โรม 8 ได้เป็นลูกของพระเจ้า!

โรม 8:1-2
ดังนั้น บัดนี้  จึงไม่มีการลงโทษแก่คนทั้งหลายที่อยู่ในพระเยซูคริสต์  (5:16,18) เพราะกฎของพระวิญญาณแห่งชีวิตโดยทางพระเยซูคริสต์ได้ปลดปล่อยให้ท่านเป็นอิสระจากกฎแห่งบาปและความตาย

โรม 8:3
เพราะพระเจ้าได้ทรงทำสิ่งที่บทบัญญัติทำไม่ได้เนื่องจากธรรมชาติบาปทำให้อ่อนพลังไป   โดยการส่งพระบุตรของ
พระองค์ลงมา โดยทรงสภาพเดียวดั่งคนบาป* ให้เป็นเครื่องบูชาไถ่บาป เท่ากับพระเจ้าทรงลงโทษบาปในมนุษย์

โรม 8:4
เพื่อว่า สิ่งที่บทบัญญัติเรียกร้องจากเรานั้นจะได้สำเร็จครบในตัวเรานั่นคือ   เราไม่ได้ดำเนินชีวิตตามธรรมชาติบาปของเรา
แต่ตามองค์พระวิญญาณ

โรม 8:5-6
เพราะคนที่ใช้ชีวิตตามธรรมชาติบาปก็จะจดจ่อกับสิ่งที่เป็นของธรรมชาติบาป แต่คนที่ใช้ชีวิตตามพระวิญญาณก็จะจดจ่อ
กับสิ่งที่เป็นของพระวิญญาณ เพราะสิ่งที่ตามมาจากการจดจ่อกับธรรมชาติบาปก็คือความตาย  แต่สิ่งที่ตามมาจากการ
จดจ่อในพระวิญญาณคือชีวิตและสันติสุข

โรม 8:7-8
เพราะความคิดที่จดจ่อกับธรรมชาติบาปก็เป็นศัตรูกับพระเจ้า ไม่ยอมต่อบทบัญญัติของพระเจ้า
จริง ๆ  แล้ว ไม่สามารถยอมต่อพระองค์ได้ คนที่อยู่ใน
ธรรมชาติบาปไม่อาจเป็นที่พอพระทัย
ของพระเจ้าได้เลย

โรม 8:9
หากพระวิญญาณของพระเจ้าประทับในท่านจริง ท่านก็ไม่ได้ดำเนินชีวิตตามธรรมชาติบาป แต่ตามพระวิญญาณ 
ส่วนคนใดที่ไม่มีพระวิญญาณของพระคริสต์
เขาก็ไม่ใช่คนของพระองค์

โรม 8:10
หากพระคริสต์อยู่ในตัวท่าน แม้ว่า
ร่างกายของท่านได้ตายเพราะบาป
แต่วิญญาณยังคงมีชีวิตอยู่

เพราะความเที่ยงธรรม
(พระเจ้าทรงมองว่าท่านถูกต้องกับพระองค์)

โรม 8:11
หากพระวิญญาณของพระองค์ผู้ทรงให้พระเยซูคืนชีพจากความตายสถิตในท่าน
พระองค์ผู้ทรงทำให้พระคริสต์คืนชีพจากความตายนั้น จะประทานชีวิตให้กับสังขารอันไม่เที่ยงของท่าน โดยพระวิญญาณผู้สถิตในท่าน 

โรม 8:12 
ดังนั้น พี่น้องทั้งหลาย 
เราไม่ได้เป็นหนี้ธรรมชาติบาปในตัวเรา
ที่ทำให้เราต้องดำเนินชีวิตตาม
ความต้องการของธรรมชาติบาปนั้น

โรม 8:13-14
หากท่านดำเนินชีวิตตามที่ธรรมชาติบาปในตัวท่านต้องการ ท่านจะตายแน่นอนแต่หากท่านได้รับความช่วยเหลือจากพระวิญญาณ และทำลายการทำผิดฝ่ายร่างกาย  ท่านจะได้รับชีวิตแท้ เพราะทุกคนที่ได้รับการทรงนำจากพระวิญญาณของพระเจ้านั้น เป็นลูก ๆ ของพระองค์

โรม 8:15-16
เพราะว่าท่านมิได้รับวิญญาณทาสซึ่งนำไปสู่ความกลัวอีกครั้ง แต่ท่านได้รับพระวิญญาณแห่งการรับเป็นบุตร ซึ่งทำให้เราร้องเรียกว่า “อับบา พระบิดา”และพระวิญญาณเอง ทรงเป็นพยานกับวิญญาณของเราว่า เราเป็นลูก ๆ ของพระเจ้า


โรม 8:17
หากเราเป็นลูก ๆ ของพระเจ้า เราก็เป็นผู้รับมรดกด้วย คือเป็นทั้งผู้รับมรดกของพระเจ้า และเป็นผู้รับมรดกร่วมกับพระคริสต์  หากเรามีส่วนในการทนทุกข์กับพระองค์ เราก็จะได้มีส่วนในการรับเกียรติสิริกับพระองค์ด้วย

โรม 8:18-19
เพราะข้าเห็นว่า ความทุกข์ยากในปัจจุบัน ไม่อาจเทียบได้กับศักดิ์ศรีที่จะเปิดเผยให้เห็นในตัวเรา
เพราะสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างมา
ต่างรอคอยการปรากฏของลูก ๆ ของพระเจ้า
ด้วยใจจดใจจ่อ


โรม 8:20-21
เพราะสรรพสิ่งที่ทรงสร้างขึ้นมานั้น ถูกกำหนดให้อยู่อย่างไร้ประโยชน์ มิใช่เพราะจำยอมเอง แต่เป็นเพราะพระเจ้าทรงตั้งพระทัยให้เป็นไปเช่นนั้น โดยมีความหวัง เพราะว่าสรรพสิ่งทั้งหลายจะได้รับการปลดปล่อยจากการเป็นทาสความทรุดโทรมเข้าไปสู่อิสรภาพอันรุ่งโรจน์ของลูก ๆ ของพระเจ้า

8:22-23
เพราะเรารู้ว่า สรรพสิ่งทั้งสิ้นคร่ำครวญเผชิญความทุกข์ยาก ราวกับการคลอดบุตรจนกระทั่งวันนี้ ไม่เพียงเท่านั้น แต่เราเองผู้ที่มีผลแรกแห่งพระวิญญาณก็ยังคร่ำครวญในใจขณะที่เรารอคอยการที่จะทรงรับเราเป็นบุตรอย่างจดจ่อคือการไถ่ร่างกายของเรา

โรม 8:24-25
เพราะเราได้รับความรอดด้วยความหวังนี้
ความหวังที่เห็นแล้ว ไม่ใช่ความหวัง
ใครล่ะ จะหวังในสิ่งที่เห็นอยู่แล้ว?แต่เรากำลังหวังในสิ่งที่เรายังมองไม่เห็นและเราจึงรอคอยอย่างอดทน

 โรม 8:26
ยิ่งกว่านั้น พระวิญญาณทรงช่วย
เมื่อเราอ่อนแอ
เราไม่ทราบว่า
เราควรจะอธิษฐานอย่างไร แต่
พระวิญญาณทรงทูลต่อพระเจ้าเพื่อเรา
ด้วยการคร่ำครวญที่ไม่อาจอธิบายเป็นคำพูดได้


โรม 8:27
พระเจ้าผู้ทรงเห็นสิ่งที่อยู่ในใจมนุษย์
และทรงรู้ว่ามีอะไรในพระทัยของพระวิญญาณบริสุทธิ์
เพราะพระวิญญาณ
ทรงอ้อนวอนต่อพระเจ้าเพื่อวิสุทธิชน
ของพระองค์ตามที่พระเจ้าทรงประสงค์

โรม 8:28
เรารู้ว่า พระเจ้าทรงทำให้ทุกสิ่ง
เป็นไปเพื่อสวัสดิภาพของคนที่รักพระองค์
พวกเขาเป็นคนที่พระองค์ทรงเรียก
ตามพระประสงค์ของพระองค์

โรม 8:29
เพราะสำหรับพวกเขาที่พระองค์ทรงรู้มาก่อน 
พระองค์ก็ทรงเลือกเขาไว้ล่วงหน้าเพื่อให้มีลักษณะเป็น
เหมือนพระบุตรของพระองค์ 
เพื่อว่าพระเยซูจะทรงเป็นบุตรหัวปีของพี่น้องอีกเป็นอันมาก

โรม 8:30 
ยิ่งกว่านั้น คนที่พระเจ้าทรงเลือกล่วงหน้าพระองค์ก็ทรงเรียก และคนที่พระองค์ทรงเรียก พระองค์ทรงประกาศให้เขา
เป็นผู้เที่ยงธรรม(เขาพ้นผิด) และคนที่พระองค์ทรงทำให้เป็นผู้เที่ยงธรรมพระองค์ก็ประทานเกียรติสิริให้ด้วย

โรม 8:31-32
 ถ้าอย่างนั้น เราจะกล่าวว่าอย่างไร?
หากพระเจ้าทรงอยู่ฝ่ายเรา ใครจะต่อต้านเราได้? พระองค์ผู้ไม่ได้เว้นชีวิตของพระบุตรแต่ทรงมอบพระบุตรนั้นให้สิ้นพระชนม์เพื่อเราทุกคน  อย่างนั้นแล้วพระองค์จะไม่ประทานทุกสิ่งให้เราด้วยเต็มพระทัยหรอกหรือ ?

โรม 8:33
ใครจะมาฟ้องร้อง
คนที่พระเจ้าทรงเลือกไว้?
เพราะพระเจ้าทรงเป็นผู้ประกาศเองว่า
พวกเขาเป็นคนเที่ยงธรรม

(พวกเขาพ้นผิด เป็นคนถูกต้องกับพระเจ้า)

โรม 8:34
ใครจะกล่าวโทษผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกไว้ได้เล่า?
ไม่มีใคร!
เพราะพระเยซูคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์แทนแล้ว
และพระองค์ทรงคืนพระชนม์จากความตาย  
และบัดนี้ ประทับ ณ เบื้องพระหัตถ์ขวา
ของพระเจ้า กำลังทูลอ้อนวอนเพื่อเรา

โรม 8:35
ใครจะมาแยกเราจากความรัก
ของพระคริสต์ได้?
 

จะเป็นความยากลำบาก 
ความเจ็บปวด  การข่มเหง 
หรือความอดอยาก ขาดเครื่องนุ่งห่ม   
หรืออันตราย หรือ คมดาบอย่างนั้นหรือ?


โรม 8:36-37
เหมือนอย่างที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า
“เพื่อเห็นแก่พระองค์ เราจึงเผชิญกับ
ความตายตลอดเวลา เขานับว่า เราเป็น
เหมือนแกะสำหรับการสังหาร”
(สดุดี 44:22)
แต่เรายังมีชัยชนะอย่างเด็ดขาดเหนือ
สิ่งเหล่านี้ โดยพระคริสต์ผู้ทรงรักเรา


โรม 8:38-39
เพราะข้ามั่นใจว่า ไม่ว่าจะเป็นความตาย
หรือชีวิต หรือทูตสวรรค์ หรือวิญญาณชั่ว หรือ
ปัจจุบันกาล หรืออนาคตกาลหรืออำนาจ
ใด ๆ ก็ตามหรือความสูงหรือความลึก
หรือสรรพสิ่งใด ๆ ที่ทรงสร้างไม่สามารถ
แยกเราออกจากความรักของพระเจ้าซึ่งมี
อยู่ในพระเยซูคริสต์เจ้าของเราได้



โรม 8:1-2
คำถามสุดท้ายของบทที่แล้วคือ ใครจะช่วยให้พ้นจากร่างแห่งความตายได้? เพราะเปาโลรู้ดีว่าธรรมชาติบาปในตัวนั้น พาให้ชีวิตไปทำบาปซึ่งนำ
ไปสู่ความตาย  และคำตอบก็คือ เมื่อเราอยู่ในพระคริสต์ นั่นคือเมื่อเราสำนึกบาป กลับใจ เชื่อวางใจ ติดตามองค์พระเยซูคริสต์ เราก็มีชีวิตใหม่
ไม่ใช่บทบัญญัติใหม่ แต่เป็นชีวิตที่มีพระวิญญาณของพระเจ้าทรงนำ  เราจึงเป็นอิสระจากชีวิตใต้ธรรมชาติบาป มาอยู่ใต้พระวิญญาณ

โรม 8:3
สิ่งที่บทบัญญัติทำให้ได้คือแจ้งให้ทราบว่าอะไรเป็นบาป แต่บทบัญญัติไม่สามารถให้ชีวิตได้  และไม่มีอำนาจทำให้บาปสิ้นสุดลงในชีวิตของแต่ละคนบทบัญญัติอาจกระตุ้นให้เราเกิดความรู้สึกอยากทำตาม อยากเชื่อฟังพระเจ้า แต่ไปๆ มาๆ คนเราก็อ่อนกำลังเพราะธรรมชาติบาปในตัว จึงเท่ากับทำให้ทุกคนล้มเหลว รู้แต่สอบไม่ผ่านจะมีประโยชน์อะไร? พระเจ้าจึงทรงทำสิ่งที่เหลือเชื่อ คือทรงส่งพระบุตรลงมาเป็นมนุษย์เพื่อรับโทษบาปให้

โรม 8:4
การมีชีวิตกับพระเจ้าเท่ากับเราไปกับพระวิญญาณนั้นคือเราสยบต่อพระองค์ เราขึ้นอยู่กับพระองค์ ซึ่งตรงข้ามกับการเดินตามธรรมชาติบาปที่ทำตาม
ใจตัวเอง ให้บาปครองใจ การทำตามพระวิญญาณไม่ใช่ทำแบบอัตโนมัติ  แต่เป็นชีวิตที่มีการต่อสู้ระหว่างธรรมชาติบาปกับพระวิญญาณอย่างต่อเนื่อง(กาลาเทีย  5:17)  การชนะธรรมชาติบาปในตัวเราเป็นเหมือนการปล้ำสู้ที่ต้องเอาชนะให้ได้ทุกครั้ง

โรม 8:5-6
บริษัทประกันภัยที่ให้สโลแกนทำนองว่า หากคุณชอบชีวิตสไตล์ไหนก็ใช้ชีวิตแบบนั้น ไม่ว่าจะเป็นที่อันตราย ท้าทาย หรือเงียบ ๆ เมื่อถึงวันที่สิ้นชีวิตบริษัทก็จะชดเชยให้ … น่าสนใจใช่ไหม แต่บริษัทไม่อาจให้สันติสุขท่ามกลางความทุกข์ หรือให้ชีวิตนิรันดร์กับลูกค้าได้ ท่านเปาโลบอกชัดเจนว่า ชีวิตและสันติสุขได้มาด้วยการใช้ชีวิตตามพระวิญญาณของพระเจ้า  สิ่งที่ต้องทำคือ มีความคิดอย่างพระเยซูคริสต์ (ฟีลิปปี 2:5)และเอาใจใส่ให้ถูกที่ (โคโลสี 3:2)

โรม 8:7-8
คนที่ใช้ชีวิตที่ชอบตามใจตนเอง  น่าเป็นห่วงเพราะว่า ใจของมนุษย์นั้นหลอกลวงยิ่งกว่าอะไร เราคิดว่า ดีแล้ว เราคิดว่า โอเค… แต่การไม่ยอมต่อพระเจ้านั้น อันตรายที่สุด  ในข้อ 8 ท่านเปาโลกำลังคิดถึงคนที่ไม่ได้เชื่อพระเจ้าอยู่ การอยู่ในธรรมชาติบาปคือการใช้ชีวิตอย่างคนที่ไม่เชื่อมีชีวิตที่ห่างจากพระเจ้า และน้ำพระทัย เราอาจบังเกิดใหม่แล้ว แต่เราก็เผลอใช้ชีวิตอย่างคนไม่บังเกิดใหม่ได้

โรม 8:9
ผู้เชื่อในพระเจ้าทุกคน เป็นคนที่มีพระวิญญาณประทับภายใน .. แต่ธรรมชาติบาปก็ยังอยู่ในเขาบางคนไม่ได้ยอมให้ชีวิตเปี่ยมล้นด้วยพระองค์(เอเฟซัส 5:18)  ยังไม่รู้จักชีวิตที่มีพระวิญญาณหลั่งไหลออกมาไม่หยุด อย่างที่พระเยซูตรัส(ยอห์น 7:37-39) แม้เขาถูกประทับตราด้วยพระวิญญาณ(เอเฟซัส 1:13)  ให้ถามตัวเองว่าหัวใจเราโหยหาพระองค์ไหม?อยากถวายเกียรติไหม?

โรม 8:10
ร่างกายของเราทุกคนในโลก ต้องเผชิญกับความตายไม่เว้นเลย .. แต่มีความแตกต่างระหว่างคนที่เป็นของพระเจ้า กับคนที่เป็นของโลก เราจะเห็น
ชัดว่าในงานศพของคนที่เชื่อนั้น มีความหวังใจที่มั่นคงว่า วิญญาณของผู้นั้นไปอยู่กับพระเจ้าเราอยู่ในความเชื่อที่ไม่สิ้นหวัง แต่มีความหวังใจ
ในพระสัญญาของพระเจ้า ไม่ได้หวังในความดีของตนเอง แต่หวังในพระโลหิตของพระเจ้าที่ทำให้เราเป็นคนถูกต้องในสายพระเนตรของพระองค์

โรม 8:11
ข้อความนี้ชัดเจนเลยว่า พระวิญญาณผู้ทรงทำให้พระเยซูทรงคืนชีพจากความตายนั้น เป็นพระองค์เดียวกันที่จะทำให้วิญญาณจิตของเราเป็นขึ้นจากความตายเหมือนพระองค์ จากข้อนี้ เราจึงเชื่อว่าวันหนึ่งพระเจ้าจะทรงทำให้เราฟื้นขึ้นมาเหมือนพระองค์แม้ว่าร่างกายของเราจะตายไปแล้ว  ยิ่งไปกว่านั้น พระวิญญาณทรงเป็นผู้รักษาบำรุงให้ชีวิตใหม่ที่เราได้รับดำรงอยู่ตลอดไป ฟีลิปปี 3:10บอกถึงฤทธิ์แห่งการคืนชีพของพระเยซู 

โรม 8:12 
เมื่อเรามาเชื่อในพระเจ้าแล้ว ธรรมชาติบาปในตัวยังคงอยู่ พระเจ้าไม่ได้ทรงกำจัดมันออกไปจากตัวเราทั้งหมด  ตัวเราเองจึงจะต้องไม่ดำเนินชีวิต
ตามใจธรรมชาติบาปของเรา เราไม่แปลกใจเลยว่าหลายครั้ง ตัวเราเองได้ตามใจธรรมชาติบาปในตัวพระเจ้าทรงบัญชาให้เราต่อสู้กับมัน เราต้องได้รับ
การชำระจากพระเจ้าอย่างสม่ำเสมอ เราจึงยังอ่านพระคัมภีร์ อธิษฐาน สัมพันธ์สนิทกับพี่น้องเพื่อเราจะชนะได้ อ่าน ทิตัส 2:12, 2 เปโตร 1:3-11, 3:18

โรม 8:13-14
การที่เรามาเชื่อพระเจ้า แต่ยังคงดำเนินชีวิตตามธรรมชาติบาป นับเป็นเรื่องน่าเสียดายมาก บางคนคิดว่า การมาเชื่อพระเจ้าเป็นเรื่องที่พระเจ้าทรงทำ
ให้ทั้งหมด ตัวเองไม่ต้องพยายามอะไรเลย. ในข้อสี่และข้อหกของโรมบทนี้ ได้บอกเราให้ตั้งใจเดินตามพระวิญญาณ และจดจ่อต่อสิ่งที่เป็นของ
พระวิญญาณ ไม่ใช่เรื่องของโลก ท่านเปาโลยังคงเน้นย้ำชีวิตที่เป็นฝ่ายพระวิญญาณเพื่อจะได้เป็นลูกแท้ ๆ ของพระเจ้า

โรม 8:15-16
เมื่อเรามาเป็นของพระเจ้าได้รับสถานภาพใหม่ ไม่เป็นทาสบาปอีกต่อไปแต่มาเป็นลูกของพระเจ้าซึ่งจะได้รับสิทธิต่าง ๆ เหมือนกับลูกแท้ และสิทธิ
ที่เราได้รับในฐานะเป็นบุตรแท้ของพระเจ้าก็คือชีวิตนิรันดร์ เราได้เรียกพระบิดาเหมือนอย่างที่พระเยซูทรงเรียก อับบา เมื่อทรงอธิษฐาน (มาระโก 14:36) ในฐานะที่เป็นลูกของพระเจ้าเมื่อเราอธิษฐานครั้งใดต่อพระบิดา พระวิญญาณก็ทรงช่วยเราเสมอ (โรม 8:26)

โรม 8:17
ชีวิตกับพระเจ้ามีทั้งเกียรติ และการทนทุกข์ ดังนั้นเมื่อเราพบความความทุกข์ยากใด ๆ คำถามที่มักถามกันขึ้นมาคือ “เหตุใดพระเจ้าทรงให้เราทุกข์
ยากขนาดนี้? คนอื่นไม่เห็นเป็นอย่างเราเลย” พระคำข้อนี้ได้บอกเราว่า เมื่อเราทนทุกข์ร่วมกันกับพระองค์ เราจะมีส่วนในพระเกียรติของพระองค์
ด้วย นี่เป็นเหตุทำให้คริสเตียนที่ทนทุกข์สามารถผ่านอุปสรรคต่าง ๆได้ เกียรติที่ยิ่งใหญ่อีกอย่างคือ เราเป็นผู้รับมรดกของพระเจ้าร่วมกับพระคริสต์!!

โรม 8:18-19
ตอนนี้ท่านเปาโลบอกว่า ทั้งตัวท่านและสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง ต่างมองไปยังอนาคตที่เป็นนิรันดร์กาล ทั้งมนุษย์ สัตว์ พืช แผ่นดินต่างตั้งหน้าตั้งตารอคอยสิ่งที่จะมาข้างหน้า ดังนั้นความทุกข์ยาก ทรุดโทรม ความลำบากต่าง ๆ จึงเทียบไม่ได้กับศักดิ์ศรีที่จะปรากฏ  ความทุกข์ยากที่เกิดขึ้นซึ่งท่านเปาโลกล่าวถึง เป็นสิ่งที่มาเนื่องจากความเชื่อในพระเยซูคริสต์  ความทุกข์นี้รวมถึงความทุกข์ใจ ความปวดร้าวใจด้วย 

โรม 8:20-21
สรรพสิ่งถูกกำหนดให้อยู่อย่างไร้ประโยชน์ คือไร้ความหมาย ไร้ค่า การที่มนุษย์ไม่เชื่อฟังพระเจ้า ทำให้ธรรมชาติท้งปวง ไม่อาจก้าวไปถึงความเพียวพร้อมอย่างที่พระเจ้าทรงตั้งพระทัยไว้แต่ตั้น (ดูคำสาปสรรพสิ่ง ปฐมกาล 3:17-19) จึงไม่ใช่แค่มนุษย์เท่านั้นที่ต้องได้รับการไถ่จากพระเจ้า แต่รวมไปถึงสรรพสิ่งในธรรมชาติด้วย ที่เราเห็นว่ามันงดงามมาก ยังเป็นสภาพที่ทรุดโทรม ถ้าเป็นต้นแบบแรกจะงามขนาดไหน เดาไม่ออกเลย!!

โรม 8:22-23
สรรพสิ่งในธรรมชาติผ่านความทุกข์เหมือนกับหญิงคลอดบุตร เจ็บปวดเพื่อออกผล เป็นผลจากอดีตและเพื่อการช่วยกู้ในอนาคต(ข้อ 20)  ผลแรกแห่ง
พระวิญญาณ หมายถึงผลแรกที่พระวิญญาณผู้ทรงทำให้พระเยซูคืนชีพ จะทรงทำให้เราคืนชีพเช่นกัน(ย้อนกลับไปอ่าน 8:9-11)  และที่เรารอคอยอยู่คือ
ที่พระเจ้าจะทรงเปลี่ยนเรา ไถ่เราให้เป็นเหมือนพระคริสต์ พระวิญญาณทรงเป็นประกันว่ายังจะมีพระพรที่เหนือกว่าในวันนี้ให้กับเราด้วย

โรม 8:24-25
คำว่าความหวัง .. เป็นความหวังว่าสิ่งที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้จะเกิดขึ้นในอนาคตจริง เราจะได้เป็นลูกของพระเจ้าเต็มร้อย เราจะได้พบพระองค์ในพระสิริเมื่อพระองค์เสด็จกลับมา และจะได้รับการช่วยกู้จากความบาปเช่นกัน จะไม่มีธรรมชาติบาปหลงเหลืออยู่ในตัวเราอีกต่อไป ไม่ต้องสู้กับเนื้อหนังของตัวเองอีกต่อไป เราจึงรอคอยอย่างอดทนยอมสู้ เผชิญกับความทุกข์ยากทั้งสิ้น  

โรม 8:26
ระหว่างการรอคอยด้วยความเชื่อ ความหวังดังกล่าว เราก็ยังอ่อนแอ บางครั้งไม่รู้ว่าจะทูลต่อพระเจ้าในความทุกข์อย่างไร บางครั้งไม่รู้ว่าควรจะทูลอย่างไร  หลายครั้งที่ไม่เห็นภาพใหญ่ ต้นเหตุของปัญหา บางครั้งไม่รู้ว่าจะตัดสินใจทูลขออย่างไรเสียด้วยซ้ำ เพราะคำตอบที่ต้องการยังคลุมเครือ  เราคงเคยตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน  ข่าวดีมาก ๆ คือ พระวิญญาณที่ประทับในเราทรงคร่ำครวญทูลพระเจ้าแทนเรา! 

โรม 8:27
การขอตามที่พระเจ้าทรงประสงค์อยู่แล้วนั้น ทำให้เราได้รับคำตอบจากพระเจ้า (แม้บางครั้งไม่เป็นที่ถูกใจของเราสักนิด แต่ในระยะยาวเราจะเห็นประโยชน์ของคำตอบโดยตรงจากพระเจ้า ที่ไม่ใช่เราคิดเอาเอง) ถึงเราเป็นลูกของพระเจ้า แต่ก็มีบางโอกาสที่เราไม่แน่ใจว่า พระประสงค์ของพระเจ้าในบางเรื่องนั้นเป็นอย่างไร เราควรก้าวไปทางไหน แต่พระวิญญาณทรงทราบพระทัยของพระเจ้าดีจะทรงทูลขอสิ่งที่จะได้รับคำตอบ

โรม 8:28
“ทุกสิ่ง”
ในที่นี้ น่าจะหมายถึงสถานการณ์ที่ดูเป็นความทุกข์ยาก ปัญหา หรือสิ่งต่าง ๆ ที่เราไม่อยากรับ แต่ทุกสิ่งเหล่านั้นที่เกิดขึ้น เป็นไปเพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิต เพื่อสิ่งที่ดีกว่าในชีวิตของคนที่รักพระเจ้า  ทุกสิ่ง อาจหมายถึงทั้งความสำเร็จความสุขใจ ความทุกข์ที่อาจจะต้องทนไปตลอดชีวิต สิ่งที่ไม่คาดฝันว่าจะพบเจอ ความผิดหวังในตัวคนที่รัก ในการงาน  ความเจ็บปวดและความผิดหวังเหล่านั้นพระเจ้าทรงประกันว่าจะกลายเป็นดี 

โรม 8:29
คนที่พระเจ้าทรงรู้จักมาก่อน  พระองค์ทรงวางให้เขาเป็นคนที่กลายมาเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ในอนาคต ต้องเหมือนมากขึ้นทุกที  นี่เป็นอย่างหนึ่งที่ทำให้เราต้องเผชิญความทุกข์ยากต่าง ๆ เพราะความทุกข์ยากเหล่านั้น จะช่วยเปลี่ยนเราให้มีแนวคิดใหม่ มีความมั่นใจในพระเจ้าเมื่อรู้ว่า เป้าหมายของพระเจ้าคือ ทรงทำให้เรามีลักษณะเหมือนพระคริสต์  อย่างนี้ ทำให้ผู้เชื่อกล้าหาญและเผชิญทุกสิ่งได้… 

โรม 8:30 
คนหนึ่งจะได้รับการประกาศว่าเป็นคนเที่ยงธรรมหรือถูกต้องกับพระเจ้านั้น ในข้อ 29-30 นี้บอกว่าเขาผ่านสามด่านมาคือ ทรงรู้ก่อน ทรงเลือกและทรงเรียก จากนั้นทรงประกาศว่าเขาถูกต้องกับพระองค์ และเขาได้เกียรติเป็นลูกของพระเจ้า การทรงรู้ล่วงหน้า เลือกและเรียกเป็นสิ่งที่ใช้เป็นข้อถกเถียงกันมามาก  คล้ายกับว่าพระเจ้าไม่ทรงยุติธรรมที่ทรงเลือกและไม่เลือกบางคน  ต้องรับว่า มีบางอย่างที่เรายังไม่อาจได้คำตอบแบบร้อยเปอร์เซนต์

โรม 8:31-32
พระเจ้าทรงพิสูจน์แล้วว่า พระองค์ทรงอยู่ฝ่ายคนที่เชื่อในพระองค์  เราเห็นมาก่อนหน้านี้ว่า องค์พระวิญญาณก็ทรงอยู่ฝ่ายคนของพระองค์ เมื่อเขาจนตรอก ไม่รู้ว่าจะก้าวต่อไปอย่างไร จะอธิษฐานอย่างไร พระวิญญาณทรงช่วย ยิ่งกว่านั้น พระบุตรของพระเจ้าทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา พระเจ้าผู้ทรงเป็นพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทรงอยู่ฝ่ายเรา นี่เป็นเกียรติสูงส่งเพียงใดสำหรับมนุษย์เดินดินอย่างเรา

โรม 8:33
ผู้ที่เป็นเจ้าแห่งการกล่าวโทษ การฟ้องร้องก็คือมาร ยิ่งกว่านั้น บทบัญญัติก็จะกล่าวโทษคนที่ละเมิดบทบัญญัติด้วย แต่เรามั่นใจแล้วว่า พระเจ้าทรงประกาศว่า เราเป็นคนเที่ยงธรรม เราพ้นผิดเราถูกต้องกับพระองค์เพราะความเชื่อวางใจที่เรามีต่อพระองค์แล้วพระเจ้าเองไม่ทรงกล่าวโทษเรา พระองค์ทรงเป็น
ผู้กล่าวว่าเราพ้นผิด … ขอบคุณพระเจ้า

โรม 8:34
ไม่มีใครสามารถกล่าวโทษผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกไว้พระเยซูทรงรับโทษทั้งสิ้นของคนที่เชื่อในพระองค์ไปแล้ว  โทษถูกตัดสินไปแล้ว!! ดูสิว่า เรามีพระพรมากเพียงใด ที่พระบิดาเจ้าทรงฟังคำอธิษฐานอ้อนวอนเผื่อของทั้งองค์พระบุตรและคำอธิษฐานของพระวิญญาณบริสุทธิ์แทนเรา พระบุตรทรงเป็นตัวแทนของคนบาปอย่างเราต่อพระบัลลังก์ของพระบิดา.. พระคำข้อนี้ทำให้เราเข้าใจว่าพระเจ้าไม่เคยทิ้งเราสักวันเดียว

โรม 8:35
อย่างหนึ่งที่เราต้องรู้ซึ่งไม่ได้เหมือนที่หลาย ๆ คนคิดว่าพอมารู้จักพระเจ้าแล้ว ก็ไม่มีความทุกข์ใด ๆ มาแตะต้องชีวิต ความจริงคือ พระเจ้าทรงอนุญาตให้เราพบเจอความยากลำบาก ความเจ็บป่วย  ความทุกข์ใจในโลกนี้ มีคริสเตียนมากมายที่เผชิญความทุกข์ที่สาหัสมาก เพราะทั้งสิ้นทำให้ยิ่งเติบโตในพระองค์  ทำให้แกร่ง มีความมั่นใจเชื่อในพระองค์ วางใจในความยิ่งใหญ่ของพระองค์มากเกินกว่าคนที่มีชีวิตง่าย ๆ  

โรม 8:36-37
ถึงแม้ว่าผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเผชิญกับความลำบากและสิ่งที่สาหัส แต่ท่านเปาโลกลับบอกว่า เรามีชัยชนะอย่างเด็ดขาด ไม่ใช่ด้วยความสามารถเก่งกาจของเราเอง แต่พระคริสต์ผู้ทรงรักเราทรงให้พลังที่เราจะเอาชนะ ที่เราจะกล้าหาญ และพระองค์ก็จะทรงเปลี่ยนสถานการณ์ทั้งหลายให้เราตามที่พระองค์ทรงเห็นสมควร  ผู้คนของพระเจ้าอาจพบความเกลียดชัง การใส่ร้าย ดูหมิ่น  ส่วนของเราคือทำตามพระดำรัส และพระองค์จะทรงกรุณา

โรม 8:38-39
ข้อที่ผ่านมาบอกว่า เราจะมีชัยชนะอย่างเด็ดขาดหรือ เรามีชัยเหลือล้น นั่นก็คือ เราเป็นยิ่งกว่าผู้มีชัยชนะ พระเจ้าทรงเป็นผู้ให้ชัยชนะ ไม่ใช่โดยตัวของเราเอง เราจึงไม่กลัวทั้งความตายหรือสถานการณ์ใด ๆ ความรักของพระเจ้า ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่า เราได้ทำอะไรเพื่อพระองค์ แต่ขึ้นอยู่กับว่าพระคริสต์ได้สิ้นพระชนม์ด้วยความรักพระบิดาและรักเราเพื่อมนุษย์อย่างเราแล้ว  ชัยชนะอยู่ที่พระเจ้าก่อน แล้วจึงส่งต่อมาที่เรา 

พระคำเชื่อมโยง

โรม 8
1* กาลาเทีย 5: 5:16
2* โรม 6:18, 22; 1 โครินธ์ 15:45;
โรม 7:24-25
3* กิจการ 13:39; 2 โครินธ์ 5:21
4* กาลาเทีย 5:16, 25
5* ยอห์น 3:6; กาลาเทีย 5:22-25
6* กาลาเทีย 6:8
7* ยากอบ 4:4; 1 โครินธ์ 2:14
11* กิจการ 2:24; 1 โครินธ์ 6:14
12* โรม 6:7, 14
13* กาลาเทีย 6:8; เอเฟซัส 4:22
14* กาลาเทีย 5:18



15* ฮีบรู 2:15 ; 2 ทิโมธี 1:7 ;
อิสยาห์ 56:5; มาระโก 14:36
16* เอเฟซัส 1:13
17* กิจการ 26:18; ฟีลิปปี 1:29
18* 2 โครินธ์ 4:17
19* 2 เปโตร 3:13
20* ปฐมกาล 3:17-19
21* 2 โครินธ์ 3:17
22* เยเรมีย์ 12:4, 11
23* 2 โครินธ์ 5:2-5 ; ลูกา 20:36;
เอเฟซัส 1:14; 4:30
24* ฮีบรู 11:1
26* มัทธิว 20:22; เอเฟซัส 6:18
27* 1 พงศาวดาร 1 ยอห์น

28* 2 ทิโมธี 1:9
29* 2 ทิโมธี 2:19; เอเฟซัส 1:5, 11;
2 โครินธ์ 3:18; ฮีบรู 1:6
30* 1 เปโตร 2:9; 3:9;
กาลาเทีย 2:16; ยอห์น 17:22
31* กันดารวิถี 14:9
32* โรม 5:6, 10; 4:25
33* อิสยาห์ 50:8-9
34* ยอห์น 3:18; มาระโก 16:19;
ฮีบรู 7:25; 9:24
36* สดุดี 44:22
37* 1 โครินธ์  15:57
38* เอเฟซัส 1:21