1 โครินธ์ 4 ยอมโง่เพื่อพระคริสต์

ผู้รับใช้และผู้อารักขา

1 โครินธ์ 4:1-2 ดังนั้น จงเข้าใจว่า เราเป็นผู้รับใช้ของพระคริสต์ เป็นผู้รับมอบความรับผิดชอบให้ดูแลอารักขา ความล้ำลึกของพระเจ้า ผู้อารักขานี้ จะต้องเป็นคนที่ไว้ใจได้
1 โครินธ์ 4:3-4 สำหรับตัวข้าแล้ว หากท่านหรือคนใดจะกล่าวโทษข้า ข้าก็ถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย ที่จริง ข้าเองไม่กล่าวโทษตัวเองเลย การที่ข้าไม่รู้สึกว่าตนเองกระทำผิดในเรื่องใด ก็ไม่ได้บอกว่า ข้าเป็นคนไร้ความผิด องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงกล่าวโทษข้าเอง

1 โครินธ์ 4:5 ดังนั้น อย่าตัดสินสิ่งใดก่อนถึงเวลากำหนด จงคอยจนกว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมา และพระองค์ทรงจะเปิดเผยสิ่งที่ซ่อนในความมืด และจะส่งเปิดเผยความมุ่งหมายในใจของทุกคนให้เห็นชัดเมื่อนั้น แต่ละคนจะได้รับคำชมเชยจากพระเจ้า

ยอมเป็นคนโง่เพื่อพระคริสต์

1 โครินธ์ 4:6 พี่น้องทั้งหลาย ข้าได้ใช้ตนเองกับอปอลโลมาเป็นตัวอย่างเพื่อประโยชน์ของท่าน เพื่อให้ท่านได้เข้าใจความหมายของคำที่ว่า “อย่าคิดเกินไปกว่าที่เขียนไว้”เพื่อท่านจะไม่ยโส ยกคนหนึ่งและเหยียดหยามอีกคน
1 โครินธ์ 4:7 ใครทำให้ท่านพิเศษกว่าคนอื่น? มีอะไรที่ท่านครอบครองโดยไม่ได้รับมา?ถ้าท่านได้รับมา เหตุใดจึงโอ้อวดราวกับว่า ท่านไม่ได้รับอะไรมา?
1 โครินธ์ 4:8 ท่านร่ำรวยแล้ว ท่านครอบครองโดยไม่มีพวกเรา ข้าอยากให้ท่านครอบครองจริง ๆ เพื่อเราจะมาครอบครองกับท่านด้วย

1 โครินธ์ 4:9 ข้ามีความเห็นว่า พระเจ้าทรงจัดเราซึ่งเป็นอัครทูตให้เป็นคนท้ายสุดเหมือนอย่างนักโทษที่ถูกตัดสินประหารเพราะเราตกเป็นเป้าสายตาของโลกทั้งทูตสวรรค์ และในหมู่มนุษย์
1 โครินธ์ 4:10-11 เราเป็นคนโง่เพื่อพระคริสต์และท่านทั้งหลายเป็นคนมีปัญญาในพระคริสต์ เราอ่อนแอ แต่ท่านแข็งแรง ท่านได้รับเกียรติ แต่เราถูกเหยียดหยามแม้ในเวลานี้ เราก็ยังรู้สึกหิว กระหายต้องการเครื่องนุ่งห่ม ถูกทุบตี ไร้ที่อยู่
1 โครินธ์ 4:12-13 เราต้องทำงานหนักด้วยมือของเราเมื่อถูกคนด่าทอ เราก็อวยพรกลับไปเมื่อเราถูกข่มเหง เราก็อดทนเมื่อถูกใส่ร้าย เราก็ตอบอย่างเป็นมิตร เราถูกปฏิบัติราวกับเป็นของทิ้งเป็นเหมือนขยะของโลกมาจนถึงเวลานี้

ความห่วงใยอย่างพ่อ

1 โครินธ์ 4:14-15 ข้าเขียนถึงท่าน มิใช่เพื่อทำให้ท่านต้อง
อายใจ แต่เพื่อเตือนท่านในฐานะที่เป็นเหมือนลูกรักของข้า แม้ว่าท่านมีผู้ดูแลสักหมื่นคนในพระคริสต์ แต่ท่านก็มีบิดาเพียงไม่กี่คน เพราะข้าได้มาเป็นบิดาของท่านโดยข่าวประเสริฐนั่นเอง

1 โครินธ์ 4:16-17 ข้าขอร้องท่านให้ทำตามอย่างข้า
ด้วยเหตุนี้ ข้าจึงส่งทิโมธีให้มาหาท่านเขาเป็นลูกรักของข้าที่จงรักภักดีต่อพระเจ้าเพื่อเขาจะเตือนให้ท่านระลึกถึงแนวทางการดำเนินชีวิตในพระคริสต์ของข้าตรงตามที่ข้าสอนในคริสตจักรทุกแห่ง

1 โครินธ์ 4:18-19 มีบางคนในพวกท่านที่เกิดหยิ่งยโสขึ้นมาเพราะคิดว่า อย่างไรข้าจะไม่มาหาพวกท่าน แต่ถ้าพระเจ้าทรงโปรดข้าจะมาหาท่านในไม่ช้านี้ และจะมาดูให้เห็นว่า คนที่หยิ่งยโสเหล่านี้พูดอะไรบ้างและเขามีอำนาจขนาดไหน
1 โครินธ์ 4:20-21 ด้วยว่า อาณาจักรของพระเจ้าไม่ได้เป็นเรื่องของคำพูด แต่เป็นเรื่องที่แสดงออกมาด้วยฤทธิ์เดช ท่านต้องการอะไร? จะให้ข้ามาหาท่านด้วยไม้เรียวเพื่อสร้างวินัย หรือด้วย
ความรักและจิตใจที่อ่อนโยน?

คำอธิบายเพิ่มเติม 1 โครินธ์ 4

ผู้รับใช้และผู้อารักขา
1 โครินธ์ 4:1-2
พระคัมภีร์ข้อนี้ พูดให้ชัดคือ ท่านเปาโลกำลังบอกว่า ท่านและอปอลโล เปโตร เป็นผู้รับใช้ในการดูแลความล้ำลึกของพระเจ้า (ซึ่งมีหลายประการ ทั้งเรื่องข่าวประเสริฐและความจริงอื่น ๆ ของพระเจ้า) ท่านเหล่านี้มีหน้าที่อารักขาความจริงของพระเจ้าไม่ให้ใครมาบิดเบือนเอาตามใจชอบ และส่งต่อสิ่งที่พระเจ้าทรงบอกไว้ให้ผู้เชื่อได้เข้าใจ เชื่อ และเดินตามความจริงนี้ 
1 โครินธ์ 4:3-4
ดูเหมือนว่ามีคนที่คอยนินทา ให้ร้ายในตัวท่านเปาโลอยู่ตลอดเวลา บางคนสงสัยว่าท่านเป็นอัครทูตแน่หรือ บางคนสงสัยว่า ท่านเหมาะที่จะสอนพวกเขาไหม แต่ท่านเปาโลไม่ได้สนใจกับคำครหาเหล่านั้นกลับมองว่า เป็นเรื่องเล็ก สำหรับท่านแล้วผู้เดียวที่จะบอกว่า ถูกหรือผิดคือ พระเจ้าเท่านั้น ไม่ใช่ความเห็นของมนุษย์คนใด
1 โครินธ์ 4:5
ท่านเปาโลเตือนเราว่า อย่าไปตัดสินใครก่อนถึงเวลากำหนดของพระเจ้า เราไม่ใช่ผู้พิพากษาที่จะรู้ความในใจของแต่ละคน เราไม่เห็นการกระทำดีหรือเลวของชีวิตใคร เราไม่รู้ว่า พระเจ้าทรงเลือกเขาหรือไม่ เราทุกคนมีที่สว่าง และที่มืดของชีวิตที่ ๆ คนเห็น และที่ไม่มีใครเห็น ผู้เดียวที่เห็นทะลุปรุโปร่งคือพระเจ้าเท่านั้น เราทุกคนต้องใช้ชีวิตที่จะได้รับคำชมเชย มิใช่รับคำตำหนิหรือคำว่าเราไม่รู้จักเจ้าเลย

ยอมเป็นคนโง่เพื่อพระคริสต์
1 โครินธ์ 4:6
ใน 1 โครินธ์ 3:5 ท่านเปาโลกล่าวว่าทั้งตัวท่านและอปอลโลคือ ผู้รับใช้ที่สอนให้พี่น้องมีความเชื่อ ท่านปลูก อปอลโลรดน้ำ .. ที่ทำเช่นนั้นเพื่อให้เห็นตัวอย่างจากชีวิตจริง ทั้งสองได้แสดงให้เห็นถึงชีวิตรับใช้ที่ถ่อมตน และอวดพระเจ้าเท่านั้น ไม่อวดคนหนึ่งคนใดเหนืออีกคน (1:31) ท่านขอให้มีความเข้าใจตรงกันว่า พระเจ้าทรงปัญญาแท้จริง ไม่ใช่มนุษย์ที่พวกเขาพยายามจะยกขึ้น (2:14)
1 โครินธ์ 4:7
“มีอะไรที่ท่านมีอยู่ในตอนนี้ โดยไม่ได้รับมาจากพระเจ้า?” นี่คือคำขยายความ ทั้งหมดที่เรามีอยู่ ชีวิตของเราล้วนเป็นพระคุณของพระเจ้าทั้งสิ้นไม้กางเขน องค์พระวิญญาณในชีวิต สติปัญญาที่มีอยู่ ทั้งหมดนี้เป็นของประทานจากพระเจ้า
ไม่มีใครได้มาด้วยตัวเองเลย และไม่มีใครสมควรจะได้มา หากไม่ใช่เพราะพระเจ้าเมตตา สรุปได้ว่าเราไม่มีอะไรจะอวดนอกจากอวดพระองค์!
1 โครินธ์ 4:8
ความจริงท่านเปาโลกำลังบอกพี่น้องว่า พวกเขาไม่ได้ใหญ่ไปกว่าคนอื่นที่เป็นพี่น้องผู้เชื่อด้วยกัน ประโยคข้างบนนี้เป็นคำพูดในลักษณะประชดประชัน นิยมใช้กันในโลกกรีกโบราณ ท่านพูดคล้าย ๆ กับนักวิจารณ์การเมืองในสมัยนั้น ตอนที่พวกเขามาเชื่อพระเจ้าใหม่ ๆ เขาเป็นเพียงคนชนชั้นธรรมดา แต่ท่านกลับพูดว่าเขารวยเป็นชนชั้นปกครอง เมื่อพวกเขาอ่านตรงนี้ เขาจะคิดได้ไหมว่าท่านกำลังประชดประชัน พวกเขาอยู่
1 โครินธ์ 4:9
พี่น้องคริสตจักรโครินธ์มีปัญหาคือ พวกเขาคิดว่าเขาเป็นคนสำคัญ และมีความหมายมาก และมองท่านเปาโลเป็นคนไร้ค่า ไม่มีอะไรที่จะทำให้เขาภูมิใจได้ ท่านเองก็มองด้วยว่า ท่านและเพื่อนอัครทูตเป็นเหมือนนักโทษที่อยู่ท้ายสุดในขบวนแห่ของนายทหารโรมที่รบชนะ เป็นผู้ที่ต่ำต้อยสุดในขบวนนั้น เป็นผู้ที่จะถูกประหารโดยผู้ชนะสงคราม ท่านเปาโลพยายามที่จะให้พี่น้องได้เห็นว่าพวกเขาคิดผิดอย่างไร
1 โครินธ์ 4:10-11
ท่านเปาโลยังพูดไม่จบเรื่องที่พี่น้องมองตัวเองสูงส่งและดูหมิ่นเหยียดหยามผู้ที่เป็นอัครทูตซึ่งเคยเป็นผู้สอนพระคำของพระเจ้าให้กับพวกเขายุคนี้ของเราก็ไม่ได้ต่างอะไร เพราะคนรุ่นใหม่มักเข้าใจว่าตัวเองเก่งกว่าคนรุ่นก่อน ๆ ลืมไปว่าคนรุ่นก่อนเป็นผู้ที่วางรากฐาน และมีหน้าที่ ๆ สร้างทั้งคริสตจักรและอะไร ๆ ที่มีอยู่ตอนนี้มาก่อนหน้าพวกเขาอาจพลั้งพลาดไปบ้าง แต่ไม่ได้หมายความว่าเป็นผู้ที่ไร้ความหมาย
1 โครินธ์ 4:12-13
นี่คือชีวิตจริงของผู้รับใช้พระเจ้าที่ไม่ยอมแพ้ต่อการปฏิบัติร้าย ๆ ของใครก็ตาม ท่านเปาโลบอกให้เราได้ทราบว่า ชีวิตของท่านในการรับใช้นั้นถูกกระทำอย่างไรบ้างแต่สิ่งที่ท่านตอบกลับนั้น ไม่ได้เป็นเหมือนอย่างคนในโลกทำ ท่านทำเหมือนกับพระคำโรม 12:14ที่ให้อวยพรแก่คนที่ข่มเหง ไม่ให้แช่งด่ากลับพี่น้องชาวโครินธ์ย่อมเห็นการตอบโต้ของท่านและรู้ว่าท่านทำอย่างนั้นจริง

ความห่วงใยอย่างพ่อ
1 โครินธ์ 4:14-15
ท่านเปาโลพูดมาเยอะ แต่ก็ต้องบอกพี่น้องว่า ที่เขียนมานั้น แค่เตือนในฐานะที่พวกเขาเป็นเหมือนลูกรักของท่าน ท่านเป็นผู้บอกข่าวประเสริฐเรื่องไม้กางเขนแก่พวกเขาโดยตรง เป็นผู้อธิบายจนกระทั่งพวกเขาได้เชื่อ ท่านจึงรู้สึกเอ็นดู ห่วงใยพวกเขาเหมือนกับเป็นลูก ส่วนผู้แนะนำ หรือผู้ดูแล ในสมัยเดิมนั้นมีความหมายถึงทาสที่คอยดูแลลูก ๆ ของเจ้านาย และเป็นคนที่คอยให้คำแนะนำการประพฤติให้กับพวกเขา
1 โครินธ์ 4:16-17
ท่านเปาโลมีความมั่นใจว่า ท่านได้เดินตามอย่างพระคริสต์ ท่านมีสัมพันธ์สนิทกับพระองค์ ท่านกล้าที่จะชักชวนให้เขาทำตามแบบของท่านสิ่งหนึ่งที่ชัดเจนในตัวของท่านคือ คำพูดและการกระทำไปด้วยกัน ไม่มีความขัดแย้งกัน ทิโมธี เป็นผู้รับใช้ที่ท่านเปาโลเองใช้ไปทำงานแทนท่านในหลาย ๆ แห่ง เขาเป็นคนที่เข้าใจหัวใจและการกระทำของท่านเปาโลชัดเจน และเขาเป็นคน
ที่ท่านเปาโลไว้ใจถือเสมือนว่าเขาเป็นลูกชาย
1 โครินธ์ 4:18-19
นึกถึงตอนที่เราทำผิดในห้องเรียน และกำลังล้อเลียนคุณครูในห้องกับเพื่อน ๆ โดยหารู้ไม่ว่าคุณครูมายืนอยู่ที่ประตูแล้ว ! พี่น้องชาวโครินธ์ก็เป็นเช่นนั้น คนที่สามารถเบ่งลับหลังผู้มีสิทธิอำนาจมีอยู่เยอะในโลกนี้ ท่านเปาโลเอาก็รู้ว่า พวกเขามีนิสัยใจคออย่างไรแต่เราจะเห็นความพยายามของท่านที่จะช่วยให้พวกเขามีความเข้าใจถูกต้อง เป็นความรักความอดทนที่อึดเหลือเกิน
1 โครินธ์ 4:20-21
เราจะเห็นว่า ท่านเปาโลเป็นตัวอย่างสำหรับเราในการเผชิญหน้ากับคนที่ทำบาปแล้วไม่ยอมกลับใจแต่ยังฝืนและอวดตัว หยิ่งผยอง ท่านให้เขาเลือกว่า จะเอาแบบไหนเมื่อเจอกัน ท่านเองต้องการมาด้วยความรักและจิตใจที่อ่อนโยน แต่มันก็ขึ้นอยู่กับชาวโครินธ์ด้วยว่า เขาพร้อมที่จะกลับใจก่อนหรือไม่ ท่านเปาโลต้องลำบากใจมาก เพราะใจท่านรักพวกเขา แต่จำเป็นต้องลงวินัยเพื่อให้รอดพ้น

พระคำเชื่อมโยง

1* โคโลสี 1:25; ทิตัส 1:7
5* มัทธิว 7:1; 10:26; 1 โครินธ์ 3:13; โรม 2:29
7* ยอห์น 3:27
8* วิวรณ์ 3:17
9* ฮีบรู 10:33

10* กิจการ 17:18; 26:24; 2โครินธ์ 13:9
12*กิจการ 18:3; 20:34; มัทธิว 5:44
13* บทเพลงคร่ำครวญ 3:45
14* 1 เธสะโลนิกา 2:11
15* กาลาเทีย 4:19
16* 1 โครินธ์ 11:1

17* 19:22; 1 โครินธ์ 11:2;18; 1 โครินธ์ 7:17; 14:33
18* 1 โครินธ์ 5:2
19* 19:21; 20:2; 18:21
20* 1 1:5; 1 โครินธ์ 2:4
21* 2 โครินธ์ 10:2

1 โครินธ์ 3 รากฐานแท้

จะอยู่ฝ่ายเนื้อหนังไปทำไม?

1 โครินธ์ 3:1-3 พี่น้องเอ๋ย ข้าไม่อาจพูดกับท่านเหมือนพูดกับ คนที่อยู่ฝ่ายวิญญาณ แต่ต้องพูดราวกับท่านยังอยู่ฝ่ายเนื้อหนัง ยังเป็นทารกในพระคริสต์ ข้าเลี้ยงท่านด้วยน้ำนมไม่ใช่ด้วยอาหารปกติ เพราะว่าเมื่อก่อนท่านรับไม่ได้ และบัดนี้ก็ยังรับไม่ได้
ท่านยังอยู่ฝ่ายเนื้อหนังตราบใดที่ท่านยังอิจฉากัน ขัดเคืองใจกัน แล้วจะไม่ให้เรียกว่า ท่านยังอยู่ฝ่ายเนื้อหนังได้อย่างไร ในเมื่อท่านยังทำตัว เหมือนกับคนทั่วไป

1โครินธ์ 3:4-5 เพราะเมื่อคนหนึ่งว่า “ข้าเป็นศิษย์ของเปาโล” และอีกคนว่า ข้าเป็นศิษย์ของอปอลโล” ท่านก็เป็นดั่งคนทั่วไปมิใช่หรือ?
อปอลโลเป็นใคร? และเปาโลเป็นใคร?พวกเขาคือผู้รับใช้ที่ช่วยให้ท่านมีความเชื่อตามที่พระเจ้าทรงกำหนดให้เราแต่ละคน

1 โครินธ์ 3:6-7 ข้าเป็นคนปลูก ส่วนอปอลโลรดน้ำแต่พระเจ้าทรงเป็นผู้ทำให้เติบโต
ดังนั้น คนที่ปลูกและคนที่รดน้ำไม่สำคัญ แต่พระเจ้าผู้ทรงให้เติบโตนั้นต่างหากที่สำคัญ

ปลูก รดน้ำ รากฐาน ตึก กับคำเตือน

1 โครินธ์ 3:8-9 คนที่ปลูก และคนที่รดน้ำนั้นเป็นพวกเดียวกัน และแต่ละคนจะได้ค่าจ้างตามการงานของตนเพราะว่าเราร่วมกันทำงานเพื่อพระเจ้า ท่านเป็นไร่นาของพระองค์ ท่านเป็นตึกของพระองค์

1 โครินธ์ 3:10-11โดยพระคุณของพระเจ้า ข้าได้วางรากฐานดั่งนายช่างผู้เชี่ยวชาญ และมีอีกคนเข้ามาก่อสร้างบนฐานนั้น แต่ละคนจะต้องระวังว่า เขาก่อขึ้นอย่างไรเพราะใครจะมาวางรากฐานอื่นได้อีกนอกจากที่วางไว้แล้วคือ พระเยซูคริสต์?

1 โครินธ์ 3:12-13 บนรากฐานนี้ หากใครจะก่อด้วยทองคำ เงิน เพชร พลอย ไม้ หญ้าแห้ง หรือฟาง งานของแต่ละคนจะปรากฏให้เห็น เพราะว่าวันนั้น จะเป็นวันที่มีการเปิดเผย รวมทั้งจะเผยให้เห็นด้วยไฟ และไฟจะพิสูจน์ว่า การงานของแต่ละคนเป็นอย่างไร

1 โครินธ์ 3:14-15 ถ้าสิ่งที่ก่อสร้างขึ้นมาอยู่คงทนผู้ก่อก็จะได้รางวัล แต่ถ้างานของใครถูกเผาไป เขาจะไม่ได้รับรางวัล เขาคนนั้นจะรอดได้ แต่เหมือนรอดจากไฟ

อย่าหลอกตัวเอง

1 โครินธ์ 3:16-17 ท่านไม่รู้หรือว่า ท่านเป็นพระวิหารของพระเจ้า และพระวิญญาณของพระเจ้าประทับในท่าน ถ้าใครทำลายพระวิหารของพระเจ้า พระเจ้าจะทรงทำลายคนนั้น เพราะพระวิหารของพระเจ้าเป็นที่บริสุทธิ์ และท่านคือพระวิหารนั้น

1 โครินธ์ 3:1819 อย่าให้ใครหลอกตัวเอง ถ้าใครคิดว่าตัวเองเป็นคนมีปัญญาตามความเห็นของยุคนี้ จงให้คนนั้นยอมเป็นคนโง่ เพื่อจะได้เป็นคนมีปัญญา เพราะปัญญาของโลกนี้ เป็นความโง่เขลาในสายพระเนตรของพระเจ้า มีคำเขียนไว้ว่า “พระองค์ทรงดักคนที่มีปัญญาด้วยกลอุบายของพวกเขาเอง”

1 โครินธ์ 3:20-23 และมีคำเขียนอีกด้วยว่า“องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทราบว่า ความคิดของคนมีปัญญานั้น ไร้ประโยชน์” ดังนั้น อย่าเอามนุษย์ขึ้นมาอวดเลยเพราะว่า ทุกสิ่งเป็นของพวกท่าน
ไม่ว่าจะเป็นเปาโล อปอลโล เคฟาสโลกนี้ ชีวิต ความตาย ปัจจุบัน หรืออนาคต เหล่านี้เป็นของท่านทั้งสิ้นและท่านทั้งหลายเป็นของพระคริสต์และพระคริสต์ทรงเป็นของพระเจ้า

คำอธิบายเพิ่มเติม

จะอยู่ฝ่ายเนื้อหนังไปทำไม?
1 โครินธ์ 3:1-3
ตอนนี้ท่านเปาโลเปรียบพี่น้องชาวโครินธ์ว่า เป็นเหมือนเด็กทารกที่ยังใส่ผ้าอ้อมอยู่ พวกเขายังไม่โต ยังโวยวาย ทุ่มเถียง ไม่เป็นผู้ใหญ่ที่มีความอดทนอดกลั้นต่อกัน ยังไม่เป็นผู้ใหญ่ที่รับเรื่องยาก ๆ ในพระเจ้าได้ ต้องเรียนรู้สิ่งที่เหมือนเด็ก ๆ เรียน เราจะเห็นจากบทที่ผ่านมาว่าท่านต้องอธิบายเรื่องเดียวนานพอสมควร พูดแล้วพูดอีกเพื่อจะแน่ใจว่าพวกเข้าใจ
คำว่าท่านยังอยู่ฝ่ายเนื้อหนังคือ ท่านยังรับอิทธิพลของความปรารถนาต่าง ๆ ของเนื้อหนังไม่มีการยับยั้งชั่งใจ ไม่มีการควบคุมตนเอง และนี่เป็นเหตุที่ทำให้ท่านเปาโลยังไม่อาจอธิบายเรื่องของพระเจ้าให้แก่พี่น้องชาวโครินธ์ไปได้มากกว่านี้ ดูเหมือนว่าท่านต้องจัดการที่พื้นฐานชีวิตก่อน
1โครินธ์ 3:4-5
งานที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้ให้เรานั้น แต่ละคนไม่เหมือนกัน ทุกคนที่รับใช้จะไม่เปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น ผู้รับคำสอนอาจจะถูกใจบางคนกว่าบางคน แต่ไม่ได้หมายความว่า ต้องแบ่งพรรคพวกเพราะพระเจ้าทรงกำหนดงานของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ในสถานที่ ในกลุ่มชนที่หลากหลายต่างกันไป ผู้ที่ควรได้รับการยกย่องมากที่สุดคือพระเจ้า ครู อาจารย์ ผู้ประกาศ เป็นเพียงผู้ที่รับทำตามพระบัญชาของพระองค์
1 โครินธ์ 3:6-7
ถ้าเราจะคิดในเชิงวิถีธรรมชาติ พันธุ์ไม้มากมายที่เกิดขึ้นในทุ่งหญ้า ป่าไม้ โดยไม่มีคนปลูกและรดน้ำแต่มันยังมีชีวิตอยู่ได้ ด้วยพระเมตตาคุณของพระเจ้า สดุดี 65:9 เล่าถึงการที่พระเจ้าทรงเยี่ยมแผ่นดิน ทรงรดน้ำให้ ท่านเปาโลกำลังเปรียบชีวิตคริสเตียนว่า เหมือนกับต้นไม้ที่มีผู้ปลูก และรดน้ำ ซึ่งเป็นหน้าที่สำคัญของผู้รับใช้ที่สอนพี่น้อง แต่ที่สุดการเติบโตมาจากพระเจ้าโดยตรง ไม่มีใครจะอ้างความดีความชอบได้

ปลูก รดน้ำ รากฐาน ตึก กับคำเตือน
1 โครินธ์ 3:8-9.
ท่านเปาโลมองว่า ทุกคนที่รับใช้พระเจ้าจะได้รับรางวัลหรือค่าจ้างตามที่พระเจ้าทรงเห็นสมควร ไม่มีใครใหญ่กว่าใครในสายพระเนตรพระเจ้าแม้ว่าในหน้าที่อาจจะมีระดับขั้นการทำงานก็ตามหลายคนคิดว่าอาจารย์ที่ใหญ่โตนั้นจะได้รับรางวัลมากกว่า หรือ ได้รับการยอมรับจากพระเจ้า
มากกว่า แต่ดูจากข้อเขียนของท่านเปาโลตอนนี้ แม้พี่น้องที่ไม่มีใครสังเกตแต่ได้รับใช้อย่างซื่อสัตย์ ก็เป็นหนึ่งในผู้ร่วมงานเพื่อแผ่นดินของพระเจ้า
1 โครินธ์ 3:10-11
ท่านเปาโลมองตัวท่านเองว่าเป็นนายช่างที่ก่อ ฐานชีวิตแห่งความเชื่อของพี่น้องด้วยพระเยซูคริสต์นั่นคือ ทุกคนจะรอดได้ไม่ใช่ด้วยสิ่งอื่นใด นอกจาก ด้วยการเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ผู้สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนและคืนชีพขึ้นมาในวันที่สาม ท่านเป็นคนแรกที่สร้าง แต่พระเจ้าจะทรงใช้คนอื่น ๆ มาช่วยดูแลชีวิตของผู้ที่เชื่อ และคนที่ตามมารับใช้นั้นจะต้องก่อต่อไปด้วยพระเยซูคริสต์
1 โครินธ์ 3:12-13
อย่างที่กล่าวมาแล้วว่า การสร้างความเชื่อของผู้เชื่อต้องมีคนงานหลายคน บางคนปลูก บางคนรดน้ำ ซึ่งก็หมายถึงผู้ที่ประกาศ สอน เทศนาและรับใช้เพื่อพี่น้องในด้านต่าง ๆ ท่านเปาโลเตือนว่า ไม่ว่าใครจะก่อขึ้นอย่างไร เขาคนนั้นจะต้องรับผิดชอบ เพราะงานของเขาอาจเป็นงานเสียหายมาตั้งแต่ต้น แต่คนมองไม่ออก แต่ในวันของพระเจ้า พระองค์จะใช้ไฟพิสูจน์งานนั้น แม้กระทั่งงานที่เพื่อน ๆ กำลังอ่านอยู่ในเวลานี้

อย่าหลอกตัวเอง
1 โครินธ์ 3:14-15
ผู้รับใช้ในฐานะที่เป็นผู้ก่อสร้างชีวิตของผู้เชื่อนั้นบางคนอาจได้รางวัล แต่บางคนอาจจะเจอการสูญเสีย สูญเปล่า หากเขาก่อสร้างอย่างไม่ระวัง ก่อสร้างแบบขอไปที หรือใช้สติปัญญาของมนุษย์ในการทำให้คริสตจักรโต แม้ว่าที่สุดเขาเองได้รับความรอดแต่ก็หวุดหวิด ไฟที่กล่าวถึงในข้อก่อนหน้านี้ คือใช้เพื่อพิสูจน์งานของผู้รับใช้ว่าเป็นอย่างไร ​แต่คำว่าไฟ ในข้อนี้ เป็นการกล่าวถึงไฟที่จะเผาผลาญ
1 โครินธ์ 3:16-17
เวลานี้ท่านเปาโลกำลังกล่าวชัดเจนว่า “ท่าน” เป็นพระวิหารของพระเจ้า มีความหมายถึงชุมชนผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่คนเดียว ท่านคือ หลายคน หากมีใคร ผู้รับใช้คนไหน พยายามที่จะทำลายชุมชนผู้เชื่อหรือที่ประทับของพระเจ้า ตั้งใจที่จะทำให้คริสตจักรต้องทำผิด ล่อลวงผู้เชื่อ พระเจ้าจะทรงทำลายผู้นั้น เราอาจถามว่า แล้วคนที่ข่มเหงคริสตจักรของพระเจ้าล่ะ? คนพวกนั้นจะโดนพระเจ้าทรงจัดการอยู่แล้ว
1 โครินธ์ 3:18
บางคนในคริสตจักรกำลังหลอกตัวเองว่า เขาเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ที่ยอดสุดในประเทศ ตามเทรนด์ที่คนกำลังชอบฟัง โดยหารู้ไม่ว่าคนนี้หลอกหรือไม่ สมัยนี้ เรามักเชื่อสิ่งที่เขาบอกกันโดยไม่ไตร่ตรอง ท่านเปาโลกำลังเตือนให้พวกเขากลับมาสู่รากฐานสำคัญของความรอดคือ ความเชื่อในพระเยซู
1 โครินธ์ 3:19
ท่านเปาโลกำลังบอกพี่น้องคริสเตียนว่า ให้เขาเลิกคิดตามคำสอนของโลกเพื่อว่าเขาจะได้เป็นคนมีปัญญาแท้จริง คำสอนของโลกนี้เปลี่ยนไปตามยุคสมัย เช่น เราจะเห็นวิธีการเลี้ยงลูกสมัยใหม่ที่ไม่ยอมให้เด็กลำบากเลย เวลาเด็กล้มก็ไปรับ ทำอย่างนี้จนโต ลูกไม่เคยต้องแก้ปัญหาเองหรือ การเชื่อว่า เราทำอะไรก็ได้ตามใจในเมื่อมันไม่ทำให้ใครเดือดร้อน โดยหารู้ไ่ม่ว่าการกระทำของมนุษย์ทุกคน เชื่อมโยงสัมพันธ์ส่งผลต่อกันเสมอ
1 โครินธ์ 3:20-23
พื้นฐานที่แท้จริงของความคิดผู้มีปัญญา กูรูทั้งหลายนั้น อยู่ที่ว่า ข้าทำได้เอง ข้าเป็นผู้กำหนดชีวิตตนเอง ข้าคือพระของตนเอง ไม่มีใครใหญ่ไปกว่าตัวตนของข้า .. แต่แล้วทุกคนก็ไปจบที่ สุดปลายคือความตายโดยยังเชื่อว่าตัวเองกำหนดได้ว่าชีวิตหลังจากนั้นจะเป็นอย่างไรเทรนด์การพัฒนาตนเองนั้นดูดี แต่กาพัฒนาตนโดยไม่มีพระเจ้านั้น ในที่สุดมันเหงา โดดเดี่ยวจริง ๆ
ที่ท่านเปาโลกล่าวว่า ทุกอย่างเป็นของเรา ท่านกล้าพูดได้ก็เพราะ พระคริสต์ทรงเป็นเจ้าของทุกสิ่ง พระคริสต์คือที่สุด ทรงเป็นผู้ที่เชื่อมโยงทุกสิ่งในโลกมนุษย์ จักรวาล โลกฝ่ายวิญญาณเข้าด้วยกัน เมื่อเราเป็นของพระคริสต์ เราจึงมีทุกอย่างที่พระคริสต์ทรงครอง โคโลสี 1:19 กล่าวว่า เพราะพระบิดาทรงพอพระทัยที่จะให้ความเต็มบริบูรณ์อยู่ในพระคริสต์​

ข้อพระคำเชื่อมโยง
1* ฮีบรู 5:13
2* 1 เปโตร 2:2; ยอห์น 16:12
5* 2 โครินธ์ 3:3,6; 4:1; 5:18;6:4
6* กิจการ 18:4; 18:24-27; 2 โครินธ์ 3:5
7* กาลาเทีย 6:3

8* สดุดี 62:12
9* 2 โครินธ์ 6:1; เอเฟซัส 2:20-22
10* โรม 1:5; 1 โครินธ์​4:15
11* อิสยาห์ 28:16; เอเฟซัส 2:20
13* 1 เปโตร 1:7; ลูกา 2:35
16* 2 โครินธ์ 6:16

18* สุภาษิต 3:7
19* โยบ 5:13
20* สดุดี 94:11
21* 2 โครินธ์ 4:5
23* 2 โครินธ์ 10:7

กิจการ 10 การแสวงหาของนายร้อย

กิจการบทที่ 10 นี้ สำคัญอย่างยิ่งที่บอกเราว่า สิ่งที่ยิวคิดว่าเขาเป็นคนที่พระเจ้าทรงเลือกพวกเดียวนั้นกำลังจะต้องคิดใหม่แล้ว พระเจ้าทรงให้กรอบความคิดเดิมที่มีอยู่สลายไป อคติที่มีอยู่ทั้งหมดต้องถูกทำลาย พระเจ้าทรงประสงค์ให้ความรอดของพระองค์ไปยังคนทั้งโลก สำหรับเราเองซึ่งเป็นคนไทย ก็อยู่ในแผนการอันเลิศของพระเจ้านี้ด้วย

คำอธิบายเพิ่มเติมกิจการ 10

กิจการ 10:1-2
โครเนลิอัสเป็นนายร้อยชาวโรม อยู่ในเมืองซีซาริยา ซึ่งเป็นเมืองใหม่ สร้างโดยเฮโรดเป็นเกียรติแก่ซีซาร์ออกัสตัสประมาณ 25 ปีก่อนคริสตศักราช กษัตริย์วงศ์เฮโรดและนายทหารมักจะพักกันอยู่ในเมืองนี้ นับได้ว่าเป็นเมืองที่ร่ำรวย ทันสมัยพอควร มีทั้งคนยิวและคนต่างชาติอาศัยปนเปกันอยู่
แต่สำหรับคนยิวแล้ว พวกเขาเลือกที่จะไม่สุงสิง ไม่ไปกินข้าวในบ้านคนต่างชาติ ไม่กินอาหารที่คนต่างชาติเป็นคนเตรียม พวกเขามองว่าคนต่างชาติเป็นคนไม่สะอาด เป็นมลทิน
แม้ว่าโครเนลิอัสจะเป็นทหารที่อยู่ภายใต้ซีซาร์ แต่เขาเชื่อพระเจ้า เป็นคนต่างชาติที่เกรงกลัวพระเจ้า (เหมือนกับขุนนางที่ฟีลิปพบตามทาง) เราไม่ทราบว่า เป็นอย่างไรมาอย่างไร แต่พระเจ้ากำลังจะทำการยิ่งใหญ่ในชีวิตของเขาและครอบครัว
กิจการ 10:3-6
เพราะความมีน้ำใจ และการอธิษฐานของเขา พระเจ้าทรงฟัง และทรงยินดีที่จะตอบคำอธิษฐานของเขา เขาคงต้องอธิษฐานขอพระเจ้าทรงมอง และรับเขาเป็นคนของพระองค์ เขาอาจอธิษฐานเรื่องอื่น ๆ อีก และทั้ง ๆ ที่คนยิวไม่รับเขา แต่พระเจ้าทรงรับ พระองค์ทรงรับคำอธิษฐานและสิ่งดีที่เขาทำเพื่อผู้อื่น รู้ได้อย่างไรหรือ?นั่นคือ พระเจ้าทรงส่งทูตสวรรค์มาตอบคำอธิษฐาน! โครเนลิอัสน่าจรู้เรื่องของพระเจ้าองค์บริสุทธิ์แห่งอิสราเอลจากคนยิวบางคน แต่เขายังไม่รู้จักพระบุตรของพระองค์ ผู้ทรงเป็นทางไปถึงพระบิดา ครั้งนี้ พระเจ้าทรงนำเขาอย่างมหัศจรรย์ ทูตสั่งให้เขารีบไปตามเปโตรมา
เมืองยัฟฟาอยู่ริมทะเลทางใต้ของซีซาริยา ห่างไปประมาณ 48 กิโลเมตร
กิจการ 10:7-8
โครเนลิอัสไม่ได้กลัวทูตสวรรค์เลย แต่กลับมองว่าเป็นผู้สื่อสารจากพระเจ้าที่เขาต้องทำตามคำสั่ง
เขาเป็นคนดี คนน่านับถือ มีตำแหน่งสูง แต่ยังไม่ได้รับความรอด พระเจ้ากำลังจัดทางแห่งความรอดให้เขาแม้ว่าเขาจะไม่รู้ทางนั้น แต่พระองค์ทรงเป็นผู้ยื่นให้เอง
เขาจัดคนออกไปเชิญเปโตรทันที และกำชับว่า ต้องทำให้สำเร็จ ตอนนี้เขาคงตื่นเต้นมาก จะเกิดอะไรขึ้น
กิจการ 10:9-11
ขณะที่คนของโครเนลิอัสอยู่ระหว่างทาง เปโตรขึ้นไปอธิษฐานบนดาดฟ้าบ้านของซีโมนช่างฟอกหนังแล้วเขาก็เห็นนิมิตที่ประหลาดมาก
กิจการ 10:12-14
เขาเห็นสัตว์ที่มีมลทิน ทั้งสัตว์สะอาด สัตว์ไม่สะอาดในสายตาของยิว เต็มไปหมด เปโตรถือในกฎในเลวีนิติ 11:47 ที่ให้รู้จักแยกแยะสัตว์สะอาด กับสัตว์ไม่สะอาด แต่พระเจ้ากลับทรงสั่งให้เขาฆ่ากินได้เลย … นี่เป็นคำบัญชาที่ประหลาดจริง ๆ คนยิวถือกฎเรื่องอาหารสะอาด ไม่สะอาดเคร่งครัดมาก ทำให้พวกเขาแตกต่างไปจากคนทั่วไป ทำให้พวกเขาไม่อาจมากิน สุงสิงกับคนต่างชาติได้(ที่จริงเปโตรอยู่ในบ้านของคนฟอกหนัง ที่ต้องทำงานกับสัตว์ตายอยู่ตลอดเวลา ซึ่งคนยิวก็ถือว่าไม่สะอาดอยู่แล้ว แต่คนฟอกหนังผู้นี้ก็เป็นผู้เชื่อ )
กิจการ 10:15-16
พระเจ้าตรัสว่า “อย่าเรียกสิ่งที่พระองค์ชำระว่าเป็นมลทิน” พระเจ้าทรงบอกเขาสามครั้ง แล้วผ้าที่ลอยลงมานั้นก็ลอยขึ้นไป พระเจ้าทรงย้ำให้เปโตรมั่นใจ
กิจการ 10:17-18
ขณะที่คิดหาคำตอบก็มีคนมาหาเปโตร คนเหล่านั้นเป็นคนต่างชาติ ตอนนี้เปโตรน่าจะเริ่มเข้าใจอะไรราง ๆ แล้ว สัตว์ที่ไม่สะอาด กับชาวต่างชาติที่คนยิวคิดว่าไม่สะอาด เป็นผู้ที่พระเจ้าทรงชำระเอง
กิจการ 10:19-21

สิ่งที่เห็นในนิมิต กับสิ่งที่เกิดขึ้นช่างมาพร้อมกัน มีคนต่างชาติมาตามหาเขา ให้ไปหาที่บ้านคนต่างชาติ นอกจากคำสั่งแรกจากพระเจ้าแล้ว ยังมีคำสั่งต่อไปให้เปโตรเดินทางไปกับแขกทั้งสามที่มาหา พระองค์ทรงส่งเขามาเอง ไม่ต้องกังวล ดูสิว่า พระเจ้าทรงเตรียมเปโตรให้อยู่ในเมืองใกล้ ๆ หลังจากที่เขาอธิษฐานให้โครคัสฟื้นจากตาย
กิจการ 10:22-23

เมื่อเห็นสัตว์ที่คนยิวมองว่าไม่สะอาด กับเหตุการณ์ที่มีคนต่างชาติมาเชิญให้ไปที่บ้าน ..​เปโตรต้องครุ่นคิดหนักทั้งคืนเลย แน่นอนว่า ในคืนนั้น เขาคงอธิษฐานขอความเข้าใจจากพระเจ้า และเขาน่าจะเข้าใจแล้วตอนที่เขาเริ่มออกเดินทาง เปโตรเองจำต้องฟังคำบัญชาของพระเจ้าไม่ว่าตนเองจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม เขาไม่ได้ไปคนเดียวแต่มีพี่น้องตามไปด้วย เพื่อจะได้เห็นเป็นพยานในเรื่องที่เกิดขึ้น เราทราบมาว่ามีทั้งหมด 6 คนที่ไปด้วย (11:12)
กิจการ 10:24-27
เมื่อเปโตรไปถึงบ้านโครเนลิอัส ปรากฏว่า เขาได้เจอกับคนต่างชาติหลายคนทีเดียว เพราะว่า โครเนลิอัสชวนญาติพี่น้องมาด้วย นายร้อยที่ยิ่งใหญ่กลับก้มลงกราบเปโตร … เขาปฏิเสธทันที และขอให้นายร้อยลุกขึ้น ตัวโครเนลิอัสเองคงคิดว่า เปโตรต้องเป็นคนสำคัญ ยิ่งใหญ่มาก ที่ทำให้ทูตสวรรค์บอกให้เขาไปเชิญมา
ตอนนี้เปโตรกำลังทำสิ่งที่คนยิวทั่วไปไม่ยอมทำ คือการเข้าไปในบ้านของคนต่างชาติ การที่เปโตรเข้าไปประกาศสอนเรื่องพระเจ้าในบ้านนี้ เป็นก้าวแรกสำคัญที่ทำให้คริสตจักรออกไปประกาศแก่คนต่างชาติตามพระบัญชาของพระเยซู
กิจการ 10:28-29
ก่อนที่เปโตรจะได้ประกาศพระนามแก่คนต่างชาติ พระเจ้าทรงเตรียมใจเขาล่วงหน้า เขาเข้าใจแล้วว่าพระเจ้าทรงพระประสงค์อะไร เขาจึงอธิบายให้โครเนลิอัสเข้าใจว่า พระเจ้าทรงคิดอย่างไรกับคนต่างชาติ พระองค์ไม่ได้เป็นเหมือนคนยิวที่ถือตัวใหญ่กว่าคนอื่น พระเจ้าทรงแตกต่าง
พระเจ้าทรงใช้เปโตร คนที่เป็นชาวประมงธรรมดามาก่อน เป็นผู้เปิดประตูความรอดต่อมากจากฟีลิปที่ประกาศให้แก่ขุนนางชาวเอธิโอเปีย
แต่.. เปโตรสนใจว่า ทำไมโครเนลิอัสจึงตามเขามาพบ
กิจการ 10:30-33
ซึ่งโครเนลิอัสได้เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นแก่เปโตร ฟังตั้งแต่ต้นจนจบ คราวนี้ เปโตรกับโครเนลิอัสเข้าใจกันดีแล้วว่า พระเจ้าทรงประสงค์สิ่งใด และโครเนลิอัสและครอบครัวพร้อมที่จะฟังคำตรัสของพระเจ้า ตัวเปโตรเองก็พร้อมที่จะประกาศ! นี่เป็นการประกาศที่ราบรื่น ทั้ง ๆ ที่เป็นการทำสิ่งที่ตรงข้ามกับประเพณียิวโดยสิ้นเชิง
กิจการ 10:34-36
แล้วเปโตรก็เริ่มเล่าข่าวดีแห่งสันติสุขซึ่งพระเยซูทรงทำให้คนอิสราเอลแก่พวกเขาฟัง สิ่งสำคัญที่เปโตรเพิ่งตระหนักก็ คือ พระเจ้าไม่ทรงเลือกหน้าใคร พระเมตตาของพระเจ้าอยู่เหนือคนที่เกรงกลัวพระองค์ และทำสิ่งที่ถูกต้อง .. พระองค์จะทรงทำให้เขาได้พบพระองค์ตัวต่อตัวเลย
ความจริงเรื่องพระเจ้าต้องการให้คนทั้งโลกมาพบพระองค์นั้น พระเจ้าทรงสำแดงให้เห็น มีอยู่ในหนังสือผู้เผยพระคำอย่างอิสยาห์ เยเรมีย์อยู่แล้ว แต่ดูเหมือนยิวยังไม่ค่อยจะยอมรับสักเท่าไร
คำว่า ข่าวดีแห่งสันติสุข .. คือการได้คืนดีกับพระเจ้าผ่านไม้กางเขนของพระเยซู (เอเฟซัส 2:16) ผู้ที่เชื่อไม่เป็นศัตรูกับพระเจ้าอีกต่อไป
กิจการ 10:37-39
โดยย้อนเรื่องราวไปถึงการบัพติศมาจากยอห์น เพื่อให้เขารู้ว่า ถ้ากลับใจใหม่จะมีการบัพติศมาเพื่อประกาศว่า เขากลับใจแล้ว และรับพระเยซู .. เปโตรเล่าเรื่องของพระเยซูอย่างละเอียดให้โครเนลิอัสฟัง เรื่องราวของพระเยซูเป็นข่าวที่รู้กันในหมู่คนโรมอยู่แล้ว แต่พวกเขายังไม่รู้ว่า พระองค์ทรงทำอะไรเพื่อพวกเขา
เขาน่าจะพูดแบบเดียวคล้าย ๆ กับที่ประกาศในวันเพนเตคอส เขาเล่าให้ฟังถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทรงทำการพร้อมกับพระเยซู เขาเล่าถึงการสิ้นพระชนม์
กิจการ 10:40-43

เปโตรได้เล่าถึงการคืนพระชนม์ และเปโตรเป็นพยานว่า พระเยซูทรงคืนชีวิตขึ้นมาจริง ๆ เขาเล่าถึงการที่พระองค์ทรงบัญชาให้เขาประกาศพระนามของพระองค์ และให้คนรู้ว่า ที่จะได้รับการยกบาปจากพระเจ้านั้น ก็คือ ต้องเชื่อพระเยซู ไม่มีอะไรมากน้อยไปกว่านั้น เมื่อโครเนลิอัสได้ยินข่าวดีอย่างนั้น ใจของเขาก็ปลาบปลื้ม ยินดีนัก สิ่งที่เขาเคยรู้เกี่ยวกับพระเจ้ามานั้น วันนี้ เขาได้ยินอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว
กิจการ 10:44-46

ประหลาดมาก ขณะที่เปโตรประกาศข่าวดีของพระเยซู พระวิญญาณของพระเจ้าก็ลงมาเหนือคนที่ฟังอยู่นั้น ทำให้ยิ่งเป็นเรื่องมหัศจรรย์ใจสำหรับเปโตรมากขึ้นไปอีก !! คนที่มาด้วยก็เห็นเป็นพยานว่า พระเจ้าทรงโปรดแก่คนชาวต่างชาติด้วย ที่เขารู้ว่าพี่น้องเหล่านี้ได้รับพระวิญญาณก็จากการที่เห็นว่า เขาพูดภาษาต่าง ๆ และกล่าวคำยกย่องพระเจ้า
กิจการ 10:47-48
ในเมื่อได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์กัน เปโตรจึงชวนให้ทุกคนที่เชื่อ รับบัพติศมาในน้ำไปพร้อมกันเลย …​ ในหนังสือกิจการเราพบว่า เมื่อพี่น้องเชื่อพระเยซู พวกเขาก็เต็มใจที่จะรับบัพติศมาด้วย เป็นการตอบสนองจากใจที่พร้อมจะติดตามพระเจ้า (มัทธิว 28:19-20) บัพติศมาเป็นพิธีสื่อความหมายว่า คน ๆ หนึ่งได้รับการชำระบาปและฟื้นขึ้นมาสู่ชีวิตใหม่ และพิธีนี้บอกให้รู้ว่า พี่น้องคนนั้นได้รับการต้อนรับเข้าสู่ชุมชนของผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์
และเปโตรก็ได้อยู่เพื่อสอนเรื่องของพระเยซูคริสต์ให้กับพี่น้องต่างชาติในบ้านของโครเนลิอัสต่อไป เป็นการเริ่มต้นคริสตจักรของผู้ที่เป็นคนต่างชาติในคริสตจักรยุคแรก

พระคำเชื่อมโยง กิจการ 10
1* กิจการ 8:40; 23:23
2* กิจการ 8:2; 9:221; 22:12; 13:16,26
3* กิจการ 10:30; 11:13
5* กิจการ 11:13-14
6* กิจการ 9:43; 11:14
9* กิจการ 10:9-32; 11:5-14
11* กิจการ 7:56

14* เฉลยธรรมบัญญัติ 14:3,7
15* โรม 14:14
19* กิจการ 11:12
20* กิจการ 15:7-9
22* กิจการ 22:12
23* กิจการ 10:45; 11:12
26* กิจการ 14:14-15
28* ยอห์น 4:9; 18:28; กิจการ 10:14,35; 15:8-9

42*มัทธิว 28:19; ยอห์น 5:22,27; 1 เปโตร 4:5
43*เศคาริยาห์ 13:1; กาลาเทีย 3:22; กิจการ 13:38,39
44* กิจการ 4:31
45* กิจการ 10:23; 11:18
47* กิจการ 2:4; 10:44; 11:17; 15:8
48* โครินธ์ 1:14-17; กิจการ 2:38; 8:16; 19:5

กิจการ 9 พบผู้ถูกข่มเหงตัวจริง !

ไอเนอัส โดรคัส กับเปโตร

คำอธิบายเพิ่มเติม

กิจการ 9:1-2
เซาโล ผู้เห็นเหตุการณ์วันที่เขาเอาหินขว้างสเทเฟน ได้กลายเป็นคนที่มุ่งมั่นทำลายล้างความเชื่อใหม่ การที่ผู้คนเปลี่ยนในจากศาสนายูดาห์ไปเชื่อพระเยซูที่ใคร ๆ บอกว่าฟื้นขึ้นมาจากตายนั้น เป็นเรื่องรับไม่ได้จริง ๆ ไม่ได้จับผู้เชื่อในเยรูซาเล็มเท่านั้น แต่ยังตามไปทางเหนือถึงเมืองดามัสกัสซึ่งเป็นดินแดนต่างชาติเสียด้วย ​(กิจการ 26:11) เซาโลมั่นใจว่า เขากำลังทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า พวกที่ถือทางใหม่นี้ เทศนาทำให้คนยิวไขว้เขว เขาได้ขอจดหมายจากปุโรหิตเพื่อว่าเขาจะได้จับตัวคริสเตียนที่เข้าไปในศาลาธรรมยิวได้ แล้วจะจับตัวมาขึ้นศาลในเยรูซาเล็ม การทำเช่นนี้เป็นเรื่องภายในของพวกยิว โรมไม่เข้ามาจัดการ
เวลานั้น ยังไม่มีชื่อเรียกคริสเตียน จึงเรียกผู้เชื่อกันว่า คนที่ถือ “ทางนั้น”

กิจการ 9:3-5
เหตุการณ์วันที่เซาโลพบพระเยซูหน้าเมือง เป็นเรื่องมหัศจรรย์อย่างหนึ่ง มีเสียงจากฟ้าถามเขาว่า “เซาโล เซาโล เจ้าข่มเหงเราทำไม?”เมื่อเขาถามว่าผู้พูดเป็นใคร เสียงนั้นตอบกลับมาว่า “เราคือเยซู ผู้ที่เจ้าข่มเหง” แสดงว่า การที่เขาข่มเหงคนของพระองค์ คือการข่มเหงพระองค์ผู้ทรงเป็นเจ้าชีวิตของคนเหล่านั้น พระคริสต์กับผู้เชื่อเป็นกายเดียวกัน มีพระองค์เป็นศีรษะ พวกเขาเป็นคนของพระเจ้า ไม่ใช่ตัวเซาโล
ในเหตุการณ์ครั้งนี้ เราอ่านแล้วรู้สึกว่า เซาโลได้ยินแค่เสียงของพระเยซู แต่ใน 1 โครินธ์ 9:1 ได้กล่าวว่า “ข้าไม่ได้เห็นพระเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราหรือ?” จึงดูเหมือนว่า เขาได้เห็นพระเยซูที่ตรัสกับเขา ไม่ครั้งนี้ ก็ครั้งอื่นที่ไม่ได้บันทึกไว้

กิจการ 9:6-8
พระเจ้าทรงสั่งใ
ห้เขาเข้าเมืองดามัสกัส ดังนั้น เพื่อน ๆที่มาด้วยก็ต้องพาไป เพราะแสงจ้าครั้งนี้ทำให้เขามืดบอดไปทันที และพระเจ้าทรงใช้คนของพระองค์เพื่อช่วยให้เปาโลได้เข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์
แต่หากเราไปอ่านกิจการ 26: 15-18 จะเห็นว่า พระเจ้าตรัสมากกว่านั้น พระองค์ทรงแต่งตั้งให้เขารับใช้ เป็นพยานถึงสิ่งที่เขาได้เห็นเกี่ยวกับพระองค์ และจะส่งเขาไปหาคนยิว คนต่างชาติ เพื่อทำให้พวกเขาเข้ามาสู่ความสว่าง มาอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้า ได้รับการอภัย และรับการชำระ

กิจการ 9:9-11
หลังจากการพบพระเยซูอย่างไม่คาดฝัน พบพระองค์จากแสงสว่างและเสียง เซาโลก็มองอะไรไม่เห็น ใช่แล้ว เป็นเวลาที่ ต้องมองเข้าไปในใจของตนเอง สามวันสามคืนที่ท่านไม่ได้กินดื่มเลย เหตุการณ์นี้ระทึกใจและต้องเปลี่ยนชีวิตไปตลอด แต่ท่านเองก็ยังไม่เข้าใจ… เวลานี้ สิ่งที่ทำได้คือการทบทวนเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ผ่านมา ทบทวนสิ่งที่พระเจ้าตรัสแก่เขา จากคนที่ข่มเหงพระเจ้า ตอนนี้เขาจะกลายมาเป็นตัวแทนของพระองค์ไปยังชาติต่าง ๆ อย่างไร ทำไมพระเจ้าทรงเลือกที่จะให้เขาเป็นคนที่ทำงานเช่นนั้น แต่สิ่งสำคัญที่เขาทำคือ อธิษฐาน… เซาโลที่กำลังตาบอด อธิษฐานต่อพระเจ้า ขอความเข้าใจในเหตุการณ์ทั้งหมด
แล้วพระเจ้าทรงมาหาอานาเนียในนิมิต เขาเป็นศิษย์ของพระองค์แต่อาศัยในดามัสกัส พระเจ้าทรงสั่งให้เขาทำสิ่งที่ยากมากคือ ไปหาเปาโลผู้เป็นศัตรูตัวร้ายของผู้เชื่อ ถนนตรงคือ ถนนที่เริ่มจากเมืองด้านหนึ่งตรงไปอีกด้าน

กิจการ 9:15-16
แล้วสิ่งที่พระเจ้าทรงตอบมาก็ทำให้อานาเนีย อึ้ง ..​พระองค์จะทรงใช้เซาโลผู้นี้นำคนต่างชาติ กษัตริย์และยิวมาพบพระองค์ และเขาจะต้องทนทุกข์เพื่อพระองค์ ไม่ต้องทัดทานพระเจ้าแล้ว เขาต้องไปทำตามคำสั่งของพระองค์ เราจะเห็นว่า พระเจ้าไม่ทรงกริ้วกับอานาเนีย แต่ทรงอธิบายให้เขาเข้าใจว่า เกิดอะไรขึ้น แผนการของพระองค์เป็นอย่างไร

กิจการ 9:12-14
พระเจ้าทรงบอกรายละเอียดว่า ตัวเซาโลเองก็เห็นในนิมิตว่าอานาเนีย จะไปพบเขา วางมืออธิษฐานเพื่อเขาจะมองเห็นได้ ในนิมิตนั้น อานาเนีย ทูลค้านพระเจ้าว่า เซาโลผู้นี้เป็นคนทำร้ายคนของพระองค์ แล้วเขาก็มาดามัสกัสเพื่อการนี้ แสดงว่า การมาของเซาโลเป็นที่รู้กันทั่วดามัสกัส

กิจการ 9:17-19
อานาเนียสไม่มีอะไรจะโต้ตอบแล้ว เขาทำตามพระองค์ทันที
อานาเนีย บอกเซาโลว่า พระเจ้าที่ปรากฏแก่เขานั้น เป็นพระเยซูคริสต์ และทรงส่งเขามาอธิษฐานให้ เพื่อจะมองเห็น เพื่อจะเต็มด้วยพระวิญญาณ และเขาวางมือบนเปาโล เรียกเซาโลว่าเป็นพี่น้อง อานาเนียกำลังรับเขาเข้ามาเป็นหนึ่งในชุมชนผู้เชื่อ
ที่สำคัญอย่างหนึ่งคือ อานาเนียได้กล่าวด้วยจากกิจการ 22:14 ทำให้เรารู้ว่า เซาโลทั้งเห็นและได้ยินเสียงองค์พระผู้เป็นเจ้า
เมื่ออธิษฐานก็มีเกล็ดตกออกมาจากตา เซาโลก็มองเห็น เขาจึงได้รับบัพติศมาวันนั้น .. แล้วมีกำลังขึ้นจากอาหารที่พี่น้องเตรียมให้

กิจการ 9:19ข-22
เมื่อเซาโลได้พบอานาเนียส และบัพติศมาแล้ว ก็ยังคงอยู่ที่ดามัสกัสกับพี่น้อง แล้วทำสิ่งที่กล้าหาญมากคือ ประกาศพระนามพระเยซู ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเมสสิยาห์ (พระคริสต์) ที่ยิวรอกันมานาน ตอนนี้ คนที่มาเพื่อเข่นฆ่าพี่น้องกลับกลายเป็นคนทรยศต่อศาสนายิวไปเสียแล้ว ใคร ๆ ก็สงสัย แต่ยังงุนงงอยู่ ส่วนเซาโลเองก็ไม่ได้กลัวเลย ความมั่นใจของเขานั้นเต็มร้อย พระวิญญาณทรงทำให้เขารู้ตัวว่า ทำผิดต่อพระเจ้าไปมากเพียงไร นี่เป็นเวลาที่เซาโลต้องบอกให้โลกรู้ว่า พระเจ้าแท้จริงคือผู้ใด
คำว่าเขาพิสูจน์ให้คนเห็นว่าพระเยซูคือผู้ใด คือเขานำเรื่องต่าง ๆ มาอธิบายเปรียบเทียบให้เห็น โดยเอาพันธสัญญาเดิมของพระเจ้าที่เกี่ยวข้องกับพระเมสสิยาห์มาทำให้พี่น้องได้เห็นความจริงว่า พระเยซูองค์นี้เป็นผู้ที่พระเจ้าทรงกล่าวถึงในพันธสัญญาเดิมนั้น

กิจการ 9:23-25
หลายวันผ่านไป เซาโลก็ยังประกาศเรื่องพระเยซูนี้ เริ่มชีวิตใหม่ไม่เท่าไร เซาโลก็สร้างศัตรูแล้ว ข่าวประเสริฐแผ่ออกไปทั่วเมือง คิดดูว่า ในเมืองดามัสกัสจะวุ่นเพียงไหน ข่าวเรื่องเซาโลมาทำร้ายแต่พระเจ้าทรงป้องกันพี่น้องไว้ แถมยังให้เซาโลกลับกลายเป็นพวกของพระองค์อีก นี่ทำให้ยิวไม่อาจอยู่นิ่งได้ พวกเขาวางแผนฆ่าเซาโล ทั้งๆ ที่รู้ว่า ถูกหมายหัว แต่ก็ออกจากเมืองไม่ได้เพราะตรงประตูเมืองเป็นจุดนัดสังหารเซาโล แถมยังมีทหารเฝ้าไว้ทั่วเมืองเพื่อจับกุมเขา (อ่าน 2 โครินธ์ 11:32) พวกยิวเหล่านี้ร่วมมือกับเจ้าเมืองเพื่อกำจัดเขา
ดังนั้น คืนหนึ่ง พี่น้องผู้เชื่อจึงจับเขาใส่เข่งใหญ่ หย่อนลงมานอกเมือง สั่งเซาโลหนีไป

กิจการ 9:26
จากดามัสกัส
เซาโลไม่ได้เดินทางกลับมายังกรุงเยรูซาเล็มทันที ถ้าเราอ่านกาลาเทีย 1:16-17 เขาไปยังอาระเบียก่อน เชื่อว่าท่านทำอะไรหลายอย่างในเวลานั้น สิ่งที่หนึ่งที่ทำแน่นอนคือการประกาศพระนามพระเยซู กลับมาดามัสกัสอีกครั้ง ซึ่งทั้งหมดใช้เวลาสามปี จึงเข้าไปเยรูซาเล็ม พบเปโตรและยากอบ ซึ่งเป็นน้องของพระเยซูแต่การที่จะเข้าไปอยู่กับพี่น้องก็มีปัญหา เพราะใครๆ ก็ไม่เชื่อว่าเซาโลกลับใจจริง แม้จะได้ยินเรื่องการกลับใจที่ชัดเจนนอกเมืองดามัสกัส ได้ยินเรื่องการประกาศ และการที่เขาถูกตามฆ่า ทั้งหมดนี้อาจเป็นแผนการที่จะเข้ามาสืบความลับในหมู่พี่น้อง มารู้ว่าใครเป็นใคร และตลบหลังทำร้ายอีกทีก็เป็นได้

กิจการ 9:27-28
แต่มีคนหนึ่งเป็นประกันให้ว่า เซาโลผู้นี้กลับใจจริง และเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้พี่น้องฟัง พวกเขาจึงสบายใจขึ้น บารนาบัส เป็นคนที่มีหัวใจของพระคริสต์ เชื่อในความจริงใจของผู้อื่น เป็นคนให้โอกาสคนที่จะรับใช้พระเจ้าเสมอ และการพบครั้งนี้ เป็นใครบ้างก็น่าจะเป็นสองท่านใน กาลาเทีย 1:16-17 เซาโลมีโอกาสที่จะอยู่ด้วยประมาณสองสัปดาห์ เขาเข้านอกออกในอย่างอิสระในเยรูซาเล็ม เท่ากับว่า ได้รับความไว้วางใจจากพี่น้องเต็มที่
สิ่งสำคัญยิ่งคือ เซาโลกล้าในการประกาศพระนามพระเยซู!

กิจการ 9:29-30
แต่แล้วเซาโลก็ไปโต้แย้งกับยิวที่นำความเชื่อ วัฒนธรรมกรีกเข้ามาผสมกับศาสนายิว ในเรื่องของพระเจ้า ทำให้เขาถูกหมายหัวอีกครั้ง ยิวกลุ่มนี้เป็นพวกเดียวกันกับที่เอาหินขว้างสเทเฟน พอเซาโลมาเป็นอย่างนี้ พวกยิวก็พร้อมที่จะฆ่าเขา ดูเหมือนว่า ศัตรูที่มองไม่เห็นของพระเจ้า มักอยู่เบื้องหลังของคนที่ยึดมั่น เคร่งครัดในศาสนาของตน ครั้งนี้พี่น้องคริสเตียนช่วยให้เซาโลได้ไปซีซาริยา และขึ้นเหนือไปทาร์ซัส

กิจการ 9:31
ในช่วงเวลานั้นเอง เมื่อไม่มีเปาโล คริสตจักรก็สงบสุข และยังมีการเปลี่ยนจักรพรรดิโรม องค์ใหม่คือคาลิกูลา ต้องการสร้างรูปปั้นของตนไปไว้ในพระวิหาร จึงเป็นอีกเรื่องที่ดึงความสนใจของเหล่าปุโรหิต ฟาริสีไปจากคริสเตียน เพราะต้องไปสู้กับจักรพรรดิใหม่นั้น

กิจการ 9:32-35
เปโตรไม่ได้ประกาศแค่ในเยรูซาเล็ม แต่เดินทางไปทั่ว และสิ่งที่เกิดขึ้นในหมู่ผู้คนคือ พระเยซูทรงทำการของพระองค์ตลอดเวลา พระวิญญาณทรงอยู่กับเขาในการรักษาโรคทำให้คนได้กลับมาเชื่อพระเจ้ากันมากมาย

กิจการ 9:36-38
ขณะที่เปโตรอยู่ในเมืองลิดดา ที่เมืองใกล้ ๆ ก็มีผู้เชื่อสตรีคนหนึ่งคือ โดรดัสสิ้นชีวิตลง เธอเป็นคนมีชื่อเสียงดีว่ามีน้ำใจยิ่งนัก เป็นที่รักของคนยากจนในเมือง แต่มีคนรู้ว่า เปโตรอยู่ที่เมืองใกล้ ๆ พวกเขาจึงส่งคนไปตามมา รู้ว่า เปโตรจะเป็นผู้ที่ช่วยแก้ปัญหานี้ได้ … พระเจ้าจะทรงตอบคำอธิษฐานของเปโตร

กิจการ 9:39-40ก
เมื่อมีการตามเปโตร .. เปโตรก็มาทันที และเห็นว่าผู้คนเศร้าเสียใจกันมาก เปโตรสั่งให้ทุกคนออกไป
เขาทำเหมือนตอนที่พระเยซูกำลังจะทำให้เด็กหญิงคนหนึ่งฟื้นจากความตาย นั่นคือ ไม่ให้มีใครที่ขาดความเชื่อ หรือเป็นแค่ยิวมุง เข้ามาอยู่ในการอธิษฐาน

กิจการ 9:40ข-43
เขาอธิษฐานต่อพระเจ้า เขาอธิษฐานเหมือนที่พระเยซูทำกับเด็กหญิง เขาเรียกชื่อเธอ และบอกให้ลุกขึ้น และพระเจ้าทรงตอบ โครคัสฟื้นขึ้นมาจากความตาย และคนในเมืองยัฟฟาก็กลับใจมาเชื่อพระเจ้า โดยที่พวกเขามารวมตัวกันที่บ้านของซีโมน ผู้เชื่อคนหนึ่งที่เป็นช่างฟอกหนัง เราจะเห็นการทำงานของพระเจ้า และการตอบสนองของผู้คน การทำงานต่อในการสอนของอัครทูต เหล่านี้ไปด้วยกันเป็นขบวนการสร้างชีวิตใหม่ของพระเจ้า
อย่างที่พระเยซูทรงบอกไว้ในยอห์น 14:12 ว่า ผู้ที่เชื่อในเรา จะทำในสิ่งที่เราทำอยู่ และคำของพระองค์ก็เป็นจริงในมือของเปโตร! และงานของพระเจ้าก็เกิดผลในเมืองต่าง ๆ ที่อยู่ใกล้กัน ในบทต่อไปเราจะเห็นงานของพระเจ้าขยายไปอีกพื้นที่

พระคำเชื่อมโยง

1* กิจการ 7:57; 8:1,3; 26:10,11
2* กิจการ 22:5
3* 1 โครินธ์ 15:8
4* มัทธิว 25:40
7* กิจการ 22:9;26:13
10* กิจการ 22:12
11* กิจการ 21:39; 22:3
13* กิจการ 9:1
14* กิจการ 7:59; 9:2,21
15* เอเฟซัส 3:7,8; โรม 1:5; 11:13; กิจการ 25:22,23; 26:1; โรม 1:16; 9:1-5
16* กิจการ 20:23; 2 โครินธ์ 4:11

17* กิจการ 22:12,13; 8:17; 2:4; 4:31; 8:17; 13:52
19* กิจการ 26:20
21* กาลาเทีย 1:13,23
22* กิจการ 18:28
23*2 โครินธ์ 11:26
24* 2 โครินธ์ 11:32
25* โยชูวา 2:15
26* กิจการ 22:17-20; 26:20
27* กิจการ 4:36; 13:2; 9:20,22
28* กาลาเทีย 1:18

29* กิจการ 6:1; 11:20; 2 โครินธ์ 11:26
31* กิจการ 5:11; 8:1; 16:5; เอเฟซัส 4:16,29; สดุดี 34:9; ยอห์น 14:16; กิจการ 16:5
32* กิจการ 8:14
34* กิจการ 3:6, 16; 4:10
35* 1 พงศาวดาร 5;16; 27:29; กิจการ 11:21; 15:19
36* 1 ทิโมธี 2:10
37* กิจการ 1:13; 9:39
40* มัทธิว 9:25; กิจการ 7:60; มาระโก 5:41-42
42* ยอห์น 11:45
43* กิจการ 10:6