1 โครินธ์ 10 ตัวอย่างจากอดีต

1 โครินธ์ 10:1-2
พี่น้องทั้งหลาย ข้าอยากให้ท่านได้รู้ว่า บรรพบุรุษของเราได้อยู่ใต้เมฆ และต่างผ่านทะเลไป
ทุกคนรับบัพติศมาเข้าส่วนกับโมเสสในก้อนเมฆ และทะเล

1 โครินธ์ 10:3-4
ทุกคนได้รับประทานอาหารฝ่ายวิญญาณเดียวกัน
และทุกคนได้ดื่มจากศิลาฝ่ายวิญญาณ
ที่ติดตามพวกเขาไป และศิลานั้นคือพระคริสต์

1 โครินธ์ 10:5-6
แต่พระเจ้าไม่ทรงพอพระทัยคนส่วนมากและพวกเขาก็ได้ล้มตายกันในถิ่นกันดารสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเพื่อเป็นตัวอย่างให้แก่เรา เพื่อว่าเราจะไม่โหยหาสิ่งที่ชั่วเหมือนพวกเขา
1 โครินธ์ 10:7-8
ดังนั้น จงอย่ากราบไหว้รูปเคารพ เหมือนที่บางคนในพวกเขาทำ เพราะมีคำเขียนว่า“ประชาชนนั่งลงเพื่อกินและดื่ม แล้วลุกขึ้นเล่นมั่วสุมกัน” อย่าทำผิดทางเพศเหมือนที่พวกเขาทำ และล้มตายกันเกลื่อนถึง 23,000 คนภายในวันเดียว

1 โครินธ์ 10:9-10
อย่าให้เราลองดีกับองค์พระผู้เป็นเจ้าเหมือนอย่างที่บางคนทำ
แล้วถูกงูกัดตายไป และอย่าบ่น เหมือนกับบางคนทำแล้วถูกประหารด้วยทูตมรณะ
1 โครินธ์ 10:11-12
เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นกับพวกเขาเพื่อเป็นตัวอย่าง และถูกบันทึกไว้เพื่อเตือนใจพวกเราที่จะเผชิญกับยุคสุดท้าย
ดังนั้น คนที่คิดว่าตัวเองยืนมั่นคงให้ระวังตัวว่า จะไม่ล้มลง

1 โครินธ์ 10:13
ไม่มีการทดสอบใด ๆ จะเกิดกับท่านโดยไม่ได้เกิดกับคนอื่นมาก่อน และพระเจ้าทรงซื่อตรง พระองค์จะไม่ทรงยอมให้ท่านถูกทดสอบเกินกว่าที่ท่านจะทนได้ และเมื่อถูกทดสอบอย่างยากเย็นนั้น พระองค์จะทรงให้มีทางออก ด้วย เพื่อว่าพวกท่านจะสามารถอดทนได้
1 โครินธ์ 10:14-15
ดังนั้น เพื่อนที่รักของข้า จงหนีจากการไหว้รูปเคารพ
ข้ากำลังพูดกับท่านอย่างที่พูดกับคนมีปัญญา​
ขอให้ท่านพิจารณาสิ่งที่ข้าพูดเถิด

1 โครินธ์ 10:16
ถ้วยแห่งพระพรที่เราได้กล่าวขอพรไม่ได้เป็นสิ่งที่เรามีส่วนร่วมกับพระโลหิตของพระคริสต์หรือ? ขนมปังที่เราฉีกออกไม่ได้เป็นสิ่งที่ทำใหเ้รามีส่วนในพระกายของพระคริสต์หรือ?
1 โครินธ์ 10:17-18
เป็นเพราะมีขนมปังก้อนเดียวเราซึ่งมีหลายคนจึงเป็นหนึ่งในกายเดียวเพราะเราทุกคนต่างกินจากขนมปังก้อนเดียวกัน ดูประชาชนอิสราเอลสิคนที่กินอาหารไหว้รูปเคารพก็มีส่วนร่วมในแท่นบูชานั้นไม่ใช่หรือ?

1 โครินธ์ 10:19-20
ข้ากำลังกล่าวว่า รูปเคารพ หรืออาหารที่นำมาบูชาเคารพ มีความศักดิ์สิทธิ์อย่างนั้นหรือ? ไม่ใช่เช่นนั้น ข้ากำลังหมายความว่า สิ่งที่พวกเขาบูชารูปเคารพนั้น เป็นการบูชาผีมาร ไม่ใช่เป็นการ
ถวายพระเจ้า ดังนั้นข้าจึงไม่ต้องการให้ท่านมีส่วนร่วมกับพวกผีมาร
1 โครินธ์ 10:21-22
ท่านจะดื่มจากถ้วยขององค์พระผู้เป็นเจ้าและถ้วยของมารไม่ได้
เราจะกระตุ้นความหวงแหนขององค์พระผู้เป็นเจ้าหรือ?

เรามีกำลังมากกว่าพระองค์อย่างนั้นหรือ?

1 โครินธ์ 10:23-24
เราทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งที่ทำนั้นจะเป็นประโยชน์
เราทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งที่ทำนั้นจะเสริมสร้างเราขึ้น
อย่าเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนคนเดียวแต่จงเห็นแก่ประโยชน์ของคนอื่นด้วย
1 โครินธ์ 10:25-26
ทุกสิ่งที่เขาขายในตลาด เป็นเนื้อที่รับประทานได้ ไม่ต้องมัวซักถามรายละเอียดเพื่อเห็นแก่มโนธรรม เพราะว่า “ทั้งโลกและสารพัดสิ่งในโลกเป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้า

1 โครินธ์ 10:27-28
ถ้าคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า เชิญท่านไปในงานเลี้ยง และท่านอยากไป ทุกสิ่งที่เขาวางไว้ให้รับประทาน ก็รับประทานได้โดยไม่ต้องถามอะไรเพื่อเห็นแก่มโนธรรมแต่หากเกิดมีใครมาบอกว่า “อาหารนี้ใช้บูชารูปเคารพไปแล้ว” ก็อย่าแตะต้องเพื่อเห็นแก่คนที่บอก และเห็นแก่มโนธรรม
1 โครินธ์ 10:29-30
ข้าหมายถึงมโนธรรมของคนนั้น ไม่ได้หมายถึงของท่าน ทำไมอิสรภาพของข้าจะต้องถูกตัดสินด้วยมโนธรรมของผู้อื่น?
ถ้าข้ารับประทานด้วยใจขอบพระคุณแล้วเหตุใด จึงมีคนกล่าวร้าย ในเมื่อได้ขอบพระคุณไปแล้ว?

1 โครินธ์ 10:31-32
ดังนั้น ไม่ว่าท่านจะดื่ม จะกินสิ่งใดก็จงทำทุกอย่างเพื่อถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า อย่าเป็นต้นเหตุทำให้พวกยิว กรีก หรือคริสตจักรของพระเจ้าหลงผิดสะดุดไป
1 โครินธ์ 10:33
แม้ข้าเอง ก็พยายามทำทุกสิ่งเพื่อให้ทุกคนพอใจ ไม่ได้เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน แต่เห็นแก่คนจำนวนมากเพื่อพวกเขาจะได้รับความรอด

1 โครินธ์ 10:1-2
เรื่องต่อไปในบทนี้ เป็นเรื่องของการไหว้รูปเคารพซึ่งมีตัวอย่างเกิดขึ้นในสมัยของโมเสส ที่ได้นำคนอิสราเอลออกมาจากการเป็นทาสในอียิปต์ ซึ่งเหตุการณ์นี้เป็นต้นแบบบ่งถึงการที่เราทุกคนได้ออกจากชีวิตบาปเข้ามาสู่ชีวิตใหม่ในพระคริสต์ ท่านเปาโลกำลังบอกว่า ทุกคนที่ออกมาจากอียิปต์
ได้ผ่านประสบการณ์ในการเดินผ่านทะเลบนดินแห้งได้เข้าส่วนในการเกิดมาเป็นชนชาติใหม่ ได้ฝังอดีตในทะเลนั้น ได้ทำลายศัตรูราบคาบในทะเลนั้น

1 โครินธ์ 10:3-4
ทุกคนได้กินมานา และนกคุ่ม เป็นอาหารที่มีคุณค่าครบ ทำให้พวกเขายังไปต่อได้ แต่น่าสังเกตว่าคนสองล้านคนที่เดินทางไปด้วยกัน ที่ควรใช้เวลาเพียงประมาณ 7-8 วัน กลับต้องใช้เวลานานถึง 40 ปี ในช่วงเวลาเหล่านั้น พวกเขามีทั้งอาหารและน้ำให้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ยกเว้นมีบาง
โอกาสที่ทำให้พวกเขาบ่นว่า โมเสสอย่างไม่ไว้หน้าท่านเปาโลมีความเห็นว่า ศิลาที่น้ำไหลมาให้เขาดื่มนั้นคือพระคริสต์ ที่ไปกับพวกเขาตลอดทาง

1 โครินธ์ 10:5-6
และที่ท่านเปาโลได้เอาเรื่องของพวกเขามาเป็นตัวอย่างให้พี่น้องในโครินธ์ก็เพื่อพวกเขาจะไม่ทำบาปอย่างคนอิสราเอลในสมัยก่อนนั้น ในหมู่คนจำนวนมาก แม้จะมีคนที่เชื่อฟังอยู่บ้าง แต่คนส่วนใหญ่ก็เป็นคนประเภทบ่นไม่หยุด กร่างในเรื่องต่าง ๆ หาเรื่องได้ทุกวัน และแถมยังโวยวายกับโมเสสว่าอยากกลับไปกินอาหารในอียิปต์ เบื่ออาหารที่พระเจ้าประทานให้ในถิ่นกันดารจนแทบอาเจียน เรา ไม่เห็นความกตัญญูของคนพวกนี้

1 โครินธ์ 10:7-8
ชายอิสราเอลได้ทำผิดทางเพศกับหญิงชาวโมอับที่มาชวนให้พวกเขาเซ่นไหว้พระ โดยพีธีกรรมคือการมั่วเพศนั่นเอง และวันนั้น พระเจ้าทรงพิโรธจัดมาก ท่านเปาโลไม่ต้องการให้พี่น้องโครินธ์ทำผิดต่อพระเจ้าแล้วเจอกับภัยพิบัติที่น่ากลัวในกันดารวิถี 25:9 บันทึกว่า ตายทั้งหมดถึง 24000 คน นั่นคือคนที่ตายจากวิบัติครั้งนั้น แต่อาจรวมถึงวันต่อ ๆ มาด้วย แต่สมัยนี้แปลกผู้เชื่อจำนวนมากไม่ได้กลัวพระเจ้าเลย

1 โครินธ์ 10:9-10
คนอิสราเอลโบราณ พี่น้องชาวโครินธ์ และเราทุกคนที่ได้เข้ามาอยู่ในร่มพระคุณของพระเจ้า มีประสบการณ์เดียวกัน ได้รับการไถ่สู่ชีวิตใหม่เช่นกัน สิ่งที่ท่านเปาโลกำลังบอกเราก็คือ อย่าไปทำตัวอวดดีต่อพระเจ้า บ่นว่า ไม่พอใจโดยไม่ได้ดูว่าตนเองไม่มีดีจะอวด ไม่ได้ทำประโยชน์ให้ใครมีแต่จะเอาข้างเดียวเท่านั้น คนที่บ่น คนที่ชอบลองดีทั้งหลาย มักเป็นคนที่ไม่เป็นโล้เป็นพายทั้งสิ้น

1 โครินธ์ 10:11-12
การที่รู้ว่าตัวเองใกล้ชิดพระเจ้า และยังอยู่ในการป้องกันของพระองค์นั้น ปลอดภัยแน่ แต่คนที่คิดว่าตัวเองมั่นคง เป็นความคิดที่กลายเป็นพึ่งพาความเก่งกาจของตนเอง เป็นคนที่คิดว่า ตนเองเก่ง ไม่มีทางหลงไปจากพระเจ้า นี่เป็นความทะนงที่กำลังพาไปหาความพินาศ ดังนั้น ไม่ว่าเราจะ
อยู่อย่างใกล้่ชิดพระเจ้าขนาดไหนก็ตาม อย่าลืมว่าเราอาจจะพลาดพลั้ง เผลอไป ชั่ววินาทีเดียวก็อาจหมายถึงความพินาศนิรันดร์

1 โครินธ์ 10:13
เพราะการทดสอบความเชื่อจำเป็น เพราะทำให้ทุกคนต้องพิสูจน์ตนเอง ต้องถูกเผา ผู้เชื่อต้องผ่านการทดสอบด้วยวิธีต่าง ๆ ที่พระเจ้าทรงเห็นว่า
เหมาะกับเขา และหลังจากนั้น เมื่อเขาสอบผ่านเขาจะได้รับรางวัลจากพระเจ้า (ยากอบ 1 1 เปโตร………..ดังนั้น เมื่อเราเจอปัญหาใด ๆ ก็ตามให้นึกถึงข้อนี้
ว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้ที่จะให้ทางออก และการทดสอบทำให้เรารู้ว่า เนื้อแท้จริงของเราเป็นคนอย่างไร

1 โครินธ์ 10:14-15
ท่านเปาโลพยายามให้พี่น้องได้มีความเข้าใจว่าถึงจะกินเนื้อที่มาจากการไหว้รูปเคารพ ก็ไม่ได้ผิดอะไรถ้าเข้าใจว่า รูปเหล่านั้น ไม่ได้ศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีค่า แต่การไหว้รูปเคารพที่ท่านกำลังกล่าวต่อไปคือการที่พี่น้องคริสเตียน เข้าไปในวิหารของพระเหล่านั้น และเข้าร่วมในพิธีต่าง ๆ ซึ่งเป็นการผิดต่อพระเจ้าโดยตรง เพราะพระเจ้าทรงห้ามการไหว้รูปเคารพใด ๆ มาตั้งแต่ต้น ท่านขอให้เขาหลีกหนีจากการกระทำนั้น

1 โครินธ์ 10:16
เมื่อเราเข้ามาร่วมพิธี ศีลมหาสนิท เป็นสัญลักษณ์บอกว่า เราผู้เชื่อจะมีส่วนในการทนทุกข์ของพระคริสต์ ถ้วยแห่งพระพรที่มีในพิธีศีลมหาสนิทนั้น เป็น
ถ้วยที่พระเยซูทรงอวยพระพรไว้ในอาหารครั้งสุดท้ายของพระองค์ เป็นพันธสัญญาใหม่ด้วยพระโลหิตของพระองค์เอง เมื่อไรที่เราได้มีส่วนร่วมในการดื่ม เราก็ระลึกถึงการสิ้นพระชนม์ของพระองค์

1 โครินธ์ 10:17-18
ขนมปังที่แต่ละคนกินเป็นส่วนของขนมปังก้อนเดียวกัน สัญลักษณ์ที่สื่อคือ ทุกคนต่างมีส่วนในขนมปังก้อนนั้น ทุกคนมีขนมปังก้อนนั้นอยู่ในตัวเองเหมือนกัน เราจึงเป็นกายเดียว ดังนั้น ท่านเปาโลย้อนกลับไปเพื่ออธิบายความว่าการที่กินอาหารที่ไหว้รูปเคารพ เท่ากับมีส่วนร่วมในรูปเคารพ ในพิธีกรรม ในความเชื่อ ในแท่นบูชานั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เป็นการเข้าไปมีส่วนในความเชื่อที่ผิดต่อพระเจ้า

1 โครินธ์ 10:19-20
รูปเคารพเป็นสิ่งที่มองเห็น เป็นพระที่มนุษย์สร้างขึ้นด้วยมือของตัวเอง แต่หาได้มีอำนาจใด ๆมองไม่เห็น ไม่ได้ยิน พูดไม่ได้… แต่เราต้องเข้าใจว่า เบื้องหลังของความเชื่อในศาสนาใด ๆ มีอิทธิพลของมาร ที่ต้องการให้มนุษย์แสวงหาทางรอดด้วยตัวเอง ไม่ยอมมาตามทางของพระคริสต์มันต้องการเบี่ยงเบนความสนใจของมนุษย์ไปในเรื่องอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ชีวิตนิรันดร์ ท่านเปาโลเตือนไม่ให้ผู้เชื่อเข้าไปมีส่วนใด ๆ กับรูปเคารพ ผีมาร

1 โครินธ์ 10:21-22
ดังนั้น สิ่งที่เราต้องระวังคือ การไม่เข้าไปมีส่วนในพิธีใด ๆ ของความเชื่ออื่น ๆ ที่ไม่ใช่ความเชื่อตามพระคำของพระเจ้า เราจะไปมีส่วนใด ๆ ไม่ได้เลย
การกินดื่ม การทำพิธีที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความเชื่อที่แตกต่างจึงเป็นสิ่งที่คริสเตียนมีความชัดเจนและนี่เองอาจเป็นเหตุให้เกิดความบาดหมางใจกันระหว่างคนในครอบครัวที่มีความเชื่ออื่น และมันเป็นส่วนหนึ่งที่พิสูจน์ว่า เราติดตามพระเจ้าจริงไหม

1 โครินธ์ 10:23-24
อย่างไรก็ดี ยังมีอีกหลายอย่างที่เราทำได้โดยไม่ผิดต่อพระเจ้า บางอย่างเราก็รู้สึกว่า ไม่ผิดอะไรหญิงชายบางคู่อาจเช่าบ้านแบ่งกันจ่ายแล้วบอกว่า
ไม่มีอะไรกัน แต่การทำเช่นนั้นมันหมิ่นเหม่ต่อการทำบาปแถมยังทำให้พี่น้องสะดุดได้ บางคนบอกว่า การดื่ม ไม่น่าจะผิดบัญญัตินะ แต่พี่น้องที่ยังอ่อนในความเชื่อ อาจเห็นว่าเป็นสิ่งผิดมาก ๆดังนั้น แม้สิ่งที่เราทำเป็นสิ่งที่ทำได้ แต่หากมันทำ ให้เพื่อนในความเชื่องุนงง สงสัย สะดุดก็ละดีกว่า

1 โครินธ์ 10:25-26
ในเมื่อทุกสิ่งเป็นของพระเจ้า ดังนั้น เราอาจกินเนื้อที่ถูกบูชามาแล้วโดยไม่รู้หรือรู้ก็ตาม โดยที่เราเชื่อว่า รูปเคารพนั้น ไม่ได้มีฤทธิ์อำนาจใด (แต่เราจะไม่เข้าไปร่วมในพิธีที่แสดงถึงการจำนนต่ออำนาจนั้น) ท่านเปาโลพยายามให้พี่น้องได้แยกออกระหว่างการแสดงความภักดีต่อรูปเคารพ กับการที่เข้าใจว่า มันไม่มีอำนาจ

1 โครินธ์ 10:27-28
ท่านเปาโลบอกหลักการกว้าง ๆ ไว้ว่า อะไรควรและอะไรไม่ควร แต่แล้วก็ยังมีปัญหาเพิ่มเติมมาให้ฉุกคิดอีก ถ้าฉันกินสิ่งที่บูชาไปแล้ว แต่มีคนหวังดี
มาบอกว่า นี่มันเนื้อบูชา เพื่อเห็นแก่คนที่มาบอกเราก็ต้องหยุดกินเลยการที่ท่านเปาโลบอกเช่นนี้ ทำให้เรารู้ว่า การใส่ใจผู้อื่นนั้น ช่างละเอียดอ่อน และเป็นการปฏิเสธตัวเองเกือบทุกสถานการณ์

1 โครินธ์ 10:29-30
การที่ท่านเปาโลให้เรายอมก็เพื่อเห็นแก่ความรักที่เรามีต่อคนที่ห่วงใย เราอาจขอบคุณพระเจ้าเราอาจโอเคต่อสิ่งที่ทำ และรู้ด้วยว่า มันไม่ผิดอะไรแต่เมื่อพี่น้องที่ยังคงไม่เข้าใจเต็มร้อยมาเตือนเราก็น่าจะฟังและช่วยให้เขาได้เติบโต ไม่ใช่อ้างสิทธิ์ของตนเองและทำให้เขาสะดุด ซึ่งบางทีมันไม่คุ้มเลย ชีวิตฝ่ายวิญญาณของคน ๆ หนึ่งอาจพินาศไปเพราะเราไม่ใส่ใจหรือไม่แคร์ก็เป็นได้

1 โครินธ์ 10:31-32
การใช้ชีวิตคริสเตียนไม่ใช่เป็นการใช้ชีวิตตามแบบของโลก แต่เป็นการใช้ชีวิตเพื่อถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าในทุกอย่างที่ทำทุกอย่างที่คิด คอยระวังไม่ให้เกิดความเข้าใจผิด ในที่สุดแล้วก็คือ การตายต่อตนเองเพื่อให้ร่างกายของพระคริสต์ได้เติบโต ยอมตายต่อความพอใจส่วนตัวเพื่อคนอื่นจะได้รอด

1 โครินธ์ 10:33
การที่ทำให้ทุกคนพอใจ ไม่ได้หมายความว่าปฏิเสธความจริงของพระเจ้าเพื่อให้คนพอใจแต่เป็นการเข้าใจว่า แต่ละคนต่างมีความคิดการเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่แตกต่าง ท่านเปาโลจึงปฏิบัติตนในแบบที่จะทำให้ท่านเป็นเพื่อนของคนเหล่านั้น เพื่อจะมีโอกาสเป็นพยานเรื่องความรอดของพระเจ้าให้ทุกคนที่ท่านพบได้พระเจ้าทรงพอพระทัยให้เราเป็นผู้ที่มีความเข้าใจคนอื่น ๆ อ่านโรม 14:1-9

พระคำเชื่อมโยง


กิจการ 7 คำอธิบายของสเทเฟน

เริ่มต้นที่อับราฮัม


แล้วมาถึงสมัยโยเซฟ

ตามด้วยโมเสส

อิสราเอลกับรูปเคารพ

สังหารสเทเฟน

คำอธิบายพระคัมภีร์ และพระคำเชื่อมโยง

กิจการ 7:1-4. เริ่มต้นที่อับราฮัม
เมื่อถูกจับกุมตัว สเทเฟนเองไม่ได้สะทกสะท้านเลย
คนแรกที่สอบสวนเขาก็คือมหาปุโรหิต ซึ่งน่าจะเป็นคายาฟาสที่อยู่ในการสอบสวนพระเยซูนั่นเอง
สเทเฟนเองพร้อมที่จะตอบคำถามทุกอย่าง
จากกิจการบทที่ 6 เราเห็นว่าท่านถูกกล่าวหาสี่ประการ และก็จะต้องแก้ข้อกล่าวหาทั้งหมดนั้นคือ คนเหล่านั้นกล่าวว่าสเทเฟน
1 หมิ่นประมาทโมเสส
2 หมิ่นประมาทพระเจ้า
3 กล่าวร้ายต่อสถานบริสุทธิ์ และบัญญัติ 4 เขาบอกว่าท่านเยซูจะทำลายที่นี้ และเปลี่ยนสิ่งที่โมเสสได้สอนไว้
ท่านจึงได้เล่าเรื่องตั้งแต่ตอนที่พระเจ้าทรงพบอับราฮัมในดินแดนห่างไกลจากเยรูซาเล็ม โดยที่ตอนนั้นเองอับราฮัมเป็นคน ๆ หนึ่งที่พระเจ้าทรงเลือกใช้ให้เป็นต้นตระกูลของชนชาติอิสราเอล
เมื่อพระเจ้าจะใช้อับราฮัม พระองค์ทรงปรากฏพระองค์ และตรัสกับท่านโดยตรง
การเดินทางครั้งแรกของอับราฮัมนั้น ไม่ใช่ว่าจะมาที่แผ่นดินคานาอันเลย แต่ท่านกลับไปอยู่ที่เมืองฮาราน รอจนพ่อของท่านเสียชีวิตก่อน รายละเอียดการเดินทางของท่านอยู่ที่ปฐมกาล 12

กิจการ 7:5-7
สเทเฟนบอกพวกเขาชัดเจนว่า อับราฮัมไม่ได้มรดกเป็นผืนดิน แต่พระองค์ทรงมีแผนการยาวไกลสำหรับลูกหลานของอับราฮัม ซึ่งก็คือ คนเหล่านั้นที่สเทเฟนกำลังพูดด้วย
ก่อนที่ลูกหลานอับราฮัมจะได้แผ่นดินอุดมสมบูรณ์พวกเขาต้องไปเป็นทาสอยู่ 400 ปี เป็นการถูกทดสอบราวกับไฟเผาชีวิต ในช่วงเวลานั้นเองลูกหลานของอับราฮัมรู้จักพระเจ้าแล้ว และพวกเขาก็เป็นเหมือนชนกลุ่มน้อยกลุ่มหนึ่งที่เข้าไปอยู่อย่างโอ่อ่าในตอนแรก ในเวลาต่อมาจึงตกต่ำกลายเป็นทาส แต่พระเจ้าจะทรงพิพากษาผู้ที่ทำให้อิสราเอลต้องเป็นทาส
กิจการ 7:8
พันธสัญญาที่พระเจ้าประทานให้อับราฮัมนั้น มีการทำสุหนัตเป็นเครื่องหมายของพันธสัญญา และยังทำสืบเนื่องกันมาจนทุกวันนี้
ความจริงแล้ว เรื่องพันธสัญญาของพระเจ้าเป็นเรื่องสำคัญมาก หากเรามองการเสด็จมาของพระเยซู เราจะพบว่า จุดเริ่มต้นนั้นอยู่ที่พันธสัญญาของพระเจ้าที่ประทานแก่อาดัม

กิจการ 7:9-16 แล้วมาถึงสมัยโยเซฟ
จากนั้น สเทเฟนก็เล่าถึงชีวิตของโยเซฟ หนึ่งในพี่น้อง ลูก ๆ ของยาโคบ พระเจ้าทรงอยู่กับโยเซฟตลอดเวลา ทั้ง ๆ ที่เป็นคนที่พี่ ๆ เกลียดชัง ไม่ว่าชีวิตจะขึ้นหรือลง ท่านเต็มด้วยพระเจ้า แม้ว่าจะอยู่ในดินแดนที่เชื่อถือพระอื่น แต่โยเซฟก็ยังอยู่กับพระเจ้าทุกวินาที
แล้วในที่สุดครอบครัวของท่านก็เข้ามาอยู่ในอียิปต์ ที่ว่า 75 ในขณะที่ปฐมกาลว่า 70 ก็คือ สเทเฟนนับลูกชายหลานชายของโยเซฟที่เกิดในอียิปต์เข้าไปด้วย (จาก enduringword.com)

กิจการ 7:17-29 ตามด้วยโมเสส
ผ่านไป 400 ปี แม้จะเป็นทาส แต่คนยิวเป็นชนชาติที่ต้องทวีคูณ พวกเขามีลูกหลานเกิดขึ้นมากมาย
ฟาโรห์ในยุคใหม่นั้น ไม่รู้เรื่องว่า ที่ยิวเข้ามาทำให้พวกเขามีคนทำงาน ประเทศชาติเจริญขึ้น ท่านรู้สึกว่า คนยิวจำนวนมากขนาดนี้ เป็นภัยกับอียิปต์ แต่ก็เสียดายด้วยเพราะยิวแรงดี ทำงานแข็งขัน
ฟาโรห์ถึงกับสั่งฆ่าเด็กชาย แต่แล้ว ก็มีเด็กชายคนหนึ่งเกิดมาในบ้านที่รักพระเจ้า เด็กชายคนนี้ เป็นที่งดงามในพระเนตรพระเจ้า เขาเป็นคนที่พระเจ้าทรงเลือกให้ทำการใหญ่ โดยที่พ่อแม่ไม่รู้เลย แล้วเขาก็ได้กลายไปเป็นเจ้าชายในวังของฟาโรห์อย่างมหัศจรรย์
คิดดูสิ เด็กชายชาวยิว กลับกลายเป็นลูกชายของธิดาของฟาโรห์ ในเวลาเดียวกันก็มีแม่ของตนแฝงตัวเข้าไปเป็นแม่นม เป็นผู้เลี้ยงดูเขาตั้งแต่เล็ก ดังนั้น เขาจึงรู้ว่า เขาคือใคร เชื้อสายอะไร
เขาได้กลายเป็นผู้ที่มีโอกาสเกินหน้าเด็กชายชาวยิวทั่วไป .. พระเจ้าทรงเตรียมการนี้อย่างมหัศจรรย์ แต่แล้ว เขาก็ต้องหมดโอกาสที่จะเป็นฟาโรห์คนต่อไป กลับกลายต้องระหกระเหินไปอยู่ในดินแดนห่างไกล จากเจ้าชายแห่งอียิปต์ กลายเป็นคนเลี้ยงแกะในแผ่นดินที่แห้งแล้ง มีครอบครัวเป็นคนธรรมดา ที่ไม่เคยคิดว่าจะมีโอกาสอะไรอีกในชีวิต แต่นี่คือแผนการของพระเจ้า ที่ไม่มีใครคาดคิด พระเจ้าทรงสัญญาอะไรไว้กับอับราฮัม พระองค์จะทรงทำตามพระสัญญา ไม่ว่าจะต้องคอยมานานกว่าสี่ร้อยปี

กิจการ 7:30-37
แล้ววันหนึ่ง พระเจ้าทรงเรียกโมเสส ด้วยการให้เขาพบกับพุ่มไม้ไฟ ที่ไม่ไหม้มอดไป พระองค์ทรงบอกว่า จะทรงส่งเขาไปเพื่อนำคนของพระองค์ออกมา แม้ว่าโมเสสจะยืนกรานว่าทำไม่ได้ แต่.. ในที่สุด เขาไม่อาจจะทัดทานพระเจ้าได้เลย
เขาได้นำคนออกมาจากอียิปต์ แต่ไม่ใช่ออกมาได้ง่าย ๆ ฟาโรห์ต้องเจอภัยพิบัติมากมาย แต่ท่านก็ไม่ยอมแพ้ และแล้ว ฟาโรห์ต้องเสียหน้ามากที่สุด เสียรถศึก และกองทัพและพ่ายแพ้ต่อพระประสงค์ของพระเจ้า
ในช่วงเวลานั้นเอง โมเสสได้ให้คำพยากรณ์ว่า พระเจ้าจะทรงให้เกิดผู้เผยพระคำเหมือนข้าที่มาจากหมู่คนยิวเอง

กิจการ 7:38-43 อิสราเอลกับรูปเคารพ
สเทเฟนกำลังชี้แจงให้คนที่ยืนฟังอยู่ได้เห็นว่า คนยิวสมัยก่อนก็ไม่ต้องการการช่วยเหลือของพระเจ้า พวกเขาหันไปหารูปเคารพ และกราบไหว้สิ่งเหล่านั้น ตรงนี้เองที่ทำให้พวกเขาต้องได้รับโทษจากพระเจ้าโดยตรง ต่อมาพระเจ้าทรงส่งพวกเขาไปเป็นเชลยในบาบิโลน ในเปอร์เซีย
สเทเฟนทำให้พวกเขารู้ว่า โมเสสทำหน้าที่เป็นทั้งผู้ปกครอง และเป็นผู้พิพากษาตัดสินคดีของพวกเขา โมเสสทำการอัศจรรย์ ซึ่งทั้งหมดนี้เหมือนกับพระเยซู สเทเฟนพูดถึงโมเสสนานเป็นพิเศษ เพราะคนที่ฟังเขาอยู่นั้น เป็นคนถือกฎบัญญัติของโมเสสอย่างเคร่งครัด แต่แล้ว คนยิวก็ได้ปฏิเสธโมเสสไปไหว้รูปเคารพ นี่เองสเทเฟนกำลังชี้ให้เห็นว่า โมเสสเป็นผู้ที่มาก่อนพระเยซู และพระเยซูคือคนที่โมเสสกล่าวถึง
และหากพวกเขาปฏิเสธพระเยซู พวกเขาจะต้องเจอกับอะไร

กิจการ 7:44-53
ถึงอย่างนั้น พระเจ้ายังทรงอยู่ท่ามกลางพวกเขา โดยมีกระโจมแห่งพยานเป็นสัญลักษณ์ ต่อมาเมื่อครอบครองดินแดนแล้ว ก็ยังมีพระวิหารด้วย แม้จะมีการสถิตอยู่กับพระเจ้าให้เห็น คนยิวส่วนใหญ่ก็กลับหันหลังให้พระองค์ มีบางพวกที่พยายามบอกใคร ๆ ว่า พระเจ้าอยู่แค่ในพระวิหารของพวกยิวเท่านั้น แต่พระองค์กลับแจ้งให้เขารู้ว่า พวกเขาจะมาจำกัดพระองค์ให้อยู่ตามที่พวกเขาต้องการไม่ได้
คนยิวสมัยสเทเฟนเองก็เช่นกัน เขาพยายามวางรูปแบบ กฎเกณฑ์ต่าง ๆ ตามใจตัวเองเพื่อบอกว่า สิ่งนี้เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงต้องการทั้ง ๆ ที่พระองค์ไม่ได้ตรัสอย่างนั้น
แล้วในที่สุด สเทเฟนก็หวนกลับมายังตัวผู้ที่กำลังยืนฟังอยู่ว่า พวกเขาต่อต้านองค์พระวิญญาณของพระเจ้าเหมือนกับที่บรรพบุรุษได้ทำ. พวกเขาสังหารผู้รับใช้ของพระเจ้าเหมือนบรรพบุรุษของเขา และนั่นก็คือ พวกเขาได้สังหารพระเยซู พระบุตรของพระเจ้าด้วย

กิจการ 7:54-60 สังหารสเทเฟน
พอได้ยินว่า พวกเขาเองเป็นคนที่สังหารองค์บริสุทธิ์ที่พระเจ้าทรงส่งมา ..​ก็โกรธจัด กัดฟันกรอด
ทนฟังต่อไปไม่ได้แล้ว ผู้นำศาสนายิวไม่อาจฟังคำพยาน ไม่อาจฟังความจริงจากสเทเฟนได้
ขณะนั้น สเทเฟน ซึ่งกล่าวความจริงมาเนิ่นนาน เต็มด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ท่านมองเห็นพระเยซูเบื้องขวาพระหัตถ์พระเจ้า! นี่เป็นเหตุให้ท่านกล้าหาญ ไม่กลัวความตายแม้แต่นิด ที่จริง ท่านคงรู้แล้วว่า หลังจากคำกล่าวครั้งนี้ คงไม่รอดแน่ แต่ความตายไม่ทำให้ท่านกลัวเลย ยิ่งเห็นพระเจ้าบนสวรรค์ ใครจะไปสนใจที่จะอยู่ในโลกอีกต่อไป?
ในที่สุดสเทเฟนถูกขว้างด้วยหินจนเสียชีวิต .. ในวันนั้นเอง ผู้ที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ได้ยินคำทั้งสิ้นของสเทเฟน และเป็นคนที่ยินยอมให้เกิดการขว้างด้วยหินครั้งนี้ คือชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อ เซาโล
คำอธิษฐานสุดท้ายของสเทเฟนคือ “ขอพระเจ้าทรงรับวิญญาณของข้าพเจ้าไป” และ”ขออย่าทรงถือโทษคนทั้งปวง” ที่เป็นอย่างนี้ได้เพราะว่า พระเจ้าทรงอยู่ตรงหน้าสเทเฟน ไม่มีอะไรที่ท่านจะต้องกลัว ไม่มีสิ่งที่ค้างคาใจของท่านเลย ท่านไปจากโลกนี้อย่างมีศักดิ์ศรี และถวายพระเกียรติพระเจ้าเป็นที่สุด


พระคำเชื่อมโยง
2* กิจการ 22:1, สดุดี 29:3, ปฐมกาล 11:31-32
3* ปฐมกาล 12:14* ปฐมกาล 11:31-32; 15:754* กิจการ 5:33; 2:37; โยบ 16:9; สดุดี 35:16; 37:12
5* ปฐมกาล 12:7; 13:15; 15:3,18; 17:8; 26:3
6* ปฐมกาล 15:13,14,16; 47:11,12 อพยพ 1:18-14; 12:40,41
7* ปฐมกาล 15:14 อพยพ 14:13-31; 3:12
8* ปฐมกาล 17:9-12; 21:2-4; ลูกา 1:59; ปฐมกาล 25:26; 29:31-35, 30:5-24, 35:18,23-26
9* ปฐมกาล 37:4,11,28
11* ปฐมกาล 41:54; 42:5
12* ปฐมกาล 42:1-2
13* ปฐมกาล 45:4, 16
14* ปฐมกาล 45:9, 27; เฉลยธรรมบัญญัติ 10:22
15* ปฐมกาล 46:1-7; 49:33
16* โยชูวา 24:32; ปฐมกาล 23:16
17*ปฐมกาล 15:13; อพยพ 1:7-9
18* อพยพ 1:8
19* อพยพ 1:22
20* อพยพ 2:1-2; ฮีบรู 11:23
21* อพยพ 2:3-4; 5-10
22* ลูกา 24:19
23* อพยพ 2:11-12
27* อพยพ 2:14
29* ฮีบรู 11:27; อพยพ 2:15, 21, 22; 4:20; 18:3
30* อพยพ 3:1-10
32* อพยพ 3:6, 15
33* อพยพ 3:5, 7 , 8, 10
34* อพยพ 2:24, 25; สดุดี 105:26
35* อพยพ 2:14; อพยพ 14:21
36* อพยพ 12:41; 33:1; 14:21; 16:1, 35
37* เฉลยธรรมบัญญัติ 18:15, 18, 19; มัทธิว 17:5
38* อพยพ 19:3; กาลาเทีย 9:12; เฉลยธรรมบัญญัติ 5:27; ฮีบรู 5:12
39* สดุดี 95:8-11
40* อพยพ 32:1, 23
41*เฉลยธรรมบัญญัติ 9:16; อพยพ 32:6, 18, 19
42* 2 เธสะโลนิกา 2:11; 2 พงศ์กษัตริย์ 21:3; อาโมส 5:25-27
43* เยเรมีย์ 25:9-12
44* ฮีบรู 8:5
45* โยชูวา 3:14; 18:1; 29:3; สดุดี 44:2; 2 ซามูเอล 6:2-15
46* 2 ซามูเอล 7:1-13
52* กิจการ 3:14; 22:14
53* อพยพ 20:1
54* กิจการ 5:33
55* กิจการ 6:5; อพยพ 24:17
56* มัทธิว 3:16; ดาเนียล 7:13
58* เลวีนิติ 24:14-16; กันดารวิถี 15:35
59* กิจการ 9:14; สดุดี 31:5; ลูกา 23:46
60* กิจการ 9:40; 20:36; 21:5; ลูกา 22:41; เอเฟซัส 3:14; มัทธิว 5:44; 27:52