มาระโก 6 อัศจรรย์ที่เกิดแล้วเกิดอีก

ชาวเมืองเดียวกัน

1 จากที่นั่น พระเยซูเสด็จไปที่บ้านเมืองที่ทรงเติบโตมา
โดยมีศิษย์ไปกับพระองค์ด้วย 
2 พอถึงวันสะบาโต พระองค์ทรงสอนในศาลาธรรม คนที่ได้ฟังพระองค์มากมายรู้สึกประหลาดใจ กล่าวกันว่า “ผู้นี้ได้สิ่งที่พูดมาจากไหนกัน?   สติปัญญาของเขานั้นเป็นแบบไหนนะ?  และเขาทำการอัศจรรย์แบบนั้นได้อย่างไร? 
3 เขาเป็นช่างไม้ไม่ใช่หรือ? เป็นลูกชายของมารีย์ เป็นพี่ชายของยากอบ โยเซฟยูดาส  กับซีโมนนี่นา พวกน้องสาวของเขาก็อยู่กับเราที่นี่ไม่ใช่หรือ?”  แล้วพวกเขาก็เริ่มขุ่นเคืองพระองค์
4 พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “ผู้เผยพระคำของพระเจ้านั้น จะขาดการนับถือเฉพาะในหมู่ญาติพี่น้อง และเมืองที่เขาเติบโตขึ้นมา”
5 ดังนั้น พระองค์จึงไม่อาจทำการอัศจรรย์ใด ๆ ยกเว้นทรงวางพระหัตถ์รักษาคนป่วยสองสามคนให้หาย
6 และทรงประหลาดพระทัยที่พวกเขาไม่มีความเชื่อ  แล้วทรงเดินทางไปสั่งสอนตามหมู่บ้านรอบ ๆ นั้น 

การรับใช้ของศิษย์ทั้งสิบสอง

7 แล้วพระเยซูทรงเรียกศิษย์ทั้งสิบสองมาหาพระองค์ และทรงส่งพวกเขาออกไปเป็นคู่ ทรงให้พวกเขามีสิทธิอำนาจเหนือวิญญาณชั่ว
8 พระองค์ทรงสั่งไม่ให้นำสิ่งใดไปนอกจากไม้เท้าเพื่อช่วยเดินทาง ไม่ต้องนำอาหาร ย่าม หรือเงินติดเอวไป
9 ให้สวมรองเท้าไปด้วยแต่ไม่ให้เอาเสื้ออีกตัวไป
10 และพระองค์ตรัสกับพวกเขา “เมื่อเจ้าเข้าไปในครอบครัวใด ก็จงอยู่กับเขาจนกว่าเจ้าจะออกจากพื้นที่นั้น
11 หากใครไม่ตอนรับเจ้า ไม่ฟังเจ้า ก็จงสลัดผงจากเท้าของเจ้าเมื่อเจ้าออกไปจากที่นั่น เพื่อเป็นพยานต่อต้านเขา”

(** เราขอบอกเจ้าว่า โทษของเมืองโสโดม และโกโมราห์ยังจะเบากว่าโทษของเมืองนั้น)
12 ดังนั้นพวกเขาจึงออกไป และประกาศให้ผู้คนรู้ว่าพวกเขาควรกลับใจเสียใหม่
13 พวกเขายังขับผีมากมาย และรักษาโรคให้กับคนป่วยโดยการเจิมด้วยนำ้มัน

การสั่งตัดคอยอห์นผู้ให้บัพติศมา

14 กษัตริย์เฮโรดได้ยินเรื่องที่กล่าวมานี้ เพราะผู้คนรู้จักพระนามของพระองค์ไปทั่ว
และพวกเขาพูดกันว่า “ท่านคือยอห์นผู้ให้บัพติศมาที่ฟื้นขึ้นมาจากตาย ดังนั้นท่านจึงมีฤทธิ์อำนาจทำการอัศจรรย์ได้15 ส่วนคนอื่นกล่าวว่า “ท่านคือเอลียาห์”บางคนกล่าวว่า “ท่านเป็นผู้กล่าวพระคำเหมือนกับคนอื่น ๆ ในสมัยโบราณ”
16 แต่เมื่อเฮโรดได้ยินก็กล่าวว่า “ท่านยอห์นที่ข้าตัดหัวไป ฟื้นขึ้นมาจากตาย!”
17 เพราะเฮโรดเอง ได้สั่งจับยอห์น ล่ามโซ่และขังเขาไว้ เพราะเหตุนางเฮโรเดียส ภรรยาของน้องชายที่เฮโรดแต่งงานด้วย
18 เพราะยอห์นได้บอกเฮโรดว่า “ท่านทำผิดบัญญัติที่เอาภรรยาของน้องมาเป็นของตน!”
19 เป็นเพราะอย่างนี้ นางเฮโรเดียสจึงอาฆาตยอห์น ต้องการที่จะฆ่าเขา แต่นางทำไม่ได้
20 เนื่องจากเฮโรดเองกลัวยอห์น และปกป้องเขาไว้ เฮโรดรู้ว่ายอห์นเป็นผู้เที่ยงธรรม และบริสุทธิ์ เมื่อท่านได้ยินคำของยอห์น ท่านจะรู้สึกประหลาดใจ งุนงงมาก แต่เขาก็ยินดีที่จะฟังเสมอ

21 แล้วโอกาสของนางเฮโรเดียสก็มาถึง วันนั้นเป็นงานฉลองวันเกิดของเฮโรด มีการเลี้ยงขุนนางและนายทหารชั้นผู้ใหญ่ ทั้งเหล่าผู้นำในแคว้นกาลิลี
22 เมื่อลูกสาวของนางเฮโรเดียสออกมาเต้นรำ ทำให้ทั้งเฮโรดและแขกเหรื่อพอใจมาก กษัตริย์จึงตรัสกับเธอว่า “ให้เธอขอสิ่งที่ต้องการมา แล้วเราจะให้เธอ”
23 กษัตริย์สัญญาว่า “ไม่ว่าเธอจะขอสิ่งใด เราจะให้ แม้จะเป็นครึ่งหนึ่งของอาณาจักร”
24 ดังนั้นเธอจึงออกไปถามมารดาว่า “หนูควรขออะไรดี?” มารดาตอบว่า “ขอหัวของยอห์นผู้ให้บัพติศมา”
25 เด็กสาวรีบกลับมาหากษัตริย์ ทูลว่า “หม่อมฉันต้องการศีรษะของท่านยอห์นผู้ให้บัพติศมา ใส่ถาดมาให้เดี๋ยวนี้เลยเพคะ”
26 กษัตริย์เป็นทุกข์ใจนัก แต่เป็นเพราะเขาสาบานแล้วต่อหน้าแขกเหรื่อ จึงไม่อาจขัดใจเธอได้
27 ท่านจึงสั่งให้เพชฌฆาตนำศีรษะของยอห์นเข้ามาทันที โดยส่งเขาไปตัดศีรษะยอห์นในคุก
28 เขานำศีรษะของยอห์นใส่ถาดมาให้หญิงสาว ซึ่งเธอก็เอาไปให้มารดา

งานเลี้ยงที่ไม่คาดฝัน

30 ในช่วงเวลานั้น อัครทูตก็รวมตัวกันรอบ ๆ พระเยซู และเล่าถึงสิ่งที่พวกเขาไปทำ และสั่งสอน
31 พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “จงมากับเรา ไปหาที่พักสงบ และให้เราพักผ่อนสักหน่อย” เนื่องจากว่ามีคนไป ๆ มา ๆ มากมายและพวกเขาไม่มีแม้กระทั่งเวลารับประทานอาหาร
32 ดังนั้นพวกเขาจึงลงเรือไปด้วยกัน ไปยังที่สงบ
33 แต่มีหลายคนเห็นพวกเขาลงเรือไป และจำได้ว่าเป็นใคร พวกเขาจึงวิ่งออกจาเมืองต่าง ๆ และไปถึงที่หมายก่อนเสียอีก34 เมื่อพระเยซูทรงขึ้นจากเรือ ก็ทรงเห็นคนเป็นจำนวนมาก พระองค์ทรงสงสารพวกเขานัก เพราะว่าพวกเขาเป็นเหมือนแกะที่ไม่มีผู้เลี้ยง และพระองค์ทรงเริ่มต้นสั่งสอนเขาหลาย ๆ อย่าง


35 เวลาล่วงเลยไปนาน ดังนั้นศิษย์จึงมาหาพระเยซูทูลว่า “ที่นี่อยู่ห่างไกลมาก และตอนนี้ก็เย็นแล้ว
36 ขอพระองค์ทรงปล่อยผู้คนไปตาม เมืองและหมู่บ้านรอบๆ จะได้ซื้ออาหารกินขอรับ”
37 แต่พระเยซูตรัสว่า “พวกเจ้าจงเลี้ยงพวกเขาเถิด” เขาทูลถามว่า “จะให้เราออกไป และจ่ายเงินสองร้อยเดนาริอันเพื่อเลี้ยงอาหารพวกเขาหรือขอรับ?”
38 แต่พระเยซูตรัสกับเขาว่า “ไปดูสิว่า มีขนมปังสักกี่ก้อน”หลังจากที่ไปตรวจดู พวกเขากลับมา “มีขนมปังห้าก้อน และปลาสองตัวขอรับ”
39 พระเยซูจึงทรงสั่งให้เขาจัดให้ประชาชนนั่งเป็นกลุ่ม ๆ บนทุ่งหญ้าเขียวสด
40 ดังนั้นพวกเขาจึงนั่งกันเป็นกลุ่ม ร้อยคนบ้าง ห้าสิบคนบ้าง
41พระเยซูทรงรับขนมปังห้าก้อนและปลาสองตัวมา และเงยพระพักตร์ไปยังฟ้าสวรรค์ ทรงขอบพระคุณ และฉีกขนมปังออก จากนั้นทรงส่งต่อให้กับศิษย์ เพื่อแจกให้กับประชาชน แล้วทรงแบ่งปลาทั้งสองตัวให้ทุกคนได้จนทั่วถ้วนหน้า
42 พวกเขาได้กิน และอิ่มกันทุกคน
43 พวกศิษย์ได้เก็บเศษขนมปังและปลาได้ถึงสิบสองตะกร้า
44 มีผู้ชายรับประทานขนมปังทั้งสิ้นห้าพันคน!

เดินมาแบบนี้ได้อย่างไร?

45 จากนั้นทันที พระเยซูทรงให้ศิษย์ลงเรือข้ามฟากไปยังเมืองเบธไซดาล่วงหน้าพระองค์ ขณะที่พระองค์ทรงรอส่งให้ประชาชนกลับไป
46 หลังจากที่ลาพวกเขาแล้ว พระองค์ก็เสด็จขึ้นภูเขาเพื่ออธิษฐาน
47 ค่ำแล้ว เรืออยู่กลางทะเล และพระเยซูทรงอยู่ผู้เดียวบนฝั่ง

48 พระองค์ทรงเห็นพวกศิษย์พยายามที่จะกรรเชียงเรือต้านลมที่มาปะทะ ประมาณช่วงใกล้เช้า (ประมาณตีสามถึงหกโมงเช้า) พระเยซูเสด็จไปหาพวกเขา ทรงเดินบนน้ำ พระองค์กำลังจะทรงเดินผ่านพวกเขาไป
49 แต่เมื่อพวกเขาเห็นพระองค์เดินบนน้ำ พวกเขาก็ร้องลั่นออกมา คิดว่า พระองค์เป็นวิญญาณตนหนึ่ง
50 ทุกคนเห็นพระองค์และตกใจกลัวกัน แต่พระองค์ตรัสทันทีว่า “กล้าเข้าไว้ นี่เราเอง อย่ากลัวไปเลย!”
51 จากนั้นทรงขึ้นเรือไปกับพวกเขา และลมแรงก็ผ่อนลง พวกศิษย์ต่างอัศจรรย์ใจเป็นที่สุด
52 เพราะพวกเขายังไม่เข้าใจเรื่องขนมปัง และพวกเขายังใจแข็งนัก

แค่แตะชายเสื้อของพระเยซู!

53 เมื่อข้ามฟากไปแล้ว ก็จอดเรือขึ้นฝั่งที่เมืองเกนเนซาเร็ธ
54 ทันทีที่พวกเขาขึ้นจากเรือ ประชาชนก็จำพระเยซูได้
55 พวกเขาจึงวิ่งไปทั่วแคว้น แล้วแบกคนป่วยมาบนที่นอน ไปยังที่ พวกเขาได้ยินว่า พระองค์เสด็จไป
56 และไม่ว่าพระองค์ทรงไปที่ไหน จะเป็นหมู่บ้านหรือเมืองหรือชนบทพวกเขาจะเอาคนป่วยมาที่ย่านตลาด และทูลขออนุญาตแค่แตะชายเสื้อของพระองค์ และคนที่ได้แตะก็หายป่วยทั้งหมด

คำอธิบายเพิ่มเติม

มาระโก 6:1-6
ใคร ๆ ก็ปฏิเสธพระเยซู
มีครั้งหนึ่งที่พระเยซทรงกลับไปที่บ้านเมืองที่ทรงเติบโตมา
เมื่อทรงสอนในธรรมศาลา พวกที่มาฟังกลับประหลาดใจว่าทรงมีปัญญาล้ำเลิศนัก แต่..กลับมีกิริยาวาจาดูหมิ่นเมื่อนึกได้ว่าเป็นลูกชายของคนรู้จัก เป็นลูกชายมารีย์ซึ่งเป็นแม่บ้านกับโยเซฟช่างไม้ พระเยซูไม่ใช่ผู้ที่ ไม่ร่ำเรียนมาแบบธรรมาจารย์ โดยประเพณีแล้ว ไม่น่าจะมาสอนได้ในศาลาธรรมเสียด้วยซ้ำ พวกเขาคิดว่าตนรู้จักพระองค์ ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ความจริงอะไรเลย
พระคำตอนนี้ทำให้เราเห็นชัดว่า การที่ใครคนหนึ่งมารับใช้พระเจ้า แต่ไม่ได้รับการยอมรับจากครอบครัว คนในหมู่บ้าน เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้อยู่แล้ว แม้ว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้าแต่พระองค์ก็ยังถูกเพื่อนบ้านพี่น้องไม่ยอมรับ พระองค์ถึงกับประหลาดพระทัยกับการที่พวกเขาไม่มีความเชื่อ จริงสิ พระองค์ทรงมีฤทธิ์ ทรงเป็นพระเจ้า ทรงเต็มด้วยสติปัญญาล้ำ แต่มนุษย์เดินดินกลับไม่เชื่อในพระองค์ น่าประหลาดใจจริง ๆ

มาระโก 6:7-13 การรับใช้ของศิษย์ทั้งสิบสอง
พระเยซูทรงใช้ศิษย์ออกไปเป็นคู่ และประทานสิทธิอำนาจเหนือผี
ไม่อนุญาตให้เอาของพะรุงพะรังไป แต่มุ่งหน้าประกาศ ชวนให้คนกลับใจจากบาป พวกเขาจะต้องเชื่อว่า พระเจ้าจะทรงเลี้ยงดู ซึ่งในสมัยโบราณนั้น ผู้ที่ประกาศก็จะได้รับการสนับสนุนจากคนที่ได้รับประโยชน์จากการประกาศนั้นทรงให้เขาขับผี รักษาโรค ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้คนต้องการมาก ในสมัยนั้น ศัตรูสำคัญของการมีชีวิตคือ ทั้งบาป ผี และโรคร้ายและถ้าใครไม่ต้อนรับก็สลัดผงที่เท้าตอนจากมา เป็นสัญลักษณ์ว่า เป็นความผิดของพวกเขาเองที่เขาไม่ยอมที่จะกลับใจ

มาระโก 6:14-28
การสั่งตัดคอยอห์นผู้ให้บัพติศมา
มาระโกได้บรรยายเรื่องความตายของท่านยอห์นผู้ให้บัพติศมา เป็นการถูกประหารที่ดูเหมือนไร้เหตุผลอันสมควรอย่างมาก เพราะเกิดจากความอาฆาตแค้นของเฮโรเดียส ที่ยอห์นกล่าวว่า เฮโรดทำผิดที่มาเอาเธอซึ่งเป็นภรรยาของน้องชาย มาเป็นของตน
บรรยากาศงานเลี้ยงที่มีผู้ชายเต็มงานและมีผู้หญิงสาวคอยปรนเปรอ ทุกคนเมาเหล้า และเสียงดังอึกทึกวุ่นวาย
และแล้วเฮโรดก็ตกปากสัญญากับสาวน้อยลูกสาวนางเฮโรเดียสว่าจะให้รางวัลถึงครึ่งอาณาจักร (มีความหมายว่าให้ได้มาก แต่ก็จำกัด) เพราะเธอเต้นรำเร้าใจมาก
รางวัลที่เธอต้องการจากเขานั้น ไม่ใช่จากความต้องการจริง ๆ ของเธอแต่เป็นของมารดา นั่นคือศีรษะของยอห์น และความที่ไม่อยากเสียหน้าต่อหน้าแขกทั้งหลาย เฮโรดจำต้องให้ตามที่เธอขอ

มาระโก 6:30-44
แล้วอัครทูตต่างรายงานตนหลังจากที่ออกไปประกาศและรักษาคนให้หายโรคตามที่พระเยซูทรงส่งออกไป พวกเขาตื่นเต้นที่มีการอัศจรรย์เกิดขึ้น และคนธรรมดาอย่างเขาก็มีโอกาสที่จะช่วยอธิษฐานรักษาโรคให้คนด้วย
เมื่อมีการทำงานเกิดขึ้น ก็ควรจะมีการรายงานให้รับรู้ เพื่อแนวหลังจะได้อธิษฐานเผื่อ เพื่อทราบความก้าวหน้า
แต่แล้วจากนั้นพระเยซูกลับชวนพวกเขาให้หนีออกไปพัก .. พระองค์ทรงรู้ดีว่า พวกเขาเหนื่อยมาก ไม่มีเวลาแม้กระทั่งจะกินข้าว พวกเขาอาจตื่นเต้น แต่การพักผ่อนก็สำคัญ ทรงชวนให้พักสักหน่อย… พระองค์ไม่ได้สั่งให้เขาทำงานต่อ แต่ให้พัก
การหนีออกไปจากประชาชนครั้งนี้ไม่เป็นผล เพราะมีคนเห็นจึงพากันไปจากเมืองต่าง ๆ โดยวิ่งไปจนถึงอีกฝั่ง เมื่อพระเยซูทรงเห็นดังนั้น โอกาสที่จะพักจึงไม่มีอีก ทรงสงสารพวกเขา เพราะว่าพวกเขาไม่รู้อะไรเลย ไม่เข้าใจอะไร ยากจน เจ็บป่วย มีผีเข้า ถูกรังควาญโดยเหล่ามาร เขาถูกเอาเปรียบจากพวกธรรมาจารย์ ที่สั่งสอนสิ่งที่ไม่จำเป็น สั่งสอนสิ่งที่เป็นคำของมนุษย์ไม่ใช่คำจากพระเจ้า
สิ่งที่พระองค์ทรงทำอย่างแรกคือ ทรงสอนพวกเขา… เราอย่าลืมว่า ในวันนี้ก็เช่นเดียวกัน คนที่หลงทางต้องการคำสอน คำหนุนใจ คำแนะนำอย่างถูกต้อง

หากเราดูการอัศจรรย์ของพระเยซู การเลี้ยงคนจำนวนมหาศาล เป็นเรื่องที่ทั้งมัทธิว มาระโก ลูกาและยอห์นกล่าวถึง เพราะเป็นเหตุการณ์มหัศจรรย์ที่ต้องจดจำจริง ๆ ทรงมีคนห้าพัน ขนมปังห้าก้อน ปลาสองตัว ขณะที่คนห้าพัน (ซึ่งยังไม่รวมผู้หญิงและเด็ก) กำลังหิว พระเยซูทรงเปลี่ยนอาหารจำนวนที่น้อย กลายเป็นจำนวนมากมหาศาลแล้วยังมีเหลืออีกสิบสองตะกร้า นี่มันอะไรกัน? เป็นไปไม่ได้ที่จะตาฝาดไป เพราะพวกเขากินอิ่มจริง ๆ จากจำนวนห้าพันคนเหล่านี้ วันหนึ่งข้างหน้า จะมีบางคนที่กลายเป็นคนที่ติดตามพระเยซูและประกาศพระนามต่อไป

ก่อนการอัศจรรย์จะเกิดขึ้น มีการคุยกันระหว่างพระเยซูกับศิษย์ของพระองค์ คนหนึ่งเสนอให้ประชาชนออกไปซื้ออาหารเอง พระองค์ทรงบอกให้พวกเขาเลี้ยง แต่อีกคนกลับพูดทำนองว่า จะให้จ่ายเงินจำนวนมากมายเพื่อเลี้ยงพวกเขาหรือ ซึ่งคำพูดนี้ถ้าเราฟังเผิน ๆ จะรู้ว่า คนพูดรู้สึกเสียดายเงิน รู้สึกว่าไม่น่าจะต้องจ่ายขนาดนี้กับอาหารมื้อเดียว
แต่พระเยซูทรงอยู่เหนือความคิดความเข้าใจทั้งหมด
ทรงให้เขาไปตามหาอาหารที่มีอยู่.. แน่นอนที่มีบางคนเอาอาหารมา แต่คนนั้นก็ต้องยอมให้ด้วย
เมื่อได้ขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวมา เมื่อทุกคนนั่งเป็นระเบียบ
พระเยซูทรงรับอาหารนั้นมา ทรงเงยพระพักตร์ไปหาองค์พระบิดาในสวรรค์ …. พระบิดา กับพระบุตรจะทรงทำการยิ่งใหญ่ต่อหน้าคนนับหมื่น ..ทรงขอบพระคุณด้วยรู้ว่า สิ่งเหนือธรรมชาติกำลังจะเกิดขึ้น แล้วจากนั้นพระองค์ก็ทรงฉีกขนมปังออก และแบ่งปลาออกไป ใช้เวลาที่ทำให้ผู้คนได้ประหลาดใจ ได้กล่าวขาน ได้รับขนมปังและปลา ได้อิ่มพุง
เหตุการณ์ตอนนี้ สมกับคำในสดุดี 23 ที่ว่า พระเจ้าทรงเป็นผู้เลี้ยงของฉัน… พระองค์ทรงจัดเตรียมโต๊ะให้ฉัน …

และอาหารที่แจกยังเหลืออีกทำให้พวกศิษย์ได้กินต่ออีกมื้อหรือสองมื้อ
พระพรของพระเจ้าเกินความเข้าใจ เกินคาด และหากเราอยู่ใกล้ ๆ พระเจ้า เดินไปกับพระองค์ เราก็จะมีประสบการณ์มหัศจรรย์ที่ทำให้เรารู้ว่า พระเจ้าทรงอยู่ด้วยได้ไม่หยุดเหมือนกัน

มาระโก 6:45-52
พระเยซูทรงเดินบนน้ำ
หลังจากที่พระเยซูทรงทำการอัศจรรย์แบบทำให้ตาลุกวาวไปแล้ว ผู้คนก็เริ่มทยอยกันกลับบ้าน พระเยซูทรงสั่งให้ศิษย์ลงเรือไปก่อน โดยที่ยังทรงส่งคนทั้งหลายแทนพวกเขาด้วย แต่แล้ว เมื่อคนไปหมด
พระเยซูก็ทรงขึ้นภูเขาเพื่อไปอธิษฐาน
แน่นอนที่ว่าทรงเหนื่อยมาก ถ้าเป็นเราก็ขอพักก่อนแล้วกัน แต่พระเยซูคงมีสิ่งที่อยากจะสนทนากับพระบิดาตามลำพังแน่นอน เรื่องนี้ เป็นสิ่งที่เราควรทำตามเป็นอย่างยิ่ง .. พระองค์มีพลังมากแต่ไม่ทรงลืมที่จะหันกลับไปสนทนากับพระบิดาเลย เชื่อว่าพระองค์ทรงอธิษฐานเผื่อทั้งศิษย์ ประชาชน และเรื่องอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
ช่วงเวลานั้นเอง พระองค์ทรงเห็นศิษย์ที่พยายามกรรเชียงเรือต้านลม ทรงมองเห็นจากที่ไกล หรือทรงเห็นด้วยวิธีพิเศษเราไม่ทราบ แต่ทรงตั้งพระทัยเดินบนน้ำไปหาพวกเขาสบาย ๆ เหมือนเดินบนดิน
เวลาพวกเราเจอปัญหาหนัก ๆ ก็อย่างนี้แหละ และต้องไม่ลืมว่าพระเจ้าทรงเห็น
เมื่อศิษย์บนเรือเห็นพระเยซูดำเนินมาบนน้ำ ก็ตกใจมาก คิดว่าเป็นผี… แต่พระองค์ทรงปลอบใจว่าเป็นพระองค์เอง ..​ ดูสิว่า พระองค์ไม่จำเป็นต้องให้น้ำสงบก่อนเสียอีก ทรงขึ้นเรือไปกับพวกเขาลมจึงสงบ

มาระโกได้เขียนว่า เมื่อพระเยซูขึ้นเรือไป ลมก็เบาลง พวกศิษย์อัศจรรย์ใจ พวกเขาไม่เข้าใจเรื่องขนมปัง เพราะใจแข็งนัก ทำไมจึงเขียนคำคอมเม้นท์เช่นนี้?

พวกศิษย์ยังไม่เข้าใจอะไรหลาย ๆ เรื่องที่พระเยซูทรงทำ เขายังมองไม่เห็นว่า การเลี้ยงคนมากมายนั้น คือการที่พระเจ้าทรงจัดหาให้ตามที่จำเป็น ตามที่ผู้คนมีความต้องการ เป็นเราเองก็อาจจะตื่นเต้น แต่ไม่เข้าใจพระดำริของพระเจ้าทั้งในเรื่องขนมปังและการดำเนินบนน้ำ

คำว่าเข้าใจ ภาษากรีกว่า ซูนนีเอมี .. หมายถึงวิเคราะห์ หาความเข้าใจ สรุปผล ส่วนคำว่าใจแข็งนั้นคือ โพโรโอ หมายถึงแข็ง ทำให้แข็งเป็นหิน เท่ากับมีกรอบความคิดที่ขยายออกมาใหม่ได้ยาก เพราะยังมีความคิดเก่า ๆ ที่ติดแน่นอยู่ ไม่สามารถเปลี่ยนได้

มาระโก 6:53-56
แค่แตะชายเสื้อของพระเยซู!
ตอนแรก ตั้งใจไปที่เบธไซดา แต่แล้วการมีพายุทำให้พวกเขาไปจอดเรือที่เกนเนซาเรธซึ่งอยู่อีกด้าน (ทางตะวันออกเฉียงเหนือของกาลิลี) เป็นเมืองที่ทำการเกษตรเป็นหลัก
มาระโกได้เล่าเรื่องที่พระเยซูพบประชาชนว่า พวกเขาจำพระองค์ได้ทันที แล้วก็พากันวิ่งไปป่าวร้องให้รู้ว่า พระเยซูกำลังไปที่ไหน พวกเขาก็ตามไป
พระเยซูทรงไปทั้งตามหมู่บ้าน เมือง ชนบท และตลาด ทุกแห่งมีคนมารุมล้อมพระองค์
ที่สำคัญ แค่ขอแต่เพียงชายเสื้อ พวกเขาก็หายโรคแล้ว มหัศจรรย์เหลือเกิน!

พระคำเชื่อมโยง

1* ลูกา 4:16-30; มัทธิว 13:54-58
2* ยอห์น 6:42; 7:15 กิจการ 4:13-14;
3* มัทธิว 12:46; 11:6
4* ยอห์น 4:44
5* ปฐมกาล 19:22; 32:25
6* อิสยาห์ 59:16; มัทธิว 9:35
7* มาระโก 3:13-14; ปัญญาจารย์ 4:9-10
9* เอเฟซัส 6:15
10* มัทธิว
11* มัทธิว 10:14;
13* ลูกา 9:7-9
14* ลูกา 19:3715* มาระโก 8:28; มัทธิว 21:11

16* ลูกา 3:19
18* เลวีนิติ 18:16; 20:21
20* มัทธิว 14:5; 21:26
21* มัทธิว 14:6; ปฐมกาล 40:20
23* เอสเธอร์ 5:3, 6; 7:2
26* มัทธิว 14:929* 1 พงศ์กษัตริย์ 13:29-30
30* ลูกา 9:1031* มัทธิว 14:13; มาระโก 3:20
32* มัทธิว 14:13-21
33* โคโลสี 1:6
34* มัทธิว 9:36; 14:14; กันดารวิถี 27:17; ลูกา 9:11
35* มัทธิว 14:15
37* 2 พงศ์กษัตริย์ 4:43
38* ยอห์น 6:9

39* มัทธิว 15:35
41* ยอห์น 11:41-42; มัทธิว 15:36; 26:26
45* ยอห์น 6:15-21
46* ลูกา 5:16
48* ลูกา 24:28
49* มัทธิว 14:26
50* มัทธิว 9:2; อิสยาห์ 41:10
51* สดุดี 107:29; มาระโก 1:27; 2:12; 5:42; 7:37
52* มาระโก 8:17-18; 3:5; 16:14
53* มัทธิว 14:34-36
56* มัทธิว 9:20; กันดารวิถี 15:38-39

2 โครินธ์ 10 อวดพระเจ้า

2 โครินธ์ 10:1-2
ข้า เปาโล ขอร้องพวกท่านด้วยพระทัยอ่อนโยนและพระเมตตาของพระคริสต์ แม้ท่านคิดว่า ข้าเป็นคนถ่อมตัวต่อหน้า แต่กลับใจกล้าเมื่ออยู่ห่างไกล.. คือข้าขอร้องท่านว่า เมื่อข้ามาอยู่ต่อหน้าท่านก็อย่าให้ข้าต้องใจกล้าอย่างที่คิดไว้เพื่อจัดการคนที่ใส่ร้ายว่า เราใช้ชีวิตตามโลกเหมือนคนทั่วไป

2 โครินธ์ 10:3-4
เพราะแม้ว่าเราใช้ชีวิตในเนื้อหนัง แต่เราก็ไม่ได้สู้รบโดยวิธีเดียวกับโลกเพราะอาวุธที่เราใช้ในการต่อสู้ไม่ใช่อาวุธแบบโลก แต่เป็นอาวุธที่เต็มด้วยฤทธิ์เดชจากพระเจ้าซึ่งสามารถทำลายป้อมแข็งแกร่งของศัตรูได้

2 โครินธ์ 10:5-6
คือทำลายเหตุผลโต้แย้งและความเห็นที่เย่อหยิ่งทั้งหลายทุกรูปแบบ
ที่ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อต่อต้านความรู้ของพระเจ้า และปราบให้ความคิดทุกอย่างให้สยบลงเพื่อมาเชื่อฟังพระคริสต์ เราก็พร้อมลงโทษการกระทำที่ไม่เชื่อฟังทุกอย่าง เมื่อท่านเชื่อฟังครบถ้วนแล้ว

2 โครินธ์ 10:7
ท่านมองดูสิ่งต่าง ๆ ตามที่เห็นด้วยตา หากใครมั่นใจว่า เขาเป็นคนของพระคริสต์ เขาก็ควรคิดย้ำอีกทีว่าเราก็เป็นคนของพระคริสต์เท่ากับเขา
2 โครินธ์​ 10:8-9
ถึงแม้ว่าข้าจะอวดมากไปหน่อยถึงสิทธิอำนาจที่พระเจ้าประทานแก่เรา
เพื่อเสริมสร้างท่านไม่ใช่ที่จะฉุดท่านให้ต่ำลง
ข้าไม่ละอายในเรื่องนั้นข้าไม่อยากให้ดูเหมือนว่า ข้ากำลังขู่ท่านด้วยจดหมาย

2 โครินธ์ 10:10-11
เพราะมีบางคนพูดว่า “จดหมายของเปาโลนั้นหนักแน่นมีพลังมากจริง แต่ตัวเขาดูอ่อนแอ พูดก็ไม่เก่ง” ขอให้คนเหล่านั้นเข้าใจว่า เราพูดในจดหมายเมื่อเราอยู่ไกลอย่างไรเราก็จะทำอย่างนั้นเมื่อเราอยู่กับท่าน
2 โครินธ์ 10:12
เราไม่กล้าพอที่จะแบ่งชั้น หรือเปรียบเทียบตัวเองกับคนที่ยกย่องตัวเอง
แต่เมื่อพวกเขาเอาตัวเป็นเครื่องวัดและเปรียบเทียบกันเอง เท่ากับพวกเขาไม่มีสติปัญญา

2 โครินธ์ 10:13-14
อย่างไรก็ดี เราจะไม่อวดเกินขอบเขต แต่เราจะอวดเท่าที่อยู่ในวงจำกัดที่พระเจ้าทรงกำหนดให้เรา ท่านก็อยู่ในขอบเขตนั้นด้วย เราไม่ได้อวดเกินไปเพราะเราเป็นพวกแรกที่นำข่าวประเสริฐของพระคริสต์มายังพวกท่าน
2 โครินธ์ 10:15
เราไม่อวดเกินเขตจำกัดนั้น ไม่ได้อวดเรื่องงานของคนอื่น แต่เราหวังว่า เมื่อความเชื่อของท่านเจริญขึ้น งานของเราจะขยายออกไปอย่างกว้างขวางในหมู่พวกท่าน

2 โครินธ์ 10:16
เพื่อเราจะได้ประกาศข่าวประเสริฐในพื้นที่นอกเหนือไปจากพื้นที่ของท่านเพราะเราไม่ประสงค์ที่จะอวดถึงงานที่คนอื่นได้ทำสำเร็จแล้ว ซึ่งเป็นงานที่อยู่ในพื้นที่ของคนอื่น
2 โครินธ์ 10:17-18
ให้คนที่อวด จะอวดเรื่ององค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด เพราะไม่ใช่การอวดตัวเองจะทำให้คนอื่นยอมรับ แต่เป็นคนที่พระเจ้าทรงชมเชย

อธิบายเพิ่มเติม

2 โครินธ์ 10:1-2
พี่น้องชาวโครินธ์กล่าวหาว่า ท่านเปาโลเป็นคนที่มีสองมาตรฐาน และยังเป็นคนที่ใช้ชีวิตเหมือนชาวโลกทั่วไป ท่านขอร้องให้พี่น้องยอมรับในสิทธิอำนาจการเป็นอัครทูตของท่าน ในส่วนที่ท่านจะสามารถสอน เตือนสติพวกเขา พวกเขาเข้าใจท่านตามใจคิด โดยไม่ได้พิจารณาว่าท่านเป็นอย่างไรจริง ๆ ศัตรูของเปาโลคือพวกที่สอนผิด พยายามทำให้พี่น้องหลงเชื่อว่า ท่านเมื่ออยู่ไกลกล้าเขียนโน่นนี่ แต่พอมาใกล้ ๆ ก็หงอ

2 โครินธ์ 10:3-4
ท่านเปาโลไม่ได้ต้องการที่จะเผชิญหน้ากับคนที่ใส่ร้ายท่านแบบคนทั่วไป ​โลกอาจใช้วิธีการแก้แค้น การประจานขู่ให้กลัว แต่พระเจ้าทรงมี
วิธีให้เราจัดการกับเหตุการณ์ผิดปกติด้วยอาวุธที่มาจากพระองค์ ท่านมีอาวุธจากพระเจ้าที่จะสยบความคิดต่าง ๆ ที่ตั้งตัวขึ้นขัดขวางพระเจ้านั่นคือท่านใช้ข่าวประเสริฐเรื่องของพระเยซูคริสต์เป็นเครื่องทำลายอาวุธของศัตรู (ข่าวประเสริฐนี่คือทุกอย่างที่มาจากพระคำของพระเจ้า)

2 โครินธ์ 10:5-6
พระคำตอนนี้ มีสำหรับโลกปัจจุบันที่เต็มด้วยความวุ่นวายสับสน การชี้นำชีวิตให้หลงไปจากทางที่ดี ด้วยสื่อต่าง ๆ ที่โถมเข้ามาหาเราแต่ละคนอย่างมากมาย ไม่มีการหยุด ความคิดของโลกค่อย ๆ กร่อนชีวิตของมนุษย์ไปทุกวันโรงเรียนกลายเป็นที่เด็ก ๆ ได้รับความคิดที่ต่อต้านความเชื่อในพระเจ้าทุก ๆ วัน แต่เราต้องรับมือกับสิ่งเหล่านี้อย่างเข้าใจ ไม่ใช่ใช้การตอบโต้ที่มีแต่จะสร้างความเกลียดชัง

2 โครินธ์ 10:7
คนที่เป็นครูสอนผิดที่แฝงตัวเข้ามาในคริสตจักรจะมีภาพลักษณ์ข้างนอกดูดี ในขณะที่ท่านเปาโลไม่ได้มีรูปร่างหน้าตาดี หรือคำพูดเอาใจใคร แต่
เป็นคำแห่งความจริงของพระเจ้าเท่านั้น ท่านเป็นคนที่ใคร ๆ มองแล้ว ไม่น่าเชื่อถือ ไม่น่าเป็นอาจารย์ที่ควรเคารพ แต่ว่า พวกเขามองท่านแค่เปลือกนอกเท่านั้น ท่านจึงบอกคนเหล่านั้นว่าถ้าหากตัวเองคิดว่าเป็นคนของพระเจ้า ท่านก็เป็นเหมือนกัน ไม่ด้อยไปกว่าเขา 

2 โครินธ์​ 10:8-9
ท่านเปาโลไม่ต้องการให้พี่น้องคิดว่า ท่านเขียนจดหมายมาขู่พวกเขาเรื่องความเชื่อ แต่ที่ท่านต้องเน้นย้ำเรื่องสิทธิอำนาจแห่งอัครทูต ก็เพื่อให้เขา
รู้ว่า ท่านไม่ได้พูดเล่น ๆ แต่ท่านมีสิทธิอำนาจแห่งอัครทูตก็เพื่อสอน แนะนำ หนุนใจให้พวกเขาได้จำเริญขึ้นในทางของพระเจ้า ให้เขามีความมั่นใจในข่าวประเสริฐที่เปลี่ยนแปลงชีวิต พระเจ้าเป็นผู้เปลี่ยนชีวิตจากการประกาศข่าวประเสริฐที่มีฤทธิ์เปาโล

2 โครินธ์ 10:10-11
การรับใช้ของเปาโลนั้น ตรงไปตรงมา ไม่มีการพูดกลับไปกลับมา ไม่ว่าพูดตอนอยู่ต่อหน้า หรือเมื่อเขียนจดหมายมา ก็ยังคงเรื่องเดิม ความ
ห่วงใยเดิม ความรักเดิม มีคนกล่าวหาว่าท่านเขียนอย่าง ทำอย่าง ในจดหมายดูขึงขัง แต่เมื่อเจอกันต่อหน้ากลับไม่ได้เรื่อง … ท่านกำลังตอบโต้คนเหล่านั้นว่าท่านไม่ได้เป็นอย่างที่เขากล่าวหา เราทุกคนเช่นกัน ต่อหน้าลับหลังต้องเหมือนกัน ..ตรงไปตรงมา 

2 โครินธ์ 10:12
การรับใช้พระเจ้า ไม่ใช่เป็นการแข่งกันรับใช้ แต่เป็นการทำหน้าที่ต่าง ๆ กันเพื่อแผ่นดินของพระองค์ การรับใช้ที่มีการเปรียบเทียบ โบสถ์ใคร
ใหญ่กว่า โบสถ์ใครมีกลุ่มเซลมากกว่า เซลไหนใหญ่สุด อะไรแบบนี้ ไม่มีในหัวใจของท่านเปาโลและจะต้องไม่มี เพราะเป็นเรื่องของการไร้ปัญญาเราอยากให้พระเจ้ามองเรามาและชื่นชมในการรับใช้ไปด้วยกัน หรือขุ่นพระทัยที่เราแข่งกัน? 

2 โครินธ์ 10:13-14
สิทธิอำนาจของผู้รับใช้พระเจ้ามีขอบเขตจำกัดไม่ใช่นึกจะใช้สิทธิไปทั่วได้ ที่ท่านเปาโลมีสิทธิเหนือพี่น้องชาวโครินธ์ เพราะว่าท่านเป็นผู้ที่
ตั้งคริสตจักรนี้ขึ้นมาโดยการทรงนำของพระเจ้าท่านจึงมีสิทธิในการตักเตือน สั่งสอน ดูแลชีวิตฝ่ายวิญญาณของพวกเขา พี่น้องในคริสตจักร
เองก็ต้องรับรู้ว่า ใครเป็นผู้ที่ดูแลปกป้องพวกเขาใครเป็นผู้ที่รับผิดชอบพวกเขา อย่างนี้จึงเป็นคริสตจักรที่แข็งแรง

2 โครินธ์ 10:15
ท่านเปาโลจึงไม่ได้ไปยุ่งเรื่องงานรับใช้ของผู้รับใช้ท่านอื่น ไม่ได้ไปอวดงานของคนอื่น เราจะเห็นจากข้อเขียนของท่านว่า ใจจริงของท่านเปาโลคือ
ต้องการให้พี่น้องรู้จักพระเจ้าลึกซึ้งขึ้น ต้องการให้มีคนได้รู้จักพระเจ้ามากขึ้น ไม่ใช่อยู่ที่เดิม ปัญหาในคริสตจักรที่เกิดขึ้นคือ มีคนที่คอยทำให้คนขาดความเชื่อถือในตัวท่านไม่หยุดหย่อนแต่ที่นี่ก็เป็นที่รักของท่านไม่ว่าพวกเขาจะสร้างปัญหาให้เพียงไร

2 โครินธ์ 10:16
ตรงนี้ ท่านเปาโลบอกชัดเจนว่า จะไม่มีการล้ำเส้นกัน แต่นี่ไม่ได้หมายความว่า จะไม่มีการช่วยเหลือกันระหว่างคริสตจักร ความตั้งใจของท่านในการประกาศคือ เพื่อให้คนได้รู้จักพระเจ้าได้กลับใจใหม่ โดยขยายออกไปจากคริสตจักรโครินธ์เอง ไม่ใช่ไปแย่งพี่น้องของคนอื่น ๆ ไม่ใช่ไปเอาความสำเร็จของผู้รับใช้ท่านอื่นมาเป็นของตน ความสำเร็จของคริสตจักรในยุคแรกนั้นมีหลายคนช่วยกันทำไม่ใช่ท่านเปาโลคนเดียว

2 โครินธ์ 10:17-18
แล้วท่านก็มาจบที่พระคำจากพระคัมภีร์เดิมที่ว่า ให้อวดองค์พระผู้เป็นเจ้า ให้อวดว่า เรารู้จักพระองค์จาก เยเรมีย์ 9:24 เราต้องมาคิดกันดูว่า เราอยากให้พระองค์ตรัสคำนี้กับเราหรือไม่ ..ดีมาก เจ้าเป็นบ่าวที่ซื่อตรง ให้มาร่วมยินดีกับนาย… ( มัทธิว 25:23 ) สรุปคือ อยากให้คนชมหรืออยากให้พระเจ้าชม
เราเตรียมได้แต่ตอนนี้

พระคำเชื่อมโยง

1* โรม 12:1; 1 เธสะโลนิกา 2:7
2* 1โครินธ์ 4:21
4* เอเฟซัส 6:13; 1 ทิโมธี 1:18; กิจการ 7:22; เยเรมีย์ 1:10
5* 1โครินธ์ 1:19

6* 2 โครินธ์ 13:2, 10; 7:15
7* ยอห์น 7:24; 1โครินธ์ 1:12; 14:37; 1:23
8* 2 โครินธ์ 13:10; 7:14
10* กาลาเทีย 4:13; 2 โครินธ์ 11:6
12* 2 โครินธ์ 5:12

13* 2 โครินธ์ 10:15
14* 1 โครินธ์ 3:5-6
15* โรม 15:20
17* เยเรมีย์ 9:24
18* สุภาษิต 27: 2;โรม 2:29



2 โครินธ์ 9 กฎการหว่าน

2 โครินธ์ 9:1-2
ข้าไม่จำเป็นต้องเขียนถึงท่านเรื่องการช่วยคนของพระเจ้าในด้านนี้ เพราะข้ารู้ดีว่าท่านทั้งหลายตั้งใจพร้อมอยู่ ข้ายังได้พูดอวดพวกท่านกับพี่น้องในมาซิโดเนียว่า พี่น้องในอาคายาพร้อมที่จะให้ตั้งแต่ปีที่แล้ว และความกระตือรือร้นของท่านเป็นแรงบันดาลใจให้พวกเขามาก
2 โครินธ์ 9:3-4
แต่ข้าส่งพี่น้องมาเพื่อว่าที่เราเคยอวดเรื่องท่านจะไม่เสียเปล่า และท่านจะได้จัดเตรียมให้พร้อมตามที่ข้าบอกไปแล้ว ดังนั้น หากพี่น้องชาวมาซิโดเนียบางคนมากับเรา และพบว่าท่านไม่พร้อม เท่ากับว่าทั้งท่านและเราต้องขายหน้า ที่มั่นใจในพวกท่านขนาดนั้น

2 โครินธ์ 9:5
ดังนั้นข้าคิดว่า จำเป็นต้องขอให้พี่น้องไปหาพวกท่านก่อน เพื่อให้ท่านเตรียมสิ่งที่จะถวายตามที่สัญญาไว้ ซึ่งการเตรียมพร้อมอย่างนี้ แสดงถึงการให้อย่างเต็มใจไม่ใช่ด้วยการฝืนใจ
2 โครินธ์ 9:6-7
ข้าขอบอกว่า คนที่หว่านน้อยย่อมเก็บเกี่ยวได้เพียงเล็กน้อย และคนที่หว่านมากจะเก็บเกี่ยวได้มาก แต่ละคนควรให้ตามที่เขาตั้งใจไว้ ไม่ใช่ด้วยความเสียดายหรือจำเป็นต้องให้ เพราะว่า พระเจ้าทรงรักผู้ที่ให้ด้วยใจยินดี

2 โครินธ์ 9:8-9
พระเจ้าประทานพรทุกอย่างให้แก่ท่านได้อย่างเต็มที่ เพื่อท่านจะได้มีเพียงพออยู่เสมอ และยังจะมีเกินพอที่จะทำการดีทุกอย่างด้วย ตามที่มีบันทึกไว้ว่า
“เขาได้แบ่งปันแก่คนยากจนความเที่ยงธรรมของเขาดำรงเป็นนิตย์”
2 โครินธ์ 9:10
พระองค์ผู้ประทานเมล็ดพืชให้แก่คนที่หว่าน อาหารให้แก่คนที่กินจะประทานเมล็ดพืชให้แก่ท่าน และจะทรงเพิ่มผลให้เมล็ดที่ท่านนำไปหว่านทั้งจะทรงให้ท่านได้เก็บเกี่ยวความเที่ยงธรรมอย่างเพิ่มพูน
2 โครินธ์ 9:11
พระองค์จะทรงให้ท่านมั่งคั่งในทุกสิ่งเพื่อจะได้ใจกว้างแบ่งปันทุกโอกาส
และทำให้หลายคนได้ขอบคุณพระเจ้าผ่านเรา

2 โครินธ์ 9:12-13
ในการรับใช้แบบนี้ ไม่ใช่เป็นการจัดหาให้กับผู้เชื่อที่ขัดสนเท่านั้น แต่ยังทำให้มีคำขอบพระคุณอย่างมากด้วย การปรนนิบัตินี้จะส่งผลให้พวกเขาสรรเสริญพระเจ้าเพราะท่านทั้งหลายยอมเชื่อฟัง สมกับที่ท่านกล่าวยอมรับข่าวประเสริฐของพระคริสต์และในน้ำใจที่ท่านมีต่อเขาและคนทั่วไป
2 โครินธ์ 9:14-15
และเขาจะทูลขอเพื่อท่านและระลึกถึงท่านอย่างจริงใจ เพราะพระเจ้าทรงมีพระคุณต่อท่านอย่างเหลือล้น ขอบคุณพระเจ้าสำหรับของประทานจากพระองค์ที่เกินคาดหมาย

อธิบายเพิ่มเติม

2 โครินธ์ 9:1-2
พี่น้องในมาซิโดเนียอยู่ท่านเหนือ และอาคายาเป็นที่ตั้งของเมืองโครินธ์อยู่ทางใต้ จดหมายของท่านเปาโลทำให้รู้ว่า พี่น้องในคริสตจักรอื่น ๆ ที่ อยู่ไกลออกไป ไม่ได้อยู่เฉย แต่มีความกระตือรือร้น. ในการรับใช้พระเจ้า ซึ่งการรับใช้พระเจ้านี้ มีวิธีการหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการทำดีให้ผู้อื่น การประชุมร่วมกัน การถวายเพื่อช่วยพี่น้อง รวมถึงการประกาศ การเป็นพยาน การนมัสการพระองค์ชีวิตคริสเตียนจริง ๆ นั้น ไม่ใช่เป็นชีวิตอยู่เฉย ๆ

2 โครินธ์ 9:3-4
ตอนนี้ ท่านเปาโลกำลังสอนให้พี่น้องในโครินธ์ ได้เตรียมตัวให้พร้อมในกิจกรรมที่ดี และการถวายท่านเปาโลเคยเอาพี่น้องโครินธ์ไปชมเชยกับพี่น้องในที่อื่น ๆ ด้วย ทำให้เราเห็นว่า แม้จะมีปัญหาในคริสตจักร แต่ท่านเปาโลก็เห็นสิ่งดีในตัวพี่น้องเสมอ ท่านไม่ได้เอาเขาไปนินทา แต่เอาไปชมเชย นี่เป็นสิ่งที่สมควรทำตาม ไม่ว่าเราจะเห็นใครมีปัญหามากเพียงไร แต่หากดูให้ดี แต่ละคนก็ยังมีสิ่งดีในชีวิตที่เราอวดได้ ถ้าไม่อธิษฐานเผื่อก็อย่า
เอาเขาไปพูดลับหลัง

2 โครินธ์ 9:5
ท่านเปาโลไม่ยอมให้มีความผิดพลาดในด้านของชื่อเสียงของพี่น้องและตัวท่านเองเกิดขึ้น ในสมัยก่อนนั้น ใครก็ตามที่เคยสัญญาว่าจะให้อะไร ก็ต้องทำตามสัญญาที่ให้ไว้ มากลับคำง่าย ๆ ไม่ได้การไม่ทำตามสัญญาจะเป็นเรื่องที่ขายหน้าเอามาก ๆ เป็นเรื่องที่เสียเครดิตจริงๆ และเรื่องนี้ในสังคมของคนยิวเป็นสิ่งสำคัญ เป็นสังคมที่หน้าตา ฐานะ ขึ้นอยู่กับศักดิ์ศรีและความอับอาย

2 โครินธ์ 9:6-7
นี่เป็นหลักการธรรมดาที่พระเจ้าทรงวางไว้ให้คนที่ให้มากก็จะได้ผลมาก ตอนนี้ท่านเปาโลกำลังพูดถึงการให้กับพี่น้องคนอื่น ๆ ซึ่ง ในเมื่อพระเจ้าเป็นผู้ให้เกิดผล ผลที่ได้อาจไม่ได้เกิดกับคนที่ให้โดยตรงอย่างเดียว แต่ไปเกิดผลขึ้นในอาณาจักรของพระเจ้า ดังนั้น การให้จะต้องมีท่าทีอย่างถูกต้องไม่ใช่เป็นเพราะต้องการเอาคืนที่เห็นแก่ตัว อยากมีมากกว่าเดิม ฝึกการให้ไปบ่อย ๆ เราจะสัมผัสเองว่าผลในอาณาจักรของพระเจ้าดีกว่าผลส่วนตัว

2 โครินธ์ 9:8-9
ขออย่าแปลความในข้อนี้ผิดไปจากความตั้งใจของท่านเปาโลเพียงเพราะว่า เราอยากมีมากขึ้นพระสัญญาของพระเจ้านี้ มีให้กับคนจริงเท่านั้นไม่ใช่คนที่แสร้งให้เพื่อจะรับผู้เชื่อในพระเจ้าไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม เขาเชื่อวางใจพระสัญญานี้ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้รับใช้เต็มเวลาหรืออาจารย์ แต่เป็นสำหรับพี่น้องทุกคน ที่ถวายแด่พระเจ้าแม้ไม่มีใครเห็น คนถวายจริง ด้วยใจจริงด้วยความคิดถูกต้องจะเห็นผลแน่นอน

2 โครินธ์ 9:10
เมล็ดพืช เป็นที่เริ่มต้นของพืชพันธ์ุ ต้นไม้ต่าง ๆแต่เบื้องหลังของเมล็ดพืชที่จะงอกเป็นผลหลากชนิดนั้น คือ พระเจ้าผู้ทรงสร้าง ดังนั้น คิดแล้ว การให้ของเราเกี่ยวพันกับท่าทีที่เรามีต่อพระเจ้าเป็นอย่างมาก การถวายคืนแด่พระเจ้าด้วยวิธีการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นในคริสตจักร หรือทำกับคนทั่วไปที่ต้องการความช่วยเหลือ ต้องได้รับการอวยพรให้ผลผลิตฝ่ายวิญญาณนี้ เพิ่มพูน ทวีคูณจากพระเจ้า … ทุกอย่างจึงจะยั่งยืนและเกิดผลมาก

2 โครินธ์ 9:11
พระเจ้าจะทรงให้มั่งคั่งเพื่อให้มีใจกว้างแบ่งปันให้คนอื่น วิธีการที่จะอยู่ร่วมกันได้ดีที่สุด คือทุกคนได้มีโอกาสที่จะก้าวต่อไป ไม่ใช่เกิดช่องว่างระหว่างคนรวยคนจน ในโลกธุรกิจมีแนวคิดว่า ต้องขายให้มากสุด ต้องโกยส่วนแบ่งการตลาดมาให้มากเท่าที่มากได้ แต่ธุรกิจของพระเจ้ากลับแปลก พระองค์ให้คนของพระองค์มั่งคั่ง (ในรูปแบบต่าง ๆ) เพื่อช่วยให้คนอื่นได้ก้าวต่อไป

2 โครินธ์ 9:12-13
พระเจ้าทรงประสงค์ที่จะให้คนของพระองค์มั่งคั่งไม่ใช่เพื่อให้เขาเก็บไว้ชื่นชมคนเดียว แต่เพื่อเขาจะมีใจกว้างขวาง แบ่งปันให้กับคนอื่นด้วย เมื่อเราได้เห็นการให้และการรับในหมู่พี่น้อง ด้วยความปรารถนาดี เราก็จะเกิดใจขอบพระคุณ ดังนั้น การให้นอกจากจะเป็นการแบ่งเบาภาระเป็นการช่วยให้อีกคน หรือหลายคนมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างมีสันติสุข ยังเป็นเหตุให้พระเจ้าได้รับพระเกียรติจากทุกหัวใจที่ขอบพระคุณ

2 โครินธ์ 9:14-15
ใจกตัญญูต่อพระเจ้าที่เกิดขึ้นในคนที่รับนั้นไม่ได้มีต่อพระเจ้าเท่านั้น แต่ต่อคนที่ตั้งใจช่วยเหลือคำขอบพระคุณเหล่านี้เป็นที่ถวายพระเกียรติทำให้พระเจ้าทรงพอพระทัยที่พี่น้องต่างมีความรักจริงใจต่อกัน ยิ่งขอบพระคุณ ชีวิตก็ยิ่งเกิดผลยิ่งก่อให้เกิดการขอบพระคุณมากขึ้นอีกไปเรื่อย ๆแต่หากคนรับไร้การขอบพระคุณล่ะ … คนที่ให้ก็ยังได้รับพระพรที่จะทำการดีต่อไปได้ ไม่ต้องห่วงไม่มีการขัดสนเลย ….

พระคำเชื่อมโยง

1* กาลาเทีย 2:10
2* 2 โครินธ์ 8:10
3* 2 โครินธ์ 8:6, 17
6* สุภาษิต 11:24; 22:9
7* เฉลยธรรมบัญญัติ 15:4; โรม 12:8

8* สุภาษิต 11:24
9* สดุดี 112:9
10* อิสยาห์ 55:10; โฮเชยา 10:12
11* 2 โครินธ์ 1:11

12* 2 โครินธ์ 8:14
13* มัทธิว 5:16; ฮีบรู 13:16
14* 2 โครินธ์ 8:1
15* ยากอบ 1:17



2 โครินธ์ 8 ให้โปร่งใส

2 โครินธ์ 8:1-2
พี่น้องทั้งหลาย เวลานี้ เราอยากให้ท่านรู้ถึงพระคุณของพระเจ้าที่ประทานให้คริสตจักรทั้งหลายในแคว้น มาซิโดเนีย
ขณะที่พวกเขากำลังเผชิญกับความทุกข์สาหัส แต่ความยินดี และความยากจนข้นแค้นอย่างที่สุดนั้น กลับกลายเป็นความเอื้อเฟื้อให้กับคนอื่นอย่างมาก


2 โครินธ์ 8:3-5
ข้ายืนยันว่า พวกเขาได้ถวายตามความสามารถ ที่จริง เกินความสามารถด้วยความเต็มใจ พวกเขาเฝ้าขอร้องเรา ที่จะได้มีส่วนในการช่วยเหลือคนของพระเจ้า พวกเขาไม่ได้ทำอย่างที่เราคาด แต่กลับ
ถวายตัวแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าก่อน แล้วจึงทุ่มเทกับเราตามพระประสงค์

2 โครินธ์ 8:6-7
เหตุนี้ เราจึงขอให้ทิตัสไปช่วยท่าน เพื่อทำสิ่งดีนี้จนเสร็จสิ้นสมบูรณ์ เพราะเขาเป็นผู้ที่เริ่มงานนี้ ดังนั้น ในเมื่อท่านเพียบพร้อมไปด้วยความเชื่อ ความสามารถในการพูด ความรู้ ความกระตือรือร้น และความรักที่มีต่อเรา ก็ขอให้ท่านเต็มด้วยพระคุณในการให้เช่นกัน
2 โครินธ์ 8:8
ข้าไม่ได้ออกคำสั่ง แต่เพียงต้องการพิสูจน์ความรักของท่านว่าจริงใจหรือไม่เมื่อเทียบกับความกระตือรือร้นของคนอื่น

2 โครินธ์ 8:9
เพราะว่า พวกท่านต่างรู้ถึงพระคุณของพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราว่า แม้พระองค์ทรงมั่งคั่ง แต่ทรงยอมเป็นคนยากจนเพื่อเห็นแก่ท่านเพื่อพวกท่านจะได้กลายเป็นคนมั่งคั่งเนื่องจากความยากจนของพระองค์

2 โครินธ์ 8:10-11
เรื่องนี้ ข้ามีความเห็นที่เป็นประโยชน์กับท่านว่า ปีที่แล้วท่านเป็นคนกลุ่มแรกที่ลงมือทำการนี้ ทั้งยังมีน้ำใจที่จะทำด้วย
บัดนี้ ท่านควรทำให้สำเร็จ ในเมื่อมีใจพร้อม ท่านก็จะได้ทำให้สำเร็จตามความสามารถของท่าน
2 โครินธ์ 8:12
เพราะหากมีน้ำใจพร้อมอยู่แล้วพระเจ้าจะทรงรับเท่าที่เขามีอยู่ ไม่ใช่ตามที่เขาไม่มี

2 โครินธ์ 8:13-14
เพราะข้าไม่ได้หมายความว่า คนอื่นจะงานเบาลง ส่วนท่านมีภาระหนักขึ้น แต่เป็นเรื่องของการเอื้อเฟื้อต่อกัน การที่ท่านมีเกินพอในเวลานี้ ท่านควรจะไปช่วยคนที่ต้องการและเมื่อเขามีเกินพอเขาจะได้ช่วยท่านเมื่อท่านขัดสน
2 โครินธ์ 8:15
ตามที่มีบันทึกว่า “คนที่เก็บไว้มากก็ไม่มีเหลือส่วนคนที่เก็บได้น้อยก็ไม่ขัดสน”

2 โครินธ์ 8:16-18
แต่ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงทำให้ใจทิตัสมีพลังใจห่วงใยท่านเหมือนที่เรามีต่อท่านเพราะไม่เพียงแต่เขาตอบรับคำขอร้องจากเราเท่านั้น แต่เขาไปหาท่านด้วยใจกระตือรือร้นของเขาเอง และเราได้ส่งพี่น้องคนหนึ่งที่มีชื่อเสียงในการประกาศข่าวประเสริฐตามคริสตจักรไปกับเขาด้วย
2 โครินธ์ 8:19
ไม่เพียงเท่านั้น แต่เขาได้รับการแต่งตั้งจากคริสตจักรต่าง ๆ เพื่อให้เดินทางไปกับเรา เป็นผู้ร่วมงานในขณะที่เราทำการแห่งพระคุณนี้ เพื่อถวายพระเกียรติสิริแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า และเพื่อแสดงถึงความปรารถนาดีของเรา

2 โครินธ์ 8:20-21
เราจำเป็นต้องระมัดระวังตัวไม่ให้ใครติเตียนได้ ในเรื่องของเงินถวาย
มากมายที่รับมาเพื่อจัดการส่งต่อ
นั้นเพราะเรามีเป้าหมายที่จะเป็นคนซื่อตรงไม่ใช่ในสายพระเนตรพระเจ้าเท่านั้นแต่ในสายตาของมนุษย์ด้วย
2 โครินธ์ 8:22
และเราให้พี่น้องคนหนึ่งมากับเขาทั้งสองคนนี้ เราได้ทดสอบบ่อย ๆ ว่า
เขากระตือรือร้นในหลาย ๆ เรื่องและตอนนี้เขายิ่งเอาจริงเอาจังมากขึ้น
เพราะเขามั่นใจในพวกท่านมาก
2 โครินธ์ 8:23-24
ส่วนทิตัสเอง เขาเป็นคู่หู เพื่อนร่วมงานของข้าเพื่อประโยชน์ของท่านทั้งหลายส่วนพี่น้องทั้งสองนั้นเป็นผู้สื่อสารจากคริสตจักรทั้งหลายเพื่อพระเกียรติของพระคริสต์ ดังนั้น จงแสดงความรักของท่าน และความภูมิใจของเราที่มีต่อท่านแก่พวกเขา เพื่อคริสตจักรต่าง ๆ จะได้เห็น

2 โครินธ์ 8:1-2
ข่าวประเสริฐจะเปลี่ยนแปลงชีวิตของคนที่พบพระเจ้าจริง ๆ แต่ก่อนนี้ พี่น้องในเยรูซาเล็มได้ส่งคนของพระเจ้าออกไปประกาศในมาซิโดเนีย
พวกเขาเป็นคนยากจนมาก แต่เมื่อพวกเขาพบพระเจ้าจริง ๆ แล้ว เขาก็กลับเป็นคนใจกว้าง สนใจที่จะช่วยเหลือผู้อื่น ไม่ใช่แค่สนใจเรื่องของตนเองนี่ทำให้รู้ว่า พวกเขากลับใจใหม่จริง เมื่อรู้ว่าพี่น้องในเยรูซาเล็มกำลังลำบากพวกเขาก็ยินดีจะช่วยเหลือ

2 โครินธ์ 8:3-5
สิ่งที่พี่น้องมาซิโดเนีย คือพี่น้องในเมืองฟีลิปปีเมืองเธสะโลนิกา และเบเรีย ทำคือ  ถวายตามความสามารถ ถวายเกินความสามารถ
ถวายด้วยความเต็มใจ และสิ่งที่ท่านเปาโลคาดไม่ถึงคือ การที่พวกเขาถวายชีวิตให้กับพระเจ้าก่อนที่จะมีการถวายดังกล่าวเท่ากับพวกเขารู้ว่าอะไรสำคัญที่สุดในการถวาย

2 โครินธ์ 8:6-7
ก่อนหน้านี้ ทิตัสเองได้ชักชวนให้พี่น้องโครินธ์ได้ถวายเพื่อช่วยพี่น้องในเยรูซาเล็มที่กำลังลำบาก การถวายครั้งนี้ของพวกเขา เหมาะสมยิ่งเพราะพวกเขามีทั้งความเชื่อความรู้ การพูดดี กระตือรือร้นและที่สำคัญ พวกเขารักท่านเปาโลด้วย ถ้ามีทุกอย่างแบบนี้ ก็จะเป็นการให้ที่ดีมาก จากข้อความตอนนี้ เราเห็นได้ชัดว่า พี่น้องชาวโครินธ์มีฐานะหน้าที่การงานดีพอสมควร ถึงแม้จะไม่ทุกคนก็ตาม

2 โครินธ์ 8:8
การชวนให้ถวายครั้งนี้ ไม่ได้เป็นการบังคับใจพี่น้อง แต่เป็นการสนับสนุนให้เกิดความรักและเอาใจใส่กันระหว่างคริสตจักรต่างเมือง อันที่จริง
สิ่งที่เกิดขึ้นนับได้ว่า เป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับคริสตจักรในปัจจุบันด้วย ที่จะมีการช่วยเหลือกันและกันอย่างจริงจัง ไม่ได้เกิดเพราะเป็นหน้าที่ ๆ
ต้องทำแต่เกิดจากหัวใจที่เป็นห่วง และเข้าใจว่าการทำเช่นนี้เป็นสิ่งที่ลูกของพระเจ้าจะทำเพื่อกัน

2 โครินธ์ 8:9
พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงเป็นเจ้าของทั้งจักรวาลได้เสด็จลงมาเป็นมนุษย์ เติบโตในบ้านของชายหญิงที่เป็นชาวบ้านธรรมดา พระองค์ทรงมีอำนาจสูงสุด
ปัญญาสูงสุด ฤทธิ์เดชทั้งสิ้นเป็นของพระองค์แต่เมื่อทรงมาเป็นคนเดินดิน พระองค์ก็ทรงใช้ชีวิตเหมือนคนทั่วไป พระองค์ทรงถ่อมพระองค์เป็นที่สุด
แล้วพระองค์ก็ทรงสิ้นพระชนม์เยี่ยงอาชญากรทั้งหมดนี้ เพื่อจะให้คนที่เชื่อในพระองค์ได้เป็นลูกของพระเจ้า ได้ครอบครองและเป็นผู้มั่งคั่งกับพระองค์

ถอดความจาก 2 โครินธ์ 8:10-11
สิ่งที่เป็นประโยชน์สำหรับพี่น้องโครินธ์คือ การให้ของพวกเขาเป็นเรื่องที่จะทำให้พระเจ้าทรงให้ตอบแทนแก่พวกเขานอกจากจะเป็นในชีวิตนี้ อย่างที่ฟีลิปปี 4:17 กล่าวไว้ ก็ยังจะเกิดผลดีในวันของพระเจ้าด้วย พระเจ้าจะทรงให้รางวัลกับคนที่ใส่ใจคนยากจน คนลำบาก อีกอย่างการที่เริ่มต้นสิ่งดีอะไรแล้วทำให้สำเร็จก็เป็นเรื่องที่ต้องทำ นั่นเป็นนิสัยของคนที่จะประสบความสำเร็จในทุกด้านของชีวิต

2 โครินธ์ 8:12
นี่ทำให้เรานึกถึงหญิงม่ายที่ถวายเงินเพียงเล็กน้อยแต่พระเยซูกลับทรงมองว่า เธอเป็นคนที่ให้มากที่สุด (มาระโก 12:41-44) ดูเหมือนว่าจำนวนที่
ให้นั้น สัมพันธ์กับความสามารถที่จะให้ หากไม่มีแต่พยายามไปหยิบยืมเพื่อให้มีถวาย หรือเพื่อทำตามเทรนด์ ก็คงไม่ใช่สิ่งที่ควรทำ และในทางของพระเจ้า พระคัมภีร์ก็บอกชัดว่า ให้น้อยที่สุดประมาณเท่าไรจึงจะดี นั่นคือ สิบลดหนึ่ง แต่ถ้ามากกว่านั้น ประโยชน์จะเกิดกับคนถวายเอง

2 โครินธ์ 8:13-14
ในการมีชีวิตกับพระเจ้า ไม่ได้หมายความว่าจะจนเสมอไป หรือรวยเสมอไป แต่การอยู่ในชุมชนนั้นเป็นเรื่องของการเอื้อเฟื้อเกื้อกูลกันอย่างชัดเจนพระเจ้าไม่ได้ให้เรารวยหรือจนเพื่อตนเอง แต่เมื่อเรามีที่จะเผื่อแผ่ ก็ให้ทำเป็นนิสัยเพื่อว่า เมื่อถึงเวลาจำเป็นก็จะไม่รู้สึกลำบากใจ หนักใจหรือไม่กล้าเพราะทำอยู่แล้วเป็นประจำ และได้ประสบการณ์การให้ การรับจากพี่น้องเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิต

2 โครินธ์ 8:15
ช่วงเวลาที่ท่านเปาโลเขียนจดหมายฉบับนี้อยู่พี่น้องในเมืองต่าง ๆ เผชิญกับความยากลำบากที่แตกต่างกันไป บางที่เป็นเรื่องของคนสอนผิด
บางที่เป็นเรื่องความอดอยาก บางที่ก็เป็นเรื่องของบาปที่เกิดขึ้นในหมู่พี่น้อง บ้างก็ถูกข่มเหง แต่สำหรับเรื่องฐานะ ความเป็นอยู่แล้ว หลักการ
ของพระเจ้าคือ ทุกคนมีอย่างเพียงพอ ทำให้ใช้ชีวิตไปได้อย่างไม่ลำบากเกินไป ที่เพียงพอได้เพราะแบ่งปันกัน

2 โครินธ์ 8:16-18
ทิตัสเต็มใจที่จะเดินทางไปรับเงินถวายเพื่อพี่น้องที่เดือดร้อนในเยรูซาเล็ม ไม่ต้องให้ใครใช้ไป แต่เขาอาสาที่จะทำเรื่องนี้ แต่ว่าเพื่อความปลอดภัยในเครดิตของทิตัสเองท่านเปาโลได้ให้อีกคนหนึ่งที่มีชื่อเสียงดี เป็นที่วางใจของพี่น้องไปกับทิตัสด้วย คนนี้ไม่ได้ถูกออกชื่อ แต่เป็นคนที่ไว้ใจได้จริง เราไม่ทราบว่าเป็นใครแต่สิ่งสำคัญคือ ความรอบคอบในการทำงานเรื่องการเงินของท่านเปาโลเอง

 2 โครินธ์ 8:19
พี่น้องท่านนี้ ไม่ได้เป็นคนที่มาจากไหนก็ไม่รู้แต่เป็นคนที่ใคร ๆ ในคริสตจักรรู้จักดี และยังมีความเชื่อถือในตัวเขาจนถึงกับช่วยกันแต่งตั้ง
ให้เขาเดินทางไปกับทิตัส ถือเงินไปยังกรุงเยรูซาเล็มเราจะเห็นถึงความชัดเจนในการเลือกผู้รับใช้ให้ถูกที่ถูกงานของท่านเปาโล การเลือกคนถูก
กับงาน เป็นสิ่งที่แสดงถึงความตั้งใจดี และผลงานที่ออกมาก็จะถวายพระเกียรติด้วย 

2 โครินธ์ 8:20-21
การระวังตัวที่จะให้การทำงานโปร่งใส เป็นเรื่องสำคัญ ต้องทำอย่างซื่อตรง และตรวจสอบได้ทั้งในสายพระเนตรพระเจ้า และในสายตาของมนุษย์
ท่านเปาโลบอกเราว่า เงินถวายมีเป็นจำนวนมากแสดงว่า พี่น้องชาวมาซิโดเนียได้ถวายอย่างเต็มใจเพื่อพี่น้องในเยรูซาเล็ม คนที่ทำงานระหว่างทางทุกคนจะต้องไว้ใจได้และไม่ทำให้งานของพระเจ้าเสียชื่อเสียง ทั้งในสมัยโบราณ ทั้งในสมัยนี้

2 โครินธ์ 8:22
ดูเหมือนว่า สองคนยังไม่เป็นที่สบายใจในสายตาของท่านเปาโล ท่านยังให้พี่น้องอีกคนมากับทั้งสองด้วย นับได้ว่า ท่านระมัดระวังและรอบคอบจริง ๆกับเรื่องนี้ เป็นตัวอย่างที่ดีของการดูแลเรื่องเงินถวายในคริสตจักร ให้ไปถูกที่ ให้ถึงครบจำนวนให้เป็นที่ชื่นชม ไม่มีใครครหาได้ เราอาจไม่คาดว่าท่านเปาโลจะจริงจังในเรื่องการเงินถึงเพียงนี้ แต่ท่านยังมีเรื่องที่จะคุยต่อไปอีก เราต้องติดตามกันต่อไป

2 โครินธ์ 8:23-24
เอาล่ะ ทีนี้ เราเห็นว่า ท่านเปาโลได้ให้ความรับผิดชอบต่อทั้งผู้รับใช้ซึ่งเป็นตัวแทนของท่าน และกับพี่น้องในคริสตจักรด้วย ทั้งสองฝ่ายต่างต้องให้เกียรติกันและกัน ร่วมมือกันเพื่องานของพระเจ้า การทำงานด้วยกันนั้น ต้องมีความไว้เนื้อเชื่อใจและการนับถือกันและกัน ตัดทิ้งเรื่องใครเก่งกว่า ใครดีกว่าออกไป ต้องไม่คิดเล็กคิดน้อยเรื่องนั้น ท่านบอกให้พี่น้องทำสิ่งที่ถูกต้องเพราะถ้าเราย้อนกลับไปดู 1 โครินธ์เราจะเห็นว่า น่าเป็นห่วงเหมือนกัน

พระคำเชื่อมโยง

2* มาระโก 12:44
4* โรม 15:25-26
5* โรม 12:1-2; เอเฟซัส 6:6
6* 2 โครินธ์ 8:17; 12:18
7* 1 โครินธ์ 1:5; 12:13; 2 โครินธ์ 9:8

8* 1 โครินธ์ 7:6
9* ฟีลิปปี 2:6-7; โรม 9:23
10* 1 โครินธ์ 7:25, 40; ฮีบรู 13:16;
2 โครินธ์ 9:2
12* มาระโก 12:43-44
15* อพยพ 16:18

18* 2 โครินธ์ 12:1819* 1 โครินธ์ 16:3,4 ; 2 โครินธ์ 4:15
21* โรม 12:17
23* 2 โครินธ์ 7:13-14; ฟีลิปปี 2:25
24* 2 โครินธ์ 7:4, 14; 9:2