1 เธสะโลนิกา มี 5 บท

ตัวอย่างที่เยี่ยมยอด

การรับใช้ของท่านเปาโล

กำหนดให้ทนทุกข์

คำขอร้องในการใช้ชีวิต

วันขององค์พระผู้เป็นเจ้า

1 เธสะโลนิกา 5 วันขององค์พระผู้เป็นเจ้า

พี่นองทั้งหลาย เรื่องของเวลาและฤดูนั้น เราไม่จำเป็นต้องเขียนบอกท่าน เพราะท่านรู้ดีว่า วันขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะมาถึงเหมือนขโมยยามค่ำคืน ขณะที่ผู้คนกล่าวว่า “เป็นสุข ปลอดภัย” หายนะจะมาถึงพวกเขาทันควัน เหมือนหญิงเจ็บท้องคลอดบุตร และพวกเขาจะหนีไม่พ้น
1 เธสะโลนิกา 5:1-3

กิจการ 1:7, มาระโก 13;30-32, 2 เปโตร 3:10,มัทธิว 24:3, ลูกา 21:34-35, 2 เปโตร 2:4

การเสด็จกลับมาของพระเยซูนั้น มีสัญญาณบอกว่า ใกล้แล้วนะ จะมาแล้ว แต่ไม่ได้มีบอกวันเวลาที่ชัดเจน “วันขององค์พระผู้เป็นเจ้า” หมายถึง วันที่พระเจ้าจะเสด็จเข้ามาแทรกในกิจวัตรประจำวันของมนุษย์ ทรงเข้ามาเพื่อพิพากษา และช่วยกู้คนของพระองค์

แต่ว่าพี่น้องทั้งหลายไม่ได้อยู่ในความมืด เพื่อว่าวันนั้นจะไม่มาถึงราวกับโจรบุกเข้ามา เพราะพวกท่านเป็นลูกของความสว่าง ลูกของกลางวัน เราไม่ได้เป็นของกลางคืน ไม่ได้เป็นของความมืด
1 เธสะโลนิกา 5:4-5

โคโลสี 1:13,2 เปโตร 3:10,เอเฟซัส 5:8,ยอห์น 12:36

ในบทที่ 4 ข้อ 13-17 ท่านเปาโลได้บอกแล้วว่า การเสด็จมาของพระเจ้าจะเป็นอย่างไร พวกเขาจึงมีความเข้าใจดีการบอกว่า “เป็นลูกของ” หมายถึงว่าเป็นแบบนั้น พวกเขาเป็นของพระเจ้าแล้ว ไม่เป็นของมารอีกต่อไป

ดังนั้น เราอย่าหลับใหลเหมือนคนอื่น แต่จงตื่นตัว มีสติ ไม่เมาค้าง เพราะคนที่หลับ ก็หลับในเวลากลางคืน คนที่เมา ก็เมาในเวลากลางคืน
1 เธสะโลนิกา 5:6-7

1 เปโตร 1:13, ลูกา 22:46, มัทธิว 24:42,2 เปโตร 2:13, 1 โครินธิ์ 15:34, โรม 13:13

สิ่งสำคัญสำหรับพี่น้องคือ ตื่นตัวและรู้ตัวเสมอ เราต้องคอยดูว่า เมื่อไรผู้ต่อต้านพระคริสต์จะมาปรากฏตัว และทั้งต้องรอคอยพระเจ้าให้พร้อม

แต่ในเมื่อเราเป็นของกลางวัน ให้เราไม่เมามาย และสวมโล่แห่งความเชื่อและความรักป้องกันอกไว้ และสวมหมวกแห่งความหวังในความรอด 1 เธสะโลนิกา 5:8

1 เปโตร 1:13, โรม 13:12-13,อิสยาห์ 59:17, เอเฟซัส 6:11

เหมือนทหารที่ต้องปกป้องตนเอง พวกเขาจะต้องปกป้องชีวิตด้วยความเชื่อ ความรัก และความหวังในพระเจ้า สามประการนี้สำคัญยิ่งที่จะทำให้เรามั่นคงจนถึงวันนั้น

เพราะว่าพระเจ้าไม่ได้ทรงเตรียมเราไว้เพื่อพระพิโรธ แต่เพื่อรับความรอดโดยพระเยซูคริสต์เจ้า ผู้สิ้นพระชนม์เพื่อเรา เพื่อว่า ไม่ว่าเราจะตื่นหรือหลับเราก็จะมีชีวิตกับพระองค์ ดังนั้นให้เราหนุนใจกันและกัน สร้างเสริมกันและกันอย่างที่ท่านกำลังทำอยู่
1 เธสะโลนิกา 5:9-11

1 เธสะโลนิกา 1:10, 3:3 กิจการ 13:48,1 เปโตร 3:18, โรม 14:8-9

ท่านเปาโลกำลังหนุนใจ ว่าผู้ที่เชื่อในพระองค์จริง ๆ จะไม่ต้องรับพระพิโรธ ทั้งนี้เป็นเพราะเราอยู่ใต้พระคุณของพระเยซูที่ทรงรับพระพิโรธแทนเราแล้ว
เราจึงหนุนใจกัน พระคำตอนนี้ให้ความหวังว่า พระเจ้าจะทรงรับเราไปเมื่อถึงวันของพระองค์

ชีวิตกับพี่น้องที่เชื่อ

เราขอร้องพี่น้องทั้งหลาย ให้ความเคารพต่อผู้ที่ลงแรงทำงานท่ามกลางพวกท่านและดูแลท่านอยู่ในพระเจ้า และเป็นผู้สอนพวกท่าน จงเคารพพวกเขาให้มากด้วยความรักเพราะงานที่เขาทำ และจงมีสันติสุขในหมู่พวกท่าน
1 เธสะโลนิกา 5:12-13

ฮีบรู 13:7,17, 1 โครินธ์ 16:18, กาลาเทีย 5:22

ท่านเปโตรกำลังกล่าวถึงผู้ที่ดูแลฝ่ายวิญญาณซึ่งทำงานอย่างขยันขันแข็ง เป็นห่วงเป็นใย เป็นผู้เลี้ยงที่ดี พี่น้องจึงควรที่จะให้เกียรติพวกเขา ไม่ใช่ทำลาย

เราขอวิงวอนท่านพี่น้องว่า ให้เตือนคนที่ไม่รับผิดชอบ หนุนใจคนที่ท้อแท้ ช่วยคนที่อ่อนแอและอดทนต่อทุก ๆ คน ดูว่า ไม่มีใครตอบแทนการชั่วด้วยการชั่ว แต่ให้ตามติดสิ่งที่ดี ทั้งเพื่อพวกท่านและเพื่อทุก ๆ คน
1 เธสะโลนิกา 5:14-15

2 ทิโมธี 4:2, โรม 14:1,1 เปโตร 3:9, 3 ยอห์น 1:11

ไม่เฉพาะให้เกียรติผู้นำที่ดีเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการดูแลพี่น้องคนอื่น ๆ อย่างเหมาะสมด้วย ในชุมชนของผู้เชื่อเราไม่ได้อยู่กันอย่างไม่สนใจกัน แต่มีความเอาใจใส่ต่อกันและกันเป็นอย่างมาก

จงยินดีอยู่เสมอ อธิษฐานไม่หยุดหย่อน ให้ขอบพระคุณในทุก ๆ สิ่ง เพราะนี่เป็นน้ำพระทัยของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์
1 เธสะโลนิกา 5:16-18

โรม 12:12, ฟีลิปปี 4:4-6, โคโลสี 4:2, 3:17 เอเฟซัส 6:18,5:20

คำสั่งให้ยินดีนั้นมีมากมายในพระคัมภีร์ เรายินดีได้เสมอเพราะรู้ว่า เราผ่านจากนรกมาได้ก็เพราะพระเจ้า หัวใจที่อธิษฐานไม่หยุดนั้น ก็เพื่อสิ่งดี ๆ จะเกิดขึ้นในชีวิตของคนอื่น การขอบพระคุณช่วยตัวเราให้เป็นคนไม่บ่น มองโลกอย่างมีความหวังเสมอ

อย่าดับไฟพระวิญญาณ อย่าดูหมิ่นคำเผยพระคำ จงพิสูจน์ทุกสิ่ง และยึดสิ่งที่ดีเอาไว้ ให้หลีกหนีความชั่ว
1 เธสะโลนิกา 5:19-22

เอเฟซัส 4:30, 1 ทิโมธี 4:14, 1 โครินธ์ 14:22-25, 1 ยอห์น 4:1, เอเฟซัส 5:10, ฟีลิปปี 4:8

การดับไฟพระวิญญาณคือการขัดขวางการทำงานของพระเจ้าในชีวิตของตัวเองและคนอื่น เหมือนกับเอาน้ำไปดับไฟ เราจำต้องตามพระวิญญาณไม่ใช่ตามใจตัวเอง และเราต้องระวังที่จะไม่เชื่อทุกสิ่งที่ใคร ๆ กล่าวออกมา ต้องพิสูจน์ ต้องชัดเจน

บัดนี้ ขอให้พระเจ้าแห่งสันติสุขทรงชำระท่านให้สะอาดหมดจด และขอให้จิตใจ และวิญญาณและร่างกายของท่านถูกรักษาไว้ไม่ให้มีข้อตำหนิใด ๆ จนถึงวันที่พระเยซูคริสต์เจ้าเสด็จกลับมา พระองค์ผู้ทรงเรียกท่านทรงซื่อตรง และพระองค์จะทรงทำสิ่งนั้นให้สำเร็จ
1 เธสะโลนิกา 5:23-24

ยูดา 1:24, 1 โครินธ์ 1:8-9, 1 เปโตร 5:10, 2 เธสะโลนิกา 3:3, กันดารวิถี 23:19

ในข้อนี้เราเห็นชัดเจนว่า เราต้องสะอาดทั้งกาย จิตใจและจิตวิญญาณ ทั้งสามส่วนนี้มีความสัมพันธ์กับพระเจ้าในด้านต่างกัน วิญญาณของเราสื่อสารกับพระเจ้า จิตใจของเราใคร่ครวญเรียนรู้จากพระเจ้า ร่างกายของเราเป็นพระวิหารของพระวิญญาณ

พี่น้องทั้งหลาย อธิษฐานเผื่อเราด้วย และทักทายกันด้วยธรรมเนียมจุบที่บริสุทธิ์ ข้อขอกำชับท่านต่อพระพักตร์พระเจ้า ให้อ่านจดหมายนี้ให้พี่น้องทั้งหลายฟัง ขอพระคุณของพระเยซูคริสต์เจ้าอยู่กับท่านทั้งหลาย อาเมน
1 เธสะโลนิกา 5:25-28

ฟิเลโมน 1:22, โคโลสี 4:3,16, โรม 16:16, 20,23

ภาพข้างบนบอกเราว่า สมัยก่อนเขาทักทายกันอย่างนี้ ต่อมาก็เป็นแก้มชนแก้ม จดหมายทุกฉบับมีการอ่านเวียนกันในคริสตจักร ขอบคุณพระเจ้าที่แม้กระทั่งเราก็ได้มีโอกาสอ่านจดหมายของท่านเปาโล

1 เธสะโลนิกา 4 คำขอร้องในการใช้ชีวิต

ที่สุดแล้ว พี่น้องทั้งหลาย เราทั้งขอร้องและหนุนใจท่านในพระเยซูเจ้าว่าขณะที่ท่านรับรู้จากเราว่า ควรดำเนินชีวิตอย่างไร จะทำให้พระเจ้าทรงพอพระทัยอย่างไร ท่านก็ควรที่จะทำอย่างนั้นมากขึ้น
1 เธสะโลนิกา 4:1

1 โครินธ์ 15:58, ฟีลิปปี 1:27,โคโลสี 1:10

ไม่ว่าความรู้เรื่องใดก็ตามในโลก ความรู้ที่ผ่านเข้ามา เมื่อเราทุ่มเทฝึก เข้าใจ ตามหา สืบค้น เราจะมีความเชี่ยวชาญในเรื่องนั้น ๆ จาก ศูนย์ไปมากขึ้น ตามลำดับ 

เพราะพวกท่านรู้ถึงคำสอนสั่งที่เราให้ไว้กับท่านตามทางของพระเยซูเจ้าว่า นี่เป็นน้ำพระทัยของพระเจ้า คือให้ท่านเป็นคนบริสุทธิ์ ไม่ทำผิดศีลธรรมทางเพศ ให้ทุกคนรู้จักควบคุมตนเองอย่างบริสุทธิ์และมีเกียรติ
1 เธสะโลนิกา 4:2-3

โรม 12:2, เอเฟซัส 5:27,1 โครินธ์ 6:15-20, โคโลสี 3:5

เรื่องความบริสุทธิ์ใจที่จะมีต่อพี่น้องนั้น ท่านเปาโลถือเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะลูกของพระเจ้าจะต้องไม่เป็นเหมือนคนในโลกที่ทำตามใจตนเอง การบังคับใจ การควบคุมตนเอง เป็นหนึ่งในผล ของพระวิญญาณ

ให้ทุกคนควบคุมร่างกายตนเองให้บริสุทธิ์และมีเกียรติ ไม่ใช่ด้วยตัณหาเร่าร้อนอย่างคนต่างชาติที่ไม่รู้จักพระเจ้า อย่าให้ใครล่วงเกิน เอาประโยชน์จากพี่น้องชายหญิงในเรื่องนี้ เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงลงโทษคนที่ทำผิดอย่างนั้น เราได้เตือนท่านไว้ล่วงหน้าแล้ว
1 เธสะโลนิกา 4:4-6

โรม 6:19, โคโลสี 3:5, เอเฟซัส 4:17-18, 1 โครินธ์ 15:34,2 เธสะโลนิกา 1:8

สังคมคนที่ไม่เชื่อพระเจ้าในโลกโบราณนั้น ผู้ชาย และชนชั้นสูงในสังคมเป็นใหญ่ นึกอยากจะทำอะไรก็ทำตามใจตัวเอง พวกเขาสามารถเอาประโยชน์จากคนที่ต่ำต้อยกว่าง่าย ๆ อย่างไม่รู้สึกว่าผิดแม้แต่น้อย คำสอนคริสเตียนเป็นสิ่งที่นำความเท่าเทียมกันเข้ามา

พระเจ้ามิได้ทรงเรียกเรา ให้เป็นคนหมกมุ่นทางเพศ แต่ทรงเรียกให้เป็นคนบริสุทธิ์ คนที่ไม่รับคำสั่งนี้ ไม่ได้ปฏิเสธมนุษย์แต่เป็นการปฏิเสธพระเจ้า ผู้ประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ ของพระองค์แก่พวกท่าน
1 เธสะโลนิกา 4:7-8

เลวีนิติ 11:44, ฮีบรู 12:14,

เมื่อพระวิญญาณทรงเข้ามาประทับในชีวิตของใครคน ๆ นั้น ก็เป็นดั่งพระวิหารของพระองค์ แต่ในเวลาเดียวกัน ความต้องการของตนเองไม่ได้หายไป แต่เป็นโลกใหม่ที่จะต้องรู้จักควบคุมตนเองเป็นชีวิตที่ต้องตายต่อความต้องการด้านลบของตนเอง

ชีวิตพี่น้องในพระคริสต์

เราไม่ต้องเขียนเรื่องการรักพี่น้องถึงท่านอีก เพราะพระเจ้าทรงสอนให้รักกันและกัน ที่จริง ท่านก็รักพี่น้องทั่วแคว้นมาซิโดเนียอยู่แล้วแต่เราขอหนุนใจให้ท่านรักมากขึ้นกว่าเดิม
1 เธสะโลนิกา 4:9-10

เยเรมีย์ 31:33-34, ยอห์น 6:45,15:12,17, มัทธิว 22:39, 1 เธสะโลนิกา 3:12

ในเมื่อรู้แล้วว่า จะทำให้พอพระทัยพระเจ้าได้ อย่างไร ก็ขอทำให้มากขึ้น ตรงนี้ รักกันอยู่แล้ว ขอให้รักมากขึ้น

จงตั้งใจแน่วแน่ว่าจะใช้ชีวิตอย่างสงบ เอาใจใส่การงานของตน ลงมือทำงานด้วยมือของตนเองเหมือนอย่างเคยเราบอกท่านไว้เพื่อท่านจะเป็นที่นับถือของคนภายนอกไม่ต้องพึ่งพาอาศัยใครเลย
1 เธสะโลนิกา 4:11-12

2 เธสะโลนิกา 3:11, 1 เปโตร 4:15, กิจการ 20:35,โรม 13:13, โคโลสี 4:5

ชีวิตคริสเตียนไม่มีคำว่าพอแล้ว ดีพอ แต่จะต้องใช้ชีวิตให้ดีขึ้นกว่าเดิม แม้จะอายุมากขึ้นก็ทำเฉื่อยชาไม่ได้ แต่ให้ ทำสิ่งที่พอพระทัยมากขึ้น ไม่มีขอบเขต ที่ว่าไม่พึ่งพาในข้อนี้คือ ไม่ทำตัวเป็นปลิงกินแรงคนอื่นเพื่อให้ตัวอยู่รอด

เรื่องการเสด็จมาครั้งที่สอง

แต่ข้าไม่อยากให้ท่านไม่รู้สถานะของผู้ที่ล่วงหลับไปเพราะท่านอาจจะเศร้าใจเหมือนคนที่ไม่มีหวัง หากเราเชื่อว่าพระเยซูสิ้นชีพและคืนชีพขึ้นมา พระเจ้าจะทรงนำคนที่ล่วงหลับในพระเยซูกลับมาพร้อมกับพระองค์
1 เธสะโลนิกา 4:13-14

1 โครินธ์ 15:20-23, เอเฟซัส 2:12

เมื่อพระเยซูเสด็จกลับมาอีกครั้งนั้น พระองค์จะทรงนำผู้เชื่อที่สิ้นชีวิตก่อนหน้านี้มาพร้อมกับพระองค์ด้วย วันที่พเสด็จมาจึงเป็นวันชุมนุมครั้งใหญ่ของผู้เชื่อที่สิ้นชีวิตไปนานมาแล้ว ทั้งโลกและสวรรค์จะเห็นไปพร้อม ๆ กัน วิญญาณมากมายจะมากับพระองค์

เราขอบอกท่านตามพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้าว่า พวกเราที่ยังมีชีวิตอยู่ตอนนี้ และกำลังรอองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมา จะไม่ไปก่อนเหล่าผู้ที่ล่วงหลับอย่างแน่นอน
1 เธสะโลนิกา 4:15

2 โครินธ์ 12:1, กาลาเทีย 1:12, 1 โครินธ์ 15:51-52, 1 เธสะโลนิกา 5:10

จากข้อนี้ไปถึงข้อสิบแปด เป็นการเรียงลำดับเหตุการณ์ในเวลาที่พระเยซูเสด็จกลับมา อะไรก็ตามที่พระเจ้าตรัสว่าจะเกิด มันจะเกิดขึ้นแน่นอน

เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าเองจะเสด็จมาจากสวรรค์ พร้อมเสียงดังกึกก้อง ด้วยเสียงของอัครทูตสวรรค์ ด้วยเสียงแตรของพระเจ้า และคนที่ตายในพระคริสต์จะคืนชีพขึ้นมาก่อน
1 เธสะโลนิกา 4:16

มัทธิว 24:30-31, 1 โครินธ์ 15:52,23,
2 เธสะโลนิกา 2:1, วิวรณ์ 14:13, 20:6

ในสมัยพระคัมภีร์ใหม่ เมื่อกษัตริย์เสด็จออก จะมีเสียงตะโกนและเสียงแตรนำหน้าพระองค์ การเสด็จกลับมาของพระเยซูจะเป็นเช่นนั้น แม้ว่าจะทรงแบบที่เราไม่ทั้งตั้งตัว พระองค์จะไม่มาเงียบ ๆ แต่จะมีเสียงสนั่นที่ทั้งโลกได้ยิน

แล้วต่อมา คนที่ยังมีชีวิตและคงอยู่ในโลกนี้จะถูกรับขึ้นไปในหมู่เมฆพร้อมกับพวกเขาเราจึงจะได้อยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นนิตย์ ดังนั้น จงหนุนใจกันและกันด้วยถ้อยคำเหล่านี้
1 เธสะโลนิกา 4:17-18

1 โครินธ์ 15:51-53, 1 เธสะโลนิกา 5:10, ดาเนียล 7:13, กิจการ 1:9, วิวรณ์ 11:12

นี่เป็นลำดับการเสด็จมาและการรับผู้เชื่อขึ้นไป พระเจ้าทรงวางลำดับเหตุการณ์ให้เห็นว่า อะไรมาก่อนมาหลัง พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าที่ทรงบอกตั้งแต่ต้นจนจบมาตั้งแต่เริ่มแรก เราจึงวางใจได้ว่า เหตุการณ์จะเรียงลำดับตามนั้น