สดุดี 37 ความแตกต่างของชีวิตอธรรมกับชีวิตเที่ยงธรรม

ภาพของ Vasily Surikov “The old man gardener” วาดเมื่อปี 1888

สดุดีของดาวิด
ไม่ต้องกังวลเรื่องคนชั่ว
1 อย่ากังวลใจไปเพราะคนทำความชั่ว
อย่าอิจฉาเหล่าคนที่ล่วงละเมิด
2 เพราะไม่นานนัก พวกเขาจะถูกโค่นลงเหมือนอย่างหญ้า
พวกเขาจะเป็นเหมือนต้นผักที่เหี่ยวแห้งไป

มั่นใจ วางใจในพระเจ้า
3 จงวางใจในพระยาห์เวห์และทำความดี
อาศัยในแผ่นดิน และ เลี้ยงดูชีวิตด้วยความซื่อตรงของพระองค์
4 ให้ใจของเจ้ายินดีในพระยาห์เวห์
และพระองค์จะประทานตามใจปรารถนาของเจ้า
5 จงมอบทางของเจ้าไว้ให้กับพระยาห์เวห์
และวางใจในพระองค์ และพระองค์จะทรงทำให้สำเร็จ
6 พระองค์จะทรงนำความเที่ยงธรรมของเจ้าออกมาดั่งแสงสว่าง
และความยุติธรรมของเจ้าราวกับเที่ยงวัน
7 จงพักในพระยาห์เวห์ และรอคอยพระองค์อย่างอดทน
อย่ากังวลใจไปเพราะคนที่รุ่งเรืองในทางชั่วร้ายของเขา
8 หยุดโกรธ และทิ้งความขุ่นเคืองออกไป
อย่ากังวลเพราะมีแต่จะสร้างความยุ่งยาก

ทรงลงโทษคนอธรรม และให้รางวัลคนใจถ่อม
9 เพราะคนทำชั่วจะถูกตัดออก
แต่คนที่รอคอยพระยาห์เวห์จะได้รับแผ่นดินโลกเป็นมรดก
10 เพราะอีกสักพัก คนชั่วก็จะไม่มีอยู่อีกต่อไป
จริง ๆ แล้ว หากเจ้าพยายามหาที่ของเขา มันก็ไม่มีอยู่อีกต่อไป
11 แต่คนใจถ่อมจะได้รับแผ่นดินโลกเป็นมรดก
เขาจะยินดีในสันติสุขที่มากมาย

สุดทางชีวิตของคนอธรรม
12 คนชั่ววางแผนร้ายต่อต้านคนเที่ยงธรรม
และยังขบเขี้ยวเคี้ยวฟันใส่เขาอีก
13 องค์เจ้านายทรงสรวลเยาะพวกเขา
เพราะพระองค์ทรงเห็นวันพินาศของพวกเขา
14 คนชั่วชักดาบออกมา และโก่งคันธนู
ไปยังคนยากจนและคนยากไร้เพื่อคว่ำพวกเขา
เพื่อเอาชีวิตของคนที่ทำสิ่งถูกต้อง
15 ดาบของพวกเขาจะหันกลับไปแทงใจของพวกเขาเอง
ธนูของเขาจะถูกหักเสีย

หนทางดี ๆ ของคนเที่ยงธรรม
16 น้อย ๆ ที่คนชอบธรรมมีก็ดีกว่า
ความมั่งคั่งของคนอธรรมมากมาย
17 เพราะแขนของคนชั่วจะถูกหัก
แต่พระยาห์เวห์จะทรงอุ้มชูคนเที่ยงธรรม
18 พระยาห์เวห์ทรงรู้วันเวลาของคนเที่ยงธรรม
และมรดกของเขาจะมีอยู่สืบไป
19 พวกเขาจะไม่ต้องอับอายในเวลาชั่วร้าย
และในเวลากันดารอาหารพวกเขาจะอิ่ม
20 แต่คนชั่วและศัตรูของพระยาห์เวห์จะพินาศ
พวกเขาระเหยหายไปราวกับความงามของทุ่งหญ้า
ที่เลือนหายไป
21 คนชั่วยืม และไม่ยอมคืน
แต่คนชอบธรรม แสดงใจเมตตาและให้เสมอ
22เพราะคนที่พระเจ้าทรงอวยพรจะได้รับแผ่นดินโลกเป็นมรดก
แต่คนที่พระองค์ทรงสาปแช่งจะถูกตัดออกไป
23 พระยาห์เวห์ทรงนำก้าวย่างของคนดี
และพระองค์ทรงยินดีในทางของเขา
24 แม้เขาล้ม เขาจะไม่เสียหายอย่างสิ้นเชิง
เพราะพระยาห์เวห์ทรงอุ้มชูเขาด้วยพระหัตถ์

สติปัญญาจากบุรุษที่ตามติดพระทัยพระเจ้า
25 ข้าเคยเป็นหนุ่มและบัดนี้ชราแล้ว
แต่ข้าไม่เคยเห็นคนเที่ยงธรรมถูกทอดทิ้ง
หรือลูกหลานของเขาต้องขอทาน
26 เขามีใจเมตตา ให้ยืมเสมอ
ลูกหลานของเขาได้รับพระพร
27 จงหนีจากความชั่วและทำความดี
และดำรงชีวิตตลอดไป
28 เพราะพระยาห์เวห์ทรงรักความยุติธรรม
และไม่ทรงทอดทิ้งวิสุทธิชนของพระองค์
พระองค์ทรงรักษาพวกเขาตลอดไป
แต่ลูกหลานของคนชั่วจะถูกตัดออก
29 คนเที่ยงธรรมจะได้รับแผ่นดินเป็นมรดก
พวกเขาจะอาศัยในแผ่นดินตลอดไป
30 ปากของคนเที่ยงธรรมกล่าวสติปัญญา
และลิ้นของเขาพูดถึงความยุติธรรม
31 บัญญัติของพระเจ้าของเขาก็อยู่ในใจเขา
ไม่มีคนใดจะก้าวลื่นล้มไป
32 แต่คนชั่วร้ายเฝ้ามองคนเที่ยงธรรม
และพยายามที่จะสังหารเขา
33 พระยาห์เวห์จะไม่ทรงให้เขาตกในเงื้อมมือของคนชั่ว
จะไม่ทรงปรับโทษเมื่อทรงพิพากษา
34 จงรอคอยพระยาห์เวห์ และรักษาทางของพระองค์
และพระองค์จะทรงยกเจ้าขึ้น
เพื่อให้เจ้ารับแผ่นดินเป็นมรดก
และเจ้าจะเห็นพระองค์ทรงตัดคนอธรรม
ออกไปจากแผ่นดิน

ปลายทางของคนสองแบบ
35 ข้าได้เห็นคนชั่วร้ายที่มีอำนาจมาก
และแผ่อำนาจของเขาออกไปราวกับต้นไม้เขียว
36 แต่แล้วเขาก็ตายไป และดูเถิด ไม่มีเขาอีกแล้ว
ถึงแม้ข้าพยายามหาเขา แต่ก็ไม่พบ
37 จงมองดูคนที่ไร้ตำหนิ และสังเกตคนที่เที่ยงธรรม
เพราะอนาคตของเขาคือสันติสุข
38 แต่คนที่ล่วงละเมิดจะถูกทำลาย
อนาคตของคนชั่วร้ายจะถูกตัดเสีย
39 แต่ความรอดของคนเที่ยงธรรมมาจากพระยาห์เวห์
พระองค์ทรงเป็นกำลังของพวกเขาในยามยากลำบาก
40 และพระยาห์เวห์จะทรงช่วยพวกเขา จะทรงช่วยกู้พวกเขา
พระองค์จะทรงช่วยพวกเขาให้พ้นจากคนชั่วร้าย
ทำให้พวกเขารอดพ้น เพราะพวกเขาวางใจในพระองค์

พระคำเชื่อมโยง

1* สดุดี 73:3; สุภาษิต 23:17

2* โยบ 14:2; สดุดี 90:5

3* เยเรมีย์ 17:7-8; มัทธิว 6:31-33

4*โยบ 22:26; สดุดี 94:19

5*สดุดี 55:22; สุภาษิต 16:3

6*โยบ11:17; อิสยาห์ 58:8,10

7* ยากอบ 5:7-11; ฮีบรู 10:36-37

8*สุภาษิต 14:29; 16:32; เอเฟซัส 4:31

9* อิสยาห์ 60:21; 57:13; สดุดี 25:13

10* โยบ 24:24; 7:10 ; วิวรณ์ 6:10-11

11* มัทธิว 5:5; กาลาเทีย 5:22-23

12* สดุดี 35:16; 31:13; มีคาห์ 2:1

13* สดุดี 2:4; สุภาษิต 1:26

14* สุภาษิต 29:27; สดุดี 11:2

15* สดุดี 7:14-15; 35:8

16*สุภาษิต 16:8; 15:16-17; 1 ทิโมธี 6:6

17* สดุดี 145:14; 63:8; อิสยาห์ 41:10

18* สดุดี 1:6; 103:17; 1 เปโตร 1:4-5

19* สดุดี 33:19 ; อิสยาห์ 33:16

20* สดุดี 102:3; 68:2 ; ลูกา 13:3

21* ฮีบรู 13:16; สดุดี 112:5;

22* สุภาษิต 3:33; 1 โครินธ์ 16:22; สดุดี 37:9

23* สุภาษิต 16:9; 4:26; สดุดี 40:2

24* สุภาษิต 24:16; สดุดี 145:14

25* ฮีบรู 13:5; สดุดี 25:13; 112:2

26* สดุดี 112:5,9; มัทธิว 5:7

27*สดุดี 34:14; 1 ยอห์น 2:16-17

28* สุภาษิต 2:22; สดุดี 21:10; อิสยาห์ 59:21

29* วิวรณ์ 21:7; 2 เปโตร. 3:13

30* สุภาษิต 25:11-13; โคโลสี 4:6

31* เฉลยธรรมบัญญัติ 6:6; สดุดี 40:8; เยเรมีย์ 31:33

32* สดุดี 10:8-10; ลูกา 20:20

33* 2 เปโตร 2:9; สดุดี 109:31

34* สดุดี 27:14; มัทธิว 24:13

35* สดุดี 73:3-11

36*สดุดี 37:10; อิสยาห์ 10:33-34

37*อิสยาห์ 32:17; 2 ทิโมธี 4:6-8

38*สุภาษิต 14:32; สดุดี52:5

39* สดุดี 9:9; 91:15

40* อิสยาห์ 31:5

สดุดีบทนี้มีความคล้ายคลึงกับสุภาษิตมาก เพราะสอนมนุษย์ให้รู้จักคิดในมุมมองของพระเจ้า เพราะมนุษย์มักจะถามว่า “ทำไมคนชั่วจึงรุ่งเรือง? ทำไมพระเจ้าปล่อยให้เขาโอหังนานนัก?

ภาพของ Vasily Surikov “The old man gardener” วาดเมื่อปี 1888

อธิบายสรุปย่อ

สดุดี 37:1-2
ไม่ต้องกังวลเรื่องคนชั่ว
ข้อความนี้ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ต่อสู้กับสิ่งที่ชั่ว สิ่งที่ทำลายคนอื่น เราต่อสู้ แต่เราไม่ต้องกังวล ไม่ต้องรู้สึกอิจฉาคนผิด เพราะพวกเขาสมควรที่จะโดนทำลายอย่างในข้อ 2 อยู่แล้ว

สดุดี 37:3-8
มั่นใจ วางใจในพระเจ้า
พระคำหกข้อดังกล่าว เป็นสุด ๆ ของพระคำสำหรับคนยุคนี้ เพราะว่าเราเห็นชัด ว่าคนชั่วมักรุ่งเรือง มีชื่อเสียง มีอำนาจ อย่าลืมว่าโลกนี้กำลังเห็นผิดเป็นถูก ถูกเป็นผิด
เราจึงมีโอกาสที่จะทำตามพระคำตอนนี้ และจะได้รู้ว่าพระเจ้าจะทรงทำอย่างไรกับชีวิตของเรา สิ่งสำคัญคือ ไม่ต้องกังวลใจ ทำหน้าที่ของเราในฐานะพลเมืองและคนของพระเจ้าตามแบบของพระองค์ ถ้าจะต้องสู้เรื่องอะไร เราก็จะรู้ และพระเจ้าจะทรงนำให้สู้อย่างถูกต้อง ตามวิถีของพระองค์

สดุดี 37:9-11
พระเจ้าทรงลงโทษคนอธรรม และให้รางวัลคนใจถ่อม
กษัตริย์ดาวิดเน้นการรอคอยพระเจ้า จากข้อ 7,9,34 การรอคอยพระเจ้าไม่ใช่นั่งเฉย ๆ แต่เป็นการผูกพันกับพระองค์มากขึ้น และมากขึ้น เหมือนกับคนที่กำลังทอเชือกให้ยาวให้แข็งแรง ใช้เวลาอยู่กับพระองค์ คนที่รอพระเจ้าจะได้รับแผ่นดินเป็นมรดก นั่นคือ การรับพระพรอย่างเต็มบริบูรณ์

สดุดี 37:12-15
สุดทางชีวิตของคนอธรรม
คนชั่วมัวแต่วางแผนกำจัดคนเที่ยงธรรม แต่พระเจ้าทรงเห็นทุกอย่างล่วงหน้าว่าพวกเขาจะพินาศ
เมื่อพวกเขาทำร้ายคนจน สิ่งที่เขาทำจะหวนกลับมาทำลายพวกเขาเอง เราก็เห็นสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นในโลกเช่นกัน

สดุดี 37:16-24
หนทางดี ๆ ของคนเที่ยงธรรม
กษัตริย์ดาวิดเข้าใจว่าพระเจ้าจะทรงทำอะไรกับคนเที่ยงธรรม คือคนที่วางใจในพระองค์ และอะไรจะเกิดขึ้นกับคนอธรรม ท่านจึงเขียนลงมาให้เห็นเป็นรายการอย่างชัดเจน ลองขีดเส้นคนละสีดูว่า สิ่งที่แตกต่างของคนอธรรมกับคนชอบธรรมนั้นเป็นอย่างไร ทรงอุ้มชูเขาด้วยพระหัตถ์

สดุดี 37:25-34
สติปัญญาจากบุรุษที่ตามติดพระทัยพระเจ้า
สิ่งที่ชัดเจนจากกษัตริย์ดาวิดคือ ท่านไม่เคยเห็นคนของพระเจ้าถูกทอดทิ้ง … พวกเขาจะมีทางไปเสมอ แม้ทางดูว่าเป็นทางตัน แต่พระเจ้าก็เปิดประตูให้ เขาไปต่อได้ และไม่นั่งนิ่งเฉย ๆ รอความช่วยเหลือของมนุษย์
ในข้อ 27 ท่านเตือนให้หนีความชั่ว ทำความดี เป็นการใช้ชีวิตแบบที่ถูกต้องต่อพระเจ้า
ข้อ 30-31 พระคำของพระเจ้าอยู่ในใจและปากของเขา เขารอคอยพระองค์ รักษาทางของพระเจ้า
และพระเจ้าจะทรงทำตามพระสัญญาของพระองค์ ในข้อ 34

สดุดี 37:35-40
ปลายทางของคนสองแบบ
แล้วกษัตริย์ดาวิดก็มาสรุปอีกครั้งว่า ทางของคนชอบธรรมนั้น แม้จะยากลำบากพระเจ้าก็ทรงเป็นกำลังของเขา เราจึงเห็นว่า ถึงแม้คนของพระองค์ถูกข่มเหง ถูกห้ามไม่ใช่เชื่อพระองค์ ถูกเจ้าหน้าที่รัฐตามตัว หรือถูกกลุ่มผู้ก่อการร้ายตามฆ่า พวกเขาก็ยังไม่กลัวคนเหล่านั้น เพราะว่าพระเจ้าทรงเป็นจริงในชีวิตให้เขาได้รู้ว่า พระองค์ทรงอยู่ด้วยจริง ๆ และแม้กระทั่งถึงจะเสียชีวิตไป แต่พวกเขาก็จะมีชีวิตที่รอดพ้นจากความตาย แต่จะได้อยู่กับพระเจ้าเป็นนิตย์

สดุดี 36 มนุษย์ชั่ว แต่พระเจ้าทรงดีเหลือเกิน

ฟ้าที่อยุธยา

ถึงหัวหน้านักร้อง ของดาวิด ผู้รับใช้พระยาห์เวห์
ความชั่วร้ายของมนุษย์
1 คนชั่วนั้น ชั่วถึงกระดูก
เขาไม่เกรงกลัวพระเจ้าเลย
2 เขาหยิ่งเกินไปที่จะรับรู้ว่าตนบาป
และไม่อาจเลิกทำบาปได้
3 คำจากปากของเขาทั้งชั่วร้ายและล่อหลอก
เขาหยุดที่จะทำอย่างคนฉลาด หยุดที่จะทำดี
4 แม้กระทั่งบนที่นอน เขาก็ยังคิดแผนชั่ว
ตั้งใจไปในทางที่ไม่ดี เขาไม่เกลียดชังความชั่วเลย

พระเจ้าทรงเป็นที่สุดของที่สุด
5 โอ พระยาห์เวห์ ความรักมั่นคงของพระองค์สูงถึงฟ้า
และความซื่อตรงของพระองค์สูงถึงเมฆ
6 ความเที่ยงธรรมของพระองค์ เป็นเหมือนกับภูเขาสูงที่สุด
การพิพากษาของพระองค์เป็นเหมือนทะเลลึกที่สุด
โอ พระยาห์เวห์ พระองค์ทรงรักษาทั้งมนุษย์และสัตว์ไว้
7 โอ พระเจ้าข้า
ความรักมั่นคงของพระองค์นั้นทรงคุณค่ามากเท่าใด
ดังนั้น ลูกหลานของมนุษย์ภายใต้ร่มปีกของพระองค์
จึงวางใจในพระองค์
ชีวิตของผู้ที่ติดตามพระเจ้า
8 พวกเขาเต็มอิ่มกับความมั่งคั่งจากพระวิหาร
และพระองค์ทรงให้พวกเขาดื่มจากธารน้ำ
แห่งความโปรดปรานของพระองค์
9 เพราะน้ำพุแห่งชีวิตอยู่กับพระองค์​
เราเห็นทุกสิ่งใดเพราะแสงสว่างจากพระองค์
10 ขอทรงยืนยันความรักมั่นคงต่อคนที่รู้จักพระองค์
และทรงยืนยันความเที่ยงธรรมของพระองค์
ต่อคนที่มีใจเที่ยงตรง
11 ขอโปรดอย่าให้เท้าของคนเย่อหยิ่งมาต่อสู้ข้า
หรือมือของคนชั่วร้ายมาไล่ข้าออกไป
12คนที่ทำความชั่วล้มลงไป
พวกเขาถูกโยนทิ้งไป และไม่อาจที่จะลุกขึ้นมาได้อีกเลย

พระคัมภีร์เชื่อมโยง

1* โรม 3:18; สุภาษิต 16:6

2*สดุดี 49:38; เฉลยธรรมบัญญัติ 29:19

3*เยเรมีย์ 4:22; สดุดี 55:21

4*มีคาห์ 2:1; สุภาษิต 4:16

5* สดุดี 108:4; อิสยาห์ 55:7-9

6*โรม 11:33, สดุดี 145:9

7*สดุดี 86:5; 1ยอห์น 3:1

8* สดุดี65:4; 16:11; อิสยาห์ 25:6

9* ยอห์น 8:12; 4:10,14 ; 1 ยอห์น 1:7

10* เยเรมีย์ 22:16; ฮีบรู 8:11

11*สดุดี 119:69; 17:8-14

12* สดุดี 1:5 ; วิวรณ์ 19:1-6

ราชาดาวิดเรียกตัวท่านเองว่า ผู้รับใช้ของพระยาห์เวห์เฉพาะในสดุดีบทที่ 18 และบทนี้เท่านั้น เข้าใจว่าบทที่ 36 เขียนเมื่อยังหนุ่ม และบทที่ 18 เป็นตอนที่ท่านอายุมากแล้ว

สดุดี 36:1-4
ความชั่วร้ายของมนุษย์
ลักษณะของคนที่ชั่วร้ายเกิดจากใจที่ไม่เกรงกลัวพระเจ้าก่อน เขาไม่คิดว่าเขาจะต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง สังเกตได้ว่าคนที่ทำชั่วจนเป็นนิสัย เขาคิดไม่ออกว่าสิ่งที่เขาทำนั้นผิดต่อผู้อื่นขนาดไหน เขาสามารถพูดโกหก พูดโกงต่อหน้าต่อตา ต่อประชาชนมากมายโดยไม่รู้ตัวเลยว่า ใคร ๆ ก็เห็นกึ๋นของเขา ท่านดาวิดได้บรรยายความชัดเจนมาก ท่านเห็นคนแบบนี้มาแล้วว่า ก่อนจะหลับไปยังคิดแผนชั่วได้ด้วย

สดุดี 36:5-7
พระเจ้าทรงเป็นที่สุดของที่สุด
คราวนี้ ท่านดาวิดได้หันกลับไปหาพระเจ้าผู้ประเสริฐ แตกต่างจากมนุษย์ที่ท่านกล่าวถึงในสี่ข้อแรกอย่างสิ้นเชิง เราควรที่จะเก็บพระคำข้อ 5-10 นี้ไว้ในใจของเรา จำเอาไว้ ท่องจำ มั่นใจในความดีของพระเจ้าตามที่ท่านดาวิดได้บอกเรา.
ความรักมั่นคงของพระเจ้า สูงถึงฟ้า ทรงคุณค่า (7) = มหาศาล ครอบคลุมทุกแห่ง
ความซื่อตรงของพระเจ้า สูงถึงเมฆ = เยอะมาก สวยงาม อยู่ล้อมเรา ให้เราเห็นเสมอ
ความเที่ยงธรรมของพระเจ้า เหมือนภูเขาสูงที่สุด= มองเห็นแต่ไกล เข้มแข็ง มั่นคง ไม่คลอนแคลน
การพิพากษาของพระองค์ เหมือนทะเลลึก = ลึกล้ำ เราอาจหยั่งถึงไม่หมด
ร่มปีกของพระองค์ เป็นที่พักพิง หลบภัยของเรา

สดุดี 36:8-12
ชีวิตของผู้ที่ติดตามพระเจ้า
ใครที่อยู่ในพระเจ้า เขาจะเต็มบริบูรณ์ในวิญญาณของเขาเพราะพระวิหารของพระเจ้านั้นมั่งคั่ง สมบูรณ์ พระวิหารนั้นเป็นของพระเจ้าแต่ก็เป็นของเขาด้วย เพราะเขาเป็นลูกของพระองค์
ชีวิตใครที่มีความโปรดปรานของพระเจ้าอยู่ ถึงแม้เขาไม่รู้ แต่ถ้าหากเขาดูดี ๆ มองให้ออก เขาจึงจะเข้าใจว่า เมื่อพระเจ้าโปรดปรานใคร มันแตกต่างจากคนที่ไม่ทรงโปรดปรานอย่างไร
แค่นั้นยังไม่พอ เรายังมีน้ำพุแห่งชีวิตที่ทำให้สดชื่น ให้ชีวิต รวมไปถึงที่เราจะมองเห็นทุกอย่างด้วยความเข้าใจเพราะพระเจ้าให้แสงสว่างของพระองค์ ช่วยให้เราเห็นทุกสิ่งอย่างชัดเจน
จากนั้นราชาดาวิดทูลขอพระเจ้าทรงย้ำเตือนความรักมั่นคงให้กับคนของพระองค์และไม่ให้คนชั่วมาทำอันตรายคนของพระองค์ได้
นี่เป็นคำอธิษฐานที่เราจะอธิษฐานเผื่อเพื่อนผู้เชื่อในประเทศที่ต้องถูกข่มเหงได้
อย่าลืมว่าพี่น้องคริสเตียนต้องอธิษฐานเผื่อกันและกันแม้จะไม่รู้จักกันเป็นส่วนตัว

1 ยอห์น 4 รักพี่น้อง..สำคัญนัก

วิญญาณแท้และวิญญาณปลอม

พี่น้องที่รัก
อย่าเชื่อวิญญาณใด ๆ แต่ให้พิสูจน์ว่า วิญญาณนั้นมาจากพระเจ้าหรือไม่ เพราะมีผู้เผยพระคำปลอม
มากมายที่ออกมาในโลก
1 ยอห์น 4:1

1 ยอห์น 2:22; 4:2,15; ยอห์น 1:13; 1 เธสะโลนิาก 5:21

วิธีที่ท่านจะรู้ว่าวิญญาณนั้นมาจากพระเจ้าก็คือ
ทุกวิญญาณที่ยอมรับว่า
พระเยซูคริสต์ผู้ทรงมาเป็นมนุษย์มาจากพระเจ้า

และวิญญาณใดไม่ยอมรับพระเยซูก็ไม่ได้มาจากพระเจ้า และเป็นวิญญาณที่เป็นศัตรูของพระคริสต์ ซึ่งท่านเคยได้ยินว่ากำลังมา
และบัดนี้ก็มาอยู่ในโลกแล้ว
1 ยอห์น 4:2-3

1 โครินธิ์ 12:3; ยอห์น 1:14; 1 ยอห์น 4:3; 2:22; 2 ยอห์น 1:7

ลูกเล็ก ๆ เอ๋ย ท่านมีชัยชนะเหนือเขาเหล่านั้น เพราะว่า พระองค์ผู้สถิตในท่าน
ทรงเป็นใหญ่กว่าผู้ที่อยู่ในโลก
พวกเขาเป็นฝ่ายโลก และก็พูดตาม แบบของโลก และโลกก็เชื่อฟังเขา
1 ยอห์น 4:4-5

โรม 8:31,37; 1 ยอห์น 5:4;
ยอห์น 8:23; 2 เปโตร 2:2-3; ยอห์น 17:14

เราเป็นฝ่ายของพระเจ้า คนที่รู้จักพระเจ้าจะฟังเรา ผู้ที่ไม่ได้มาจากพระเจ้าจะไม่ฟังเรา
ดังนั้น เราจึงรู้จักวิญญาณของความจริง
และวิญญาณที่หลอกลวง
1 ยอห์น 4:6

ยอห์น 14:17; 10:27; 8:45-50; 1 ยอห์น 4:1

รักกันและกัน

1 ยอห์น 4:20-5:1; 1 เปโตร 1:22; 1 เธสะโลนิกา 4:9-10;
2 โครินธ์ 13:11; สดุดี 86:15; เอเฟซัส 2:4

ท่านที่รัก
ให้เรารักซึ่งกันและกัน
เพราะความรักมาจากพระเจ้า
และทุกคนที่รักก็เกิดจากพระเจ้าและรู้จักพระองค์
คนที่ไม่รักก็ไม่รู้จักพระเจ้า
เพราะพระเจ้าทรงเป็นความรัก
1 ยอห์น 4:7-8

ความรักของพระเจ้าได้สำแดงแก่เรา
ก็โดยที่พระเจ้าทรงส่งพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เข้ามาในโลกเพื่อว่าเราจะได้มีชีวิตโดยพระบุตรนั้น
1 ยอห์น 4:9

ยอห์น 3:16; 6:57; 1 ยอห์น 5:11; โรม 8:32; ยอห์น 10:10

และนี่คือความรัก ไม่ใช่ว่าเรารักพระเจ้า
แต่พระองค์ทรงรักเรา
และทรงส่งพระบุตรของพระองค์มา
เพื่อเป็นเครื่องบูชาลบบาปของเรา
1 ยอห์น 4:10

เอเฟซัส 2:4-5; โรม 5:8-10; 1 ยอห์น 2:2 ; ยอห์น 15:16

ภาพ Agnus Dei c. 1635–1640, วาดโดย Francisco de Zurbarán, Prado Museum

ท่านที่รัก
หากพระเจ้าทรงรักเรามากเช่นนั้น
เราจึงควรรักกันและกันด้วย
ไม่มีใครเคยเห็นพระเจ้า ไม่ว่าเวลาใด
ถ้าเรารักกันและกัน พระเจ้าก็ทรงดำรงในเรา
และความรักของพระองค์ ก็สมบูรณ์อยู่ในเรา
1 ยอห์น 4:11-12

โคโลสี 3:13; ยอห์น 15:12-13; 1 ยอห์น 3:23
ยอห์น 1:18; 1 ยอห์น 2:5; 1 ทิโมธี 6:16

เพราะอย่างนี้
เราจึงรู้ว่าเราดำรงในพระองค์ และพระองค์ทรงดำรงในเรา เพราะพระองค์ประทานพระวิญญาณของพระองค์ให้แก่เรา
1 ยอห์น 4:13

เอเฟซัส 2:20-22; 1 ยอห์น 3:24

พวกเราได้เห็น
และเป็นพยานว่า
พระบิดาได้ทรงส่งพระบุตรลงมาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของโลก
คนใดยอมรับว่า
พระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า พระเจ้าก็สถิตในเขา และเขาอยู่ในพระองค์
1 ยอห์น 4:14-15

ยอห์น 4:42; 1:29; ยอห์น 15:26-27;
โรม 10:9; 1 ยอห์น 5:5; 3:24; มัทธิว 10:32

และเราได้มารู้จัก
และเชื่อในความรัก
ที่พระเจ้าทรงมีให้เรา
พระเจ้าทรงเป็นความรัก
และคนที่อยู่ในความรัก
ก็อยู่ใน พระเจ้า
และพระเจ้าสถิตในเขา
1 ยอห์น 4:16

1 ยอห์น 3:24; 3:16; สดุดี 36:7-9; อิสยาห์ 64:4

เพราะเป็นอย่างนี้ ความรักจึงสมบูรณ์
1 ยอห์น 4:17

1 ยอห์น 2:28; 3:3; 2:5; โรม 8:29

ในความรักไม่มีความกลัว แต่รักที่สมบูรณ์แบบก็จะขจัดความกลัวออกไปเพราะความกลัวนั้น เกี่ยวพันกับการลงโทษ และคนที่กลัวก็ไม่ได้รักอย่างสมบูรณ์แบบ
1 ยอห์น 4:18

2 ทิโมธี 1:7; โรม 8:15

เรารัก
เพราะพระองค์ทรงรักเราก่อน
ถอดความจาก 1 ยอห์น 4:19

ยอห์น 3:16; 15:16; ทิตัส 3:3-5

หากใครคนหนึ่งกล่าวว่า “ฉันรักพระเจ้า”
แต่ยังคงเกลียดพี่น้องของตน
คนนั้นก็พูดมุสา
คนที่ไม่รักพี่น้องที่มองเห็นได้ ไม่อาจจะรักพระเจ้าที่มองไม่เห็น
1 ยอห์น 4:20

1 ยอห์น 3:17; 2:9; 2:4; 1 เปโตร 1:8

และเราได้รับคำบัญชานี้มาจากพระองค์
นั่นคือ
คนที่รักพระเจ้าจะต้องรักพี่น้องของตนด้วย
1 ยอห์น 4:21

มัทธิว 22:37-39; เลวีนิติ 19:18; 1 เธสะโลนิกา 4:9

อธิบายเพิ่มเติม

1 ยอห์น 4:1
คำว่า พิสูจน์ ในภาษากรีก มีความหมายว่า ให้ตรวจสอบสิ่งนั้นอย่างถี่ถ้วนเพื่อดูว่าเป็นของแท้หรือไม่ มีการทดสอบ ตรวจดู วิเคราะห์หาเหตุผล และหลักฐานมายืนยัน ดังนั้น เมื่อเราได้ยินใครกล่าวพระคำของพระเจ้า เราต้องถามตัวเองด้วยว่า เขาพูดพระคำอย่างตรงไปตรงมาหรือบิดเบือนพระคำนั้นตามใจของตนเอง เพราะในโลกทุกวันนี้ มีคนตัวปลอมเยอะมาก!

1 ยอห์น 4:2-3
เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะเราจะเจอผู้ที่อ้างตนว่าเป็นผู้ช่วย แต่ว่ากลับเป็นผู้ต่อต้านพระคริสต์เสียเอง คนของพระเจ้าจริง จะยอมรับและประกาศว่า พระเยซูทรงเป็นพระเจ้าที่มาบังเกิด เป็นมนุษย์ ทรงเป็นทั้งพระเจ้าและมนุษย์แต่ถ้าเป็นฝ่ายมารละก็ พวกเขาจะปฏิเสธความจริงข้อนี้ และพยายามทำให้คนหลงทางไป

1 ยอห์น 4:4-5
ผู้เชื่อในพระเจ้าจะต้องสังเกตคนสอนผิดให้เป็น แต่ไม่ต้องกลัวพวกเขา ไม่ต้องกลัวสิ่งที่เขาขู่ คนของพระเจ้าไม่มีอะไรจะต้องกลัวคนเหล่านั้น เพราะพวกเขาแสวงหาผลประโยชน์เข้าตัว เห็นชัด ๆ คนที่ไม่เห็นคือคนที่ไม่รู้จักพระเจ้า ไม่มีพระวิญญาณของพระองค์ในชีวิตอย่าลืมว่า พระเจ้าทรงเจิมเรา และทรงทำให้เรารู้ความจริง พระวิญญาณทรงอยู่ในเรา(2:20)

1 ยอห์น 4:6
พระคัมภีร์สอนเราชัดเจนว่าใครเป็นใคร พระเจ้าให้เราพิสูจน์คำสอนทุก ๆ คำที่ผ่านเข้ามาว่า เป็นไปตามพระคำของพระเจ้า ไม่มีการแปลความเข้าข้างตัวเอง พวกครูสอนผิด มักใช้พระคัมภีร์มาเข้าข้างตัวเอง และหาชื่อเสียง เงินทองเข้ากระเป๋าได้มากมาย พวกเขาหลอกให้ คนเชื่อ ติดตามไป ยอมขายบ้าน ยกเงินให้หมด คนสอนผิดจะเพิ่มเติมความเห็นของตนเข้าไปใน
จนท่วมพระคำของพระเจ้า

1 ยอห์น 4:7-8
รักที่อยู่บนพื้นฐานของรักของพระเจ้านั้น เป็นรักที่แน่นอน มั่นคง อดทน และไม่ยอมแพ้
ถ้าจะรักใครสักคนด้วยรักของตัวเองแล้ว มันเป็นรักที่อ่อนแอ และเข้าข้างตนเอง อดไม่ได้ที่จะเห็นแก่ตัว ถ้าเราจะลองวิเคราะห์ความรักของมนุษย์และพระเจ้าแล้ว จะเห็นความแตกต่าง ราวฟ้ากับเหว ท่านยอห์นทราบดีว่าจะรักใครก็ต้องรักด้วยความรักที่มาจากพระเจ้า
มิฉะนั้น จะเป็นรักที่อ่อนแอ

1 ยอห์น 4:9
อย่างที่พระเยซูตรัสไว้ในยอห์น 3:16
เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ประทานพระบุตร
องค์เดียวของพระองค์
” มนุษย์เราที่เกิดมา ถ้าไม่มีพระบุตรของพระเจ้า ก็เหมือนคนตายทั้งเป็น ทั้งโลกไม่รู้ว่า เราเป็นเหมือนคนตายที่เดินไปมา ทำงาน ต่อสู้ชีวิตโดยที่ตอนจบไม่ได้อะไรเลย นอกจากหลุมฝังศพ แต่พระเยซูทรงมาเพื่อให้ เราทุกคนได้ชีวิต และได้ชีวิตอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ อ่านยอห์น 10:10

1 ยอห์น 4:10
พระเยซูทรงมาเพื่อเป็นเครื่องบูชาอะไรหรือ ? พระเจ้าทรงสอนเราในพระคัมภีร์ซ้ำแล้วซ้ำอีกให้ เราเข้าใจว่า บาปนำไปสู่ความตาย ในสมัยก่อน เมื่อทำบาป ก็มีการถวายเครื่องบูชาเพื่อไถ่บาปของตน ด้วยการใช้ชีวิตของสัตว์อย่างเช่น แกะ แพะ นก มาเป็นตัวแทนรับบาปของเราไป คนในสมัยก่อนก็ต้องถวายเครื่องบูชาแบบนี้ไปจนตาย เพราะเขาทำบาปเสมอ แต่เมื่อพระเยซูมาเป็นเครื่องบูชา คนที่เชื่อพระเจ้าจึงไม่ต้องทำอย่างนั้น เพราะพระเยซูทรงสิ้นชีวิตเป็นเครื่องบูชาครั้งเดียวพอ

1 ยอห์น 4:11-12
การที่พี่น้องรักกันและกันนั้น รู้ไหมว่าเราได้ ความมหัศจรรย์ใดเกิดขึ้น
นั่นก็คือ พระเจ้าทรงดำรงอยู่ในหมู่พวกเรา นี่เป็นเรื่องดีที่สุดในหมู่พี่น้อง เพราะพระเจ้าสถิตที่ไหน สันติสุขก็อยู่ที่นั่น

1 ยอห์น 4:13
การที่เรารักกันอย่างจริงจง ทำให้เรารู้ว่า เรามีพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าอยู่ พระเจ้าทรงดำรงในเรา และเราก็อยู่ในพระองค์ เพราะมีความรักที่อดทนนาน มีรักที่มีคุณสมบัติเหมือน 1 โครินธ์ 13 ซึ่งเกิดขึ้นได้ยากหากไม่มีพระวิญญาณของพระเจ้าในชีวิต ความรักของพระเจ้าที่มีอยู่ในเรา ทำให้เรารักอย่างที่มนุษย์ธรรมดาไม่อาจรักได้


1 ยอห์น 4:14-15
ท่านยอห์น เป็นศิษย์ที่พระเยซูทรงรัก เขาเป็นคนใกล้ชิดพระองค์มาก จากการที่อยู่กับพระองค์ เห็นการอัศจรรย์สำคัญมากมายที่พระเยซูทรงทำให้ประชาชน ความรักทีพระองค์ทรงมีต่อ พวกเขา ท่านเห็นการสิ้นชีพ และการคืนชีพ การเสด็จสู่สวรรค์ท่านจึงมั่นใจเต็มร้อยว่า
พระเยซูทรงเป็นพระบุตรพระเจ้าที่ถูกส่งมาแน่ และท่านย้ำให้ทราบว่า ใครก็ตามยอมรับว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตรพระเจ้า พระเจ้ากับเขาอยู่ในกันและกัน !

1 ยอห์น 4:16
หลายข้อที่ผ่านมา ท่านยอห์นเฝ้าบอกเราเรื่องความรัก ให้รักกันและกัน และพระเจ้าจะสถิตในเรา ไม่มีความเชื่อแบบอื่นใดในโลกที่เน้น ความรักของพระเจ้า และยืนยันว่าพระเจ้าทรง เป็นความรัก อาจมีการสอนให้เรามีความ เมตตาต่อกัน เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ แต่การที่จะรัก สละชีวิต เวลาให้ ไม่มีใครอยากจะสอนเรื่องนี้ สอนแค่ให้ทำความดีทั่ว ๆ ไปนั้นง่ายกว่า เพราะคนที่รักนั้น ต้องเสียสละให้ทั้งชีวิต

1 ยอห์น 4:17
“ความรักสมบูรณ์ในหมู่พวกเรา” ท่านยอห์นใช้คำที่มีความหมายว่าสมบูรณ์แบบร้อยเปอร์เซนต์ ในวันที่พระเจ้าทรงพิพากษา เราจะเป็นว่าความรักนั้นสมบูรณ์แบบมากเพียงไร เราจะเข้าใจมากกว่าที่เข้าใจวันนี้

1 ยอห์น 4:18
เมื่อเราอยู่ในพระเจ้าผู้ทรงเป็นความรัก เราก็ไม่ต้องกลัวการพิพากษา เพราะว่า พระเยซูคริสต์ทรงรับโทษของการพิพากษานั้น แทนเราแล้ว รักที่สมบูรณ์ทำให้เราไม่ต้องกลัว ความกลัวเกี่ยวข้องกับการถูกลงโทษ นั่นคือ คนที่ไม่ได้เข้ามาอยู่ในความรักของพระเจ้า มีเรื่องที่ต้องกลัวจริง ๆ การพิพากษาของพระเจ้า ไม่ใช่เรื่องแต่งขึ้นมาขู่ให้กลัว แต่เป็นเรื่องจริงที่จะเกิดขึ้นกับทุกคนที่ไม่ได้อยู่ในพระเจ้า

1 ยอห์น 4:19
ข้อนี้ ท่านยอห์นต้องการกล่าวว่า ที่เรารักกันและกัน ก็เพราะพระเจ้าทรงรักเราก่อน ในโลกเรานี้ เรารู้อยู่ว่าทุกคนเป็นคนบาป ย่อมเห็นแก่ตัวเอง ยากที่จะรักใคร ถึงรักก็เพื่อ ความสุขของตนเองเป็นหลัก เมื่อเรารักเป็นเพราะ พระเจ้าทรงรักเราก่อน เราจึงเข้าใจว่าเรารักคนที่ โลกไม่สนใจก็ได้ รักคนที่ไม่น่ารัก คนที่ถูก ดูหมิ่นดูแคลน แม้จะเป็นคนที่ยากจะรัก ที่ทำได้เพราะรักนั้นเป็นของพระเจ้าที่ทรงให้เราไว้

1 ยอห์น 4:20
เราอาจคิดว่า มีคนอย่างนี้ในโลกด้วยหรือ มีสิ มีมากเสียด้วย คนที่โอ้อวดว่าตนเองเป็นคนดี รักพระเจ้า รักธรรมะ รักความดี อวดว่าตนเป็นคนดีกว่าคนอื่น ๆ แต่ลับหลังแล้วกลับเอาเปรียบพี่น้อง เราเห็นคนแบบนี้อยู่มาก สำหรับท่านยอห์นแล้ว ใครก็ตามที่เกลียดพี่น้อง ไม่อาจกล่าวได้ว่าตนรักพระเจ้า ดังนั้นจากเงื่อนไขแค่นี้เราก็พิสูจน์ได้แล้วว่า ตัวเราเองเป็นอย่างไร

1 ยอห์น 4:21
พระคำข้อนี้ เป็นการสรุปบทที่ 4 ทั้งบท คนที่รักพระเจ้า ก็จะรักพี่น้องในพระคริสต์ รักคนที่มีพระบิดาองค์เดียวกัน ไม่ว่าจะมีผิวสีเหมือนกันหรือไม่ และฐานะ การศึกษาจะต่างกัน ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะเราเป็นพี่น้องกัน ในครอบครัวที่ใหญ่มาก เราจึงอธิษฐานเผื่อกัน และกันทั้ง ๆ ที่บางทีไม่รู้จักกันด้วยซ้ำ พระเจ้าผู้เป็นพระบิดาก็ทรงรู้จักลูกของพระองค์ ทุกคน และทรงรู้ว่าใครเป็นลูกแท้ใครเป็นลูกปลอม! E 20241202

สดุดี 35 ขอร้องพระเจ้าให้ทรงล่าศัตรู

ขอพระเจ้าทรงช่วยให้พ้นจากศัตรู. สดุดีของดาวิด
ขอที่กำบัง
1 โอ พระยาห์เวห์ ขอทรงต่อสู้กับเหล่าคนที่ต่อสู้ข้า
ขอทรงรบรากับคนที่รบรากับข้า
2 ขอพระองค์ทรงถือโล่และเขน
และประทับยืนเพื่อช่วยข้า
3 ขอทรงชูหอกและหยุดเหล่าคนที่ตามไล่ล่าข้า
ขอตรัสแก่วิญญาณของข้าว่า
“เราคือความรอดของเจ้า”

ขอทรงให้หายนะมาถึงศัตรู
4 ขอให้คนที่พยายามเอาชีวิตของข้านั้น
ต้องรับความอับอาย กลายเป็นคนไร้เกียรติ
ขอให้คนที่วางแผนทำลายข้า
ต้องล่าถอยและพบเจอกับความสับสน
5 ให้พวกเขาเป็นเหมือนแกลบที่ลมพัดไป
และขอทูตสวรรค์ของพระยาห์เวห์ไล่ล่าพวกเขา
6 ขอให้ทางของเขาทั้งมืดมนและลื่น
และทูตสวรรค์ของพระยาห์เวห์ตามล่าพวกเขาไป
7 เพราะพวกเขาทำตาข่ายเตรียมดักข้าโดยไม่มีเหตุ
พวกเขาขุดหลุมพรางดักข้าโดยไม่มีเหตุ
8 ขอให้หายนะมาถึงเขาอย่างไม่คาดฝัน
ให้เขาตกลงไปในตาข่ายที่พวกเขาซ่อนเอาไว้เอง
9 แล้ววิญญาณของข้าจะยินดีในองค์พระยาห์เวห์
วิญญาณข้าจะชื่นชมในความรอดจากพระองค์
10 ทั้งกายและใจของข้าจะกล่าวว่า
มีใครเป็นเหมือนพระยาห์เวห์บ้าง
ที่ทรงช่วยคนอ่อนแอให้พ้นจากคนที่แข็งแรงกว่า
ทรงช่วยผู้ยากไร้และแร้นแค้นให้พ้นจากคนที่ปล้นพวกเขา

พยานเท็จที่มาใส่ร้ายและเยาะเย้ย
11 เกิดพยานเท็จที่โหดร้ายปรักปรำข้า
กล่าวหาในสิ่งที่ข้าไม่รู้เรื่อง
12 พวกเขาตอบสนองความดีด้วยความชั่ว
และวิญญาณของข้าก็หมดหวัง
13 เมื่อพวกเขาป่วย ข้าก็สวมผ้ากระสอบ
ข้าถ่อมตนลงด้วยการอดอาหาร
ข้าก้มลงอธิษฐานเผื่อ
14 ราวกับว่าพวกเขาเป็นเพื่อน พี่น้องของข้าเอง
ข้าก้มลงกับพื้นราวกับคนเศร้าโศกถึงแม่ของตนเอง
15 แต่เมื่อข้าทุกข์ร้อน พวกเขากลับรวมตัวกันแสดงความยินดี
สมคบกันเพื่อต่อต้านข้าตอนที่ข้าไม่รู้ตัว
คนที่ข้าไม่เคยรู้จัก ก็ไม่หยุดที่จะใส่ร้ายข้า
16 พวกเขาเยาะหยันข้าไม่หยุดหย่อน
เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันใส่ข้า
17 โอ พระผู้เป็นเจ้านาย
พระองค์จะทรงมองดูนานเท่าไร
ขอทรงช่วยข้าให้พ้นจากหายนะ
ขอทรงช่วยกู้ชีวิตอันมีค่าจากเหล่าสิงโต

คำสัญญาว่าจะสรรเสริญให้คนมากมายรู้
18 ข้าจะถวายคำขอบพระคุณในที่ประชุมใหญ่
ข้าจะสรรเสริญพระองค์ท่ามกลางผู้คนมากมาย

การเยาะเย้ยที่ดาวิดรู้ว่าจะต้องเจอ
19 ขอโปรดอย่าให้คนเหล่านั้นที่มาเป็นศัตรูยิ้มเยาะข้าได้
ขออย่าให้คนที่เกลียดข้าโดยไม่มีเหตุเยาะหยันข้าได้
20 เพราะพวกเขาไม่พูดถึงสันติ
มีแต่ความพยายามที่จะสร้างเรื่องเพื่อหลอกผู้คน
21 พวกเขาเปิดปากต่อต้านข้า
กล่าวร้ายว่า “นั่นไง นั่นไง เราเห็นมากับตา”

คำร้องขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า ขอความอัปยศให้ศัตรู
22 โอ พระยาห์เวห์ พระองค์ทรงเห็น
ขออย่าทรงนิ่งเฉย
โอ องค์เจ้านาย ขออย่าทรงอยู่ห่างข้า
23 ขอพระองค์ทรงตื่นขึ้น ขอทรงลุกขึ้นปกป้องข้าพระองค์
พระเจ้าของข้า องค์เจ้านายของข้า ขอทรงเห็นแก่ข้าด้วย
24 ขอทรงพิสูจน์ว่าข้าไม่ผิด ตามความเที่ยงธรรมของพระองค์
โอ พระยาห์เวห์ พระเจ้าของข้า
ขออย่าทรงให้พวกเขาเยาะหยันข้าได้
25 อย่าให้เขาคิดในใจได้ว่า อา สมใจเราแล้ว
อย่าให้พวกเขาพูดได้ว่า เรากลืนเขาได้แล้ว!
26 ขอให้คนที่พอใจกับความหายนะของข้า
ต้องอับอาย และสับสน
ให้พวกเขาสวมความน่าละอาย
และให้คนที่ยกยอตนเองเหนือข้า
ต้องเจอกับความอัปยศอดสู

สัญญาว่าจะสรรเสริญพระเจ้า
27 ให้คนที่ชื่นชมกับความเที่ยงธรรมของข้า
ตะโกนด้วยความชื่นชม และยินดีนัก
ให้พวกเขากล่าวว่า “ขอยกย่องเทิดทูนพระยาห์เวห์
พระผู้ทรงพอพระทัยกับสวัสดิภาพของผู้รับใช้ของพระองค์”
28 และลิ้นของข้าจะกล่าวถึงความเที่ยงธรรมของพระองค์
และสรรเสริญพระองค์ตลอดทั้งวัน

พระคำเชื่อมโยง

1* สดุดี 43:1; 119:154; เยเรมีย์ 51:36; อิสยาห์ 49:25

2* อิสยาห์ 42:13; อพยพ 15:3

3* สดุดี 27:2; อิสยาห์ 12:2

4* สดุดี 40:14,15; 70:2; 129:5

5*โยบ 21:18; สดุดี 83:13; อิสยาห์ 29:5

6* เยเรมีย์ 23:12; 13:16

7* สดุดี 9:15; 140:5; ยอห์น 15:25

8*สดุดี 55:23; อิสยาห์ 47:11; 1 เธสะโลนิกา 5:3

9* อิสยาห์ 16:10; สดุดี 13:5; ฟีลิปปี 3:1-3

10* สดุดี 51:8; 140:12; อพยพ 15:11;

11*สดุดี 27:12; มัทธิว 26:59-60

12* สดุดี 38:20; 109:5; เยเรมีย์ 18:20; ยอห์น 10:32

13* โยบ 30:25; สดุดี 69:10-11

14* ลูกา 19:41-42; สดุดี 38:6; 2 ซามูเอล 1:11-12, 17-27

15* มาระโก 14:65; สดุดี 7:2

16* เพลงคร่ำครวญ 2:16; โยบ 16:9; สดุดี 37:12

17* สดุดี 13:1; ฮาบากุก 1:13; สดุดี 89:46

18* ฮีบรู 2:12; โรม 15:9; สดุดี 138:4-5

19* สดุดี 69:4; 13:4; ยอห์น 15:25;

20* กิจการ 25:3; มัทธิว 12:24

21* สดุดี 40:15;22:13; 70:3

22* สดุดี 28:1; 10:1; อพยพ 3:7

23* สดุดี 44:23; 7:6; อิสยาห์ 51:9

24* สดุดี 43:1; 35:19; 26:1

25*เพลงคร่ำครวญ 2:16; สดุดี 124:3

26* สดุดี 109:29

27* โรม 12:15; สดุดี 40:16; 149:4

28* สดุดี 71:24; 145:5,21

อธิบายเพิ่มเติม

หลายคนบอกว่า สดุดีบทนี้ ยอดสุดสำหรับการอธิษฐานเมื่อเราเจอสงครามฝ่ายวิญญาณในชีวิต และจริง ๆ แล้วเป็นบทอธิษฐานเผื่อเพื่อน ๆ ของเราที่ถูกกดขี่ ข่มเหง ไม่ว่าจะจากครอบครัว ที่ทำงาน ชุมชน แม้กระทั่งรัฐบาลที่ห้ามไม่ให้เชื่อพระเยซูคริสต์

สดุดี 35:1-3 ขอที่กำบัง
ดาวิดทูลขอพระเจ้าให้ทรงออกรบแทนท่าน

สดุดี 35:4-10 ขอทรงให้หายนะมาถึงศัตรู
ดาวิดขอให้พระเจ้าทรงไล่ล่าและจัดการทำให้ศัตรูต้องละอาย คำว่าทูตสวรรค์ของพระยาห์เวห์นี้ มีความหมายถึงพระเยซูผู้ที่เวลานั้นยังมิได้ทรงมาบังเกิดเป็นมนุษย์ เหมือนในสดุดี 34:7 ที่ว่า 7 ทูตสวรรค์ของพระเจ้าอยู่ล้อมรอบ และช่วยกู้คนที่ยำเกรงพระองค์. ท่านบ่งบองชัดเจนว่า ศัตรูจะทำอย่างไรกับท่าน ท่านก็จะทำตอบเขาอย่างนั้น
แผนใด ๆ ก็ตามที่ศัตรูทำขึ้นมาเพื่อจัดการท่าน ท่านขอให้กลับไปหาพวกเขาเหมือนกัน
และถ้าพระเจ้าตอบคำอธิษฐานท่านก็สัญญาจะยินดีในพระองค์

สดุดี 35:11-17 พยานเท็จที่มาใส่ร้ายและเยาะเย้ย
ท่อนนี้ เป็นการคร่ำครวญมากกว่าจะเป็นการทูลขอ. ดาวิดอธิบายชัดเจนว่า เกิดอะไรขึ้นบ้าง ท่านกล่าวถึงความดีที่ท่านทำให้ศัตรู ในทางกลับกันหากดาวิดเจอความทุกข์ พวกเขาก็จะเยาะเย้ยและทำให้สถานการณ์แย่ลง

สดุดี 35:18 คำสัญญาว่าจะสรรเสริญพระเจ้าให้คนมากมายได้รู้
ท่านขอให้พระเจ้าอย่าทรงแค่มองดู เมื่อพระองค์ทำกิจตามคำขอ ดาวิดจะสรรเสริญพระองค์ต่อหน้าคนหมู่มาก ท่านจะทำให้ทุกคนรอบข้างได้รู้ถึงการตอบคำอธิษฐานนั้น

สดุดี 35:19-21 การเยาะเย้ยที่ดาวิดรู้ว่าจะต้องเจอ
บางครั้งการเกลียดชังที่เกิดขึ้น ไม่ได้มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษเลย ดาวิดขอพระเจ้าอย่าให้โอกาสคนพวกนั้นเยาะเย้ย เราจะเห็นความเกลียดที่ถูกปะทุขึ้นในทางการเมืองอยู่ตลอดเวลาในโลกทุกวันนี้ เราจึงไม่แปลกใจว่า ความเกลียดนั้นอยู่ในทุกสังคม ไม่ว่าจะเป็นชนชั้นไหน เชื้อชาติใด คำอธิษฐานของดาวิดจึงเข้ากับโลกปัจจุบันนี้มาก

สดุดี 35:22-26 คำร้องขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า
ศัตรูของดาวิดหาเรื่องใส่ร้ายได้ทุกทาง แต่ดาวิดรู้ว่า พระเจ้าทรงเห็นทุกอย่างว่าท่านทำผิดจริงหรือไม่ ดาวิดกล้าที่จะขอให้พระเจ้าทรงปกป้อง ท่านแน่ใจว่า ท่านไม่ได้ทำผิดอย่างที่ศัตรูให้ร้าย และศัตรูที่ให้ร้ายคนอื่นก็จะเป็นคนที่เย่อหยิ่ง ยกตัวขึ้นเสมอไป (26)

สดุดี 35:27-28 สัญญาว่าจะสรรเสริญพระเจ้า
จบสดุดีด้วยการที่ดาวิดขอให้คนที่อยู่ฝ่ายท่านได้ถวายพระสิริแด่พระเจ้า แม้ดาวิดจะไม่ใช่คนที่ทำถูกต้องตลอดเวลา แต่ท่านก็อยู่ฝ่ายพระเจ้าเสมอ และการที่ทำผิดและหันกลับมาหาพระเจ้าก็ดีกว่าทำผิดแล้วเตลิดไปไม่กลับมา