ยอห์น 5:18, 8:37,40   26 ยอห์น 7:48,   27 มัทธิว 13:55, มาระโก 6:3, ลูกา 4:22

28 -31  ทุกอย่างที่พวกเขาพูดกัน พระเยซูทรงทราบหมด สิ่งที่ตรัสในตอนนี้ว่า พวกเขารู้จักพระองค์ น่าจะเป็นคำกระทบกระเทียบพวกเขามากกว่า    เรื่องนี้สำคัญมาก พระเยซูจึงตรัสด้วยเสียงอันดัง  ไม่ว่าใครจะคิดว่าพระองค์เป็นใครมาจากไหน ก็ไม่สำคัญเท่ากับว่า พระเจ้าที่ส่งพระองค์มานั้น ทรงเป็นจริง คนยิวคิดว่า พวกเขารู้จักพระเจ้าพระบิดา แต่ความจริงแล้ว พวกเขากลับต่อต้านพระองค์ และพระบุตรที่ทรงส่งมา 
ในเมื่อยังไม่ถึงเวลาของพระเยซู ก็ไม่มีใครจะจับพระองค์ไปได้ หลายครั้งแล้วที่เป็นเช่นนี้  หลายคน เชื่อ…  ตอนนี้คนเริ่มแตกคอ มีความเห็นไม่เหมือนกัน  ปรากฏว่าจำนวนไม่น้อยที่หันมาเชื่อพระองค์ พวกเขาเห็นว่า  พระเมสสิยาห์ที่เขาคิดว่าจริงมา ก็ไม่มีทางจะทำการอัศจรรย์ได้มากกว่าพระเยซู
28 ยอห์น 8:14,5:43,โรม 3:4, ยอห์น 1:18, 8:55   29 มัทธิว 11:27, ยอห์น 8:55,17:25      30 มาระโก 11:18, มัทธิว 21:46, ยอห์น 7:32,44, 8:20, 10:39    31 มัทธิว 12:23

ความพยายามจับกุมพระเยซู

32-36   ความจริงแล้ว ฟาริสีกับปุโรหิตใหญ่ไม่ถูกคอกันมานานมาก  แต่ครั้งนี้พวกเขามีศัตรูคนเดียวกัน จึงส่งเจ้าหน้าที่ของพระวิหารออกไปเพื่อจะจับพระเยซู.   ที่ ๆ พวกเขาไปไม่ได้ก็คือ ที่ ๆ พระองค์จะเสด็จไปหาพระบิดาหลังจากที่พระองค์คืนชีพแล้ว
33 ยอห์น 13:33, มาระโก 16:19, ลูกา 24:51, กิจการ 1:9, ฮีบรู 9:24, 1 เปโตร 3:22      34 โฮเชยา 5:6, มัทธิว 5:20, 1 โครินธ์ 6:9, 15:50, วิวรณ์ 21:27     35  สดุดี 147:2, อิสยาห์ 11:12, 56:8, เศฟันยาห์ 3:10, ยากอบ 1:1,  1 เปโตร 1:1

คำเชิญที่ยิ่งใหญ่สำหรับทุกคน

37-39. เทศกาลอยู่เพิงครั้งนี้ เป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะเป็นเทศกาลปัสกา ซึ่งเป็นเทศกาลที่พระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  พระองค์ทรงอยู่ลานพระวิหาร และตรัสหลังจากที่มีการเทน้ำออกมาเพื่อระลึกถึงการที่พระเจ้าประทานน้ำให้ในถิ่นกันดาร ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่เน้นกันในเทศกาล 
พระเยซูทรงเรียกให้คนมาหาพระองค์และดื่ม  ทรงเรียกทุกคนไม่ว่าจะเป็นใครที่กระหาย. พระองค์ทรงหมายความว่า ใครก็ตาม ขอให้มา และเชื่อพระองค์ พระองค์ทรงสัญญาจะให้เขามีน้ำแห่งชีวิตไหลออกมาจากใจ. ท่านยอห์นได้บันทึกไว้ให้เราเข้าใจว่า เมื่อพระเยซู สิ้นชีพและคืนชีพแล้ว  คนที่เชื่อจะได้รับพระวิญญาณของพระองค์อย่างแน่นอน 
37 เลวีนิติ 23:36, กันดารวิถี 29:35, เนหะมีย์ 8:18, อิสยาห์ 55:1   39 ยอห์น 12:16, 13:31, 17:5

ประชาชนฉงน ผู้นำศาสนาไม่ยอมรับ

40-44  มีคนที่แน่ใจในความจริงที่พระเยซูตรัส  เขาเชื่อว่า พระองค์ทรงเป็นพระคริสต์ (พระเมสสิยาห์)แน่นอน ตรงนี้ทำให้เรารู้ว่าคนไม่น้อยไม่รู้สถานที่บังเกิดของพระเยซู พวกเขาคิดว่า พระองค์มาจากกาลิลีทางเหนือ  มีคนที่แน่ใจว่า พระเยซูคือพระเมสสิยาห์ หรือพระคริสต์ แต่ก็ยังมีคนไม่รู้และค้านแบบไม่รู้ไปดื้อ ๆ อย่างนั้น  เห็นได้ชัดว่า พระเยซูทรงทำให้คนต้องคิด ต้องชั่งน้ำหนัก ให้เหตุผล และทำให้คนแตกคอกันจากสิ่งที่พวกเขาเห็นตรงหน้า 
40 เฉลยธรรมบัญญัติ 18:15,18   41 ยอห์น 4:42,6:69    42 สดุดี 132:11, เยเรมีย์ 23:5, มีคาห์  5:2, ,มัทธิว 2:5, ลูกา 2:4, 1 ซามูเอล 16:1,4    43 ยอห์น 7:12    44 ยอห์น7:30

45-49 การจับกุมพระเยซูไม่สำเร็จ  ที่เป็นเช่นนั้นเพราะยังไม่ถึงเวลาของพระองค์   ยามพระวิหารเองก็เห็นว่า พระเยซูตรัสไม่เหมือนใครเลย ทำให้ฟาริสีเองหงุดหงิดมากขึ้น  ภาพนี้เราเลยเห็นชัดเจนว่า เหล่าธรรมาจารย์และฟาริสีต่างมีความเย่อหยิ่ง ไม่ยอมรับความจริงที่พระเยซูตรัสเลย 
46 มัทธิว 13:54,56, ลูกา 4:22

คนที่เป็นฝ่ายพระเยซู

50-51 คราวนี้นิโคเดมัสออกตัวให้ใคร ๆ รู้ว่า เขาปกป้องพระเยซูอยู่  เขาเปิดเผยตัวแล้วว่า เขาเป็นฝ่ายพระองค์  เขาพยายามชี้แจงเหตุผลที่ถูกต้องตามธรรมเนียม แต่ไม่มีใครฟัง52  จากข้อนี้ เราเห็นเลยว่า ฟาริสี ก็ไม่ได้รู้จริงนัก เขาก็ไม่รู้ด้วยว่า จริงแล้ว พระเยซูทรงเกิดที่เบธเลเฮม เขาไม่รู้ว่าโยนาห์และนาฮูม มาจากกาลิลี  พวกเขาพูดอะไรก็ได้ที่คิดว่าจะทำให้ตนชนะ  น่าอายจริงที่เรื่องนี้ถูกบันทึกมานานเข้าปีที่สองพันกว่า
50 ยอห์น 3:1-2, 19:39  51 เฉลยธรรมบัญญัติ 1:16-17,19:15  52 อิสยาห์ 9:1-2, ,มัทธิว 4:15, 

 


1 เปโตร 5 คำสั่งให้เลี้ยงดูฝูงแกะ

ดังนั้น ข้าจึงขอหนุนใจบรรดาผู้ใหญ่ท่ามกลางท่าน ในฐานะที่เป็นผู้ใหญ่เหมือนกัน เป็นพยานคนหนึ่งที่เห็นการทนทุกข์ของพระคริสต์ และเป็นผู้ที่มีส่วนในพระสิริรุ่งโรจน์ที่กำลังจะมาปรากฏ ว่า..
1 เปโตร 5:1

มัทธิว 26:37, โรม 8:17,18,

ครั้งนี้ท่านเปโตรกำลังขอร้องพี่น้องที่เป็นผู้สูงอายุซึ่งเป็นคนวัยเดียวกับท่านเอง พวกเขาเหล่านี้คือเหล่าผู้ปกครองในคริสตจักร เป็นคนที่มีปัญญาและเติบโตฝ่ายวิญญาณเป็นผู้ใหญ่ พวกเขาทั้งสอน-เทศนาได้ (1 ทิโมธี 5:17) ท่านเปโตรเข้าใจความหมายลึกซึ้งของทั้งหมดที่เห็นจากพระเยซูคริสต์ ท่านรู้ว่า ที่พระเยซูต้องสิ้นพระชนม์นั้นเพื่อเป้าหมายประการใด และคำที่จะขอร้องต่อไปก็สำคัญยิ่ง

ให้ท่านเลี้ยงดูฝูงแกะของพระเจ้าซึ่งอยู่ท่ามกลางท่าน โดยปกครองดูแลไม่ใช่เพราะถูกบังคับแต่ดูแลอย่างเต็มใจตามน้ำพระทัยไม่ใช่เพราะสนใจผลประโยชน์ แต่ดูแลอย่างกระตือรือร้น
1 เปโตร 5:2

กิจการ 20:28, 1 โครินธ์ 9:17, 1 ทิโมธี 3:3,

สิ่งสำคัญสำหรับผู้ปกครองในคริสตจักรคือ การเลี้ยงดูผู้เชื่ออย่างที่พระเยซูทรงทำมาก่อน เขาทำเพราะเขารักพระองค์ และคนของพระองค์ (ยอห์น 21:15-17) ผู้เลี้ยงมีหน้าที่ทั้งปกป้อง แนะนำ ให้อาหาร คือพระคำของพระเจ้า ดูแลอย่างห่วงใย พร้อมที่ จะให้ชีวิตของตนแก่พี่น้อง (ยอห์น 10:11-14)
ทั้งหมดนี้ ทำด้วยความเต็มใจอย่างยิ่ง

โดยไม่ทำตัวเหนือบรรดาคนที่ท่านดูแลแต่เป็นแบบอย่างแก่ฝูงแกะนั้น และเมื่อองค์พระผู้เลี้ยงใหญ่ทรงปรากฏ ท่านจะได้รับมงกุฎแห่งศักดิ์ศรีที่ไม่เลือนไป
1 เปโตร 5:3-4

เอเสเคียล 34:4, สดุดี 33:12, ฟีลิปปี 3:17, ฮีบรู 13:20, 2 ทิโมธี 4:8

การเลี้ยงดูฝูงแกะของพระเจ้าคือ เหล่าผู้เชื่อที่ ยังเป็นคนใหม่ ยังต้องการความเข้าใจในพระคำ พวกเขาไม่ใช่เรียนจากคำสอนด้วยปากเท่านั้น แต่พวกเขาเรียนรู้จากการกระทำของผู้เลี้ยงดู เรียนจากชีวิตที่เป็นต้นแบบ เหมือนอย่างอัครทูตเปาโล ที่ท่านเคยพูดว่า จงเลียนแบบข้า อย่างที่ข้าเลียนแบบพระคริสต์ 1 โครินธ์ 11:1 ดังนั้นเราจึงต้องเป็นผู้เลี้ยงที่ทำตามอย่างองค์พระผู้เลี้ยงใหญ่

วางใจพระเจ้า ระวังตัวและถ่อมตน

เช่นเดียวกัน คนที่อายุน้อยกว่าก็ให้เชื่อฟังคนที่อาวุโสกว่า ขอให้ทุกคนถ่อมใจต่อกันและกัน เพราะว่า “พระเจ้าทรงต่อต้านคนที่เย่อหยิ่ง แต่ประทานพระคุณแก่คนที่ถ่อมใจลง”
1 เปโตร 5:5

เอเฟซัส 5:21, สุภาษิต 3:34, อิสยาห์ 57:15

ขณะที่ท่านเปโตรสอนให้ผู้ใหญ่ดูแลผู้น้อยผู้น้อย คือลูกแกะ ก็จะต้องเชื่อฟัง และถ่อมตน ต่อผู้ใหญ่เหล่านั้น ต้องมีการตอบโต้กันระหว่างสองฝ่ายอย่างดี ผู้ใหญ่ต้องไม่วางก้าม แต่ให้ ความนับถือผู้น้อยด้วย ผู้น้อยก็ต้องให้เกียรติ ผู้ใหญ่ สังคมเช่นนี้จะไปได้ด้วยดีมีความสงบสุข ท่านเปโตรกล่าวถึงสุภาษิต 3:34 เพื่อให้เห็นว่าความถ่อมตนนั้นสำคัญต่อความสัมพันธ์ ของเรากับพระเจ้าโดยตรง!

ดังนั้นจงถ่อมตนภายใต้พระหัตถ์ อันทรงฤทธิ์ของพระเจ้า เพื่อว่าพระองค์
จะทรงยกชูท่านขึ้นในเวลาที่เหมาะสม
1 เปโตร 5:6

ยากอบ 4:10, ลูกา 14:11, สุภาษิต 29:23

เมื่อท่านเปโตรว่า “พระเจ้าทรงต่อต้านคนที่เย่อหยิ่ง แต่ประทานพระคุณแก่คนที่ถ่อมใจลง” ท่านก็ต่อด้วยคำเตือนให้ถ่อมตนต่อพระเจ้าทันที การถ่อมตนต่อมนุษย์ด้วยกันมีผลทำให้คนนั้นถ่อมตนต่อพระเจ้าด้วย คนที่โอ้อวด คิดว่าพระเจ้าอยู่ไกล ไม่เกี่ยวกับตน คิดว่าพระเจ้าไม่ทรงฤทธิ์ที่จะลงโทษ และสามารถกล่าวคำดูหมิ่นองค์พระเจ้าอย่างไม่กลัว ชีวิตข้างหน้าของเขาน่าสยดสยอง พระพรของการถ่อมตนคือ พระเจ้าจะทรงยกคนนั้นขึ้นในเวลาที่เหมาะมาก ๆ

ให้ฝากความกังวลใจไว้กับพระองค์ เพราะว่าพระองค์ทรงห่วงใยท่านอยู่แล้ว
1 เปโตร 5:7

สดุดี 55:22, ฟีลิปปี 4:6, สดุดี 37:5

ความกังวลใจเป็นเรื่องใหญ่มากในสังคมเราทุกวันนี้และมันก็กลายเป็นสาเหตุของโรคทางจิตหลาย อย่างเมื่อความกังวลนั้น อยู่อ้อยอิ่งเนิ่นนานในหัวใจสิ่งที่เราต้องมั่นใจคือ พระเจ้าทรงห่วงใยเราอยู่แล้ว แล้วก็ฝากความกังวลทุกเรื่องไว้กับพระองค์ เรื่องบางเรื่องที่กังวล เราสามารถแก้ปัญหาผ่านลุล่วงไปได้ แต่ยังมีอีกหลายเรื่องที่เราไม่อาจทำได้เองเลยแม้แต่นิดเดียว จำไว้ว่า พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ทรงใส่ใจเรา เราจึงควรเข้ามาหาพระองค์ด่วนที่สุด

จงมีสติรู้ตัว และตื่นตัวอยู่เสมอ เพราะศัตรูของท่านคือมารกำลัง วนเวียนอยู่รอบ ๆ ดั่งสิงห์ที่ขู่คำราม จับจ้องหาคนที่มันจะขย้ำกินได้
1 เปโตร 5:8

เอเฟซัส 6:11, 4:27, โยบ 2:2, ยากอบ 4:7

พวกเราอาจไม่รู้ตัวว่าเคยโดนเจ้ามารนี้ขย้ำมาแล้ว
อย่าให้เป็นอย่างนั้นอีก ท่านเปโตร สั่งให้มีสติ สมองรับรู้รอบตัวว่า เกิดอะไรขึ้น และยังต้องตื่นตัวเสมอด้วย มันกำลังวนเวียนในทุก ๆ แห่งที่มันเข้าไปได้ มันรู้อะไรเกี่ยวกับตัวเรามากกว่าตัวเราเสียอีก มันมีอำนาจทำลาย และทำให้เราขาดประสิทธิภาพ แต่เราก็ต้องไม่ลืมว่า พระเยซูทรง จัดการปลดเขี้ยวเล็บของมันแล้วบนไม้กางเขน(อ่านโคโลสี 2:15) มันต้องการขย้ำให้ตาย อย่าล้อเล่นกับมันทีเดียว !

จงต่อสู้กับมาร มั่นคงในความเชื่อ เพราะท่านรู้ว่า พี่น้องผู้เชื่อทั่วโลกก็กำลังตกอยู่ในความทุกข์ยาก เช่นเดียวกันนี้
1 เปโตร 5:9

ยากอบ 4:7, กิจการ 14:22, เอเฟซัส 6:11-13,

เวลาที่มารพยายามเอาใจเราออกห่าง ให้ไม่เชื่อฟังพระเจ้า เราต้องไม่อยู่เฉยปล่อยตามเลยเราต้องสู้กับมันด้วยการวางใจในพระสัญญาจะทำได้โดยเราต้องเตรียมตัวพร้อม มีพระสัญญา เก็บไว้ในตัวของเราล่วงหน้า เก็บไว้ตั้งแต่วันนี้
การทำเช่นนั้น เท่ากับเราถือพระแสงแห่งพระวิญญาณ
คือพระวจนะของพระเจ้าเตรียมสู้!(เอเฟซัส 6:17) เมื่อใดที่เราพร้อมสู้ มันก็รู้ว่า เรามีพระเยซูอยู่ในชีวิต

พระเจ้าแห่งพระคุณประทานสิ่งดี

หลังจากที่ท่านได้ทนทุกข์ระยะหนึ่ง พระเจ้าแห่งพระคุณทั้งสิ้น ผู้ทรงเรียกท่านเข้าสู่พระสิริรุ่งโรจน์นิรันดร์ในพระคริสต์ จะทรงรื้อฟื้นท่านสู่สภาพดี จะทรงให้กำลัง และให้ท่านยืนอย่างมั่นคง
ขอพระราชอำนาจมีแด่พระองค์สืบไปเป็นนิตย์ อาเมน
1 เปโตร 5:10-11

2 โครินธ์ 4:17, 2 เธสะโลนิกา 3:3, วิวรณ์ 1:6, 1 เปโตร 4:11, โรม 11:36

ภาพวาดโดยCaravaggio 1571-1610

การทนทุกข์และเข้าใจเป้าหมายก็จะทำให้เรา รับกำลังเข้มแข็งจากพระเจ้าได้ตั้งแต่เริ่มต้น
เพราะเรามีมุมมองที่เป็นจริงตามพระสัญญาในข้อนี้ ท่านเปโตรเองก็ต้องทนทุกข์มากมายในชีวิตเพราะเห็นแก่พระนามของพระเยซู และจบชีวิตด้วยการถูกตรึงกางเขนกลับหัว
ตามการบันทึกของ apocryphal Acts of Peter

อย่าลืมที่สำคัญคือ พระเจ้าแห่งพระคุณ ..

ข้าเขียนถึงท่านสั้น ๆ โดยมีสิลวานัสพี่น้องผู้ร่วมรับใช้ที่ซื่อสัตย์ช่วย ข้าเขียนมาเพื่อหนุนน้ำใจท่าน และประกาศว่า นี่คือพระคุณแท้จริง ของพระเจ้า จงยืนหยัดตั้งมั่นในพระคุณนี้
1 เปโตร 5:12

2 โครินธ์ 1:19, 1 เธสะโลนิกา 1:1, 2 เธสะโลนิกา 1:1

สังเกตเห็นไหมว่า ทั้งท่านเปโตร ท่านเปาโลไม่ได้ทำงานพระเจ้าเดี่ยว ๆ แต่ท่านมีผู้ช่วยอยู่ เคียงข้างเสมอ สิลวานัสเป็นผู้ช่วยเขียนจดหมายตามคำบอกของท่านเปโตร ท่านรับรองว่า เขาเป็นคนที่ซื่อสัตย์ในการทำงานรับใช้ จากนั้นท่านกล่าวถึงพระคุณแท้จริงของพระเจ้าเราต้องเข้าใจว่า พระคุณมาถึงเราอย่างไร และเราจะยืนหยัดในพระคุณนั้น ไปจนวันที่เรายืนต่อพระพักตร์พระเจ้าในวันสุดท้าย

คริสตจักรในเมืองบาบิโลน ผู้ซึ่งได้รับเลือกจากพระเจ้าเหมือนกับท่าน ส่งความคิดถึงมายังท่าน มาระโกลูกชายของข้าก็เช่นกัน
1 เปโตร 5:13

กิจการ 12:12, 25, 15:37,39, โคโลสี 4:10,
ฟิเลโมน 24

เมืองบาบิโลน ที่ท่านเปโตรกล่าวถึงนับว่าเป็นสถานที่ ๆ คลุมเครือ เพราะเราไม่ทราบว่าที่ไหน หรือว่าเป็นชื่อที่ท่านเปโตร เรียกกรุงโรม แต่สิ่งที่เรารู้จากข้อความนี้คือ คนของพระเจ้าได้อยู่ตามที่ต่าง ๆ ในเมืองไกลจากเยรูซาเล็ม กระจัดกระจายไปทั่ว ๆ ตะวันออกกลาง ส่วนมาระโกนั้น ได้รับการดูแล สอนจากท่านเปโตร ด้วย ที่เรียกว่าลูกชายเพราะท่านรักมาก สนิทมาก เหมือนที่ท่านเปาโลสนิทกับทิโมธีนั่นเอง

จงทักทายกันและกันด้วยการจุมพิตจากความรัก ขอสันติสุขมีกับท่านทุกคนที่อยู่ในพระคริสต์
1 เปโตร 5:14

เอเฟซัส 6:23, โรม 16:16, 1:7, 2 โครินธ์ 13:12

ท่านเปโตรกำลังกล่าวถึงการทักทายกันด้วยความรัก ตามแบบวัฒนธรรมของตะวันออกกลาง ถ้าเป็นวัฒนธรรมไทย เราคงบอกว่า จงทักทายกันด้วยการไหว้อย่างนอบน้อม ด้วยความรักต่อกันและกัน ถ้าคิดให้ดี การไหว้นั้นสามารถแสดงออกได้ด้วยว่า คนไหว้รู้สึกอย่างไร รู้สึกปลอม ๆ หรือไหว้ ทักทายด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน คนบางคนสักแต่ไหว้โดยไม่คิดอะไร แต่จากพระคำข้อนี้ เราทักทายด้วยความรัก และในหัวใจก็มีคำอธิษฐานอวยพรให้คน ๆ นั้นด้วยไปพร้อมกันก็ได้ ดีนะ ถ้าต่อไปเราทำอย่างนี้กัน

1 เปโตร 4 รับใช้พระเจ้าในยุคสุดท้าย

ทัศนคติของผู้รับใช้ -ทุ่มเท

ดังนั้น ในเมื่อพระคริสต์ ได้ทนทุกข์เพื่อเราแล้วด้วยพระกายแล้ว ก็ให้ท่านได้ใช้ความคิดอย่างเดียวกันกับพระองค์เป็นอาวุธด้วย เพราะผู้ที่ทนทุกข์ทางกาย ก็จบสิ้นกับบาปแล้ว
1 เปโตร 4:1

กาลาเทีย 5:24, 1 เปโตร 3:18, โคโลสี 3:3-5

Rembrandt 1631

อาวุธที่จะสู้กับบาปก็คือ การที่เราจะไม่หวั่นกับการทนทุกข์ ไม่โวยวาย เมื่อมีสิ่งที่เรารู้สึกเหมือนไม่ยุติธรรมเกิดขึ้น ถ้าเรามีทัศนคติอย่างพระเยซูคริสต์ เราจะไม่ทำบาป การคิดอย่างนั้นเท่ากับเรากำลังตัดความสัมพันธ์กับบาปที่อาจจะเกิดขึ้นในชีวิต ทั้งนี้ ท่านเปโตรกล่าวกับพี่น้องที่กำลังทนทุกข์เพราะความเชื่อ ความคิดแบบนี้เป็นอาวุธสู้บาป!

เพื่อว่าจะไม่ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ในกายนี้ตามตัณหาชั่วของมนุษย์แต่ตามพระประสงค์ของพระเจ้า
1 เปโตร 4:2

ยอห์น 1:13, เอเฟซัส 4:22-24, ทิตัส 3:3-8

มีความคิดอย่างพระเยซูเป็นอาวุธสู้บาป แบบประจำวัน ไม่ใช่นาน ๆ ที เพื่อว่าจะได้ใช้ชีวิตตามพระประสงค์ของพระเจ้าที่ทรงสร้าง และทรงเลือกเรามาให้อยู่ในร่มพระคุณ เราต้องเข้าใจว่า พระเยซูคริสต์ทรงมีคุณค่ามาก สมกับที่เราต้องทนทุกข์เพื่อพระนามเมื่อไรที่เราต้องเลือกระหว่างการทนทุกข์ กับการทำบาป ให้เราเลือกข้างพระเยซูเถอะ ชีวิตของเราเหลือน้อยลง ๆ ทุกวัน 

มีปัญญา

เราได้ใช้เวลาในชีวิตมามากพอแล้วในการทำตามใจอย่างคนนอก นั่นก็คือการปล่อยตัวตามราคะตัณหา ตามใจอยากที่ชั่ว การเมาเหล้า การเลี้ยงอย่างสนุกสุดเหวี่ยง การสำมะเลเทเมา และการไหว้รูปเคารพที่น่าขยะแขยง
1 เปโตร 4:3

เอเฟซัส 5:18, 1 โครินธ์ 6:11, 1 เธสะโลนิกา 4:5

จดหมายที่ท่านเปโตรส่งไป คงจะไปหาพี่น้องคริสเตียนที่เป็นชาวต่างชาติ เพราะท่านกล่าวถึงกิจกรรมบาปที่พวกเขามักจะมีพิธีกรรมที่น่าสะอิดสะเอียนด้วย มีทั้งการดื่ม กิน และทำผิดทางเพศประกอบการไหว้รูปเคารพ

พวกเขาแปลกใจที่เวลานี้
ท่านไม่ได้ใช้ชีวิตเสเพลตามพวกเขา และพวกเขาก็กล่าวร้ายพวกท่าน พวกเขาจะต้องให้การต่อพระองค์ผู้ทรงพร้อมที่จะพิพากษา ทั้งคนเป็นและคนตาย
1 เปโตร 4:4-5

1 เปโตร 2:12, ยูดา 1:10, กิจการ 10:42, โรม 14:9,กาลาเทีย 5:25

เวลาคนไปทำชั่ว ไม่มีใครแปลกใจ แต่เมื่อคนไม่ทำตามสิ่งชั่ว ก็จะมีคนแปลกใจ ทำไมคริสเตียน แปลกไปจากคนอื่น ไม่หลิ่วตาชั่วตามพวกเขา แทนที่พวกเขาจะทำตามสิ่งที่ดีจากชีวิตเรา กลับมาใส่ร้ายเสียอีก สิ่งนี้เกิดขึ้นทุกวัน ! แต่ผู้ที่ถูกใส่ร้ายนั้นต้องเข้าใจว่า พระเจ้าจะไม่ทอดทิ้ง เพราะการพิพากษาของพระเจ้านั้น มีแน่ ๆ พอถึงวันนั้น พวกเขาจะรู้ว่าตนเองโง่เพียงใดที่ใช้ชีวิตเสเพล

ด้วยเหตุนี้ จึงมีการประกาศข่าวประเสริฐ แม้แก่คนที่ตายไปแล้ว
เพื่อถึงแม้ว่าทางร่างกายเขาอาจถูกพิพากษาโดยมนุษย์ แต่เขาอาจจะได้มีชีวิตฝ่ายวิญญาณ ตามพระประสงค์ของพระเจ้า
1 เปโตร 4:6

1 เปโตร 1:12, 3:19, โรม 8:9,13 ,กาลาเทีย 5:25

ข้อความตอนนี้อาจทำให้เรางง คิดว่าเป็นการประกาศให้กับคนที่ตายฝ่ายร่างกายไปแล้ว แต่ข้อนี้มีความหมายว่า เป็นการประกาศให้กับคนที่ตายแล้วฝ่ายวิญญาณ ก็คือคนที่ยังไม่เชื่อพระเจ้านั่นเอง พวกเขามีโอกาสที่จะกลับใจ และใช้ชีวิตตามทางของพระเจ้า ตามน้ำพระทัยของพระองค์ และการกลับใจใหม่นี้ กำลังเกิดขึ้นอยู่ทุกชั่วโมงในโลกเรา เมื่อพระคำของพระเจ้าถูกประกาศไปก็จะมีคนเชื่อ

ใช้เวลาอธิษฐาน

ตอนจบของสิ่งทั้งปวงใกล้เข้ามาแล้ว เพราะฉะนั้น พวกท่าน จงมีสติรู้ตัวรอบคอบ
และเตรียมใจตนเพื่ออธิษฐาน
1 เปโตร 4:7

โรม 13:11, ฮีบรู 9:26, ยากอบ 5:8-9, 1 ยอห์น 2:18

ตอนจบของทุกสิ่งในโลก คือเมื่อพระเยซูเสด็จมา!
ถ้าเราคิดว่าจะไม่มีพรุ่งนี้อีกต่อไป สติของเราก็จะไม่อยู่นิ่ง แต่ตื่นตัว เตรียมพร้อม การอธิษฐานของเราจะไม่เหมือนเดิม ความเร่าร้อนจะเกิดขึ้นเพราะยังมีหลายเรื่องที่เราต้องทูลขอให้พระเจ้าทรงโปรดเมตตาการที่จะรู้ว่าต้องใช้เวลาทำอะไรให้เกิดผลดีต้องมีสติจริง ๆ ปล่อยตามสบายไม่ได้

เหนือสิ่งใด จงรักกันและกันให้มาก เพราะความรักยกโทษบาปได้มากมาย
จงต้อนรับกันและกัน โดยไม่บ่น
1 เปโตร 4:8-9

สุภาษิต 10:12, 17:9, ฮีบรู 13:2, 2 โครินธ์ 9:7, โรม 12:13

รักกันให้มาก ท่านเปโตรหมายถึง “รักกันอย่างแรงกล้า” เป็นความรักที่กระตือรือร้น ที่จะให้ ช่วย เป็นห่วง เป็นใย เป็นรักที่ร้อนแรงโดยไม่มีอะไรแฝง รักอย่างที่พระเยซูทรงรัก แต่ไม่ได้หมายความว่ายอมให้เขาทำบาปไปเรื่อย แต่เป็นการไม่เปิดโปง และหาทางช่วยให้พ้นบาปนั้น การต้อนรับอย่างเต็มใจ เป็นเรื่องที่ผู้เชื่อต้อง ฝึกฝน และหากมีความรัก เราจะมีน้ำใจต้อนรับโดยไม่ยากเย็น

ในเมื่อแต่ละคนได้รับของประทานมา ก็ควรใช้ของประทานนั้น ในการปรนนิบัติกันและกัน ในฐานะเป็นผู้อารักขาพระคุณนานัปการของพระเจ้า
1 เปโตร 4:10

โรม 12:6-8, 1 โครินธ์ 4:1-2, 1 โครินธ์
12:4

ไม่มีใครสักคนที่ขาดของประทานซึ่งสามารถใช้ให้เป็นประโยชน์กับคนอื่น คนเกียจคร้านมีข้ออ้างที่จะไม่ใช้ของประทานนั้น พระเจ้าทรงประสงค์ที่จะให้เราใช้ความสามารถที่มี เพื่อเสริมสร้างกันและกัน การทำเช่นนั้น เท่ากับเราทำหน้าที่ของผู้ดูแลรักษาพระคุณของพระเจ้าในโลกนี้

คนใดจะพูด ก็ให้พูดในฐานะที่เป็นคำมาจากพระเจ้า คนใดจะรับใช้ ก็ให้รับใช้ตามกำลังที่พระเจ้าประทาน เพื่อว่าพระเจ้าจะได้รับพระเกียรติโดยพระเยซูคริสต์ในทุกสิ่ง ขอพระสิริรุ่งโรจน์ และฤทธานุภาพสูงสุด จงมีแด่พระองค์สืบไปเป็นนิตย์ อาเมน
1 เปโตร 4:11

เอเฟซัส 4:29, 5:20, 1 โครินธ์ 4:1-2

เมื่อเรารับใช้ พระเจ้าจะทรงรับพระเกียรติ จากการรับใช้ที่จริงใจ ตามการทรงเรียก ตามของประทานที่พระเจ้าให้เรามา หากทุกคนในพระกายพระคริสต์ ขยัน รักรับใช้ตามของประทานแล้ว ชุมชนนั้นก็จะไม่ขาดสิ่งดี แต่จะเป็นที่น่าชื่นชม เจริญก้าวหน้า เป็นที่ถวายสรรเสริญแด่พระเจ้า

ทัศนคติต่อความทุกข์ที่เข้ามาในชีวิต

เพื่อนที่รัก อย่าแปลกใจกับการทดสอบร้อนแรงที่มาเพื่อทดสอบท่าน มันเป็นเหมือน สิ่งแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นกับท่าน
1 เปโตร 4:12

1 เปโตร 1:6-7, 2 ทิโมธี 3:12

เมื่อมีความทุกข์ใจ ความทุกข์ยาก ปัญหาที่ยากการจนตรอกหาทางออกไม่ได้ หลายคนจะคิดว่า ทำไมเรื่องนี้จึงต้องเกิดกับเราด้วย ไม่น่าเลย อย่าลืมว่า เราอยู่ในโลกที่เต็มด้วยคน คน คน ที่สร้างปัญหา ที่มีปัญหาเยอะไปหมด ยังมีสภาพแวดล้อม อาหารการกิน ความเจ็บป่วย เราต้องไม่แปลกใจ อะไรเกิดกับคนอื่นได้ ก็เกิดกับเราได้เหมือนกัน แต่ที่ไม่เหมือนคือพระเจ้าทรงเห็น ทรงอยู่กับเราที่วางใจพระองค์

แต่จงยินดีว่า ท่านได้มีส่วนในความทุกข์ของพระคริสต์ เพื่อว่าท่านจะได้ยินดีอีกด้วย เมื่อพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์มาปรากฏ
1 เปโตร 4:13

ยากอบ 1:2-3, 2 ทิโมธี 2:12, โรม 8:17

นอกจากไม่ให้แปลกใจที่การทดสอบเกิดขึ้น แต่ท่านเปโตรยังให้เรายินดีว่า ได้มีส่วนในความทุกข์ของพระคริสต์ นี่เป็นความคิดที่ต่างไปจากที่คนในโลกคิดความทุกข์ยากเป็นเรื่องธรรมดาในสายตาของผู้เชื่อ ไม่ใช่เป็นเรื่องที่เขาได้รับการยกเว้น เมื่อเราทนทุกข์ เราก็ได้ยินดี และยิ่งยินดีมากขึ้นเมื่อพระเยซู เสด็จกลับมาด้วยสง่าราศี

หากท่านถูกเยาะเย้ยเนื่องจากพระนามของพระคริสต์ ท่านก็ได้รับพระพร เพราะพระวิญญาณแห่งพระสิริ และองค์พระเจ้าประทับเหนือท่าน
1 เปโตร 4:14

มัทธิว 5:11, ลูกา 6:22, 1 เปโตร 3:14

ท่านเปโตรได้ยินพระเยซูตรัสเช่นนี้ในวันที่พระองค์เทศนาบนภูเขาด้วย มัทธิว 5:1-12 เมื่อพวกเขาจะติเตียน ข่มเหง กล่าวร้ายเจ้า เป็นความเท็จเพราะเรา เจ้าก็เป็นสุขจงชื่นชมยินดี เพราะบำเหน็จของพวกเจ้ามี เต็มบริบูรณ์ในสวรรค์ เพราะพวกเขาได้ข่มเหงผู้เผยพระคำที่อยู่มา ก่อนเจ้าเหมือนกัน

อย่าให้ใครสักคนในหมู่พวกท่าน ทนทุกข์เพราะเป็นฆาตกร หรือขโมย หรือคนทำชั่ว หรือเป็นพวกที่เข้าไปยุ่มย่ามเรื่องของคนอื่น
1 เปโตร 4:15

2 เธสะโลนิกา 3:11, 4:11, 1 ทิโมธี 5:13

หากผู้เชื่อทำผิดต่อคนอื่น หรือทำผิดกฎหมายก็สมควรที่จะได้รับการลงโทษเหมือนคนอื่น ๆ แต่ที่แย่กว่าคือ เขาได้ทำให้พระนามของพระเจ้าเป็นที่เสื่อมเสีย ไม่ใช่ว่าเมื่อทนทุกข์ด้วยสาเหตุที่ตนทำผิด เป็นการทนทุกข์เพื่อพระเจ้า. เราจึงต้องมองให้ดีว่า ปัญหาในชีวิตเกิดจากอะไรเกิดจากความโง่เขลาของตนเองหรือจากการที่ คนอื่นมาข่มเหงพระนาม

แต่หากว่าใครต้องทนทุกข์เพราะเขาเป็นคริสเตียน ก็อย่าให้เขารู้สึกอาย แต่ให้เขาถวายพระสิริแด่พระเจ้า เพราะเขามีพระนามนั้นในชีวิต
1 เปโตร 4:16

1 เปโตร 3:17-18, ฟีลิปปี 1:29

การที่ถูกข่มเหงจากเพื่อนหรือพี่น้องเพราะว่าเราเป็นคริสเตียน เป็นสิ่งที่เราต้องรู้ว่า ไม่ต้องอายเมื่อเกิดเรื่องขึ้น แปลว่า พระนามนั้นมีชีวิตในเราและเหตุการณ์นี้จะกลับทำให้เราได้ถวายพระเกียรติ แด่พระเจ้าอย่างไม่คาดฝัน ในสมัยก่อนเขาเรียก คริสเตียนว่า “ สาวก ผู้เชื่อ ศิษย์พระเยซู คนที่ เป็นของทางนั้น” ต่อมาจึงเรียกว่าคริสเตียน (กิจการ 11:26) หมายถึงคนที่กลับใจ เชื่อ ติดตามพระเยซูอย่างจริง

ท่ามกลางการทนทุกข์..มอบชีวิตแด่พระเจ้า

เพราะถึงเวลาที่การพิพากษาจะต้องเริ่มต้นที่ครอบครัวของพระเจ้า
และหากเริ่มต้นที่เรา ผลการพิพากษาจะเป็นอย่างไรกับคนที่ไม่เชื่อข่าวประเสริฐของพระเจ้า
1 เปโตร 4:17

อิสยาห์ 10:12, ลูกา 10:12, 2 เธสะโลนิกา 1:8

การพิพากษาของพระเจ้านั้น เริ่มต้นที่ผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ เพราะพวกเขาจะต้องเป็นคนที่ได้รับการชำระ และเดินในทางของพระเจ้า พวกเขามีหน้าที่ต่อพระเจ้าและผู้อื่น ต้องกลับใจจริง เชื่อจริง ตัดขาดจากบาปจริง ..

และ “ถ้าคนชอบธรรมเกือบจะไม่รอด แล้วคนอธรรมและคนบาปจะเป็นอย่างไร?”
ดังนั้น ให้ทุกคนที่ทนทุกข์ตามพระประสงค์ของพระเจ้า ฝากจิตวิญญาณของพวกเขาไว้กับ พระผู้สร้างผู้ทรงซื่อตรง และมุ่งทำดีต่อไปเถิด
1 เปโตร 4:18-19

สุภาษิต 11:31, สดุดี 37:5-7, 2 ทิโมธี 1:12

ยังมีความเข้าใจผิดในหมู่ผู้เชื่อว่า เมื่อเรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว เราก็ไ่ม่ต้องทำอะไรอีก ท่านเปโตรกำลังบอกสิ่งที่ตรงข้าม จากที่อ่านมาเราจะเห็นว่า พระเยซูทรงให้ความรอดกับเราโดยที่พระองค์ทรงสละชีวิตของพระองค์เอง เมื่อเรามาหาพระองค์ เราก็ต้องถวายชีวิตหมดสิ้นกับพระองค์เหมือนกัน ความรอดนั้นมีค่าเท่ากับชีวิตของพระเยซู ทุกคนที่จะตามพระเจ้าต้องเอาชนะตนเองแบกกางเขนของตนทุกวันและตามพระองค์ไป