สดุดี 22 คำบอกล่วงหน้าถึงวันสิ้นพระชนม์

สดุดี บทที่ 22 เป็นสดุดีที่บรรยายเหตุการณ์ล่วงหน้าหนึ่งพันปีก่อนที่จะเกิดจริงโดยกษัตริย์ดาวิด ด้วยการดลใจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ และที่น่าทึ่งอย่างยิ่งคือ สิ่งที่เกิดขึ้นในวันที่พระเยซูสิ้นพระชนม์นั้น ตรงกับสิ่งที่กษัตริย์ดาวิดได้เขียนไว้ หลายอย่าง ทั้ง ๆ ที่ตอนนั้น ยังไม่มีการคิดค้นการลงโทษด้วยไม้กางเขนเลย
เมื่อเราอ่านสดุดีบทนี้ ราวกับว่า พระเยซูเป็นผู้เขียนเอง เพราะความเจ็บปวดแบบที่เกิดขึ้นซึ่งบรรยายไว้ กษัตริย์ดาวิดไม่ได้ประสบในชีวิตของท่าน
สดุดีบทนี้แบ่งเป็นสองตอนใหญ่ ๆ คือ จากข้อ 1-21 และ 22-31

Christ on the cross by Eugene Delacroix

ถึงหัวหน้านักร้อง ทำนอง กวางรุ่งอรุณ สดุดีของดาวิด

คำทูลอธิษฐานขอความช่วยเหลือ

1 พระเจ้าของข้า พระเจ้าของข้า
เหตุใดพระองค์ทรงละทิ้งข้าไป?
เหตุใดทรงอยู่ห่างเกินที่จะช่วยกู้ ?
เหตุใดทรงห่างจากคำคร่ำครวญของข้า?
2 โอ พระเจ้าของข้า ข้าร้องทูลทั้งวัน
แต่พระองค์ไม่ทรงตอบ
ข้าร้องทั้งคืนและข้าไม่อาจสงบนิ่งได้
3 ถึงกระนั้น พระองค์ทรงบริสุทธิ์
ประทับเหนือการสรรเสริญของอิสราเอล
4 บรรพบุรุษของเราวางใจในพระองค์
พวกเขาวางใจ และพระองค์ก็ทรงช่วยกู้พวกเขา
5 พวกเขาร้องทูลต่อพระองค์ และได้รับการช่วยกู้
พวกเขาวางใจในพระองค์ และไม่ต้องอับอายเลย
6 แต่ตัวข้าเป็นเหมือนหนอนและไม่ใช่คน
มนุษย์ก็ดูหมิ่น ผู้คนก็เหยียดหยาม
7 ทุกคนที่เห็นข้าก็เยาะเย้ย แสยะปากและสั่นหัวกล่าวว่า
8 “เขาวางใจว่าพระยาห์เวห์จะทรงช่วยเขา ก็ให้พระองค์
มาช่วยสิ ในเมื่อพระองค์ทรงพอพระทัยเขา”
9 พระองค์ทรงเป็นผู้นำข้าออกจากครรภ์
ทรงทำให้ข้าวางใจยามที่ข้าอบอุ่นในอกแม่
10 ข้าถูกมอบไว้ให้พระองค์มาตั้งแต่เกิด
พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของข้า
ตั้งแต่ที่ข้าอยู่ในครรภ์มารดา
11 ขออย่าทรงอยู่ไกลจากข้า
เพราะความทุกข์ใจอยู่ใกล้และไม่มีใครช่วยได้
12 เหล่ากระทิงอยู่ล้อมรอบข้า
วัวป่าที่แข็งแรงแห่งบาชานรุมล้อมข้าไว้
13 พวกมันอ้าปากกว้างใส่ข้า
ราวกับสิงโตที่กระหายเหยื่อและกำลังขู่คำราม
14 ข้าถูกเทลงเหมือนน้ำ และกระดูกทั้งสิ้นก็หลุดจากข้อ
ใจของข้าเป็นเหมือนขี้ผึ้ง มันหลอมละลายอยู่ภายในข้า
15 กำลังของข้าแห้งเหือดไปราวกับดินที่ถูกเผา
ลิ้นก็ติดแน่นกับขากรรไกร
และพระองค์ทรงวางข้าลงบนฝุ่นแห่งความตาย
16 เหล่าสุนัขรุมล้อมข้า คนชั่วทั้งหลายก็โอบล้อมข้าไว้
พวกเขาแทงมือ และเท้าของข้าจนทะลุ
17 ข้านับกระดูกของข้าได้ทุกท่อน
เหล่าศัตรูมองดูและจ้องมาที่ข้า
18 พวกเขาแบ่งเสื้อผ้าของข้า
และจับฉลากเอาเสื้อคลุมของข้าไป

19 โอ พระยาห์เวห์ ขออย่าทรงอยู่ห่างไกล
โอ พระกำลังของข้า ขอทรงรีบมาช่วยข้าด้วย
20 ขอทรงช่วยกู้วิญญาณจิตของข้าจากดาบ
ขอทรงช่วยกู้ชีวิตเดียวของข้า
จากอำนาจของสุนัขเหล่านั้น
21 ขอทรงช่วยข้าให้พ้นจากปากของสิงโต
พระองค์ทรงช่วยข้ามาแล้วจากเขาของเหล่าวัวป่า

พระคัมภีร์อ้างอิง
1. มัทธิว 27:46, มาระโก 15:34
2. ลูกา 18:7, สดุดี 42:3
3. ฉธบ. 10:21, สดุดี 148:14
4. ฮีบรู 11:8-32, อพยพ 14:13-14
5. อิสยาห์ 49:23
6. อิสยาห์ 41:14, 53:3
7. มัทธิว 27:39,
8. มัทธิว 27:43, สดุดี 91:14
9 . สดุดี 71:5-6
10. อิสยาห์ 46:3, 49:1
11. สดุดี 71:12,72:12, 10:1
12. สดุดี 22:21, 66:30, ฉธบ. 32:14
13. โยบ 16:10, สดุดี 35:21, 1 เปโตร 5:8
14. ดาเนียล 5:6,สดุดี 31:10
15. สุภาษิต 17:22, ยอห์น 19:28
16 . มัทธิว 27:35, ยอห์น 19:37
17. ลูกา 23:27,35, อิสยาห์ 52:14
18. มัทธิว 27:35, ลูกา 23:34
19. สดุดี 40:17, 70:5
20.สดุดี 35:17, 40:13,17,21:1
21. 2 ทิโมธี 4:17,อิสยาห์ 34:7

พระเจ้าทรงช่วยแล้ว!

22 ข้าจะบอกถึงพระนามของพระองค์ให้แก่พี่น้อง
ในที่ประชุม
ข้าจะสรรเสริญพระองค์
23 ผู้ที่ยำเกรงพระยาห์เวห์ สรรเสริญพระองค์เถิด!
วงศ์วานของยาโคบเอ๋ย ถวายพระเกียรติแด่พระองค์เถิด
และยืนด้วยความสะพรึงต่อพระพักตร์

เหล่าวงศ์วานของอิสราเอล!
24 เพราะพระยาห์เวห์ ไม่ทรงดูหมิ่นหรือรังเกียจความทุกข์
ของคนที่รับความทรมาน พระองค์ไม่ทรงซ่อนพระพักตร์จากเขา
แต่ทรงฟังเมื่อเขาร้องทูลขอความช่วยเหลือ
25 คำสรรเสริญของข้าในที่ประชุมใหญ่นั้น มาจากพระองค์
ข้าจะทำตามคำปฏิญาณต่อหน้าคนที่ยำเกรงพระยาห์เวห์
26 คนที่ทนทุกข์จะได้กินอิ่มอย่างพึงพอใจ
คนที่แสวงหาพระยาห์เวห์จะสรรเสริญพระองค์
ขอให้พระทัยของพระองค์ดำรงต่อไปเป็นนิตย์!
27 ทุกคนจนสุดปลายแผ่นดินโลกจะระลึกได้
และหันมาหาพระยาห์เวห์
และทุกครอบครัวในชาติต่าง ๆ จะนมัสการต่อพระพักตร์
28 เพราะพระราชอาณาจักรเป็นของพระยาห์เวห์
พระองค์ทรงปกครองเหนือชาติต่าง ๆ
29 คนร่ำรวยในโลกจะกินและนมัสการพระองค์
เหล่าคนที่ลงไปยังผืนดินจะคุกเข่าต่อพระพักตร์
ไม่เว้นแม้คนที่ไม่อาจรักษาชีวิตของตนไว้
30 วงศ์วานของเขาจะรับใช้พระองค์
คนรุ่นต่อไปจะได้ฟังเรื่องราวขององค์เจ้านาย
31 พวกเขาจะมาและประกาศความเที่ยงธรรมของพระองค์
ให้กับเหล่าคนที่กำลังจะเกิดมาว่า พระองค์ทรงทำสิ่งใด

22. ฮีบรู 2:12, โรม 8:29
23. สดุดี135:19,20
24. ฮีบรู 5:7, อิสยาห์ 50:6-9
25. สดุดี 35:18, 40:9,10,
สดุดี 61:8,ปญจ.5:4
26. สดุดี 69:32, อิสยาห์ 65:13
27. สดุดี 86:9, 2:8, วิวรณ์ 7:9-12
28.สดุดี 47:7,โอบาดีย์ 21,  เศคาริยาห์ 14:9, มัทธิว 6:13
29. สดุดี 17:10, 45:12, ฮาบากุก 1:16,  สดุดี 28:1, อิสยาห์ 26:19
30. 1 เปโตร 2:9, สดุดี 78:6
31. สดุดี 86:9, 102:18

สดุดี 22 คำอธิบายเพิ่มเติม

ข้อ 1-2 พระผู้ที่ถูกทอดทิ้งคร่ำครวญ 
ภาพของพระเยซูที่ทรงทนทุกข์โดดเดี่ยวบนไม้กางเขนชัดเจนมาก ขณะที่พระเยซูทรงถูกตรึงบนกางเขน พระองค์ทรงร้องว่า “พระเจ้าของข้า เหตุใดพระองค์จึงละทิ้งข้าพระองค์?” พระบิดาเจ้าทรงละทิ้งพระบุตรของพระองค์ในขณะที่ทรงเทพระพิโรธเพราะบาปของมนุษย์ลงบนพระบุตรจริง ๆ พระเยซูทรงรับโทษบาปแทนทุกคนที่เชื่อ เป็นการละทิ้งพระบุตรชั่วระยะหนึ่ง คำถามนี้ไม่ใช่คำถามแต่เป็นคำบอกความเจ็บปวด และความทุกข์ใจสุดทนทาน ไม่มีคำตอบจากสวรรค์เมื่อพระองค์ร้องทูล
จนพระเยซูตรัสว่า “โอ พระบิดา ข้าพระองค์ขอมอบจิตวิญญาณไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์” ลูกา 23:46.

ข้อ 3-5 ระลึกถึงพระเจ้าผู้บริสุทธิ์ และวันที่พระเจ้า
เคยช่วยเหลือ พระเจ้าทรงบริสุทธิ์ และทรงสั่งให้คนของพระองค์บริสุทธิ์ด้วย บริสุทธิ์นี้คือการถูกแยกออกมาจากสิ่งที่เป็นมลทิน และด้วยความบริสุทธิ์นี้ พระองค์จึงทรงต้องแยกจากพระบุตรบนไม้กางเขน เป็นสภาพที่เลวร้ายยิ่งกว่านรก สำหรับพระเยซู. เพราะพระองค์ต้องถูกแยกจากพระบิดาที่เคยรักและอยู่ใกล้ชิดมาไม่เคยห่าง และพระเยซูยังต้องรับเอาพระพิโรธของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์มาไว้บนพระองค์แต่เพียงผู้เดียว
แต่บนไม้กางเขน พระเยซูทรงรู้ว่า พระเจ้าบริสุทธิ์ และพระองค์จะทรงตอบคำร้องทูลเหมือนอย่างที่เคยทรงตอบคนอิสราเอล

ข้อ 6-8. ตัวข้าเป็นเหมือนหนอน ตอนที่พระเยซูทรงอยู่บนกางเขนนั้น พระองค์ถูกโบยมาก่อน เลือดโชก ร่างของพระองค์บอบช้ำจนแทบจำไม่ได้ “เขาถูกดูหมิ่นและทอดทิ้ง” อิสยาห์ 53:3 นอกจากโบยแล้ว พระองค์ยังถูกถ่มน้ำลายใส่ ถูกตบพระพักตร์ มีคำหยาบคายโอหังพรั่งพรูมาที่พระองค์ ร่างของพระองค์ดูไม่เหมือนมนุษย์ อิสยาห์ 52:14
คนรอบ ๆ ไม้กางเขนวันนั้น มีแต่ความเกลียดชังที่รุนแรงเกินมนุษย์. ดูเหมือนการถูกตรึงยังไม่พอสำหรับพวกเขา ดังนั้นจึงเยาะเย้ยพระเยซู และยังเยาะไปถึงพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลด้วย พวกเขานำหายนะมาสู่ตัวเอง.

ข้อ 9-11 พระเยซูทรงรำลึกถึงความซื่อตรงของพระเจ้าตั้งแต่ที่พระองค์ทรงมาเกิดในโลก ทรงระลึกว่า พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าของพระองค์มาตั้งแต่ที่ยังอยู่ในครรภ์ของมารีย์ พระเยซูทรงมั่นใจในความซื่อตรงของพระเจ้าตลอดเวลาที่ทรงดำเนินในโลกในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง ทรงทูลขอพระเจ้าอย่าอยู่ห่างไกล เพราะไม่มีใครช่วยพระองค์ได้นอกจากพระเจ้าพระบิดาเท่านั้น

ข้อ 12-18 ความรู้สึกของพระเยซูบนไม้กางเขน ขณะที่โดดเดี่ยวบนกางเขน ศัตรูก็ขู่เข็ญคำรามอยู่รอบด้าน ความเกลียดชังสุดขีดเต็มอยู่ในบรรยากาศอันหดหู่ น่ากลัว โหดเหี้ยมอย่างดิบที่สุด คนเหล่านี้ถูกเรียกว่า เป็น กระทิง วัวป่า สุนัข สิงโต
เป็นภาพของคนต่อต้านพระเจ้า ที่ทำตัวเหมือนสัตว์กระหายเลือด
เวลานั้น พระองค์ผู้ทรงเป็นน้ำแห่งชีวิต ทรงกระหายน้ำ กำลังหายไปหมด พระทัยข้างในสลายเหมือนขี้ผึ้ง และพระเจ้าทรงวางให้พระองค์อยู่ในความตาย. พระคำตอนนี้ทำให้เราได้สัมผัสว่า พระองค์ทรงรู้สึกอย่างไร

ข้อ 19-21 คำอธิษฐานให้พ้นจากความตาย. จากข้อ 1-21 เราเห็นภาพชั่วโมงสุดท้ายก่อนที่พระเยซูจะสิ้นพระชนม์อย่างชัดเจน และพระเยซูก็ทรงร้องเรียกให้พระเจ้ามาช่วย ขอทรงช่วยให้พ้นจากมือของคนที่เปรียบเหมือนสัตว์ร้ายเหล่านั้น และจากนี้ไป เราจะได้เห็นว่า คำแห่งชัยชนะได้เกิดขึ้นแล้ว

ข้อ 22-23 พระเจ้าทรงช่วย ข้อความต่อจากนี้ มีเนื้อหาแตกต่างจากคำคร่ำครวญขอให้ช่วย เพราะเป็นเนื้อหาที่บอกว่า พระเจ้าทรงช่วยแล้ว พระเยซูทรงบอกถึงการช่วยเหลือให้กับพี่น้อง ชนชาติอิสราเอล เมื่อพระเยซูทรงฟื้นคืนพระชนม์ พระองค์ไม่ได้เสด็จสู่สวรรค์ทันที แต่ทรงอยู่กับศิษย์และผู้เชื่ออีกถึงสี่สิบวัน. ในสี่สิบวันนั้น เราพอจะรู้แล้วว่า พระองค์ทรงทำสิ่งใด. ทรงย้ำเตือนให้พวกเขาได้รู้จักพระเจ้า ทรงสอนถึงราชอาณาจักรของพระเจ้า สี่สิบวันนั้นเพียงพอสำหรับการวางรากฐานการเริ่มต้นคริสตจักรของพระองค์ แม้ต่อไปพระองค์ไม่ได้อยู่ในโลก. แต่พระกายของพระองค์ได้ถูกสร้างขึ้นในช่วงเวลานั้น

ข้อ 24-25.นี่เป็นชัยชนะของพระเยซู พี่น้องที่อยู่กับพระเยซูในช่วงนั้นได้เห็นพระคุณของพระเจ้าที่ทรงอยู่กับพระบุตรและพวกเขา พระเยซูกับทุกคนได้มีเวลาที่จะสรรเสริญ ถวายเกียรติแด่พระเจ้าที่ทรงคืนชีพขึ้นมา พระเจ้าทรงพิสูจน์ให้พวกเขาเห็นว่า พระองค์ทรงฤทธิ์ และเมื่อพระบุตรทรงร้องขอ พระองค์ก็ทรงช่วย

ข้อ 26-30 ความดีของพระเจ้าได้ขยายขอบเขตไปจนสุดโลก. ไม่เฉพาะคนอิสราเอลเท่านั้นที่จะได้หันมาหาพระเจ้า แต่ทุกชาติจะมีโอกาสได้รับพระคุณเหมือนกับศิษย์ของพระเยซู ..​พระเจ้าทรงปกครองชาติต่าง ๆ และทรงประสงค์ที่จะให้มนุษย์ทั่วใต้ฟ้าได้รู้จักพระองค์ เราจะเห็นพันธกิจแห่งการประกาศพระนามในสดุดีบทนี้อย่างชัดเจน พระเยซูไม่ได้ทนทุกข์ แบกบาปเพื่อคนอิสราเอลเท่านั้น แต่เพื่อทุกคนในโลกด้วย ไม่มีข้อสงสัยในเรื่องนี้เลย และก่อนพระเยซูเสด็จสู่สวรรค์ พระมหาบัญชาที่ทรงมีต่อทุกคนก็ยังสืบเนื่องมาจนทุกวันนี้.

ข้อ 30-31 พระเจ้าทรงครอบครองเหนือทุกชาติ ทุกยุค และคนรุ่นที่กำลังจะเกิดมา พันธกิจที่พระเยซูทรงสั่งนั้น ไม่เฉพาะสำหรับสองพันปีก่อน แต่สำหรับคนทุกยุคที่จะตามมา และเราก็เห็นคนชาติต่าง ๆ จำนวนมากได้หันกลับมาหาพระเจ้า แม้คนที่อยู่ในวัฒนธรรม ศาสนาที่เคร่งครัด. คำสุดท้ายที่ว่า พระองค์ทรงทำสิ่งใด… ในภาษาเดิมมีความหมายชัดเจนว่า พระองค์ทรงทำสำเร็จ เหมือนกับคำตรัสของพระเยซูบนกางเขนที่ว่า “สำเร็จแล้ว!”
เป็นคำ ๆ เดียวกัน

The Incredulity of Saint Thomas by Caravaggio, c. 1602

2 เปโตร 2 คำเตือนเรื่องครูสอนผิด

ครูสอนผิดกับหายนะ

แต่ยังมีผู้เผยพระคำเท็จอยู่ท่ามกลางผู้คน เหมือนกับที่มีครูสอนผิดท่ามกลางพวกท่านด้วย พวกเขาแอบนำคำสอนผิดที่สร้างความหายนะเข้ามา โดยถึงกับปฏิเสธองค์เจ้านายที่ทรงไถ่พวกเขา ซึ่งทำให้พวกเขาย่อยยับอย่างรวดเร็ว
2 เปโตร 2:1

มัทธิว 24:5,24, 1 ทิโมธี 4:1-2

เปโตรเตือนให้ระวังคนสอนเท็จที่ใช้ประโยชน์จากพี่น้อง 1 ทิโมธี 4:1 เตือนแล้วว่า คนสอนเท็จเหล่านี้จะระบาดหนักในยุคสุดท้าย ครูสอนผิดมีอยู่ทุกยุค ตั้งแต่โบราณจนกระทั่งวันนี้ ศัตรูของพระเจ้าทำงานอย่างแข็งขันที่จะให้มีครูสอนผิดเหล่านี้ มาหลอกให้คนของพระเจ้าที่ไม่เอาใจใส่ติดตามพระดำรัสของพระองค์ให้ หลงไปจากความจริง คนพวกนี้แปลพระดำรัสของพระเจ้าตามใจตนเอง

มีคนมากมายจะติดตามหนทางหายนะของพวกเขา ทำให้เกิดการดูหมิ่นทางแห่งความจริงด้วยความโลภ พวกเขาจะหาประโยชน์จากท่านด้วยเรื่องที่กุขึ้นมา การกล่าวโทษพวกเขาก็มีมานานแล้ว และความพินาศของเขาไม่ได้หลับอยู่
2 เปโตร 2:2-3

โรม 2:24, ยูดา 1:10,15, 2 โครินธ์ 2:17, 1 เธสะโลนิกา 2:5 , 1 ทิโมธี 6:5

จากคำตอนนี้ของท่านเปาโล เราจะเห็นชัดว่า ในโลกโซเชียล มีการขายของที่หลอกลวงว่าจะทำให้ดูดี สวยงามถ้ากินอาหารที่เขาโฆษณา ในคริสตจักร ก็ไม่ได้แตกต่างอะไรเลย หากคริสเตียนไม่ระวังตัว ก็จะมีความเห็นที่คล้อยตามคนที่เข้ามาหลอกลวง เช่นว่า พระเจ้าจะทรงทำให้เรารวยขึ้น ถ้าเราถวายทรัพย์เยอะ ๆ ทางของความจริงก็กลาย เป็นหลบอยู่ในพระคัมภีร์เท่านั้น ไม่มีใครอ่านพระคำต่อไป คอยแต่ฟังคนที่หลอกลวง

เพราะหากว่า พระเจ้ามิได้ทรงยกเว้นเหล่าทูตสวรรค์ที่ได้ทำบาป แต่ได้ทรงผลักพวกเขาลงนรก และล่ามโซ่ไว้ในความมืดมิดเพื่อรอวันพิพากษา
2 เปโตร 2:4

ยูดา 1:6, มัทธิว 25:41, วิวรณ์ 20:10

จากพระคำข้อนี้ เรารู้ว่า พระเจ้าทรงทำอย่างไรกับทูตสวรรค์ที่ทำบาปต่อพระองค์​ พวกที่กบฎต่อพระเจ้าพร้อม ๆ กับซาตาน พวกเขาไม่ได้มีโอกาสลอยนวล ดูเหมือนว่าทูตที่ทำบาป จะไม่มีโอกาสรอดได้เหมือนกับมนุษย์ เพราะพระเยซูได้ทรง ทรงมีทางที่จะช่วยให้มนุษย์พ้นการพิพากษาผ่านไม้กางเขนของพระเยซู แต่ถ้าใครไม่รับพระเยซูคริสต์อีก ทางรอด ก็ไม่เหลืออีกเลย (ฮีบรู 2:16, วิวรณ์ 20:10)

และพระองค์ก็มิได้ยกเว้นโลกโบราณตอนที่ทรงให้น้ำท่วมโลกของคนอธรรม แต่ทรงปกป้องโนอาห์ ผู้เทศนาเรื่องความเที่ยงธรรมรวมทั้งอีกเจ็ดคน
2 เปโตร 2:5

2 เปโตร 3:6, 1 เปโตร 3:19-20,

นอกจากทูตสวรรค์ถูกจำจองแล้ว ในโลกโบราณ พระเจ้าก็ไม่ได้ยกเว้นคนอธรรมด้วย“พระเจ้าทรงเห็นว่า ความชั่วช้าของมนุษย์มีมากบนแผ่นดิน และทรงเห็นว่าความคิดในใจของเขาล้วนเป็นเรื่องร้ายเสมอไป” (ปฐมกาล 6:5) ดังนั้นพระองค์จึงทรงกวาดล้างผู้คนทั้งสิ้นให้หมดไปจากแผ่นดินหลายคนไม่ได้กลัวพระพิโรธของพระเจ้า เขาจึง จมอยู่ในความบาปต่อไปเรื่อย ๆ แม้มีโอกาสกลับตัวก็ทิ้งโอกาสนั้นไป

พระเจ้าทรงทำอย่างไรกับคนแต่ละประเภท?

แล้วพระองค์ทรงเผาเมืองโสโดม โกโมราห์ จนเป็นเถ้าถ่าน เพื่อใช้เป็นตัวอย่างถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับคนอธรรม
2 เปโตร 2:6

ปฐมกาล 19:16, 28-29, ยูดา 1:7, ลูกา 17:28-30

โลท ซึ่งเป็นคนของพระเจ้า ได้เลือกเข้าไปอาศัยในเมืองที่ชั่วช้า และพระเจ้าทรงลงโทษทั้งสองเมืองนี้เพื่อเป็นตัวอย่างว่า พระองค์จะทรงลงโทษความชั่วร้ายอย่างไร ในปฐมกาล 18:20 เขียนว่า .. พระยาห์เวห์ตรัสว่า “เสียงร้องกล่าวโทษเมืองโสโดมและโกโมราห์นั้น ดังเหลือเกิน บาปของพวกเขาก็หนักมาก” พระเจ้าทรงลงโทษ ทั้งทูตสวรรค์ที่ทำผิด คนอธรรมในโลกสมัยโนอาห์ และเมืองสองเมืองในสมัยของโลท เราสักคนจึงไม่ควรคิดว่าจะลอยนวลไปได้จากการพิพากษาโทษบาป

และทรงช่วยกู้โลทคนเที่ยงธรรมที่ต้องทุกข์หนักเพราะชีวิตโสโครกของคนชั่วช้า(เพราะในขณะที่เขาใช้ชีวิตเที่ยงธรรมทุกวัน ท่ามกลางคนพวกนั้น จิตใจของเขาจะทรมานนักจากการกระทำไร้คุณธรรมที่ได้เห็นและได้ยิน)
2 เปโตร 2:7-8

ปฐมกาล 19:16,29, 1 โครินธ์ 10:13, สดุดี 119:158, 136, เอเสเคียล 9:4

พระเจ้าทรงช่วยโลทให้พ้นจากเมืองโสโดมทันเวลา อ่านการช่วยเหลือของพระเจ้าจากปฐมกาล 19:12-29 พระองค์ทรงเอาเขาออกมาจากเมืองชั่วร้ายก่อนที่เขาเองจะกลายเป็นคนชั่วเหมือนชาวเมืองเหล่านั้น เพราะถึงแม้เขาจะเป็น คนของพระเจ้า แต่การอยู่ในเมืองแบบนั้น มันสุดจะทน และชีวิตก็พร้อมที่จะตกในความชั่วด้วย ในที่สุดถึงแม้โลทจะรอดมาอย่างหวุดหวิด แต่เขาสูญเสียทุกสิ่ง บ้านเรือน ภรรยา ออกมาตัวเปล่าพร้อมกับลูกสาวอีกสองคน

ดังนั้น พระเจ้าทรงทราบว่า จะช่วยคนเที่ยงธรรมให้พ้นจากการล่อล่วงอย่างไร และจะทรงกักขังคนอธรรมไว้เพื่อให้รับโทษในวันพิพากษา
2 เปโตร 2:9

1 โครินธ์ 10:13, สดุดี 34:15-`19, วิวรณ์ 3:10

จากตัวอย่างทั้งสองเรื่องที่ผ่านมา เราเห็นว่า พระเจ้าทรงลงโทษและทรงช่วย พระเจ้าทรงรู้ว่าจะช่วยให้เราพ้นจากการล่อลวงอย่างไร เมื่อเราเลือกให้พระองค์ทรงช่วย ทำได้โดยหันจากบาป สำนึกผิด และเข้ามาหาพระองค์ผู้ทรงพระคุณและเมตตา ให้เรารู้เสมอว่า พระเจ้าไม่ทรงประสงค์ให้ใครพินาศเลย

ลักษณะของคนที่บิดเบือนพระคำ

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่ทำตัวเป็นมลทินไปตามกิเลสตัณหา
และยังเหยียดหยามผู้มีอำนาจปกครอง พวกเขากล้าบ้าบิ่น ไม่กลัวที่จะพูดสบประมาทเหล่าผู้ทรงอำนาจ……
2 เปโตร 2:10

ยูดา 1:4,7,8, อพยพ 22:28

รู้อะไรไหม? ครูสอนที่อ่านพระคัมภีร์จริง ๆ จะไม่มีอาการประเภทดูถูก ดูหมิ่นคนอื่น เขาจะใช้ความ สุภาพ อ่อนโยนตามแบบของพระเยซูคริสต์ ในการสอน ในการเทศนา แต่เหล่าครูสอนผิด มักจะอวดตัวว่าเก่ง สามารถไล่วิญญาณชั่ว และหาเงินจากการกระทำอย่างนั้นทั้ง ๆ ที่ไม่รู้เลยว่าตัวเองกำลังสบประมาทใครอยู่ ท่านเปโตรกำลังเตือนคนเหล่านี้

ซึ่งแม้แต่ทูตสวรรค์ที่มีกำลังและฤทธิ์เดชมากกว่า ก็ยังไม่ใส่ร้ายสบประมาทพวกเขาต่อพระพักตร์พระเจ้า
2 เปโตร 2:11

ยูดา 1:9, 2 เธสะโลนิกา 1:7

ครูสอนผิดเหล่านี้ ทั้งเย่อหยิ่ง ยโส เกลียดชังอำนาจปกครองทุกชนิด เพวกเขาจะพูดใส่ร้าย ทุก ๆ อย่างในโลกฝ่ายวิญญาณอย่างไม่กลัวสิ่งใดทั้งสิ้น เราจะพบว่า มีบางคนที่บอกว่าตนเองมีความเชี่ยวชาญในด้านสงคราม การต่อสู้ฝ่ายวิญญาณ มาให้เขาช่วยได้แต่จริง ๆ แล้ว ทั้งหมดนี้มันเต็มดวยความเย่อหยิ่ง และอวดตัว ลองสังเกตกันดูด้วยตัวเอง จะเห็น ชัดเจนมาก ๆ ถึงแม้คริสเตียนมีสิทธิที่จะไล่ผีออกจากคนที่ถูกทรมานได้ แต่ในเรื่องการที่จะด่าว่า อำนาจเหล่านั้นไม่ใช่เป็นของมนุษย์

แต่คนเหล่านี้ เป็นเหมือนสัตว์เดรัจฉานที่ทำตามสัญชาตญาณ มันเกิดมาเพื่อถูกจับและฆ่า พวกเขากล่าวคำดูหมิ่นสิ่งที่ตัวเองไม่เข้าใจ
ในที่สุดพวกเขาจะต้องถูกพบกับหายนะเหมือนสัตว์เหล่านั้น
2 เปโตร 2:12

ยูดา 1:10, เยเรมีย์ 12:3, สดุดี 92:6

คนเหล่านี้ คือเหล่าครูสอนเท็จทั้งหลายแตกต่างจากทูตสวรรค์ฝ่ายพระเจ้า เพราะคิดและทำโดยใช้ความอยาก ไม่ได้ใช้เหตุผลแบบที่ควรเป็น เขากล้าที่จะดูหมิ่นสิ่งที่พระเจ้า ทรงตั้งไว้ ไม่ว่าจะในโลกวิญญาณหรือโลกมนุษย์ ที่จริงแล้วในสังคมเราทุกวันนี้ เราเห็นคนที่กล้าท้าทายผู้มีอำนาจ โดยใช้วาจาสามหาวที่คิดว่า วาจา แบบนั้นจะช่วยให้เขามีชัย แปลกจริง ๆ เป็น อย่างนี้กันทั้งโลก

บาปของครูสอนผิด

และจะได้รับความทุกข์ยากสนองคืน เพราะการอธรรมของตน เพราะพวกเขาคิดว่า การมั่วสุมสุดเหวี่ยงในเวลากลางวันนั้น คือความบันเทิงเริงใจ พวกเขามีมลทิน ด่างพร้อย หาความสำราญกับการหลอกตัวเอง ในขณะที่กินเลี้ยงกับท่าน
2 เปโตร 2 :13

ฟีลิปปี 3:19, โรม 13:13, 1 โครินธ์ 11:20

การอธรรมของพวกเขาจะได้รับการตอบสนองอย่างสาสม มันเป็นค่าจ้างของบาป. คนเหล่านี้ทำลายคริสตจักรของพระเจ้า ไม่ใช่มีน้อยคน แต่มีมากจนน่าเป็นห่วง พวกเขาจะบอกใคร ๆ ว่าตนรักพระเจ้า แต่การกระทำไม่ได้ไปกับคำพูด พวกเขาทั้งหลอกตัวเองและหลอกคนอื่น

ดวงตาเต็มด้วยความกระหายทางกาม ไม่สามารถหยุดทำบาปชั่ว คอยดักจับคนที่ไม่มั่นคง ใจนั้นมีความชำนาญในความโลภ เป็นคนที่ถูกแช่งสาป
2 เปโตร 2:14

เอเฟซัส 2:3, 2 เปโตร 3:16, 2:3

พระคำข้อนี้ทำให้เรารู้ว่า การมองของครูสอนผิดที่ท่านเปโตรกล่าวถึงนั้น เป็นสายตามองสิ่งต่ำ สิ่งที่สกปรก ไม่อาจหยุดทำบาปเพราะตายังมองสิ่งเหล่านั้นอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเพศ หรือเรื่องผลประโยชน์ ความละโมภในตัว ที่เขาดักจับคนไม่มั่นคง เพราะคนเหล่านั้นจะกลายมาเป็นเครื่องมือในการทำลายคนอื่นต่อไปได้ ดังนั้น ภาพของข้อนี้ ชัดเจนว่า เราต้องมั่นคง หนักแน่น เข้าใจพระคำของพระเจ้า เป็นอย่างดี เพื่อจะไม่ตกเป็นเหยื่อของคนเหล่านี้

พวกเขาละทิ้งทางที่ถูกต้อง แล้วก็หลงไปตามทางของบาลาอัม ลูกชายเบโอร์ที่รักรายได้จากการทำชั่ว แต่เขาถูกตำหนิเพราะเขาทำผิด ลาที่พูดไม่ได้กลับพูดออกมาด้วยเสียงมนุษย์ เพื่อห้ามความวิกลจริตของเขา
2 เปโตร 2:15-16

กันดารวิถี 22:5-7, 21-33, ยูดา 1:11

บาลาอัม เป็นต้นแบบของคนที่รับจ้างทำลายคนดี ทำลายสิ่งดีของพระเจ้าที่มีอยู่ คนเหล่านี้มีอยู่มากมายในโลก มีในคริสตจักรด้วย (โยชูวา 13:22, กันดารวิถี 22-24) แต่พระเจ้าทรงใช้ลา ให้พูดเพื่อเตือนสติเขา! เรื่องนี้ต้องตามกลับไปอ่านแล้วจะเห็นว่า ถึงบาลาอัมจะดึงดันขนาดไหน แต่ถ้าพระเจ้าทรงจัดการ ทุกอย่างจะสำเร็จ ครูสอนผิดเองต้องรู้ว่าไม่มีวันที่เขาจะชนะพระองค์ได้

พวกเขาเป็นบ่อไร้น้ำ เป็นหมอกที่ถูกพายุพัดไป มีความดำมืดนิรันดร์ที่ถูกเตรียมไว้รอคอยพวกเขาอยู่ เพราะพวกเขาใช้การโอ้อวดที่โง่เขลา ใช้ความอยากทางเพศ ดักจับคนที่เพิ่งหนีมาจากพวกที่เดินทางผิด
2 เปโตร 2:17-18

เยเรมีย์ 14:3, ยูดา 1:12-16, 2 เปโตร 2:20, 1:4, วิวรณ์ 13:5-6

ท่านเปโตรกล่าวว่าคนเหล่านี้เป็นบ่อไร้น้ำ นั่นคือเป็นบ่อเปล่า ๆ ไม่มีน้ำที่จะให้ประโยชน์แก่ผู้คน เป็นหมอกที่อยู่ให้เห็นประเดี๋ยวเดียวแล้วก็ไม่อยู่อีกต่อไป สิ่งที่เราเห็นจากพวกเขาคือ การโอ้อวดในเรื่องที่ตอบสนองความอยาก ของคนที่ฟัเป็นการใช้กิเลสตัณหามาล่อลวง บอกว่าพระเจ้าจะให้สิ่งดี ๆ ให้ความมั่งคั่งให้อะไร ๆ ที่ทูลขอตามใจทุกอย่าง เจอคนสอนแบบนี้ จงหนีให้ไกล!

พวกเขาสัญญาให้อิสรภาพ แต่ตัวเองกลับเป็นทาสความเสื่อมทราม เพราะสิ่งใดมีชัยเหนือใคร เขาก็ย่อมเป็นทาสของสิ่งนั้น
2 เปโตร 2:19

ยอห์น 8:34, โรม 6:16-22, กาลาเทีย 5:13

พวกเขาสัญญาว่าทุกคนที่ตามเขาจะมีเสรีภาพซึ่งเป็นสถานะที่คนสมัยใหม่อยากได้ และเรียกร้อง คนที่สัญญาเช่นนี้ ตัวเองยังเป็นทาสของความอยากส่วนตนอยู่อย่างชัดเจน พวกเขาต้องการเงินทอง ต้องการแฟนคลับ ต้องการคนติดตามมาก ๆ เพราะนั่นหมายถึง ประโยชน์ส่วนตน ครูสอนผิด นักเทศน์สอนผิด เหล่านี้ยังเป็นทาสความคดโกงอย่างเห็นได้ชัด อีกอย่างของคนเหล่านี้คือ มักให้ร้ายคนอื่น และยกตัวเองว่าดีกว่าใคร

อันตรายของการกลับไปทางเดิม

ถ้าหลังจากที่เขาได้หนีจากมลทินของโลกด้วยการรู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้า และพระผู้ช่วยให้รอด คือพระเยซูคริสต์ แล้วยังกลับไปเกี่ยวข้องและแพ้มันอีก สุดท้าย ชีวิตของเขาจะเลวร้ายยิ่งกว่าเริ่มต้น
2 เปโตร 2:20

มัทธิว 12:45, ฮีบรู 10:26-27, 6:4-8, ฟีลิปปี 3:19

สภาพนี้ เป็นสภาพที่น่าเศร้าใจมาก ไม่ต่างอะไรกับคนที่เข้าไปฟื้นฟูบำบัดอาการเสพติด แล้วในที่สุดก็กลับไปติดยาอีกครั้ง และไม่สามารถออกมาได้อีกเลย ท่านเปโตรบอกไว้ล่วงหน้าให้รู้ว่า ใครก็ตามที่ได้พบพระเจ้าแล้ว และตัดสินใจหันหลัง กลับไปอยู่ในชีวิตเดิมๆ สุดท้ายแล้ว ชีวิตนั้นจะจมดิ่งลงไปในความบาปโดยถอนตัวไม่ขึ้น

หากว่าพวกเขาไม่รู้ทางแห่งความเที่ยงธรรม ก็จะดีกว่าที่รู้ทางแล้วยังกลับหันหลังให้บัญญัติบริสุทธิ์ที่เขาเคยยอมรับ
2 เปโตร 2:21

ลูกา 12:47, ยากอบ 4:17, เอเสเคียล 18:24

การที่เรามารู้จักพระเจ้าแล้ว เราต้องรับผิดชอบในสิ่งที่เรารู้ การหันกลับไปสู่มลทินของโลกนั้นน่าเสียดายมาก ๆ ไม่รู้เลยก็ดีกว่า ยุคนี้มีคน ไม่น้อยที่หันกลับจากทางของพระเจ้าไปในทางที่เขาเลือกเอง ส่วนใหญ่เป็นเพราะมาแตะทางของพระเจ้าแล้ว ไม่ถูกใจ ไม่เข้าใจ ไม่ตามหา ไม่เรียนรู้ ไม่สัมผัสพระเจ้าจริงดังนั้นจึงตัดสินใจใช้ชีวิตของตนเองตามทางที่ตนพอใจ

สิ่งนี้เกิดขึ้นตามสุภาษิตที่ว่า
“สุนัขกลับไปกินสิ่งที่มันสำรอกออกมา” และ “สุกรที่อาบน้ำแล้วก็จะกลับไปจมปลักอีก”
2 เปโตร 2:22

สุภาษิต 26:11

คนที่มีสิ่งดี ครอบครัวดี งานดี โรงเรียนดี แล้วยังตกไปอยู่ในสภาพเลวร้ายเพราะการตัดสินใจผิดนั้นน่าเสียดายมาก หากใครคนหนึ่งมีชีวิตที่ตามใจตนเอง ไม่สนใจสิ่งดี ๆ แต่หลงไปตามความรู้สึกพอใจทั้งที่มันส่งผลเสียกับตนเองและครอบครัวก็เหมือนสุภาษิตนี้เลย

กิจการ 2 อธิบายเพิ่มเติม และพระคำอ้างอิง

คำนำ

กิจการบทที่ 2 นี้ได้บันทึกเหตุการณ์สำคัญมากคือ การเริ่มต้นของคริสตจักรด้วยคนจำนวน 120 คน รวมอีก 3000 คนในวันเดียว!  เมื่อเราอ่านกิจการบทนี้ ช่วงที่จะสับสนนิด ๆ คือ ช่วงที่ท่านเปโตร
เทศนา อธิบายคำพยากรณ์ของท่านโยเอล และพลิกกลับไปถึงข้อเขียนสดุดีของกษัตริย์ดาวิด เหตุการณ์ทั้งบทแบ่งเป็น
-พระวิญญาณเสด็จลงมาเหนือผู้เชื่อที่รวมใจกันอยู่ในบ้านหลังหนึ่ง
-พวกเขาชาวกาลิลี พูดสรรเสริญพระเจ้าเป็นภาษาต่าง ๆ ที่เข้าใจได้
-ผู้คนที่มาจากพื้นที่ห่างไกลเยรูซาเล็ม รู้ว่าพวกเขาพูดอะไรต่างแปลกใจ

-ท่านเปโตรอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นโดยอ้างถึงคำพยากรณ์ของท่านโยเอล
-จากนั้นกล่าวถึงสิ่งที่กษัตริย์ดาวิดได้เขียนไว้ถึงหนึ่งในลูกหลานของท่าน
ซึ่งพระเจ้าทรงสัญญาว่าจะให้เป็นผู้ปกครองที่ยิ่งใหญ่
-ท่านเปโตรยืนยันว่าพระเยซูทรงเป็นพระผู้เป็นเจ้าและพระเมสสิยาห์ พระผู้ช่วยให้รอด
คนที่ฟังพากันกลับใจ 3000 คน

ชีวิตประจำวันของคนในคริสตจักรยุคแรก คืออัครทูตยังคงทำสิ่งมหัศจรรย์ รักษาคนป่วย
มีการพบกันในพระวิหาร พบกันในบ้าน ฟังคำสอน หักขนมปังระลึกถึงพระเยซู อธิษฐานด้วยกัน
ส่วนในชีวิตประจำวันก็คือใช้ชีวิตด้วยกัน แบ่งปันสิ่งที่มี เป็นสังคมที่ไม่เคยมีมาก่อนเลย ในชีวิตประจำวันของคนยิว

พระวิญญาณเสด็จมาตามพระสัญญา

กิจการ 2:1-3
เทศกาลเพนเตคอสต์ เป็นเทศกาลที่ดึงดูดยิวจากพื้นที่ห่างไกล เทศกาลอื่น ๆ อยู่ในช่วงเวลาที่มีพายุ การเดินทางลำบาก เทศกาลนี้ฉลองกันในวันที่ห้าสิบหลังจากเทศกาลปัสกา วันที่ 16 เดือนนิสาน (ซึ่งเป็นเทศกาลที่พระเยซูสิ้นพระชนม์พอดี) เป็นการระลึกถึงการที่พระเจ้าประทานบัญญัติให้จากภูเขาซีนายและเป็นการถวายผลแรกแด่พระเจ้า ถ้าจะนับจากวันที่พระเยซูเสด็จสู่สวรรค์ พวกเขารอมาสิบวันพอดี
เมื่อพวกศิษย์มารวมเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน พระสัญญาที่พระเยซูตรัสไว้ก็เกิดขึ้น มีเสียงพายุสนั่นจากฟ้า เสียงดังสนั่นได้บอกว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จมาด้วยฤทธิ์เดชยิ่งใหญ่ ดังก้องไปทั้งบ้านที่เขารวมกันอยู่ คำว่าวิญญาณ เป็นคำเดียวกับ ลม ลมหายใจ นี่เป็นเสียงของพระวิญญาณที่กำลังเทลงมายังศิษย์ทั้งหลาย ไม่ใช่เป็นลมที่พัดแรง แต่เป็นเสียงเหมือนพายุ

การเทลงมาของพระวิญญาณครั้งนี้ …มีคนเป็นพยานต้นเรื่องถึง 120 คน และไม่ใช่แค่เสียงพายุกล้าเท่านั้น แต่พวกเขายังเห็นเปลวไฟเล็ก ๆ เหนือทุกคน ไฟ เป็นสัญลักษณ์ของการสถิตของพระเจ้า ( ปฐมกาล 15:17, อพยพ 3:2-6, ลูกา 3:16) แต่ครั้งนี้เป็นไฟที่ประหลาด แบ่งให้กับทุกคน มัทธิว 3:11 ยอห์นผู้ให้บัพติศมาบอกว่า พระเยซูจะบัพติศมาท่านด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ และด้วยไฟ…
พวกเขาได้ยิน ได้สัมผัสด้วยตา และได้กล่าวออกมาด้วยปากของพวกเขา

นี่เป็นการเริ่มต้นยุคใหม่ อิสราเอลไม่เคยมีอย่างนี้มาก่อน สิบวันหลังจากที่พระเยซูเสด็จสู่สวรรค์พระองค์ก็ได้ส่งพระวิญญาณผู้ทรงเต็มด้วยฤทธิ์เดชลงมายังคนของพระองค์ คนทั้งหลายเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน มีเป้าหมายเดียวกัน พระเจ้าองค์เดียวกัน คริสตจักรที่พระเจ้าทรงประสงค์ได้เกิดขึ้นแล้ว ตรงตามพระสัญญาของพระเยซูในมัทธิว 16:18 ที่ว่าพระองค์จะทรงสร้างคริสตจักร และประตูแห่งความตายจะเอาชนะคริสตจักรไม่ได้ และอีกครั้งใน ยอห์น 14:26 พระบิดาจะทรงส่งพระวิญญาณมาในนามของพระองค์เพื่อสอนทุกสิ่งให้ เราจะเห็นจากเหตุการณ์นี้ว่า การบัพติศมาด้วยพระวิญญาณนั้น นำให้ผู้เชื่อได้กลายเป็นพระวิหารแห่งพระวิญญาณ ที่ต้องเติมด้วยพระวิญญาณเสมอ
1** เลวีนิติ 23:15, กิจการ 1:14, โรม 15:6,
2** กิจการ 4:31, ยอห์น 3:8,
3** มัทธิว 3:11,

กิจการ 2:4-8
พอพระวิญญาณทรงเติมเต็มพวกเขา พระองค์ทรงบันดาลให้เขาพูดเป็นภาษาต่าง ๆ ตามท้องถิ่นของคนที่เข้ามาเยี่ยมกรุงเยรูซาเล็มในเวลานั้น ซึ่งน่าจะไม่ต่ำกว่ายี่สิบภาษา ทั้งชายหญิงที่อยู่ในห้องน้ันต่างพูดภาษาท้องถิ่นแตกต่างกันไป ทำให้เรารู้ว่าพระเจ้าทรงพอพระทัยที่จะให้ทั้งชายหญิงเป็นผู้กล่าวพระคำ และทรงเปิดโลกของทุกคนที่เข้ามาให้รู้ว่า พระองค์พอพระทัยให้ชนทุกชาติได้ยินข่าวประเสริฐของพระองค์ ไม่มีอุปสรรคของชาวยิว ชาวต่างชาติตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

คนยิวที่ได้ยินภาษาท้องถิ่นของเขา เป็นคนที่ยำเกรงพระเจ้า มาจากพื้นที่แถบเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งพวกเขามักจะเดินทางเข้ามากรุงเยรูซาเล็มในช่วงเวลาเทศกาล และเทศกาลเพนเตคอสต์ ก็เป็นช่วงเวลาของปีที่เดินทางสะดวกที่สุด อากาศจะดีไม่มีอุปสรรคมากเหมือนช่วงอื่น ๆ ของปี พอได้ยินคำกล่าวยกย่องถึงราชกิจอัศจรรย์ของพระเจ้าเป็นภาษาตนดังนั้น
ก็เลยมาชุมนุมกัน ต่างได้ฟังเรื่องราวในภาษาของตน พวกเขาตั้งคำถามแรกเพราะประหลาดใจมากว่า คนกาลิลีมาพูดภาษาถิ่นของพวกเขาได้อย่างไร พวกเขาตื่นตะลึง ประหลาดใจ พิศวง
4** กิจการ 1:5, มาระโก 16:17, กิจการ 10:46, 19:6, 13:52, 1 โครินธ์ 12:10,28, 30, 13:1
5** ลูกา 2:25, กิจการ 8:2, 10:7, 13:50 
6** กิจการ 4:32, 3:1
7** กิจการ 1:11, 2:12, 14:11-12, มัทธิว 26:73. 8** –

กิจการ 2: 9-13
ตอนที่พระวิญญาณทรงลงมาเหนืออัครทูตและพี่น้องผู้เชื่อในวันเพนเตคอสต์นั้น คนที่ได้ยินพวกเขาพูดภาษาของตนต่างถามกันเป็นคำถามที่สองว่า “นี่หมายความว่าอย่างไร?”
เมื่อเราย้อนไปที่กิจการ 1:4-8 ซึ่งเป็นคำบัญชาของพระเยซูให้พวกเขารอตามพระสัญญาของพระบิดา พระองค์ตรัสว่า อีกไม่กี่วัน พวกเขาจะได้รับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณ เพื่อจะได้ออกไปเป็นพยานฝ่ายพระเยซู ตั้งแต่ในเมืองหลวง ในสะมาเรีย จนสุดปลายแผ่นดิน
จริง ๆ แล้ว นี่เป็นรูปแบบเดียวกันกับก่อนที่พระเยซูจะทำราชกิจของพระองค์ พระวิญญาณทรงลงมาเหนือพระองค์ ในครั้งที่ทรงรับบัพติศมาจากยอห์น ดังนั้น ศิษย์ของพระเยซูจะทำการของพระองค์โดยขึ้นอยู่กับพระวิญญาณเช่นกัน
“เพนเตคอสต์ มีความหมายว่าพระเจ้าทรงจัดเตรียมคริสตจักรของพระองค์ให้พร้อมด้วยฤทธิ์เดชแห่งพระวิญญาณเพื่อว่าพระเจ้าจะทรงได้รับพระเกียรติสิริท่ามกลางชาติต่าง ๆ ในโลกนี้ ” อ่านเพิ่มเติม ฮาบากุก 2:14
ชาวยิวที่มาจากพื้นที่ต่าง ๆ นั้นได้ยินภาษาท้องถิ่นของเขาจากปากชาวกาลิลีที่ไม่เคยพูดภาษาของพวกเขามาก่อน คำที่พูดคือ พวกเขากล่าวถึงงานอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า จะไม่ให้พวกเขาตกใจ ประหลาดใจ งุนงงได้อย่างไร
ในวันนี้เอง เป็นวันเริ่มต้นของการประกาศพระสิริของพระเจ้าไปตามชาติต่าง ๆ จนสุดปลายโลก โดยพระเจ้าทรงเริ่มให้ด้วยพระวิญญาณของพระองค์เอง
9** 1 เปโตร 1:1, กิจการ 18:2, 16:6, วิวรณ์ 1:11 10** กิจการ16:6,
11** ฮีบรู 2:4, อพยพ 15:11. 12** กิจการ 17:20,

คำเทศนาแรกของท่านเปโตร

กิจการ 2:14-16
คำเทศนาของท่านเปโตรในวันเพนเตคอสต์.
เมื่อท่านเปโตรยืนกล่าวคำปกป้องเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น. ท่านยืนขึ้นพร้อมกับอัครทูตอีก 11 ท่าน
ไม่ได้ยืนอยู่คนเดียว และทุกคนที่กำลังพูดภาษาต่าง ๆ ก็หยุดพูด ทุกคนกลายเป็นฟังท่านเปโตรที่กำลังพูดขึ้นด้วยเสียงอันดัง เป็นคำกล่าวที่ไม่ได้เตรียมมาก่อน แต่เป็นช่วงเวลาที่พระวิญญาณทรงทำการในท่านเปโตร นี่เป็นคำเทศนาแรกต่อผู้คนจำนวนมากที่กำลังจะเชื่อ และเกิดเป็นคริสตจักรของพระเยซูคริสต์ในวันนั้น
การเกิดขึ้นของคริสตจักรครั้งนี้ มีพลังเหลือล้นจากพระเจ้า เหมือนระเบิดที่รุนแรง และคำเทศนาครั้งแรกนั้นก็ขยายเลื่องลือออกไปทั่วดินแดน กลายเป็นการประกาศที่นำออกไปโดยผู้คนจากที่ต่าง ๆ การเปลี่ยนแปลงในชีวิตคนที่เกิดขึ้นทำให้รู้ว่านี่เป็นการทำงานของพระเจ้า
ท่านบอกตรงๆ ว่านี่เก้าโมงเช้าเอง ใครจะไปดื่มเหล้ากัน ส่วนใหญ่แล้วคนยิวที่เคร่งครัดจะไม่กินหรือดื่มจนกว่าบ่ายสามหลังจากที่พวกเขาอธิษฐานกันเสร็จแล้ว
แล้วท่านเปโตรก็กล่าวถึงคำพยากรณ์นานกว่า 700 ปีที่ท่านโยเอลได้กล่าวไว้ นี่แสดงว่าท่านเข้าใจคำพยากรณ์นั้นเป็นอย่างดี …
14. อิสยาห์ 58:1, 15** 1 เธสะโลนิกา 5:7, 1 ซามูเอล 1:15. 16** โจเอล 2:28-32

กิจการ 2:17-18
เปโตรอธิบายเหตุการณ์ประหลาดของวันเพนเตคอสต์ให้ทุกคนได้เข้าใจ
สิ่งที่เกิดขึ้น ที่ทุกคนเห็นนั้น พระเจ้าทรงบอกล่วงหน้าผ่านผู้เผยพระคำโจเอลมาก่อนแล้ว
ยุคสุดท้ายคือ ช่วงเวลาระหว่างพระเยซูเสด็จมาบังเกิดในโลกจนถึงวันที่พระเยซูเสด็จกลับมาอีกที
พระเจ้าจะทรงเทพระวิญญาณมาเหนือคนของพระองค์
โดยไม่จำกัดอายุ เพศ ชนชั้น และจะส่งต่อไปยังทุกชนชาติด้วยไม่เว้นใครเลย พระเยซูคริสต์ทรงทำลายกำแพงที่กั้นระหว่างคนยิวกับคนต่างชาติเรียบร้อย
แต่น่าเสียดาย ยังมียิวที่ไม่ยอมรับเรื่องนี้ คิดว่าพวกเขาเท่านั้นที่พระเจ้าทรงเลือก เปโตรอธิบายเหตุการณ์ประหลาดของวันเพนเตคอสต์ให้ทุกคนได้เข้าใจ
สิ่งที่เกิดขึ้น ที่ทุกคนเห็นนั้น พระเจ้าทรงบอกล่วงหน้าผ่านผู้เผยพระคำโยเอลมาก่อนแล้ว
ยุคสุดท้ายคือ ช่วงเวลาระหว่างพระเยซูเสด็จมาบังเกิดในโลกจนถึงวันที่พระเยซูเสด็จกลับมาอีกที
พระเจ้าจะทรงเทพระวิญญาณมาเหนือคนของพระองค์
โดยไม่จำกัดอายุ เพศ ชนชั้น และจะส่งต่อไปยังทุกชนชาติด้วยไม่เว้นใครเลย พระเยซูคริสต์ทรงทำลายกำแพงที่กั้นระหว่างคนยิวกับคนต่างชาติเรียบร้อย
แต่น่าเสียดาย ยังมียิวที่ไม่ยอมรับเรื่องนี้ ยังมียิวที่คิดว่า พวกเขาเท่านั้นที่พระเจ้าทรงเลือก
17** อิสยาห์ 44:3, เอเสเคียล 11:9, เศคาริยาห์ 12:10, ยอห์น 7:38, กิจการ 10:45, กิจการ 21:9
18** กิจการ 21:4,9, 1 โครินธ์ 12:10

กิจการ 2:19-21
สิ่งที่พระเจ้าทรงบอกล่วงหน้า ได้สำเร็จไปส่วนหนึ่งแล้วคือการที่พระเจ้าเทพระวิญญาณลงมา
แต่ยังมีคำพยากรณ์อีกที่ยังไม่สำเร็จ คือกล่าวถึงวันที่พระเจ้าจะเสด็จมา
เป็นวันที่จะเห็นหมายสำคัญเกิดขึ้นในธรรมชาติ ในท้องฟ้า ทุกดวงตาจะเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น
และมีการเชิญชวนให้ใครก็ตามที่ร้องออกพระนามของพระเจ้าจะรับการช่วยให้รอด ไม่ได้จำกัดแค่คนยิวอีกต่อไป
19** โยเอล 2:30-31, มาลาคี 4:1-6, เศฟันยาห์ 1:14-18
20** อิสยาห์ 13:10, เอเสเคียล 32:7, มัทธิว 24:29, มาระโก 13:24,25, ลูกา 21:25
21** โรม 10:12-13, สดุดี 86:5, ฮีบรู 4:16

เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับพระเยซูโดยตรง

กิจการ 2:22-24
เมื่อกล่าวถึงคำพยากรณ์แล้ว ท่านเปโตรหันมากล่าวถึงพระเยซู
เรื่องนี้สำคัญ เพราะขณะที่ท่านเปโตรและผู้เชื่อยืนยันว่า พระเยซูทรงเป็นพระเมสสิยาห์ หรือพระผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมเพื่อนำความรอดบาปมาให้โลกนี้ ยิวส่วนใหญ่ไม่เชื่อ พวกเขาคิดว่าเขาต้องรอต่อไปความเห็นของพวกเขาคือ “ท่านเยซูผู้นี้ไม่ใช่พระเมสสิยาห์” พระเมสสิยาห์จะต้องเป็นนักรบนำพาให้พวกเขาพ้นจากอำนาจการปกครองของคนต่างชาติต่างหาก

คำเทศนาต่อไปตอนนี้ ท่านเปโตร พิสูจน์ให้คนยิวรู้ว่า คนที่พวกเขาตรึงบนไม้กางเขนนั้น เป็นพระเมสสิยาห์จริง ๆเพราะในสามปีที่ผ่านมา พวกเขาได้เห็นการอัศจรรย์ สิ่งที่น่าพิศวง และหมายสำคัญที่พระเยซูทรงกระทำ ผู้ที่ฟังท่านเปโตรอยู่นั้น ก็ได้เห็นเป็นพยานอยู่แล้ว …

ท่านเปโตรยืนยันว่า พระเยซูถูกมอบไว้ให้กับพวกเขาตามที่พระเจ้าทรงวางแผนล่วงหน้า ไม่ใช่เพราะพระเยซูอ่อนแอ พ่ายแพ้คนชั่ว แต่เพราะพระเจ้าทรงกำหนดให้เป็นเช่นนั้น พระเจ้าทรงยอมให้ชาวโรมเป็นผู้ตรึงพระองค์ตามความต้องการของเหล่าผู้นำยิวทั้งหลาย
แต่แล้วพระเจ้าก็ทรงทำตามแผนของพระองค์ต่อไป โดยการให้พระเยซูคืนชีพขึ้นมา ที่พระเยซูคืนชีพเพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า และทรงมีอำนาจเหนือความตาย

22** ยอห์น 3:2, 5:6, 14:10-11, อิสยาห์ 50:5,กิจการ 10:38
23** มัทธิว 26:4, ลูกา 22:22, กิจการ 3:18, 4:28, 1 เปโตร 1:20, กิจการ 5:30,
24** โรม 8:11, 1 โครินธ์ 6:14, 2 โครินธ์ 4:14, เอเฟซัส 1:20, โคโลสี 2:12, 1 เธสะโลนิกา 1:10, ฮีบรู 13:20

กิจการ 2:25-32
พระคำช่วงนี้ ข้อ 25 -32 นี้ เมื่ออ่านครั้งแรกอาจจะเข้าใจยากสักนิด เพราะท่านเปโตรเองก็
กล่าวย้อนไปมา สรุปว่า กษัตริย์ดาวิด เขียนสดุดี 16:8-11 โดยกล่าวถึงผู้หนึ่งที่อยู่ข้างขวามือ ทำให้ท่านไม่กลัว ใจก็ยินดี ลิ้นก็สรรเสริญ มีความหวังใจ เพราะ พระเจ้าจะไม่ทิ้งให้อยู่ในแดนตาย ไม่ต้องเปื่อยเน่า จะคืนชีพขึ้นมา ผู้นั้นกษัตริย์ดาวิดเรียกว่า “องค์บริสุทธิ์” ซึ่งเป็นหนึ่งในวงศ์วานของท่านเป็นลูกหลานของท่านที่ยิ่งใหญ่กว่าท่านมากมายนัก
ดาวิดเองไม่ได้เห็นว่า องค์บริสุทธิ์เป็นใคร แต่คำของท่านเป็นคำพยากรณ์ล่วงหน้ากว่าพันปี!

25** สดุดี 16:8-11, 62:6, 109:31, อิสยาห์ 41:13. 26** สดุดี 16:9, 71:23, 30:11.     27** กิจการ 13:30-37, วิวรณ์ 1:18,    28** สดุดี 16:11, 21:6.   29** กิจการ 13:36.   30** สดุดี 132:11, 89:3-4, เยเรมีย์ 33:14-15   31** สดุดี 16:10, กิจการ  13:15 32** กิจการ 2:24, กิจการ 1:8, 3:15

กิจการ 2:33-36
พระเยซูผู้ที่คืนชีพมานั้น ตอนนี้ ได้ไปอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าบนสวรรค์แล้ว
และพระองค์เคยสัญญาจะให้พระวิญญาณบริสุทธิ์
พระองค์ก็ทรงทำให้เห็นต่อหน้าต่อตาในวันนี้
เปโตรย้ำอีกชัดเจนว่า พระเจ้าทรงตั้งให้พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าและพระเมสสิยาห์
(คือเป็นทั้งเจ้านาย และพระผู้ช่วยให้รอดของมนุษย์)
33** กิจการ 5:31, ฮีบรู 10:12, ยอห์น 14:26, กิจการ 2:1-11,17 , 10:45. 34** สดุดี 68:18, 110:1, มัทธิว 22:42-45 35** โรม 16:20 36** โรม 14:8-12, 2 โครินธ์ 5:10

คำเชิญให้เชื่อพระเยซู

กิจการ 2:37-41
พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงทำการในจิตใจของผู้คนที่ยืนตรงนั้น (ยอห์น 16:8-11) พวกเขารู้สึกเจ็บแปลบในหัวใจมาก ๆ พร้อม ๆ กัน เหตุคือพวกเขาปฏิเสธพระเยซู!
เมื่อได้ยินเรื่องการสิ้นชีพ คืนชีพ พระวิญญาณทรงช่วยให้เขาสำนึกถึงบาปในชีวิต
และทรงช่วยให้พวกเขาไม่ต่อต้านอีกต่อไป แต่ยอมรับความจริงที่ได้ยินจากท่านเปโตร และพวกเขาอยากรู้ว่าต้องทำอย่างไร ในเมื่อได้ยินเรื่องเหล่านี้แล้ว
เปโตรบอกทันทีให้พวกเขาเปลี่ยนความคิด ให้เขากลับใจ ซึ่งหมายความว่า ให้เปลี่ยนการดำเนินชีวิตแบบเดิมที่เป็นชีวิตบาป หันหลังให้ทางนั้น หันมาหาพระเจ้า วางใจในพระเยซู และการหันจากบาปนั้นจะทำได้สำเร็จเพราะพระเจ้าทรงช่วยเราและอย่างที่สองท่านให้พวกเขารับบัพติศมา เพื่อสื่อให้ผู้อื่นรู้ว่า ตนตัดสินใจแล้วว่าจะเดินทางของพระเจ้า จะเชื่อวางใจพระเยซู
จากนั้นพวกเขาจะได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์จากพระเจ้า
ท่านเปโตรย้ำว่า พระเจ้าทรงเรียกทั้งพวกเขา และลูกหลานของพวกเขาที่กำลังจะเกิดมาด้วย รวมไปถึงชนชาติต่าง ๆ ที่พระเจ้าจะทรงเรียกไม่ว่าจะเป็นใครอยู่ในศาสนาอะไร
ท่านเองเตือนพวกเขาให้ช่วยตนเองให้พ้นจากความหลงผิดของคนที่ได้ตรึงพระเยซูบนไม้กางเขน
และในหมู่คนเหล่านั้น มีคนที่ยอมรับคำของเปโตร และรับเชื่อ 3000คนในวันเดียว!
นี่คือวันที่คริสตจักรเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก
37** ลูกา 3:10,  กิจการ 22:10 38** ลูกา 24:47, กิจการ22:16, 10:48 39** โยเอล 2:28,32, เอเฟซัส 2:13, 4:4, โรม 8:30. 40**  ฟีลิปปี 2:15, ฉธบ. 32:5. 41** กิจการ 4:4, 13:48, 16:31-34

ชีวิตของคริสตจักรแรก

กิจการ 2:42-43
ผู้เชื่อจากคน 120 คน กลายเป็น 3120 คนในวันเดียว เชื่อแล้วอยู่เฉยหรือ? เปล่าเลย
อัครทูตช่วยสอนพวกเขา มีการพบปะกันเพื่อคุยกันเรื่องของชีวิตใหม่
มีการหักขนมปังคือ การระลึกถึงพระเยซูคริสต์ มีการอธิษฐานเผื่อกันและกัน
ส่วนอัครทูตยังทำการอัศจรรย์ หมายสำคัญต่าง ๆ เพื่อช่วยคนป่วย คนมีปัญหาชีวิต
ความยำเกรงพระเจ้าอยู่ในบรรยากาศนั้น การอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นทำให้พวกเขารู้ว่า
พระเยซูที่ทรงทำการอัศจรรย์และหมายสำคัญนั้น ยังคงทำการของพระองค์ไม่หยุดยั้ง
ผ่านผู้ที่เชื่อในพระองค์​
42** กิจการ 1:14, ฮีบรู 10:25, 1 ยอห์น 1:3
43** กิจการ 2:22, 9:40, 5:15-16

กิจการ 2:44-45
บัดนี้พวกเขามีพระวิญญาณอยู่ในชีวิต เป็นพระคริสต์ที่ทรงคืนชีพอยู่ในพวกเขา
จึงเกิดความแตกต่างอย่างชัดเจน ทุกคนมีหัวใจคิดถึงคนอื่นมากกว่าตัวเอง อยู่กันเป็นชุมชน ตอนนี้พวกเขายังอยู่ในเยรูซาเล็ม
ความรักในหมู่พี่น้องเกิดขึ้นไม่ได้เกิดจากการบังคับ แต่มาจากความเข้าใจในความรักของพระเยซู เกิดจากหัวใจที่เปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง
ผู้เขียนได้บันทึกการมีน้ำใจที่เสียสละอย่างที่พวกเขาไม่เคยเป็นมาก่อน
คนที่เคยตระหนี่ถี่เหนียวก็เปลี่ยนแปลงไป เป็นการเปลี่ยนชีวิต เปลี่ยนสังคม
เปลี่ยนหน้ามือเป็นหลังมือ ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นอย่างนี้ไปได้
44** กิจการ 4:32,34,37, 5:2. 45**  อิสยาห์ 58:7, 1 ยอห์น 3:17, 1 ทิโมธี 6:18-19

กิจการ 2:46-47
พวกเขากลายเป็นกลุ่มชนที่คนอื่นต้องจับตามอง การไปประชุมที่พระวิหารก็ง่ายสำหรับ
ให้พวกเขารวมตัวกันมากฟังพระคำไปพร้อม ๆ กัน การรวมตัวในบ้านก็ช่วยให้มีโอกาส
ถามสิ่งที่สงสัย ช่วยกันแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ได้มีการอธิษฐานเผื่อกันอย่างใกล้ชิด
พวกเขาได้สรรเสริญพระเจ้าและเป็นที่ชื่นใจของคนอื่น ๆ ด้วย แถมยังมีคนเข้ามาเชื่อ
ทุก ๆ วันอีก … อย่างนี้พวกฟาริสีจะว่าอย่างไร? รัฐบาลโรมจะทนไหม?
46**  กิจการ 1:14, ลูกา 24:30,53, 2:42, 20:7, 1 โครินธ์ 10:16
47**. กิจการ 5:14, 16:5, 1 โครินธ์ 1:18