ยอห์น 4 พบที่บ่อน้ำ

หญิงสะมาเรียกับน้ำชีวิต

เชื่อคำมั่นสัญญา

อธิบายเพิ่มเติม ยอห์น 4

พบที่บ่อน้ำ

ยอห์น 4:1-6  
การที่ฟาริสีรู้ว่า มีคนติดตามพระเยซูมากขึ้น ทำให้พระเยซูเองทรงหลีกเลี่ยงโดยเดินทางขึ้นไปกาลิลี ยังไม่ถึงเวลาที่จะเผชิญหน้ากับเหล่าผู้นำทางศาสนาพวกนี้
สมัยนั้น แคว้นสำคัญกาลิลี อยู่ภาคเหนือ  สะมาเรียอยู่ภาคกลาง และยูเดีย อยู่ทางใต้
พระองค์ทรงผ่านเมืองสิคาร์แคว้นสะมาเรีย ซึ่งเป็นเมืองที่ใกล้ที่ดินซึ่งยาโคบได้ให้โยเซฟลูกชาย ทรงพักเหนื่อยโดยนั่งลงข้างบ่อยาโคบ ประมาณเที่ยงวัน  ส่วนศิษย์ของพระองค์ออกไปซื้ออาหารในเมือง นานมาแล้ว โยเซฟเป็นคนที่ถูกพี่ชายขายไปอียิปต์  เขาพบกับความลำบากมากมายจนกระทั่งได้กลายเป็นอุปราชของอียิปต์  ได้สร้างระบบการจัดเก็บอาหารที่ทำให้คนในโลกโบราณนั้นต้องหันไปพึ่งพาอียิปต์ในช่วงเวลากันดารอาหาร (อ่านเรื่องโยเซฟได้ในปฐมกาล ตั้งแต่บทที่ 37-50)  ​​   คนสะมาเรียเป็นลูกหลานของโยเซฟ
หลังจากที่พระเยซูได้พบกับนิโคเดมัส อาจารย์ผู้ทรงเกียรติ เป็นฟาริสี เป็นผู้นำทางศาสนา  ต่อมาพระองค์มาพบอีกคนหนึ่งที่ตรงกันข้ามสิ้นเชิง  เธอเป็นผู้หญิงซึ่งยอห์นผู้เขียนไม่ได้เอ่ยนาม  เป็นชาวสะมาเรียที่ถูกรังเกียจ เรียกได้ว่าทุกด้านของชีวิตเธอไม่มีอะไรดูดีเลย   ไม่มียิวคนไหนคิดจะเป็นเพื่อนกับคนสะมาเรีย
คนสะมาเรียไม่ถูกกันกับคนกาลิลีทางเหนือและยูเดียทางใต้  ผู้คนเป็นลูกผสมจากคนต่างชาติที่อัสซีเรียส่งมาในอดีตเพื่อให้มีการแต่งงานข้ามเผ่าพันธ์ุ  คนต่างชาติเหล่านี้ก็ยังกราบไหว้รูปเคารพของพวกเขา  คนยิวส่วนใหญ่จึงมองพวกเขาเป็นคนสองเชื้อชาติ คนสะมาเรียจะนมัสการที่ภูเขาเกริซิม  และนับถือเฉพาะหนังสือของโมเสสห้าเล่ม  จะเห็นได้ว่าพวกเขานับถือพระเจ้าองค์เดียวกับคนยิว แต่มีความคิดเห็นแตกต่างกันหลายเรื่อง

ยอห์น 4:7-15  คุยกันขอน้ำเบื้องต้น …
ผู้ที่เริ่มการสนทนาคือ พระเยซู   พระองค์ขอน้ำดื่มจากหญิงชาวสะมาเรียที่ออกมาตักน้ำในเวลานั้นพอดี  แทนที่เธอจะให้น้ำดื่ม เธอถามกลับในทำนองที่ว่า  ชายยิวอย่างท่านมาพูดขอน้ำแบบนี้ได้ด้วยหรือ?
พระเยซูไม่คุยเรื่อยเปื่อย  ทรงพูดอย่างที่ทรงตั้งพระทัย  ทรงแนะนำว่าพระองค์เป็นผู้ประทานน้ำชีวิต  น้ำชีวิตที่หมายถึง น้ำฝ่ายวิญญาณที่ให้ชีวิต  แต่หญิงผู้นี้เข้าใจว่าเป็นน้ำที่เราดื่มกิน  พระเยซูทรงแนะให้เธอได้รู้ว่า พระองค์เท่านั้นคือ ผู้ที่จะให้น้ำชีวิตกับเธอได้  น้ำนั้นจะกลายเป็นน้ำพุพลุ่งภายในถึงชีวิตนิรันดร์  และพระองค์ทรงยินดีให้ถ้าเธอขอ จากการสนทนา เห็นชัดว่าเธอต้องการน้ำชีวิตดังกล่าว

ยอห์น 4:16-19
แต่พระเยซูทรงตัดการสนทนาด้วยการบอกให้เธอไปตามสามีมา   เธอบอกว่าไม่มี ตรงนี้เอง.. ที่พระองค์ทรงมีโอกาสบอกให้เธอรู้ว่า พระองค์ทรงรู้ชีวิตของเธอ มีสามีมาแล้ว 5  คน  คนที่อยู่ด้วยก็ไม่ใช่สามี  เธอต้องตกใจมาก ๆ ที่พระองค์ทรงรู้เช่นนั้น !  แน่นอนพระองค์ต้องรู้ความเป็นไปทุกอย่างในชีวิตที่ผ่านมา  ทำให้เวลานี้เธอเริ่มมั่นใจแล้วว่า บุรุษที่กำลังคุยกับเธอไม่ใช่คนธรรมดา เขาต้องมาจากพระเจ้า เธอบอกพระองค์ว่า “ดิฉันแน่ใจว่าพระองค์ทรงเป็นผู้เผยพระคำ”

ยอห์น 4: 20-21
เริ่มลึกขึ้นแล้ว ในเมื่อมาถึงจุดนี้ ทำไมไม่พูดประเด็นร้อนที่เป็นข้อถกเถียงของคนสะมาเรียกับคนยิวล่ะ 
เธอเปลี่ยนไปสนทนาเรื่องการนมัสการ  “บรรพบุรุษสะมาเรีย นมัสการที่ภูเขาเกริซิม  คนยิวให้นมัสการที่เยรูซาเล็ม”  เรื่องที่อยากรู้คือ จะให้นมัสการที่ไหนกันแน่ อะไรถูก อะไรผิด
แต่คำตอบของพระเยซูเกินคาดหมาย!

ยอห์น 4: 21-22
พระเยซูตรัสว่า “หญิงเอ๋ย เชื่อเราเถอะ” ( ทรงบอกเธอว่า สิ่งที่ตรัสเป็นความจริง) ทรงบอกว่าสถานที่ ไม่ใช่เรื่องสำคัญ  แต่ที่สำคัญคือนมัสการอย่างไร  “ใกล้เวลาที่ไม่ต้องนมัสการในทั้งสองที่นั้น .. ความรอดมาจากยิว”  นั่นคือความรอดมาจากเผ่ายูดาห์ (ปฐมกาล 49:10) พระเยซูทรงเป็นผู้สืบเชื้อสายมาจากเผ่ายูดาห์ด้วย   คนสะมาเรียเป็นลูกหลานของโยเซฟ

ยอห์น 4:23-26
“เวลามาถึง เมื่อพระบิดาทรงหาคนที่นมัสการพระองค์ด้วยจิตวิญญาณและความจริง”   ถึงเวลาแล้วจริง ๆ เพราะพระเยซูมาในโลก  ทำให้การนมัสการแบบเดิมสิ้นสุดลง  เวลาที่พระองค์จะถูกตรึงก็ใกล้เข้ามา  การที่พระเยซูตรัสเช่นนี้ อาจพูดได้ว่า พระบิดาทรงหาคนที่นมัสการด้วยวิญญาณจริง ๆ   (ตรงข้ามกับการนมัสการด้วยพิธี รูปแบบ ระเบียบวาระ ไร้จิตวิญญาณ พูดแต่ปากใจไม่จริง  มีแต่ท่าทางภายนอกในใจคิดเรื่องอื่น สนใจอย่างอื่น หน้าไหว้หลังหลอกในการนมัสการ)  การนมัสการที่แท้จริง มาจากคนที่เชื่อวางใจพระเยซู  ผ่านพระเยซู(ผู้ทรงเป็นความจริง) ไปสู่พระบิดาเจ้า(ผู้ทรงเป็นพระวิญญาณ)
ในขณะที่คนยิวคิดว่า พระเมสสิยาห์ทรงเป็นนักรบที่จะมาช่วยให้พวกเขาพ้นจากโรม คนสะมาเรียเชื่อเรื่องพระเมสสิยาห์เช่นกัน แต่พวกเขาเชื่อว่าทรงเป็นครู ทรงคล้ายโมเสส (เฉลยธรรมบัญญัติ 18:15-19) คู่สนทนาของพระเยซูเป็นหญิงสามัญ เป็นชาวเมืองที่อาจไม่เข้าใจทั้งหมดที่พระเยซูตรัส  เธอกล่าวถึงพระเมสสิยาห์ขึ้นมา  และเวลานั้นเอง พระองค์ก็ทรงเปิดเผยแก่เธอว่า พระองค์คือพระเมสสิยาห์ … นี่เป็นเกียรติสูงส่งที่เธอคนนี้ได้รับ  จากคำพูดนี้ทำให้เรารู้ว่า พระองค์ทรงเชิญให้เธอมาเชื่อในพระองค์เพื่อจะได้รับความรอด

ยอห์น 4: 27-30
ศิษย์ของพระเยซูกลับมาและเห็นพระองค์สนทนากับเธอ พวกเขาได้แต่คิดว่ามันเรื่องอะไรกัน แต่ก็ไม่พูดอะไรออกมา พวกเขาคงคิดแบบชายยิวทั่วไปว่า ไปพูดกับผู้หญิงเชื้อชาติผสมที่น่ารังเกียจได้อย่างไร  ขณะเดียวกัน เธอก็ทิ้งหม้อน้ำไว้ เพราะตื่นเต้นมาก  เธอรีบกลับไปในเมืองบอกใคร ๆ ว่าได้พบบุรุษท่านหนึ่งที่รู้ทุกอย่างในชีวิตของเธอ จากการสนทนา คำของเขา   เขาคนนี้น่าจะเป็นพระเมสสิยาห์ที่พวกเรารอกันมา นาน   เธอเชิญให้พวกเขาไปตัดสินเองว่า ใช่หรือไม่  พวกเขาก็ตื่นเต้นเช่นกันพากันออกไปดูให้เห็นกับตา

ยอห์น 4: 31-38 
ขณะที่ชาวเมืองกำลังเดินทางมา ศิษย์ก็คะยั้นคะยอให้พระอาจารย์กินอาหาร  แต่พระองค์กลับมีเรี่ยวแรงมากกว่าพวกเขาเสียอีก “อาหารของเราคือทำตามพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา และทำให้งานสำเร็จ”  อาหารของพระเยซูยอดกว่าอาหารตามธรรมชาติ เป็นการได้รับพลังจากการทำงานของพระบิดา พระเยซูกำลังชื่นชมยินดีกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า …
แล้วพระองค์ก็หันความสนใจของศิษย์ไปที่ทุ่งนา  ทรงเปรียบเทียบทุ่งนาที่กำลังพร้อมเก็บเกี่ยวกับดวงวิญญาณที่พร้อมจะรับการเก็บเกี่ยว   ขณะที่มองทุ่งนา พวกเขาก็เห็นคนชาวเมืองกำลังมุ่งหน้ามาทางบ่อน้ำยาโคบนี้ด้วย  … ข้าวกับคนที่พร้อมรับการเก็บเกี่ยวอยู่ต่อหน้าต่อตา คนเกี่ยวในบริบทนี้คือ พระเยซูกับศิษย์ของพระองค์  แต่คนหว่านนั้นคือผู้เผยพระคำของพระเจ้าที่พระเจ้าทรงส่งมาก่อนพระองค์ รวมไปถึงโมเสสผู้เขียนพระคัมภีร์ที่คนสะมาเรียเหล่านี้เชื่อถือ  พระเยซูตรัสให้สาวกเข้าใจว่า ผู้ออกแรงทำงานมีทั้งคนหว่านและคนเกี่ยว ทั้งสองทำงานร่วมกัน อาจไม่ได้อยู่ในยุคเดียวกัน หรือที่ ๆ เดียวกัน  การเกี่ยวนั้นได้รับผลดีของการหว่าน ผู้ทำงานทั้งสองแบบก็จะทั้งได้รางวัล ได้ชื่นชมไปด้วยกัน

ยอห์น 4: 39-42
แล้วชาวเมืองก็ได้ยินพระเยซู  ตอนแรกสนใจจะเชื่อเพราะคำของหญิงนั้น แต่บัดนี้พวกเขาเชื่อเพราะได้ยินคำจากพระเยซูโดยตรง  พวกเขาสรุปว่า พระเยซูคือ พระผู้ช่วยให้รอดของโลก  พวกเขายังขอให้พระองค์พักอยู่อีกสองวัน เป็นวันที่มหัศจรรย์ที่สุดในประวัติศาสตร์สะมาเรีย! ยิ่งกว่านั้น จากการหว่านของพระเยซูในครั้งนี้ ต่อมาฟีลิปก็ได้เข้าไปในแคว้นสะมาเรีย และประกาศ ได้เก็บเกี่ยวอย่างเกิดผลอีกด้วย (กิจการ 8:4-8)

เชื่อคำมั่นสัญญา

ยอห์น 4: 43-45  พระเยซูเคยตรัสว่า ผู้เผยพระคำไม่ได้รับเกียรติในบ้านเกิดของตน  มีหลายความคิดในเรื่องนี้ บางคนว่ายอห์นกำลังบอกว่า คนในยูเดียซึ่งเป็นคนในเขตบ้านเกิดของพระองค์ (เบธเลเฮม)   ไม่ต้อนรับพระองค์เหมือนกับคนเมืองอื่น ๆ   คน ในกาลิลีก็ต้อนรับพระองค์ดีกว่า บางคนว่า ยอห์นกำลังบอกว่า คนในกาลิลีต้อนรับพระองค์ก็จริง แต่เป็นเพราะพระองค์ทำการอัศจรรย์ ไม่ได้เป็นเพราะพระองค์คือผู้ที่มาจากพระเจ้า ที่แน่ ๆ คือ คนสะมาเรียรับพระเยซูในฐานะที่พระองค์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของโลก   ในเรื่องนี้ เราน่าดีใจกับคนสะมาเรียจริง ๆ

ยอห์น 4:46-54
ข้าราชการที่ยอห์นกล่าวถึงมีลูกชายป่วยหนัก  แต่ได้ข่าวว่าพระเยซูมาเมืองใกล้ ๆ ประมาณ 21 กิโลเมตร เขาเดินทางมาขอให้พระเยซูเดินทางไปรักษาลูกชาย  เขารู้ว่าพระเยซูรักษาโรคได้ เพราะน่าจะเคยได้ยินข่าวเหล่านี้มาก่อน  คำตรัสของพระเยซูดูเหมือนห้วน สั้น ไม่ได้ยินดีจะรักษาเลย “หากท่านไม่เห็นหมายสำคัญและการอัศจรรย์ท่านจะไม่เชื่อ”   แต่จริงแล้ว พระเยซูทรงต้องการให้เขาไม่ใช่แค่เชื่อการรักษาโรค แต่เชื่อพระองค์ในฐานะที่ทรงเป็นพระเจ้า 
ข้าราชการยังขอร้องพระองค์อีกครั้ง แต่พระเยซูไม่ทำตามคำขอ  กลับทรงให้สัญญาว่า ลูกชายจะมีชีวิต เขาฉวยพระสัญญานั้นทันที กลับบ้านไม่รั้งรอ   เห็นเลยว่าเขาเชื่อคำสัญญานั้น เชื่อว่าพระองค์จะทรงรักษาลูกชายแม้อยู่ไกล  “เขาเชื่อคำของพระองค์”  นี่เป็นความเชื่อแม้ไม่มีสิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้นให้เห็นกับตา
ตอนที่พระเยซูทรงสัญญากับเขานั้นเป็นเวลาประมาณบ่ายโมง  ระหว่างทางกลับบ้าน เขาได้พบคนรับใช้ที่นำข่าวดีมาบอกว่า ลูกชายหายตอนบ่ายโมงพอดี!  เขาและครอบครังจึงเชื่อพระองค์
ยอห์น ผู้เขียนได้บันทึกว่า หมายสำคัญแรกคือการเปลี่ยนน้ำเป็นเหล้าองุ่นเป็นการเปลี่ยนสภาพสสารจากน้ำเป็นเหล้า   หมายสำคัญที่สองคือการรักษาเด็กชายระยะไกล  ยอห์นทำให้เราเห็นภาพว่า ในยูเดียทางใต้กับในกาลิลีทางเหนือนั้น การตอบรับพระเยซูต่างกันมากทีเดียว