1 โครินธ์ 10 ตัวอย่างจากอดีต

1 โครินธ์ 10:1-2
พี่น้องทั้งหลาย ข้าอยากให้ท่านได้รู้ว่า บรรพบุรุษของเราได้อยู่ใต้เมฆ และต่างผ่านทะเลไป
ทุกคนรับบัพติศมาเข้าส่วนกับโมเสสในก้อนเมฆ และทะเล

1 โครินธ์ 10:3-4
ทุกคนได้รับประทานอาหารฝ่ายวิญญาณเดียวกัน
และทุกคนได้ดื่มจากศิลาฝ่ายวิญญาณ
ที่ติดตามพวกเขาไป และศิลานั้นคือพระคริสต์

1 โครินธ์ 10:5-6
แต่พระเจ้าไม่ทรงพอพระทัยคนส่วนมากและพวกเขาก็ได้ล้มตายกันในถิ่นกันดารสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเพื่อเป็นตัวอย่างให้แก่เรา เพื่อว่าเราจะไม่โหยหาสิ่งที่ชั่วเหมือนพวกเขา
1 โครินธ์ 10:7-8
ดังนั้น จงอย่ากราบไหว้รูปเคารพ เหมือนที่บางคนในพวกเขาทำ เพราะมีคำเขียนว่า“ประชาชนนั่งลงเพื่อกินและดื่ม แล้วลุกขึ้นเล่นมั่วสุมกัน” อย่าทำผิดทางเพศเหมือนที่พวกเขาทำ และล้มตายกันเกลื่อนถึง 23,000 คนภายในวันเดียว

1 โครินธ์ 10:9-10
อย่าให้เราลองดีกับองค์พระผู้เป็นเจ้าเหมือนอย่างที่บางคนทำ
แล้วถูกงูกัดตายไป และอย่าบ่น เหมือนกับบางคนทำแล้วถูกประหารด้วยทูตมรณะ
1 โครินธ์ 10:11-12
เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นกับพวกเขาเพื่อเป็นตัวอย่าง และถูกบันทึกไว้เพื่อเตือนใจพวกเราที่จะเผชิญกับยุคสุดท้าย
ดังนั้น คนที่คิดว่าตัวเองยืนมั่นคงให้ระวังตัวว่า จะไม่ล้มลง

1 โครินธ์ 10:13
ไม่มีการทดสอบใด ๆ จะเกิดกับท่านโดยไม่ได้เกิดกับคนอื่นมาก่อน และพระเจ้าทรงซื่อตรง พระองค์จะไม่ทรงยอมให้ท่านถูกทดสอบเกินกว่าที่ท่านจะทนได้ และเมื่อถูกทดสอบอย่างยากเย็นนั้น พระองค์จะทรงให้มีทางออก ด้วย เพื่อว่าพวกท่านจะสามารถอดทนได้
1 โครินธ์ 10:14-15
ดังนั้น เพื่อนที่รักของข้า จงหนีจากการไหว้รูปเคารพ
ข้ากำลังพูดกับท่านอย่างที่พูดกับคนมีปัญญา​
ขอให้ท่านพิจารณาสิ่งที่ข้าพูดเถิด

1 โครินธ์ 10:16
ถ้วยแห่งพระพรที่เราได้กล่าวขอพรไม่ได้เป็นสิ่งที่เรามีส่วนร่วมกับพระโลหิตของพระคริสต์หรือ? ขนมปังที่เราฉีกออกไม่ได้เป็นสิ่งที่ทำใหเ้รามีส่วนในพระกายของพระคริสต์หรือ?
1 โครินธ์ 10:17-18
เป็นเพราะมีขนมปังก้อนเดียวเราซึ่งมีหลายคนจึงเป็นหนึ่งในกายเดียวเพราะเราทุกคนต่างกินจากขนมปังก้อนเดียวกัน ดูประชาชนอิสราเอลสิคนที่กินอาหารไหว้รูปเคารพก็มีส่วนร่วมในแท่นบูชานั้นไม่ใช่หรือ?

1 โครินธ์ 10:19-20
ข้ากำลังกล่าวว่า รูปเคารพ หรืออาหารที่นำมาบูชาเคารพ มีความศักดิ์สิทธิ์อย่างนั้นหรือ? ไม่ใช่เช่นนั้น ข้ากำลังหมายความว่า สิ่งที่พวกเขาบูชารูปเคารพนั้น เป็นการบูชาผีมาร ไม่ใช่เป็นการ
ถวายพระเจ้า ดังนั้นข้าจึงไม่ต้องการให้ท่านมีส่วนร่วมกับพวกผีมาร
1 โครินธ์ 10:21-22
ท่านจะดื่มจากถ้วยขององค์พระผู้เป็นเจ้าและถ้วยของมารไม่ได้
เราจะกระตุ้นความหวงแหนขององค์พระผู้เป็นเจ้าหรือ?

เรามีกำลังมากกว่าพระองค์อย่างนั้นหรือ?

1 โครินธ์ 10:23-24
เราทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งที่ทำนั้นจะเป็นประโยชน์
เราทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งที่ทำนั้นจะเสริมสร้างเราขึ้น
อย่าเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนคนเดียวแต่จงเห็นแก่ประโยชน์ของคนอื่นด้วย
1 โครินธ์ 10:25-26
ทุกสิ่งที่เขาขายในตลาด เป็นเนื้อที่รับประทานได้ ไม่ต้องมัวซักถามรายละเอียดเพื่อเห็นแก่มโนธรรม เพราะว่า “ทั้งโลกและสารพัดสิ่งในโลกเป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้า

1 โครินธ์ 10:27-28
ถ้าคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า เชิญท่านไปในงานเลี้ยง และท่านอยากไป ทุกสิ่งที่เขาวางไว้ให้รับประทาน ก็รับประทานได้โดยไม่ต้องถามอะไรเพื่อเห็นแก่มโนธรรมแต่หากเกิดมีใครมาบอกว่า “อาหารนี้ใช้บูชารูปเคารพไปแล้ว” ก็อย่าแตะต้องเพื่อเห็นแก่คนที่บอก และเห็นแก่มโนธรรม
1 โครินธ์ 10:29-30
ข้าหมายถึงมโนธรรมของคนนั้น ไม่ได้หมายถึงของท่าน ทำไมอิสรภาพของข้าจะต้องถูกตัดสินด้วยมโนธรรมของผู้อื่น?
ถ้าข้ารับประทานด้วยใจขอบพระคุณแล้วเหตุใด จึงมีคนกล่าวร้าย ในเมื่อได้ขอบพระคุณไปแล้ว?

1 โครินธ์ 10:31-32
ดังนั้น ไม่ว่าท่านจะดื่ม จะกินสิ่งใดก็จงทำทุกอย่างเพื่อถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า อย่าเป็นต้นเหตุทำให้พวกยิว กรีก หรือคริสตจักรของพระเจ้าหลงผิดสะดุดไป
1 โครินธ์ 10:33
แม้ข้าเอง ก็พยายามทำทุกสิ่งเพื่อให้ทุกคนพอใจ ไม่ได้เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน แต่เห็นแก่คนจำนวนมากเพื่อพวกเขาจะได้รับความรอด

1 โครินธ์ 10:1-2
เรื่องต่อไปในบทนี้ เป็นเรื่องของการไหว้รูปเคารพซึ่งมีตัวอย่างเกิดขึ้นในสมัยของโมเสส ที่ได้นำคนอิสราเอลออกมาจากการเป็นทาสในอียิปต์ ซึ่งเหตุการณ์นี้เป็นต้นแบบบ่งถึงการที่เราทุกคนได้ออกจากชีวิตบาปเข้ามาสู่ชีวิตใหม่ในพระคริสต์ ท่านเปาโลกำลังบอกว่า ทุกคนที่ออกมาจากอียิปต์
ได้ผ่านประสบการณ์ในการเดินผ่านทะเลบนดินแห้งได้เข้าส่วนในการเกิดมาเป็นชนชาติใหม่ ได้ฝังอดีตในทะเลนั้น ได้ทำลายศัตรูราบคาบในทะเลนั้น

1 โครินธ์ 10:3-4
ทุกคนได้กินมานา และนกคุ่ม เป็นอาหารที่มีคุณค่าครบ ทำให้พวกเขายังไปต่อได้ แต่น่าสังเกตว่าคนสองล้านคนที่เดินทางไปด้วยกัน ที่ควรใช้เวลาเพียงประมาณ 7-8 วัน กลับต้องใช้เวลานานถึง 40 ปี ในช่วงเวลาเหล่านั้น พวกเขามีทั้งอาหารและน้ำให้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ยกเว้นมีบาง
โอกาสที่ทำให้พวกเขาบ่นว่า โมเสสอย่างไม่ไว้หน้าท่านเปาโลมีความเห็นว่า ศิลาที่น้ำไหลมาให้เขาดื่มนั้นคือพระคริสต์ ที่ไปกับพวกเขาตลอดทาง

1 โครินธ์ 10:5-6
และที่ท่านเปาโลได้เอาเรื่องของพวกเขามาเป็นตัวอย่างให้พี่น้องในโครินธ์ก็เพื่อพวกเขาจะไม่ทำบาปอย่างคนอิสราเอลในสมัยก่อนนั้น ในหมู่คนจำนวนมาก แม้จะมีคนที่เชื่อฟังอยู่บ้าง แต่คนส่วนใหญ่ก็เป็นคนประเภทบ่นไม่หยุด กร่างในเรื่องต่าง ๆ หาเรื่องได้ทุกวัน และแถมยังโวยวายกับโมเสสว่าอยากกลับไปกินอาหารในอียิปต์ เบื่ออาหารที่พระเจ้าประทานให้ในถิ่นกันดารจนแทบอาเจียน เรา ไม่เห็นความกตัญญูของคนพวกนี้

1 โครินธ์ 10:7-8
ชายอิสราเอลได้ทำผิดทางเพศกับหญิงชาวโมอับที่มาชวนให้พวกเขาเซ่นไหว้พระ โดยพีธีกรรมคือการมั่วเพศนั่นเอง และวันนั้น พระเจ้าทรงพิโรธจัดมาก ท่านเปาโลไม่ต้องการให้พี่น้องโครินธ์ทำผิดต่อพระเจ้าแล้วเจอกับภัยพิบัติที่น่ากลัวในกันดารวิถี 25:9 บันทึกว่า ตายทั้งหมดถึง 24000 คน นั่นคือคนที่ตายจากวิบัติครั้งนั้น แต่อาจรวมถึงวันต่อ ๆ มาด้วย แต่สมัยนี้แปลกผู้เชื่อจำนวนมากไม่ได้กลัวพระเจ้าเลย

1 โครินธ์ 10:9-10
คนอิสราเอลโบราณ พี่น้องชาวโครินธ์ และเราทุกคนที่ได้เข้ามาอยู่ในร่มพระคุณของพระเจ้า มีประสบการณ์เดียวกัน ได้รับการไถ่สู่ชีวิตใหม่เช่นกัน สิ่งที่ท่านเปาโลกำลังบอกเราก็คือ อย่าไปทำตัวอวดดีต่อพระเจ้า บ่นว่า ไม่พอใจโดยไม่ได้ดูว่าตนเองไม่มีดีจะอวด ไม่ได้ทำประโยชน์ให้ใครมีแต่จะเอาข้างเดียวเท่านั้น คนที่บ่น คนที่ชอบลองดีทั้งหลาย มักเป็นคนที่ไม่เป็นโล้เป็นพายทั้งสิ้น

1 โครินธ์ 10:11-12
การที่รู้ว่าตัวเองใกล้ชิดพระเจ้า และยังอยู่ในการป้องกันของพระองค์นั้น ปลอดภัยแน่ แต่คนที่คิดว่าตัวเองมั่นคง เป็นความคิดที่กลายเป็นพึ่งพาความเก่งกาจของตนเอง เป็นคนที่คิดว่า ตนเองเก่ง ไม่มีทางหลงไปจากพระเจ้า นี่เป็นความทะนงที่กำลังพาไปหาความพินาศ ดังนั้น ไม่ว่าเราจะ
อยู่อย่างใกล้่ชิดพระเจ้าขนาดไหนก็ตาม อย่าลืมว่าเราอาจจะพลาดพลั้ง เผลอไป ชั่ววินาทีเดียวก็อาจหมายถึงความพินาศนิรันดร์

1 โครินธ์ 10:13
เพราะการทดสอบความเชื่อจำเป็น เพราะทำให้ทุกคนต้องพิสูจน์ตนเอง ต้องถูกเผา ผู้เชื่อต้องผ่านการทดสอบด้วยวิธีต่าง ๆ ที่พระเจ้าทรงเห็นว่า
เหมาะกับเขา และหลังจากนั้น เมื่อเขาสอบผ่านเขาจะได้รับรางวัลจากพระเจ้า (ยากอบ 1 1 เปโตร………..ดังนั้น เมื่อเราเจอปัญหาใด ๆ ก็ตามให้นึกถึงข้อนี้
ว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้ที่จะให้ทางออก และการทดสอบทำให้เรารู้ว่า เนื้อแท้จริงของเราเป็นคนอย่างไร

1 โครินธ์ 10:14-15
ท่านเปาโลพยายามให้พี่น้องได้มีความเข้าใจว่าถึงจะกินเนื้อที่มาจากการไหว้รูปเคารพ ก็ไม่ได้ผิดอะไรถ้าเข้าใจว่า รูปเหล่านั้น ไม่ได้ศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีค่า แต่การไหว้รูปเคารพที่ท่านกำลังกล่าวต่อไปคือการที่พี่น้องคริสเตียน เข้าไปในวิหารของพระเหล่านั้น และเข้าร่วมในพิธีต่าง ๆ ซึ่งเป็นการผิดต่อพระเจ้าโดยตรง เพราะพระเจ้าทรงห้ามการไหว้รูปเคารพใด ๆ มาตั้งแต่ต้น ท่านขอให้เขาหลีกหนีจากการกระทำนั้น

1 โครินธ์ 10:16
เมื่อเราเข้ามาร่วมพิธี ศีลมหาสนิท เป็นสัญลักษณ์บอกว่า เราผู้เชื่อจะมีส่วนในการทนทุกข์ของพระคริสต์ ถ้วยแห่งพระพรที่มีในพิธีศีลมหาสนิทนั้น เป็น
ถ้วยที่พระเยซูทรงอวยพระพรไว้ในอาหารครั้งสุดท้ายของพระองค์ เป็นพันธสัญญาใหม่ด้วยพระโลหิตของพระองค์เอง เมื่อไรที่เราได้มีส่วนร่วมในการดื่ม เราก็ระลึกถึงการสิ้นพระชนม์ของพระองค์

1 โครินธ์ 10:17-18
ขนมปังที่แต่ละคนกินเป็นส่วนของขนมปังก้อนเดียวกัน สัญลักษณ์ที่สื่อคือ ทุกคนต่างมีส่วนในขนมปังก้อนนั้น ทุกคนมีขนมปังก้อนนั้นอยู่ในตัวเองเหมือนกัน เราจึงเป็นกายเดียว ดังนั้น ท่านเปาโลย้อนกลับไปเพื่ออธิบายความว่าการที่กินอาหารที่ไหว้รูปเคารพ เท่ากับมีส่วนร่วมในรูปเคารพ ในพิธีกรรม ในความเชื่อ ในแท่นบูชานั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เป็นการเข้าไปมีส่วนในความเชื่อที่ผิดต่อพระเจ้า

1 โครินธ์ 10:19-20
รูปเคารพเป็นสิ่งที่มองเห็น เป็นพระที่มนุษย์สร้างขึ้นด้วยมือของตัวเอง แต่หาได้มีอำนาจใด ๆมองไม่เห็น ไม่ได้ยิน พูดไม่ได้… แต่เราต้องเข้าใจว่า เบื้องหลังของความเชื่อในศาสนาใด ๆ มีอิทธิพลของมาร ที่ต้องการให้มนุษย์แสวงหาทางรอดด้วยตัวเอง ไม่ยอมมาตามทางของพระคริสต์มันต้องการเบี่ยงเบนความสนใจของมนุษย์ไปในเรื่องอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ชีวิตนิรันดร์ ท่านเปาโลเตือนไม่ให้ผู้เชื่อเข้าไปมีส่วนใด ๆ กับรูปเคารพ ผีมาร

1 โครินธ์ 10:21-22
ดังนั้น สิ่งที่เราต้องระวังคือ การไม่เข้าไปมีส่วนในพิธีใด ๆ ของความเชื่ออื่น ๆ ที่ไม่ใช่ความเชื่อตามพระคำของพระเจ้า เราจะไปมีส่วนใด ๆ ไม่ได้เลย
การกินดื่ม การทำพิธีที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความเชื่อที่แตกต่างจึงเป็นสิ่งที่คริสเตียนมีความชัดเจนและนี่เองอาจเป็นเหตุให้เกิดความบาดหมางใจกันระหว่างคนในครอบครัวที่มีความเชื่ออื่น และมันเป็นส่วนหนึ่งที่พิสูจน์ว่า เราติดตามพระเจ้าจริงไหม

1 โครินธ์ 10:23-24
อย่างไรก็ดี ยังมีอีกหลายอย่างที่เราทำได้โดยไม่ผิดต่อพระเจ้า บางอย่างเราก็รู้สึกว่า ไม่ผิดอะไรหญิงชายบางคู่อาจเช่าบ้านแบ่งกันจ่ายแล้วบอกว่า
ไม่มีอะไรกัน แต่การทำเช่นนั้นมันหมิ่นเหม่ต่อการทำบาปแถมยังทำให้พี่น้องสะดุดได้ บางคนบอกว่า การดื่ม ไม่น่าจะผิดบัญญัตินะ แต่พี่น้องที่ยังอ่อนในความเชื่อ อาจเห็นว่าเป็นสิ่งผิดมาก ๆดังนั้น แม้สิ่งที่เราทำเป็นสิ่งที่ทำได้ แต่หากมันทำ ให้เพื่อนในความเชื่องุนงง สงสัย สะดุดก็ละดีกว่า

1 โครินธ์ 10:25-26
ในเมื่อทุกสิ่งเป็นของพระเจ้า ดังนั้น เราอาจกินเนื้อที่ถูกบูชามาแล้วโดยไม่รู้หรือรู้ก็ตาม โดยที่เราเชื่อว่า รูปเคารพนั้น ไม่ได้มีฤทธิ์อำนาจใด (แต่เราจะไม่เข้าไปร่วมในพิธีที่แสดงถึงการจำนนต่ออำนาจนั้น) ท่านเปาโลพยายามให้พี่น้องได้แยกออกระหว่างการแสดงความภักดีต่อรูปเคารพ กับการที่เข้าใจว่า มันไม่มีอำนาจ

1 โครินธ์ 10:27-28
ท่านเปาโลบอกหลักการกว้าง ๆ ไว้ว่า อะไรควรและอะไรไม่ควร แต่แล้วก็ยังมีปัญหาเพิ่มเติมมาให้ฉุกคิดอีก ถ้าฉันกินสิ่งที่บูชาไปแล้ว แต่มีคนหวังดี
มาบอกว่า นี่มันเนื้อบูชา เพื่อเห็นแก่คนที่มาบอกเราก็ต้องหยุดกินเลยการที่ท่านเปาโลบอกเช่นนี้ ทำให้เรารู้ว่า การใส่ใจผู้อื่นนั้น ช่างละเอียดอ่อน และเป็นการปฏิเสธตัวเองเกือบทุกสถานการณ์

1 โครินธ์ 10:29-30
การที่ท่านเปาโลให้เรายอมก็เพื่อเห็นแก่ความรักที่เรามีต่อคนที่ห่วงใย เราอาจขอบคุณพระเจ้าเราอาจโอเคต่อสิ่งที่ทำ และรู้ด้วยว่า มันไม่ผิดอะไรแต่เมื่อพี่น้องที่ยังคงไม่เข้าใจเต็มร้อยมาเตือนเราก็น่าจะฟังและช่วยให้เขาได้เติบโต ไม่ใช่อ้างสิทธิ์ของตนเองและทำให้เขาสะดุด ซึ่งบางทีมันไม่คุ้มเลย ชีวิตฝ่ายวิญญาณของคน ๆ หนึ่งอาจพินาศไปเพราะเราไม่ใส่ใจหรือไม่แคร์ก็เป็นได้

1 โครินธ์ 10:31-32
การใช้ชีวิตคริสเตียนไม่ใช่เป็นการใช้ชีวิตตามแบบของโลก แต่เป็นการใช้ชีวิตเพื่อถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าในทุกอย่างที่ทำทุกอย่างที่คิด คอยระวังไม่ให้เกิดความเข้าใจผิด ในที่สุดแล้วก็คือ การตายต่อตนเองเพื่อให้ร่างกายของพระคริสต์ได้เติบโต ยอมตายต่อความพอใจส่วนตัวเพื่อคนอื่นจะได้รอด

1 โครินธ์ 10:33
การที่ทำให้ทุกคนพอใจ ไม่ได้หมายความว่าปฏิเสธความจริงของพระเจ้าเพื่อให้คนพอใจแต่เป็นการเข้าใจว่า แต่ละคนต่างมีความคิดการเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่แตกต่าง ท่านเปาโลจึงปฏิบัติตนในแบบที่จะทำให้ท่านเป็นเพื่อนของคนเหล่านั้น เพื่อจะมีโอกาสเป็นพยานเรื่องความรอดของพระเจ้าให้ทุกคนที่ท่านพบได้พระเจ้าทรงพอพระทัยให้เราเป็นผู้ที่มีความเข้าใจคนอื่น ๆ อ่านโรม 14:1-9

พระคำเชื่อมโยง


สดุดี 114 มวลน้ำหนีไป และ ภูเขากระโดด

พระเจ้าทรงนำออกจากการเป็นทาส
1เมื่ออิสราเอลออกมาจากอียิปต์
ครอบครัวของยาโคบได้ละทิ้งชนต่างชาติไว้เบื้องหลัง
2 ยูดาห์ได้กลายเป็นสถานบริสุทธิ์ของพระองค์
อิสราเอลได้เป็นอาณาจักรของพระองค์

ธรรมชาติต่างสยบยอมต่อพระเจ้า
3 ทะเลเห็นแล้ว ก็หนีไป แม่น้ำจอร์แดนก็หันกลับไป
4 ภูเขาทั้งหลายโลดเต้นราวกับแกะผู้
เนินเขาทั้งกลายกระโดดราวกับลูกแกะ

คำถามจากพระเจ้า
5 เจ้าจะหนีไปทำไม ทะเลเอ๋ย?
เหตุใดเจ้าจึงหันกลับไป แม่น้ำจอร์แดนเอ๋ย?
6 ภูเขาทั้งหลาย เหตุใดเจ้าจึงกระโดดราวกับแกะผู้ ?
เนินเขาทั้งหลาย เหตุใดเจ้าจึงกระโดดเหมือนกับลูกแกะ ?

ท่าทีต่อพระพักตร์พระเจ้า
7 โอแผ่นดินโลก จงตัวสั่นด้วยความกลัวต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ ต่อพระพักตร์พระเจ้าแห่งยาโคบ
8 พระองค์ทรงเปลี่ยนหินให้กลายเป็นสระน้ำ
และทรงเปลี่ยนหินเหล็กไฟให้กลายเป็นน้ำพุ

พระคำเชื่อมโยง

1* สดุดี 81:5; อพยพ 13:3, 12:41-42

2*อพยพ 29:45-46; 2 โครินธ์ 6:16-17; เอเสเคียล 37:26-28

3*สดุดี 77:6; อพยพ 14:21; โยชูวา 3:13-16

4*อพยพ 19:18; ฮาบากุก 3:6; ผู้วินิจฉัย 5:4-5

5*ฮาบากุก 3:8; เยเรมีย์ 47:6-7

6* สดุดี 114:4, 29:6

7* มีคาห์ 6:1-2; เยเรมีย์ 5:22; สดุดี 104:32

8* สดุดี 107:35, 105:41; เฉลยธรรมบัญญัติ 8:15

114:1-2 นี้ ผู้เขียนสดุดีบทนี้ ได้กล่าวถึงเหตุการณ์สำคัญที่เป็นศูนย์กลางของชีวิตอิสราเอล คือการที่พระเจ้าทรงนำพวกเขาออกมาจากอียิปต์  พระเจ้าเท่านั้นที่จะเข้ามาแทรกแซงความเป็นอยู่และเปลี่ยนแปลงวิถีจากทาสเป็นไทให้ได้  เพราะถ้ามนุษย์ต้องทำเอง เชลยในอียิปต์จะไม่มีโอกาสเป็นไทได้เลยสักคน   โลกของเรามีพระเจ้าทรงครอบครองอยู่ ไม่มีอะไรในชีวิตเราเกิดจากความบังเอิญ  วันทั้งสิ้นที่กำหนดให้ผู้เชื่อนั้น ถูกบันทึกไว้ในหนังสือของพระองค์ ตั้งแต่ยังไม่มีวันนั้นเลย 
เมื่อพวกเขาออกมาจากอียิปต์ ต้องทิ้งทุกอย่างไว้และไปข้างหน้าเท่านั้น และแล้วพวกเขาก็ได้เป็นคนที่ทรงเลือกในแผ่นดินที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้
ส่วนเหตุการณ์สำคัญที่สุดของพวกเราก็คือ การที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์ คืนพระชนม์เพื่อไถ่ชีวิตของเราให้กลับมาหาพระองค์ 
114:3 โดยการที่พระเจ้าทรงเข้ามาช่วยเหลืออย่างมหัศจรรย์ ทำให้ทะเลแดงเปิดออก อพยพ 14:21-22 และแม่น้ำจอร์แดนก็แยกออกเช่นกัน โยชูวา 3:14-16  ผู้เขียนพูดประโยคสั้น ๆ แต่เหตุการณ์นั้น ยิ่งใหญ่เกิดความคาดฝันของมนุษย์ 114:4 เหตุการณ์ภูเขาโลดเต้นนั้น เราอาจจะงงว่า หมายความอย่างไรหรือ นั่นคือ ภูเขาในซีนายได้สั่นสะเทือนเลื่อนลั่นเมื่อพระเจ้าทรงมอบบัญญัติสิบประการให้โมเสส เป็นวันที่พระเจ้าปรากฏพระองค์แก่มนุษย์ 
114:5-6 เป็นคำถามคล้าย ๆ กับจะหยอกเย้า ทั้งๆ ที่ผู้เขียนรู้อยู่แล้วว่า คำตอบคืออะไร  คำถามนี้เพื่อทำให้ธรรมชาติได้ตระหนักถึงความยิ่งใหญ่ ​ฤทธานุภาพของพระเจ้า 
114:7   เมื่ออยู่ต่อพระเจ้า จะเกิดการสั่นกลัว สั่นหวั่นไหวเพราะว่าพระเจ้าทรงฤทธานุภาพยิ่งนัก 114:8 พระเจ้าทรงทำให้หินกลายเป็นที่มาของน้ำจริง ๆ  น้ำไหลออกจากหินตามคำสั่งของโมเสส ในอพยพ 17:6-7  กันดารวิถี 20:11-13
พระเจ้าทรงรื้อฟื้นให้ความกระหายกลายเป็นความสดชื่นอิ่มใจ  พระเจ้าทรงรักษาชีวิตของพวกเขาในถิ่นกันดาร และพระองค์ยังทรงรักษาเราในวันนี้ด้วย 

การที่สดุดีบทนี้เน้นไปที่การอพยพออกจากอียิปต์  คนอิสราเอลในยุคต่อมาจึงใช้สดุดีบทนี้ในการระลึกถึงเหตุการณ์สำคัญดังกล่าว ใช้ร้องในพิธีเทศกาลปัสกา