มัทธิว 9 ราชกิจเพื่อชาวเมือง

ทรงรักษาคนเป็นอัมพาตที่เพื่อนพามา
1พระเยซูทรงลงเรือและข้ามฟากไปยังเมืองของพระองค์ 
2 ดูสิ มีบางคนได้นำชายอัมพาตคนหนึ่งนอนบนเปลหามมา เมื่อพระเยซูทรงเห็นความเชื่อของคนเหล่านี้  พระองค์จึงตรัสกับชายที่เป็นอัมพาตว่า “ลูกชายเอ๋ย จงกล้าหาญเถิด ความบาปทั้งหลายของเจ้าได้รับการอภัยแล้ว”
3 มีธรรมาจารย์บางคนได้ยินก็คิดในใจว่า ‘ชายผู้นี้กำลังพูดหมิ่นประมาทพระเจ้า’
4 พระเยซูทรงหยั่งรู้ถึงความคิดของพวกเขา จึงตรัสว่า “เหตุใดพวกท่านจึงคิดชั่วในใจเล่า?
5 การที่จะพูดว่า ‘เจ้าได้รับการอภัยบาปแล้ว กับการที่จะบอกเขาว่า จงยืนขึ้น และเดินไป อย่างไหนจะง่ายกว่ากัน?’
6 แต่เราจะให้พวกท่านรู้ว่า บุตรมนุษย์   มีสิทธิอำนาจในโลกที่จะอภัยบาปทั้งหลาย แล้วพระเยซูจึงตรัสกับชายอัมพาตว่า “จงลุกขึ้น แล้วแบกเปลนอนของเจ้า และกลับบ้านไปเถิด
7  ชายคนนั้นก็ลุกขึ้นและกลับบ้านไป
8 เมื่อประชาชนเห็นดังนั้น ก็รู้สึกยำเกรงยิ่งนัก และสรรเสริญพระเจ้าที่ประทานสิทธิอำนาจอย่างนี้ให้กับมนุษย์

พระเยซูทรงเรียกมัทธิวให้ติดตามพระองค์
9 ตอนที่พระเยซูเสด็จออกจากที่นั่น พระองค์ทรงเห็นชายคนหนึ่งชื่อมัทธิว นั่งอยู่ที่ด่านเก็บภาษี พระองค์ตรัสกับเขาว่า “ตามเรามา” และเขาก็ลุกขึ้น ตามพระองค์ไป
10 ขณะที่พระเยซูทรงทรงเอนกายเสวยพระกระยาหารที่บ้านของมัทธิว  มีคนเก็บภาษี และคนบาปจำนวนมากมาร่วมรับประทานกับพระองค์และพวกศิษย์ของพระองค์
11 เมื่อพวกฟาริสีเห็นอย่างนั้น จึงถามศิษย์ของพระองค์ว่า “เหตุใดอาจารย์ของเจ้าจึงรับประทานอาหารร่วมกับคนเก็บภาษี ?”  
12 เมื่อพระเยซูทรงได้ยินเช่นนั้น ก็ตรัสว่า “คนที่มีสุขภาพดีอยู่แล้วก็ไม่ต้องการหมอ แต่คนป่วยต้องการหมอ”

13จงไปเถิด ไปเรียนรู้ว่า คำพูดนี้หมายความว่าอย่างไร
‘เราพอใจความเมตตาสงสารยิ่งกว่าเครื่องเผาบูชา”
(โฮเชยา 6:6) เพราะเราไม่ได้มาเพื่อเรียกคนดี แต่เรามาเพื่อเรียกคนบาป” 

คำถามเรื่องการอดอาหารของศิษย์

14 แล้วศิษย์ของยอห์นก็มาพบพระเยซู ทูลถามว่า “เหตุใดพวกเราและฟาริสีถือศีลอดอาหารเสมอ แต่ศิษย์ของพระองค์ท่านกลับไม่ทำเช่นนั้น?” (การอดอาหารเพื่ออธิษฐาน จะได้ไม่เสียเวลากับการกินอยู่ แต่มุ่งมั่นเข้าเฝ้าพระเจ้า)
 15 พระเยซูทรงตอบว่า “เพื่อน ๆ ของเจ้าบ่าวน่ะ จะเศร้าใจเวลาที่เจ้าบ่าวอยู่ด้วยได้อย่างไรเล่า? แต่จะมีวันหนึ่งที่เจ้าบ่าวถูกนำตัวไปจากพวกเขา แล้วตอนนั้นพวกเขาจะอดอาหาร
( เจ้าบ่าวในที่นี้ พระองค์หมายถึงพระองค์เอง ยอห์น 3:29; วิวรณ์ 19:7)
16 “ไม่มีใครจะเย็บปะผ้าใหม่ที่ยังไม่หดบนผ้าเก่า เพราะถ้าทำอย่างนั้น ผ้าใหม่จะหดตัว ดึงให้ผ้าเก่าของเสื้อนั้นให้ขาดมากกว่าเดิม

17 เช่นเดียวกัน ไม่มีใครเทเหล้าองุ่นใหม่ลงในถุงหนังเก่า มิฉะนั้น ถุงหนังจะแตกออก (เพราะขบวนการหมักเกิดขึ้นทำให้เกิดก๊าซ) และเหล้าองุ่นจะไหลรั่วออกมาหมด  และถุงหนังเองก็จะขาดด้วยแต่เขามักจะเทเหล้าองุ่นใหม่ใส่ในถุงหนังใหม่ และสามารถเก็บรักษาทั้งถุงและเหล้าองุ่น”

พระเยซูทำให้เด็กหญิงคืนชีวิต และทรงรักษาผู้หญิงป่วยเรื้อรัง 

18 ขณะที่กำลังตรัสอยู่นั้นเอง นายศาลาธรรมคนหนึ่งเข้ามาหาพระองค์ และคุกเข่าลงทูลว่า    “ลูกสาวของข้าพเจ้าเพิ่งเสียชีวิตไป แต่หากพระองค์เสด็จไปวางพระหัตถ์บนตัวลูก เธอจะได้มีชีวิตอีกครั้ง”
19 ดังนั้นพระเยซูและพวกศิษย์ของพระองค์ก็ลุกขึ้นและตามชายคนนั้นไป
20 แล้วดูสิ มีผู้หญิงคนหนึ่งเธอมีอาการโลหิตตกเรื้อรังมาสิบสองปีแล้ว ได้เข้ามาข้างหลังพระเยซู และแตะชายฉลองพระองค์ 

21 เพราะเธอคิดว่า ‘หากเพียงฉันได้แตะเสื้อของพระองค์ ฉันก็จะหายโรคแล้ว’
22 พระเยซูทรงหันมาเห็นเธอ จึงตรัสว่า “ลูกสาวเอ๋ย จงชื่นใจเถิด เจ้าหายโรคได้ก็เพราะเจ้าเชื่อ” และเธอก็หายโรคขณะนั้นเอง

23 พระเยซูเสด็จไปกับนายศาลาธรรม และเข้าไปในบ้านของเขา ก็พบพวกงานศพที่กำลังเป่าปี่ และคนจำนวนมากส่งเสียงร้องไห้เสียงดัง 
24 พระเยซูตรัสว่า “จงออกไปให้หมด เพราะเด็กหญิงยังไม่ตาย เพียงแต่กำลังหลับอยู่” ผู้คนจึงพากันหัวเราะเย้ยหยันพระองค์ 
25 หลังจากที่เอาผู้คนออกไปจากบ้านแล้ว พระเยซูก็เสด็จเข้าไปในห้องของเด็กหญิงและจับมือเธอ  เธอก็ลุกขึ้น
 26 ข่าวนี้จึงเลื่องลือออกไปทั่วทั้งแคว้นนั้น 




พระเยซูทรงรักษาชายตาบอดและชายใบ้ผีสิง
27 เมื่อพระเยซูเสด็จจากที่นั่น ก็มีชายตาบอดสองคนเดินตามพระองค์  ทั้งสองร้องว่า “บุตรดาวิดเจ้าข้า ขอทรงเมตตาพวกข้าพเจ้าด้วยเถิด” (คำว่าบุตรดาวิดหมายถึงพระเยซูเป็นลูกหลานของดาวิด และทรงเป็นพระเมสสิยาห์ พระผู้ช่วยให้รอด 2 ซามูเอล 7:11-16)
28 หลังจากที่พระองค์เข้าไปในบ้าน ชายตาบอดทั้งสองก็เข้าไปด้วย พระองค์ทรงถามพวกเขาว่า “เจ้าเชื่อหรือว่า เราทำให้เจ้ามองเห็นได้?”  เขาตอบว่า “เชื่อ พระองค์เจ้าข้า”
29 แล้วพระองค์ก็แตะดวงตาของพวกเขา ตรัสว่า “เพราะเจ้าเชื่อ ก็ให้เป็นไปตามความเชื่อของเจ้าเถิด”
30 แล้วเมื่อทั้งสองมองเห็นได้ พระเยซูกลับทรงกำชับพวกเขาว่า “ขอเจ้าอย่าบอกเรื่องนี้กับใครเป็นอันขาด”
31 แต่เมื่อทั้งสองออกไป พวกเขาก็ป่าวร้องเรื่องพระเยซูไปทั่วแคว้นนั้น 

32 ตอนที่เขากำลังจะออกไปนั่นเอง ดูสิ มีคนพาชายอีกคนหนึ่งเข้ามาพบพระเยซู เขาพูดไม่ได้เพราะถูกผีสิง
33 หลังจากที่พระองค์ทรงขับผีออกไป ชายคนนั้นก็พูดขึ้นมาได้ ประชาชนพากันประหลาดใจ กล่าวว่า
“เราไม่เคยพบอะไรอย่างนี้ในอิสราเอลเลย”
34 แต่พวกฟาริสีกล่าวว่า “เขาขับผีออกได้ ก็โดยฤทธิ์ของเจ้านายผีต่างหาก”

คนงานน้อย ทุ่งนากว้างนัก

35 พระเยซูเสด็จไปทั่วเมือง และหมู่บ้านต่าง ๆ  ทรงสอนในศาลาธรรม ประกาศข่าวประเสริฐเรื่องแผ่นดินของพระเจ้า และรักษาโรคภัยไข้เจ็บ
36 เมื่อทรงเห็นประชาชน ทรงรู้สึกสงสารพวกเขาเพราะพวกเขาถูกรังควาญ ไร้ที่พึ่งเหมือนกับฝูงแกะ
ที่ขาดผู้เลี้ยง
37 พระเยซูตรัสกับพวกศิษย์ของพระองค์ว่า “งานที่ต้องเก็บเกี่ยวมีมากแต่มีคนงานน้อยเหลือเกิน
38 ดังนั้น จงทูลขอพระองค์ผู้ทรงเป็นเจ้าของนา ให้ทรงส่งคนงานมาเพื่อเก็บเกี่ยวข้าวของพระองค์เถิด”

คำอธิบายเพิ่มเติม

มัทธิว 9:1-8 ทรงรักษาคนเป็นอัมพาตที่เพื่อนพามา
พระเยซูทรงข้ามฟากจากเมืองที่มีประชากรต่างชาติอยู่หนาแน่นพร้อมกับศิษย์ และ ทรงเข้าไปยังเมืองคาเปอรนาอูม ที่นั่นเราได้เจอเพื่อนสี่คนหามชายอัมพาตมา ซึ่งในมาระโก ลูกาได้บอกว่า พวกเขาขึ้นไปบนหลังคาบ้านและหย่อนเพื่อนลงมา จากเหตุการณ์นี้ เราประเมินได้ว่า ชายอัมพาตนี้เป็นหนักไม่ใช่ประเภทลากขาได้ข้างหนึ่ง แต่ไม่สามารถเดินได้เลย
เมื่อพระเยซูทรงเห็นเขา ก็ทรงให้กำลังใจและตรัสว่า พระองค์อภัยบาปเขาแล้ว .. พระองค์ทรงเห็นชัดว่า สิ่งสำคัญที่ชายคนนี้ต้องได้ก่อนการหายโรค และเดินได้ (เขาน่าจะป่วยจากบาปที่ทำลงไป) คือการได้รับการอภัยบาป .. และพระเจ้าเท่านั้นที่จะอภัยบาปให้มนุษย์ได้
ในเวลานั้นมีธรรมาจารย์หลายคนฟังพระองค์อยู่พร้อม ๆ กับประชาชน พวกเขาก็คิดทันทีว่า พระเยซูทรงทำเสมอพระเจ้า หรือให้ชัดคือ เขาพูดราวกับว่าเขาเป็นพระเจ้า!
แม้พระเยซูจะทรงมีเลือดเนื้ออย่างมนุษย์ แต่พระองค์ทรงรู้ถึงความคิดของทุกคน เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าด้วย ทรงหันมาถามว่า ทำไมพวกเขาจึงคิดเช่นนั้น พวกเขาก็ตกใจทันที เพราะพระองค์ทรงรู้ความคิดของเขา
พระองค์ตรัสว่า อภัยบาปนั้นยากกว่าการรักษาโรคเสียอีก เพราะว่า การที่ผู้คนจะได้รับการอภัย พระองค์ต้องสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน นี่คือสิ่งที่ยากกว่า แต่ตอนที่พระองค์ตรัสนั้น ไม่มีใครเข้าใจ …
แล้วพระองค์ตรัสออกมาอย่างโจ่งแจ้งว่า พระองค์ทรงเป็นบุตรมนุษย์ นั่นคือ ทรงแจ้งให้พวกเขาทราบว่า ทรงเป็นพระเมสสิยาห์ ผู้ที่พระเจ้าทรงส่งมา (เป็นคำที่ดาเนียลใช้ บ่งบอกว่าบุตรมนุษย์คือพระเมสสิยาห์ พระผู้ช่วยให้รอดของโลก ดาเนียล 7:13-14  พวกธรรมจารย์รู้พระคำข้อนี้ดี แต่ประชาชนทั่วไปไม่ได้เข้าใจอย่างนั้น) ชายที่เป็นอัมพาต ลุกขึ้นได้ รับการอภัยบาป รับการรักษา เป็นการชุบชีวิตใหม่ให้เขา ..​ใคร ๆ เห็นก็ดีใจ มองได้แค่ว่า พระเจ้าประทานอำนาจยิ่งใหญ่ให้มนุษย์คนหนึ่งที่ชื่อ พระเยซู !

มัทธิว 9:9-13 พระเยซูทรงเรียกมัทธิวให้ติดตามพระองค์
เหตุการณ์นี้เกิดแถว ๆ เมืองคาเปอรนาอุม จะมีซุ้มเล็ก ๆ ที่อยู่ใกล้เขตแดนเป็นที่เก็บภาษี พระเยซูทรงเรียกมัทธิวซึ่งนั่งเก็บภาษีอยู่ที่นั่นพอดี  เขาเป็นเหมือนกับผู้รับจ้างจากโรมเพื่อเก็บภาษีจากประชาชน  ทำให้ประชาชนไม่ชอบยิวที่เก็บภาษี เพราะพวกเขาส่วนใหญ่นั้นทั้งใจดำ ทั้งขูดรีด ทั้งคดโกง ในสายตาผู้นำศาสนา คนเก็บภาษีชั่วช้ามาก
แล้วพระเยซูกลับทรงเลือกมัทธิว คนเก็บภาษีมาเป็นศิษย์ใกล้ชิด! ใครจะรับได้?
มัทธิวอยู่ในวงการมาเฟีย แต่เขาคนนี้กลับตอบรับพระเยซู เขาลุกจากซุ้มที่ทำงานอยู่ เดินตามพระเยซูไปโดยไม่คิดจะกลับไปทำงานเดิมอีก  แล้วเขายังจัดงานเลี้ยงที่บ้าน โดยเชิญพระเยซู และเพื่อน ๆ ของเขาไปในงานด้วย  พระองค์ทรงรับคำเชิญ และไปรับประทานกับเพื่อนสนิท มิตรสหายของมัทธิว และนี่เองทำให้ฟาริสีรู้สึกเหมือนจะรับไม่ได้กับการที่พระเยซูทรงคลุกคลีกับกลุ่มคนที่พวกเขาจะไม่ยุ่งเกี่ยวด้วยเพราะเป็นคนบาปเหลือเกิน  การกินอาหารด้วยกันถือเป็นการบอกว่าเป็นพวกเดียวกัน
ฟาริสีเริ่มมีปัญหามากขึ้นพอ ๆ กับธรรมาจารย์ในข้อสาม พวกเขาถามศิษย์ของพระองค์ว่า ทำไมไปกินอาหารกับคนบาป …ไม่ถามพระองค์โดยตรง และคำถามของเขาก็บ่งบอกใจของเขา  คงจะต้องการถามว่า ทำไมอาจารย์ของเจ้า(ที่น่าจะทำตัวดีกว่านี้) จึงไปสุงสิงกับคนบาป อย่างนี้ใช้ไม่ได้
แทนที่ศิษย์จะตอบ พระเยซูทรงตอบให้เลย คำตอบของพระองค์คือ เหล่าฟาริสีคิดว่าตัวเองดีอยู่แล้ว ก็ไม่ต้องการพระเจ้าไม่ต้องการกลับใจ  แต่พวกเขาเหล่านี้ต้องการพระเจ้า  ต้องการชีวิตที่เปลี่ยนแปลง  คือ คนบาปที่รู้ว่าตัวเองต้องการที่จะกลับใจ
พระเยซูตรัสให้เขาไป และไปเรียนรู้ว่า … นั่นคือทรงให้ฟาริสีไปคิดดูให้ถ่องแท้ว่าพระคำของพระเจ้าที่ตรัสถึงในโฮเชยามีความหมายอย่างไร  นั่นคือ พระเจ้าทรงประสงค์ที่จะนำการรักษาฝ่ายวิญญาณมาให้อิสราเอลเสมอมา   แม้ทุกวันนี้ พระองค์ก็ยังทรงทำอยู่ (อิสยาห์ 19:22; 30:26; เยเรมีย์ 30:17)
แต่ฟาริสีเองกลับหมกมุ่นกับพิธีกรรม บทบัญญัติ การรักษากฎอย่างเคร่งครัดมากกว่าความเมตตาที่จะมีต่อประชาชน  พระเยซูทรงสอนฟาริสีต่างจากประชาชน พระองค์ทรงให้เขาไปใคร่ครวญว่า พระเจ้าทรงประสงค์อะไรจากพวกเขากันแน่

มัทธิว 9:14-17คำถามเรื่องการอดอาหารของศิษย์
ฟาริสีต่อว่าพระเยซูไปแล้ว คราวนี้ ศิษย์ของยอห์นก็มาตั้งคำถามเชิงตำหนิกับพระเยซูโดยตรง  เมื่อพระเจ้าทรงส่งยอห์นมา เขาก็ประกาศและมีศิษย์หลายคนติดตามเขา เมื่อพระเยซูเริ่มทำราชกิจของพระเจ้า บางคนก็มาติดตามพระองค์ บางคนก็ไม่ได้ทำเช่นนั้น พวกเขายังคงถือศีลอดอาหารเพื่อเข้าเฝ้าพระเจ้าเสมอตามที่พระคัมภีร์เดิมสนับสนุนให้ทำฟาริสีก็ทำเช่นกัน   แล้วก็เลยแปลกใจว่า เหตุใดศิษย์ของพระเยซูยังใช้ชีวิตที่ดูไม่เคร่งเลย … ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?
แล้วพระเยซูทรงตอบเป็นคำอุปมาสามประการ​..เจ้าบ่าวกับเพื่อน/ ผ้าใหม่กับผ้าเก่า / เหล้าองุ่นใหม่กับถุงน้ำองุ่นเก่า
ยอห์นกล่าวว่า เขาเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวที่มานำเสด็จเจ้าบ่าวคือพระเยซูในยอห์น 3:27-29
พระเยซูเปรียบเทียบว่า ศิษย์ก็คือเพื่อนเจ้าบ่าว เจ้าบ่าวคือพระองค์เอง และพวกเขาก็ยินดีมากที่ได้อยู่กับพระองค์ (คนยิวเข้าใจว่า ..พระเมสสิยาห์คือเจ้าบ่าว การที่พระเยซูตอบเช่นนี้ ทำให้พวกเขารู้ทันทีว่า พระองค์กำลังตรัสว่าทรงเป็นพระเมสสิยาห์ อิสยาห์ 62:4-5; มัทธิว 22:2)
คำอุปมาที่สอง ก็เข้าใจได้ว่า จะไม่มีการเอาสิ่งใหม่กับเก่ามาปะปนกัน ไม่อย่างนั้นทุกอย่างจะเสียหายมากกว่าเดิม
คำอุปมาที่สามนั้น ทรงบอกว่า เหล้าใหม่ก็เอาไปใส่ในถุงเก่าไม่ได้
อุปมาทั้งสามนี้มีความหมายว่า  ไม่อาจเอาหลักการศาสนายิวที่ศิษย์ของยอห์นยังถือรักษา ที่ฟาริสีกำลังประกาศ ที่ธรรมาจารย์เรียนรู้จริงจังมาผสมกับวิธีการ คำสอน ราชกิจ เป้าหมาย ของพระเยซูได้ บทบัญญัติในพระคัมภีร์เดิมได้ทำหน้าที่ของบทบัญญัติไปแล้วคือการชี้ให้เห็นว่า พระเมสสิยาห์จะทรงมาเพื่อทำให้ทุกอย่างสำเร็จ  (อ่านกิจการ 19:1-7 เพิ่มเติม)

มัทธิว 9:18-26 พระเยซูทำให้เด็กหญิงคืนชีวิต และทรงรักษาผู้หญิงป่วยเรื้อรัง 
 ต่อไปเป็นการอัศจรรย์ เป็นราชกิจรักษาโรคและทำให้คืนชีวิตจากตาย
จากบทที่ผ่านมาเราก็เห็นแล้วว่า พระเยซูทรงฤทธิ์มากมาย พระองค์ทรงสามารถรื้อฟื้นสิ่งที่เสียไปแล้วในร่างกายมนุษย์ให้คืนดีขึ้นมาได้.  นายศาลาธรรมของเมืองคาเปอรนาอุมชื่อไยรัส ได้มาหาพระองค์ (มาระโก 5:22)  เป็นยิวที่ฟาริสี และธรรมาจารย์รู้จักดี แต่เขาก็เข้ามาหาพระองค์ คุกเข่าลงโดยไม่อาย โดยไม่ใส่ใจว่า คนเหล่านั้นจะกล่าวหาอย่างไร  มัทธิวว่าเธอตายแล้ว แต่ในมาระโกว่าเธอป่วยหนัก  เมื่อพระเยซูไปถึง… เด็กหญิงก็ตายไปแล้ว
ระหว่างทาง มีผู้หญิงคนหนึ่งที่มีความมั่นใจเหมือนไยรัสว่า เธอจะหายโรคเมื่อแตะชายเสื้อของพระองค์ สิบสองปีที่โลหิตตกทำให้เธออ่อนแรง ซีดเซียว และความจริงคือ ในกฎของบทบัญญัติ เธอจะไปเดินชนคนโน้นคนนี้ไม่ได้เพราะเธอเป็นมลทิน แต่เธอไม่อาจทนอยู่ในกฎระเบียบได้ต่อไป เธอเชื่อว่าแค่แตะ
ก็จะหาย  พระเยซูไม่น่าจะทราบเพราะคนเยอะแยะ เต็มไปหมด
แต่เธอเข้าใจปิด เพราะพระเยซูทรงทราบและเธอหายโรคทันทีที่แตะชายเสื้อพระองค์  พระเยซูทรงย้ำให้เธอทราบว่า เพราะเชื่อ เธอจึงหายโรค  ความเชื่อในพระเจ้าทำให้เธอได้รับคำตอบจากพระองค์
แล้วพระเยซูกับฝูงชนก็ไปถึงบ้านของไยรัสที่กำลังทำงานศพกันอยู่ มีคนมาร้องไห้เสียงดังตามพิธี  เป็นอันว่าเด็กหญิงตายแน่นอน
พระเยซูทรงสั่งให้ทุกคนออกไป และตรัสประกาศว่าเด็กหญิงแค่หลับอยู่  คนทั้งหลายจึงเยาะพระองค์ทันที  (ซึ่งจริง ๆ ในฮีบรู คำว่าหลับ ก็อาจหมายถึงตายด้วยเช่นใน ยอห์น 11:11)
แล้วพระเยซูก็ทรงแตะต้องเด็กหญิงที่ตายแล้ว ถ้าคิดตามบทบัญญัติ พระองค์ทรงแตะต้องคนเป็นมลทินสองคนเลย  และก็ทรงทำให้ทั้งสองได้รับชีวิตใหม่อีกครั้ง  เราลองเปรียบเทียบการที่พระเยซูทรงช่วยทั้งหญิงโลหิตตก และทรงทำให้เด็กหญิงฟื้นจากตาย เราจะเพิ่มความเชื่อของเราเองอย่างมหาศาล 


มัทธิว 9:27-34 พระเยซูทรงรักษาชายตาบอดและชายใบ้ผีสิง
ชายตาบอดสองคนตามพระองค์มาจากบ้านของไยรัส  เขาทั้งสองร้องเรียกพระองค์ว่า บุตรดาวิด เป็นเครื่องหมายชัดว่า พระองค์ทรงเป็นพระเมสสิยาห์ที่ยิวรอคอย  แน่นอนที่เมื่อฟาริสี ธรรมาจารย์ และผู้นำศาสนายิวได้ยินก็จะโกรธมาก เพราะพวกเขาไม่เชื่อว่าพระองค์คือ พระบุตรพระเจ้า แต่เป็นคนที่แอบแฝง ทำตัวเป็นพระบุตร 
พวกเขาร้องเรียกพระองค์ตามทาง แต่พระองค์ไม่ทรงรักษาเขาที่นั่น เมื่อเข้าไปในบ้านหลังหนึ่ง ทั้งสองก็ตามเข้าไป  พระองค์จึงทรงถามว่า เชื่อหรือว่าพระองค์สามารถทำให้เขามองเห็นได้  พระเยซูทรงเน้นหนักหนาถึงความเชื่อที่คนจะมีต่อพระองค์ เพื่อจะได้รับตามที่ทูลขอ  เราไม่ทราบว่าทั้งสองคนนี้รู้หรือเปล่าว่า ในอิสยาห์ เคยบอกไว้ว่า พระเมสสิยาห์จะทรงทำให้คนตาบอดมองเห็น (อิสยาห์ 35:5-6)  พระองค์ทรงรักษาเขาในบ้าน ไม่ให้คนอื่นเห็นและยังทรงกำชับไม่ให้บอกใคร แต่ทั้งสองก็ไม่ได้ทำตามนั้นเลย​ใครจะอดไม่บอกให้โลกรู้ได้?


แล้วอิสยาห์ 35:5-6 ก็ถูกย้ำเตือนอีกครั้งเมื่อชายผีสิงที่เป็นใบ้คนหนึ่งถูกนำมาหาพระเยซู  มัทธิวบอกเราว่า เขาเป็นใบ้เพราะถูกผีสิง  พระเยซูทรงขับผีออก และเขาก็พูดได้.. ใคร ๆ ตื่นเต้น แต่ฟาริสีกลับกล่าวหาว่า พระองค์ทรงมีฤทธิ์ของนายผี
ฟาริสีเหล่านี้ มีความดื้อด้านในวิญญาณอย่างมาก ไม่ยอมสยบให้พระเยซู
และยังกล่าวหาพระองค์ด้วย พวกเขาทำราวกับว่าพระองค์ทรงมาจากมารไม่ได้มาจากพระเจ้า  และไม่ได้พูดครั้งเดียวแต่ยังพูดอีกในมัทธิว 12:24

มัทธิว 9:35-38 คนงานน้อย ทุ่งนากว้างนัก
จากข้อ 35 เราจะเห็นว่า พระเยซูทรงทำราชกิจเพื่ออาณาจักรของพระเจ้า ทั้งประกาศข่าวประเสริฐ และรักษาโรค ทรงช่วยประชาชนทั้งฝ่ายวิญญาณและร่างกายอย่างชัดเจน
แล้วอีกมุมหนึ่งในพระทัยของพระเยซู ..พระองค์ทรงทราบสภาพจิตวิญญาณของพวกเขา ความทุกข์ใจของประชาชนคือ ถูกรังควาญด้วยจากทั้งวิญญาณชั่ว และจากเหล่าผู้นำศาสนา  พวกเขา ไร้ที่พึ่งเพราะไม่รู้หนทางที่จะเข้าใกล้ชิดพระเจ้า.. ผู้นำศาสนาพร่ำสอนเรื่องการทำตามทำบัญญัติ การถวาย การทำตามพิธีกรรมต่าง ๆ แต่เหล่านั้น ไม่ได้ทำให้เขาพบองค์พระผู้เป็นเจ้าได้เลย  พวกเขาไม่มีผู้เลี้ยงที่มีปัญญาและวิญญาณของพระเจ้าในตัว  … ตลอดสี่ร้อยปีที่ผ่านมา พระเจ้าไม่ทรงส่งผู้รับใช้มาหาพวกเขาเหมือนอย่างที่เคย ..แล้วพระองค์ก็ทรงส่งพระบุตรของพระองค์ลงมา
พระองค์ทรงเห็นสภาพที่มนุษย์มีแต่จะลงไปสู่ความตาย พระองค์ทรงเปิดทางให้ศิษย์เห็นว่า พระเจ้าจะทรงเป็นผู้ดูแลขบวนการหว่านและเก็บเกี่ยว เพราะพระองค์ทรงเป็นเจ้าของคนเหล่านี้   สิ่งที่พวกเราเป็นอยู่คือ เป็นคนงานของพระองค์ แต่ก็ยังไม่เพียงพอ เราต้องขอจากท่านเจ้าของนาให้ส่งคนมามากกว่านี้!
(พระคัมภีร์เดิมที่พูดเรื่องผู้เลี้ยงของอิสราเอล..  เอเสเคียล 34:23-24; 37:24  พระเจ้าและพระเมสสิยาห์ทรงเป็นพระผู้เลี้ยงของคนของพระองค์  มัทธิว 2:6; 10:6, 16; 15:24; 25:31-46; 26:31)

พระคำเชื่อมโยง

1* มัทธิว 4:13; 11:23
2* ลูกา 5:18-26; มัทธิว 8:10
4* มัทธิว 12:25
8* ยอห์น 7:15
9* ลูกา5:27
10* มาระโก 2:15
11* มัทธิว 11:19; กาลาเทีย 2:15
13* โฮเชยา 6:6; 1 ทิโมธี 1:15
14* ลูกา 5:33-35; 18:12
15* ยอห์น 3:29; กิจการ 13:2,3; 14:23

18* ลูกา 8:41-56
19*  มัทธิว 10:2-4
20* ลูกา 8:43; มัทธิว 14:36; 23:5
22* ลูกา 7:50; 8:48; 17:19; 18:42
23* มาระโก 5:38; 2 พงศาวดาร 35:25
24* กิจการ 20:10
25* มาระโก 1:31
26* มัทธิว 4:24
27* มัทธิว 20:29-34; ลูกา 18:38-39

30* มัทธิว 8:4
31* มาระโก 7:36
32* มัทธิว 12:22, 24
34* ลูกา 11:15
35* กันดารวิถี 4:23
36* มาระโก 6:34; กันดารวิถี 27:17
37* ลูกา 10:2
38* 2 เธสะโลนิกา 3:1

โฮเชยา 6 กลับมารู้จักพระเจ้า


กลับมาเถิด
มาเถิด ให้เรากลับมาหาองค์พระยาห์เวห์
เพราะพระองค์ได้ทรงฉีกเราเป็นชิ้น
และพระองค์จะทรงรักษาเรา
พระองค์ได้ทรงฟาดฟัน
 และพระองค์จะทรงพันบาดแผลให้ 

2 สองวันต่อมา พระองค์จะทรงให้ชีวิตใหม่แก่เรา
และในวันที่สาม พระองค์จะทรงให้เราฟื้นขึ้นมา
เพื่อว่า เราจะได้มีชีวิตอยู่ต่อพระพักตร์พระองค์
ให้เรารู้จัก ให้เราพยายามที่จะรู้จักพระยาห์เวห์
พระองค์ทรงปรากฏอย่างแน่นอนเหมือนกับฟ้ายามเช้า พระองค์จะทรงมาหาเราดั่งสายฝน
เหมือนกับสายฝนที่โปรยลงมายังผืนดิน ในฤดูใบไม้ผลิ   



กลับมาเถิด
ก่อนหน้านี้พระเจ้าทรงบอกล่วงหน้าว่าจะมีการลงโทษพวกเขาทั้งชาติ
แต่มาบทนี้ พระเจ้าทรงเรียกให้กลับมา เรารู้ไหมว่า พระเจ้าทรงมีพระทัยที่ชอกช้ำมากเพียงใดกับคนของพระองค์? นั่นหมายถึงตัวเราด้วย

6:1-3 เป็นเหมือนคำขอร้องจากโฮเชยาเอง เขารู้ว่า การพิพากษา ความทุกข์ยาก หรือวินัยที่พระเจ้าให้กับคนของพระองค์นั้น เป็นโอกาสที่ทำให้กลับมาหาพระองค์ แม้พระเจ้าจะทรงทำอย่างแรงแต่ก็ไม่เกินที่พระองค์จะทรงบำบัดรักษา  โฮเชยาใช้คำว่า เรา ซึ่งเท่ากับเขามองว่าตนเองก็เป็นคนพวกเดียวกับประชาชนที่หลงทางไปจากพระเจ้า
พยายามรู้จักพระเจ้า ตามพระองค์ มีประสบการณ์สัมผัสพระองค์ เมื่อเรามาใกล้พระเจ้า พระเจ้าจะมาใกล้เรา (ยากอบ 4:8)
เปาโลได้กล่าวถึงการที่อิสราเอลจะกลับมาเป็นของพระเจ้าในวันสุดท้าย ในโรมบทที่ 9-10-11 

พระเจ้าทรงฉีกเราเป็นชิ้น ๆ  ทรงทำให้บาดเจ็บ  แต่จะทรงรักษา บาดแผลให้  คนของพระเจ้าที่ถูกพระเจ้าทรงลงวินัยนั้น ต้องเข้าใจว่า พระองค์ทรงรักยิ่งนัก (ฮีบรู 12)
พระเจ้าทรงสัญญาจะรื้อฟื้น ..  จะประทานชีวิตคืนมา จากคนบาปได้รับชีวิตใหม่ อิสราเอลกำลังป่วยหนักฝ่ายวิญญาณ ดูภายนอกเหมือนไม่เป็นอะไร แต่ภายในนั้น เน่าเฟะ ต้องการการบำบัดรักษาจากพระเจ้า
พระเจ้าทรงเปิดเผยให้โฮเชยารู้ว่า พระองค์จะทรงชนะใจคนของพระองค์ จะทรงนำอาณาจักรที่หลงทางไปในความบาปกลับมาอีกครั้ง 

การใช้ชีวิตต่อพระพักตร์พระองค์ = การมีชีวิตที่เชื่อฟัง   การใช้ชีวิตโดยตระหนักว่า เราอยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้าเสมอ
สองวันต่อมา …​การบำบัดรักษาของพระเจ้านั้น รวดเร็ว!
เรามาหาพระเจ้า แล้วเราจะตามพระองค์ … และเราจะพบพระองค์ แสงสว่างของพระองค์
วันที่สาม สาม หมายถึงการเปิดเผย และชัยชนะ  เป็นชัยชนะของพระเจ้า ที่จะทรงนำอาณาจักรของพระองค์มาในโลกนี้
หากเราพยายามที่จะรู้จักพระองค์ เราจะพบพระองค์แน่นอนเหมือนกับเราพบเวลาเช้า ทุกเช้าในชีวิตของเรา เราจะได้แสงสว่างจากพระองค์
ยิ่งกว่านั้น  พระองค์เสด็จมาอย่างฝน = ฝนหมายถึงพระพร

พระเจ้าทรงคร่ำครวญถึงคนของพระองค์

เอฟราอิมเอ๋ย?  เราจะทำอย่างไรกับเจ้าดี 
ยูดาห์เอ๋ย เราจะทำอย่างไรกับเจ้าดี? 

ความจงรักภักดีของเจ้านั้น
เป็นเหมือนหมอกบาง ๆ ยามเช้า
เป็นเหมือนน้ำค้างเช้าตรู่ที่ระเหยหายไป 
5 นี่เป็นเหตุที่เราใช้เหล่าผู้เผยพระดำรัส
มาฟาดฟันพวกเขา 
เราได้สังหารพวกเขาด้วยคำจากปากของเรา 
คำพิพากษาของเรานั้นปะทะราวกับสายฟ้าแลบ

พระเจ้าทรงคร่ำครวญถึงคนของพระองค์

6:4 ในขณะที่อิสราเอลและยูดาห์ต่างปฏิบัติต่อพระเจ้าอย่างไม่เคารพ
ไม่รัก ไม่ภักดี พระเจ้ายังทรงตั้งพระทัยที่จะให้พวกเขากลับมาหาพระองค์
บทกวีนี้ ได้กล่าวว่า ความรักของพวกเขาเหมือนหมอกบาง เหมือนน้ำค้างยามเช้าที่อยู่ไม่นานแล้วหายไป เป็นภาพที่ทำให้น้ำตาไหลกับความรักมั่นคงของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์ที่ต่างเข้าใจว่า ตนเองอยู่ได้โดยไม่มีพระองค์ คำปรารภของพระองค์นั้น บ่งบอกถึงความท้อแท้ของพระเจ้าที่ต้องพบเจอกับผู้คนที่ไร้ความภักดีเช่นนี้
6:5 ระยะเวลาหลายต่อหลายรัชกาลของกษัตริย์ทางเหนือและใต้ พระเจ้าทรงส่งคนของพระองค์มาเพื่อช่วยให้พวกเขาได้เข้าใจ และกลับใจมาหาพระเจ้า แต่ดูเหมือนว่า ไร้ผล พวกเขายังคงรักที่จะกราบไหว้รูปเคารพต่อไป น่าจะมีคนกลับมาหาพระเจ้าบ้าง แต่น้อยเหลือเกิน

เพราะเราต้องการความรักเมตตา ไม่ใช่เครื่องบูชา
เราต้องการความรู้ในพระเจ้ามากกว่าเครื่องเผาบูชา 

7  แต่พวกเขาเป็นเหมือนอาดัม
ที่ล่วงละเมิดพันธสัญญา
ที่นั่นพวกเขาทรยศต่อเรา 
8 กิเลอาดเป็นเมืองของคนทำชั่ว 
เต็มด้วยรอยเท้าที่เปื้อนเลือด
9 ที่ทำตัวเหมือนกองโจรคอยซุ่มทำร้ายผู้คน
ก็คือเหล่าปุโรหิตที่สังหารผู้คน
ตามถนนไปยังเมืองเชเคม
พวกเขาทำสิ่งที่โหดร้ายป่าเถื่อนนัก 
10 เราได้เห็นสิ่งที่เลวร้ายในวงศ์วานอิสราเอล
และความสำส่อนของเอฟราอิมก็อยู่ที่นั่น 
อิสราเอลทำตัวเป็นมลทิน 
11 โอ ยูดาห์ เวลาเก็บเกี่ยวถูกกำหนดไว้สำหรับเจ้าแล้ว 
เมื่อเราจะรื้อฟื้นทำให้ประชากรของเรา
กลับสู่สภาพเดิม 

6:6 พวกเขาไม่ได้มองเห็นพระเจ้าสำคัญ ไม่ให้ความเอาใจใส่ต่อคำเตือนเรื่องการลงโทษ พวกเขายังคงถวายเครื่องบูชาโดยทำแค่เป็นพิธี ไม่มีการกลับใจใหม่ สนใจพิธีกรรมมากกว่าที่จะรู้จักพระเจ้าเป็นส่วนตัว
6:7 แล้วพระเจ้าก็ทรงย้อนไปถึงอาดัมที่ละเมิดคำบัญชาของพระองค์
คำว่าพันธสัญญา בְּרִית บะรีท คือพันธสัญญา ไม่ได้มีความหมายแค่ข้อตกลง แต่ยังหมายถึงข้อตกลงที่ทำให้สองฝ่ายมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นต่อกัน มีความเป็นเพื่อน ใกล้ชิดกัน เป็นพวกเดียวกัน อิสราเอลและอาดัมทำเหมือนกันคือ เลิกความใกล้ชิด เป็นเพื่อนที่ไว้ใจกัน
6:8 กิเลอาด เป็นเมืองคนทำชั่ว เป็นเมืองที่มีการนองเลือดไม่หยุดหย่อน คำที่ใช้คือ คนที่ทำการชั่วร้าย เน้นการทำชั่วร้ายอย่างต่อเนื่อง สื่อการมีอาชีพทำความชั่วร้าย
6:9 แม้กระทั่งคนที่เป็นปุโรหิตยังเป็นฆาตกรตามถนนด้วย
6:10 ความสำส่อนของอิสราเอลกับเทพเจ้าอื่น ๆ เป็นมลทินเพราะการไปปรนนิบัติพระอื่น
6:11 แต่พระเจ้าไม่ทรงยอมแพ้ พระองค์จะทรงรื้อฟื้นเขาให้กลับคืนสู่สภาพเดิม พระเจ้าจะทรงให้พวกเขาเป็นปุโรหิตที่ภักดีของพระองค์ที่ทำให้คนทั้งโลกได้มารู้จักพระองค์​ เหมือนอย่างที่ได้ตรัสกับโมเสส ในอพยพ 19:5-6
5 บัดนี้หากเจ้าทั้งหลายเชื่อฟังเราอย่างหมดใจและรักษาพันธสัญญาของเรา เจ้าก็จะเป็นกรรมสิทธิ์ล้ำค่าของเราจากประชาชาติทั้งปวงทั่วโลก ถึงแม้ทั้งโลกนี้เป็นของเรา 6 แต่เจ้า[a]จะเป็นอาณาจักรแห่งปุโรหิตและเป็นชนชาติที่บริสุทธิ์สำหรับเรา’ เจ้าจงบอกชนชาติอิสราเอลตามนี้

พระคำเชื่อมโยง

1* อิสยาห์ 1:18 ; เฉลยธรรมบัญญัติ 32:39 ; เยเรมีย์ 30:17
2* 1โครินธ์ 15:4
3* อิสยาห์ 54:13; 2 ซามูเอล 23:4; สดุดี 72:6; โยบ 29:23
5* เยเรมีย์ 23:29
6* มัทธิว 9:13; 12:7; มีคาห์ 6:6-8; ยอห์น 17:3
8* โฮเชยา 12:11
9* โฮเชยา 9:1-10; เอเสเคียล 22:9; 23:27


โฮเชยา 5 การลงโทษที่ใกล้เข้ามา

อิสราเอลไม่แสวงหาพระเจ้าอย่างจริงจัง
1 “เหล่าปุโรหิต จงฟังทางนี้!
วงศ์วานอิสราเอล จงตั้งใจฟัง
เหล่าราชวงศ์ จงฟังใกล้ ๆ
เพราะการลงโทษมาถึงพวกเจ้าแล้ว
เพราะพวกเจ้าเป็นกับดักที่มิสปาห์
และเป็นตาข่ายที่วางดักไว้บนภูเขาทาโบร์

ข้อ 1-7 อิสราเอลไม่แสวงหาพระเจ้าอย่างจริงจัง
พระเจ้าทรงเรียกคนทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์ ปุโรหิต หรือประชาชนทั่วไป ไม่มีใครที่พระเจ้ายกเว้น
จากบทที่ 1 เป็นต้นมา พระเจ้าทรงเตือนแล้ว เตือนอีก แต่พวกเขาก็ยังไม่ฟังพระสุรเสียงของพระองค์

มิสปาห์อยู่ในกิเลอาด อยู่ทางตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดน
ส่วนภูเขาทาโบร์ อยู่ในหุบเขายิสเรเอล ทางตะวันตกเฉียงใต้ของทะเลสาบกาลิลี เหล่าปุโรหิตได้ชักชวนให้ประชาชนกราบไหว้เทวรูปที่นั่น
พวกเขาเป็นกับดัก มีความหมายถึง การวางแผนทำร้าย หรือ ต้นเหตุของความหายนะ

ทาโบร์เป็นภูเขาที่บาราคได้ชัยชนะ และเป็นภูเขาที่พระเยซูทรงเปลี่ยนพระกายเป็นพระองค์จริงให้ศิษย์สามคนได้เห็น  

เพราะไม่รู้จักพระเจ้า
2  เหล่ากบฏก็ออกไปสังหารผู้คนอย่างโหดร้าย 
เราจะปราบพวกเขาทุกคน (หรือเราเป็นผู้ตำหนิ)
3 เรารู้จักเอฟราอิมเป็นอย่างดี
และอิสราเอลก็ไม่ได้ซ่อนไว้จากสายตาเรา
บัดนี้ เอฟราอิมเอ๋ย เจ้าได้ทำตัวเสเพล
อิสราเอล
ก็เป็นมลทิน 
4 พฤติกรรมของพวกเขา
ไม่ปล่อยให้เขากลับไปหาพระเจ้าของพวกเขา
มีวิญญาณแห่งความสำส่อนอยู่ท่ามกลางพวกเขา
และพวกเขาไม่รู้จักองค์พระยาห์เวห์ 

ความอหังการของอิสราเอล
เป็นหลักฐานฟ้องพวกเขา
ทั้งอิสราเอลและเอฟราอิมสะดุดล้มลง
เพราะความชั่วร้ายของเขา
แม้แต่ยูดาห์ก็ล้มลงไปกับพวกเขาด้วย 


เพราะไม่รู้จักพระเจ้า
5:2 เหล่ากบฎ พวกนี้ก็คือพวกราชวงศ์ และปุโรหิต ที่โหดร้าย เที่ยวไปฆ่าประชาชนตามอำเภอใจ
กบฎ..ในภาษาฮีบรูใช้คำว่า  שֵׂט เซธ หมายถึงผู้ที่บิดเบือน หลงไปจากศีลธรรม จริยธรรม รวมถึงการหันไปจากทางแห่งความเที่ยงธรรม
5:3 พระเจ้าทรงเห็นทุกอย่างที่พวกเขาทำ โดยที่พวกเขาไม่ได้สำนึกเช่นนั้น กลับทำตัวเสเพล เป็นมลทิน จึงไม่เหมาะที่จะมารับใช้นมัสการพระเจ้าเลยเอฟราอิมก็คือ อิสราเอลทางเหนือ พระเจ้าทรงเรียกเขาสองชื่อสลับไปมา นี่เป็นพระดำรัสสำหรับเราในปัจจุบันด้วย เพราะเรามองดีเป็นชั่ว ชั่วเป็นดี เราหลงไปจากทางของพระเจ้า ทำตามใจตัวเองเหมือนอิสราเอล
5:4 การมีวิญญาณของหญิงโสเภณี คือกราบไหว้เทวรูปมีอำนาจยึดจิตใจพวกเขาไว้ การที่พวกเขาเอาแต่จดจ่อกระสันทางเพศทำให้เขาไม่อาจรู้จักพระเจ้าได้ นี่เป็นมุมมองจากพระเจ้าที่โฮเชยาได้สื่อให้เห็น พวกเขาทำสิ่งที่ตัวเองคิดว่าถูกต้อง วิญญาณแห่งการสำส่อน คือไปตามหาศาสนา ความเชื่อต่าง ๆ และแบบไหนที่ชอบก็ยึดแบบนั้นไว้ตามใจ ใช้ชีวิตตามตัวเองเลือก ไม่ใช่ตามพระเจ้า
พวกเขาไม่กลับมาหาพระเจ้าเพราะ … ไม่รู้จักพระองค์
5:5 ความอหังการ..เป็นหลักฐาน สมัยนี้ ความอหังการปรากฎใน
โซเชียลมีเดียอย่างมากมาย เป็นหลักฐานชัดว่าใครคิดอย่างไร
ไม่ใช่แค่สะดุดล้มลง แต่พวกเขา ถูกทำลาย ถูกโยนทิ้ง ถูกกวาดไปเป็นเชลย ข้อนี้ได้ใช้บอกภาพอธิบายถึงการที่ชนชาติหนึ่ง ๆ ถูกพระเจ้าทำลายด้วยพระองค์เอง (เยเรมีย์ 6:15; ดาเนียล 11:19)
พวกเขาพากันสะดุดไปด้วยกัน ประมาณร้อยห้าสิบปีต่อมาอิสราเอลก็ถูกอัสซีเรียกวาดไปเป็นเชลย ส่วนต่อมายูดาห์ก็ถูกบาบิโลนกวาดไปดังที่โฮเชยากล่าวไว้ล่วงหน้า








ความไร้สาระของพิธีกรรม
6 แม้ว่าพวกเขานำฝูงแพะแกะ และฝูงวัวของตน
เพื่อมาแสวงหา(ความโปรดปรานจาก)พระยาห์เวห์
แต่ก็ไม่พบพระองค์
พระองค์ทรงถอยจากพวกเขาไปแล้ว 
7 เขาทรยศต่อองค์พระยาห์เวห์ 
จริงแล้ว พวกเขาได้ให้กำเนิดลูกต่างชาติ

บัดนี้ (หรือ ในไม่ช้า) เทศกาลข้างขึ้นจะกลืนกินพวกเขาไป
พร้อมกับไร่นาของพวกเขา 

ความไร้สาระของพิธีกรรม
5:6 ตรงนี้ ผู้อธิบายหลายท่านเชื่อว่า โฮเชยาพูดถึงยูดาห์ทางใต้ ​​การนำแพะแกะมาแบบนี้หมายถึงการเข้ามาถวายเครื่องสัตวบูชา แต่อย่าลืมว่า เขาไม่รู้จักพระเจ้า .. พวกเขาได้นำเอาวิธีการนมัสการบาอัลมาไว้ในพระวิหารของพระเจ้า พระเจ้าทรงออกไปจากพวกเขา น่ากลัวมาก

5:7 การทรยศต่อพระเจ้านั้น มีความหมายคือ การปฎิบัติต่อพระเจ้าอย่างไร้ความภักดี การทรยศต่อพระเกียรติของพระเจ้า อกตัญญูต่อพระองค์
พวกเขากำเนิดลูกต่างชาติ นั่นคือ ลูกหลานของพวกเขากลับกลายเป็นคนที่ไม่มีความสัมพันธ์ทางพันธสัญญากับพระเจ้า

โฮเชยาประกาศการลงโทษ
8 จงเป่าแตรในกิเบอาห์
จงเป่าเขาสัตว์ในรามาห์ 
และตะโกนร้องออกศึกในเบธอาเวน
เบนยามิน จะตามเจ้าไป (จงกลัวจนตัวสั่น)
9 เอฟราอิมจะกลายเป็นที่ทิ้งร้าง
ในวันแห่งการลงโทษ
เราประกาศสิ่งที่จะเกิดขึ้นแน่ ๆ
ท่ามกลางเผ่าต่าง ๆ ของอิสราเอล

โฮเชยาประกาศการลงโทษ
5:8 การเป่าแตรเขาสัตว์เป็นสัญญาณบอกภัย และเรียกให้ประชาชนเข้ามารวมตัวกันเพื่อป้องกันประเทศ เมืองทั้งสองอยู่ทางเหนือของนครเยรูซาเล็ม จะเห็นว่า ศัตรูกำลังเข้ามาใกล้พร้อมบุกอาณาจักรยูดาห์ทางใต้ พวกเขากวาดทางเหนือเรียบแล้ว ..กำลังลงมาทางใต้ ไม่มีใครถูกเก็บรักษาไว้ พวกเขาจะถูกศัตรูทำลายทั้งทางเหนือและทางใต้

5:9 พระเจ้าตรัสว่า พระองค์จะทรงลงโทษ และสิ่งเหล่านั้นจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน และจะเกิดตามที่ต่าง ๆ ของอิสราเอล ไม่มีส่วนไหนที่ถูกยกเว้นเลย

ผู้ที่กดขี่ข่มเหงผู้อื่นจะถูกข่มเหง
10 เหล่าผู้นำของยูดาห์
เป็นเหมือนคนที่โยกย้ายหลักเขตแดน
เราจะเทการลงโทษเหนือพวกเขาราวน้ำโถมเข้ามา
11 เอฟราอิมถูกข่มเหง
เขาถูกขยี้ยับเยินจากการลงโทษ
เพราะเขาตั้งใจที่จะติดตามสิ่งที่ไร้ค่า 

ผู้ที่กดขี่ข่มเหงผู้อื่นจะถูกข่มเหง
5:10-11 ความผิดของผู้นำยูดาห์คือ การไปเปลี่ยนเขตเสาหลักของที่ดินเพราะได้รับสินบน นี่เป็นการคดโกงในหมู่ผู้นำ พระเจ้าบอกว่า พวกเขาจะถูกลงโทษ … พวกเขาจะถูกทำลายเหมือนถูกกวาดด้วยน้ำ พระเจ้าจะทรงเทความกริ้วของพระองค์ลงมาด้วยพระองค์เอง
ส่วนเอฟราอิมก็ตามสิ่งไร้ค่า นั่นคือการตามสิ่งที่โกหก เราตามคนโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวว่า พวกเขากำลังโกหกเราอยู่ แต่ก็ จะถูกลงโทษเช่นกัน

แผลเน่าที่ไม่มีวันหายขาด 
12 แต่เราเป็นเหมือนแมลงที่กัดกินเอฟราอิม
เป็นเหมือนความผุพังของวงศ์วานยูดาห์ 
13  เมื่อเอฟราอิมเป็นความเจ็บป่วยของตน
และยูดาห์เห็นบาดแผลของตน 
เอฟราอิมก็หันไปหาอัสซีเรีย
และส่งตัวแทนไปหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่(กษัตริย์ยาเรบ) 
แต่กษัตริย์นั้น ไม่อาจรักษา
หรือบำบัดบาดแผลของเจ้าได้
 (มีอีกนามว่า กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ คือทิกลัทปิเลเสอร์ที่สาม ฉบับ 2 พงศาวดาร 28:16-21)

แผลเน่าที่ไม่มีวันหายขาด 
5:12 พวกเขาไม่ได้มองพระเจ้าเป็นที่หนึ่ง เป็นกษัตริย์เหนือชีวิต พระองค์จะทรงกัดกินพวกเขาเหมือนกับแมลงที่กินไม้ไปเรื่อย ๆ จนพังไปหมด
ถ้าพระเจ้าทรงเป็นเหมือนแมลงที่กัดกิน ความผุพังในชีวิต ชีวิตของเราจะพังไปขนาดไหน?

5:13 พอประเทศเริ่มไม่มีความมั่นคง แทนที่จะหันมาหาพระเจ้า พวกเขากลับย้อนไปหาอัสซีเรีย โดยหารู้ไม่ว่า อัสซีเรียต้องการอำนาจเหนือเขา ต้องการประโยชน์จากทรัพยากรที่พวกเขามีอยู่ กษัตริย์ยาเรบผู้นี้ น่าจะเป็นกษัตริย์ทิกลัท ปิเลเสอร์ที่สาม จาก 2 พงศ์กษัตริย์ 15:19 ; 2 พงศาวดาร 28:16-21

14 เพราะเราเป็นเหมือนสิงโตต่อเอฟราอิม
เราเป็นเหมือนสิงโตหนุ่มต่อวงศ์วานยูดาห์ 
ใช่แล้ว เราจะฉีกเขาเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยแล้วจะจากไป
เราจะคาบพวกเขาไป และไม่มีใครช่วยกู้พวกเขาได้เลย 
15 เราจะกลับไปยังที่ของเรา
จนกว่าพวกเขาจะยอมรับผิด และแสวงหาเรา
พวกเขาจะแสวงหาเราอย่างร้อนรนจริงใจ
เพราะความทุกข์ร้อนของพวกเขา 

5:14 พระเจ้าจะทรงโจมตีอิสราเอลและยูดาห์ ราวกับสิงโตที่โดดขย้ำผู้คน
การลงโทษของพระองค์ไม่เบา เจ็บปวด รวดเร็ว ตั้งตัวไม่ทัน สิงโตจะทำให้ผู้คนกระจัดกระจายออกไปด้วย
เป้าหมายของการที่พระเจ้าทรงทำกับเขาอย่างนั้น เพื่อว่าเขาจะกลับใจจริง
แสวงหาพระเจ้าจริง ต้องการพระองค์จริง ๆ

เชื่อกันว่า โฮเชยาใช้เวลาประมาณ 25  ปีในการกล่าวพระดำรัสเตือนของพระเจ้า 
คำว่า ความทุกข์ร้อนนี้ มาจากคำว่า צַר ซาร แปลว่า การบีบคั้น การเป็นศัตรู ความทุกข์ร้อน ความลำบาก มีความหมายรวมไปถึง ความแคบ ที่ ๆ เล็กอึดอัด ศัตรู!

ข้อสิบห้า ชัค มิสเลอร์ ตีความว่า สิงโตนั้นคือพระเยซู .. เราจะกลับไปยังที่ของเรา…กลับไปยังพระที่นั่งของพระบิดา คิดว่าตรงนี้เป็นข้อที่บอกถึงการเสด็จกลับมาครั้งที่สอง  อิสราเอลต้องกลับใจ  เลวีนิติ 26:32-42
ความทุกข์ร้อน พระเยซูตรัสในมัทธิว 24:22 และดาเนียล 12:1 จะนำอิสราเอลกลับใจ

ซาตานไม่ต้องการให้สิ่งนี้เกิดขึ้นมันจึงเร่ง ทำร้ายอิสราเอลให้หมดไปจากโลกอย่างที่เราเห็นในสงครามที่อิสราเอลต้องเผชิญ ตั้งแต่ปี 2023 เป็นต้นมาอย่างชัดเจน  และอิสราเอลจะพบความทุกข์ร้อนที่ต่อเนื่อง ยาวนาน ถูกคนในโลกรุมประณาม ความอดทนของพวกเขาจะจบลงที่ไม่ไหวแล้ว ต้องหันมาหาพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์

พระคำเชื่อมโยง

1* โฮเชยา 6:9
2* อิสยาห์ 29:15
3* อาโมส3:2; 5:12 ; โฮเชยา 4:17
4* โฮเชยา 4:12
5* โฮเชยา 7:10

6* สุภาษิต 1:28
7* เยเรมีย์ 3:20
8* โยเอล 2:1 ; อิสยาห์ 10:30 ; โยชูวา 7:2
10* เฉลยธรรมบัญญัติ 19:14; 27:17

11* เฉลยธรรมบัญญัติ 28:33 ;มีคาห์ 6:16
12* สุภาษิต 12:4
13* เยเรมีย์ 30:12-15 ; 2 พงศ์กษัตริย์ 15:19
14* เพลงคร่ำครวญ 3:10 ; สดุดี 50:22

โฮเชยา 4 คดีของพระเจ้า 

คดีของพระเจ้าต่ออิสราเอล 
4  จงฟังพระดำรัสของพระยาห์เวห์ 
โอ ประชากรอิสราเอล
เพราะ พระยาห์เวห์ทรงมีข้อกล่าวหา
ต่อผู้ที่อาศัยในแผ่นดิน
“ในแผ่นดินไม่มีความสัตย์จริง
ไร้ความรักมั่นคง
และไร้ความรู้เรื่องพระเจ้าในแผ่นดิน
 
2 มีแต่การสาปแช่ง คำเท็จ ฆาตกรรม
การลักขโมย  และการเล่นชู้อย่างดาษดื่น 
มีการนองเลือดอย่างต่อเนื่อง
 3 ด้วยเหตุนี้เอง แผ่นดินจึงคร่ำครวญ
และทุกคนที่อาศัยในนั้นจะพินาศ
เหล่าสัตว์ป่า และนกในอากาศ
แม้กระทั่งปลาในทะเลก็ถูกเอาออกไป

คดีของพระเจ้าต่ออิสราเอล 
4:1 พระเจ้าทรงให้ทั้งประเทศฟังพระสุรเสียงของพระองค์ ถ้าในประเทศหนึ่ง ๆ มีความสัตย์ รักมั่นคง ความรู้เรื่องพระเจ้าก็จะส่งผลให้ไม่เกิดหตุการณ์ร้าย พระเจ้าทรงมีข้อกล่าวหาพวกเขา อ้างถึงพันธสัญญาที่พระเจ้าเคยทำไว้กับอิสราเอล โดยที่เมื่อเขาเชื่อฟังจะได้พร เมื่อไม่เชื่อฟังจะได้รับคำแช่งสาป พระเจ้าตรัสว่า ประชาชนไม่พูดจริง ไม่รักกัน ไม่รู้จักพระเจ้า คำว่า ความรู้เรื่องพระเจ้าคือการตระหนักถึงสิทธิอำนาจของพระเจ้าในชีวิต และการที่จะต้องเชื่อฟังพระองค์
4:2 ดังนั้นสถานการณ์ในแผ่นดินจึงเลวร้ายมาก เพราะคนพูดมุสา ไม่รู้จักพระเจ้าไม่รักกัน ต่างใส่ร้ายกัน ฆาตกรรม โจรกรรม การผิดประเวณีเต็มเมือง การนองเลือดที่ว่านี้ในภาษาฮีบรูคือ การนองเลือดแตะการนองเลือด (ทำให้เห็นภาพถึงความถี่ของความชั่วร้ายนี้) พวกเขาละเมิดศีลธรรม ไม่มีการยับยั้งชั่งใจ
4:3 สิ่งที่เกิดขึ้นคือ แผ่นดินหม่นหมอง สภาพของแผ่นดินอ่านจากอิสยาห์ 3:3-15 คนในแผ่นดิน หมดแรง อ่อนกำลัง ลองคิดสภาพบ้านเมืองที่ผู้คนไม่มีเรี่ยวแรง เดินไปมาเหมือนคนป่วย เป็นแบบเดียวกับเมืองบางเมืองในอเมริกาที่คนติดยาอย่างหนัก แล้วเดินเหมือนผีดิบกันทั่วเมือง ดูตัวอย่างเช่น (https://www.youtube.com/shorts/B1zl1DZTD90)
มีแต่ความทุกข์ ทั้งคนและแม้สัตว์ป่า นก ปลายังหายไปด้วย

พระเจ้าทรงต่อต้านปุโรหิตชั่วร้าย
4 แต่ อย่าให้ใครฟ้องร้องขึ้นมา
อย่าให้ใครกล่าวหาใคร
โอ ปุโรหิตทั้งหลาย
เพราะเรามีเรื่องที่จะฟ้องร้องพวกเจ้า

5  เจ้าจะสะดุดล้มลงกลางวัน
รวมทั้งผู้เผยพระดำรัสก็จะสะดุด
ไปกับเจ้าในเวลากลางคืน
และเราจะทำลายแม่ของเจ้า
(หรือ เจ้าได้ทำลายประชากรของเจ้าเอง)

6 ประชากรของเราถูกทำลาย
เพราะพวกเขาขาดความรู้ (การตระหนักถึงเรา)
เป็นเพราะเจ้าได้ปฏิเสธความรู้ (ที่จะรับรู้ถึงเรา)
เราจึงไม่รับเจ้าเป็นปุโรหิตของเรา
เนื่องจากเจ้าได้ลืม(ละเลย)พระบัญญัติของพระเจ้าของเจ้า
เราเอง ก็จะลืม(ลืมที่จะอวยพร)ลูกหลานของเจ้าด้วย

4:4 อย่าให้มีการโต้เถียงกันและกัน พระเจ้าตรัสกับเหล่าปุโรหิตที่มีหน้าที่ต่อพระเจ้าโดยตรงในการสอนประชาชนให้รู้จักพระเจ้า (มาลาคี 2:6 )

4:5ปุโรหิต ผู้นำฝ่ายวิญญาณ จะล้มลง  รวมทั้งเหล่าผู้เผยพระดำรัสที่เป็นคนกล่าวเท็จ จะล้มลงด้วย เหล่าผู้นำทางฝ่ายวิญญาณกลับกลายเป็นคนที่แพ้ ไม่สามารถนำประชาชนให้ถูกต้องได้
(หน้าที่ของปุโรหิต:: มาลาคี 2:6 ปากของเขาเอ่ยคำสอนแท้และไม่เคยพูดโกหก เขาได้ดำเนินชีวิตไปกับเราด้วยสันติสุขและความเที่ยงธรรม และช่วยหลายคนให้หันจากบาป 7 “วาจาของปุโรหิตควรสงวนความรู้ไว้ และผู้คนพึงแสวงหาคำสั่งสอนจากปุโรหิต เพราะเขาคือทูตของพระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ )
เลวีนิติ 10:11  8 แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับอาโรนว่า 9 “เจ้ากับบุตรชายอย่าดื่มเหล้าองุ่นหรือของมึนเมาเมื่อเจ้าเข้าไปในเต็นท์นัดพบ มิฉะนั้นเจ้าจะตาย นี่เป็นข้อปฏิบัติถาวรสืบไปทุกชั่วอายุ 10 เจ้าต้องแยกแยะระหว่างสิ่งบริสุทธิ์กับสิ่งทั่วไป และสิ่งที่เป็นมลทินกับสิ่งที่ไม่เป็นมลทิน 11 และเจ้าต้องสอนกฎหมายทั้งปวงซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าประทานผ่านทางโมเสสนั้นแก่ชนชาติอิสราเอล”

4:6 สิ่งที่พระเจ้าตรัสในข้อ 6 นี้ แม้จะตรัสกับปุโรหิต แต่เป็นคำที่จี้จุดผู้นำฝ่ายวิญญาณทุกยุคทุกสมัย บอกเราชัดเจนว่า ผู้นำเป็นคนที่สำคัญยิ่งในการทำให้คนรู้จักพระเจ้า ผู้นำ.. จะเป็นคนที่ต้องรับผิดชอบความเป็นอยู่ที่ดีในฝ่ายวิญญาณของพี่น้อง

7  ยิ่งมีปุโรหิตจำนวนมากขึ้นเท่าใด
พวกเขาก็ยิ่งทำบาปต่อเรามากขึ้นเท่านั้น
เราจะ(หรือ เขาได้)เปลี่ยนเกียรติของพวกเขา
ให้กลายเป็นความอัปยศ
8 พวกเขาเลี้ยงตัวเองจากบาปของประชากรของเรา 
พวกเขาจึงอยากให้ประชาชนทำบาป
9 ทั้งประชากรและปุโรหิต
จะต้องเผชิญการลงโทษแบบเดียวกัน
เราจะลงโทษพวกเขาตามการใช้ชีวิตของพวกเขา
และจะตอบสนองตามการกระทำของพวกเขา 
10 พวกเขาจะกิน แต่ไม่เคยอิ่ม
พวกเขาจะทำตัวเหลวแหลก แต่จะไม่มีลูกหลาน
เพราะพวกเขาหยุดฟังองค์พระยาห์เวห์
11 ใช้ชีวิตเสเพล กับทั้งเหล้าองุ่นเก่าและเหล้าองุ่นใหม่
ซึ่งแย่งชิงเอาความเข้าใจไปจากพวกเขา 

4:7-8 จะได้กินเนื้อที่ประชาชนนำมาถวาย เป็นอาหารของพวกเขา ดังนั้น แทนที่จะเข้าใจว่า สิ่งสำคัญคือการไถ่บาป  และต้องรับใช้ประชาชน พวกเขากลับยินดีที่มีคนบาปมาถวายเครื่องบูชาเยอะเพื่อพวกเขาจะได้มีของกิน ทั้งหมดคือชีวิตไร้สาระ ไร้ศีลธรรม ไร้พระเจ้า สนุกกับการเมาเหล้า ซึ่งเป็นต้นเหตุทำให้คน ๆ หนึ่งขาดวิจารณญาณ ขาดความยับยั้งชั่งใจ  คนเหล่านี้จึงจะถูกพระเจ้าทรงลงโทษตามการใช้ชีวิตของพวกเขา 


4:9-11 ภาพที่เห็นนี้คือ พวกเขาใส่ใจกับการมีชีวิตไร้ค่า ติดตามเหล้าองุ่นที่ทำให้พวกเขาขาดสติยับยั้งชั่งใจ การกิน ดื่ม ใหญ่กว่าพระเจ้าของเขาไปแล้ว ชีวิตแบบนี้เองที่ทำให้พวกเขาไม่อาจเข้าใจพระเจ้าได้เลย

พระเจ้าทรงพิพากษา
การกราบไหว้บูชาเทวรูปด้วยกิจกรรมทางเพศ

12 ประชากรของเราไปขอคำปรึกษา
จากเศษไม้และอาศัยคำตอบจากไม้เสี่ยงทาย 
เพราะวิญญาณแห่งความเสเพล
ได้นำให้เขาหลงผิดไป 
พวกเขาทำตัวสำส่อน(หรือล่วงประเวณีฝ่ายวิญญาณ)
ละทิ้งพระเจ้าของพวกเขา 
13 พวกเขาถวายเครื่องสักการะบนยอดเขา
และถวายเครื่องเผาบูชาบนเนินต่าง ๆ 
ใต้ต้นโอ๊ก ต้นปอปลาห์ และต้นเทเลบิน
เพราะร่มเงาของต้นไม้เหล่านี้ร่มรื่นเย็นสบาย
ดังนั้น ลูกสาวของพวกเจ้าทำตัวเสเพล
และลูกสะใภ้ของพวกเจ้าก็คบชู้ด้วย
14  เราจะไม่ลงโทษพวกลูกสาวของเจ้า
เมื่อพวกเธอทำตัวเสเพล
หรือลูกสะใภ้ของเจ้าเมื่อคบชู้
เพราะพวกผู้ชายเองก็ออกไปหาหญิงโสเภณี
และถวายเครื่องสักการะพร้อมกับหญิงโสเภณีประจำวิหาร 
และคนที่ไม่มีความหยั่งรู้นั้น ก็จะต้องพินาศ

12-14  นอกจากคนที่จะต้องรับใช้พระเจ้าโดยตรง ใกล้ชิดอย่างปุโรหิต หรือผู้เผยพระดำรัส ประชาชนก็หันไปขอคำแนะนำแก้ปัญหาชีวิต  ในความเป็นอยู่  การทำธุรกิจ กับรูปเคารพ  แทนที่จะมาหาพระเจ้า แล้วยังไปถวายเครื่องสักการะบูชาบนที่สูง ซึ่งทำให้พวกเขาเข้าไปทำพิธีกรรมที่น่าเกลียดชัง มีกิจกรรมทางเพศอย่างโจ่งแจ้ง ณ ที่นั้น 
เยเรมีย์ 2:20 “นานมาแล้วเจ้าได้สลัดแอกของเจ้าทิ้งและหักทำลายเครื่องพันธนาการต่างๆ ของเจ้าเจ้าพูดว่า ‘ข้าพระองค์จะไม่ปรนนิบัติพระองค์!’แท้จริง เจ้าเอนกายลงดั่งหญิงโสเภณีบนภูเขาสูงทุกลูก
และใต้ต้นไม้ใบดกทุกต้น
เฉลยธรรมบัญญัติ 12:2-3 จงทำลายสถานบูชาทั้งปวงที่ชนชาติต่างๆ กราบไหว้อยู่นั้นให้สิ้นซาก ชนชาติเหล่านี้เป็นชนชาติซึ่งท่านกำลังจะเข้าไปยึดครองดินแดนของเขา ไม่ว่าบนยอดเขา เนินเขา หรือใต้ต้นไม้ใหญ่  จงทุบแท่นบูชา ทุบทำลายหินศักดิ์สิทธิ์ เผาเสาเจ้าแม่อาเชราห์ ทำลายรูปเคารพของเขา และกำจัดให้สิ้นชื่อไปจากที่นั่น ( พระเจ้าทรงสั่งผ่านโมเสสมานานแล้ว)
อิสยาห์ 1:29 “เจ้าจะอับอายขายหน้าเพราะต้นไม้ใหญ่ศักดิ์สิทธิ์ที่เจ้าชื่นชอบ เจ้าจะอัปยศอดสูเพราะสวนต่างๆ ที่เจ้าเลือก

ยอห์น 14:6 พระเยซูตรัสตอบว่า “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต ไม่มีใครมาถึงพระบิดาได้นอกจากมาทางเรา

คำเตือนต่ออิสราเอลและยูดาห์

15  อิสราเอลเอ๋ย หากเจ้าทำตัวเสเพล
ก็อย่าให้ยูดาห์กลายเป็นคนผิด
อย่าไปที่กิลกาล
อย่าไปยังเบธอาเวน (บ้านแห่งความชั่วร้าย)
และอย่าสาบานโดยกล่าวว่า
‘องค์พระยาห์เวห์ทรงประชนม์อยู่แน่ฉันใด’ (9:15, 12:11)
16 อิสราเอลดึงดันดื้อด้านเหมือนวัวสาวที่ดื้อดึง 
แล้วนี่พระยาห์เวห์จะทรงเลี้ยงดูพวกเขา
เหมือนลูกแกะในทุ่งโล่งได้อย่างไร?
17 เอฟราอิมหลงใหลไปกับรูปเคารพ
ปล่อยเขาไปตามลำพัง! 
18  แม้เครื่องดื่มหมดไปพวกเขาก็ยังหันไปเสเพล
ผู้นำของอิสราเอลนั้น หลงไปกับทางที่อัปยศอดสู
19 พายุที่พัดมาจะอุ้มพวกเขาออกไป
ด้วยปีกของมันและพวกเขาจะอับอาย
เพราะเครื่องสักการะของพวกเขา

 



ข้อ  15-19  ย้อนกลับไปเรื่องที่เกิดขึ้นในกิลกาล เบธอาเวน เป็นที่ ๆ พวกเขาทำผิดต่อคำสั่งของพระเจ้าและในเมื่อพวกเขาดื้อด้าน ดึงดัน พระเจ้าจะไม่อาจจะเลี้ยงดูพวกเขาโดยให้อิสระได้เลย
กิลกาลเป็นศูนย์รวมเรื่องการกราบไหว้รูปเคารพในสมัยโฮเชยา   ส่วนคำว่า เบธอาเวนที่ว่าบ้านของความชั่วร้ายนั้น เป็นคำเสียดสีที่กระทบกับคำว่า เบธเอล ซึ่งแปลว่า บ้านของพระเจ้า  ในเวลานั้นเบธเอลก็เป็นที่ หนึ่งที่พวกเขาไปนมัสการพระเจ้ากัน 
จากคำเตือนตอนนี้เราเห็นชัดเลยว่า ทั้งผู้นำ ทั้งประชาชนต่างหลงทางไปอย่างกู่ไม่กลับ
1  พงศ์กษัตริย์ 12:29
28 หลังจากขอคำแนะนำของที่ปรึกษาแล้ว กษัตริย์เยโรโบอัมจึงทรงสร้างลูกวัวทองคำสองตัว และแจ้งประชากรว่า “เป็นเรื่องยุ่งยากเกินไปที่จะดั้นด้นไปถึงกรุงเยรูซาเล็ม พี่น้องอิสราเอลทั้งหลาย นี่แหละเทพเจ้าของท่านซึ่งได้นำท่านออกมาจากอียิปต์” 29 พระองค์ทรงตั้งลูกวัวทองคำตัวหนึ่งไว้ที่เบธเอล ส่วนอีกตัวหนึ่งอยู่ที่ดาน 30 สิ่งนี้ได้กลายเป็นบาป เพราะเหล่าประชากรยังอุตส่าห์ไปถึงเมืองดานเพื่อนมัสการลูกวัวทองคำที่นั่น
อาโมส 8:13-14 “ในวันนั้นหญิงสาวน่ารักและชายหนุ่มแข็งแรงจะเป็นลมเพราะความกระหาย 14 ผู้ที่สาบานโดยอ้างรูปเคารพ[b]อันน่าละอายของสะมาเรียหรือพูดว่า ‘ดานเอ๋ย พระของเจ้ามีชีวิตอยู่แน่ฉันใด’หรือ ‘เทพเจ้า[c]แห่งเบเออร์เชบามีชีวิตอยู่แน่ฉันใด’พวกเขาจะล้มลงและไม่ได้ลุกขึ้นมาอีกเลย”
อาโมส 5:4-5 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่พงศ์พันธุ์อิสราเอลว่า“จงแสวงหาเรา และเจ้าจะมีชีวิตอยู่5  อย่าแสวงหาเบเอล
อย่าไปที่กิลกาล อย่าเดินทางไปยังเบเออร์เชบา เพราะกิลกาลจะต้องตกเป็นเชลยอย่างแน่นอน และเบธเอลจะราบเป็นหน้ากลอง”[a]