กิจการ 13 ส่งผู้ประกาศออกไป

พระวิญญาณทรงส่งออกไป

อุปสรรคที่จัดการได้

คำเทศนาต้นแบบ

คำอธิบายเพิ่มเติม

พระวิญญาณทรงส่งออกไป
กิจการ 13:1
ที่เมืองอันทิโอก หลังจากที่ไปช่วยการบรรเทาทุกข์ในเยรูซาเล็ม เซาโล บารนาบัสก็กลับมาพร้อมกับยอห์น มาระโก ก่อนหน้านี้ ดูเหมือนเยรูซาเล็มจะเป็นสถานีหลักที่นำพระกิตติคุณออกไป แต่หลังจากบทนี้เราจะเห็นว่า อันทิโอก กลายเป็นเหมือนสถานีอีกแห่ง ลูกาเล่าว่ามีทั้งผู้กล่าวพระคำ(เรียกทั่วไปว่าผู้เผยพระวจนะหรือผู้พยากรณ์) และครูอาจารย์ เป็นผู้นำอยู่ แต่เรามองดี ๆ จะเห็นว่า ท่านเหล่านี้ก็เป็นผู้ประกาศด้วยจะเห็นว่าทั้งห้าคนนี้ มีพื้นเพแตกต่างกันอย่างมาก บารนาบัส เป็นยิวที่ใครๆ รู้ว่าเป็นคนพร้อมที่จะหนะนใจ สิเมโอนชื่อเป็นยิว แต่น่าจะเป็นคนจากอัฟริกา ลูซิอัส เป็นชื่อลาตินมาจากเมืองไซรีน ทางเหนือของอัฟริกา ส่วนมานาเอน เป็นชื่อกรีก(ถ้ายิว ว่ามานาเคม) เป็นคนที่เติบโตมาพร้อมกับเฮโรด เป็นเพื่อนของลูกเจ้านาย
และสุดท้ายคือเซาโล ที่เรารู้จักดีว่า เป็นฟาริสีเคร่งสุดโต่ง ที่กลับใจมาเชื่อพระเจ้า
กิจการ 13:2-3
วันหนึ่งเมื่อเขากำลังอธิษฐานพร้อมกับอดอาหารอยู่นั้น พระวิญญาณของพระเจ้าก็ตรัสชัดเจนให้บารนาบัสกับเซาโลไปทำงานที่ทรงเรียกเฉพาะ เมื่อเราอ่านต่อไป.. พบว่างานนั้น คือการประกาศกับคนต่างชาติในพื้นที่ไกลออกไป การตรัสของพระเจ้าครั้งนี้ลูกาไม่ได้บอกว่าเป็นวิธีไหน .. อาจจะผ่านผู้เผยพระคำก็เป็นได้ และพี่น้องได้เชื่อฟังพระเจ้าทันที พวกเขาอธิษฐานวางมือ ส่งเขาออกไป นับได้ว่าเป็นการส่งผู้รับใช้ออกไปทำงานต่างบ้านต่างเมือง เป็นครั้งแรกโดยคริสตจักรที่เข้มแข็ง
กิจการ 13:4-5
พวกเขาไปยังเมืองเซลูเคียเป็นแห่งแรก น่าจะมีผู้เชื่อบ้างเพราะไม่ไกลจากอันทิโอกเท่าไร จากนั้น ก็เดินทางเรือไปยังเมืองซาลามิส ซึ่งอยู่บนเกาะไซปรัส .. (บารนาบัสเติบโตมาจากที่นี่ กิจการ 4:36)
มีประเพณีสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำกันประจำในศาลาธรรมยิว นั่นคือเมื่อมีผู้เชี่ยวชาญพระคำเดินทางมา เขาก็จะเปิดโอกาสให้พูดกับพี่น้องผู้เชื่อ ยอห์นมาระโก เดินทางไปกับท่านทั้งสองด้วยในคราวนี้ เขาเป็นคนที่เห็นเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่พระเยซูทรงทำ และได้เขียนหนังสือมาระโกในเวลาต่อมา
มิชชันนารีชุดนี้ทำหน้าที่ดีมาก เพราะออกไปประกาศทั่วเกาะ ไปแทบทุกเมือง ..

อุปสรรคที่จัดการได้
กิจการ 13:6-7
แล้วพวกเขาก็เดินทางมาถึงเมืองปาโฟส มีผู้ตรวจการจากโรมดูแลอยู่ชื่อ เสอร์จีอัสเปาลุส ท่านทำงานให้กับโรมโดยตรง ท่านผู้นี้ส่งคนมาเชิญผู้ประกาศทั้งสามไปหา ท่านอยากรู้จักพระเจ้า อยากเข้าใจว่า พระเจ้าทรงทำอะไรในโลกนี้ แต่.. มีอุปสรรค เพราะมีบางคนไม่อยากให้ผู้ตรวจการมาเชื่อพระเจ้า จะเป็นการทำลายอาชีพการงานของเขา
ท่านผู้ตรวจการคนนี้เป็นคนฉลาดรอบรู้ เหมาะที่จะคุยกับเซาโลจริง ๆ
กิจการ 13:8-10
เอลีมาสผู้นี้เป็นคนเล่นไสยศาสตร์ ถ้าผู้ตรวจการเชื่อพระเจ้าเมื่อไร ก็จะเลิกใช้เขาแน่นอน ดังนั้น เขาจึงพยายามหาทางไม่ให้เปาโลและเพื่อนพบกับผู้ตรวจการทั้ง ๆ ที่ท่านเชิญทั้งสามไปพบ
แต่เปาโลประกอบด้วยพระวิญญาณ เห็นถึงเป้าหมายของเอลีมาสชัดเจน เปาโลไม่ได้กลัวเขาเลย แต่
จัดการกับเอลีมาสอย่างตรงไปตรงมา รวดเร็ว ไม่ปล่อยให้สิ่งร้ายเกิดขึ้นก่อน
เราจะสังเกตว่า ตอนนี้คนเริ่มเรียกเซาโลว่า เปาโลแล้ว ชื่อเซาโลเป็นชื่อตอนเกิดเป็นภาษาฮีบรู พออายุได้เก้าวันจะมีชื่อเป็นภาษาของโรม ชื่อเปาโลเป็นชื่อทางการซึ่งใช้ในอาณาจักรโรม
กิจการ 13:11-12
เปาโลบอกกับเอลีมาสว่าเขาจะตามืดมัวไปสักพัก ซึ่งก็เกิดขึ้นจริงทันที แต่เราไม่ทราบว่าเขาได้กลับใจหรือเปล่า เปาโลไม่ยอมให้เอลีมาสมาเป็นอุปสรรคกับความเชื่อของผู้ตรวจการ
การอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นกับเอลีมาส ทำให้ผู้ตรวจการเชื่อพระเจ้าง่ายขึ้นอีก คนที่เป็นเหมือนหมอผี แต่แล้วมาเจอกับคนของพระเจ้ากลับถูกทำให้ตาบอด เราไม่ทราบว่า เกิดอะไรขึ้นกับเขาอีก เขามาเชื่อพระเจ้าหรือไม่ แต่ผู้ตรวจการผู้นี้ ทั้งครอบครัวได้เชื่อในพระเจ้า โดยเราได้พบเอกสารโบราณที่กล่าวถึงท่านผู้นี้ว่า เป็นคริสเตียนทั้งครอบครัว พระเจ้าได้ทรงทำการของพระองค์ตามที่ต่าง ๆ ที่พวกเขาไปไม่หยุดยั้ง
กิจการ 13:13-14
จากนั้น เปาโล บารนาบัส ก็เดินทางจากเกาะไซปรัสมุ่งหน้าขึ้นไปแคว้น ปัมฟีเลีย โดยที่ยอห์นมาระโกได้แยกทางกลับไปเยรูซาเล็ม เมื่อถึงเมืองอันทิโอกทางเหนือซึ่งอยู่ห่างขึ้นไปประมาณ 220 กิโลเมตร ก็ได้เข้าไปในศาลาธรรมยิวเช่นเคย ดูเหมือนว่าตอนนี้ เปาโลเริ่มเป็นผู้นำในการประกาศ เพราะท่านลูกาบันทึกว่า เปาโลกับเพื่อน ๆ และเราทราบมาว่า
เปาโลไม่ค่อยพอใจกับการที่ยอห์นมาระโกทิ้งพวกเขาไป (กิจการ 15:36-41)

คำเทศนาต้นแบบ
กิจการ 13:15-16
นอกจากจะอ่านพระคัมภีร์เดิมที่กำหนดในศาลาธรรมตามธรรมเนียมยิว (พวกเขาจะเลือกอ่านจากพระคำที่โมสสเขียนก่อน แล้วตามด้วยบางส่วนของหนังสือผู้เผยพระวจนะที่เราเรียกกันว่า ผู้พยากรณ์) เปาโลยังมีโอกาสที่จะกล่าวคำหนุนใจอีกด้วย นี่เป็นโอกาสดีที่สุด
เปาโลกล่าวกับคนยิวและคนที่เกรงกลัวพระเจ้า นั่นคือ คนต่างชาติที่ขอเข้ามาเป็นเชื่อศาสนายิว
กิจการ 13:17-19
ต่อไปนี้เป็นคำเทศนาที่มีบันทึกไว้ คล้ายกับของสเทเฟน โดยที่จะมีการเล่าเรื่องราวย้อนหลังไป ถึงเหตุการณ์ในอียิปต์ การที่พระเจ้าแห่งอิสราเอลทรงนำคนอิสราเอลออกมา และพวกเขาได้เข้าไปอยู่ในคานาอัน เป็นเรื่องราวที่ชาวยิวมักจะเล่าสู่กันฟังเสมอมา เปาโลชี้ให้พวกเขาเห็นว่า การเริ่มต้นของพวกเขามาจากพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์หรือพระยาห์เวห์ที่เขาเชื่อถือ
กิจการ 13:20-22
สี่ร้อยห้าสิบปีคือ 400 ปีในอียิปต์ 40 ปีในถิ่นกันดาร และอีก 10 ปีในการครอบครองดินแดนคานาอัน
เปาโลเล่าต่อไปเมื่อพวกยิวต้องการกษัตริย์ พระองค์ก็ประทานให้ ปรากฏว่ากษัตริย์ทำให้ผู้คนหันไปจากพระเจ้า พระเจ้าจึงทรงถอดซาอูลจากตำแหน่ง และมอบให้ดาวิด
กิจการ 13:22-23
กษัตริย์ดาวิดเป็นคนที่พระเจ้าทรงพอพระทัย และท่านทำตามพระทัยของพระเจ้าทุกอย่าง พระเจ้าทรงสัญญาว่า บัลลังก์ของดาวิดจะอยู่ตลอดไป เปาโลชี้ว่า ดาวิดมีลูกหลานผู้หนึ่งที่สำคัญมากคือ พระเยซู
กิจการ 13:24-25
ยอห์นได้มาก่อนพระเยซูไม่นาน และเขาได้แนะนำพระเยซู พระบุตรของพระเจ้าที่อยู่ในวงศ์ของดาวิดให้ประชาชนได้รู้จัก พระองค์คือพระผู้ช่วยที่แท้จริง ซึ่งเป็นผู้ที่ผู้เผยพระคำสมัยโบราณกล่าวถึง
กิจการ 13:26-28
พระเจ้าได้ให้ชนอิสราเอลได้รู้เรื่องนี้ก่อนใคร ๆ แต่ชาวยิวทั้งหลายในเยรูซาเล็มกลับไม่ยอมรับคำของพระเจ้า ตอนนั้นเราต้องไม่ลืมว่า ยังไม่มีพระคัมภีร์ใหม่ คนยิวจะอ่านพระคำพระเจ้าคืออ่านจากพระคัมภีร์เดิม
คนที่น่าจะเชื่อในคำของพระเจ้ามากที่สุดกลับพยายามทำลายพระคำของพระองค์ด้วยการตรึงพระบุตรพระเจ้าบนไม้กางเขน ไม่ใช่ใครอื่นที่ทำร้ายพระเยซู แต่เป็นชาวยิวเอง พวกเขาหารู้ไม่ว่า พวกเขาทำให้คำพยากรณ์ที่เกี่ยวข้องกับพระเยซูนั้น สำเร็จในรายละเอียดแม้กระทั่งการนำพระองค์ไปฆ่าด้วยการตรึง เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับไม้กางเขน ก็เกิดเป็นจริงตามที่เขียนไว้ ลองอ่านสดุดี 22 เราจะเห็นว่า ราวกับเป็นสคริปต์ที่เขียนเอาไว้จริง ๆ
กิจการ 13:29-31
ชาวยิวได้ประหารพระเยซู และคิดว่าจบ แต่…​พระเจ้า ทรงให้พระบุตรของพระองค์คืนพระชนม์​
เรื่องราวจึงพลิกไปจากความคาดหมายของยิว
เปาโลเล่าถึงการที่พระเยซูเป็นขึ้นจากตาย และพี่น้องหลายคนได้พบพระเยซู และพวกเขาคือพยานปากเอกที่จะบอกใคร ๆ ในโลกให้รู้ นี่สำคัญมาก เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราต้องบอกกับคนที่เราเป็นพยานด้วย เราจะเอาเรื่องนี้ออกไปจากข่าวประเสริฐไม่ได้เลย การคืนพระชนม์ของพระเยซูทำให้เราได้มีชัยชนะเหนือความบาปและความตาย
คนที่เห็นพระเยซูได้กลายมาเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าที่มั่นคงมากเพราะสิ่งที่เขาได้ประสบ ความเชื่อของเขาสืบเนื่องต่อมาจนถึงเราทุกวันนี้ นี่เป็นผลของการคืนพระชนม์!
กิจการ 13:32-35
ทำไมเปาโลจึงย้อนมาที่หนังสือสดุดี? เพื่อว่าจะให้เห็นถึงคำพยากรณ์ล่วงหน้าที่พระเจ้าบอกเรื่องของพระเยซูให้ยิวได้พิจารณาอย่างชัด ๆ ที่พระเยซูทรงฟื้นคืนพระชนม์เพราะพระเจ้าพระบิดาทรงกำหนดไว้เช่นนั้นแล้ว พระบุตรลงมาในโลก จะทรงถูกประหาร และจะไม่อยู่ในถ้ำเก็บศพแต่จะฟื้นขึ้นมา
กิจการ 13:36-37
เปรียบเทียบกษัตริย์ดาวิดกับพระเยซู.. ดาวิดสิ้นแล้วสิ้นเลย แต่พระบุตรพระเจ้าซึ่งตามสายเลือดก็เป็นลูกหลานของดาวิด ทรงเป็นอยู่ตลอดไป นี่เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องบอกแก่คนยิว สังเกตไหมว่า การประกาศพระนามครั้งนี้ แม้ว่าเปาโลจะพูดถึงพระคัมภีร์เดิม แต่ก็จะโยงมาถึงความจริงที่เกิดขึ้นในยุคของท่าน
เรื่องของคริสเตียนไม่ใช่แค่ข้อเขียนจากพระเจ้า แต่เป็นการกระทำเฉพาะเจาะจงของพระเจ้าตามที่พระองค์ทรงบอกไว้ล่วงหน้า
กิจการ 13:38-41
เปาโลสอนชัดเจนว่า ทั้งคนยิวและคนต่างชาติที่เชื่อพระเจ้าไม่สามารถพ้นบาปด้วยพระบัญญัติที่พระเจ้าประทานผ่านโมเสส เมื่ออ่านบัญญัติเหล่านั้น เราเห็นข้อห้าม และคำบัญชาให้ทำ แต่ไม่มีใครสามารถรักษาบัญญัติเหล่านั้นเลย แสดงว่า มนุษย์ล้มเหลว ไม่มีใครสักคนพ้นโทษบาปได้
กิจการ 13:42-43
น่าแปลกใจที่พวกเขาฟังแล้ว ก็ยังอยากฟังอีก ขอร้องให้ท่านมาพูดให้ฟัง พวกเขาตอบสนองข่าวประเสริฐของพระเยซู แต่ท่านเองก็ไม่ได้ทิ้งพวกเขา แต่ขอให้พวกเขามั่นคงในพระคุณพระเจ้า นั่นหมายความว่า ขอให้เขาได้ทำทบทวนสิ่งดี ๆ ที่พระเจ้าทรงทำให้พวกเขา มีใจขอบพระคุณซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้พวกเขาเติบโตต่อไปแม้ในหนึ่งสัปดาห์ที่จะห่างกันไป

กิจการ 13:44-46
สะบาโตต่อมา คนเกือบทั้งเมืองมาฟังเปาโลในศาลาธรรม เหตุการณ์แบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เรียกได้ว่าเป็นเหตุการณ์เขย่าเมืองเลยทีเดียว สำหรับยิวเปาโลทำมากเกินไปแล้ว พวกเขาโกรธเกรี้ยว แต่ยิวจะโกรธแค่ไหน พวกเขาก็ยังกล้าปฏิบัติงานของพระเจ้าอย่างไม่กลัวเกรง แล้วบอกด้วยว่า ที่มาประกาศเรื่องพระเยซูให้ในศาลาธรรมก็เพราะต้องให้ยิวรู้ก่อน แต่หากยิวไม่สนใจ ก็จะไปประกาศกับคนต่างชาติ

กิจการ 13:47-48
เปาโลกล่าวว่า จริง ๆ แล้วพระเจ้าทรงตั้งคนยิวให้เป็นพรกับคนต่างชาติ ดังนั้นจะมียิวที่เชื่อและยิวที่ตั้งตัวเป็นศัตรู แบ่งกันเป็นสองพวกชัดเจน เปาโลกำลังเจอกับการเล่นงานของยิวเหมือนอย่างที่พระเยซูทรงเจอมาตลอดที่พระองค์รับใช้พระเจ้า สมกับที่พระเยซูตรัสว่า บ่าวไม่ใหญ่กว่านาย
ถึงอย่างนั้น ผู้บันทึกเรื่องราวนี้ ได้บอกข่าวดีกับเราว่า ทุกคนที่พระเจ้าทรงเลือกไว้ก็ได้เชื่อวางใจ เมื่อเราออกไปกล่าวคำของพระเจ้า อาจมีทั้งความเฉยเมย การต่อต้าน แต่ก็จะมีการตัดสินใจติดตามพระเจ้าด้วยเช่นกัน
กิจการ 13:49-52
หลังการประกาศ มีทั้งคนเชื่อและไม่เชื่อ แต่ศัตรูสำคัญคือ พวกยิวที่หาเรื่องไม่หยุดหย่อน พวกเขาไปชวนให้คนอื่น ๆ เลิกเชื่อ เลิกนับถือเปาโลและบารนาบัส ที่ใดมีการเชื่อเกิดขึ้น มารก็ไม่หยุดนิ่ง มันพยายามทำร้ายคนของพระเจ้าโดยยืมมือคนที่ไม่ชอบเขาเป็นทุนอยู่แล้ว และครั้งนี้ พวกเขาทำได้ผล ทำให้เปาโลและบารนาบัสถึงกับต้อง สลัดผงจากเท้า เป็นเครื่องหมายแสดงว่า นี่เป็นเมืองที่ปฏิเสธพระเจ้า และผู้รับใช้ของพระองค์ก็ไม่มีอะไรจะยุ่งเกี่ยวด้วยแล้ว
แต่แล้วทั้งสองก็เข้าไปในอีกเมือง ไม่มีการหยุดทำงาน ทำงานโดยใบหน้าแจ่มใส ยินดีมาก ๆ

พระคำเชื่อมโยง

1* กิจการ 4:36, 15:35, 11:22-27; กาลาเทีย 2:9; เอเฟซัส 4:11
2* กาลาเทีย 1:15; กิจการ 9:15; 2 ทิโมธี 1:11; 1 โครินธ์ 12 11
3* กิจการ 6:6; 2 ทิโมธี 2:2; 1 ทิโมธี 4:14
4* กิจการ 4:36; 13:2; 11:19
5* กิจการ 13:14; 13:46; 19:8
6* มัทธิว 7:15; 1 ยอห์น 4:1; 2 เปโตร 2:1-3; 2โครินธ์ 11:13; มาระโก 10:46
7* กิจการ 19:38; 13:12; 18:12
8* 2 ทิโมธี 3:8; กิจการ 13:6-7; 9:36; 2 ทิโมธี 4:14-15
9* มีคาห์ 3:8; กิจการ4:8
10* ยอห์น 8:44; โฮเชยา 14:9; 2 โครินธ์ 11:3; มัทธิว 13:38
11* สดุดี 32:4; อพยพ 9:3; ฮีบรู 10:31; ยอห์น 9:39;โยบ 12:21
12* 2 โครินธ์ 10:4-5; กิจการ 13:7; ลูกา 4:22
13* กิจการ 15:38; 27:5; 14:24-24
14* กิจการ 17:2
15* โรม 12:8

16* กิจการ 12:17; 13:26
17* เฉลยธรรมบัญญัติ 7:6-8; กิจการ 7:2-53
18* กิจการ 7:36; ฮีบรู 3:16-19
19* เฉลยธรรมบัญญัติ 7:1; สดุดี 78:55; กิจการ 7:45
20*ผู้วินิจฉัย 2:16; 1 ซามูเอล 3:20
21* 1 ซามูเอล 10:1; 15:1
22* 1 ซามูเอล 13:13-14 ; 1 พงศ์กษัตริย์ 15:5
23* มัทธิว 1:1; สดุดี 132:11
24* กิจการ 1:22; 19:3-4
25* มัทธิว 3:11; ยอห์น 1:26-27; มาระโก 1:7
26* ลูกา 1:77 ; 1:69; อิสยาห์ 46:3
27*กิจการ 3:17; 15:21; ลูกา 24:20
28* ยอห์น 19:4; ลูกา 23:21-25
29* ลูกา 23:53; ยอห์น 19:28, 30; กิจการ 5:30
30* กิจการ 2:24, 17:31; มัทธิว 28:6
31* กิจการ 1:3; ลูกา 24:48; กิจการ 1:11
32* โรม 4:13; กิจการ 26:6; เอเสเคียล 34:23
33* สดุดี 2:7; ฮีบรู 5:5
34* โรม 6:9; อิสยาห์ 55:3; สดุดี 89:2-4


35* สดุดี 16:10; กิจการ 2:27-31
36* กิจการ2:29; 13:22; 1 พงศ์กษัตริย์ 2:10
37* กิจการ 13:30, 2:24
38* ลูกา 24:47; 2โครินธ์ 5:18-21; 1 ยอห์น 2:12
39* กาลาเทีย 2:16; โรม 10:4; โรม 8:3
40* มาลาคี 4:1
41* ฮาบากุก 1:5; 1 เปโตร 4:17; โรม 11:7
42* กิจการ 28:28; 13:14
43* กิจการ 11:23; 2 ยอห์น 1:9; 2 เปโตร 3:17-18
45* ยูดาห์ 1:10; กิจการ 18:6
46* กิจการ 28:28; 26:20
47* อิสยาห์ 49:6; 42:6
48* เอเฟซัส 1:4; โรม 11:7
49*กิจการ 12:24; ฟีลิปปี 1:13-14
50* กิจการ 14:19; 14:2; 2 ทิโมธี 3:11
51* มัทธิว 10:14; กิจการ 18:6
52* 1 เธสะโลนิกา 1:6; โรม 15:13; กิจการ 4:31

กิจการ 9 พบผู้ถูกข่มเหงตัวจริง !

ไอเนอัส โดรคัส กับเปโตร

คำอธิบายเพิ่มเติม

กิจการ 9:1-2
เซาโล ผู้เห็นเหตุการณ์วันที่เขาเอาหินขว้างสเทเฟน ได้กลายเป็นคนที่มุ่งมั่นทำลายล้างความเชื่อใหม่ การที่ผู้คนเปลี่ยนในจากศาสนายูดาห์ไปเชื่อพระเยซูที่ใคร ๆ บอกว่าฟื้นขึ้นมาจากตายนั้น เป็นเรื่องรับไม่ได้จริง ๆ ไม่ได้จับผู้เชื่อในเยรูซาเล็มเท่านั้น แต่ยังตามไปทางเหนือถึงเมืองดามัสกัสซึ่งเป็นดินแดนต่างชาติเสียด้วย ​(กิจการ 26:11) เซาโลมั่นใจว่า เขากำลังทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า พวกที่ถือทางใหม่นี้ เทศนาทำให้คนยิวไขว้เขว เขาได้ขอจดหมายจากปุโรหิตเพื่อว่าเขาจะได้จับตัวคริสเตียนที่เข้าไปในศาลาธรรมยิวได้ แล้วจะจับตัวมาขึ้นศาลในเยรูซาเล็ม การทำเช่นนี้เป็นเรื่องภายในของพวกยิว โรมไม่เข้ามาจัดการ
เวลานั้น ยังไม่มีชื่อเรียกคริสเตียน จึงเรียกผู้เชื่อกันว่า คนที่ถือ “ทางนั้น”

กิจการ 9:3-5
เหตุการณ์วันที่เซาโลพบพระเยซูหน้าเมือง เป็นเรื่องมหัศจรรย์อย่างหนึ่ง มีเสียงจากฟ้าถามเขาว่า “เซาโล เซาโล เจ้าข่มเหงเราทำไม?”เมื่อเขาถามว่าผู้พูดเป็นใคร เสียงนั้นตอบกลับมาว่า “เราคือเยซู ผู้ที่เจ้าข่มเหง” แสดงว่า การที่เขาข่มเหงคนของพระองค์ คือการข่มเหงพระองค์ผู้ทรงเป็นเจ้าชีวิตของคนเหล่านั้น พระคริสต์กับผู้เชื่อเป็นกายเดียวกัน มีพระองค์เป็นศีรษะ พวกเขาเป็นคนของพระเจ้า ไม่ใช่ตัวเซาโล
ในเหตุการณ์ครั้งนี้ เราอ่านแล้วรู้สึกว่า เซาโลได้ยินแค่เสียงของพระเยซู แต่ใน 1 โครินธ์ 9:1 ได้กล่าวว่า “ข้าไม่ได้เห็นพระเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราหรือ?” จึงดูเหมือนว่า เขาได้เห็นพระเยซูที่ตรัสกับเขา ไม่ครั้งนี้ ก็ครั้งอื่นที่ไม่ได้บันทึกไว้

กิจการ 9:6-8
พระเจ้าทรงสั่งใ
ห้เขาเข้าเมืองดามัสกัส ดังนั้น เพื่อน ๆที่มาด้วยก็ต้องพาไป เพราะแสงจ้าครั้งนี้ทำให้เขามืดบอดไปทันที และพระเจ้าทรงใช้คนของพระองค์เพื่อช่วยให้เปาโลได้เข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์
แต่หากเราไปอ่านกิจการ 26: 15-18 จะเห็นว่า พระเจ้าตรัสมากกว่านั้น พระองค์ทรงแต่งตั้งให้เขารับใช้ เป็นพยานถึงสิ่งที่เขาได้เห็นเกี่ยวกับพระองค์ และจะส่งเขาไปหาคนยิว คนต่างชาติ เพื่อทำให้พวกเขาเข้ามาสู่ความสว่าง มาอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้า ได้รับการอภัย และรับการชำระ

กิจการ 9:9-11
หลังจากการพบพระเยซูอย่างไม่คาดฝัน พบพระองค์จากแสงสว่างและเสียง เซาโลก็มองอะไรไม่เห็น ใช่แล้ว เป็นเวลาที่ ต้องมองเข้าไปในใจของตนเอง สามวันสามคืนที่ท่านไม่ได้กินดื่มเลย เหตุการณ์นี้ระทึกใจและต้องเปลี่ยนชีวิตไปตลอด แต่ท่านเองก็ยังไม่เข้าใจ… เวลานี้ สิ่งที่ทำได้คือการทบทวนเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ผ่านมา ทบทวนสิ่งที่พระเจ้าตรัสแก่เขา จากคนที่ข่มเหงพระเจ้า ตอนนี้เขาจะกลายมาเป็นตัวแทนของพระองค์ไปยังชาติต่าง ๆ อย่างไร ทำไมพระเจ้าทรงเลือกที่จะให้เขาเป็นคนที่ทำงานเช่นนั้น แต่สิ่งสำคัญที่เขาทำคือ อธิษฐาน… เซาโลที่กำลังตาบอด อธิษฐานต่อพระเจ้า ขอความเข้าใจในเหตุการณ์ทั้งหมด
แล้วพระเจ้าทรงมาหาอานาเนียในนิมิต เขาเป็นศิษย์ของพระองค์แต่อาศัยในดามัสกัส พระเจ้าทรงสั่งให้เขาทำสิ่งที่ยากมากคือ ไปหาเปาโลผู้เป็นศัตรูตัวร้ายของผู้เชื่อ ถนนตรงคือ ถนนที่เริ่มจากเมืองด้านหนึ่งตรงไปอีกด้าน

กิจการ 9:15-16
แล้วสิ่งที่พระเจ้าทรงตอบมาก็ทำให้อานาเนีย อึ้ง ..​พระองค์จะทรงใช้เซาโลผู้นี้นำคนต่างชาติ กษัตริย์และยิวมาพบพระองค์ และเขาจะต้องทนทุกข์เพื่อพระองค์ ไม่ต้องทัดทานพระเจ้าแล้ว เขาต้องไปทำตามคำสั่งของพระองค์ เราจะเห็นว่า พระเจ้าไม่ทรงกริ้วกับอานาเนีย แต่ทรงอธิบายให้เขาเข้าใจว่า เกิดอะไรขึ้น แผนการของพระองค์เป็นอย่างไร

กิจการ 9:12-14
พระเจ้าทรงบอกรายละเอียดว่า ตัวเซาโลเองก็เห็นในนิมิตว่าอานาเนีย จะไปพบเขา วางมืออธิษฐานเพื่อเขาจะมองเห็นได้ ในนิมิตนั้น อานาเนีย ทูลค้านพระเจ้าว่า เซาโลผู้นี้เป็นคนทำร้ายคนของพระองค์ แล้วเขาก็มาดามัสกัสเพื่อการนี้ แสดงว่า การมาของเซาโลเป็นที่รู้กันทั่วดามัสกัส

กิจการ 9:17-19
อานาเนียสไม่มีอะไรจะโต้ตอบแล้ว เขาทำตามพระองค์ทันที
อานาเนีย บอกเซาโลว่า พระเจ้าที่ปรากฏแก่เขานั้น เป็นพระเยซูคริสต์ และทรงส่งเขามาอธิษฐานให้ เพื่อจะมองเห็น เพื่อจะเต็มด้วยพระวิญญาณ และเขาวางมือบนเปาโล เรียกเซาโลว่าเป็นพี่น้อง อานาเนียกำลังรับเขาเข้ามาเป็นหนึ่งในชุมชนผู้เชื่อ
ที่สำคัญอย่างหนึ่งคือ อานาเนียได้กล่าวด้วยจากกิจการ 22:14 ทำให้เรารู้ว่า เซาโลทั้งเห็นและได้ยินเสียงองค์พระผู้เป็นเจ้า
เมื่ออธิษฐานก็มีเกล็ดตกออกมาจากตา เซาโลก็มองเห็น เขาจึงได้รับบัพติศมาวันนั้น .. แล้วมีกำลังขึ้นจากอาหารที่พี่น้องเตรียมให้

กิจการ 9:19ข-22
เมื่อเซาโลได้พบอานาเนียส และบัพติศมาแล้ว ก็ยังคงอยู่ที่ดามัสกัสกับพี่น้อง แล้วทำสิ่งที่กล้าหาญมากคือ ประกาศพระนามพระเยซู ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเมสสิยาห์ (พระคริสต์) ที่ยิวรอกันมานาน ตอนนี้ คนที่มาเพื่อเข่นฆ่าพี่น้องกลับกลายเป็นคนทรยศต่อศาสนายิวไปเสียแล้ว ใคร ๆ ก็สงสัย แต่ยังงุนงงอยู่ ส่วนเซาโลเองก็ไม่ได้กลัวเลย ความมั่นใจของเขานั้นเต็มร้อย พระวิญญาณทรงทำให้เขารู้ตัวว่า ทำผิดต่อพระเจ้าไปมากเพียงไร นี่เป็นเวลาที่เซาโลต้องบอกให้โลกรู้ว่า พระเจ้าแท้จริงคือผู้ใด
คำว่าเขาพิสูจน์ให้คนเห็นว่าพระเยซูคือผู้ใด คือเขานำเรื่องต่าง ๆ มาอธิบายเปรียบเทียบให้เห็น โดยเอาพันธสัญญาเดิมของพระเจ้าที่เกี่ยวข้องกับพระเมสสิยาห์มาทำให้พี่น้องได้เห็นความจริงว่า พระเยซูองค์นี้เป็นผู้ที่พระเจ้าทรงกล่าวถึงในพันธสัญญาเดิมนั้น

กิจการ 9:23-25
หลายวันผ่านไป เซาโลก็ยังประกาศเรื่องพระเยซูนี้ เริ่มชีวิตใหม่ไม่เท่าไร เซาโลก็สร้างศัตรูแล้ว ข่าวประเสริฐแผ่ออกไปทั่วเมือง คิดดูว่า ในเมืองดามัสกัสจะวุ่นเพียงไหน ข่าวเรื่องเซาโลมาทำร้ายแต่พระเจ้าทรงป้องกันพี่น้องไว้ แถมยังให้เซาโลกลับกลายเป็นพวกของพระองค์อีก นี่ทำให้ยิวไม่อาจอยู่นิ่งได้ พวกเขาวางแผนฆ่าเซาโล ทั้งๆ ที่รู้ว่า ถูกหมายหัว แต่ก็ออกจากเมืองไม่ได้เพราะตรงประตูเมืองเป็นจุดนัดสังหารเซาโล แถมยังมีทหารเฝ้าไว้ทั่วเมืองเพื่อจับกุมเขา (อ่าน 2 โครินธ์ 11:32) พวกยิวเหล่านี้ร่วมมือกับเจ้าเมืองเพื่อกำจัดเขา
ดังนั้น คืนหนึ่ง พี่น้องผู้เชื่อจึงจับเขาใส่เข่งใหญ่ หย่อนลงมานอกเมือง สั่งเซาโลหนีไป

กิจการ 9:26
จากดามัสกัส
เซาโลไม่ได้เดินทางกลับมายังกรุงเยรูซาเล็มทันที ถ้าเราอ่านกาลาเทีย 1:16-17 เขาไปยังอาระเบียก่อน เชื่อว่าท่านทำอะไรหลายอย่างในเวลานั้น สิ่งที่หนึ่งที่ทำแน่นอนคือการประกาศพระนามพระเยซู กลับมาดามัสกัสอีกครั้ง ซึ่งทั้งหมดใช้เวลาสามปี จึงเข้าไปเยรูซาเล็ม พบเปโตรและยากอบ ซึ่งเป็นน้องของพระเยซูแต่การที่จะเข้าไปอยู่กับพี่น้องก็มีปัญหา เพราะใครๆ ก็ไม่เชื่อว่าเซาโลกลับใจจริง แม้จะได้ยินเรื่องการกลับใจที่ชัดเจนนอกเมืองดามัสกัส ได้ยินเรื่องการประกาศ และการที่เขาถูกตามฆ่า ทั้งหมดนี้อาจเป็นแผนการที่จะเข้ามาสืบความลับในหมู่พี่น้อง มารู้ว่าใครเป็นใคร และตลบหลังทำร้ายอีกทีก็เป็นได้

กิจการ 9:27-28
แต่มีคนหนึ่งเป็นประกันให้ว่า เซาโลผู้นี้กลับใจจริง และเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้พี่น้องฟัง พวกเขาจึงสบายใจขึ้น บารนาบัส เป็นคนที่มีหัวใจของพระคริสต์ เชื่อในความจริงใจของผู้อื่น เป็นคนให้โอกาสคนที่จะรับใช้พระเจ้าเสมอ และการพบครั้งนี้ เป็นใครบ้างก็น่าจะเป็นสองท่านใน กาลาเทีย 1:16-17 เซาโลมีโอกาสที่จะอยู่ด้วยประมาณสองสัปดาห์ เขาเข้านอกออกในอย่างอิสระในเยรูซาเล็ม เท่ากับว่า ได้รับความไว้วางใจจากพี่น้องเต็มที่
สิ่งสำคัญยิ่งคือ เซาโลกล้าในการประกาศพระนามพระเยซู!

กิจการ 9:29-30
แต่แล้วเซาโลก็ไปโต้แย้งกับยิวที่นำความเชื่อ วัฒนธรรมกรีกเข้ามาผสมกับศาสนายิว ในเรื่องของพระเจ้า ทำให้เขาถูกหมายหัวอีกครั้ง ยิวกลุ่มนี้เป็นพวกเดียวกันกับที่เอาหินขว้างสเทเฟน พอเซาโลมาเป็นอย่างนี้ พวกยิวก็พร้อมที่จะฆ่าเขา ดูเหมือนว่า ศัตรูที่มองไม่เห็นของพระเจ้า มักอยู่เบื้องหลังของคนที่ยึดมั่น เคร่งครัดในศาสนาของตน ครั้งนี้พี่น้องคริสเตียนช่วยให้เซาโลได้ไปซีซาริยา และขึ้นเหนือไปทาร์ซัส

กิจการ 9:31
ในช่วงเวลานั้นเอง เมื่อไม่มีเปาโล คริสตจักรก็สงบสุข และยังมีการเปลี่ยนจักรพรรดิโรม องค์ใหม่คือคาลิกูลา ต้องการสร้างรูปปั้นของตนไปไว้ในพระวิหาร จึงเป็นอีกเรื่องที่ดึงความสนใจของเหล่าปุโรหิต ฟาริสีไปจากคริสเตียน เพราะต้องไปสู้กับจักรพรรดิใหม่นั้น

กิจการ 9:32-35
เปโตรไม่ได้ประกาศแค่ในเยรูซาเล็ม แต่เดินทางไปทั่ว และสิ่งที่เกิดขึ้นในหมู่ผู้คนคือ พระเยซูทรงทำการของพระองค์ตลอดเวลา พระวิญญาณทรงอยู่กับเขาในการรักษาโรคทำให้คนได้กลับมาเชื่อพระเจ้ากันมากมาย

กิจการ 9:36-38
ขณะที่เปโตรอยู่ในเมืองลิดดา ที่เมืองใกล้ ๆ ก็มีผู้เชื่อสตรีคนหนึ่งคือ โดรดัสสิ้นชีวิตลง เธอเป็นคนมีชื่อเสียงดีว่ามีน้ำใจยิ่งนัก เป็นที่รักของคนยากจนในเมือง แต่มีคนรู้ว่า เปโตรอยู่ที่เมืองใกล้ ๆ พวกเขาจึงส่งคนไปตามมา รู้ว่า เปโตรจะเป็นผู้ที่ช่วยแก้ปัญหานี้ได้ … พระเจ้าจะทรงตอบคำอธิษฐานของเปโตร

กิจการ 9:39-40ก
เมื่อมีการตามเปโตร .. เปโตรก็มาทันที และเห็นว่าผู้คนเศร้าเสียใจกันมาก เปโตรสั่งให้ทุกคนออกไป
เขาทำเหมือนตอนที่พระเยซูกำลังจะทำให้เด็กหญิงคนหนึ่งฟื้นจากความตาย นั่นคือ ไม่ให้มีใครที่ขาดความเชื่อ หรือเป็นแค่ยิวมุง เข้ามาอยู่ในการอธิษฐาน

กิจการ 9:40ข-43
เขาอธิษฐานต่อพระเจ้า เขาอธิษฐานเหมือนที่พระเยซูทำกับเด็กหญิง เขาเรียกชื่อเธอ และบอกให้ลุกขึ้น และพระเจ้าทรงตอบ โครคัสฟื้นขึ้นมาจากความตาย และคนในเมืองยัฟฟาก็กลับใจมาเชื่อพระเจ้า โดยที่พวกเขามารวมตัวกันที่บ้านของซีโมน ผู้เชื่อคนหนึ่งที่เป็นช่างฟอกหนัง เราจะเห็นการทำงานของพระเจ้า และการตอบสนองของผู้คน การทำงานต่อในการสอนของอัครทูต เหล่านี้ไปด้วยกันเป็นขบวนการสร้างชีวิตใหม่ของพระเจ้า
อย่างที่พระเยซูทรงบอกไว้ในยอห์น 14:12 ว่า ผู้ที่เชื่อในเรา จะทำในสิ่งที่เราทำอยู่ และคำของพระองค์ก็เป็นจริงในมือของเปโตร! และงานของพระเจ้าก็เกิดผลในเมืองต่าง ๆ ที่อยู่ใกล้กัน ในบทต่อไปเราจะเห็นงานของพระเจ้าขยายไปอีกพื้นที่

พระคำเชื่อมโยง

1* กิจการ 7:57; 8:1,3; 26:10,11
2* กิจการ 22:5
3* 1 โครินธ์ 15:8
4* มัทธิว 25:40
7* กิจการ 22:9;26:13
10* กิจการ 22:12
11* กิจการ 21:39; 22:3
13* กิจการ 9:1
14* กิจการ 7:59; 9:2,21
15* เอเฟซัส 3:7,8; โรม 1:5; 11:13; กิจการ 25:22,23; 26:1; โรม 1:16; 9:1-5
16* กิจการ 20:23; 2 โครินธ์ 4:11

17* กิจการ 22:12,13; 8:17; 2:4; 4:31; 8:17; 13:52
19* กิจการ 26:20
21* กาลาเทีย 1:13,23
22* กิจการ 18:28
23*2 โครินธ์ 11:26
24* 2 โครินธ์ 11:32
25* โยชูวา 2:15
26* กิจการ 22:17-20; 26:20
27* กิจการ 4:36; 13:2; 9:20,22
28* กาลาเทีย 1:18

29* กิจการ 6:1; 11:20; 2 โครินธ์ 11:26
31* กิจการ 5:11; 8:1; 16:5; เอเฟซัส 4:16,29; สดุดี 34:9; ยอห์น 14:16; กิจการ 16:5
32* กิจการ 8:14
34* กิจการ 3:6, 16; 4:10
35* 1 พงศาวดาร 5;16; 27:29; กิจการ 11:21; 15:19
36* 1 ทิโมธี 2:10
37* กิจการ 1:13; 9:39
40* มัทธิว 9:25; กิจการ 7:60; มาระโก 5:41-42
42* ยอห์น 11:45
43* กิจการ 10:6

2 เธสะโลนิกา 3 ชีวิตในชุมชนผู้เชื่อ

คำอธิษฐานของท่านเปาโล

ที่สุดนี้ พี่น้องทั้งหลาย
ขอท่านอธิษฐานเผื่อเรา
เพื่อว่าพระคำขององค์พระผู้เป็นเจ้า จะแผ่ออกไปอย่างรวดเร็ว และได้รับเกียรติเหมือนอย่างที่เกิดขึ้นในหมู่พวกท่าน และเพื่อเราจะได้รับการช่วยกู้จากคนพาลคนชั่ว เพราะไม่ใช่ทุกคนจะเชื่อ
2 เธสะโลนิกา 3:1-2

เอเฟซัส 6:19-20, 1 เธสะโลนิกา 1:8,5:25, โคโลสี 4:3,โรม 15:31,กิจการ 28:24,

การประกาศของผู้รับใช้พระเจ้าในทุกแห่งในโลกนี้ มีอุปสรรคมากมาย ต้องเผชิญกับการต่อต้านเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปจนถึงการขู่เอาชีวิต การเผาคริสตจักร การตามฆ่าพี่น้องที่เข้ามารับเชื่อ พี่น้องผู้เชื่อใหม่ในหลายประเทศต้องหลบซ่อน นี่เป็นเหตุที่ต้องการคำอธิษฐาน เผื่อ และอย่าคิดว่าจะไม่ได้ผล เพราะพระเจ้าจะทรงตอบคำอธิษฐานที่จริงจังแน่นอน

แต่พระเจ้าทรงซื่อตรง
พระองค์จะทรงให้กำลังและปกป้องท่านจากผู้ที่ชั่วร้าย เรื่องของท่านนั้น เรามีความมั่นใจในพระเจ้าเรื่องของท่านว่าท่านกำลังทำ และจะทำสิ่งที่เราได้สั่งไว้
2 เธสะโลนิกา 3:3-4

1 โครินธ์ 1:9, 1 เธสะโลนิกา 5:24,ยอห์น 17:15, 2 โครินธ์ 7:16, ฟิเลโมน 1:21

ไม่ใช่ทุกคนที่เชื่อพระเจ้า แต่กระนั้น พระเจ้ายังคงซื่อตรงตามพระสัญญาของพระองค์ ท่านเปาโล จึงมั่นใจว่า พระเจ้าจะทรงให้กำลัง ปกป้องผู้เชื่อจากมารร้าย (1 โครินธ์ 10:13) คำว่ามั่นใจในภาษากรีกบ่งถึง

ขอพระผู้เป็นเจ้าทรงนำใจของท่านไปสู่ความรักของพระเจ้า และความทรหดอดทนของพระคริสต์
2 เธสะโลนิกา 3:5

1 พงศาวดาร 29:18, 1 ยอห์น 4:19, เฉลยธรรมบัญญัติ 30:6,

คำอธิษฐานที่ท่านเปาโลยังคงขอต่อไปคือ ให้พี่น้องชาวเธสะโลนิกา มีทั้งความรัก และความอดทนมากอย่างพระเยซูคริสต์ เพราะจะทำให้เขาทำหน้าที่ในฐานะคนของพระเจ้าต่อไปอย่างมั่นคงไม่ว่าจะเจอความยากลำบากขนาดไหน

คำเตือนไม่ให้เป็นคนอยู่เฉย

เราขอสั่งพี่น้องทั้งหลายในพระนามของพระเยซูคริสต์เจ้าของเราว่าให้อยู่ห่างจากพี่น้องที่อยู่เฉย ไม่รับผิดชอบ ไม่ดำเนินชีวิตตามคำสอนที่ท่านได้รับจากเรา
2 เธสะโลนิกา 3:6

โรม 16:17, 1 โครินธ์ 5:1,1 เธสะโลนิกา 4:11,5:14

ระยะห่างเพื่อป้องกันเรื่องโควิด 19 นั้น เป็นตัวอย่างที่ดีว่า เราไม่อยู่ใกล้กันกับคนที่อาจมีเชื้อโรค เพื่อเราจะไม่ติดต่อโรคระยะห่างต้องมีกับคนที่เกียจคร้าน ไม่ทำงาน ไม่รับผิดชอบชีวิตของตนเอง และคนในครอบครัว

เพราะท่านรู้ว่า ท่านจะต้องเลียนแบบเรา เราไม่ได้อยู่เฉย ท่ามกลางพวกท่าน และเราไม่ได้กินอาหารของใครโดยไม่จ่ายตอบแทน ตรงกันข้าม เราทำงานเช้ายันค่ำ เพื่อว่าเราจะไม่เป็นภาระแก่ใครในพวกท่าน
2 เธสะโลนิกา 3:7-8

1 โครินธ์ 11:1,4:16 , ทิตัส 2:7, 1 เธสะโลนิกา 2:9, มัทธิว 6:11

คำสั่งช่วงนี้ เป็นคำสั่งสำหรับการลงมือปฏิบัติ ผู้ที่เชื่อพระเจ้าจริง ๆ จะต้องไม่เป็นคนที่เกียจคร้าน
แต่เป็นคนมีจิตใจคิดถึงประโยชน์ของคนอื่นด้วย พระเจ้าทรงให้เรามีชุมชนเพื่อช่วยเหลือกันและกัน
การมีชุมชนทำให้เราอยู่กันมาได้จนทุกวันนี้ หากเราต่างคนต่างอยู่
ไม่ทำหน้าที่ ๆ ควรทำ ไม่นานเราจะเหมือน อารยธรรมโบราณที่สูญหายตายจากไป

ที่ทำเช่นนี้ไม่ใช่เพราะเราไม่มีสิทธิที่จะได้รับการสนับสนุน แต่เราทำเพื่อเป็นตัวอย่างให้ท่านทำตาม จริงแล้วตอนที่เราอยู่กับท่านเราได้สั่งท่านไว้ว่า“หากใครไม่เต็มใจทำงาน ก็ไม่ต้องให้เขากิน”
2 เธสะโลนิกา 3:9-10

1 โครินธ์ 9:4-14, ยอห์น 13:15, สุภาษิต 13:4,20:4

ท่านเปาโลเป็นตัวอย่างที่ทำให้คริสเตียนได้รับใช้พระเจ้าไปด้วยการทำงานอื่นเลี้ยงตัวเองไปด้วย ไม่ได้เป็นภาระของคริสตจักร ทำให้งานของพระเจ้าก้าวหน้าไปเร็วขึ้น ท่านเปาโลชัดเจนว่า ถ้าใครไม่ทำงานก็ไม่ต้องให้กิน ชัดเจน ไม่มีข้อโต้แย้ง

เพราะเราได้ยินว่า มีบางคนในหมู่พวกท่านใช้ชีวิตไร้ความรับผิดชอบ ไม่ทำงาน แต่กลับไปยุ่งเรื่องของผู้อื่น เราขอสั่งคนอย่างนั้น ในองค์พระคริสต์เจ้าของเราให้ทำงานเพื่อหาเลี้ยงตัวเอง
2 เธสะโลนิกา 3:11-12

1 เปโตร 4:15, เอเฟซัส 4:28, 1 เธสะโลนิกา 4:11,

การไม่ทำงาน ไม่หางานทำ (งานดังกล่าวจะเป็นงานอะไรก็ได้ งานบ้าน งานที่ทำงาน งานเพื่อคนอื่น)
ทำให้คนหนึ่ง ๆ มีเวลาว่างมาก และกลายเป็นต้นตอของชีวิตบาป เขากลายเป็นคนที่สร้างอันตราย
ให้กับทั้งตัวเองและคนอื่น

สำหรับพวกท่าน พี่น้องเอ๋ย อย่าเหนื่อยล้าที่จะทำการดี คนใดที่ไม่เชื่อฟังคำสอนจากจดหมายนี้ ก็ให้หมายหัวไว้ อย่าคบหาสมาคมด้วย เพื่อว่าเขาจะได้ละอาย อย่าถือว่าเขาเป็นศัตรู แต่ให้เตือนสติเขาในฐานะพี่น้อง
2 เธสะโลนิกา 3:13-15

กาลาเทีย 6:9-10, 2 โครินธ์ 4:1, มัทธิว 18:17, เลวีนิติ 19:17, ทิตัส 3:10

บางครั้งถ้าใครคนหนึ่งต้องแบกภาระคนอื่น ๆ หลายอย่าง ทั้งพ่อแม่ พี่น้อง แถมยังมีเขย สะใภ้เข้ามาช่วยเพิ่มภาระ บางทีมันก็หมดแรงเหมือนกัน ท่านเปาโลหนุนใจ ให้ไม่หยุดทำความดีต่อไป ส่วนคนที่ไม่เชื่อฟังคำสั่ง ก็ไม่ให้คบเป็นเพื่อนสนิท เพื่อช่วยให้เขารู้สึกละอาย จะได้กลับใจ อย่าปล่อยให้เขาทำผิดไปเรื่อย ๆ

คำลงท้ายจดหมาย

บัดนี้ ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งสันติทรงให้สันติสุขแก่ท่านทุก ๆ ด้าน ทุกเวลา ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่กับท่านทุกคน
ข้า เปาโล เขียนคำลงท้ายนี้ด้วยลายมือตนเอง นี่เป็นเครื่องหมายว่าเป็นจดหมาย จากข้า ทุก ๆ ฉบับ ข้าจะเขียนแบบนี้ขอพระคุณของพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา
อยู่กับท่านทุกคน
2 เธสะโลนิกา 3:16-18

โรม 15:33, 1 โครินธ์ 16:21, วิวรณ์ 16:14, โณม 16:20,24

เมื่อพี่น้องชาวเธสะโลนิกา ได้คำอธิษฐานของท่านเปาโล ขอสันติสุข ขอองค์พระผู้เป็นเจ้า และขอ
พระคุณของพระเยซูเจ้า มายังชีวิตของพวกเขา เชื่อแน่ว่าพระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานของท่าน ยังมีพี่น้องคริสเตียนจำนวนมาก ที่ชีวิตไม่ราบรื่น ต้องการคำอธิษฐานแบบนี้ แม้แต่เราทุกคนก็เช่นกัน

2 ทิโมธี 1 จิตใจที่กล้าหาญ

เนื่องจากภาพที่ปรากฏในคอมพิวเตอร์กับโทรศัพท์มือถือแตกต่างกัน จึงขออธิบายว่า ในแต่ละข้อแบ่งเป็นสี่ตอน คือ ข้อความในพื้นเทา เป็นข้อพระคัมภีร์ ตัวหนังสือเล็กสีส้ม เป็นพระคำที่เกี่ยวข้อง ภาพประกอบ และคำอธิบายเพิ่มเติม

คำทักทาย เริ่มต้นจดหมาย ความทรงจำดี ๆ ต่อกัน บทนี้ ทำให้เราเห็นหัวใจความห่วงใยของท่านเปาโลที่มีต่อทิโมธีชัดเจนมาก

จดหมายจากข้า เปาโล อัครทูตของพระเยซูคริสต์ตาม
พระประสงค์ของพระเจ้า ตามพระสัญญาแห่งชีวิตซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์
ถึงทิโมธี ลูกชายที่รักของข้า
ขอให้พระคุณ พระเมตตา และสันติสุขจากพระเจ้าพระบิดา และพระเยซูคริสต์ของเรา จงอยู่กับเจ้าเถิด
2 ทิโมธี 1:1-2

2 โครินธ์ 1:1 ,เอเฟซัส 1:1, โคโลสี 1:1,ทิตัส 1:2

ท่านเปาโลมองว่าตัวเองเป็นผู้สื่อสารข่าวที่นำชีวิตให้กับผู้รับสาร
ในฉบับแรกท่านเรียกทิโมธีว่า ลูกชาย
แท้ในความเชื่อ แต่ในฉบับที่สองท่านใช้คำว่า ทิโมธี ลูกชายที่รักของข้า.. รู้สึกได้เลยว่า ใกล้ชิดขึ้น สนิทมากขึ้น รักมากกว่าเดิม

ข้าขอบคุณพระเจ้าผู้ที่ข้ารับใช้ด้วยจิตสำนึกบริสุทธิ์ ตามอย่างบรรพบุรุษของข้า ข้าระลึกถึงเจ้าเสมอยามที่ข้าอธิษฐานทั้งคืนวันเมื่อคิดถึงน้ำตาของเจ้า ข้าก็อยากมาหาเจ้านัก เพื่อว่าใจข้าจะเต็มด้วยความยินดี
2 ทิโมธี 1:3-4

กิจการ 24:14, 2 ทิโมธี 4:6-17

สิ่งที่ท่านเปาโล ทำไม่ได้คือไปหาทิโมธี แต่คำอธิษฐานของท่านทรงพลังกว่าการพบปะกันเสียอีก เวลาท่านคิดถึงทิโมธี ท่านน้ำตาไหลด้วยความซาบซึ้งในพระเจ้าที่ทรงให้มีคนอย่างทิโมธี คิดถึงเขาทีไรท่านก็ มีความชื่นชมยินดี ขอบคุณพระเจ้าที่จดหมายแห่งรักของเปาโลยังคงเกิดผลในทุกวันนี้

ข้าฯ ระลึกถึง ความเชื่อที่จริงใจของเจ้า ซึ่งแต่แรกก็มีอยู่ทั้งในคุณยายโลอีส และคุณแม่ยูนีส และข้าเชื่อว่า ตอนนี้มีอยู่ในเจ้าเช่นกัน
2 ทิโมธี 1:5

1 ทิโมธี 1:5,4:6, กิจการ 16:1

แน่ใจได้เลยว่า ขณะที่ทิโมธีกำลังรับใช้พระเจ้าอยู่ ทั้งสองต้องได้อธิษฐานเผื่อและได้ช่วยเป็นกำลังเท่าที่จะทำได้ การมีพ่อแม่ ปู่ย่า ตายายที่เชื่อพระเจ้า และส่งต่อความเชื่อลงมาให้ลูกหลานจนพวกเขารู้จักพระเจ้าด้วยตัวเองจริง ๆ นับเป็นพระพรใหญ่ยิ่งสำหรับชีวิตคน ๆ หนึ่ง

หนุนใจให้กล้าหาญ

ด้วยเหตุนี้ จึงขอเตือนใจเจ้าว่า จงทำให้ของประทานซึ่งผ่านการวางมือจากข้าให้เจ้านั้น เจริญรุ่งเรืองขึ้น เพราะพระเจ้ามิได้ประทานให้เรามีใจขลาดกลัว แต่ประทานหัวใจที่เต็มด้วยฤทธิ์อำนาจ ความรัก และการบังคับตนเองให้เรา
2 ทิโมธี 1:6-7 

1 ทิโมธี 4:14,โรม 8:15,กิจการ 1:8

สิ่งที่ท่านเปาโลย้ำคือ การทำให้สิ่งนั้นเจริญขึ้น ไม่ใช่อยู่กับที่ ท่านเตือนให้จุดประกายแห่งของประทานให้ลุกเป็นไฟเสมอในตัวของเรา เราต้องมีความตั้งใจที่จะให้การรับใช้มีประสิทธิภาพ ดีขึ้น ๆ ตลอดชีวิตของเรา
พระวิญญาณเป็นผู้ประทานใจที่จะช่วยให้เราเจริญขึ้น ดังนั้นจึงไม่ต้องกลัวว่างานจะด้อยลง … คลังปัญญา ความคิด ความเข้าใจมาจากพระองค์

ดังนั้น อย่าอายคำพยานถึงเรื่องพระผู้เป็นเจ้าของเรา อย่าอายเพราะตัวข้าที่เป็นนักโทษของพระองค์ แต่ให้แบกภาระเพื่อพระกิตติคุณร่วมกับข้า ตามฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า
2 ทิโมธี 1:8

โรม 1:16, 8:28,16:25

ในสังคมอิสราเอลโบราณนั้น เป็นสังคมที่ เน้นเรื่องเกียรติกับความน่าอาย พูดง่าย ๆ คือ เสียหน้าไม่ได้ เกียรติมาก่อนสิ่งอื่นใด ทิโมธีอาจมีปัญหานี้บ้าง การประกาศพระกิตติคุณนั้น ต้องมีคนไม่พอใจ มีคนด่าว่า ท่านเปาโลเตือนให้ทิโมธีไม่อายเพราะพระกิตติคุณและการที่เกี่ยวพันกับนักโทษอย่างท่าน

แผนการแห่งความรอดของพระเจ้า

ผู้ทรงช่วยเราให้รอด และทรงเรียกเราด้วยการทรงเรียกอันบริสุทธิ์ ไม่ใช่เป็นเพราะการกระทำของเรา แต่เป็นไปตามพระประสงค์และพระคุณของพระองค์เองที่ประทานให้เราในพระเยซูคริสต์ก่อนกาลเวลาจะเกิดขึ้น
2 ทิโมธี 1:9

โรม 3:20,8:28,16:25, เอเฟซัส 2:8-9, 1:3-4

พระเจ้าทรงเรียกเรา เพื่อให้เราเป็นคนบริสุทธิ์ต่อพระพักตร์พระองค์
ทรงเรียกมาก่อนชีวิตเราจึงบริสุทธิ์ได้
และการทรงเรียกนี้เกิดขึ้นก่อนกาลเวลา เอเฟซัส 1:4 พระเจ้าทรงเรียกเราก่อนปฐมกาล โรม 16:25 พระเจ้าทรงให้เรามั่นคงได้

ท่านเปาโลมั่นใจในงานที่พระเจ้าทรงกำหนดให้

มาบัดนี้ ได้มีการสำแดงโดยการปรากฏของพระเยซูคริสต์เจ้าพระผู้ช่วยให้รอดของเรา พระองค์ทรงปราบความตาย ทรงให้ชีวิตและความเป็นอมตะเป็นที่ประจักษ์ผ่านทางข่าวประเสริฐซึ่งเป็นเรื่องที่ข้าได้รับการแต่งตั้งให้เทศนาให้เป็นอัครทูต และเป็นครู
2 ทิโมธี 1:10-11

เอเฟซัส 1:9,กิจการ 9:15,1 ยอห์น 1:2, 1 ทิโมธี 1:7

พระเจ้าทรงวางแผนข่าวประเสริฐไว้ตั้งแต่ก่อนมี กาลเวลา บัดนี้ พระเยซูคริสต์ทรงทำให้เราเข้าใจแผนการแห่งความรอดนั้น “แม้ว่าเรายังต้องตายฝ่ายร่างกาย แต่ฝ่ายวิญญาณนั้น เราจะไม่ตายแต่จะเป็นอมตะกับ พระเจ้าเพราะพระองค์ทรงปราบความตายแล้ว”
โรม 16: 25-26

ด้วยเหตุนี้ข้าจึงทนทุกข์อย่างที่เป็นอยู่ ถึงกระนั้นข้าก็ไม่ละอาย เพราะข้ารู้จักพระองค์ที่ข้าเชื่อ และข้ามั่นใจว่าพระองค์จะทรงรักษาสิ่งที่ข้าได้ฝากไว้กับพระองค์จนถึงวันนั้นได้
2 ทิโมธี 1:12

1 เปโตร 4:19, 1 ทิโมธี 6:20,ยูดา 1:24, โรม 1:16

ท่านเปาโลเทศนาสั่งสอนอย่างกล้าหาญและภาคภูมิใจ ทั้งที่เผชิญความลำบาก ถูกจำคุก แต่ท่านไม่ได้กลัวเนื่องจากได้ฝากชีวิตไว้กับพระเจ้าแล้ว
ท่านเชื่อพระผู้ทรงสามารถรักษาทุกสิ่งที่ท่านฝากไว้ได้แน่นอน หากไม่ฝากไว้กับพระเจ้า เก็บชีวิตของตัวเองไว้
มันคงไม่ปลอดภัย อ่านเพิ่มเติมชีวิตท่านเปาโลในกิจการ 20-28

ท่านเปาโลหนุนใจทิโมธีให้ซื่อตรงต่อความจริง

จงยึดมั่นในคำสอนที่ถูกต้องซึ่งเจ้าได้ยินจากข้าด้วยความเชื่อและความรักซึ่งมีในพระเยซูคริสต์
จงรักษาสิ่งที่ล้ำค่าซึ่งเรามอบให้เจ้าโดยพึ่งองค์พระวิญญาณ
ซึ่งประทับในเรา
2 ทิโมธี 1:13-14

ทิตัส 1:9, 2 ทิโมธี 3:14, ฟีลิปปี 4:9,1 ทิโมธี 6:20, 1 โครินธ์ 3:16

เรามีคนที่ยึดมั่นในคำสอนที่ถูกต้องแบบไร้ความรัก และบังคับให้คนอื่นยึดแบบตัวเอง แต่ท่านเปาโลให้เราตั้งมั่นในคำสอนด้วยความเชื่อและความรักที่เรามีต่อพระเยซู ความถ่อมตน ความเห็นแก่ประโยชน์คนอื่นจึงตามมา พระวิญญาณจะทรงช่วยให้เราซื่อตรงต่อพระเจ้า รักษา ทำตามได้โดยแรงของพระวิญญาณ ไม่ใช่แรงน้อย ๆ ของเราเอง

ผู้รับใช้ที่ภักดีกับคนไม่ซื่อ

เจ้ารู้อยู่ว่าคนในเอเชียได้หันหลัง จากข้า ในพวกนั้นมีฟีเจลัสและเฮอร์โมเกเนส รวมอยู่ด้วยขอพระผู้เป็นเจ้าทรงเมตตาต่อครอบครัวโอเนสิโฟรัส เพราะเขาทำให้ข้าชื่นใจเสมอ เขาไม่อับอายในโซ่ตรวนของข้าเลย
2 ทิโมธี 1:15-16

2 ทิโมธี 4:16 , ฟีลิปปี 2:21, 2 ทิโมธี 4:10-11,19, ฟิเลโมน 1:7,20, ฮีบรู 6:10

เอเชียในสมัยนั้น คือเอเชียภายใต้การ
ปกครองของโรม ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ในตุรกีปัจจุบัน มีสองคนที่ไม่ได้ยึดมั่น แต่เดินหันหลังให้เปาโลที่ท่านต้องออกชื่อ ก็เพื่อไม่ให้ทั้งสองนี้ไปชวนใคร แต่ขณะเดียวกันยังมีคนที่ซื่อตรง คนที่ไม่อายว่า เปาโลเป็นนักโทษ เป็นคนที่ทำให้สดชื่นเมื่อพบ

แต่เมื่อเขามาถึงโรม เขาก็ตามหาข้าอย่างร้อนใจและได้พบข้า องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำให้เขาได้พบพระเมตตาจากพระองค์ในวันนั้น และเจ้าก็รู้ดีว่า เขาได้รับใช้ ข้ามากแค่ไหนตอนที่เขาอยู่เมืองเอเฟซัส ขอองค์พระผู้เจ้าให้เขาได้ รับพระเมตตาในวันพิพากษาด้วย
2 ทิโมธี 1:17-18

กิจการ 28:30-31, ฮีบรู 6:10, วิวรณ์ 2:1, 1 เธสะโลนิกา 2:19

ชื่อของโอเนสิโฟรัส มีความหมายว่า ผู้ที่นำความช่วยเหลือมา เขาใช้ชีวิตอย่างซื่อตรง ภักดีต่อพระวจนะของพระเจ้า ทำโดยการรับใช้ท่านเปาโลอย่างโดดเด่น ท่านเปาโลเองได้อธิษฐานของสิ่งที่พิเศษให้กับเขา และครอบครัว นี่เป็นหนึ่งในตัวอย่างของคำอธิษฐานที่มีต่อผู้อื่น