กาลาเทีย 2 ปกป้องความจริงเรื่องพระคุณ

ท่านเปาโลกล่าวถึงการที่พระเยซูทรงเปิดเผยพระกิตติคุณแก่ท่าน

จากนั้น สิบสี่ปีต่อมา ข้าขึ้นไปเยรูซาเล็มอีกครั้ง พร้อมกับ
บารนาบัส และพาทิตัสไปด้วย ข้าไปเพราะพระเจ้าทรงสำแดงและได้แจ้งพวกเขาว่าข้าได้ประกาศข่าวประเสริฐอย่างไรแก่คนต่างชาติ
กาลาเทีย 2:1-2ก

ทิตัส 1:4; กาลาเทีย1:18, 2:13;
กิจการ 15:25, 36-39

อีกสิบสี่ปีท่านเปาโลขึ้นไปเยรูซาเล็มพร้อมกับเพื่อนร่วมงานอีกสองท่าน บารนาบัสเป็นผู้ช่วยที่ไปไหนมาไหนกับท่านเสมอ ส่วนทิตัสเป็นผู้เชื่อชาวกรีก พระเจ้าได้ทรงบอกให้เปาโลไปพบกับผู้นำทั้งหลายที่อยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม เพื่อว่าท่านจะได้ไปรายงานว่าท่านได้ประกาศพระนามพระเยซูกับชาวต่างชาติอย่างไร นี่เป็นภาพแสดงให้เห็นถึงการเคารพต่อพี่น้องที่ทำงานมาก่อน ช่วงนี้มีเรื่องหนึ่งที่รบกวนความเชื่อ นั่นคือ มีคนอยากให้ผู้เชื่อต่างชาติเข้าสุหนัตเหมือนคนยิ

แต่ได้บอกคนที่เป็นผู้นำเป็นการส่วนตัวเท่านั้นเพื่อให้มั่นใจว่า ข้าไม่ได้กำลังวิ่งหรือได้วิ่งมาแล้วโดยไร้ประโยชน์ แต่ถึงอย่างนั้น ทิตัสที่อยู่กับข้าก็ไม่ได้ถูกบังคับให้เข้าสุหนัต แม้ว่าเขาจะเป็นคนกรีก
กาลาเทีย 2:2ข-3

กาลาเทีย 2:6; ฟีลิปปี 2:16; 1 เธสะโลนิกา 3:5; 1 โครินธ์ 9:26

ท่านเปาโลรายงานเรื่องการประกาศ คริสตจักรกับเฉพาะผู้นำที่สำคัญเพราะมียิวไม่น้อยที่ความเห็นของตนเองนั้นสำคัญยิ่งกว่าข่าวประเสริฐในหมู่พวกเขามีครูสอนผิดแทรกอยู่ด้วยและพวกนี้ทำให้เรื่องต่าง ๆ ที่ถูกกลายเป็นผิดได้. ถ้าพวกเขาอย่างจะชูประเด็นขึ้นมา
อย่างเช่นเรื่องการให้คนต่างชาติเข้าสุหนัตก็เป็นประเด็นร้อนของยิวคริสเตียนบางคน ท่านจึงพูดถึงทิตัสด้วยว่าท่านไม่ได้บังคับให้เขาเข้าสุหนัต

แต่แล้วเรื่องนี้กลับกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาเพราะพี่น้องปลอมที่แทรกตัวเข้ามาเสแสร้งอยู่ในหมู่พวกเรา เพื่อสอดส่อง
เสรีภาพที่เรามีในพระเยซูคริสต์
เพื่อจะบังคับให้เรากลับไปเป็นทาสอีก
กาลาเทีย 2:4

กิจการ 16:3; กาลาเทีย 5:2-6; 1 โครินธ์ 9:20-21

จริงด้วย มีคนที่แทรกเข้ามา ปลอมตัวเป็นผู้เชื่อเป็นพี่น้องในคริสตจักร แต่แล้วก็พยายามให้ชาวต่างชาติที่เชื่อใหม่ ทำตามแบบยิว ไม่ว่าจะเป็นการเข้าสุหนัต การกินของสะอาด การรักษาวันสะบาโตเหมือนกับคนในศาสนายิวเรื่องนี้ ท่านเปาโลมองเห็นทะลุปรุโปร่ง นั่นคือ คนเหล่านี้ไม่ยอมรับการไถ่บาปของพระเยซู การเชื่อในพระนามของพระองค์ว่า เป็นความรอด แต่พวกเขาคิดว่าจะต้องทำความดีทำตามกฏประเพณีดั้งเดิม เพื่อให้รอดนี่คือการกลับไปเป็นทาส!

แต่เราจะไม่ยอมตามพวกเขา
แม้แต่ขณะเดียว
เพื่อว่าความจริงแห่งข่าวประเสริฐ
จะได้คงอยู่กับท่าน
กาลาเทีย 2:5

ยูดา 1:4; กาลาเทีย 5:1, 12-13; 4:9-10; 2 โครินธ์ 11:26

แต่เราจะไม่ตามคนที่คิดเบี่ยงเบนไปจากข่าว
ประเสริฐของพระเยซูที่ตรัสด้วยพระองค์เองว่า
“เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ
แต่มีชีวิตนิรันดร์” นี่เป็นเงื่อนไขของการได้
รับชีวิตนิรันดร์จากพระเจ้า ไม่ใช่การเข้าสุหนัต
หรือทำตามกฎของศาสนายิวต่าง ๆ ที่
พยายามทำให้คนเชื่อว่าต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้จึงจะได้รับความรอด

แต่สำหรับคนที่เป็นผู้นำ (ไม่ว่าพวกเขาจะมีตำแหน่งอะไรก็ไม่สำคัญสำหรับข้าพระเจ้าไม่ทรงโปรดปรานใครเป็นพิเศษ
อยู่แล้ว) ผู้นำเหล่านั้น ไม่ได้เพิ่มเติมสิ่งที่ข้ากล่าวไว้
กาลาเทีย 2:6

กาลาเทีย 2:14, 4:16; โคโลสี 2:4-8, 1:5

แน่นอนว่าในทุกสังคม มีความรู้สึกเกรงใจผู้นำและจะต้องคิดตามเขา ติดตามเขา ยิ่งในสังคมสมัยใหม่ที่ว่าคนเป็นตัวของตัวเอง กลับกลายเป็นคนต้องการผู้นำที่พวกเขาจะตามได้ ต้องการกลุ่มต้องเป็นพวกกัน ไม่งั้นโดนเท
สำหรับพระเจ้าแล้ว ไม่ทรงเห็นแก่หน้าใคร
ท่านเปาโลก็เช่นกัน ถ้าคนใดทำผิดไปจากหลักการแท้จริงแล้ว ท่านจะสู้ให้เห็น และกล้าเผชิญหน้าไม่มีคำว่า กลัว หรือเกรงใจ เลย

ตรงกันข้าม เมื่อพวกเขาเห็นว่า ข้าได้ฝากข่าวประเสริฐให้กับคนที่ไม่ได้เข้าสุหนัตเหมือนที่เปโตรได้มอบภาระการประกาศ
ข่าวประเสริฐให้กับผู้ที่เข้าสุหนัต เพราะพระองค์ผู้ทรงตั้งให้
เปโตรเป็นอัครทูตนำข่าวประเสริฐไปสู่คนยิว พระองค์ก็ทรงตั้งให้ข้าเป็นอัครทูตไปยังคนต่างชาติเช่นกัน
กาลาเทีย 2:7-8

กาลาเทีย 2:2; กิจการ 10:34; 2 โครินธ์ 12:11 ; กาลาเทีย 6:3; 1 เธสะโลนิกา 2:4; กิจการ 9:15; 1 ทิโมธี 2:7; กิจการ 19:10-11; 9:15; 2 โครินธ์ 11:4-5

มีความชัดเจนในตัวท่านเปาโลว่า ท่านได้รับ
พระบัญชาจากพระเจ้าให้ไปหาคนต่างชาติ ในขณะที่ท่านเปโตรนั้นก็เหมาะกับคนยิว คนที่มีกฎเกณฑ์มาก ๆ น่าสนใจที่พระเจ้าก็ทรงบอกเปโตรหลาย ๆ ครั้งเรื่องการที่พระเจ้าทรงรักคนต่างชาติเช่นเดียวกัน อย่างเช่นเรื่องของนายร้อยโครเนลิอัสเป็นต้น

และเมื่อยากอบ เคฟาสและยอห์น ที่มีชื่อเป็นเสาหลัก ได้ตระหนักถึงพระคุณที่พระเจ้าประทานให้ ก็ได้จับมือขวาของข้ากับบารนาบัส ตกลงว่า เราจะไปหาคนต่างชาติ ส่วนพวกเขาจะไปหาคนยิว พวกเขาขอร้องเพียงว่า เราจะไม่ลืมคนจนซึ่งเป็นสิ่งที่ข้าใส่ใจอยู่แล้ว
กาลาเทีย 2:9-10

โรม 12:3; วิวรณ์ 3:12; กาลาเทีย 2:2; กิจการ 24:17; 1 ยอห์น 3:17; ฮีบรู 13:16

ได้มีการตกลงจากผู้ใหญ่ท่ามกลางหมู่ผู้เชื่อว่า
ใครจะมุ่งไปที่เป้าหมายใด แต่ไม่ว่าในสังคมไหนที่พวกเขาจะไปรับใช้ กลุ่มคนที่จะพบเสมอคือคนยากจน ซึ่งอัครทูตทุกท่านให้ความสนใจอยู่แล้ว และทำให้เรารู้ว่า พระเจ้าไม่ทรงเห็นแก่หน้าผู้ใดจริง ๆ พระองค์ทรงรักมนุษย์เหมือน ๆ กันไม่ได้เลือกที่รักมักที่ชัง ถ้าที่ใดมีการเห็นแก่คนรวยมากกว่า ก็ไม่ได้เดินตามรอยอัครทูตแล้ว

การเผชิญหน้ากับท่านเปโตร

แต่เมื่อเคฟาสมาที่อันทิโอก ข้าก็ได้คัดค้านเขาต่อหน้า เพราะเห็นได้ชัดว่าเขาทำผิดคือว่า ก่อนที่คนบางคนจากยากอบจะมาถึง เขาเคยกินอาหารกับ
คนต่างชาติแต่เมื่อพวกเขามาถึงเขากลับหยุด ทำตัวออกห่างคนต่างชาติเพราะกลัวพวกที่เข้าสุหนัต
กาลาเทีย 2:11-12

1ทิโมธี 5:20; 1 ยอห์น 1:8-10; ยากอบ 3:2; กิจการ 10:28; ลูกา 15:2; เอเฟซัส 3:6

สิ่งที่ท่านเปโตร (คือเคฟาส) ได้ทำลงไปและทำให้ท่านเปาโลต้องตักเตือนนั่นก็คือ การที่เปโตรเองทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ เพราะกลัวพวกยิวจะเล่นงานยิวคริสเตียนบางคนในสมัยของท่านก็ช่างติ ช่างว่าและทำให้อัครทูตเปโตรเองไม่อยากที่จะต่อกรด้วยคนต่างชาติที่เคยเป็นเพื่อนกินเพื่อนคุย และสนิทสนมกับท่านเปโตร กลับถูกเมินเมื่อพวกยิวบางคน(ที่สร้างปัญหา) เข้ามาพัวพัน

และคนยิวอื่น ๆ ก็ทำตัวหน้าซื่อใจคดไปกับเขา ซึ่งสิ่งนี้เองแม้กระทั่งบารนาบัสก็ยังถูกชักจูงให้หลงทำตามด้วย
กาลาเทีย 2:13

1 โครินธ์ 15:33, 5:6, 8:9; ฮีบรู 13:9; เอเฟซัส 4:14

เรื่องเลวร้ายลงไปเพราะ เมื่อผู้นำคิดอย่างไร
ผู้ตามก็จะคิดตามไป เห็นด้วย ถ้ากลัวก็กลัว
เหมือนกัน ถ้ากล้าก็กล้าตามกันไปมีหลายสิ่งที่เราคิดว่ามันถูกต้องและทำตาม ๆ กันมาโดยตลอด แต่จริง ๆ แล้วเป็นสิ่งที่ผิดก็มี
ไม่น้อย การหลีกเลี่ยงคนต่างชาติทั้ง ๆ ที่
ท่านเปโตรเป็นคนนำคนเหล่านั้นมาเชื่อพระเจ้า เป็นสิ่งที่น่าอาย บารนาบัสเองยังหลงคิดไปว่า
ไม่เป็นไรเสียด้วยซ้ำ ผู้นำจึงต้องระวังตัวเสมอ

แต่เมื่อข้าเห็นว่าพฤติกรรมของเขาไม่สอดคล้องกับความจริงของข่าวประเสริฐข้ากล่าวกับเคฟาสต่อหน้าทุกคนว่า
“หากท่านซึ่งเป็นยิว ยังทำตัวราวกับคนต่างชาติ ไม่เหมือนยิว แล้วท่านจะมาบังคับให้คนต่างชาติถือประเพณียิวได้อย่างไร?”
กาลาเทีย 2:14

กาลาเทีย 2:5; กิจการ 10:28, 15:10-11; 1 ทิโมธี 5:20

ถ้าเราจะแปลความหมายของข้อนี้เป็นสมัยใหม่ก็ประมาณนี้ “คุณทำตัวไม่สมกับเป็นผู้เชื่อ
คุณมีชีวิตแบบคนไม่เชื่อ แต่ทำไมยังพยายาม
ให้คนที่ไม่เชื่อมาประพฤติตามพระคำของพระเจ้า?”
คนที่ประกาศข่าวประเสริฐ ก็ต้องมีชีวิตตาม
ข่าวประเสริฐนั้น ถ้าไม่ ก็ต้องพิจารณาตัวเอง
แต่ส่วนใหญ่ คนที่ทำตัวหน้าซื่อใจคดแบบนี้
มักมองตัวเองไม่ออก

เราซึ่งเป็นยิวโดยกำเนิดและไม่ได้เป็นคนบาปที่เป็นคนต่างชาติ ยังรู้ว่าไม่มีใครถูกนับว่าเป็นคนเที่ยงธรรมได้โดยการทำตามธรรมบัญญัติแต่เป็นได้เพราะเชื่อพระเยซูคริสต์
กาลาเทีย 2:15-16ก

ทิตัส 3:3; เอเฟซัส 2:3; เอเฟซัส 2:11-12; ฟีลิปปี 3:9; สดุดี 143:2

การเชื่อในพระนาม พระราชกิจ พระคำของ
พระเยซูคริสต์ เป็นหนทางที่เราจะถูกนับว่า
เป็นคนชอบธรรม นั่นเป็นเงื่อนไขที่พระเจ้า
ทรงวางไว้ให้เราทั้งโลกมักคิดว่า เราเป็นคนดี
ด้วยการทำดี แต่นั่นไม่ช่วยให้เที่ยงธรรมในสายพระเนตรพระเจ้า พระเจ้าจะทรงรับว่าเราเป็นคนเที่ยงธรรมตามมาตรฐานของพระองค์ โดยเราต้องทำตามเงื่อนไขของพระองค์เท่านั้น วิธีอื่นไม่ผ่าน

และเราได้มาเชื่อในพระเยซูคริสต์เพื่อว่าเราจะได้ถูกนับว่าเป็นคนเที่ยงธรรมโดยความซื่อตรงของพระองค์ไม่ใช่ด้วยการทำตามบัญญัติเพราะเรารู้ว่า ไม่มีใครจะเป็นคนเที่ยงธรรมได้โดยการทำตามบัญญัติ
กาลาเทีย 2:16ข

โรม 3:19-28; 1 เปโตร 1:18-21; กิจการ 13:38-39

นี่เป็นประโยคที่ต่อมา เป็นการย้ำให้ผู้อ่านเข้าใจชัดเจนว่า ด้วยความซื่อตรง ด้วยความรักด้วยการที่พระเจ้าทรงทำตามพระสัญญา
ตั้งแต่วันที่อาดัมเอวาฝืนพระบัญชา พระเยซูจึงเสด็จมาในโลก และสิ้นชีพเพื่อรับโทษบาปของมนุษย์แทนพวกเขา บัญญัติมีไว้ให้รู้ว่า
เธอทำผิดแบบนี้ไง ทำผิดแบบโน้นไง
แต่ที่จะพ้นโทษของการผิดต่าง ๆ เหล่านั้น
ต้องทำตามเงื่อนไขของพระเจ้าผู้เดียว

แต่หากขณะที่เราพยายามที่จะถูกนับเป็นผู้เที่ยงธรรมโดยพระคริสต์ กลับพบว่าเราเองเป็นคนบาป นี่หมายความว่าพระคริสต์เป็นผู้สนับสนุนให้ทำบาปอย่างนั้นหรือ ไม่ใช่แน่นอน!
กาลาเทีย 2:17

โรม 6:1-2, 11:7; กาลาเทีย 2:15; 1 ยอห์น 3:8-10

พระคำข้อนี้อ่านแล้วไม่เข้าใจในทันที ต้องกลับมาอ่าน ทบทวนว่าเราจะเข้าใจถูกต้องตามที่ผู้เขียนต้องการสื่อหรือไม่การที่พระเยซูทรงยกโทษบาปให้นั้น ไม่ได้หมายความว่าทรงส่งเสริมบาป แต่พระองค์ทรงบอกเราทั้งหลายเหมือนกับทรงบอกหญิงคนหนึ่งที่
ถูกลากมาเพื่อจะเอาหินขว้างให้ตายว่า“ เราไม่เอาโทษเจ้า ไปเถิด และอย่าทำบาปอีกเลย”
ยอห์น 8:1-11

หากว่าข้าสร้างสิ่งที่ข้าทำลายไปแล้วขึ้นมาใหม่ ก็แสดงว่า
ข้าเป็นคนที่ละเมิดพระบัญญัติ
กาลาเทีย 2:18

กาลาเทีย 4:9-12, 2:4-5, 2:12-16; โรม 14:15

สิ่งที่ถูกทำลายคือความคิดที่ว่าจะเป็นที่พอพระทัยพระเจ้าได้ด้วยการทำตามบัญญัติ ตามกฎที่มีอยู่ตามขนบประเพณี ที่สร้างเอาไว้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกศาสนาคิด ท่านเปาโลทำลายความคิดนั้นไปแล้วท่านจะไม่รื้อมันขึ้นมาอีกเพราะพระเจ้าทรงพอพระทัยเมื่อมนุษย์เชื่อสิ่งที่พระองค์ตรัส เชื่อสิ่งที่พระองค์บัญชา ถ้าท่านเปาโลยังคิดแบบนั้น ท่านก็ผิดแล้ว!

เพราะโดยบัญญัติ ข้าตายต่อบัญญัติแล้วเพื่อว่าข้าจะมีชีวิตอยู่เพื่อพระเจ้าข้าถูกตรึงไว้กับพระคริสต์ ข้าจึงไม่ได้มีชีวิตอยู่ต่อไป แต่พระคริสต์ทรงมีชีวิต
ในข้า ชีวิตที่ข้ามีอยู่ในกายนี้ข้ามีได้โดยความเชื่อในพระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงรักข้าและประทานพระองค์เองเพื่อข้า
กาลาเทีย 2:19-20

โรม 7:4,6:11;6:2;3:19-20; 1 เธสะโลนิกา 5:10; 2 โครินธ์ 5:15; 5:24; 4:10-11

บัญญัตแจ้งว่าท่านเป็นคนที่ผิดต่อพระเจ้า
ไม่ได้ทำให้ท่านเป็นคนเที่ยงธรรม การรักษาบัญญัติเพื่อรอดกลับกลายเป็นโซ่รัดที่ทำให้เป็นทาสบัญญัติ ตอนนี้ท่านได้ถูกลงโทษบนไม้กางเขนพร้อมกับพระเยซูไปแล้วท่านตายต่อบัญญัติเมื่อพระเยซูทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ซึ่งทำให้ท่านมีชีวิตที่เปลี่ยนไป
ชีวิตเดิมใต้บัญญัติตายไป แต่มีชีวิตใหม่กับพระเยซู

ข้ามิได้ทิ้งพระคุณของพระเจ้าไป
เพราะหากความเที่ยงธรรมมาได้โดยการทำตามบัญญัติ
การสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์
ก็ไร้ประโยชน์
กาลาเทีย 2:21

โรม 11:6; กาลาเทีย 3:21; ฮีบรู 7:11; 1 โครินธ์ 15:14

ถ้าเราสามารถเป็นคนเที่ยงธรรมโดยตัวเองได้
เราก็ไม่ต้องการพระเยซูที่ทรงสิ้นพระชนม์บน
ไม้กางเขน แต่ความจริงคือไม่มีใครทำได้ด้วยตัวเอง ..เพราะพระเยซูองค์เดียวทรงเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิตไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้ยกเว้นมาทางพระเยซู