คำสอนเรื่องการหย่าร้าง
(มัทธิว 19:1–12)
1แล้วพระเยซูก็ทรงละจากที่นั่น และเข้าไปในเขตแคว้นยูเดียและอีกฟากของแม่น้ำจอร์แดน
ผู้คนก็เข้ามาหาพระองค์อีก และพระองค์ทรงสอนพวกเขาอย่างที่เคย
2 มีฟาริสีบางคนมาหาเพื่อจะทดสอบพระองค์ ถามพระองค์ว่า
“ถูกต้อง ตามพระบัญญัติไหมที่ชายคนหนึ่งจะหย่าภรรยาของตน?”
3 พระองค์ตรัสตอบว่า “แล้วโมเสสได้สั่งไว้ว่าอย่างไร?”
4 พวกเขาตอบว่า “โมเสสอนุญาตให้ผู้ชายเขียนหนังสือหย่า และให้ภรรยาละจากเขาไป
5 แต่พระเยซูตรัสว่า “โมเสสเขียนคำสั่งนี้เพราะว่าพวกเขาใจแข็งนัก
6 ตั้งแต่การทรงสร้าง ‘พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์เป็นชายและหญิง‘
7 เพราะอย่างนี้ ชายจึงละจากพ่อและแม่เพื่อเขาจะได้ผูกพันกับภรรยาของเขา
8 และทั้งสองจะเป็นหนึ่งเนื้อเดียวกัน จึงไม่เป็นสองอีกต่อไป แต่เป็นหนึ่งเนื้อเดียวกัน
9 ดังนั้นสิ่งที่พระเจ้าทรงทรงผูกพันกันไว้ อย่าให้มนุษย์แยกเขาจากกันเลย”
![](https://prakham.com/wp-content/uploads/2024/04/Mark10-1-12-1024x840.jpg)
10 เมื่อพวกเขากลับมาในบ้านอีกครั้ง ศิษย์ก็ถามพระองค์เรื่องนี้
11 พระองค์ทรงบอกเขาว่า “ใครก็ตามที่หย่าภรรยาและแต่งงานกับหญิงอื่นเท่ากับล่วงประเวณีต่อเธอ
12 และหากหญิงคนใดหย่าสามีของเธอและแต่งงานกับชายอื่น เท่ากับเธอล่วงประเวณี”
พระเยซูทรงอวยพระพรเด็กเล็ก ๆ
(มัทธิว 19:13–15; ลูกา 18:15–17)
13 ตอนนี้ประชาชนได้พาเด็กเล็ก ๆมาหาพระเยซูเพื่อให้พระองค์วางพระหัตถ์เหนือพวกเขา พวกศิษย์ก็ไปตำหนิคนที่พาเด็ก ๆ มา
14 แต่เมื่อพระเยซูทรงเห็นเช่นนั้น พระองค์ทรงไม่พอพระทัย ตรัสว่า “จงให้เด็กเล็ก ๆ มาหาเรา อย่าขัดขวางพวกเขา เพราะอาณาจักรของพระเจ้าเป็นของคนที่เป็นเหมือนเด็ก ๆ เหล่านี้
5 เราบอกความจริงแก่เจ้าว่า ใครไม่ตอบรับอาณาจักรของพระเจ้าเหมือนกับเด็กเล็ก ๆ จะไม่มีวันได้เข้าในแผ่นดินนั้น”
16 และพระองค์ทรงอุ้มเด็ก ๆ วางพระหัตถ์ทั้งสองบนตัวเขา และทรงอวยพระพรเขา
![](https://prakham.com/wp-content/uploads/2024/04/Mark10-13-16-1024x827.jpg)
คำถามของเศรษฐีหนุ่ม
(มัทธิว 19:16–30; ลูกา 18:18–30)
17 ขณะที่พระเยซูกำลังจะออกเดินทาง ก็มีชายคนหนึ่งวิ่งมาและคุกเข่าต่อพระองค์ “ท่านอาจารย์แสนดีขอรับ ข้าพเจ้าจะต้องทำอย่างไร จึงจะได้รับชีวิตนิรันดร์เป็นมรดกขอรับ?”
18“เจ้ามาเรียกเราว่าดีทำไม ไม่มีใครดีต่อจากพระเจ้าเท่านั้น
19 เจ้ารู้บัญญัติที่ว่า..อย่าฆ่าคน อย่าล่วงประเวณี อย่าลักทรัพย์ อย่าเป็นพยานเท็จ ให้เกียรติพ่อและแม่ของเจ้า”
20“ท่านอาจารย์ขอรับ” เขาตอบ “ทุกอย่างที่ท่านกล่าวมานั้นข้าพเจ้าถือรักษามาตั้งแต่เด็ก
21 พระเยซูทรงมองเขาด้วยความรัก และตรัสกับเขาว่า “มีอีกอย่างที่ขาดอยู่ จงไปขายทุกสิ่งที่เจ้ามี และแจกจ่ายให้คนยากจน และเจ้าจะมีทรัพย์สมบัติในสวรรค์ จากนั้นก็ตามเรามา”
22 แต่เมื่อได้ยินเช่นนั้นใบหน้าของเขาก็เศร้าสลด และเดินออกไปด้วยความทุกข์ใจ เพราะเขาเป็นคนร่ำรวยมาก
23 แล้วพระเยซูทรงมองรอบ ๆ ตรัสกับศิษย์ของพระองค์ว่า “ยากจริง ๆ ที่คนมั่งมีจะเข้าในแผ่นดินของพระเจ้า!”
24 พวกศิษย์ก็ประหลาดใจกับคำตรัสของพระองค์ แต่พระเยซูก็ตรัสอีกว่า “ลูกเอ๋ย ดูสิว่าการจะเข้าในอาณาจักรของพระเจ้า!
25 ที่จะให้อูฐลอดรูเข็มยังง่ายกว่าที่คนมั่งมีจะเข้าในอาณาจักรของพระเจ้า”
26 พวกเขายิ่งประหลาดใจขึ้น ถามกันว่า “ถ้าอย่างนั้น ใครจะรอดได้เล่า?”
27 พระเยซูทรงมองที่พวกเขาและตรัสว่า “กับมนุษย์แล้วนั้นเป็นไปไม่ได้ แต่กับพระเจ้าแล้วทุกสิ่งเป็นได้สำหรับพระองค์”
![](https://prakham.com/wp-content/uploads/2024/05/Mark10-17-31-1024x823.jpg)
28 เปโตรทูลว่า “ข้าพเจ้าต่างละทิ้งทุกสิ่งและติดตามพระองค์มา”
29 พระเยซูตรัสตอบว่า “ไม่มีใครสักคนที่ละจากบ้าน พี่น้องชายหญิง หรือแม่ หรือพ่อ หรือลูก ๆ หรือไร่นาเพื่อเห็นแก่เราและข่าวประเสริฐ
30 แล้วจะไม่ได้รับผลตอบแทนร้อยเท่าในยุคนี้ (ไม่ว่าจะเป็นบ้าน พี่น้องชายหญิง แม่และลูก ๆ และไร่นา รวมทั้งการข่มเหง)
และยุคหน้าเขาจะไม่ขาดชีวิตนิรันดร์
31 แต่หลายคนที่เป็นคนต้นจะกลับกลายเป็นคนสุดท้าย และคนสุดท้ายจะกลายเป็นคนต้น”
ทรงบอกเรื่องการทนทุกข์ครั้งที่สาม
(มัทธิว 20:17–19; ลูกา18:31–34)
32 ขณะที่พวกเขากำลังเดินทางขึ้นไปยังนครเยรูซาเล็ม พระเยซูทรงนำหน้าพวกเขาไป และศิษย์ก็ประหลาดใจ แต่คนที่ตามมากลับรู้สึกกลัว อีกครั้งที่พระเยซูทรงพาศิษย์ทั้งสิบสองคนออกมาจากผู้คน เพื่อทรงแจ้งให้พวกเขาทราบว่า จะเกิดอะไรขึ้นกับพระองค์บ้าง
33“ดูเถิด เรากำลังขึ้นไปยังนครเยรูซาเล็ม และบุตรมนุษย์จะถูกส่งตัวให้กับปุโรหิตใหญ่ และธรรมาจารย์ พวกเขาจะตัดสินประหารและมอบพระองค์ให้กับคนต่างชาติ
34 ซึ่งคนเหล่านี้จะเยาะหยันพระองค์ จะถ่มน้ำลายรดพระองค์ จะเฆี่ยนและประหารพระองค์เสียหลังจากนั้นสามวัน พระองค์จะทรงคืนชีพขึ้นมา”
![](https://prakham.com/wp-content/uploads/2024/04/Mark10-32-34sm-514x1024.jpg)
คำขอพิเศษจากยากอบและยอห์น
(มัทธิว 20:20-28)
35 จากนั้นยากอบและยอห์นลูกชายของเศเบดี มาหา และทูลขอพระเยซูว่า “พระอาจารย์ขอรับ เรามาขอให้พระองค์ทรงทำตามคำขอ ไม่ว่าเราจะขออะไร”
36“เจ้าต้องการให้เราทำอะไรให้หรือ?” พระองค์ตรัส
37พวกเขาตอบว่า “ขอทรงอนุญาตให้เราคนหนึ่งนั่งด้านขวาพระหัตถ์ และอีกคนนั่งด้านซ้าย ในเวลาที่พระองค์ทรงรับพระบัลลังก์”
38 “เจ้าไม่รู้ว่าเจ้าขออะไรอยู่สินะ” พระเยซูตรัสตอบ “เจ้าจะดื่มถ้วยที่เราจะดื่มได้หรือ? หรือเจ้าจะต้องผ่านบัพติศมาที่เราต้องผ่านได้หรือ?”
39 “ได้แน่ พระเจ้าข้า” พี่น้องทั้งสองตอบ “เจ้าจะได้ดื่มถ้วยที่เราต้องดื่ม” พระเยซูตรัส “และเจ้าจะได้ผ่านบัพติศมาที่เราต้องผ่าน
40 แต่การที่จะนั่งข้างขวาหรือซ้ายมือของเราไม่ใช่เป็นเรื่องที่เราจะจัดให้ ที่นั่งตรงนั้น เป็นที่ของคนที่พระองค์ทรงเตรียมไว้ให้”
41 เมื่ออีกสิบคนได้ยินเรื่องนี้ พวกเขาก็ไม่พอใจยากอบและยอห์น42 พระเยซูจึงทรงเรียกพวกเขามาทุกคน ตรัสว่า “พวกเจ้ารู้อยู่ว่า สำหรับคนต่างชาตินั้น คนที่เป็นผู้ปกครองก็จะเป็นเจ้าเหนือผู้คน คนใหญ่โตก็จะใช้สิทธิอำนาจเหนือผู้คน
43 แต่สำหรับพวกเจ้าจะไม่เป็นอย่างนั้น ใครก็ตามที่ต้องการเป็นใหญ่ท่ามกลางพวกเจ้า จะต้องเป็นผู้รับใช้ของเจ้า
44 คนที่ต้องการเป็นต้น ก็จะต้องเป็นทาสของทุกคน
45 แม้แต่บุตรมนุษย์เองไม่ได้มาเพื่อรับการปรนนิบัติ แต่มาเพื่อรับใช้ และเพื่อประทานชีวิตของท่านให้เป็นค่าไถ่แก่คนเป็นจำนวนมาก”
พระเยซูทรงรักษาบารทิเมอัส
(มัทธิว 20:29–34; ลูกา 18:35–43)
46 จากนั้น พวกเขามาถึงเมืองเยรีโค และขณะที่พระเยซูกับสาวกกำลังเดินออกจากเมืองพร้อมกับคนเป็นจำนวนมาก มีชายขอทานตาบอดคนหนึ่งชื่อบารทิเมอัส ลูกชายของทิเมอัส นั่งอยู่ข้างทาง
47 เมื่อเขาได้ยินว่า เป็นพระเยซูทรงผ่านมาก เขาก็ร้องตะโกนขึ้นมาว่า “โอ พระเยซูบุตรดาวิดเจ้าข้า ขอทรงเมตตาข้าพเจ้าด้วย”
48 มีหลายคนห้ามเขา สั่งให้เงียบแต่เขากลับร้องเสียงดังกว่าเดิม “บุตรดาวิดเจ้าข้า ขอทรงเมตตาข้าพเจ้าด้วย!”
49 พระเยซูทรงหยุดและตรัสว่า “เรียกเขามาสิ” ดังนั้น พวกเขาจึงเรียกชายตาบอดเข้ามา “ใจกล้าเข้าไว้” พวกเขาบอก “ลุกขึ้นสิ เพราะพระองค์ทรงเรียกหาเจ้า”
50 บารทิเมอัสสลัดเสื้อคลุมทิ้ง กระโดดขึ้นมาหาพระเยซู
![](https://prakham.com/wp-content/uploads/2024/04/Mark10-46-52-300x202.jpg)
51“เจ้าต้องการให้เราทำอะไรให้เจ้ารึ?” พระเยซูตรัสถาม“รับโบนี เจ้าข้า” ชายตาบอดกล่าว “ขอทรงให้ข้าพเจ้ามองเห็นได้” (รับโบนี แปลว่า เจ้านายของข้าพเจ้า)
52“ไปตามทางของเจ้าเถิด” พระเยซูตรัส “ความเชื่อของเจ้าทำให้เจ้าหายแล้ว” ทันใดนั้น เขาก็มองเห็น และเดินตามพระเยซูไปตามทางนั้น
คำอธิบายเพิ่มเติม
มาระโก 10:1-12
ช่วงนี้ พระเยซูกำลังจะเดินทางไปเยรูซาเล็มครั้งสุดท้าย พระองค์มาที่คาเปอรนาอุมก่อน แล้วเข้าไปในเขตยูเดีย ทรงเจอผู้คนมากมายที่จะฟังคำสอน เราเห็นชัดว่า พระเยซูทรงพร้อมสอนคนเหล่านั้น ไม่ว่าพวกเขาจะฟังแล้วลืมไปบ้างก็ตาม
แล้วก็มีฟาริสีที่อยากจะทดสอบพระองค์ เพื่อจะจับผิดให้ได้ จึงถามเรื่องการหย่าร้างว่า ผิดบัญญัติหรือไม่ที่ชายคนหนึ่งจะหย่าภรรยาของตน ซึ่งคำตอบนั้นพวกเขาก็รู้ดีอยู่แล้ว นั่นคือผู้ชายเขียนหนังสือหย่า แล้วภรรยาต้องออกจากบ้านไป
ในเฉลยธรรมบัญญัติ 24:1-4 พวกเขาพยายามทำให้การแต่งงานระหว่างชายหญิงและการหย่าเป็นเรื่องธรรมดา ต้องการดูว่า พระเยซูทรงมีความเห็นอย่างไร
แต่พระเยซูทรงกลับไปที่จุดเริ่มต้น พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์มาให้เขาได้เป็นสามีภรรยาหนึ่งต่อหนึ่ง และให้ทั้งสองอยู่ด้วยกันตลอดไป พระเยซูทรงมองการแต่งงานเป็นเรื่องของการที่พระเจ้าทรงผูกพันคนสองคนเข้าด้วยกัน ดังนั้น คนสองคนที่ตั้งใจจะอยู่ด้วยกันทั้งชีวิตก็ต้องช่วยกันประคับประคองชีวิตคู่ เพราะในชีวิตคู่นั้น มีทั้งสุขและทุกข์ ง่ายและยาก รักและโกรธ ซื่อสัตย์ และแอบไปมีคนอื่น ความอ่อนโยนและความรุนแรง สิ่งที่พระเยซูทรงย้ำคือ การผูกพันของสามีภรรยา มาจากพระเจ้า ในโลกของเราทุกวันนี้ มีปัญหาเกิดขึ้นในครอบครัว ทุกระดับ ทุกรูปแบบ ซับซ้อนกว่าเดิมมาก
มาระโก 10:13-16
มีคนพาเด็ก ๆ มาหา เพื่อให้พระเยซูทรงอวยพระพร แต่ศิษย์ของพระองค์กลับรู้สึกไม่พอใจ ไปห้ามคนเหล่านั้น
สิ่งที่เกิดขึ้นคือ พระเยซูไม่ทรงพอพระทัยศิษย์ แล้วก็ทรงตรัสบางอย่างที่ผู้เชื่อในพระเจ้าจะต้องฟังดี ๆ
1. จงให้เด็กมาหาเรา
2.อย่าขัดขวางเด็กจากทางของพระเจ้า
3.อาณาจักรของพระเจ้าเป็นเหมือนเด็ก ๆ
4.คนที่ไม่ต้อนรับอาณาจักรของพระเจ้าเหมือนเด็กรับ จะไม่มีวันเข้าแผ่นดินนั้น
พระเยซูทรงบอกเราว่า เด็กสำคัญกับพระองค์ ไม่ว่าสังคมโบราณจะมองเด็กว่าไร้ค่า แต่พระเยซูทรงมองแตกต่าง พระองค์ทรงเป็นพระผู้สร้างพวกเขามา ครอบครัว คริสตจักร บุคคลใดที่ให้ความสำคัญกับเด็กและทุ่มเทให้พวกเขา จะได้รับอนาคตของชุมชนที่น่าชื่นชม แต่ถ้าเราละทิ้งเด็ก เราก็จะเจอความโกลาหลจากเด็กและวัยรุ่น ที่ไม่เข้าใจสิทธิ หน้าที่ของตน ไม่สนใจจะช่วยเหลือคนอื่น เอาแต่จะเรียกร้องเพื่อตัวเองอย่างที่เราเจอกันทุกวันนี้
มาระโก 10:17-31
ข้อความตอนนี้ เป็นเรื่องของคนรวยที่ดี แต่ไม่อาจละทิ้งสมบัติตามพระองค์ไป และสำหรับคนที่ติดตามพระเจ้าจริง พระเยซูทรงสัญญาชีวิตนิรันดร์ให้แก่เขา และเป็นเรื่องที่ทั้งมัทธิว และลูกาเล่าเช่นกัน
ชายหนุ่มคนหนึ่งที่เป็นทั้งผู้นำ (ลูกา 18:18 ) ร่ำรวย (22) เป็นคนดีรักษาพระบัญญัติ (20) เขามีความเข้าใจว่า การที่จะได้ชีวิตนิรันดร์คือ ต้องทำอะไรสักอย่างที่ดีมาก ๆ จึงจะได้ชีวิตนิรันดร์ (17) แล้วแถมยังคิดว่า เขาน่าจะทำสำเร็จผ่านความดีที่ทำลงไปมาตั้งแต่เด็ก อาจมีอะไรที่ขาดอยู่ที่ยังไม่ได้ทำ และเป็นไปได้ไหมที่เขาคิดว่า ความมั่งคั่งของเขาเกิดจากการที่พระเจ้าทรงอวยพระพรเพราะเขาทำดี? (สดุดี 128:1-2)
พระเยซูทรงอ้างพระคัมภีร์เดิมจาก เฉลยธรรมบัญญัติ 30:15-16 เป็นข้อที่เน้นการประพฤติต่อบุคคลรอบข้าง (หลายคนคิดว่า เขาเป็นคนดีมีศีลธรรม แต่ความจริงแล้ว ทุกคนเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้าทั้งหมด) แล้วจากนั้นพระองค์จึงบอกวิธีที่จะเข้าสู่ชีวิตนิรันดร์ นั่นคือ ต้องทิ้งทุกอย่าง ไม่ให้มันมาเป็นอุปสรรค (ถ้าจะโยงไปถึงการรับพระเจ้าอย่างเด็ก ๆ นั้นก็คือ รับพระเจ้าโดยไม่หวังพึ่งสิ่งอื่นแทนพระองค์นั่นเอง)
ประเด็นคือ คนรวยจะเข้าแผ่นดินของพระเจ้ายากอย่างนั้นหรือ? ที่จริงคนรวยมีอุปสรรคขัดขวางจากความร่ำรวยของเขา ต้องขจัดอุปสรรคนั้นมีคนรวยหลายคนที่ได้มาพบพระเจ้าอย่างเช่น โยเซฟ ชาวอาริมาเธีย ศักเคียส เป็นต้น จึงจะเห็นว่าเป็นไปได้สำหรับพระเจ้า เราเองก็ต้อง คิด หาเหตุผลว่า เหตุใดคนรวยจึงสยบต่อพระเจ้า และไม่ได้มีเงินเป็นอุปสรรคต่อการพบพระองค์
ในสมัยนี้ บางครั้งอุปสรรคอาจจะเป็นคนที่มีความรู้สูง ถ้ามาตามพระเยซูแล้วจะดูเหมือนคนไม่ฉลาด ดังนั้นจึงไม่ยอมมาหาพระองค์
ส่วนคนที่ตามพระองค์จริง ๆ แล้ว พวกเขาจะได้รับหลายอย่างร้อยเท่า นั่นคือ การติดตามพระเยซูไม่ได้หมายความว่าเป็นคนโง่หรือ แพ้ แต่เป็นคนที่พระเจ้าจะอวยพระพรและ ให้มากถึงชีวิตนิรันดร์เลย
มาระโก 10:32-34
นี่เป็นครั้งที่สามแล้ว ที่พระองค์ทรงบอกพวกเขาล่วงหน้าว่า จะเกิดอะไรขึ้นกับพระองค์
1. จะเสด็จไปเยรูซาเล็ม (ทั้งที่ทรงรู้ว่าจะเกิดอะไรกับพระองค์ ทรงไปตามแผนของพระบิดา 2.พระองค์จะถูกจับกุมส่งตัวให้ศัตรู
3. พวกเขาจะตัดสินประหารพระองค์แต่
4.ยืมมือคนต่างชาติมาสั่งประหาร
5.พระองค์จะถูกเย้ย ถ่มน้ำลายรด ถูกเฆี่ยน
6.ในที่สุดจะสิ้นพระชนม์จริง ๆ เพราะพวกเขาประหารสำเร็จ แต่..
7.อีกสามวันจะทรงเป็นขึ้นมา
พระเยซูทรงบอกให้พวกเขาเตรียมตัวเตรียมใจ และในพระคัมภีร์ก็บอกหลาย ๆ อย่างล่วงหน้าแก่เราด้วย เราจึงควรเอาใจใส่ดูว่า พระเจ้าทรงบอกอะไรล่วงหน้าบาง
มาระโก 10:35-45
อย่างน้อยตอนนี้เรารู้แล้วว่า ลูกชายสองคนของเศเบดีนี่เองที่ต้องการเป็นใหญ่ อยากที่จะนั่งข้างซ้ายและขวาของพระเยซู โดยที่พวกเขาไม่รู้ว่า การขอเช่นนี้จะต้องเจอกับอะไรบ้าง
คำตอบของพระเยซูคือ ทั้งสองจะต้องเจอกับความยากลำบากอย่างแน่นอน แต่ที่จะได้นั่งในที่สูงขนาดนั้น เป็นเรื่องที่พระบิดาทรงตัดสิน
พระเยซูตรัสชัดเจนว่า พระองค์ไม่ได้เป็นผู้จัดที่ทางในสวรรค์ว่าใครจะเป็นใหญ่ ใครจะเป็นผู้น้อย พระเจ้าเท่านั้นทรงเป็นผู้ยกคนหนึ่งขึ้นหรือทำให้คนหนึ่งต่ำลง แต่พวกเขาควรทำตามพระองค์คือ การเป็นทาสของผู้อื่น ทำเพื่อรับใช้ และให้ชีวิตเพื่อนำคนอื่นสู่ชีวิตอย่างพระองค์
มาระโก 10:46-52
เรื่องราวนี้เราจะเห็นว่า การติดต่อกันระหว่างสองคนนั้น มีผู้คนขัดขวาง แต่คนที่ต้องการความช่วยเหลือ ไม่ยอมฟัง เขาตั้งใจว่า วันนี้เขาต้องตาดีเหมือนอย่างคนตาบอดอื่น ๆที่เขาได้ยินมาว่า พระเยซูทรงรักษาให้หาย เมื่อเราจะมาหาพระเยซูแต่มีคนขัดขวางเราก็ต้องไม่ยอมเหมือนกับบารทิเมอัสผู้นี้
เรามาดูเหตุการณ์ที่นำไปสู่บารทิเมอัสคนใหม่ที่สามารถเลี้ยงตัวเองได้โดยไม่ต้องเป็นขอทานอีก
เราจะเรียนอะไรได้จากเหตุการณ์ครั้งนี้
1. บารทิเมอัสรับรู้ว่า พระเยซูผ่านมาทางเขา
2.เขาร้องเรียกพระองค์ว่า พระเยซูบุตรดาวิด..แสดงว่า เขาเชื่อว่า พระเยซูทรงเป็นลูกหลานของกษัตริย์ดาวิด เขารู้ว่าทรงเป็นพระเมสสิยาห์หรือไม่ เราไม่ทราบ
3.มีคนห้ามเรียกพระเยซู เขาไม่ฟัง ยิ่งเรียกพระองค์เสียงดังขึ้น
4.พระเยซูทรงหยุดและเรียกให้เขามาใกล้
5.เขาลุกขึ้น สลัดเสื้อ กระโดดไปตามทางเสียงของพระเยซูทั้ง ๆ ที่เป็นคนตาบอด เขาตอบรับคำเรียกของพระเยซูทันที
6.เมื่อพระเยซูทรงถามว่า “เจ้าต้องการให้เราทำอะไรให้เจ้า?” เขาตอบทันที “ขอมองเห็นขอรับ เจ้านายของข้าพเจ้า” เขาเชื่อฤทธิ์พระเยซูผู้ที่เขาเรียกว่า บุตรชายของดาวิด
7. พระเยซูทรงให้ตามคำขอทันที ทรงย้ำว่า ความเชื่อทำให้เจ้าหาย ทรงให้เขาไปตามทางของเขา
8.บารทิเมอัสมองเห็น และตัดสินใจเดินตามพระเยซูไป ไม่ได้กลับไปตามทางของตนเอง
พระคำเชื่อมโยง
1* มัทธิว 19:1-9
2* มัทธิว 19:3
4* เฉลยธรรมบัญญัติ24:1-4
6* ปฐมกาล 1:27; 5:2
7* ปฐมกาล 2:24
11* มัทธิว 5:32; 19:9
13* ลูกา 18:15-17
14* 1 เปโตร 2:215* มัทธิว 18:3-4; 19:14; ลูกา 13:28
17* มัทธิว 19:16-30; ยอห์น 6:28
18* 1 ซามูเอล 2:2
19* อพยพ 20:12-16; เฉลยธรรมบัญญัติ 5:16-20
20* ฟีลิปปี 3:6
21* ลูกา 12:33; 16:9
24* 1 ทิโมธี 6:17
25* มัทธิว 13:22; 19:24
27* เยเรมีย์ 32:17
28* ลูกา 18:28
30* ลูกา 18:29-30; 1 เปโตร 4:12-13
31* ลูกา 13:30
32* มัทธิว 20:17-19; มาระโก 8:31; 9:31
33* มาระโก 14:53, 64
34* ลูกา 24:46
35* ยากอบ 4:3
38* ยอห์น 18:11; ลูกา 12:50
39* กิจการ 12;2
40* ฮีบรู 11:16
41* มัทธิว 20:2442* ลูกา 22:25
43* มาระโก 9:35
45* ฟีลิปปี 2:7-8; อิสยาห์ 53:12; ทิตัส 2:14
46* ลูกา 18:35-43
47* วิวรณ์ 22:16;มัทธิว 15:22
52* มัทธิว 9:22