พระเยซูกับยอห์นผู้ให้บัพติศมา
1 หลังจากที่พระเยซูตรัสสิ่งเหล่านี้กับศิษย์ทั้งสิบสองแล้ว พระองค์เสด็จจากที่นั่น และทรงเข้าไปตามเมืองต่าง ๆ ในกาลิลีเพื่อสอนและเทศนา
2 ยอห์นผู้ให้บัพติศมาถูกจำจองในคุก แต่เขาได้ยินว่า พระคริสต์ทรงทำราชกิจใดบ้าง ดังนั้นเขาจึงส่งศิษย์ของเขามาหาพระเยซู 3 พวกเขาถามพระองค์ว่า “พระองค์ทรงเป็นผู้ที่คาดว่าจะมานั้นหรือไม่พระเจ้าข้า หรือเราควรรอคอยผู้อื่น?”
4 พระเยซูตรัสตอบพวกเขาว่า “จงกลับไปรายงานท่านยอห์นถึงสิ่งที่เจ้าได้ยินและได้เห็น
5 คนตาบอดเห็นได้ คนง่อยเดินได้ และคนโรคเรื้อนรับการรักษาให้สะอาด คนหูหนวกกลับได้ยิน คนตายฟื้นคืนชีวิตขึ้นมา และข่าวประเสริฐก็ได้ประกาศให้กับคนยากจน (นี่เป็นข้อพิสูจน์ถึงสิทธิอำนาจของพระเยซู)
(อิสยาห์ 29:18-19; 35:5-6; 61:1-2)
6 คนที่ไม่สะดุดจากความเชื่อเพราะเราก็เป็นสุข”
7 ขณะที่ศิษย์ของยอห์นกำลังจากไป พระเยซูทรงพูดถึง
ยอห์นว่า “พวกเจ้าออกไปดูอะไรในถิ่นกันดารหรือ?
ดูต้นอ้อลู่ลมหรือ?
8 เจ้าออกไปดูอะไรกันเล่า? ชายคนหนึ่งที่สวมเสื้อราคาแพงอย่างนั้นหรือ? ไม่สิ คนที่สวมเสื้อราคาแพงก็อยู่ในราชวัง
9 ถ้าอย่างนั้นเจ้าออกไปทำไม? เพื่อไปดูผู้เผยพระดำรัสอย่างนั้นใช่ไหม? ใช่แล้ว เราขอบอกเจ้าว่า ท่านยอห์นเป็นยิ่งกว่าผู้เผยพระดำรัส
10 มีข้อเขียนถึงท่านว่า ‘ดูสิ เราจะส่งผู้สื่อสารของเรามาก่อนหน้าท่าน เขาจะเตรียมทางไว้ล่วงหน้า’ (มาลาคี 3:1; 4:5-6)

11 เราบอกความจริงแก่เจ้าว่า ท่านยอห์นผู้ให้บัพติศมานั้นยิ่งใหญ่กว่าใคร ๆ ที่เกิดมาจากสตรี แต่คนที่ต่ำต้อยที่สุดในแผ่นดินสวรรค์ก็ยังยิ่งใหญ่กว่าท่าน
12 ตั้งแต่สมัยท่านยอห์นผู้ให้บัพติศมาจนถึงวันนี้ แผ่นดินสวรรค์กำลังดำเนินไปอย่างเข้มแข็ง (หรือถูกโจมตีอย่างรุนแรง) และมีคนที่ใช้ความรุนแรงพยายามที่เข้ายึดแผ่นดินนั้น 11:12 หรืออาณาจักรสวรรค์กำลังรุดหน้าไปอย่างแข็งขัน และผู้ที่แข็งขันก็ฉวยไว้ได้
13 เพราะหนังสือของผู้เผยพระดำรัส และบัญญัติของโมเสสได้กล่าวถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นจนกระทั่งท่านยอห์นเข้ามา
14 และหากเจ้าจะเชื่อสิ่งที่พวกเขากล่าว เจ้าก็จะเชื่อว่าท่านยอห์นนี่แหละคือเอลียาห์ที่พวกเขากล่าวว่าจะมา
15 คนใดมีหูที่จะฟังก็จงฟังเถิด
คำเปรียบเรื่องความเห็นของคน
16 “เราจะเปรียบเทียบคนในเวลาช่วงนี้กับสิ่งใดดี? พวกเขาเป็นเหมือนอะไรหรือ? พวกเขาเป็นเหมือนเด็ก ๆ ที่นั่งในตลาด และร้องบอกกันและกันว่า
17 เราเล่นดนตรีให้ แต่พวกเธอก็ไม่เต้นรำ เราร้องเพลงเศร้า พวกเธอก็ไม่โศกเศร้า
18 เพราะท่านยอห์นมา และไม่กินดื่มเหมือนคนอื่น ๆ ผู้คนก็ว่าท่านมีผีสิง
19 พอบุตรมนุษย์มา ทั้งกินและดื่ม พวกเขาก็ว่า ‘ดูสิ เป็นคนตะกละด้วย เป็นคนขี้เมาด้วย และยังคบหากับคนเก็บภาษีและคนบาป แต่การทำเช่นนี้ พระปัญญาก็พิสูจน์ว่านี่เป็นทางที่ถูกต้อง’

พระเยซูทรงเตือนคนที่ไม่กลับใจ
20 แล้วพระเยซูทรงเริ่มกล่าวโทษเมืองต่าง ๆที่ทรงทำการอัศจรรย์ส่วนใหญ่ แต่พวกเขาก็ไม่ยอมกลับใจ ไม่หยุดทำบาป
21 พระองค์ตรัสว่า “วิบัติแก่เจ้า เมืองโคราซิน วิบัติแก่เจ้าเมืองเบธไซดา หากการอัศจรรย์ทั้งหลายที่เราได้ทำต่อเจ้าเกิดขึ้นในเมืองไทระ และเมืองไซดอน พวกเขาคงจะกลับใจนานแล้ว พวกเขาคงจะนุ่งห่มผ้ากระสอบ และนั่งปาขี้เถ้าใส่ตัวเองเพื่อบอกว่า พวกเขากลับใจ
22 แต่เราขอบอกเจ้าว่า ในวันพิพากษา โทษของเมืองไทระ และไซดอนจะเบากว่าโทษของเจ้า
23 และเจ้า เมืองคาเปอรนาอุม เจ้าจะถูกยกขึ้นถึงฟ้าสวรรค์หรือ ไม่เลย .. เจ้าจะต้องลงไปในแดนคนตาย หากการอัศจรรย์ที่เราทำในเมืองของเจ้า ได้ทำที่เมืองโสโดม เมืองนั้นคงได้อยู่จนถึงวันนี้

24 เราขอบอกเจ้าว่า ในวันพิพากษาโทษของเมืองโสโดมจะเบากว่าโทษของเจ้า
พระเยซูประทาน
การบรรเทาจากความเหนื่อยล้า
25 ในเวลานั้น พระเยซูตรัสว่า “โอ พระบิดาผู้ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์และโลก ข้าพเจ้า เพราะพระองค์ทรงซ่อนสิ่งเหล่านี้จากคนที่ฉลาด มีปัญญา แต่พระองค์ทรงเปิดเผยให้กับเหล่าเด็กเล็ก
26 ใช่แล้ว พระบิดาเจ้าข้า
เพราะพระองค์ทรงพอพระทัยเช่นนั้น!
27 พระบิดาของเราทรงมอบสิ่งทั้งปวงนี้ให้แก่เรา ไม่มีใครรู้จักพระบุตรนอกจากพระบิดา และไม่มีใครรู้จักพระบิดานอกจากพระบุตร และ คนที่พระบุตรทรงเลือกที่จะเปิดเผยให้รู้ถึงพระองค์

28 “คนใดที่เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาหาเรา และเราจะให้เจ้าได้พักสงบ
29 จงรับแอกของเราไว้ (คำสอนของเรา) และเรียนจากเรา เพราะว่าเราอ่อนสุภาพ และใจถ่อม และเจ้าจะได้รับการพักผ่อนสำหรับชีวิตของเจ้า (เยเรมีย์ 6:6)
30 เพราะแอกของเรานั้นพอเหมาะ และภาระของเราก็เบา
อธิบายเพิ่มเติม
พระเยซูกับยอห์นผู้ให้บัพติศมา
11:1-3 ขณะที่พระเยซูทรงไปตามเมืองต่าง ๆ ในกาลิลีเพื่อสอน และเทศนานั้น เหล่าศิษย์ก็เดินทางไปในกาลิลีเช่นกัน แสดงว่า ตอนนี้อาณาจักรของพระเจ้าถูกประกาศออกไปอย่างเข้มข้น ผู้คนได้ยินคำที่เชิญให้กลับใจใหม่ และเวลานั้นเอง ยอห์นซึ่งถูกเฮโรดจำจองไว้ (น่าจะอยู่ในเยรูซาเล็ม) ก็ได้ข่าวเรื่องพระเยซูจากหลาย ๆ คน ยอห์นจึงส่งศิษย์มาถามพระเยซูตรง ๆ ว่าทรงเป็นพระเมสสิยาห์ใช่หรือไม่ หรือจะต้องรออีก ทั้ง ๆ ที่ยอห์นเองได้ประกาศว่า พระเมสสิยาห์จะเป็นผู้ที่นำไฟมาเผาผลาญ แต่เมื่อได้ยินข่าวว่าทรงแค่สอน เทศนา รักษาโรค เขาก็เกิดลังเล
11:4-6 พระเยซูทรงเข้าใจเขาดี และสั่งให้ศิษย์รายงานทุกอย่างที่เกิดขึ้นตรงกับที่มีพระดำรัสผ่านอิสยาห์ (อิสยาห์ 29:18-19; 35:5-6; 61:1-2) และคำตรัสที่ว่า “คนที่ไม่สะดุดจากความเชื่อเพราะเราก็เป็นสุข” พระองค์ทรงอวยพระพรยอห์นที่ยังคงยืนหยัดในความเชื่อแม้กำลังถูกคุมขัง กำลังทนทุกข์
11:7-8 คำว่า “ต้นอ้อลู่ลม” หมายถึงคนที่มีความคิดเห็นความเชื่อ โอนเอนไปตามความคิดของสังคม หรือตามคำชักชวนของคนอื่น (ดูตัวอย่าง 1 พงศ์กษัตริย์ 13:11-24) และยอห์นไม่ได้หลงตามความคิดหรือพูดในสิ่งที่เฮโรดอยากจะฟัง เขาพูดพระดำรัสของพระเจ้าแก่เฮโรด ซึ่งทำให้เขาต้องถูกจำจอง
11:9 พระเยซูทรงให้เกียรติยอห์นเป็นอย่างยิ่ง พระเยซูตรัสเพิ่มเติมว่า ท่านเป็นผู้สื่อสารจากพระเจ้ามาเตรียมทางล่วงหน้า มาเตรียมใจให้ผู้คนได้รับพระเยซูคริสต์ ( อิสยาห์ 40:3 )
11:10 อย่าลืมว่า พระเจ้าไม่ได้ตรัสผ่านผู้เผยพระดำรัสอย่างยอห์นนี้มานานถึง 400 ปี ผู้คนจึงตื่นเต้นที่จะได้ยินคนที่เป็นเหมือนเอลียาห์ พระเยซูตรัสชัดเจนว่า ยอห์นเป็นคนที่มาลาคีกล่าวถึง
11:11 และที่ยอห์นยิ่งใหญ่กว่าใคร ๆ ในโลกเป็นเพราะเขาเป็นผู้เตรียมทางให้พระบุตรของพระเจ้าที่เสด็จมา เขาเป็นคนที่ผู้เผยพระดำรัสกล่าวถึง เป็นผู้เผยพระดำรัสคนเดียวที่ได้รับเกียรตินี้ ยอห์นเป็นคนที่ชี้ให้คนอื่นได้เห็นว่า พระเยซูคือใคร.. (ยอห์น 1:19; 26-27; 3:25-30)
เป็นคนเดียวที่เข้าใจว่า พระเยซูองค์นี้ เป็นพระเมสสิยาห์แท้
David Guzig จาก EnduringWordให้ความเห็นว่า ยอห์นเป็นคนในยุคพันธสัญญาเดิม เขาสิ้นชีวิตก่อนการสิ้นพระชนม์ และการคืนพระชนม์ของพระเยซู (พันธสัญญาใหม่) เขาจึงไม่ได้รับผลประโยชน์ดี ๆ จาก พันธสัญญาใหม่ (พระเยซูตรัสถึงโลหิตแห่งพันธสัญญาใหม่ ใน 1 โครินธ์ 11:25 และพันธสัญญาใหม่นั้น ไม่มีข้อบกพร่องเหมือนพันธสัญญาเดิม อ่านฮีบรู 8:6-13) ส่วน Spurgeon ได้สรุปให้ว่า แม้ยอห์นเป็นคนที่ใหญ่สุดใต้พันธสัญญาเดิม แต่ก็กลายเป็นคนที่เล็กน้อยที่สุดใต้พันธสัญญาใหม่
นั่นคือ คนที่เล็กน้อยที่สุดใต้ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ยังมีฐานะเหนือคนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดภายใต้กฎบัญัติ!
สงครามที่ยึดเยื้อ
11:12 ข้อนี้มีความหมายได้ว่า ผู้ที่จะเข้าไปในแผ่นดินสวรรค์ได้ก็ต้องใช้ความพยายามอย่างมาก นั่นคือ แผ่นดินของพระเจ้ากำลังก้าวหน้าอย่างเข้มแข็ง แต่ยังมีอุปสรรคอีกมากมายขวางอยู่ การที่มีคนต่อต้านพระเยซูมากนั้น บอกให้รู้ว่า อย่างไร แผ่นดินสวรรค์ก็ถูกต่อต้านอย่างรุนแรงอยู่แล้ว (ซึ่งก็เกิดขึ้นในทุกยุคทุกสมัยมาจนปัจจุบัน) เราจึงพบคนที่ถูกต่อต้านจากครอบครัว สังคมที่เขาอยู่ หรือจากมารโดยตรงเมื่อเขาเข้ามาหาพระเจ้า
ในยุคของพระเยซูนั้น การต่อต้าน ความรุนแรงที่เห็นชัดคือ ยอห์นถูกจำจองและถูกฆ่า พระเยซูถูกจับและประหาร
11:13-15 แผ่นดินสวรรค์มีศัตรูอยู่มาตั้งแต่ต้น แต่เมื่อแผ่นดินสวรรค์จะเข้ามาตั้งในโลกนี้ โดยมีพระบุตรของพระเจ้าเป็นผู้ครอง ศัตรูก็โกรธจัด ไม่ยอม ถ้าเรามองดูในประวัติศาสตร์อิสราเอล ก็จะเห็นว่า มีการต่อสู้ระหว่างสองแผ่นดินแห่งความสว่างและความมืดมาโดยตลอด มีการพยากรณ์ถึงท่านยอห์นมาก่อนเช่น อิสยาห์ 40:3 มาลาคี 3:1 ส่วน มาลาคี 4:5-6 พระเจ้าจะทรงส่งคนอย่างเอลียาห์มาก่อนวันของพระเจ้า พระเยซูทรงย้ำว่า ยอห์นเป็นคนที่ผู้เผยพระดำรัสทั้งหลายได้กล่าวถึงในชื่อของเอลียาห์
11:15. เป็นข้อความที่บอกให้รู้ว่า สิ่งที่พระเยซูตรัสนั้นสำคัญมาก
คำเปรียบเรื่องความเห็นของคน
11:16-17 คนในยุคนี้ คือ เหล่าคนยิวที่พระเยซูทรงประกาศแผ่นดินของพระเจ้าให้ฟังแต่ไม่ยอมรับพระองค์ พระองค์ทรงใช้ปฏิกริยาของเด็ก ๆ ที่เล่นดนตรีสนุกสนาน หรือร้องเพลงเศร้า แต่ก็ไม่มีใครตอบสนองต่อสิ่งนั้น เมื่อพระเยซูตรัสสิ่งใดก็น่าจะมีปฏิกริยาตอบโต้มาในทางที่ดีบ้าง แต่พวกเขาไม่ยอมรับพระเยซูเลย แถมยังจับผิดทุกเรื่อง พวกเขาคิดว่าผู้ที่เป็นพระเมสสิยาห์ต้องอยู่ในกรอบที่เขาวางไว้ แผ่นดินสวรรค์ของพวกเขาแตกต่างจากที่พระองค์ทรงสอน
11:18-19 ยอห์นถูกกล่าวหาว่า เป็นคนผีสิงเพราะทำตัวแปลกไปจากคนอื่น แต่พระเยซูกลับถูกกล่าวหาว่าเป็นคนขี้เมา คบคนบาป ตะกละ … ทั้งยอห์นและพระเยซูไม่ได้เป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าแบบที่พวกเขาต้องการ แต่พระปัญญา(คือพระเจ้าเอง)ทรงพอพระทัยกับชีวิตของทั้งยอห์นและพระเยซู
พระเยซูทรงเตือนคนที่ไม่กลับใจ
11:20 พระเยซูทรงไปที่เมืองหลายแห่ง และทรงทำการอัศจรรย์ รักษาโรคให้ประชาชน มีบางเมืองนั้นกลับใจ เมืองในสะมาเรียที่พระเยซูทรงนั่งริมบ่อน้ำก็กลับใจทั้งที่พระองค์ไม่ได้ทำการอัศจรรย์เลย แต่คนในเมืองโคราซิน เบธไซดา ไม่ได้กลับใจทั้งที่เห็นการอัศจรรย์หลายอย่าง พวกเขาไม่ได้ต่อสู้พระองค์ เพียงแต่ไม่เชื่อ ไม่ยอมกลับใจจากบาป นี่ก็เป็นเหตุให้พระเยซูทรงพิโรธ
11:21-22 พระเยซูทรงใช้คำว่าวิบัติ แก่พวกเขา ความหมายคือทั้งทรงกล่าวโทษ ทั้งทรงสมเพชพวกเขา คำว่าวิบัตินี้ ใช้ในพระคัมภีร์เดิมหลายต่อหลายครั้ง เมืองทั้งสองอยู่ทางเหนือของอิสราเอล ส่วนไทระและไซดอนอยู่ริมทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ทางเหนือเช่นเดียวกัน
พระเจ้าทรงทราบว่า หากมีการประกาศในเมืองไทระและไซดอนนี้ พวกเขาก็จะกลับใจเหมือนกับตอนที่นีนะเวห์กลับใจเพราะการประกาศของโยนาห์ การที่พวกเขาซึ่งเป็นยิว ได้รับการเยี่ยมเยียนจากพระเจ้า แต่ไม่เกิดการกลับใจนี้เป็นสิ่งที่น่าเสียดายเป็นที่สุด ที่น่าสังเกตคือ เราจะเห็นจากคำตรัสของพระเยซูตอนนี้ชัดว่า ในการพิพากษานั้น มีระดับของการลงโทษด้วย!
11:25-26 สิ่งที่น่าแปลก ที่แตกต่างจากความคิดของคนทั้งโลกคือ พระเจ้าทรงเปิดเผยพระองค์เองกับเด็กเล็ก ในที่นี้คือคนที่ถ่อมตน คนที่ยอมสยบต่อพระองค์ พระดำริของพระเจ้า พระกิตติคุณถูกปิดบังไว้จากคนที่เก่งด้วยเอง ฉลาดในสายตาของตนเอง คนที่คิดว่าตัวเองดี เป็นคนใจบุญ เมตตา มีทรัพย์มาก เป็นคนไม่ต้องการความช่วยเหลือ คนที่มีศีลธรรมของตนเอง มันเป็นความเย่อหยิ่งที่ซ่อนไว้ใต้ความรู้สักว่าตัวเองเป็นคนดี คนเหล่านี้มีความดีของตัวเองเป็นม่านบังตา ไม่ให้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า
คนที่รู้ตัวว่าเดินทางผิด รู้ตัวว่าต้องมีผู้ช่วยเหลือ คน ๆ นั้นจะได้พบพระเจ้าง่ายกว่าคนที่เข้าใจว่าตัวเองเป็นคนดี
ในพระคัมภีร์บอกชัดเจนว่า ความเย่อหยิ่งยโส มาก่อนการล้มลง คนที่จะมาหาพระเจ้าได้นั้น ต้องถ่อมใจลงก่อน ยอมกับพระองค์ แล้วจะได้รับสิ่งประเสริฐ ที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้ให้มากมาย
11:27 พระเจ้าทรงมอบสิ่งทั้งปวงให้พระเยซูแล้ว พระองค์ผู้ทรงเป็นเจ้าแห่งจักรวาล
ถึงตรงนี้ อย่างพวกเราจะทราบไหมว่า พระเจ้าประทานอะไรให้พระเยซูบ้าง… เรื่องนี้เกินความเข้าใจ อาจรู้บ้างอย่างที่พระเยซูตรัสในมัทธิว 28 ว่า ฤทธานุภาพทั้งสิ้นในโลกและสวรรค์ทรงมอบให้พระองค์แล้ว พระองค์ยังทรงเป็นพระผู้เลี้ยง ทรงเป็นน้ำและอาหารแห่งชีวิต ทรงเป็นทางเดียวที่จะไปหาพระบิดาได้ ทรงเป็นความจริง ทรงเป็นองค์อิมมานูเอล พระเจ้าที่สถิตกับเรา พระองค์ยังทรงเป็นอะไรอีกหลายอย่างมากมาย เราต้องค้นดู แล้วจะรู้ว่า … ทรงเป็นทุกสิ่งของชีวิตเราจริง ๆ
11:28-30 แล้วคนที่พระเจ้าทรงเลือกที่จะเปิดเผยให้รู้จักพระองค์ คือคนที่เหน็ดเหนื่อย แบกภาระหนัก ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องใดก็ตาม เราต่างมีภาระหนักในชีวิตที่แตกต่างกัน พระเจ้าไม่ได้ทรงบอกให้เราไปสู้ วิ่งไปแถวหน้า แต่ทรงชวนให้มาหาและพักสงบในพระองค์ก่อน จะมีใครเห็นใจคนที่เหน็ดเหนื่อย แบกภาระหนักอย่างไรพระองค์?
พระองค์ไม่ได้เชิญคนที่รู้สึก มีคุณค่าในตัวเอง แต่ทรงเชิญคนที่มีความรู้สึกตรงกันข้าม
โลกเราไม่ได้มีความเชี่ยวชาญในการพัก มีแต่การพุ่งไปข้างหน้า รีบด่วน อยู่ตลอดเวลา แต่แล้วพระเยซูกลับชวนให้คนได้เข้ามาพัก รับแอกของพระองค์ เรียนจากพระองค์ นี่หมายความว่าอย่างไร นี่คือการหันเข้ามาหาพระองค์เหมือนอย่างเด็ก ๆ เข้ามาเรียนรู้จากพระองค์ พัก รับแอกจากพระองค์ เป็นการรับแอกที่มีพระองค์ช่วยแบก ไม่ต้องแบกคนเดียว
แล้วเราก็มาพบว่า พระเยซูทรงบอกว่าทรงอ่อนโยนและถ่อมสุภาพในพระทัยของพระองค์ ผู้คนที่เข้ามาหาพระองค์ จึงไม่ได้เจอเจ้านายที่โหดร้าย ให้เราทำสิ่งที่เกินตัวแต่มาหาพระองค์ผู้ทรงปลอบใจ
ทรงย้ำเตือนว่า แอกที่พระองค์ทรงเสนอให้แบกนั้นเป็นแอกที่ง่าย และเบา (ทั้ง ๆ ที่การติดตามพระองค์อาจจะยากกว่าที่คิด) แต่เราคิดดูว่า แอกที่ศาสนาทั้งหลายโถมทับมาให้มนุษย์นั้นยากกว่ามากมาย ตัวอย่าง.. การหลุดพ้นจากบาปนั้น ก็ไม่แน่นอนด้วยว่า ทำไปแล้วจะได้ผลอย่างที่คิดหรือเปล่า ต้องทำสารพัดอย่างเพื่อให้เป็นคนดี ต้องทำตามพิธีกรรมต่าง ๆ ต้องเชื่อฟังผู้นำที่เราไม่รู้เลยว่า จริง ๆ แล้วเขาเป็นตัวปลอมหรือตัวจริง
คนใดที่อยู่ในพระคริสต์ พระองค์ทรงสร้างเขาขึ้นใหม่ (2 โครินธ์ 5:17-18) เขาจะได้รับรักมั่นคงใหม่ทุกเวลาเช้า (เพลงคร่ำครวญ 3:22-23) สิ่งที่เราทำได้คือ เข้ามาใกล้พระองค์มากขึ้นทุกวัน ทุกคนที่เข้ามาใกล้พระองค์จะไม่ถูกสลัดออกไป (ยอห์น 6:37)
พระคำเชื่อมโยง
มัทธิว 11
1* ลูกา 23:5
2* ลูกา 7:18-35; มัทธิว 4:12; 14:3
3* ยอห์น 6:14
5* อิสยาห์ 29:18
7* ลูกา 7:24; เอเฟซัส 4:14
9* ลูกา 1:76; 20:6
10* มาลาคี 3:1
12* ลูกา 16:16
13* มาลาคี 4:4-6
14* ลูกา 1:17
15* ลูกา 8:8
16* ลูกา 7:31
19* มัทธิว 9:10; ลูกา 7:35
20* ลูกา 10:13-15, 18
21* ยอห์น 3:6-8
22* มัทธิว 10:15; 11:24
23* อิสยาห์ 14:13
24* มัทธิว 10:15
25* ลูกา 10:21-22; สดุดี 8:2 ; มัทธิว 16:17
27* มัทธิว 28:18; ยอห์น 10:15
28* ยอห์น 6:35-37
29* ฟีลิปปี 2:5; เศคาริยาห์ 9:9; เยเรมีย์ 6:16
30* 1 ยอห์น 5:3