สดุดี 23 องค์พระผู้เลี้ยงดู

ภาพ Shepherd and Sheepวาดโดย Anton Mauve 1838-1888

สดุดีของดาวิด 23

พระเจ้าผู้ทรงนำทาง -ทุกวัน

1 พระยาห์เวห์ทรงเป็นผู้เลี้ยงดูข้า ข้าจึงไม่ขาดสิ่งใด
2 พระองค์ทรงทำให้ข้านอนลงบนทุ่งหญ้าเขียวชอุ่ม
พระองค์ทรงนำข้าไปยังริมธารน้ำสงบ
3 พระองค์ทรงรื้อฟื้นกำลังจิตใจของข้าให้กลับคืนมา
ทรงนำข้าไปตามทางที่เที่ยงธรรม 
เพื่อเห็นแก่พระนามของพระองค์

พระเจ้าผู้ทรงปกป้อง-ยามยาก

4 ถึงแม้ข้าจะต้องเดินผ่านหุบเขาเงาความตาย
ข้าก็ไม่กลัวสิ่งชั่วร้ายใด ๆ
เพราะพระองค์ทรงยืนอยู่กับข้า
ไม้กระบองและไม้เท้าของพระองค์ทำให้ข้าอบอุ่นใจ

พระเจ้าผู้ทรงจัดเตรียม-วันนี้และอนาคต

5 พระองค์ทรงจัดเตรียมงานเลี้ยงต่อหน้าข้า
ต่อหน้าต่อตาศัตรูทั้งหลาย
พระองค์ทรงเจิมศีรษะของข้าด้วยน้ำมัน 
จอกน้ำของข้าเต็มล้น
6 แน่นอน ที่ความดีและความรักมั่นคงของพระองค์
จะตามติดข้าไปตลอดชีวิตของข้า
และข้าจะอาศัยในพระนิเวศของพระยาห์เวห์เป็นนิตย์

พระคัมภีร์อ้างอิง


1. สดุดี 78:52, 80:1, อิสยาห์ 40:11,
เอเสเคียล 34:11, 12, ยอห์น 10:11,
1 เปโตร 2:25, วิวรณ์ 7:16,17,สดุดี 34:9-10,
ฟีลิปปี 4:19,2

2.สดุดี 65:11-13, เอเสเคียล 34:14, วิวรณ์ 7:173

3. สดุดี 5:8, 31:3, สดุดี 8:204

4.โยบ 3:5, 10:21,22, 24:17, สดุดี 44:19, 3:6,27:1,16:8, อิสยาห์ 43:25

5.สดุดี 104:15, 92:10, ลูกา 7:466

6.สดุดี 27:4, 103:17, 2 ทิโมธี 4:18,

อธิบายเพิ่มเติม

ข้อ 1 ใครเลี้ยงดูผู้เขียน? สิ่งที่เกิดขึ้นจากนั้น พระเจ้าทรงเลี้ยงดูราวกับผู้เลี้ยงแกะ เป็นการดูแลที่ใกล้ชิดมาก ปกป้อง นำทาง หาอาหารให้ ทั้งเขาและพระองค์สนิทสนมกัน ไม่ได้ห่างกันเลย ผู้เลี้ยงที่ดีจะสละชีวิตเพื่อฝูงแกะ (ยอห์น 10:11)กษัตริย์ดาวิดรู้สึกว่าท่านเองเป็นแกะของพระเจ้า และภาพนี้เป็นภาพที่คุ้นชินของคนอิสราเอล พวกเขาเป็นฝูงแกะของพระองค์เราจะเข้าใจความสัมพันธ์ของผู้เลี้ยงและแกะได้ชัดจากข้อพระคัมภีร์อ้างอิงด้านบน

ข้อ 2-3 ผู้เขียนได้รับอะไรจากพระเจ้า? พระเจ้าทรงให้ความสดชื่นพระเจ้าทรงให้ความสงบสุขพระเจ้าทรงคืนกำลังให้เขา พระเจ้าทรงนำเขาไปตามทางที่เที่ยงธรรมเราอยู่ในโลกที่เหน็ดเหนื่อย ยากเข็ญ จิตใจของเราอ่อนล้าเราจึงต้องการพระผู้ทรงเลี้ยงดูผู้นี้เป็นอย่างยิ่ง
เจ้าแกะนั้นมักนอนสบาย ๆ ไม่ได้ มันต้องไม่กลัว ต้องมีเพื่อน ต้องอิ่มต้องไม่มีพยาธิหรือสัตว์ตัวเล็ก ๆ มากวนมัน มันจึงจะนอนลงได้อย่างสบายใจ ผู้เลี้ยงจึงต้องจัดการให้สิ่งที่รบกวนหมดไปแล้วมันก็จะนอนได้ เมื่ออ่านพระคำข้อนี้เรารู้สึกสบายใจ สดชื่นได้พักผ่อนอย่างจริงจัง และผู้เลี้ยงทำให้แกะอย่างดี นำพวกมันไปในทางที่ดี เพราะว่าชื่อเสียงของท่านนั้น เป็นประกันอยู่ ท่านมีชื่อเสียงดี ท่านทำงานนี้ได้ดีเยี่ยม

ข้อ4 สิ่งชั่วร้ายรอบข้างเขา ถึงจะมี แต่พระองค์ทรงทำอะไร? ถึงจะเดินในเงามืดของชีวิต พระเจ้าทรงยืนอยู่พระองค์ทรงมีอาวุธที่จะช่วยต่อต้านศัตรู และช่วยกู้เขาจากอันตราย เมื่อแกะถูกศัตรูรุมล้อม เมื่อมันหวาดหวั่นในสถานการณ์รอบข้าง มันยังไว้ใจได้เพราะผู้เลี้ยงยืนมั่นอยู่ข้าง ๆ พร้อมที่จะสู้ปกป้องมันไว้ เวลาผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเผชิญกับความตาย พวกเขาจะไม่กลัว เพราะเขารู้ว่าจะได้พบพระองค์แม้จะต้องตายจากโลกนี้

ข้อ 5 พระเจ้าทรงทำอะไรให้เขาบ้าง?พระองค์ทรงต้อนรับเขาให้ศัตรูได้เห็น นี่เป็นการมอบสิ่งดีให้อย่างล้นเหลือ ทรงเจิมด้วยน้ำมัน บ่งบอกความโปรดปรานพระองค์เติมน้ำในจอกมากมายเกินพอ. แม้มีศัตรู แม้อยู่ตรงหน้า พวกเขาก็จะเห็นความโปรดปรานของพระเจ้าที่มีต่อคนของพระองค์ การได้กินอาหารกับพระองค์แสดงว่าทั้งสองฝ่ายมีไมตรีมีความไว้เนื้อเชื่อใจกัน เมื่อพระเจ้าทรงเจิมด้วยน้ำมัน คนที่ได้รับจะสดชื่นยิ่งนัก น้ำที่พระเจ้าทรงเทให้ พระองค์ไม่ให้น้อย ๆ แต่พระพรนั้นล้นเหลือ

ข้อ 6 อะไรจะเกิดขึ้นชั่วชีวิตของเขา? ทั้งความดีและความรักมั่นคงจะไล่ตามชีวิตไปเขาจะได้อาศัยในพระนิเวศน์ของพระเจ้านิรันดร์เราอาจกล่าวได้ว่า ทั้งพระเมตตาและพระคุณของพระเจ้าจะติดตามเราไปตลอดชีวิต และนี่เป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ น่าชื่นใจยิ่งนักมีอะไรที่ดีไปกว่านี้หรือ?

บรรณานุกรม

กิจการ 2 กำเนิดคริสตจักร

พระวิญญาณเสด็จลงมาตามพระสัญญา

คำอธิบายจากท่านเปโตร

เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับพระเยซูโดยตรง

คำเชิญให้เชื่อพระเยซูคริสต์

ชีวิตของคริสตจักรแรก

คำอธิบายเพิ่มเติมและพระคำอ้างอิง กิจการ 2

ยอห์น 9 อธิบายเพิ่มเติม และพระคำเชื่อมโยง

ชายตาบอดกลายเป็นชายตาดี

ยอห์น 9:1-3
ขณะที่พระเยซูเสด็จไปตามทาง ซึ่งไม่ไกลจากพระวิหาร พระองค์น่าจะเพิ่งออกมาจากการสนทนาที่ร้อนแรงก็ไปพบคนตาบอดแต่เกิดคนหนึ่ง ศิษย์ของพระองค์ก็ถามสิ่งที่คาใจคือ “ทำไมเขาตาบอดใครเป็นคนทำบาปจนกระทั่งเขาจึงตาบอด?” (เป็นความคิดแบบยิว ในพระคัมภีร์เดิมมีว่าบางครั้งบาปนำมาซึ่งการลงโทษจากพระเจ้า อพยพ 20:5, 34:7) ชายคนนี้ตาบอด ยิวคนไหนย่อมคิดว่าเขาทำบาปอยู่แล้ว หลายคนก็ตั้งคำถามคล้าย ๆ กันเช่นนี้ เราคิดว่าสิ่งไม่ดีเกิดจากผล ของบาปไปเสียทุกเรื่อง 
แต่คำตอบของพระเยซู เป็นคำตอบที่ไม่ใช่มุมมองของมนุษย์ “เพื่อว่า ราชกิจของพระเจ้าจะปรากฏขึ้นจากตัวเขา”…. นี่ทำให้เราต้องมองหลายเหตุการณ์ในชีวิตของเราใหม่ว่า สิ่งที่เราดูว่าเป็นร้ายนั้น อาจจะเป็นเหตุที่ทำให้ราชกิจของพระเจ้าปรากฏชัดมากกว่าที่เราคิดก็เป็นได้
2**. ลูกา 13:2, ยอห์น 9:34, กิจการ 28:4 3
3** ยอห์น 11:4, โยบ 42:7ยอห์น 4:34, 5:19,36, 17:4, 11:9,10, 12:35, กาลาเทีย 6:10

ยอห์น 9:4-6 ก
ความสว่างของพระเยซู ได้เข้ามาในโลกมืดของชายตาบอด ตลอดเวลาสามสิบปีก่อนหน้านี้
พระเยซูไม่ได้ทรงทำการอัศจรรย์ใด ๆ แต่เมื่อพระองค์เริ่มราชกิจของพระเจ้า การอัศจรรย์ก็เกิดขึ้นมากมายในหมู่ผู้คน เป็นการอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นแทบทุกวัน เป็นหมายสำคัญที่ทำให้รู้ว่า พระองค์คือพระเมสสิยาห์ ตามคำเผยของอิสยาห์ ในอิสยาห์ 42:7 และยังมีการอัศจรรย์ที่ไม่ได้บันทึกไว้อีกมากมาย พระเยซูตรัสชัดเจนว่า ทรงเป็นความสว่างของโลก มีนัยส่งไปถึงชายที่กำลังอยู่ในโลกมืดสนิทตั้งแต่เกิด ตรัสแล้วก็ทรงลงมือทันที..
5** ยอห์น 1:5,9 , 3:19, 8:12, 12:35, 46
6** มาระโก 7:33, 8:23

ยอห์น 9:6ข-8 
ชายตาบอดที่นั่งขอทานอยู่ ไม่รู้เรื่องอะไร ไม่รู้ว่ามีพระเมสสิยาห์มาอยู่ใกล้ ๆ เขาช่วยตัวเองไม่ได้
อยู่ดี ๆ ก็มีใครคนหนึ่งเอาโคลนมาทาตา ชายตาบอดก็ร่วมมือกับท่านที่มาสั่งทันทีด้วย เขาไม่ต่อล้อต่อเถียง ไม่ยื้อ ไม่ออกความเห็นใดๆ แต่ทำตามคำสั่ง และเขาก็มองเห็นเดี๋ยวนั้น
พระเยซูทรงเป็นพระผู้สร้าง ดังนั้นที่จะให้ตาใหม่กับชายคนนี้เป็นเรื่องเล็กสำหรับพระองค์ การ
กระทำของชายตาบอดเป็นตัวอย่างให้เห็นว่า ในทางฝ่ายวิญญาณ ถ้าเราได้เชื่อฟังพระเจ้า เราจะได้มองเห็นความจริงฝ่ายวิญญาณได้ชัดเจนเช่นกันเป็นอีกครั้งในวันสะบาโตที่พระเยซูทรงรักษาโรค วันนี้พระองค์เลือกที่จะรักษาชายตาบอดที่พระองค์ทรงผ่านเขาไป ด้วยการทาโคลนที่ตา แถมยังใช้เขาให้ไปล้างตาอีก นี่เป็นการละเมิดกฎสะบาโตหยุมหยิมของฟาริสีโดยตรง พระองค์ทรงท้าทายมาก และชายตาบอดก็กล้าหาญเหมือนกัน เมื่อเราเห็นเขาโต้ตอบกับฟาริสีในเวลาต่อมา
7** เนหะมีย์ 3:15, อิสยาห์ 8:6, ลูกา 13:4, ยอห์น 9:11, 2 พงศ์กษัตริย์ 5:14

ยอห์น 9:9-12
เพื่อนบ้านของเขา ประหลาดใจมาก ไม่แน่ใจว่าเป็นคนที่เคยรู้จักหรือเปล่า เริ่มตั้งคำถามว่าใช่ชายตาบอดหรือไม่ ตัวเขาเองยอมรับว่าใช่ เขาบอกด้วยว่า พระเยซูเป็นผู้เอาโคลนทาตาและให้เขาไปล้างตาที่สระสิโลอัมตัวเขาเองยังไม่เห็นเลยว่า พระเยซูเป็นคนไหนในหมู่ผู้คน รู้แต่ว่าเป็นพระเยซูที่ทำให้เขาตาดี
เพื่อนบ้านเองอยากรู้ว่าพระเยซูอยู่ไหน อาจจะอยากไปถามให้แน่ใจ และจากนี้ไป ชายตาบอดต้องเผชิญกับคำถามมากมาย เพราะเขากลายเป็นตาดี. เขาเป็นพยานถึงสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างตรงไปตรงมา
เขาเป็นคนที่พ่อแม่ปล่อยให้มาเป็นขอทานเพราะตาบอดไม่มีใครสนใจที่เขากลายเป็นคนมองเห็นได้ แต่กลับคาดคั้นว่าทำไมมองเห็น
เขาเป็นคนที่ไม่มีใครรู้จัก จะตายไปอย่างที่โลกลืม แต่พระเยซูกลับทำให้เขาเป็นที่รู้จักของคนทั้งหลายที่อ่านยอห์น 9

การสอบสวนโดยคนที่ไม่เชื่อ

ยอห์น 9:13-16
ชายคนที่เคยตาบอดถูกนำมาหาฟาริสี เพราะว่าเขาหายบอดในวันสะบาโต แทนที่ทุกคนจะดีใจ กลับหาเรื่อง …คนที่ไม่เชื่อเรื่องการอัศจรรย์กำลังสอบสวน เรื่องที่เขาไม่เชื่อและต้องการสรุปอย่างที่เขาต้องการ … คนเหล่านี้มีคำตอบในใจแล้วว่าจะต้องจัดการกับพระเยซู ! พวกเขาเชื่อว่าพระเยซูเป็นคนหลอกลวง ไม่ปกติ
ฟาริสีก็สอบสวนอีกครั้งว่าหายบอดได้อย่างไร เมื่อเขาตอบฟาริสีกลุ่มหนึ่งลงความเห็นว่า พระเยซูไม่ได้มาจากพระเจ้า เพราะไม่รักษาสะบาโตแบบพวกเขา คนเหล่านี้สนใจกฎเกณฑ์มากกว่าความต้องการจำเป็นของผู้คน แต่คนอีกกลุ่มเห็นว่า พระเยซูน่าจะมาจากพระเจ้าจริง ๆ เพราะทำหมายสำคัญที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ คราวนี้มีความคิดแตกแยกกันในหมู่ยิว
พระเยซูทรงทำการอัศจรรย์ในวันสะบาโตทีไร ก็ก่อให้เกิดการแตกคอกันระหว่างพวกยิวอยู่บ่อย ๆ
(ยอห์น 6:52, 7:43, 10:19, มัทธิว 10:34-39) แต่ที่น่าสนใจในบทนี้คือ เราจะเห็นความเข้าใจของชายตาดีผู้นี้มากขึ้นเรื่อย ๆ

ยอห์น 9:17-19
นี่ไง ชายผู้นี้เริ่มมองเห็นด้วยตัวเองแล้วว่า พระเยซูทรงเป็นผู้เผยพระคำของพระเจ้า เขาออกความเห็นด้วยตัวเอง แต่ยิวไม่พอใจกับคำตอบนี้ พระเยซูยังคงเป็นฝ่าย ตรงข้ามแน่นอน เพราะทรงละเมิดกฎสะบาโตที่พวกเขาตั้งขึ้นมา (5:9, 16, 7:21-24)
ต่อมายิวยังไม่ยอมเชื่อ สั่งตามพ่อแม่มาสอบสวนอีก เพราะพ่อแม่เท่านั้นที่จะยืนยันว่า ชายผู้นี้ตาบอดตั้งแต่เกิดจริงๆ ถ้าไม่ใช่ พวกเขาอาจมีข้อโต้แย้งพระเยซูได้อีก

ยอห์น 9:20-23
แต่พ่อแม่ก็ไหวตัวทัน พวกเขารู้ว่าถ้าตอบไม่ถูกใจ พวกเขาอาจจะถูกตัดสิทธิ์ไม่ให้เข้ามาในพระวิหารอีก การที่จะยอมรับพระเยซูเป็นพระเมสสิยาห์ หรือองค์ผู้ที่พระเจ้าเจิมโดยเห็นต่างจากฟาริสีนั้น จะทำให้เขาถูกตัดขาดแน่นอน (การตัดคนออกจากพระวิหารนั้น เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยท่านเอสรา) ทั้งสองตอบตาม ความเป็นจริงว่าลูกชายตาบอดแต่เกิด นอกนั้น ไม่ขอตอบอะไรให้ไปถามเขาเอง
22** ยอห์น 7:13, 12:42, 19:38, กิจการ 5:13, ยอห์น 16:2

ยอห์น 9:24-27
เมื่อพ่อแม่ไม่ยอมตอบ เขาก็ถูกเรียกกลับมาสอบสวนอีกครั้ง คาดคั้นถามว่าพระเยซูใช้วิธีไหนที่ทำให้เขาหายตาบอดได้ ชายตาบอดกลายเป็นชายตาดี เขาถูกบังคับให้พูดความจริง (แบบที่ฟาริสีต้องการ)ซึ่งเขาก็พูดจริง (ตามเหตุการณ์จริง)มาตลอด ไป ๆ มาๆ ดูเหมือนว่าพวกฟาริสีต้องการให้เขาโกหกมากกว่าพูดความจริง
พวกเขาต้องการให้ชายผู้นี้พูดว่าพระเยซูเป็นคนบาป โดยอ้างว่า ถ้าเขายอมรับว่าพระเยซูเป็นคนบาปเท่ากับเขาถวายเกียรติพระเจ้านี่นับเป็นการกล่าวอ้างที่น่าเกลียดมาก เนื่องจากฟาริสีไม่ต้องการยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระเมสสิยาห์แต่กลับต้องยอมรับความจริงว่า ทรงทำให้คนตาบอดมองเห็นได้
ชายที่ได้รับสายตาคืนมาเริ่มรำคาญเต็มทีก็เลยถามประชดไปเสียเลยว่า พวกฟาริสีคงอยากเป็นศิษย์พระเยซูแน่เลย. เขาไม่ได้กลัวฟาริสีเลยสักนิด น่าสนใจว่า มีคนที่เห็นต่างจากฟาริสีชัดเจนขนาดนี้ และไม่ได้มีความกลัวใด ๆ เขายืนยันสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนเอง และจะไม่หันเหไปทางใดทั้งสิ้น
24** โยชูวา 7:19, 1 ซามูเอล 6:5, เอสรา 10:11, วิวรณ์ 11:13, ยอห์น 9:16

ยอห์น 9:28-31
แน่นอนที่ฟาริสีจะโกรธจัด ยิ่งต้องการกำจัดพระเยซู พวกเขาย่อมมองออกว่า ชายตาดีเห็นแล้วว่าพวกเขาคิดอย่างไรกับพระเยซู พวกเขาอ้างว่าตนเป็นศิษย์โมเสส ทั้ง ๆ ที่ทำไม่เหมือนโมเสสสักนิดฟาริสีคิดว่าตนเองใช้ได้ เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า ทั้ง ๆ ที่พฤติกรรมตอนนี้ของพวกเขามันกลับใช้ไม่ได้เลย 
ส่วนชายตาดีเริ่มเข้าใจอะไร ๆ มากขึ้น เมื่อฟาริสีปฏิเสธ ไม่ยอมรับพระเยซู เขากลับมั่่นใจว่า พระเยซูทรงเป็นผู้ที่อยู่ฝ่ายพระเจ้า เป็นผู้ที่นมัสการซึ่งพระเจ้าทรงฟังคำอธิษฐาน เขายังยืนยันชัดเจนว่าพระเยซูมีฤทธิ์ ยิ่งคุยกับฟาริสีไป เขาก็ยิ่งเห็นความเกลียดชังที่แตกต่างจากความใส่ใจที่พระเยซู
มีให้เขา
29** อพยพ 19:19,20, 33:11, 34:29, กันดารวิถี 12:6-8, ยอห์น 5:45-47, 7:27,28, 8:14
30** ยอห์น 3:10
31** โยบ 27:9, 35:12, สดุดี 18:41, สุภาษิต 1:28, 15:29,28:9, อิสยาห์ 1:15,
เยเรมีย์ 11:11, 14:12, เอเสเคียล 8:18, มีคาห์ 3:4, เศคาริยาห์ 7:13, ยากอบ 5:16
ยอห์น 3:2, 9:1634 สดุดี 51:5, ยอห์น 9:2

ยอห์น 9:32-34
เขายิ่งมั่นใจว่าพระเยซูทรงมาจากพระเจ้า ถ้าไม่อย่างนั้น ทำอัศจรรย์ขนาดนี้ไม่ได้แน่ เขารู้ว่าก่อนหน้านี้ไม่เคยมีใครตาบอดแล้วเห็นได้มาก่อน ความมั่นใจของเขานั้นเต็มร้อย กล้าที่จะพูดกับฟาริสีอย่างไม่กลัวเกรงทั้ง ๆ ที่ตนเองเป็นแค่ขอทาน ตัวเขาเองมีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณในระดับที่ดี ให้เหตุผลอย่างถูกต้อง นี่ทำให้ฟาริสีที่คงแก่เรียนโกรธจัด กล้าดีอย่างไรที่จะมาสอนคนมีความรู้อย่างพวกเขาและตอนนี้เอง เขาก็หมดสิทธิ์ที่จะเข้ามาในศาลาธรรมยิวอีกต่อไป ถูกตัดขาดอย่างสิ้นเชิง นับได้ว่าเหตุการณ์นี้เป็นเหตุการณ์การข่มเหงผู้เชื่อที่เกิดขึ้นและบันทึกเป็นครั้งแรกในพระคัมภีร์

ตาดีแท้ ตาบอดแท้

ยอห์น 9:35-38
เขามาพบพระเยซูอีกครั้ง …พระเยซูทรงจบการอัศจรรย์ครั้งนี้ด้วยการเปลี่ยนชีวิตของเขาทั้งกายและจิตวิญญาณ เมื่อพระเยซูทรงถามว่าเขาจะเชื่อบุตรมนุษย์หรือไม่ เขามั่นใจทันทีว่าจะเชื่อพระองค์ ชายตาบอดตอนนี้กลายเป็นคนทั้งตาดี ทั้งยังมีการมองเห็นฝ่ายวิญญาณด้วย เขาเห็นความดีของพระเจ้า เห็นความจริง เขายอมรับความจริงที่เห็น เมื่อเขามาเชื่อในพระองค์ เขาไม่อยู่ในความมืดต่อไป ทั้งทางร่างกาย และทางจิตวิญญาณ
ก่อนที่เขาจะเห็นได้พระเยซูเสด็จมาหาเขา เขาทำเองไม่ได้ ไม่มีทางเป็นไปได้แต่พระเจ้าทรงยื่นพระหัตถ์เข้ามาในชีวิตของเขา แม้จะมีคนป่วยมากมาย คนง่อย ตาบอด หูหนวกอยู่ตรงนั้นคับคั่ง แต่พระเยซูทรงเลือกเขาคนนี้ ทรงเป็นพระผู้ช่วยที่ตามหาคนของพระองค์
แค่พระเยซูตรัสถามว่า เจ้าเชื่อวางใจในบุตรมนุษย์ไหม? ชายคนนี้ตอบรับพระองค์ทันที เขารู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขานั้น ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในสมัยโบราณเลยเขารู้หลายอย่าง รู้ว่าพระเยซูเป็นฝ่ายพระเจ้า พระเยซูเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงฟัง พระองค์เป็นผู้เผยพระคำ เขาถามพระองค์ว่า ท่านผู้นั้นเป็นใครเพื่อว่ากระผมจะได้เชื่อพระองค์… เขาพร้อมเชื่อ แค่บอกมาว่าต้องเชื่ออะไร เป็นใจที่พร้อม เมื่อเขายอมรับพระองค์ เขานมัสการพระองค์ทันที เป็นการยอมรับและรู้ว่าพระองค์คือผู้ที่เขาสมควรจะยกย่องสุดชีวิต
จะรู้ได้อย่างไรว่าคนหนึ่งเชื่อพระองค์จริงหรือไม่
เขาได้รับการเปลี่ยนแปลงไหม เราดูว่า เขานมัสการพระองค์หรือเปล่า
35** ยอห์น 5:14, 1:7, 16:31, มัทธิว 14:33, 16:16, มาระโก 1:1, ยอห์น 10:36, 1 ยอห์น 5:13
37** ยอห์น 4:2638 มัทธิว 8:2

ยอห์น 9:39-41
คนตาบอดฝ่ายวิญญาณนั้น ดื้อด้าน ทำให้ถูกพิพากษา ไม่ยอมรับว่าตนบอดทำให้ความผิดยังคงค้างอยู่ เขาไม่สามารถรับการเปลี่ยนแปลงเพราะคิดว่าตนเองโอเคแล้ว พวกเขาคิดว่าตนเองตาสว่างกว่าใคร ๆ
คำของพระเยซูที่ตรัสว่า ถ้าเจ้าบอด เจ้าก็ไม่มีผิดการใช้คำว่าตาบอดในตอนนี้ มีความหมายถึงการบอดฝ่ายวิญญาณ ไม่เข้าเรื่องของวิญญาณ คนที่ยอมรับว่าตัวเองบอดฝ่ายวิญญาณและมาหาพระองค์ จะมองเห็น เข้าใจได้แต่คนที่คิดว่าตัวเองมองเห็นกลับกลายเป็นคนที่ตาบอด คนพวกนี้แทบไม่มีความหวังเหลืออยู่น่าเสียดาย ฟาริสีมีสายตาที่ดี แต่สายตาฝ่ายวิญญาณนั้นมองไม่เห็นอะไร
39 ยอห์น 3:17, 5:22,27, 12:47, มัทธิว 13:13, 15:14
40 โรม 2:1941 ยอห์น 15:22,24

เพิ่มเติมเรื่องความสว่างของโลก
เหล่านี้ เป็นพระคำที่บอกให้รู้ว่า บอด หมายถึงการมองความจริงไม่เห็น ไม่เข้าใจความจริงของพระเจ้า ไม่เข้าใจพระเจ้า
อิสยาห์ 43:8 กล่าวถึงคนที่มองเห็นแต่ก็ตาบอด
เยเรมีย์ 5:21 กล่าวถึงคนที่โง่เขลา ไร้ความคิด มีตา แต่มองไม่เห็น
อิสยาห์ 56:10 กล่าวถึงผู้นำอิสราเอลที่เป็นคนอารักขาที่ตาบอด มองอะไรไม่เห็นเลย และพระเยซูเองทรงเรียกฟาริสีว่าเป็นคนตาบอด
กิจการ 26:12-18 ท่านเปาโลเองถูกเรียกให้ไปเปิดตาเพือว่าคนที่ท่านประกาศจะหันจากความมืดสู่ความสว่าง พระเจ้าทรงเปิดตาฝ่ายวิญญาณของท่าน ในวันที่เดินทางไปเมืองดามัสกัส
เอเฟซัส 4:18 กล่าวถึงคนต่างชาติที่ใจมัวมืด
วิวรณ์ 3:17 บอกถึงคนในคริสตจักรเองที่ไม่รู้ตัวว่ายากไร้ ตาบอดและเปลือยกายอยู่

2 โครินธ์ 4:4 พระของยุคนี้ทำให้จิตใจผู้ไม่เชื่อมืดบอดไป
โรม 11:8 และพระเจ้าทรงเป็นผู้ให้มืดบอดด้วยพระเจ้าทรงให้เขามีจิตใจมึนชา มีตาที่ไม่อาจมองเห็น..
แต่แสงสว่างได้เข้ามาในโลก พระเมสสิยาห์เป็นผู้นำความสว่างเข้ามา และพระองค์ก็ตรัสแล้วตรัสอีก
แต่พวกเขาก็ไม่เข้าใจเลย
ยอห์น 9:4 ขณะที่พระเยซูอยู่ในโลก ตรัสว่า “เราเป็นความสว่างของโลก”
ยอห์น 12:46 เราเข้ามาในโลกในฐานะความสว่าง ทุกคนที่เชื่อในเราจะไม่อยู่ในความมืด
1 เปโตร 2:9 พระองค์ผู้ทรงเรียกท่านออกจากความมืดเข้ามาสู่ความสว่างอันมหัศจรรย์ของพระองค์