เศฟันยาห์ 1 ประกาศการกวาดล้าง

ในเวลานั้น เราจะถือตะเกียงส่องหาไปทั่วนครเยรูซาเล็ม

คำประกาศจากพระยาห์เวห์
1 พระดำรัสของพระยาห์เวห์มาถึงเศฟันยาห์ ลูกชายคูชีซึ่งเป็นลูกชายเกดาลิยาห์ ซึ่งเป็นลูกชายอามาริยาห์ ซึ่งเป็นโอรสของเฮเซคียาห์ ในรัชกาลโยสิยาห์ โอรสกษัตริย์อาโมนแห่งยูดาห์ดังนี้ 
2 องค์พระยาห์เวห์ทรงประกาศว่า
“เราจะรวบรวมกวาดล้างทุกสิ่งออกไปจากแผ่นดินโลก”
3 พระยาห์เวห์ทรงประกาศ  “เราจะกวาดทั้งมนุษย์และสัตว์ ทั้งนกในอากาศ และปลาในทะเล รวมไปถึงรูปเคารพพร้อมกับคนที่กราบไหว้มัน  เราจะตัดขาดมนุษย์ออกไปจากแผ่นดินโลก”
4 และเราจะยื่นมือของเราออกไปสู้ยูดาห์ และคนที่อาศัยในนครเยรูซาเล็ม เราจะตัดคนที่ยังเหลือ ที่กราบไหว้เทพบาอัล  เราจะกำจัดทั้งตัวและชื่อของเหล่าปุโรหิตไร้พระเจ้าที่กราบไหว้รูปเคารพออกไป 
5 เหล่าคนที่ก้มลงกราบบนหลังคาเพื่อบูชาดาวบนท้องฟ้า เหล่าคนที่ก้มลงกราบและสาบานต่อพระยาห์เวห์ และต่อเทพโมเลคด้วย(บางครั้งเรียกมัลคัม)
6 เหล่าคนที่เลิกติดตามพระยาห์เวห์ โดยไม่แสวงหาพระองค์ ไม่ทูลขอคำปรึกษาจากพระองค์ 

วันขององค์พระยาห์เวห์
(มาลาคี 4:1-6; 1 ธส. 5:1-11; 2 เปโตร 3:8-13) 

7 จงนิ่ง เงียบสงบต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ องค์พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ เพราะวันขององค์พระผู้เป็นเจ้าใกล้เข้ามาแล้ว  พระยาห์เวห์ทรงเตรียมเครื่องบูชา และทรงชำระเหล่าแขกผู้รับเชิญของพระองค์ให้บริสุทธิ์ 
8 ในวันถวายเครื่องบูชาขององค์พระยาห์เวห์นั้น เราจะลงโทษเหล่าเจ้านายและโอรสทั้งหลายของกษัตริย์ และทุกคนที่สวมเสื้อผ้าตามแบบอย่างของคนต่างชาติ
 9 ในวันนั้น เราจะลงโทษคนทั้งหลายที่ย่างก้าวข้ามธรณีประตู (เย่อหยิ่ง 1 ซามูเอล 5:5) ซึ่งทำให้วิหารของเจ้านายของพวกเขาเต็มไปด้วยความโหดร้าย และกลโกง  

10  องค์พระยาห์เวห์ทรงประกาศว่า “ในวันนั้น จะมีเสียงร้องดังขึ้นมาจากประตูปลา มีการร้องตะโกนคร่ำครวญจากเขตที่สอง และมีเสียงชนโครมครามดังลั่นจากเนินเขาต่าง ๆ 
11 จงร้องครวญโหยหวน เหล่าคนที่อาศัยในเขตตลาด พ่อค้าทั้งหลายกำลังจะถูกกวาดล้าง  คนที่ค้าขายเครื่องเงินจะถูกตัดออกไป 
12 ในเวลานั้น เราจะถือตะเกียงส่องหาไปทั่วนครเยรูซาเล็ม และเราจะลงโทษทุกคนที่ชะล่าใจ เหมือนเหล้าองุ่นที่ตกตะกอน โดยคิดในใจว่า
‘องค์พระยาห์เวห์จะไม่ทรงทำสิ่งใด ไม่ว่าดีหรือร้าย’
 13 พวกเขาจะถูกปล้นความมั่งคั่งไป
บ้านเรือนของพวกเขาก็จะกลายเป็นที่ร้างเปล่า 
พวกเขาจะสร้างบ้าน
แต่ไม่ได้อยู่อาศัยในบ้านเหล่านั้น
พวกเขาจะปลูกสวนองุ่น
แต่จะไม่ได้ดื่มเหล้าองุ่นจากสวนเหล่านั้น”

วันยิ่งใหญ่ขององค์พระยาห์เวห์ 
14 วันยิ่งใหญ่ขององค์พระยาห์เวห์ใกล้เข้ามาแล้ว ใกล้เข้ามาและจะมาอย่างรวดเร็ว  จงฟังเถิด เสียงร้องในวันขององค์พระยาห์เวห์ จะขมขื่นนัก! ที่นั่น คนที่เข้มแข็งจะส่งเสียงร้องออกมา 
15  วันนั้น เป็นวันแห่งพระพิโรธ
วันแห่งความทุกข์ลำเค็ญ
และความเจ็บปวดรวดร้าว
วันแห่งหายนะและวันที่ถูกทิ้งร้าง 
วันแห่งความมืดทมึนและ
ความหมองหม่น
วันที่เต็มด้วยเมฆหมอกและความดำมืดมิด 
16 วันแห่งเสียงแตร
และเสียงเตือนถึงสงคราม ซึ่งต่อสู้กับเมืองที่มีการคุ้มกันแข็งแกร่ง ต่อสู้กับหอสูงตามมุมกำแพงเมือง
17 เราจะนำความลำบากมายังผู้คน พวกเขาจะเดินอย่างคนตาบอดเพราะพวกเขาได้ทำบาปต่อองค์พระยาห์เวห์
และเลือดของพวกเขาจะไหลออกมาท่วมแผ่นดิน 
เนื้อหนังของเขาจะเป็นเหมือนมูลสัตว์ 
18 เงิน และทองของพวกเขาไม่อาจจะช่วยเขา
จากภัยพิบัติในวันแห่งพระพิโรธของพระเจ้าได้
ไฟแห่งความหวงแหนของพระองค์
จะเผาผลาญทั่วทั้งแผ่นดินโลก
เพราะพระองค์จะทำให้ทุกคนที่อาศัยในแผ่นดินโลก
ถึงจุดจบอย่างกระทันหัน!” 

อธิบายเพิ่มเติม


ชื่อเศฟันยาห์ (צְפַנְיָה֙) มีความหมายตามตัวอักษรว่า พระยาห์เวห์ทรงซ่อน หรือ พระยาห์เวห์ทรงรักษาไว้
พระเจ้าตรัสกับเขาในช่วงรัชกาลของโยสิยาห์ (640-609 ปีก่อนคริสตศักราช)
เศฟันยาห์เผยพระดำรัสสมัยกษัตริย์โยสิยาห์ ซึ่งเป็นกษัตริย์ที่ครองราชย์ตั้งแต่เด็ก โดยที่ครองไปแล้ว 10 ปีจึงเกิดการฟื้นฟูฝ่ายวิญญาณในประเทศอิสราเอลทางใต้ มีความเห็นกันว่า เศฟันยาห์คงเขียนพระดำรัสนี้ออกมาก่อนการฟื้นฟูฝ่ายวิญญาณ
หลังจากสิ้นพระชนม์ไม่นาน แค่สี่ปี บาบิโลนก็เข้ามาโจมตี ทำลายพระวิหาร ยึดทรัพย์สินไป และกวาดคนยากจนพร้อมกับข้าราชการและทหารจำนวนมากไปเป็นเชลย
ปี 586 มีการก่อหวอดขึ้นมา ทำให้บาบิโลนมาอีกครั้ง และทำลายเยรูซาเล็มอย่างสิ้นเชิง ทิ้งคนยากจนที่สุดไว้ในแผ่นดินร้าง
เศฟันยาห์ยังเตือนให้คนอิสราเอลแสวงหาพระเจ้า และยังเห็นถึงการที่คนต่างชาติจะได้เข้ามาอยู่ในการคุ้มครองของพระเจ้า ซึ่งหมายถึงพวกเราที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ (3:9-10; วิวรณ์ 7:9-17) พระเจ้าจะทรงกวาดล้างคนในโลก
แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังมีความหวังที่จะได้รับการช่วยเหลือจากพระเจ้า เพราะพระเจ้าทรงฤทธิ์ที่จะช่วยได้ (3:17)


คำประกาศจากพระยาห์เวห์
1:1 เราจะเห็นว่า คนที่พระเจ้าทรงส่งมานั้น เป็นคนที่พระเจ้าทรงเลือก และตรัสกับเขาโดยตรง พวกเขาที่เป็นผู้เผยพระดำรัสแท้นั้น ไม่ได้เป็นคนที่เลือกตัวเอง หรือพยายามจะเป็น หรือตั้งใจจะมีอาชีพอย่างนี้  คนเราในสมัยใหม่นี้ก็เหมือนกับสมัยก่อน  มีหลายแบบทั้งแบบที่พระเจ้าทรงเรียก และแบบที่ตั้งตัวเองขึ้นมา
เศฟันยาห์ผู้นี้ เป็นญาติกับกษัตริย์โยสิยาห์ด้วย
……..ลำดับเปรียบเทียบชีวิตเศคาริยาห์ กับก.โยสิยาห์

1:2 เราจะเห็นจากพระดำรัสว่า พระองค์ทรงโกรธมาก เพราะทรงตั้งพระทัยที่จะกวาดล้าง ทุกอย่างออกจากโลก
ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์ ..​พร้อมกับรูปเคารพทั้งปวง
เป็นการทำลายล้างทั้งหมด ไม่เว้น ไม่ว่าจะกับคนยูดาห์ คือคนที่พระองค์ทรงเลือก และยังหมายถึงคนทั่วโลกด้วย (อ่านวิวรณ์  19)
เศฟันยาห์กล่าวว่า พระยาห์เวห์ทรงประกาศ .. ไม่ใช่คำที่มาจากตัวเขา แต่มาจากพระเจ้า 

1:4 พระเจ้าทรงเลือกอิสราเอลไว้เพื่อว่าเขาจะเป็นคนของพระองค์  ทรงยื่นพระหัตถ์มาเพื่อทำลาย(เป็นสำนวนที่บอกถึงการกระทำที่เป็นศัตรูอย่างรุนแรง))คนที่กราบไว้รูปเคารพออกไปให้หมด  การไหว้รูปเคารพเป็นการทำลายพันธสัญญาที่มีต่อกันอย่างโจ่งแจ้ง  สิ่งที่เห็นคือ การกราบไหว้รูปเคารพทั้งส่วนตัว ทั้งในที่สาธารณะ  เอารูปเคารพเข้ามาในพระวิหาร   มีการเอาคนที่ไม่ใช่วงศ์วานอาโรนมาเป็นปุโรหิต  เลิกติดตามพระเจ้า  สมัยของกษัตริย์มานัสเสห์ 
เหตุใดพระเจ้าจึงทรงกริ้วยิ่งนัก  ในฐานะที่พระองค์ทรงเป็นพระผู้สร้าง ไม่มีใครเทียบพระองค์ได้ (อิสยาห์ 40:25) แต่มนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้าง ทรงสอนให้รู้จักพระองค์ กลับเลือกที่จะกราบไหว้สิ่งที่ทำขึ้นมาจากน้ำมือของตัวเอง เป็นการดูหมิ่นพระองค์เป็นที่สุด 

1:5-6  โมเลค เป็นเทพของชาวอัมโมนที่จะมีการเอาเด็กเผา เป็นเครื่องบูชา (1 พงศ์กษัตริย์ 11:5, 33; 2 พงศ์กษัตริย์  23:10; เยเรมีย์ 32:35)  พวกผู้นำ ปุโรหิตยังได้ก้มกราบเหล่าเทพต่าง ๆ ที่คนอัสซีเรียนับถือ อย่างเช่นดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาวต่าง  ( 2 พงศ์กษัตริย์  23:11; เยเรมีย์ 19:13; 32:29 )  เศฟันยาห์กล่าวชัดเจนว่า พวกเขาทำอะไรบ้าง และกำลังกล่าวโทษพวกเขา 

วันขององค์พระยาห์เวห์
1:7  ในขณะที่ผู้คนกำลังร่ายรำ กำลังทำกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อสนองความพอใจของตัวเองนั้น เศคาริยาห์สั่งให้พวกเขาสงบ หยุดทุกอย่าง  พวกเขาต้องเตรียมตัวที่จะพบเจอกับพระพิโรธของพระเจ้า  ต้องเตรียมพบวันที่พระเจ้าจะทรงตอบแทนสิ่งที่พวกเขาได้ดูหมิ่นพระองค์อย่างร้ายแรง 
ฮาบากุกเองก็สั่งให้คนของพระเจ้านิ่งสงบต่อพระองค์เช่นกัน  (ฮาบากุก 2:20)
การนิ่งสงบ ประกอบด้วย หยุดพฤติกรรมทั้งสิ้นที่ต่อต้านพระเจ้า ก้มลงรับฟังพระองค์ด้วยใจที่สยบต่อพระองค์
พวกเขาจะต้องพิจารณาเห็นความแตกต่างระหว่างพระผู้สร้างกับสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมา  มนุษย์ไม่อาจแก้ตัวต่อพระเจ้าผู้ทรงเป็นเจ้านายเหนือจักรวาลได้   

1:8 การสวมเสื้อผ้าตามแบบคนต่างชาติที่เหล่าเจ้านาย เจ้าชายทั้งหลายสวมนั้น ทำให้รู้ว่า พวกเขากำลังเข้าไปรับความเชื่อ ประเพณีของคนต่างชาติที่ไม่ได้เชื่อพระเจ้าเข้ามา แสดงว่า พวกเขารักและพอใจกับค่านิยมชาวต่างชติ ทำให้เร้าพระพิโรธของพระเจ้าขึ้นมา (เฉลยธรรมบัญญัติ   22:11-12)
พระองค์ทรงเตือนว่าจะลงโทษเจ้านาย เจ้าชายทั้งหลาย ซึ่งต่อมานั้นพวกเขาก็โดนตามนั้นจริง ๆ 
โอรสชื่อเยโฮอาหาสไปเป็นเชลยในอียิปต์ (2 พงศ์กษัตริย์ 24:34)
โอรสชื่อ เยโฮยาคิม พ่ายแพ้เนบูคัดเนสซาร์ ตายในเยรูซาเล็ม   (2 พงศ์กษัตริย์ 24:1-6)
หลานของกษัตริย์โยสิยาห์คือ เยโฮยาคีน ถูกกวาดไปเป็นเชลยในบาบิโลน (2 พงศ์กษัตริย์ 24:8-16 )
เศเดคียาห์โอรสองค์สุดท้ายของกษัตริย์โยสิยาห์ ถูกควักดวงตา และไปเป็นเชลยในบาบิโลน  (2 พงศ์กษัตริย์ 24:18-25:7)

1:9 การก้าวข้ามธรณีประตูอาจมีความหมายได้หลายอย่าง
ตัวอย่างคนชาวอัชโดดที่ไม่ให้เท้าเหยียบธรณีประตู เพราะรูปปั้นของพวกเขาล้มลงฟาดธรณีประตู (อ่าน 1 ซามูเอล 5:1-5)  การที่คนยูดาห์ทำเช่นนั้น ทำให้รู้ว่า พวกเขานับถือกฎเกณฑ์ของความเชื่ออื่นอย่างเคร่งครัด 

1:10-11 สองข้อนี้ ทำให้เรารู้ว่า เศฟันยาห์รู้จักกรุงเยรูซาเล็มเป็นอย่างดี  และดูเหมือนว่า แทบทุกส่วนของเมืองจะถูกพระเจ้าลงโทษ วันที่ผู้เขียนกำลังเขียนเรื่องนี้ (สัปดาห์ที่สามของเดือนกรกฎาคม 2025) มีเหตุการณ์ที่ชนกลุ่มน้อยชาวดรูซและคริสเตียนในซีเรีย ถูกกลุ่มอิสลามหลายกลุ่มเข้ามาและฆ่าล้างพวกเขาในทางใต้ของซีเรีย เรายังได้ยินเสียงร้องที่น่ากลัวของพวกเขาอยู่ในความทรงจำเลย.. พวกเขาได้หนีเข้ามาอยู่ในเขตอิสราเอลเป็นแสน ๆ คน   แต่ในวันของพระเจ้า เราจะหนีไปไม่พ้น.

1:12 คนที่ทำชั่วไม่ว่าในสมัยใด มักจะคิดกันอย่างนี้คือ พระเจ้าจะไม่สนพระทัยว่า พวกเขาทำดีหรือทำร้าย  ศาสนาบางอย่างยังเชื่อด้วยว่า พระของเขาสนับสนุนการฆ่าล้างคนที่ไม่เชื่อเหมือนเขา
1:13 สิ่งที่พระเจ้าทรงเตือนชัดเจนคือ ทุกสิ่งที่สร้าง ที่ปลูกเพื่อจะได้มีชีวิตที่สบายจะถูกทั้งทำลาย และเอาไปจากพวกเขา ดังนั้นที่คิดว่า พระเจ้าไม่สนพระทัย ไม่ทำสิ่งใดนั้น เป็นความเข้าใจผิด เป็นการหมิ่นน้ำพระทัยของพระองค์อย่างยิ่ง

วันยิ่งใหญ่ขององค์พระยาห์เวห์ 
1:14-16  สามข้อนี้ เป็นคำแบบเดียวกับ โยเอล  2:1-11
เน้นย้ำถึงความรวดเร็วที่พระยาห์เวห์เสด็จมาต่อต้านประชากรของพระองค์ วันอันน่าสะพรึงกลัวของพระยาห์เวห์นั้น  ใกล้เข้ามาและมาอย่างรวดเร็ว
ไม่มีใครหนีออกไปได้ แม้คนเข้มแข็งก็รู้ว่าตัวเองถึงจุดจบแน่แล้ว  ครั้งนี้เป็นวันแห่งความมืด ไม่มีความหวังหลงเหลืออยู่เลย  หากเราเจอวันที่มืด มืดมิดอย่างหนามาก ๆ เราจะทำอะไรได้?  คนที่เคยอยู่ในคุกมืดจะบอกได้ว่ามันคืออะไร และเราไม่น่าจะต้องไปสัมผัสเหตุการณ์อย่างนั้นในเมื่อพระเจ้าทรงเตือนเราแล้วในเวลานี้
อ่านซ้ำ ๆ อ่านให้เข้าไปในความรู้สึก ในใจ ในความคิด ของเรา และให้เราช่วยตัวเองและเพื่อนรอบข้างให้ไม่ต้องเจอสภาพนี้  
คนที่พบกับสงครามในเวลานี้จะรู้สึกได้ไปถึงกระดูก เมื่อพระเจ้าทรงเตือน ขอเราฟังให้ดี  เขียนออกมาว่า ในวันแห่งพระพิโรธ เราจะพบกับอะไรบ้าง …​สงครามเป็นตัวบ่งบอกชัดเจนว่า พระเจ้าทรงนำมาให้เพื่อนำให้พวกเขากลับใจ
แม้เมืองที่มีการคุ้มกันอย่างดี ก็ไม่อาจหนีพ้นได้

ผลที่เกิดขึ้นจากการพิพากษาของพระเจ้า
1:17  สภาพของคนที่ทรยศพระเจ้าทั้ง  ที่พระองค์ทรงเตือนพวกเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็เป็นแบบนี้ น่าสยดสยองจริง ๆ
นี่คือผลที่ได้จากการที่พระเจ้าทรงยื่นพระหัตถ์เข้ามาต่อต้านมนุษย์

1:18 วันของพระเจ้ามาอย่างรวดเร็ว  ไม่ทันตั้งตัว พวกเขาจะถึงจุดจบอย่างทันควัน
พระเจ้าทรงแสดงออกถึงความหวงแหนของพระองค์ พระองค์ทรงได้รับบาดแผลและทรงเรียกร้องการแก้แค้น
คนที่ทำให้พระเจ้าพิโรธได้ขนาดนี้ ต้องทำอย่างสุดขั้วเช่นกัน เพราะพระเจ้าทรงพิโรธช้า 
พวกเขาเข้าใจบ้างแล้วหรือยังว่า ทำอะไรลงไป? 

พระคำเชื่อมโยง

เศฟันยาห์ 1
1* 2 พงศ์กษัตริย์ 22:1-2
3* โฮเชยา 4:3
4* โฮเชยา 10:5
5* 2 พงศ์กษัตริย์ 23:12; โยชูวา 23:7
6* อิสยาห์ 1:4; โฮเชยา 7:7

7* เศคาริยาห์ 2:13; อิสยาห์ 13:6;
เยเรมีย์ 46:10
8* เยเรมีย์ 39:6
9* 1 ซามูเอล 5:5
10* 2 พงศาวดาร 33:14
11* ยากอบ 5:1
12* เยเรมีย์ 48:11; สดุดี 94:7

13* เฉลยธรรมบัญญัติ 28:39
14* โยเอล 2:1,11
15* อิสยาห์ 22:5
16* เยเรมีย์ 4:19
17* เฉลยธรรมบัญญัติ  28:29
18* เอเสเคียล 7:19

โรม 8 ได้เป็นลูกของพระเจ้า!

โรม 8:1-2
ดังนั้น บัดนี้  จึงไม่มีการลงโทษแก่คนทั้งหลายที่อยู่ในพระเยซูคริสต์  (5:16,18) เพราะกฎของพระวิญญาณแห่งชีวิตโดยทางพระเยซูคริสต์ได้ปลดปล่อยให้ท่านเป็นอิสระจากกฎแห่งบาปและความตาย

โรม 8:3
เพราะพระเจ้าได้ทรงทำสิ่งที่บทบัญญัติทำไม่ได้เนื่องจากธรรมชาติบาปทำให้อ่อนพลังไป   โดยการส่งพระบุตรของ
พระองค์ลงมา โดยทรงสภาพเดียวดั่งคนบาป* ให้เป็นเครื่องบูชาไถ่บาป เท่ากับพระเจ้าทรงลงโทษบาปในมนุษย์

โรม 8:4
เพื่อว่า สิ่งที่บทบัญญัติเรียกร้องจากเรานั้นจะได้สำเร็จครบในตัวเรานั่นคือ   เราไม่ได้ดำเนินชีวิตตามธรรมชาติบาปของเรา
แต่ตามองค์พระวิญญาณ

โรม 8:5-6
เพราะคนที่ใช้ชีวิตตามธรรมชาติบาปก็จะจดจ่อกับสิ่งที่เป็นของธรรมชาติบาป แต่คนที่ใช้ชีวิตตามพระวิญญาณก็จะจดจ่อ
กับสิ่งที่เป็นของพระวิญญาณ เพราะสิ่งที่ตามมาจากการจดจ่อกับธรรมชาติบาปก็คือความตาย  แต่สิ่งที่ตามมาจากการ
จดจ่อในพระวิญญาณคือชีวิตและสันติสุข

โรม 8:7-8
เพราะความคิดที่จดจ่อกับธรรมชาติบาปก็เป็นศัตรูกับพระเจ้า ไม่ยอมต่อบทบัญญัติของพระเจ้า
จริง ๆ  แล้ว ไม่สามารถยอมต่อพระองค์ได้ คนที่อยู่ใน
ธรรมชาติบาปไม่อาจเป็นที่พอพระทัย
ของพระเจ้าได้เลย

โรม 8:9
หากพระวิญญาณของพระเจ้าประทับในท่านจริง ท่านก็ไม่ได้ดำเนินชีวิตตามธรรมชาติบาป แต่ตามพระวิญญาณ 
ส่วนคนใดที่ไม่มีพระวิญญาณของพระคริสต์
เขาก็ไม่ใช่คนของพระองค์

โรม 8:10
หากพระคริสต์อยู่ในตัวท่าน แม้ว่า
ร่างกายของท่านได้ตายเพราะบาป
แต่วิญญาณยังคงมีชีวิตอยู่

เพราะความเที่ยงธรรม
(พระเจ้าทรงมองว่าท่านถูกต้องกับพระองค์)

โรม 8:11
หากพระวิญญาณของพระองค์ผู้ทรงให้พระเยซูคืนชีพจากความตายสถิตในท่าน
พระองค์ผู้ทรงทำให้พระคริสต์คืนชีพจากความตายนั้น จะประทานชีวิตให้กับสังขารอันไม่เที่ยงของท่าน โดยพระวิญญาณผู้สถิตในท่าน 

โรม 8:12 
ดังนั้น พี่น้องทั้งหลาย 
เราไม่ได้เป็นหนี้ธรรมชาติบาปในตัวเรา
ที่ทำให้เราต้องดำเนินชีวิตตาม
ความต้องการของธรรมชาติบาปนั้น

โรม 8:13-14
หากท่านดำเนินชีวิตตามที่ธรรมชาติบาปในตัวท่านต้องการ ท่านจะตายแน่นอนแต่หากท่านได้รับความช่วยเหลือจากพระวิญญาณ และทำลายการทำผิดฝ่ายร่างกาย  ท่านจะได้รับชีวิตแท้ เพราะทุกคนที่ได้รับการทรงนำจากพระวิญญาณของพระเจ้านั้น เป็นลูก ๆ ของพระองค์

โรม 8:15-16
เพราะว่าท่านมิได้รับวิญญาณทาสซึ่งนำไปสู่ความกลัวอีกครั้ง แต่ท่านได้รับพระวิญญาณแห่งการรับเป็นบุตร ซึ่งทำให้เราร้องเรียกว่า “อับบา พระบิดา”และพระวิญญาณเอง ทรงเป็นพยานกับวิญญาณของเราว่า เราเป็นลูก ๆ ของพระเจ้า


โรม 8:17
หากเราเป็นลูก ๆ ของพระเจ้า เราก็เป็นผู้รับมรดกด้วย คือเป็นทั้งผู้รับมรดกของพระเจ้า และเป็นผู้รับมรดกร่วมกับพระคริสต์  หากเรามีส่วนในการทนทุกข์กับพระองค์ เราก็จะได้มีส่วนในการรับเกียรติสิริกับพระองค์ด้วย

โรม 8:18-19
เพราะข้าเห็นว่า ความทุกข์ยากในปัจจุบัน ไม่อาจเทียบได้กับศักดิ์ศรีที่จะเปิดเผยให้เห็นในตัวเรา
เพราะสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างมา
ต่างรอคอยการปรากฏของลูก ๆ ของพระเจ้า
ด้วยใจจดใจจ่อ


โรม 8:20-21
เพราะสรรพสิ่งที่ทรงสร้างขึ้นมานั้น ถูกกำหนดให้อยู่อย่างไร้ประโยชน์ มิใช่เพราะจำยอมเอง แต่เป็นเพราะพระเจ้าทรงตั้งพระทัยให้เป็นไปเช่นนั้น โดยมีความหวัง เพราะว่าสรรพสิ่งทั้งหลายจะได้รับการปลดปล่อยจากการเป็นทาสความทรุดโทรมเข้าไปสู่อิสรภาพอันรุ่งโรจน์ของลูก ๆ ของพระเจ้า

8:22-23
เพราะเรารู้ว่า สรรพสิ่งทั้งสิ้นคร่ำครวญเผชิญความทุกข์ยาก ราวกับการคลอดบุตรจนกระทั่งวันนี้ ไม่เพียงเท่านั้น แต่เราเองผู้ที่มีผลแรกแห่งพระวิญญาณก็ยังคร่ำครวญในใจขณะที่เรารอคอยการที่จะทรงรับเราเป็นบุตรอย่างจดจ่อคือการไถ่ร่างกายของเรา

โรม 8:24-25
เพราะเราได้รับความรอดด้วยความหวังนี้
ความหวังที่เห็นแล้ว ไม่ใช่ความหวัง
ใครล่ะ จะหวังในสิ่งที่เห็นอยู่แล้ว?แต่เรากำลังหวังในสิ่งที่เรายังมองไม่เห็นและเราจึงรอคอยอย่างอดทน

 โรม 8:26
ยิ่งกว่านั้น พระวิญญาณทรงช่วย
เมื่อเราอ่อนแอ
เราไม่ทราบว่า
เราควรจะอธิษฐานอย่างไร แต่
พระวิญญาณทรงทูลต่อพระเจ้าเพื่อเรา
ด้วยการคร่ำครวญที่ไม่อาจอธิบายเป็นคำพูดได้


โรม 8:27
พระเจ้าผู้ทรงเห็นสิ่งที่อยู่ในใจมนุษย์
และทรงรู้ว่ามีอะไรในพระทัยของพระวิญญาณบริสุทธิ์
เพราะพระวิญญาณ
ทรงอ้อนวอนต่อพระเจ้าเพื่อวิสุทธิชน
ของพระองค์ตามที่พระเจ้าทรงประสงค์

โรม 8:28
เรารู้ว่า พระเจ้าทรงทำให้ทุกสิ่ง
เป็นไปเพื่อสวัสดิภาพของคนที่รักพระองค์
พวกเขาเป็นคนที่พระองค์ทรงเรียก
ตามพระประสงค์ของพระองค์

โรม 8:29
เพราะสำหรับพวกเขาที่พระองค์ทรงรู้มาก่อน 
พระองค์ก็ทรงเลือกเขาไว้ล่วงหน้าเพื่อให้มีลักษณะเป็น
เหมือนพระบุตรของพระองค์ 
เพื่อว่าพระเยซูจะทรงเป็นบุตรหัวปีของพี่น้องอีกเป็นอันมาก

โรม 8:30 
ยิ่งกว่านั้น คนที่พระเจ้าทรงเลือกล่วงหน้าพระองค์ก็ทรงเรียก และคนที่พระองค์ทรงเรียก พระองค์ทรงประกาศให้เขา
เป็นผู้เที่ยงธรรม(เขาพ้นผิด) และคนที่พระองค์ทรงทำให้เป็นผู้เที่ยงธรรมพระองค์ก็ประทานเกียรติสิริให้ด้วย

โรม 8:31-32
 ถ้าอย่างนั้น เราจะกล่าวว่าอย่างไร?
หากพระเจ้าทรงอยู่ฝ่ายเรา ใครจะต่อต้านเราได้? พระองค์ผู้ไม่ได้เว้นชีวิตของพระบุตรแต่ทรงมอบพระบุตรนั้นให้สิ้นพระชนม์เพื่อเราทุกคน  อย่างนั้นแล้วพระองค์จะไม่ประทานทุกสิ่งให้เราด้วยเต็มพระทัยหรอกหรือ ?

โรม 8:33
ใครจะมาฟ้องร้อง
คนที่พระเจ้าทรงเลือกไว้?
เพราะพระเจ้าทรงเป็นผู้ประกาศเองว่า
พวกเขาเป็นคนเที่ยงธรรม

(พวกเขาพ้นผิด เป็นคนถูกต้องกับพระเจ้า)

โรม 8:34
ใครจะกล่าวโทษผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกไว้ได้เล่า?
ไม่มีใคร!
เพราะพระเยซูคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์แทนแล้ว
และพระองค์ทรงคืนพระชนม์จากความตาย  
และบัดนี้ ประทับ ณ เบื้องพระหัตถ์ขวา
ของพระเจ้า กำลังทูลอ้อนวอนเพื่อเรา

โรม 8:35
ใครจะมาแยกเราจากความรัก
ของพระคริสต์ได้?
 

จะเป็นความยากลำบาก 
ความเจ็บปวด  การข่มเหง 
หรือความอดอยาก ขาดเครื่องนุ่งห่ม   
หรืออันตราย หรือ คมดาบอย่างนั้นหรือ?


โรม 8:36-37
เหมือนอย่างที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า
“เพื่อเห็นแก่พระองค์ เราจึงเผชิญกับ
ความตายตลอดเวลา เขานับว่า เราเป็น
เหมือนแกะสำหรับการสังหาร”
(สดุดี 44:22)
แต่เรายังมีชัยชนะอย่างเด็ดขาดเหนือ
สิ่งเหล่านี้ โดยพระคริสต์ผู้ทรงรักเรา


โรม 8:38-39
เพราะข้ามั่นใจว่า ไม่ว่าจะเป็นความตาย
หรือชีวิต หรือทูตสวรรค์ หรือวิญญาณชั่ว หรือ
ปัจจุบันกาล หรืออนาคตกาลหรืออำนาจ
ใด ๆ ก็ตามหรือความสูงหรือความลึก
หรือสรรพสิ่งใด ๆ ที่ทรงสร้างไม่สามารถ
แยกเราออกจากความรักของพระเจ้าซึ่งมี
อยู่ในพระเยซูคริสต์เจ้าของเราได้



โรม 8:1-2
คำถามสุดท้ายของบทที่แล้วคือ ใครจะช่วยให้พ้นจากร่างแห่งความตายได้? เพราะเปาโลรู้ดีว่าธรรมชาติบาปในตัวนั้น พาให้ชีวิตไปทำบาปซึ่งนำ
ไปสู่ความตาย  และคำตอบก็คือ เมื่อเราอยู่ในพระคริสต์ นั่นคือเมื่อเราสำนึกบาป กลับใจ เชื่อวางใจ ติดตามองค์พระเยซูคริสต์ เราก็มีชีวิตใหม่
ไม่ใช่บทบัญญัติใหม่ แต่เป็นชีวิตที่มีพระวิญญาณของพระเจ้าทรงนำ  เราจึงเป็นอิสระจากชีวิตใต้ธรรมชาติบาป มาอยู่ใต้พระวิญญาณ

โรม 8:3
สิ่งที่บทบัญญัติทำให้ได้คือแจ้งให้ทราบว่าอะไรเป็นบาป แต่บทบัญญัติไม่สามารถให้ชีวิตได้  และไม่มีอำนาจทำให้บาปสิ้นสุดลงในชีวิตของแต่ละคนบทบัญญัติอาจกระตุ้นให้เราเกิดความรู้สึกอยากทำตาม อยากเชื่อฟังพระเจ้า แต่ไปๆ มาๆ คนเราก็อ่อนกำลังเพราะธรรมชาติบาปในตัว จึงเท่ากับทำให้ทุกคนล้มเหลว รู้แต่สอบไม่ผ่านจะมีประโยชน์อะไร? พระเจ้าจึงทรงทำสิ่งที่เหลือเชื่อ คือทรงส่งพระบุตรลงมาเป็นมนุษย์เพื่อรับโทษบาปให้

โรม 8:4
การมีชีวิตกับพระเจ้าเท่ากับเราไปกับพระวิญญาณนั้นคือเราสยบต่อพระองค์ เราขึ้นอยู่กับพระองค์ ซึ่งตรงข้ามกับการเดินตามธรรมชาติบาปที่ทำตาม
ใจตัวเอง ให้บาปครองใจ การทำตามพระวิญญาณไม่ใช่ทำแบบอัตโนมัติ  แต่เป็นชีวิตที่มีการต่อสู้ระหว่างธรรมชาติบาปกับพระวิญญาณอย่างต่อเนื่อง(กาลาเทีย  5:17)  การชนะธรรมชาติบาปในตัวเราเป็นเหมือนการปล้ำสู้ที่ต้องเอาชนะให้ได้ทุกครั้ง

โรม 8:5-6
บริษัทประกันภัยที่ให้สโลแกนทำนองว่า หากคุณชอบชีวิตสไตล์ไหนก็ใช้ชีวิตแบบนั้น ไม่ว่าจะเป็นที่อันตราย ท้าทาย หรือเงียบ ๆ เมื่อถึงวันที่สิ้นชีวิตบริษัทก็จะชดเชยให้ … น่าสนใจใช่ไหม แต่บริษัทไม่อาจให้สันติสุขท่ามกลางความทุกข์ หรือให้ชีวิตนิรันดร์กับลูกค้าได้ ท่านเปาโลบอกชัดเจนว่า ชีวิตและสันติสุขได้มาด้วยการใช้ชีวิตตามพระวิญญาณของพระเจ้า  สิ่งที่ต้องทำคือ มีความคิดอย่างพระเยซูคริสต์ (ฟีลิปปี 2:5)และเอาใจใส่ให้ถูกที่ (โคโลสี 3:2)

โรม 8:7-8
คนที่ใช้ชีวิตที่ชอบตามใจตนเอง  น่าเป็นห่วงเพราะว่า ใจของมนุษย์นั้นหลอกลวงยิ่งกว่าอะไร เราคิดว่า ดีแล้ว เราคิดว่า โอเค… แต่การไม่ยอมต่อพระเจ้านั้น อันตรายที่สุด  ในข้อ 8 ท่านเปาโลกำลังคิดถึงคนที่ไม่ได้เชื่อพระเจ้าอยู่ การอยู่ในธรรมชาติบาปคือการใช้ชีวิตอย่างคนที่ไม่เชื่อมีชีวิตที่ห่างจากพระเจ้า และน้ำพระทัย เราอาจบังเกิดใหม่แล้ว แต่เราก็เผลอใช้ชีวิตอย่างคนไม่บังเกิดใหม่ได้

โรม 8:9
ผู้เชื่อในพระเจ้าทุกคน เป็นคนที่มีพระวิญญาณประทับภายใน .. แต่ธรรมชาติบาปก็ยังอยู่ในเขาบางคนไม่ได้ยอมให้ชีวิตเปี่ยมล้นด้วยพระองค์(เอเฟซัส 5:18)  ยังไม่รู้จักชีวิตที่มีพระวิญญาณหลั่งไหลออกมาไม่หยุด อย่างที่พระเยซูตรัส(ยอห์น 7:37-39) แม้เขาถูกประทับตราด้วยพระวิญญาณ(เอเฟซัส 1:13)  ให้ถามตัวเองว่าหัวใจเราโหยหาพระองค์ไหม?อยากถวายเกียรติไหม?

โรม 8:10
ร่างกายของเราทุกคนในโลก ต้องเผชิญกับความตายไม่เว้นเลย .. แต่มีความแตกต่างระหว่างคนที่เป็นของพระเจ้า กับคนที่เป็นของโลก เราจะเห็น
ชัดว่าในงานศพของคนที่เชื่อนั้น มีความหวังใจที่มั่นคงว่า วิญญาณของผู้นั้นไปอยู่กับพระเจ้าเราอยู่ในความเชื่อที่ไม่สิ้นหวัง แต่มีความหวังใจ
ในพระสัญญาของพระเจ้า ไม่ได้หวังในความดีของตนเอง แต่หวังในพระโลหิตของพระเจ้าที่ทำให้เราเป็นคนถูกต้องในสายพระเนตรของพระองค์

โรม 8:11
ข้อความนี้ชัดเจนเลยว่า พระวิญญาณผู้ทรงทำให้พระเยซูทรงคืนชีพจากความตายนั้น เป็นพระองค์เดียวกันที่จะทำให้วิญญาณจิตของเราเป็นขึ้นจากความตายเหมือนพระองค์ จากข้อนี้ เราจึงเชื่อว่าวันหนึ่งพระเจ้าจะทรงทำให้เราฟื้นขึ้นมาเหมือนพระองค์แม้ว่าร่างกายของเราจะตายไปแล้ว  ยิ่งไปกว่านั้น พระวิญญาณทรงเป็นผู้รักษาบำรุงให้ชีวิตใหม่ที่เราได้รับดำรงอยู่ตลอดไป ฟีลิปปี 3:10บอกถึงฤทธิ์แห่งการคืนชีพของพระเยซู 

โรม 8:12 
เมื่อเรามาเชื่อในพระเจ้าแล้ว ธรรมชาติบาปในตัวยังคงอยู่ พระเจ้าไม่ได้ทรงกำจัดมันออกไปจากตัวเราทั้งหมด  ตัวเราเองจึงจะต้องไม่ดำเนินชีวิต
ตามใจธรรมชาติบาปของเรา เราไม่แปลกใจเลยว่าหลายครั้ง ตัวเราเองได้ตามใจธรรมชาติบาปในตัวพระเจ้าทรงบัญชาให้เราต่อสู้กับมัน เราต้องได้รับ
การชำระจากพระเจ้าอย่างสม่ำเสมอ เราจึงยังอ่านพระคัมภีร์ อธิษฐาน สัมพันธ์สนิทกับพี่น้องเพื่อเราจะชนะได้ อ่าน ทิตัส 2:12, 2 เปโตร 1:3-11, 3:18

โรม 8:13-14
การที่เรามาเชื่อพระเจ้า แต่ยังคงดำเนินชีวิตตามธรรมชาติบาป นับเป็นเรื่องน่าเสียดายมาก บางคนคิดว่า การมาเชื่อพระเจ้าเป็นเรื่องที่พระเจ้าทรงทำ
ให้ทั้งหมด ตัวเองไม่ต้องพยายามอะไรเลย. ในข้อสี่และข้อหกของโรมบทนี้ ได้บอกเราให้ตั้งใจเดินตามพระวิญญาณ และจดจ่อต่อสิ่งที่เป็นของ
พระวิญญาณ ไม่ใช่เรื่องของโลก ท่านเปาโลยังคงเน้นย้ำชีวิตที่เป็นฝ่ายพระวิญญาณเพื่อจะได้เป็นลูกแท้ ๆ ของพระเจ้า

โรม 8:15-16
เมื่อเรามาเป็นของพระเจ้าได้รับสถานภาพใหม่ ไม่เป็นทาสบาปอีกต่อไปแต่มาเป็นลูกของพระเจ้าซึ่งจะได้รับสิทธิต่าง ๆ เหมือนกับลูกแท้ และสิทธิ
ที่เราได้รับในฐานะเป็นบุตรแท้ของพระเจ้าก็คือชีวิตนิรันดร์ เราได้เรียกพระบิดาเหมือนอย่างที่พระเยซูทรงเรียก อับบา เมื่อทรงอธิษฐาน (มาระโก 14:36) ในฐานะที่เป็นลูกของพระเจ้าเมื่อเราอธิษฐานครั้งใดต่อพระบิดา พระวิญญาณก็ทรงช่วยเราเสมอ (โรม 8:26)

โรม 8:17
ชีวิตกับพระเจ้ามีทั้งเกียรติ และการทนทุกข์ ดังนั้นเมื่อเราพบความความทุกข์ยากใด ๆ คำถามที่มักถามกันขึ้นมาคือ “เหตุใดพระเจ้าทรงให้เราทุกข์
ยากขนาดนี้? คนอื่นไม่เห็นเป็นอย่างเราเลย” พระคำข้อนี้ได้บอกเราว่า เมื่อเราทนทุกข์ร่วมกันกับพระองค์ เราจะมีส่วนในพระเกียรติของพระองค์
ด้วย นี่เป็นเหตุทำให้คริสเตียนที่ทนทุกข์สามารถผ่านอุปสรรคต่าง ๆได้ เกียรติที่ยิ่งใหญ่อีกอย่างคือ เราเป็นผู้รับมรดกของพระเจ้าร่วมกับพระคริสต์!!

โรม 8:18-19
ตอนนี้ท่านเปาโลบอกว่า ทั้งตัวท่านและสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง ต่างมองไปยังอนาคตที่เป็นนิรันดร์กาล ทั้งมนุษย์ สัตว์ พืช แผ่นดินต่างตั้งหน้าตั้งตารอคอยสิ่งที่จะมาข้างหน้า ดังนั้นความทุกข์ยาก ทรุดโทรม ความลำบากต่าง ๆ จึงเทียบไม่ได้กับศักดิ์ศรีที่จะปรากฏ  ความทุกข์ยากที่เกิดขึ้นซึ่งท่านเปาโลกล่าวถึง เป็นสิ่งที่มาเนื่องจากความเชื่อในพระเยซูคริสต์  ความทุกข์นี้รวมถึงความทุกข์ใจ ความปวดร้าวใจด้วย 

โรม 8:20-21
สรรพสิ่งถูกกำหนดให้อยู่อย่างไร้ประโยชน์ คือไร้ความหมาย ไร้ค่า การที่มนุษย์ไม่เชื่อฟังพระเจ้า ทำให้ธรรมชาติท้งปวง ไม่อาจก้าวไปถึงความเพียวพร้อมอย่างที่พระเจ้าทรงตั้งพระทัยไว้แต่ตั้น (ดูคำสาปสรรพสิ่ง ปฐมกาล 3:17-19) จึงไม่ใช่แค่มนุษย์เท่านั้นที่ต้องได้รับการไถ่จากพระเจ้า แต่รวมไปถึงสรรพสิ่งในธรรมชาติด้วย ที่เราเห็นว่ามันงดงามมาก ยังเป็นสภาพที่ทรุดโทรม ถ้าเป็นต้นแบบแรกจะงามขนาดไหน เดาไม่ออกเลย!!

โรม 8:22-23
สรรพสิ่งในธรรมชาติผ่านความทุกข์เหมือนกับหญิงคลอดบุตร เจ็บปวดเพื่อออกผล เป็นผลจากอดีตและเพื่อการช่วยกู้ในอนาคต(ข้อ 20)  ผลแรกแห่ง
พระวิญญาณ หมายถึงผลแรกที่พระวิญญาณผู้ทรงทำให้พระเยซูคืนชีพ จะทรงทำให้เราคืนชีพเช่นกัน(ย้อนกลับไปอ่าน 8:9-11)  และที่เรารอคอยอยู่คือ
ที่พระเจ้าจะทรงเปลี่ยนเรา ไถ่เราให้เป็นเหมือนพระคริสต์ พระวิญญาณทรงเป็นประกันว่ายังจะมีพระพรที่เหนือกว่าในวันนี้ให้กับเราด้วย

โรม 8:24-25
คำว่าความหวัง .. เป็นความหวังว่าสิ่งที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้จะเกิดขึ้นในอนาคตจริง เราจะได้เป็นลูกของพระเจ้าเต็มร้อย เราจะได้พบพระองค์ในพระสิริเมื่อพระองค์เสด็จกลับมา และจะได้รับการช่วยกู้จากความบาปเช่นกัน จะไม่มีธรรมชาติบาปหลงเหลืออยู่ในตัวเราอีกต่อไป ไม่ต้องสู้กับเนื้อหนังของตัวเองอีกต่อไป เราจึงรอคอยอย่างอดทนยอมสู้ เผชิญกับความทุกข์ยากทั้งสิ้น  

โรม 8:26
ระหว่างการรอคอยด้วยความเชื่อ ความหวังดังกล่าว เราก็ยังอ่อนแอ บางครั้งไม่รู้ว่าจะทูลต่อพระเจ้าในความทุกข์อย่างไร บางครั้งไม่รู้ว่าควรจะทูลอย่างไร  หลายครั้งที่ไม่เห็นภาพใหญ่ ต้นเหตุของปัญหา บางครั้งไม่รู้ว่าจะตัดสินใจทูลขออย่างไรเสียด้วยซ้ำ เพราะคำตอบที่ต้องการยังคลุมเครือ  เราคงเคยตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน  ข่าวดีมาก ๆ คือ พระวิญญาณที่ประทับในเราทรงคร่ำครวญทูลพระเจ้าแทนเรา! 

โรม 8:27
การขอตามที่พระเจ้าทรงประสงค์อยู่แล้วนั้น ทำให้เราได้รับคำตอบจากพระเจ้า (แม้บางครั้งไม่เป็นที่ถูกใจของเราสักนิด แต่ในระยะยาวเราจะเห็นประโยชน์ของคำตอบโดยตรงจากพระเจ้า ที่ไม่ใช่เราคิดเอาเอง) ถึงเราเป็นลูกของพระเจ้า แต่ก็มีบางโอกาสที่เราไม่แน่ใจว่า พระประสงค์ของพระเจ้าในบางเรื่องนั้นเป็นอย่างไร เราควรก้าวไปทางไหน แต่พระวิญญาณทรงทราบพระทัยของพระเจ้าดีจะทรงทูลขอสิ่งที่จะได้รับคำตอบ

โรม 8:28
“ทุกสิ่ง”
ในที่นี้ น่าจะหมายถึงสถานการณ์ที่ดูเป็นความทุกข์ยาก ปัญหา หรือสิ่งต่าง ๆ ที่เราไม่อยากรับ แต่ทุกสิ่งเหล่านั้นที่เกิดขึ้น เป็นไปเพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิต เพื่อสิ่งที่ดีกว่าในชีวิตของคนที่รักพระเจ้า  ทุกสิ่ง อาจหมายถึงทั้งความสำเร็จความสุขใจ ความทุกข์ที่อาจจะต้องทนไปตลอดชีวิต สิ่งที่ไม่คาดฝันว่าจะพบเจอ ความผิดหวังในตัวคนที่รัก ในการงาน  ความเจ็บปวดและความผิดหวังเหล่านั้นพระเจ้าทรงประกันว่าจะกลายเป็นดี 

โรม 8:29
คนที่พระเจ้าทรงรู้จักมาก่อน  พระองค์ทรงวางให้เขาเป็นคนที่กลายมาเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ในอนาคต ต้องเหมือนมากขึ้นทุกที  นี่เป็นอย่างหนึ่งที่ทำให้เราต้องเผชิญความทุกข์ยากต่าง ๆ เพราะความทุกข์ยากเหล่านั้น จะช่วยเปลี่ยนเราให้มีแนวคิดใหม่ มีความมั่นใจในพระเจ้าเมื่อรู้ว่า เป้าหมายของพระเจ้าคือ ทรงทำให้เรามีลักษณะเหมือนพระคริสต์  อย่างนี้ ทำให้ผู้เชื่อกล้าหาญและเผชิญทุกสิ่งได้… 

โรม 8:30 
คนหนึ่งจะได้รับการประกาศว่าเป็นคนเที่ยงธรรมหรือถูกต้องกับพระเจ้านั้น ในข้อ 29-30 นี้บอกว่าเขาผ่านสามด่านมาคือ ทรงรู้ก่อน ทรงเลือกและทรงเรียก จากนั้นทรงประกาศว่าเขาถูกต้องกับพระองค์ และเขาได้เกียรติเป็นลูกของพระเจ้า การทรงรู้ล่วงหน้า เลือกและเรียกเป็นสิ่งที่ใช้เป็นข้อถกเถียงกันมามาก  คล้ายกับว่าพระเจ้าไม่ทรงยุติธรรมที่ทรงเลือกและไม่เลือกบางคน  ต้องรับว่า มีบางอย่างที่เรายังไม่อาจได้คำตอบแบบร้อยเปอร์เซนต์

โรม 8:31-32
พระเจ้าทรงพิสูจน์แล้วว่า พระองค์ทรงอยู่ฝ่ายคนที่เชื่อในพระองค์  เราเห็นมาก่อนหน้านี้ว่า องค์พระวิญญาณก็ทรงอยู่ฝ่ายคนของพระองค์ เมื่อเขาจนตรอก ไม่รู้ว่าจะก้าวต่อไปอย่างไร จะอธิษฐานอย่างไร พระวิญญาณทรงช่วย ยิ่งกว่านั้น พระบุตรของพระเจ้าทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา พระเจ้าผู้ทรงเป็นพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทรงอยู่ฝ่ายเรา นี่เป็นเกียรติสูงส่งเพียงใดสำหรับมนุษย์เดินดินอย่างเรา

โรม 8:33
ผู้ที่เป็นเจ้าแห่งการกล่าวโทษ การฟ้องร้องก็คือมาร ยิ่งกว่านั้น บทบัญญัติก็จะกล่าวโทษคนที่ละเมิดบทบัญญัติด้วย แต่เรามั่นใจแล้วว่า พระเจ้าทรงประกาศว่า เราเป็นคนเที่ยงธรรม เราพ้นผิดเราถูกต้องกับพระองค์เพราะความเชื่อวางใจที่เรามีต่อพระองค์แล้วพระเจ้าเองไม่ทรงกล่าวโทษเรา พระองค์ทรงเป็น
ผู้กล่าวว่าเราพ้นผิด … ขอบคุณพระเจ้า

โรม 8:34
ไม่มีใครสามารถกล่าวโทษผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกไว้พระเยซูทรงรับโทษทั้งสิ้นของคนที่เชื่อในพระองค์ไปแล้ว  โทษถูกตัดสินไปแล้ว!! ดูสิว่า เรามีพระพรมากเพียงใด ที่พระบิดาเจ้าทรงฟังคำอธิษฐานอ้อนวอนเผื่อของทั้งองค์พระบุตรและคำอธิษฐานของพระวิญญาณบริสุทธิ์แทนเรา พระบุตรทรงเป็นตัวแทนของคนบาปอย่างเราต่อพระบัลลังก์ของพระบิดา.. พระคำข้อนี้ทำให้เราเข้าใจว่าพระเจ้าไม่เคยทิ้งเราสักวันเดียว

โรม 8:35
อย่างหนึ่งที่เราต้องรู้ซึ่งไม่ได้เหมือนที่หลาย ๆ คนคิดว่าพอมารู้จักพระเจ้าแล้ว ก็ไม่มีความทุกข์ใด ๆ มาแตะต้องชีวิต ความจริงคือ พระเจ้าทรงอนุญาตให้เราพบเจอความยากลำบาก ความเจ็บป่วย  ความทุกข์ใจในโลกนี้ มีคริสเตียนมากมายที่เผชิญความทุกข์ที่สาหัสมาก เพราะทั้งสิ้นทำให้ยิ่งเติบโตในพระองค์  ทำให้แกร่ง มีความมั่นใจเชื่อในพระองค์ วางใจในความยิ่งใหญ่ของพระองค์มากเกินกว่าคนที่มีชีวิตง่าย ๆ  

โรม 8:36-37
ถึงแม้ว่าผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเผชิญกับความลำบากและสิ่งที่สาหัส แต่ท่านเปาโลกลับบอกว่า เรามีชัยชนะอย่างเด็ดขาด ไม่ใช่ด้วยความสามารถเก่งกาจของเราเอง แต่พระคริสต์ผู้ทรงรักเราทรงให้พลังที่เราจะเอาชนะ ที่เราจะกล้าหาญ และพระองค์ก็จะทรงเปลี่ยนสถานการณ์ทั้งหลายให้เราตามที่พระองค์ทรงเห็นสมควร  ผู้คนของพระเจ้าอาจพบความเกลียดชัง การใส่ร้าย ดูหมิ่น  ส่วนของเราคือทำตามพระดำรัส และพระองค์จะทรงกรุณา

โรม 8:38-39
ข้อที่ผ่านมาบอกว่า เราจะมีชัยชนะอย่างเด็ดขาดหรือ เรามีชัยเหลือล้น นั่นก็คือ เราเป็นยิ่งกว่าผู้มีชัยชนะ พระเจ้าทรงเป็นผู้ให้ชัยชนะ ไม่ใช่โดยตัวของเราเอง เราจึงไม่กลัวทั้งความตายหรือสถานการณ์ใด ๆ ความรักของพระเจ้า ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่า เราได้ทำอะไรเพื่อพระองค์ แต่ขึ้นอยู่กับว่าพระคริสต์ได้สิ้นพระชนม์ด้วยความรักพระบิดาและรักเราเพื่อมนุษย์อย่างเราแล้ว  ชัยชนะอยู่ที่พระเจ้าก่อน แล้วจึงส่งต่อมาที่เรา 

พระคำเชื่อมโยง

โรม 8
1* กาลาเทีย 5: 5:16
2* โรม 6:18, 22; 1 โครินธ์ 15:45;
โรม 7:24-25
3* กิจการ 13:39; 2 โครินธ์ 5:21
4* กาลาเทีย 5:16, 25
5* ยอห์น 3:6; กาลาเทีย 5:22-25
6* กาลาเทีย 6:8
7* ยากอบ 4:4; 1 โครินธ์ 2:14
11* กิจการ 2:24; 1 โครินธ์ 6:14
12* โรม 6:7, 14
13* กาลาเทีย 6:8; เอเฟซัส 4:22
14* กาลาเทีย 5:18



15* ฮีบรู 2:15 ; 2 ทิโมธี 1:7 ;
อิสยาห์ 56:5; มาระโก 14:36
16* เอเฟซัส 1:13
17* กิจการ 26:18; ฟีลิปปี 1:29
18* 2 โครินธ์ 4:17
19* 2 เปโตร 3:13
20* ปฐมกาล 3:17-19
21* 2 โครินธ์ 3:17
22* เยเรมีย์ 12:4, 11
23* 2 โครินธ์ 5:2-5 ; ลูกา 20:36;
เอเฟซัส 1:14; 4:30
24* ฮีบรู 11:1
26* มัทธิว 20:22; เอเฟซัส 6:18
27* 1 พงศาวดาร 1 ยอห์น

28* 2 ทิโมธี 1:9
29* 2 ทิโมธี 2:19; เอเฟซัส 1:5, 11;
2 โครินธ์ 3:18; ฮีบรู 1:6
30* 1 เปโตร 2:9; 3:9;
กาลาเทีย 2:16; ยอห์น 17:22
31* กันดารวิถี 14:9
32* โรม 5:6, 10; 4:25
33* อิสยาห์ 50:8-9
34* ยอห์น 3:18; มาระโก 16:19;
ฮีบรู 7:25; 9:24
36* สดุดี 44:22
37* 1 โครินธ์  15:57
38* เอเฟซัส 1:21