ยูดา คำเตือนเพื่อรักษาความเชื่อ

ตระหนักว่าในคริสตจักรมีอันตรายเกิดขึ้น

ยูดา ทาสรับใช้ของพระเยซูคริสต์ และพี่ชายของยากอบ
เขียนถึงท่านที่ได้รับการทรงเรียก และเป็นผู้ที่พระบิดาเจ้าทรงรักและเป็นผู้ที่พระเยซูคริสต์ทรงรักษาไว้
ยูดา 1:1

1 เปโตร 1:5; 1 เธสะโลนิกา 5:23

ขอให้ท่านได้รับพระเมตตา สันติสุขและความรักทวีคูณ
ยูดา 1:2

2 เปโตร 1:2; 1 เปโตร 1:2 ; วิวรณ์ 1:4-6

เพื่อนที่รักของข้า แม้ข้าตั้งใจที่จะเขียนถึงท่านในเรื่องความรอดพ้นบาปที่เรามีร่วมกัน แต่ก็พบว่าจำเป็นต้องเขียนเพื่อหนุนน้ำใจท่านให้ต่อสู้เพื่อความเชื่อที่ทรงมอบให้กับวิสุทธิชนครั้งเดียวเป็นพอ
ยูดา 1:3

1 ทิโมธี 6:12; ฟีลิปปี 1:27; ฮีบรู 13:22

เพราะมีบางคนลอบเข้ามาโดยไม่มีใครสังเกต นานมาแล้วที่มีบันทึกว่า คนเหล่านี้จะถูกพิพากษา พวกเขาเป็นคนอธรรมที่เปลี่ยนพระคุณของพระเจ้าไปเป็นเรื่องผิดศีลธรรม และยังปฏิเสธเจ้านายและองค์พระผู้เป็นเจ้าเดียวของเรา คือพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา
ยูดา 1:4

กาลาเทีย 2:4; 2 เปโตร 2:1-3; 2:10

ตัวอย่างของผู้ที่ถูกลงโทษ

บัดนี้ แม้ว่าท่านรู้เรื่องนี้แล้ว ข้าขอย้ำเตือนท่านอีกว่า พระเจ้าผู้ทรงช่วยกู้ประชาชนออกมาจากอียิปต์ ต่อมาภายหลังก็ทรงทำลายบรรดาคนที่ไม่เชื่อ
ยูดา 1:5

กันดารวิถี 26:64-65; ฮีบรู 3:16-4:2

และทูตสวรรค์ที่ไม่อยู่ในตำแหน่งสิทธิอำนาจของตนเอง แต่กลับทิ้งสถานที่ ๆ ตนอยู่ พระองค์ก็ทรงล่ามโซ่ พวกเขาไว้เป็นนิตย์ ใต้ความมืดมนจนกว่าจะถึงการพิพากษาในวันที่ยิ่งใหญ่
ยูดา 1:6

2 เปโตร 2:4; มัทธิว 25:41; 8:29; เอเฟซัส 6:12

เหมือนอย่างเมืองโสโดมและโกโมราห์ และเมืองรอบ ๆ ที่ปล่อยตัวสนุกสนานทางเพศ และตามติดความวิปริตในกาม พวกนี้ เป็นตัวอย่างของบรรดาคนที่จะถูกลงโทษด้วยไฟนิรันดร์
ยูดา 1:7

เฉลยธรรมบัญญัติ 29:23; 2 เปโตร 2:6; โรม 1:26-27

บาปที่มากขึ้นของบางคนที่เข้ามา

คนเหล่านี้ก็เช่นเดียวกัน ปล่อยตัวไปตามฝันของตน ทำตัวเป็นมลทิน ปฏิเสธสิทธิอำนาจ และกล่าวคำสบประมาทบรรดาศักดิเทพ
ยูดา 1:8

ฮีบรู 13:17; 1 เปโตร 2:17; 1 ทิโมธี 1:10

แต่เมื่ออัครทูตสวรรค์คือท่านมิคาเอล เกิดโต้แย้งกับมารเรื่องร่างของโมเสส ท่านไม่ได้กล่าวคำพิพากษาล่วงเกินมารเลย เพียงแต่กล่าวว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงตำหนิเจ้าเอง”
ยูดา 1:9

เศคาริยาห์ 3:2; 2 เปโตร 2:11; วิวรณ์ 12:7

แต่คนเหล่านั้นกลับสบประมาท ทุกสิ่งที่ตนไม่เข้าใจ และก็ถูกทำลายโดยสิ่งที่ตนเองเข้าใจ โดยสัญชาตญาณซึ่งก็เหมือนสัตว์ที่ไม่มีเหตุผล
ยูดา 1:10

2 เปโตร 2:12; โรม 1:21-22

ลักษณะต้นแบบของคนที่หลอกลวง

วิบัติแก่พวกเขา เพราะพวกเขาเดินในทางของคาอิน และทำตามอย่างบาลาอัม เพื่อผลประโยชน์ และหายนะ เหมือนอย่างการกบฎของโคราห์
ยูดา 1:11

2 เปโตร 2:15; 1 ยอห์น 3:12; ปฐมกาล 14:3-4; วิวรณ์ 2:14; กันการวิถี 26:9-10

ลักษณะเฉพาะตัวของคนหลอกลวง

พวกเขาเป็นตัวมลทินในงานเลี้ยงรักพี่น้องของท่าน ได้ร่วมกินดื่มโดยไม่กลัว เป็นผู้เลี้ยงที่เลี้ยงแต่ตัวเอง เป็นเมฆไร้น้ำถูกลมพัดพาไป เป็นต้นไม้ไร้ผล ปลายฤดูใบไม้ผลิ ตายแล้วสองครั้ง และถูกถอนรากถอนโคน
ยูดา1:12

มัทธิว 15:13; เอเฟซัส 4:14; เอเสเคียล 34:8

เป็นเหมือนคลื่นโหมในทะเล พัดฟองคลื่นแห่งความน่าอับอายขึ้นมา เป็นดาวที่เร่ร่อน มีความมืดมิดซึ่งอยู่ตลอดกาลรอคอยพวกเขาอยู่
ยูดา 1:13

2 เปโตร 2:17; ฟีลิปปี 3:19; อิสยาห์ 57:20

เอโนค ซึ่งเป็นคนรุ่นที่เจ็ดนับจากอาดัม ได้พยากรณ์ถึงคนเหล่านี้ว่า “ดูเถิด องค์พระผู้เป็นเจ้ากำลังเสด็จมาพร้อมกับวิสุทธิชนนับล้านของพระองค์เพื่อ พิพากษา ทุกคน เพื่อให้คนอธรรมทั้งสิ้น ได้สำนึกในบาปที่พวกเขาได้ทำ รวมทั้งคนบาปจะสำนึกที่ได้กล่าวล่วงเกินพระองค์”
ยูดา 1:14-15

เฉลยธรรมบัญญัติ 33:2; สดุดี 50:3-5;
ฮีบรู 11:5-6; วิวรณ์ 22:12-15; 1 โครินธ์ 4:5

คนเหล่านี้เป็นคนช่างบ่น คอยจับผิดคนอื่น ทำตามความอยากที่ชั่วของตน ยกตนขึ้น โอ้อวด และประจบประแจงยกยอคนอื่นเพื่อผลประโยชน์ของตน
ยูดา 1:16

2 เปโตร 2:1-4; 2:18; 2:10; ฟีลิปปี 2:14;

พี่น้องที่รัก ท่านต้องจดจำการพยากรณ์ล่วงหน้าของอัครทูตของพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา พวกเขากล่าวกับท่านว่า
“ในยุคสุดท้าย จะมีคนที่ชอบเยาะเย้ยใช้ชีวิตตามความอยากที่ชั่วของตน” คนเหล่านี้แหละที่สร้างความแตกร้าว เป็นคนของโลก ปราศจากพระวิญญาณ
ยูดา 1:17-19

2 เปโตร 3:2; เอเฟซัส 4:11; กิจการ20:35
2 เปโตร 3:3; 2 ทิโมธี 4:3
1 โครินธ์ 2:14; ยากอบ 3:15

สิ่งที่ผู้เชื่อต้องใส่ใจลงมือทำเพื่อตัวเอง

แต่ท่านที่รัก จงสร้างตนขึ้นบนความเชื่อที่บริสุทธิ์ที่สุด
และอธิษฐานในพระวิญญาณบริสุทธิ์
ยูดา 1:20

เอเฟซัส 6:18; โรม 8:26-27; โคโลสี 2:7

ให้รักษาตัวอยู่ในความรักของพระเจ้า รอคอยพระเมตตาของพระเยซูคริสต์เจ้าของเราซึ่งจะนำเราไปสู่ชีวิตนิรันดร์
ยูดา 1:21

2 เปโตร 3:12; 1 ยอห์น 4:16; ฮีบรู 9:28

สิ่งที่ต้องทำเพื่อผู้อื่น

และจงเมตตาต่อคนที่ยังสงสัยอยู่ จงช่วยคนอื่น ๆ ด้วยการฉุดพวกเขาออกจากไฟ แสดงความเมตตาต่อพวกเขาด้วยความยำเกรงพระเจ้า จงรังเกียจแม้กระทั่งเสื้อผ้าที่แปดเปื้อนด้วยโลกีย์
ยูดา 1:22-23

ยากิบ 5:19-20; กาลาเทีย 6:1
วิวรณ์ 3:4; 1 ทิโมธี 4:16

มั่นใจในพระเจ้า

แด่พระองค์ผู้ทรงรักษาท่านให้พ้นจากการสะดุดล้ม และผู้ที่จะทรงนำท่านอย่างไร้มลทินไปอยู่ต่อพระพักตร์ แห่งพระสิริด้วยความยินดีอย่างยิ่ง แด่พระองค์ผู้ทรงเป็นพระเจ้าเท่านั้น พระผู้ช่วยให้รอดของเราโดยผ่านองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเราพระสิริ พระเกียรติ อาณาจักรและ
สิทธิอำนาจสูงสุดเป็นของพระองค์ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และสืบไปเป็นนิตย์ อาเมน

ยูดา 1:24-25

2 ทิโมธี 4:18; เอเฟซัส 3:20; โคโลสี 1:22

อธิบายเพิ่มเติม

ยูดา 1:1
หนังสือยูดา เขียนโดยยูดาซึ่งเป็นน้องชายของพระเยซูนั่นเอง (ท่านและยากอบเป็นลูกของโยเซฟ สามีของมารีย์) ท่านเขียนถึงคนที่พระเจ้าทรงเรียกออกมาจากความมืด ให้มาอยู่ในการครอบครองของพระเจ้าที่ทรงรักพวกเขา เป็นความรักต่อเนื่องไม่มีวันจบสิ้น เป็นผู้ที่พระเยซูทรงรักษาให้ปลอดภัยจากมารร้าย(ยอห์น 17:15) รักษาไม่ให้ล้มลง (ข้อ 24) รักษาจนกว่าจะถึงวันของพระเจ้า (2 ทิโมธี 1:12)

ยูดา 1:2
พระเมตตาจากพระเจ้าที่จะทรงอภัย ช่วยให้พ้นหายนะ ชำระเราให้สะอาด พระเมตตาที่ทรงส่งพระบุตรลงมา ที่ทรงเรียกเรามาให้เป็นลูกของพระองค์ เราได้รับพระเมตตาจากพระเจ้ามาก สันติสุขซึ่งไม่เหมือนโลกให้จากพระบุตร (ยอห์น 14:27) และความดีและความรักมั่นคงที่จะติดตามชีวิตของเราไปตลอดชีวิต (สดุดี 23:6) ทั้งสามประการนี้เป็นพระคุณที่ท่านยูดาขอให้พระเจ้าประทานแก่พี่น้องแบบทวีคูณขึ้นไป

ยูดา 1:3
ครั้งแรกท่านยูดาจะเขียนเรื่องความรอด แต่ท่านกลับรู้สึกว่าต้องเรียกให้พวกเขาต่อสู้เพื่อความเชื่อ เพราะมีคนที่สอนผิดแอบสวมรอยเข้ามาใน
คริสตจักร ท่านจึงจำเป็น ต้องสอนให้พวกเขารู้ว่าอะไรเกิดขึ้น ให้เขาสังเกตลักษณะของคนสอนผิด และเตรียมพร้อมที่จะสู้และต่อต้านคนที่ทำผิด
ที่บอกว่าครั้งเดียวเป็นพอนั้น คือ ความเชื่อในพระพระดำรัส แรกของพระเจ้า ไม่ต้องเพิ่มเติมหรือลดทอนพระคำนั้น

ยูดา 1:4
คนเหล่านี้พยายามทำลายความเชื่อของพี่น้อง ผู้เชื่อจึงต้องพร้อมที่จะปกป้องความเชื่อ คนร้ายพวกนี้จะแอบเข้ามา ปากหวาน ใจเชือด ลับ ๆ ที่ผู้เชื่อมักไม่สังเกตเห็น
คนแบบนี้ พลิกพระคุณบริสุทธิ์ของพระเจ้าโดยอ้างว่า พระเจ้าทรงดีและยกโทษให้ ดังนั้นจะใช้ชีวิตเสเพลอย่างไรตามใจตัวเองก็ได้ พวกเขายัง ไม่ยอมรับพระเยซู แต่เพิ่ม ตัด คำของพระองค์ตามใจ ตนเอง สังเกตจากสองอย่างนี้ จะรู้ว่า ใครเป็นใคร

ยูดา 1:5
พระคำของพระเจ้าเป็นสิ่งที่เรานำมาเตือนสติกันได้เสมอ ให้เราเข้าใจพระคำนั้นลึกซึ้งยิ่งขึ้น ท่านยูดาเตือนโดยยกสามตัวอย่าง ตัวอย่างแรกคือ พระเจ้าทรงช่วยอิสราเอลออกมาจากอียิปต์ก็จริง แต่เมื่อพวกเขาไม่เชื่อ บ่น สงสัยในการทรงนำของพระเจ้า ทำตามใจตัวเอง พวกเขาก็ถูกทำลาย คนรุ่นแรกที่ออกมาไม่ได้มีโอกาสเข้าไปในคานาอัน นี่เป็นพระพิโรธที่น่ากลัวนัก กันดารวิถี 14 เล่าเรื่องนี้

ยูดา 1:6
ตัวอย่างที่สองคือ กล่าวถึงทูตสวรรค์ที่ไม่ยอมอยู่ในที่ ๆ พระเจ้าทรงกำหนดให้พวกเขา แต่ทูตเหล่านี้กลับทำเกินกว่าที่ตัวเองควรทำ มีสองความเห็น ว่าเป็นทูตสวรรค์ที่เข้ามาใช้ร่างของมนุษย์ผู้ชายแล้วมีสัมพันธ์กับผู้หญิง แล้วเกิดลูกที่
เป็นยักษ์ที่เรียกว่า เนฟิลิม อีกความเห็นคือ เป็นซาตานที่ต้องการใหญ่เท่าเทียมพระเจ้า (อิสยาห์ 14)ถึงแม้พระเจ้าทรงสร้างทูตสวรรค์มา พระองค์ก็ทรงลงโทษพวกเขาเมื่อเขาไม่อยู่ในที่ ๆ เขาควรอยู่

ยูดา 1:7
ตัวอย่างที่สาม คือเมืองโสโดมและโกโมราห์ พวกเขาทำตามใจปรารถนาทางเพศของตนเอง มีความเร่าร้อนในเรื่องเพศและ ชอบใช้ชีวิตอย่างนั้นโดยไม่เกรงกลัวพระเจ้าเลย
พระเจ้าทรงลงโทษพวกเขาด้วยการส่งไฟกำมะถันลงมา เมืองเหล่านี้จึงเป็นตัวอย่างให้รู้ว่า เมื่อไม่เชื่อฟังพระเจ้า อ้างพระคุณของพระเจ้าเพื่อทำความชั่ว พระองค์ทรงจัดการแน่

ยูดา 1:8
คนที่ปล่อยตัวตามฝัน หรือ เชื่อในความฝันของตนเองว่า สามารถบอกอนาคต ความฝันของตนนั้นมีสิทธิอำนาจเหนือชีวิต คนเหล่านี้ทำพฤติกรรมแบบนี้บ่อยเข้า ก็หลงผิดไป คิดว่าตนมองเห็นอนาคตจริง ๆ แถมยังอวดอ้างตัวใหญ่โตกว่า วิญญาณต่าง ๆ ที่มีอยู่ในฟ้าสวรรค์ เขาไม่สนใจสิทธิอำนาจที่มีอยู่ก่อนเขา ไม่ว่าจะเป็นอำนาจดีหรือร้าย

ยูดา 1:9
ทูตสวรรค์ฝ่ายพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่ เมื่อมีเรื่องกับมาร ท่านเองไม่ได้กล่าวสิ่งใดที่ล่วงเกินมาร เพราะท่านรู้ว่า พระเจ้าจะทรงจัดการกับมารเอง ดังนั้น คนที่เข้ามาในคริสตจักรและกล่าวถึงมาร แบบว่า เขาใหญ่กว่า เขาเก่งกว่า เขาไล่มันได้ อย่างเด็ดขาด เราก็ต้องพิสูจน์เลยว่า มีแค่คำ หรือมีฤทธิ์ของพระเจ้าที่จะไล่ผีมารที่คอยเข้าสิงคนจริง ๆ หรือเปล่า แต่ถ้าเป็นคนของพระเจ้าจริง เขาจะไม่อวดโอ้ เพราะฤทธิ์ที่เขามีไม่ใช่ของเขาเอง เแต่เป็นของพระเจ้า

ยูดา 1:10
ในที่สุด คนเหล่านี้จะถูกทำลายไปเอง เพราะการโอ้อวด ยกตนข่มมารนั้น ทำไปโดยไม่เข้าใจว่า เป็นเรื่องที่เกินความเข้าใจของเขา เขาไม่อาจเข้าใจเรื่องราวของโลกฝ่ายวิญญาณ ได้ดีเท่ากับมารที่เป็นวิญญาณ กลายเป็นว่าท่านยูดามองเห็นคนพวกนี้เป็นเหมือนสัตว์ ขู่คำรามอย่างไม่มีเหตุผล ไม่กลัวอันตรายที่อยู่ตรงหน้า

ยูดา 1:11
ท่านยูดากล่าวถึงคาอินที่ฆ่าน้องชาย คาอินเป็นคนที่ท่านยอห์นกล่าวว่า งานของเขาชั่วร้าย (1 ยอห์น 3:12) และ ฮีบรู 11:4 บอกชัดว่า น้องชายของเขาได้ถวายเครื่องบูชาด้วยความเชื่อ
บาลาอัมที่รับจ้างแช่งสาปคนอิสราเอล เพื่อเงิน อ่านเรื่องของเขาได้ในกันดารวิถี 22 25 31
ส่วนโคราห์ที่ดื้อดึงต่อท่านโมเสส อยู่ในกันดารวิถี 16 เขาเป็นเลวี แต่ใจอยากจะเป็นผู้นำอย่างโมเสส และขัดขืน ปฏิเสธผู้นำที่พระเจ้าทรงตั้งไว้

ยูดา1:12
งานเลี้ยงนี้คือ การที่ผู้เชื่อนำอาหารมารับประทาน ร่วมกัน คนที่ขัดสนก็มีโอกาสที่จะได้รับแบ่งปัน คนที่มีก็ได้โอกาสรับใช้ แต่คนที่ปลอมตัวมาก็จะฉวยโอกาส เอาประโยชน์ร่วมกินดื่มโดยไม่มีการแบ่งจากตัวเอง จะเห็นลักษณะของเขาห้าอย่าง ที่ไร้ค่า ถ่วงสังคมจริง ๆ
สามอย่างแรก คือเป็นผู้เลี้ยงที่เลี้ยงแค่ตัวเองเท่านั้นเมฆไร้น้ำ ดูเหมือนดีจะให้ฝน แต่แล้วฝนก็ไม่ตก เป็นต้นไม้ที่ไร้ผลอีก เพราะตายไปแล้ว รากก็ถูกถอนไป

ยูดา 1:13
เขายังเป็นเหมือนคลื่นในทะเล ที่ชีวิตมีแต่ความน่าอาย แต่กลับไม่อาย ยังอวดสิ่งที่น่าอายในชีวิต ของตนโดยไม่รู้ตัวว่าน่าอาย เราเห็นคนแบบนี้ดาษดื่นในสังคมโซเชียลด้วย
นอกจากนั้นแทนที่จะเป็นดาวที่โคจรตามปกติ เป็นคนที่เราจะรู้ได้ว่าอยู่ตรงไหนแล้ว แต่กลับเป็น เหมือนดาวตก ผีพุ่งใต้ที่ปรากฏแล้วก็หายไป ห้าอย่างที่เป็นลักษณะของคนปลอมตัวเข้ามาในหมู่พี่น้องคริสเตียนและทำลายคนอื่น …

ยูดา 1:14-15
ท่านยูดาได้เตือนล่วงหน้าว่า จะมีการพิพากษาคนอธรรมหรือคนบาปทุกคนที่ล่วงเกินพระองค์ โดยที่ไม่ได้คิดจะกลับใจเลย คนเหล่านั้นมีคำสอน ผิดที่ไม่ตรงกับความจริงที่พระองค์ทรงบัญชาไว้ในวันที่พระองค์ทรงพิพากษานั้น พวกเขาจะสำนึกได้ แต่มันก็สายไปแล้ว เวลาที่ยังไม่สายคือวันนี้ คำพยากรณ์ล่วงหน้านี้ ชัดเจน ไม่มีอะไรคลุมเครือ

ยูดา 1:16
ท่านยูดาสรุปนิสัยใจคอของคนที่สอนผิด ซึ่งไม่ได้มีเฉพาะในคริสตจักรเท่านั้น แต่มีทั่วไปในสังคมของเรา ซึ่งต้องระวังให้ดี ไม่ให้ตัวเราหลงไปกับการชักนำของพวกเขา เลนนอกซ์ นักคณิตศาสตร์คริสเตียนได้กล่าวไว้ว่า คนเรามักเชื่อง่าย ๆ ตามความอยากที่จะเชื่อ โดยไม่ค่อยใช้เหตุผล แต่เชื่อโดยใช้อารมณ์ ทุกวันนี้เราต้องระมัดระวังในการรับข้อมูลเพราะข้อมูลทุกอย่างส่งผลกับชีวิตฝ่ายวิญญาณของเราโดยตรง

ยูดา 1:17-19
ทุกวันนี้ เราต้องยอมรับว่า สิ่งที่ท่านยูดาเตือน ล่วงหน้านั้น เป็นความจริง เพราะในโลกนี้กำลัง สับสน วุ่นวาย มีความเป็นศัตรู มีความเกลียดชัง กันโดยที่ไม่ต้องรู้จักกัน หรือเคยทำร้ายอะไรกันเลย ความแตกร้าวที่เกิดขึ้นนั้น ท่านยูดาไม่ต้องการให้ เกิดในหมู่ผู้เชื่อ แต่ต้องการให้ทุกคนเป็นอันหนึ่ง อันเดียวกัน และสังเกตได้ว่าคนที่พยายามสร้างความแตกร้าวนั้นคือคนไหนกันแน่ คนไหนที่ต้องเลี่ยง เพราะคนพวกนี้แสดงเก่งยิ่งกว่าดาราอีก

ยูดา 1:20
ท่านยูดาขอให้พี่น้อง สร้างชีวิตขึ้นจากความเชื่อที่บริสุทธิ์ และการอธิษฐานที่รับการดลใจจากพระวิญญาณ คำว่าสร้าง คือการลงมือ ทำอะไรเพื่อชีวิตของตนเอง สร้างบนข่าวดีเรื่อง
พระเยซูคริสต์ ไม่สร้างด้วยคำสอนอื่นใด สร้าง ชีวิตที่มีเกียรติ ขยัน ถ่อมตน สู้ไม่ถอย ด้วยความช่วยเหลือของพระวิญญาณที่เมื่อเรา อธิษฐานจะทรงสำแดงว่า ควรอธิษฐานเพื่อใคร อย่างไร พระองค์จะทรงช่วยให้เรามีความเชื่อ เราจะเห็นว่าชีวิตแห่งความเชื่อจะ ก้าวหน้าได้ เป็นพลังมาจากพระเจ้าและมนุษย์สนองตอบต่อพลังนั้น

ยูดา 1:21
ข้อก่อนหน้านี้ ท่านยูดาขอให้เราสร้างชีวิตในความเชื่อบริสุทธิ์ และอธิษฐานในพระวิญญาณ บริสุทธิ์ และข้อนี้ให้รักษาตัวเองในความรักของ พระเจ้า รอคอยพระเมตตาของพระองค์ เท่ากับว่า สำหรับตัวเราเองแล้ว ก่อนที่เราจะได้รับชีวิตนิรันดร์ เรามีหน้าที่ส่วนของเรา ไม่ใช่ว่า มาเชื่อพระเจ้าแล้วก็ไม่ต้องทำอะไร ใช้ชีวิตแบบ เดิม ๆ นั่นไม่ใช่การกลับใจ พระเจ้าทรงประสงค์ให้เราลงมือใช้ชีวิตอย่าง กระตือรือร้น ไม่ใช่เฉื่อยชาในทางของพระองค์ การอยู่ในร่มพระคุณความรักของพระเจ้านั้น

ยูดา 1:22-23
นอกจากจะดูแลตัวเองให้ปลอดภัยแล้ว ก็ต้องเอาใจใส่คนอื่นด้วย เพราะทุกคนเริ่มต้นไม่เท่ากันบางคนมารู้จักพระเจ้าตอนอายุมากแล้ว ความเข้าใจก็น้อยกว่า แถมยังมีการมองโลกแบบเดิม ๆ ติดมาด้วยที่ยังเอาออกไม่หมด ทำให้พวกเขากลับไปอยู่กับชีวิตเดิมที่จากมา บางคนอาจต้องถูกฉุดจากนรก บังคับให้ออกเลย แต่ทำด้วยความยำเกรงพระเจ้า ด้วยว่า เราเองก็อาจตกอยู่ในสภาพนั้นเช่นกัน

ยูดา 1:24-25
และเราต้องไม่ลืมว่า ผู้ที่จะช่วยให้เราไม่ล้มลง ไม่พลาดจากทางไปสู่พระบิดาเจ้านั้น คือองค์พระเยซูคริสต์เท่านั้น ไม่ใช่ใครที่ไหนพระองค์ทรงเป็นผู้ที่จะถวายเราแด่พระบิดาเพราะพระองค์เดียวเท่านั้นที่มีสิทธิ ลองถามตัวเองว่า เราได้ร่วมมือกับพระเจ้าที่จะทำให้ชีวิตเราไร้มลทิน ทำให้พระเยซูทรงยินดีได้ไหม
Edit 20241130

สดุดี 41 ชัยชนะแม้ถูกทรยศ

ถึงหัวหน้านักร้อง เพลงสดุดีของดาวิด
รางวัลของดาวิด
1 ความสุขมีแก่คนที่เอาใจใส่คนยากจน
พระยาห์เวห์จะทรงช่วยเขาให้รอดในเวลาลำบาก
2 ขอพระเจ้าทรงปกป้องรักษาเขา และช่วยเขาให้มีชีวิตรอด
และเขาจะได้รับพระพรในแผ่นดิน
พระองค์จะไม่ทรงยื่นเขาให้อยู่ในมือของศัตรู
3 พระเจ้าจะทรงรักษาเขา แม้ป่วยอยู่บนเตียง
พระองค์จะทรงรักษาเขาบนเตียงที่เขานอนอยู่

คำร้องทูลต่อพระเจ้า คำร้ายจากศัตรู
4 ข้ากล่าวว่า “ โอพระยาห์เวห์ ขอทรงเมตตาแก่ข้า
ขอทรงรักษาข้า เพราะข้าได้ทำบาปต่อพระองค์”
5 ศัตรูทั้งหลายได้กล่าวถึงข้าอย่างเสีย ๆ หาย ๆ
“เมื่อไรเขาจะตาย และสิ้นชื่อไปเสีย?”
6 เมื่อใครสักคนในพวกเขามาเยี่ยม
เขาจะกล่าวคำชั่วร้าย เขาเก็บความคิดชั่วไว้ในใจ
เมื่อออกไปก็พูดออกมา
7 คนที่เกลียดชังข้าต่างซุบซิบนินทาเรื่องร้าย ๆ
พวกเขาหาทางที่จะทำร้ายข้า
8 “เขาเป็นโรคร้าย และตอนนี้ก็นอนป่วยอยู่
ไม่มีทางได้ลุกจากเตียงนั่นได้หรอก”
9 แม้กระทั่งเพื่อนของข้า คนที่ข้าไว้ใจ
คนที่กินอาหารกับข้า ก็ยังหันหลังให้

การรื้อฟื้นของดาวิด
10 แต่พระองค์ พระยาห์เวห์ ขอทรงเมตตาต่อข้า
ขอทรงยกข้าขึ้น เพื่อว่าข้าจะได้ตอบแทนพวกเขา
11 เพราะอย่างนี้ ข้าจึงรู้ว่าพระองค์ทรงยินดีในข้า
นั่นคือ ศัตรูไม่อาจร้องโห่ชัยชนะเหนือข้าได้
12 พระองค์ทรงอุ้มชูข้าเพราะความซื่อตรงของข้า
และพระองค์ทรงวางข้าไว้ต่อพระพักตร์ตลอดไป

ถวายพระพรด้วยความยินดี
13 ขอให้พระยาห์เวห์ พระเจ้าแห่งอิสราเอล
ทรงได้รับคำถวายพระพรตลอดไปเป็นนิตย์
อาเมน และอาเมน

พระคำเชื่อมโยง

1* สดุดี 1:1, 2:12; มัทธิว 5:1-11

2*สุภาษิต 3:18, 21:28; สดุดี 27:12

3* 2 พงศ์กษัตริย์ 4

4*สดุดี 6:2, 103:3, 147:3

5* สุภาษิต 41:5; สดุดี 102:8

6* สดุดี 12:2; สุภาษิต 26:24-26

7*2 โครินธ์ 12:20; โรม 1:29

8* สดุดี 71:11

9*2 ซามูเอล 15:12; ยอห์น 13:18, 21-30; สดุดี 55:12-14

10* ลูกา 19:27; สดุดี 109:6-21

11* สดุดี 124:6; สดุดี 31:8

12* โยบ 36:7

13* สดุดี 72:18-19, 89:52; 106:48; 150:6

สดุดี 41:1-3
รางวัลของดาวิด
สดุดีบทนี้เป็นสดุดีเริ่มและจบด้วยการสรรเสริญพระเจ้า. กษัตริย์ดาวิดมีความมั่นใจในการช่วยเหลือ การปกป้องของพระเจ้า

ความสุขมีแก่… หรือพระพรมีแก่… คนที่มีความสัมพันธ์กับพระเจ้าเป็นพิเศษในแบบต่าง ๆ ให้เปิดดูพระคำเชื่อมโยงแล้วจะเห็นว่าความสุขมีแก่ใครบ้าง ในข้อสามบอกชัดเจนว่า พระเจ้าทรงเป็นแพทย์ผู้รักษาอย่างเอาใจใส่ ให้เราเชื่อในการรักษาของพระเจ้า อย่าสงสัยไป

สดุดี 41:4-9
คำร้องทูลต่อพระเจ้า คำร้ายจากศัตรู
ดาวิดคิดเสมอว่า ความบาปของท่านกับความเจ็บป่วยเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกัน นั่นเป็นความตระหนักในใจของท่าน ทุกคนเองก็ย่อมมีความตระหนักที่แตกต่างกันไปตามแต่ที่พระเจ้าประทานความเข้าใจให้
แต่ในขณะเดียวกันข้อ 12 ท่านก็มีความซื่อตรงต่อพระเจ้าด้วย เรื่องนี้เป็นเรื่องซับซ้อน แต่ละกรณีก็มีสาเหตุของมันเอง
ท่านเล่าว่าเมื่อมีคนมาเยี่ยม ก็มาเพื่อรวมรวมข้อมูล เอาท่านไปพูดเสียหาย เพื่อใส่ร้าย เพื่อทำร้าย เพื่อของท่านนั้น เป็นประเภทล้มแล้วเหยียบซ้ำ .. ในข้อ 9 เป็นเรื่องเดียวกันกับที่เกิดกับพระเยซูกับยูดาส ในยอห์น 13:8 และมัทธิว 26:21

สดุดี 41:10-12
การรื้อฟื้นของดาวิด
กษัตริย์ดาวิดสรุปโดย ทูลขอพระเมตตาให้พระองค์ทรงรักษาให้หายป่วยเพื่อว่าจะตอบสนองคนชั่ว ท่านเป็นกษัตริย์และจะต้องจัดการเพื่อความยุติธรรมและความมั่นคงของประเทศที่ปกครองอยู่
การที่ท่านกล้ากล่าวว่าพระเจ้าทรงยินดีในท่าน เพราะท่านได้เมตตาต่อคนที่อ่อนแอ (ข้อ 1) ท่านได้สารภาพบาป ( ข้อ 4) และท่านมั่นใจว่า ความซื่อตรงของท่านยังมีอยู่ต่อพระเจ้า ท่านจึงมีความมั่นคงในพระเจ้าตลอดไปเพราะท่านอยู่ต่อพระพักตร์ของพระเจ้าเสมอ

สดุดี 13
ถวายพระพรด้วยความยินดี
คำว่า อาเมนคือ สิ่งนั้นเป็นจริง วางใจได้ ยืนยันแล้ว ให้สังเกตว่า สดุดี 1-41 นั้นจะลงท้ายด้วยการสรรเสริญพระเจ้า รวมถึงบทที่ 72, 89, 106, 150 พระพรที่พระเจ้าประทานให้แก่มนุษย์ในบทที่ 1:1
จบสดุดีของดาวิด ใน 41:13 ด้วยการทูลถวายพระพรกลับไปที่พระเจ้า

3 ยอห์น 1 ตัวอย่างคนสองแบบ

คำทักทาย

จากผู้ปกครองถึงกายอัสที่รัก ผู้ที่ข้ารักในความจริง เพื่อนที่รัก ข้าอธิษฐานขอให้ชีวิตของท่านราบรื่น และให้มีสุขภาพที่ดีเหมือนอย่างมีสุขภาพดีฝ่ายวิญญาณ
3 ยอห์น 1:1-2

1 ยอห์น 3:18; 1 โครินธ์ 1:14; โรม 16:23;
2 เปโตร 1:3-9; 3:18; โคโลสี 1:4-6

ชื่อกายอัส อาจเป็นคนเดียวกับที่ท่านเปาโล พูดถึงใน 1 โครินธ์ 1:14 การอธิษฐานของท่านยอห์นนี้ เป็นตัวอย่างของการอธิษฐานเผื่อพี่น้องที่เรารัก ไม่เฉพาะฝ่ายวิญญาณเท่านั้น แต่ในเรื่องอื่น ๆ ของชีวิต พระเจ้าทรงยิ่งใหญ่และทรงพระคุณ ที่จะตอบคำอธิษฐานของคนที่รักพระองค์

เพราะข้ายินดีมากเมื่อพี่น้องมาเป็นพยานถึงความจริงของท่าน ว่าท่านเองได้เดินในความจริง ไม่มีอะไรทำให้ข้ายินดีมากไปกว่า ได้ยินว่า ลูก ๆ ของข้าเดินในความจริง
3 ยอห์น 1:3-4

2 ยอห์น 1:4; สดุดี 119:11; 1 เธสะโลนิกา 3:6-9;
กาลาเทีย 4:19; 2 พงศ์กษัตริย์​ 20:3

ท่านยอห์นเองได้ข่าวมาว่า กายอัสติดตามพระเจ้าใช้ชีวิตในความจริง ทำให้ท่านเป็นสุขใจมากการเดินในความจริงนั้นคือ ใช้ชีวิตตามความจริง ที่ได้รู้มาจากพระคำของพระเจ้า เป็นชีวิตที่โปร่งใส ไม่ใช่หน้าไหว้หลังหลอก เป็นชีวิตที่ได้รับการอภัยบาปจากพระเจ้าแล้วและจะไม่ใช้ชีวิตในความบาปอีกต่อไป ไม่ว่าจะกายอัสหรือเราก็เหมือนกัน

เรียนรู้จากตัวอย่างที่ดีและเลว

ท่านที่รัก ท่านพยายามสุดกำลังเพื่อพี่น้องอย่างซื่อสัตย์ แม้ว่าพวกเขาเป็นคนแปลกหน้า พวกเขาได้เป็นพยานถึงความรักของท่านให้คริสตจักรได้รับทราบ เป็นการดีที่ท่านจะส่งเขาเดินทางออกไปตามที่พระเจ้าทรงพอพระทัย
3 ยอห์น 1:5-6

กาลาเทีย 6:10; โคโลสี 3:17; 2 โครินธ์ 4:1-3;
1 เธสะโลนิกา 2:12; ทิตัส 3:13;

กายอัสเป็นคนติดตามพระเจ้าที่ทำตามสิ่งที่เขาเชื่อ เขาได้ต้อนรับผู้เชื่อที่เดินทางไปประกาศตามที่ต่าง ๆ อย่างเต็มใจ คำว่าซื่อสัตย์ตรงนี้ เป็นตัวอย่างสำหรับเราเองสมัยก่อนนั้น ผู้ประกาศที่ออกเดินทางไปต้องพึ่งพ การสนับสนุนจากคริสเตียนในท้องถิ่น เพราะพวกเขามักไม่ได้รับค่าจ้างจากใครเลย กายอัสส่งพวกเขาไปต่อจากทรัพย์สินของเขาเอง

เพราะพวกเขาได้ออกไปเพื่อเห็นแก่พระนาม ไม่รับสิ่งใดจากคนต่างชาติ
ดังนั้นเราควรสนับสนุนคนเช่นนี้ เพื่อว่าเราจะได้เป็นผู้ร่วมงานเพื่อความจริง
3 ยอห์น 1:7-8

วิวรณ์ 2:3; โคโลสี 1:24; 2 โครินธ์ 12:13
2 โครินธ์ 7:2-3; 1 โครินธ์ 3:5-9

การออกไปประกาศตามที่ต่าง ๆ เช่นนี้ ท่านยอห์นมีความเห็นว่าพวกเขาต้องไม่รับสิ่งใดจากคนต่างชาติ หรือคนที่ไม่เชื่อ คริสเตียนเองจะต้องเป็นผู้สนับสนุนคนของพระเจ้าด้วยกัน คนที่ออกไปควรที่จะได้รับการดูแลจากคนที่อยู่ข้างหลังอย่างเต็มใจ ทำอย่างดีที่สุด

ข้าได้เขียนบางอย่างไปยัง
คริสตจักร แต่ดิโอเตรเฟส ชอบเอาตัวเองมาเป็นที่หนึ่ง ไม่ยอมรับเรา
ดังนั้น หากข้ามา ข้าจะเตือนเรื่องที่เขาทำ คือการพูดใส่ร้ายพวกเรา นอกจากนั้นเขายังปฏิเสธไม่ยอมต้อนรับพี่น้อง และยังไปห้ามคนที่จะต้อนรับพวกเขา แล้วก็ไล่พวกเขาออกจากคริสตจักรด้วย
3 ยอห์น 1:9-10

ทิตัส 1:7-16; ลูกา 22:24-27;
อิสยาห์ 66:5; สุภาษิต 10:10

การที่กายอัสต้อนรับ สนับสนุนพี่น้องจนได้รับคำชมก็ยังมีคนที่ไม่ต้องการทำเช่นนั้น แถมยังห้ามคนอื่นทำด้วย นั่นคือ ดิโอเตรเฟส เป็นคนเหมือนคนยุคใหม่นี้ เขาใช้วิธีการคือให้ร้ายคนอื่น และยังทำตัวเหมือนมีสิทธิที่จะไล่คนอื่นออกไปจากชุมชนนั้น ทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็ไม่ได้ทำดีอะไรให้สังคม เป็นคนแบบมีแค่สิทธ์ แต่ไม่รับผิดชอบ

พี่น้องที่รัก อย่าเลียนแบบสิ่งที่ชั่วแต่ให้ทำตามสิ่งที่ดี คนที่ทำสิ่งดีนั้นมาจากพระเจ้า คนที่ทำชั่วก็ไม่มีพระองค์ในสายตา
3 ยอห์น 1:11

อิสยาห์ 1:16-17; สดุดี 37:27

ที่ท่านยอห์นสอน ท่านก็ได้เขียนตัวอย่างให้เห็น คือ กายอัส และดิโอเตรเฟส ทั้งสองมีความแตกต่างกันอย่างฟ้ากับเหว คนหนึ่งใส่ใจคนอื่น เอาสิ่งที่ตนมีสนับสนุนงานรับใช้ ช่วยแม้คนที่ ตนเองไม่รู้จัก ส่วนอีกคน เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง และทำลายคนอื่นได้อย่างเลือดเย็น โดยไม่คำนึงว่าตนเองทำประโยชน์ให้ใครหรือไม่

ทุกคนพูดแต่เรื่องดี ๆ ของเดเมตริอัส ซึ่งความจริงก็พิสูจน์แล้วว่า เป็นความจริง เราเองก็เป็นพยานถึงความดีของเขาเพิ่มเติมและท่านก็รู้ว่า คำพูดของเราเป็นความจริง
3 ยอห์น 1:12

1 ทิโมธี 3:7; ยอห์น 21:24; กิจการ 12:22

แล้วท่านยอห์นก็กล่าวถึงอีกคนที่เป็นตัวอย่างที่ดี คือเดเมตรีอัส คนที่จะดีจริงหรือเลวจริง เราจะมั่นใจไม่ได้จนกว่ามีพยานว่าคน ๆ นั้นเป็นอย่างไร น่าสนใจที่ท่านยอห์นกล่าวว่า
ความจริงก็พิสูจน์ตัวตนของเดเมตริอัส เราไม่ทราบเรื่องราวของเขาเลย แต่สิ่งที่สอนเราจากเรื่องนี้ก็คือ พระเจ้าผู้ทรงเป็นความจริง จะทรงเป็นพยานชีวิตเราอย่างไร?

อวยพรตอนสุดท้าย

ยังมีอีกหลายสิ่งที่จะพูดกับท่าน แต่ข้าไม่ต้องการเขียนด้วยปากกาและหมึกเพราะ ข้าหวังว่าจะได้พบท่าน ในไม่ช้า เราก็จะได้คุยกันต่อหน้าจริง ๆ
ขอให้สันติสุขจงมีแก่ท่าน
เพื่อน ๆ ที่นี่ฝากความคิดถึงมาด้วย ขอโปรดส่งความคิดถึงจากข้า
มายังพี่น้องแต่ละคนที่นั่นด้วย
3 ยอห์น 1:13-14

2 ยอห์น 1:12; 1 เปโตร 5:14; เอเฟซัส 6:23; กาลาเทีย 5:16

ท่านยอห์นมีความรู้สึกว่า อยากพบหน้าพี่น้องมากกว่าที่จะแค่เขียนจดหมายถึง ในข้อ 14 ตอนท้ายนั้นมีความหมายว่า ให้บอกทุกคนเป็นรายตัวไปเลยว่า ท่านยอห์นคิดถึงจริง ๆ หัวใจของท่านอยู่กับ พี่น้องคริสเตียน และเชื่อว่าท่านอธิษฐาน เผื่อพวกเขาทุกวัน

สดุดี 40 คำขอบพระคุณ และคำร้องทูลขอความช่วยเหลือ

ถึงหัวหน้านักร้อง เพลงสดุดีของดาวิด
ผลดีของการรอคอยพระเจ้า
1 ข้าวางใจในพระยาห์เวห์อย่างสุดใจ
แล้วพระองค์ทรงหันมาหาข้า
ทรงฟังเสียงข้าร้องทูลขอความช่วยเหลือ
2 พระองค์ทรงฉุดข้าขึ้นมาจากหลุมร้าง จากโคลนตม
และทรงวางเท้าข้าไว้บนศิลา ทำให้ย่างก้าวของข้ามั่นคง
3 พระองค์ประทานบทเพลงใหม่ให้แก่ข้า
เป็นเพลงสรรเสริญพระเจ้าของเรา
หลายคนจะเห็นสิ่งที่พระเจ้าทรงทำ
เพื่อพวกเขาจะเกรงกลัว และวางใจในพระยาห์เวห์

ไม่มีใครเทียบพระองค์ได้
4 ผู้ที่วางใจในพระยาห์เวห์นั้นมีความสุขมากเท่าใด
และเขาไม่ขอความช่วยเหลือจากคนยะโสหรือคนมุสา
5 โอพระยาห์เวห์ พระเจ้าของข้า
พระองค์ทรงทำสิ่งมหัศจรรย์มากมาย
ทรงมีแผนการเพื่อชีวิตของเรา
ไม่มีใครเทียบกับพระองค์ได้เลย
ข้าต้องการประกาศ และกล่าวถึงพระราชกิจนั้น
ซึ่งมีมากมายเกินกว่าที่ข้าจะเล่าได้

คำสัญญาจะทำตามน้ำพระทัย
6 สำหรับพระองค์ เครื่องบูชา หรือของถวาย
ไม่ได้เป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก
พระองค์ทรงทำให้ข้าเข้าใจชัดเจนว่า
พระองค์ไม่ได้ทรงเรียกร้องเครื่องเผาบูชา
หรือเครื่องบูชาไถ่บาป
7 แล้วข้ากล่าวว่า “ดูสิ ข้ามาแล้ว
ในหนังสือม้วนนั้น มีบันทึกเรื่องราวเกี่ยวข้องกับข้า”
8 ข้าปรารถนาทำตามน้ำพระทัย พระเจ้าของข้า
พระบัญญัติของพระองค์ก็ประทับอยู่ในใจของข้า

สิ่งที่กษัตริย์ดาวิดจะประกาศออกไป
9 ข้าประกาศเรื่องความเที่ยงธรรมของพระองค์ในที่ประชุมใหญ่
ดูเถิด ข้าจะไม่รั้งริมฝีปากของข้าเลย
โอพระยาห์เวห์ พระองค์ทรงทราบว่าเป็นจริง
10 ข้ามิได้ซ่อนความเที่ยงธรรมของพระองค์ไว้ในใจของข้า
ข้าได้ประกาศความซื่อตรงและการช่วยกู้จากพระองค์ออกไป
ข้ามิได้ปกปิดความรักมั่นคงและความจริงจากที่ชุมนุมใหญ่

คำร้องทูล
11 โอ พระยาห์เวห์
ขออย่าทรงรั้งความสงสารของพระองค์ไปจากข้า
ความรักมั่นคงและความจริงของพระองค์
จะปกป้องรักษาข้าไว้เสมอ
12 มีความยากลำบากนับไม่ถ้วนล้อมรอบข้าอยู่
บาปของข้าก็ไล่ทัน ข้าจึงมองไม่เห็น
บาปนั้น มีมากกว่าเส้นผมบนศีรษะ
ทั้งกำลังความกล้าหาญก็หนีข้าไป
13 โอ พระยาห์เวห์ ขอทรงโปรดยินดีที่จะช่วยกู้ข้า
โอ พระยาห์เวห์ ขอทรงรีบมาช่วยข้าด้วย
14 ขอให้คนที่พยายามเอาชีวิตของข้านั้น
ต้องเจอกับความสับสนและความอับอาย
ขอให้คนที่ต้องการทำร้ายข้าต้องล่าถอยและพบความอดสู
15 ให้คนที่กล่าวกับข้าว่า สมน้ำหน้า สมน้ำหน้า
ต้องตกใจกลัวพร้อมกับอับอายอย่างยิ่ง
16 ให้ทุกคนที่แสวงหาพระองค์ได้ยินดีและเปรมปรีดิ์ในพระองค์
ให้ทุกคนที่รักความรอดของพระองค์กล่าวเสมอว่า
“พระยาห์เวห์ทรงยิ่งใหญ่นัก”

ขอพระเจ้าทรงคิดถึงข้า
17 ข้านั้นทั้งถูกข่มเหงและขัดสน
พระยาห์เวห์ทรงคิดถึงข้า
พระองค์ทรงเป็นพระผู้ช่วย และผู้ช่วยกู้ของข้า
โอ พระเจ้าของข้า ขออย่าทรงเนิ่นช้าเลย

พระคำเชื่อมโยง

1* สดุดี 25:5; 27:14; 37:7

2* สดุดี 37:23; 27:5; 71:20

3* สดุดี 103:1-5; 33:3; 52:6

4* เยเรมีย์ 17:7-8; สดุดี 125:5; 118:8-9

5* เยเรมีย์ 29:11; สดุดี 139:17-18

6* อิสยาห์ 1:11; ฮีบรู 10:5-12; 1 ซามูเอล 15:22

7* ฮีบรู 10:7-9; ลูกา 24:44; ยอห์น 5:39

8* โรม 7:22; ยอห์น 4:34; สดุดี 119:47

9* สดุดี 119:3; 22:25; ฮีบรู 2:12

10* โรม 1:16-17; กิจการ 20:26-27; 20:20-21; วิวรณ์ 22:17

11*สดุดี 57:3; 43:3; 61:7 สุภาษิต 20:28;

12* สดุดี 38:4; 73:26; 69:4

13* สดุดี 70:1-5; 38:22

14* สดุดี 35:4; 71:13; 35:26

15* สดุดี 35:21,25

16* สดุดี 35:27; 68:3; กิจการ 19:17

17* สดุดี 70:5; อิสยาห์ 41:17; 1 เปโตร 5:7

สดุดี 40:1-3 ผลดีของการรอคอยพระเจ้า
เฝ้ารอพระเจ้า ร้องขอความช่วยเหลือ …. ทำแบบนี้ อาจรอนานหลายวัน หลายเดือน หรือรอสั้น ๆ แล้วแต่สถานการณ์ แต่ผลก็คือ พระเจ้าทรงยิน ทรงฟังคำร้องทูล และฉุดเราขึ้นมาจากปัญหาที่พัวพัน ความทุกข์ยาก และตั้งเราให้มั่นคง
จากนั้น พระเจ้าก็ประทานเพลงใหม่ให้ อาจเป็นเพลงเดิมที่เคยร้อง แต่ประสบการณ์ทำให้เราซาบซึ้งในพระองค์มาก จนมันกลายเป็นเพลงใหม่สำหรับพระเจ้า และไม่ร้องคนเดียวแต่ ร้องให้คนอื่นได้รับรู้ถึงการช่วยเหลือของพระเจ้า …​นี่เป็นเหมือนสิ่งที่จะเกิดขึ้นเมื่อเราหันมาหาพระเจ้าในยามจนตรอก

สดุดี 40:4-5 ไม่มีใครเทียบพระองค์ได้
เมื่อเราวางใจพระเจ้า เราก็ไม่ต้องไปง้อคนที่เย่อหยิ่ง อวดตัว คนรวย คนเหล่านั้น เราไม่ต้องไปสยบให้ เมื่อเราทบทวนสิ่งที่พระเจ้าทรงทำอย่างอัศจรรย์ ตั้งแต่การทรงสร้างสารพัดสิ่งในจักรวาล และการอัศจรรย์ทั้งสิ้นที่ทรงทำให้ผู้คนในพระคัมภีร์ และในโลกปัจจุบัน ใช่แล้ว มีมากมาย เล่าไม่หมดแน่นอน ต้องใช้เวลาถึงนิรันดร์ทีเดียว เมื่อเราคิดถึงสิ่งอัศจรรย์เหล่านั้น ก็ต้องตามด้วยการประกาศให้คนอื่น ๆ ได้รู้ด้วย

สดุดี 40:6-8 คำสัญญาจะทำตามน้ำพระทัย
สิ่งที่ดาวิดมี และเป็นจุดแข็งของท่านก็คือ ท่านทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า เป็นผู้ที่พระเจ้าทรงเรียกว่า บุรุษที่เดินตามน้ำพระทัย พระเจ้าทรงต้องการให้เรามีพระดำรัส พระดำริในหัวใจของเราเหมือนในข้อที่ 8 ได้กล่าวไว้ การที่ท่านกล่าววถึงหนังสือม้วน น่าจะเป็นหนังสือที่เขียนขึ้นเมื่อท่านขึ้นเป็นกษัตรย์นั่นเอง

สดุดี 40: 9- 10 สิ่งที่กษัตริย์ดาวิดจะประกาศออกไป
กษัตริย์ดาวิดได้ทำสิ่งที่เหมาะสมสำหรับการเป็นกษัตริย์คือ ได้ประกาศความดีของพระเจ้าท่ามกลางประชาชนของท่าน และเมื่อกษัตริย์ประกาศเช่นนั้น ย่อมมีสิทธิอำนาจมาก และคนทั้งกลายก็จะทำตามที่ท่านประกาศ เชื่อตามที่ท่านบอก

สดุดี 40:11-15 คำร้องทูล
ดูเหมือนกษัตริย์ดาวิดตระหนักว่า การที่ท่านถูกคนล่าเอาชีวิต มีความลำบากมากมาย เป็นเพราะบาปของท่านเอง ท่านมองว่า ตนเองเป็นสาเหตุของความยุ่งยากเหล่านี้ ไม่ได้โทษคนอื่นแต่ประการใด ถึงกระนั้น ก็ขอพระเจ้าที่จะทรงมาช่วย ขอพระองค์ทรงยินดีจะช่วย

ขอพระเจ้าทรงคิดถึงข้า
พระคัมภีร์ข้อนี้ เป็นที่ปลอบประโลมใจสำหรับทุกคนที่ถูกข่มเหง ไร้ที่พึ่ง และขัดสน พระเจ้าจะประทานให้พวกเขาตามที่ทูลขอ พวกเขาเป็นคนที่ยินดีในพระเจ้า และรู้ว่า พระเจ้าทรงยิ่งใหญ่ที่สุด