มัทธิว 10 ทรงส่งศิษย์ออกไป

พระเยซูทรงส่งศิษย์ใกล้ชิด(อัครทูต) ออกไป 

1 พระเยซูทรงเรียกศิษย์ทั้งสิบสองคนของพระองค์มาและประทานสิทธิอำนาจให้พวกเขาไล่วิญญาณชั่วและรักษาโรคภัยไข้เจ็บทุกอย่าง
2 ศิษย์ที่เป็นอัครทูตทั้งสิบสองคนคือ คนแรก ซีโมน​มีอีกชื่อว่าเปโตร กับอันดรูว์น้องชายของเขา ยากอบลูกชายของเศเบดี กับยอห์นน้องชายของเขา
3 ฟีลิปและบารโธโลมิว โธมัส และมัทธิวผู้เป็นคนเก็บภาษี ยากอบลูกชายอัลเฟอัส และธัดเดอัส
 4 ซีโมนพรรคชาตินิยมและยูดาส อิสคาริโอทผู้ที่ทรยศพระเยซู

พระเยซูทรงกำชับวิธีการออกไป
5 พระเยซูทรงส่งทั้งสิบสองคนโดยทรงสั่งว่า “อย่าเข้าไปในเขตแดนของคนต่างชาติ หรือในเมืองที่มีชาวสะมาเรียอยู่

6 แต่จงไปหาแกะหลงหายของอิสราเอล
7 เมื่อพวกเจ้าไป จงประกาศว่า ‘แผ่นดินสวรรค์มาใกล้แล้ว’
8 จงรักษาคนป่วย ทำให้คนตายฟื้นขึ้นมา จงรักษาคนโรคเรื้อน ขับผีออกจากคน  เจ้าได้รับอำนาจนี้มาเปล่า ๆ ก็จงให้โดยไม่คิดราคา


 
9 อย่าพกเงิน ทองคำ แร่เงิน หรือแร่ทองแดงไปกับตัวเจ้า
 10 อย่าเอาย่าม หรือเสื้ออีกตัว หรือรองเท้า หรือไม้เท้าเดินทางไปด้วย เพราะคนทำงานก็ควรได้รับการสนับสนุนตอบแทน
 11 “เมื่อเจ้าเข้าไปยังเมืองหรือหมู่บ้านใด จงหาคนที่เหมาะเพื่อว่าเจ้าจะพักที่บ้านของเขาจนกว่าจะออกจากเมืองไป     
12 เมื่อเจ้าเข้าไปในบ้านใด
ก็ขอให้พระพรแห่งสันติสุขอยู่กับบ้านนั้น 
13 หากคนในบ้านนั้นต้อนรับเจ้า ก็ขอให้สันติสุขของท่านดำรงในบ้านนั้น แต่หาไม่แล้ว จงให้สันติสุขคืนมาสู่เจ้าเอง

เมื่อเขาไม่ต้อนรับ
14 และหากบ้านใดเมืองใดไม่ยอมต้อนรับเจ้าหรือฟังคำของเจ้า ก็จงละจากที่นั่นไป และสะบัดฝุ่นออกจากเท้าของเจ้าเมื่อออกจากสถานที่นั้น (เป็นการแสดงเตือนถึงการพิพากษา)

15 เราบอกความจริงแก่เจ้าว่า ในวันพิพากษา โทษของเมืองโสโดมและเมืองโกโมราห์ยังเบากว่าเมืองนั้น  
16 “ฟังนะ เราส่งเจ้าออกไปเหมือนแกะท่ามกลางฝูงสุนัขป่า ดังนั้นจงฉลาดเหมือนงู และไม่มีภัยอย่างนกพิราบ 

พระวิญญาณทรงอยู่ด้วย
17 จงระวังเหล่าคนที่จะจับเจ้าและนำเจ้าไปขึ้นศาล และโบยเจ้าในศาลาธรรมของพวกเขา
18 เป็นเพราะเรา พวกเจ้าจะต้องไปยืนอยู่ต่อหน้าผู้ว่าราชการ และเหล่ากษัตริย์ เพื่อเป็นพยานแก่ทั้งเขาและคนต่างชาติ
 
19 เมื่อเจ้าถูกจับ อย่ากังวลว่าจะพูดอะไร หรือพูดอย่างไร  เวลานั้น พระเจ้าจะประทานสิ่งที่เจ้าควรพูดให้ 
20  เพราะไม่ใช่เจ้าที่กำลังพูด แต่เป็นพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระบิดาของเจ้าที่ตรัสผ่านเจ้า



ศิษย์ไม่เหนือกว่าครู
21 พี่น้องจะทรยศกันถึงชีวิต เขาจะส่งพี่น้องสู่ความตาย และพ่อก็จะมอบลูก และลูก ๆ ก็จะต่อต้านพ่อแม่ของตน ทำให้พวกเขาถึงแก่ความตาย
22 คนทั้งหลายจะเกลียดชังเจ้าเพราะเจ้าติดตามเรา แต่คนที่ยืนหยัดในความเชื่อจนถึงที่สุดจะรอด
23 เมื่อเจ้าถูกข่มเหงในเมืองหนึ่ง ก็จงหนีไปอีกเมือง
เราบอกความจริงแก่เจ้าว่า ก่อนที่เจ้าจะไปทั่วทุกเมืองในอิสราเอล บุตรมนุษย์ก็จะเสด็จมาแล้ว (ดาเนียล 7:13-14) 
 24 “ลูกศิษย์จะไม่เหนือกว่าครูของเขา และทาสจะไม่เหนือนายของเขา
25 แค่ศิษย์เป็นเหมือนครู และทาสเป็นเหมือนนายก็น่าพอใจแล้ว  หากหัวหน้าครอบครัวถูกเรียกว่า เบเอลเซบูล (ชื่อของซาตานอีกชื่อ)  เขาจะเรียกคนในครัวเรือนนั้นหนักยิ่งกว่าสักเท่าใด
 


26 “ดังนั้น อย่าไปกลัวพวกเขา เพราะทุกอย่างที่ถูกปิดซ่อนไว้จะได้รับการเปิดเผย ทุกสิ่งที่เป็นความลับซ่อนอยู่ จะถูกเปิดให้เห็นประจักษ์ 

อย่ากลัวคน จงกลัวพระเจ้า
27 สิ่งใดที่เราบอกแก่เจ้าในที่มืด แต่เจ้าจะต้องบอกออกไปในที่แจ้ง สิ่งที่เจ้าได้ยินกระซิบข้างหู เจ้าจะต้องตะโกนประกาศจากหลังคาบ้าน
28 อย่ากลัวคนที่ฆ่าได้แต่ร่างกาย แต่ไม่อาจฆ่าจิตวิญญาณ ผู้เดียวที่เจ้าควรกลัวคือ พระองค์ผู้ทรงทำลายได้ทั้งจิตวิญญาณและร่างกายในนรก
  29 นกกระจอกนั้นเขาขายกันสองตัวบาทเดียวไม่ใช่หรือ  ถึงอย่างนั้น ก็ไม่มีสักตัวเดียวที่จะตายตกลงมาบนพื้นโดยพระบิดาของพวกเจ้าไม่ทรงอนุญาต
30 พระเจ้ายังทรงรู้ว่า บนศีรษะของเจ้ามีเส้นผมจำนวนเท่าไร  31 ดังนั้น อย่ากลัวไป เพราะเจ้ามีค่ายิ่งกว่านกกระจอกหลายตัว  

การยอมรับพระเจ้าต่อหน้าผู้อื่น
32 “คนใดที่ยอมรับเราต่อหน้าคนอื่น  เราก็จะยอมรับเขาต่อพระพักตร์พระบิดาของเราในสวรรค์
 33 แต่คนใดที่ไม่ยอมรับเราต่อหน้ามนุษย์ เราก็จะไม่ยอมรับเขาต่อพระพักตร์พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์เช่นกัน 

ความแตกแยกในครอบครัวเพราะพระเยซู
34 “อย่าคิดว่าเรามาเพื่อนำสันติสุขมาสู่โลก เราไม่ได้นำสันติสุขมา แต่นำดาบมา
 35 เรามาเพื่อที่จะทำให้ลูกชายต่อต้านพ่อ ลูกสาวต่อต้านแม่ ลูกสะใภ้ต่อต้านแม่สามี 
36  ศัตรูของคน ๆ หนึ่งก็คือ คนในครอบครัวของเขาเอง 

การเป็นศิษย์ของพระเยซู
37 “คนใดที่รักพ่อหรือแม่มากยิ่งกว่ารักเรา
ไม่สมควรที่จะติดตามเรา  คนใดที่รักลูกชายหรือลูกสาวมากกว่ารักเรา ก็ไม่สมควรที่จะติดตามเรา

 38 คนใดที่ไม่เต็มใจรับกางเขน
และติดตามเรามาก็ไม่คู่ควรกับเรา
 39 คนที่พยายามรักษาชีวิตของตนจะสูญเสียชีวิตนั้นไป แต่คนใดที่เสียชีวิตของตนเพราะเห็นแก่เราจะรักษาชีวิตแท้จริงนั้นไว้


การต้อนรับคนของพระเจ้า
40 ใครก็ตามที่ตอบรับเจ้าก็รับเราด้วย 
และผู้ที่รับเราก็รับพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา
41 ใครก็ตามที่ตอบรับผู้เผยพระดำรัส
เพราะเขาเป็นผู้เผยพระดำรัส
ก็จะได้รับรางวัลอย่างที่ผู้เผยพระดำรัสพึงได้รับ 
และใครก็ตามที่รับคนเที่ยงธรรม
เพราะเขาเป็นคนเที่ยงธรรม
ก็จะได้รับบำเหน็จอย่างคนเที่ยงธรรม
42 คนใดที่ให้น้ำเย็นสักแก้วแก่คนเล็กน้อย
เพราะเขาเป็นคนของเรา

จะไม่ขาดรางวัลของเขาเลย

อธิบายเพิ่มเติม

พระเยซูทรงส่งศิษย์ใกล้ชิด(อัครทูต) ออกไป 
10:1 เมื่อพระเยซูทรงเรียกศิษย์สิบสองคนที่ใกล้ชิดมา เป็นคนที่จะอยู่กับพระองค์ จะเห็นการทำงาน การสอน การรักษาโรคของพระองค์ และ พระองค์ทรงให้อำนาจการไล่ผี การรักษาโรคให้พวกเขาด้วยอย่างที่ไม่ได้หวงอำนาจเหล่านั้นไว้เลย พวกเขาไม่ได้ทราบว่า ฤทธานุภาพทั้งสิ้นในจักรวาลเป็นของพระเยซูคริสต์ .. แต่ต่อไปนี้ พวกเขาจะต้องใช้ฤทธิ์เดชนั้นอย่างพระอาจารย์ของพวกเขา

10:2-4 เราจะเห็นว่า ในบรรดาศิษย์สิบสองคนนี้ มีพี่น้องอยู่สองคู่คือ ซีโมนกับอันดรูว์ ยากอบกับยอห์น ที่เหลืออีกแปดคนนั้นมาจากคนละครอบครัว และยังมีคนหนึ่งที่พระเยซูทรงรู้ว่าจะทรยศพระองค์ แต่ก็ทรงเลือกเขาไว้ด้วย
ศิษย์ทั้งสิบสองคน มีอาชีพเดิมต่างกัน ทั้งเป็นชาวประมง คนเก็บภาษี คนที่สนใจการเมืองอย่างซีโมน พระองค์ทรงให้คนต่างมุมมองมาเป็นศิษย์และให้พวกเขาทำงานด้วยกัน และแบบอย่างนี้ก็ส่งต่อลงมายังพระกายของพระคริสต์คือคริสตจักรด้วย … ผู้คนที่แตกต่าง มารักพระเจ้าองค์เดียวกัน มาเป็นพี่น้อง มานมัสการและทำงานรับใช้พระเจ้าด้วยกัน

10:5-8 พระเยซูทรงกำชับวิธีการออกไป
ผู้ที่เป็นคนสำคัญในพันธกิจครั้งนี้ของศิษย์คือ คนอิสราเอลที่หลงไปจากทางของพระเจ้า เป็นคนที่พระเยซูทรงสงสารเพราะพวกเขาเป็นเหมือนแกะที่ไม่มีผู้เลี้ยง (มัทธิว 9:35-38 ; เยเรมีย์ 50:6 )
พระองค์ทรงสอนให้พวกเขาอธิษฐานต่อพระเจ้าผู้เป็นเจ้าของนาให้ส่งคนของพระองค์ออกไป และเวลานี้ พระเยซูก็ทรงส่งคนออกไปอย่างที่ได้อธิษฐาน แต่พระเยซูทรงห้ามไม่ให้เข้าไปในเมืองที่มีชาวสะมาเรีย นับได้ว่าเป็นครั้งเดียวที่มัทธิวกล่าวคำว่า สะมาเรีย!
พระองค์ทรงให้ทั้งประกาศ รักษาคนป่วยทั่วไปและโรคเรื้อน ทำให้คนฟื้นจากตาย รวมถึงขับผี ซึ่งเป็นการสู้กับโลกวิญญาณโดยตรง ​….​

10:9-10 ทอง เงิน ทองแดง ต่างมีค่าที่จะใช้ซื้อของได้ แต่พระเยซูไม่ให้พวกเขาเตรียมสิ่งเหล่านั้นไป พระองค์ทรงวางกฎไว้ชัดเจนว่า คนที่ทำงานจะต้องได้รับการสนับสนุนจากคนท้องถิ่นที่เขาไปรับใช้ ไม่ว่าจะเป็นการใช้จ่ายหรือที่พัก เมื่อพักบ้านใดก็ให้พรแก่บ้านนั้น (ลูกา 10:5) คำว่าย่ามนั้นมีความหมายได้สองอย่างคือย่ามเดินทาง กับย่ามขอทาน เสื้ออีกตัวเพื่อที่จะใส่สลับกัน รองเท้า ไม้เดินทาง (ก็เพื่อเอาไว้ป้องกันตัวจากสัตว์ร้ายหรือโจรที่ซุ่มตามทาง) พระเยซูจะให้เขาไปด้วยการพึ่งพระเจ้าเต็มที่

10:11-13 ในแต่ละเมืองพวกเขาจะต้องพักในบ้านของคนที่ยินดีต้อนรับ และให้อยู่ที่นั่นที่เดียว ไม่ให้ทำเหมือนกับพวกนักบุญสัญจรที่มีอยู่ระบาดในสมัยนั้น พวกเขาจะไปหลายบ้านเพื่อเอาย่ามไปขอทาน


10:14-15 เมื่อเขาไม่ต้อนรับ
การที่บ้านเมืองใดไม่ต้อนรับพระวจนะของพระเจ้านั้น แสดงว่าพวกเขาต่อต้านพระองค์ เราจะเห็นประเทศมากมายที่ห้ามการประกาศ ห้ามมีพระคัมภีร์ และจะจับผู้เชื่อจำคุกจนกว่าจะปฏิเสธพระนาม ที่พระเจ้าตรัสว่า โทษของโสโดม โกโมราห์ยังเบากว่า …​เราเชื่อได้ เพราะเห็นจากประเทศที่ต่อต้านพระเจ้า ดูตัวอย่างจาก https://www.opendoorsus.org/en-US/stories/10-most-dangerous-places-Christian/

10:16-17 พระวิญญาณทรงอยู่ด้วย
ข้อความตอนนี้ พระเยซูทรงเปรียบศิษย์เป็นแกะที่ออกไปอยู่ท่ามกลางสุนัขป่า ซึ่งมีความหมายถึงความรุนแรง การถูกโจมตี ถูกข่มเหง คนของพระเจ้าอ่อนแอกว่าสุนัขป่าก็จริง แต่เจ้าของแกะนั้นก็ยิ่งใหญ่กว่าสุนัขป่า
พระองค์ทรงสอนให้พวกเขาฉลาดแต่ไม่มีอันตรายต่อคนอื่น โดยเปรียบกับงูที่มีความฉลาด ตื่นตัว รู้ตัวเสมอ คอยระวังตัว ส่วนนกพิราบมีความหมายถึงความบริสุทธิ์ ซื่อตรง อ่อนโยน สันติ และไม่มีภัยต่อผู้อื่น พวกเขาจะไม่ตอบสุนัขป่าด้วยวิธีการของโลก แต่ใช้อาวุธจากพระเจ้า ทั้งพระคำ การอธิษฐาน และความฉลาดเฉลียวที่พระเจ้าได้ประทานให้ รู้จักหลบหลีกสิ่งที่ควร และสู้ในสิ่งที่ต้องสู้เพื่อพระนามของพระเจ้า คนของพระเจ้าต้องมีสติปัญญา ความคิดริเริ่มเพื่อที่จะทำงานของพระองค์อย่างเกิดผล พวกเขาจะถูกจับ ถูกไต่สวน มีความเป็นศัตรูอยู่สูงในโลกข้างนอกแต่พระวิญญาณของพระเจ้าทรงอยู่กับพวกเขา

10:17-18 พระวิญญาณทรงอยู่ด้วย
พระเยซูทรงเตือนล่วงหน้าว่า พวกเขาจะได้เจออะไรบ้าง เราไม่ทราบว่าในหมู่ศิษย์สิบสองคนนั้น มีใครค้านคำตรัสของพระองค์ในใจบ้างหรือเปล่า? จะส่งเราไป แต่เราจะเจอกับความทุกข์ยาก นี่เป็นสิ่งที่พระเยซูทรงบอกล่วงหน้าให้คนของพระองค์ทราบ
การถูกโบยนั้น เป็นคำสั่งจากสภายิว พระองค์กำลังตรัสกับศิษย์ทั้งสิบสองโดยตรง แต่ก็เพื่อพวกเราด้วย
ดังนั้น คำถามเมื่อเจอความทุกข์ยาก ไม่ใช่ว่า “ทำไมสิ่งนี้จึงเกิดกับฉัน?” แต่ควรจะถามว่า “พระเจ้าจะให้เราเผชิญอย่างไร อะไรเป็นยุทธวิธีของพระองค์?”
พระองค์ทรงให้เขาเห็นมุมมองใหม่ การออกไปยืนอยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่ในบ้านเมืองก็เพื่อเป็นพยานทั้งแต่ยิวและต่างชาติ! นี่คือเป้าหมายของพระองค์ (ทั้ง ๆ ที่ทรงกำหนดชัดเจนแต่แรกให้ไปประกาศกับคนอิสราเอล!”)

10:19-20
ตอนนี้ พระเยซูทรงให้คำมั่นสัญญาว่า พระองค์ทรงอยู่ด้วย ในวิกฤติของชีวิต ในสถานการณ์ที่ต้องพูด สิ่งหนึ่งสำคัญคือเราจะพูดความจริง และที่สำคัญสุดคือ พระวิญญาณจะทรงอยู่ด้วย และทรงนำ ทรงทำให้เราได้พูดน้ำพระทัยของพระเจ้าออกมาต่อหน้าคนที่มุ่งร้าย

10:21-22 พระวิญญาณทรงอยู่ด้วย
พระคำตอนนี้ เกิดขึ้นจริงในโลก เพราะในหลาย ๆ สังคม ความเป็นพี่น้อง พ่อแม่ ญาติก็ยังไม่สำคัญเท่าอุดมการณ์ที่ถูกหว่านไว้ อย่างเช่น ลัทธิคอมมิวนิสต์ ความเกลียดชังที่รุนแรง ความเกลียดที่ถูกสอนมาตั้งแต่เด็ก ๆ อย่างในหลาย ๆ ประเทศตะวันออกกลาง ไม่แค่ในระดับชาติเท่านั้น แต่ในครอบครัวก็สร้างขึ้นมากันเองด้วย พระเยซูทรงเตือนว่า การเป็นคนติดตามพระเจ้าจะถูกเกลียดชัง เมื่อเดือนที่แล้ว พฤษภาคม 2025 คริสเตียนในซูดานใต้ ถูกฆ่าเป็นจำนวนมาก ก่อนหน้านั้นก็ในคองโก โดยที่สำนักข่าวหลักมักไม่สนใจ ไม่รายงานและถ้าหนีได้ก็ให้หนี พระเจ้าทรงเปิดทางทุกอย่างไว้ให้ แต่สิ่งสำคัญที่เห็นคือ ไม่ว่าพระเยซูพบเจออะไร เราซึ่งเป็นคนของพระองค์ก็เจอได้เช่นกันที่เราแตกต่างคือ เรามีพระวิญญาณบริสุทธิ์ประทับในชีวิต

10:23-26 พระเจ้าไม่ได้สอนให้เราลุกฮือ แต่ให้หนี ก่อนที่จะหนีไปจนทั่ว พระเจ้าก็เสด็จมาก่อนแล้ว ยิ่งในสมัยนี้ การหนีเป็นสิ่งที่ยากมาก เราต้องหยุดจากการติดต่อทางมือถือ ทางอินเตอร์เนทอย่างสิ้นเชิง พระองค์ทรงให้กำลังใจว่า สิ่งที่พระองค์เผชิญ การเป็นศัตรู การเข่นฆ่า การพยายามเอาชีวิตที่พระองค์ต้องเผชิญนั้น เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้กับทุกคนที่เชื่อในพระองค์ พระเยซูทรงสอนให้เรายืนมั่น ยืนมั่นสิ และสวมยุทธภัณฑ์ของพระเจ้าไว้ สิ่งที่มารต้องการมากที่สุดคือ ให้เราล้มลง ให้เราทรยศพระเจ้า ดังนั้น คนที่ข่มเหงเราอาจจะเป็นคนในครอบครัว คนในท้องถิ่นเอง

10:27-31 อย่ากลัวคน จงกลัวพระเจ้า
สิ่งที่เราบอกเจ้าในที่มืด นั่นคือ สิ่งที่พระเยซูทรงสอนเป็นคำอุปมา เป็นคำที่คนทั่วไปไม่เข้าใจ มีแต่ศิษย์ของพระองค์ที่มีโอกาสถามและเข้าใจได้
อาจมีหลายสิ่งที่พวกเขาไม่อาจจะเข้าใจได้ หรือทนได้ในเวลานี้(ยอห์น 16:12)แต่เวลาต่อมาในอนาคต พวกเขาจะเข้าใจและจะได้สอนคนอื่นต่อไป
และไม่ใช่แอบสอน แต่จะประกาศให้ใคร ๆ ได้รับรู้ และเข้าใจเสียด้วย
พระเยซูทรงสอนชัดเจนตั้งแต่แรกว่า พระองค์มาเป็นที่หนึ่งก่อนครอบครัว และตรงนี้ทรงบอกว่า ไม่ต้องกลัวคนที่ฆ่าได้แค่ร่างกาย แต่ให้กลัวพระองค์ผู้ที่มีอำนาจเหนือร่างกายและจิตวิญญาณ
และพื้นฐานของความกลัวหรือความยำเกรงนี้ไม่ใช่อยู่ที่ความกลัวลาน แต่เป็นความยำเกรงพระเจ้าที่มั่นใจว่า ชีวิตของเราอยู่ในการดูแลของพระองค์ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเรา พระองค์ทรงทราบหมด เรายังมั่นใจว่า เรามีค่าในสายพระเนตรของพระเจ้าเป็นอย่างยิ่ง ทรงยืนยันด้วยการพูดถึงจำนวนผมที่หลุดร่อน เกิดใหม่ทุกวัน พระองค์ทรงทราบจำนวน ของผมเราทุกวินาทีแม้จะมีการเปลี่ยนแปลงโดยที่เราไม่รู้เลย!!
พระเจ้าของเราทรงเป็นพระเจ้าที่เป็นเจ้าแห่งจำนวนอันมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นดาวบนท้องฟ้า หรือ เซลต่าง ๆ ในร่างกายที่นับไม่ถ้วน หน้าที่ของเราคือเข้าใจพระองค์ให้ได้ว่า สิ่งที่ทรงบอกไว้ในโลกโบราณนั้น ยิ่งมีความหมายมากขึ้นในสมัยนี้ที่รู้รายละเอียด ความเป็นไปของสิ่งสารพัดทั้งที่ใหญ่โตมากและเล็กน้อยยิ่งกว่าคำว่านาโน

10:32-33 การยอมรับพระเจ้าต่อหน้าผู้อื่น
การยอมรับพระเจ้าต่อหน้าคนอื่น คือการแสดงตนว่าเป็นคนของพระเจ้า การที่เราจะเก็บพระเจ้าเงียบไว้คนเดียวนั้น อาจทำให้คนอื่นเข้าใจผิดว่าเราไม่ได้เป็นคนของพระองค์ ทุกอย่างในชีวิตของเราจะต้องให้การกับพระเจ้า 2 โครินธ์ 5:10

10:34-36 ความแตกแยกในครอบครัวเพราะพระเยซู
แม้พระเมสสิยาห์จะเป็นผู้นำสันติสุขมาให้ เหมือนอย่างที่บอกว่าพระองค์ทรงเป็น ซาร์ชาโลม ราชาแห่งสันติสุข แต่ผู้คนในโลกจะแยกตัวออกจากกันอย่างเห็นได้ชัด พวกหนึ่งจะตามพระองค์ไป อีกพวกจะตามสิ่งที่เขาเลือก เป็นทางสองทางที่ไม่มีทางมาพบกันได้ ต้องเลือกทางใดทางหนึ่ง เราพบว่า ในประเทศที่ห้ามการเชื่อพระเยซู ยังมีการทำให้พี่น้อง พ่อแม่ในครอบครัวกลายเป็นสายลับให้กับรัฐบาลเพื่อจับตัวใครก็ตามที่เชื่อไปลงโทษ เป็นเรื่องเจ็บปวดที่คนในครอบครัวจะหันหลัง กลายเป็นศัตรูต่อกัน
 

10:37-39 การเป็นศิษย์ของพระเยซู
ผู้ที่ทำให้คนในครอบครัวเดียวกันแตกแยกกัน ก็คือพระเยซูนั่นเอง การที่พระองค์กล่าวว่า คนที่รักครอบครัวมากกว่ารักพระองค์ ก็ไม่คู่ควรกับพระองค์ เป็นสิ่งที่ดูเหมือนโหดร้าย แต่ความจริงแล้ว รู้ไหมว่า คนที่รักพระเจ้าอย่างแท้จริง เขาจะรักคนในครอบครัวได้อย่างที่พระองค์ทรงรัก ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเกลียดชังเขาเพียงใด
ครอบครัวที่คนหนึ่งได้มาติดตามพระเจ้าจริง เขาจะเป็นห่วงครอบครัว และทำทุกอย่างเพื่อช่วยให้ครอบครัวได้พบความจริง เขาจะมุ่งมั่นที่จะนำครอบครัวมาสู่ความรอด ดูมัทธิว 13:53-58, มาระโก 3:21
การรับกางเขน การติดตามพระเยซูเป็นเรื่องที่เราต้องตัดสินใจ พระเยซูทรงยื่นการเลือกนี้ให้เราได้คิดใคร่ครวญ และตัดสินใจ
นี่ไม่ได้หมายความว่า เราจะไม่รักคนในครอบครัว ไม่ดูแล ไม่เอาใจใส่ แต่ทรงชวนให้ทุกคนรักพระเจ้ามากกว่า (เอเฟซัส 6:2, 4; 1 ทิโมธี 5:8; กิจการ 5:29)


10:40-42 การต้อนรับคนของพระเจ้า
การตอบรับดังกล่าวนอกจากจะเป็นการรับคำของคนที่พระเจ้าทรงส่งมา ก็ยังเป็นการมีน้ำใจรับแขกในเวลาเดียวกัน พระเจ้าทรงให้พระพรที่มีในคนของพระองค์ ได้ส่งต่อไปยังคนที่รับพระดำรัสของพระเจ้า นี่เป็นพระพรแบบที่เราไม่คาดว่าจะได้รับ เมื่อคนของพระเจ้าเป็นพยาน และเพื่อนของเขา หรือคนที่ฟังอยู่ รับคำนั้น เขาก็จะได้รับพระพรเป็นการตอบแทน!!
ที่ลึกไปกว่านั้น หากเขารับคนของพระเจ้า ยอมรับสิ่งที่เป็นพยานให้เขาฟัง เท่ากับรับพระเยซู และรับพระบิดาด้วย ! นี่เป็นความมหัศจรรย์ของการเป็นพยานเรื่องพระเยซู
และหากต้อนรับคนของพระเจ้าด้วยน้ำแก้วเดียวอย่างเต็มใจ ก็ยังได้รับพระพรอีก เพราะเท่ากับกำลังยื่นน้ำเย็นให้กับพระเจ้าเอง ..

พระคำเชื่อมโยง

1* ลูกา 6:13
2* ยอห์น 1:42
3* กิจการ 1:13
4* กิจการ 1:13; ยอห์น 13:2; 26
5* มัทธิว 4:15; ยอห์น 4:9
6* มัทธิว 15:24; เยเรมีย์ 50:6
7* ลูกา 9:2; มัทธิว 3:2
8* กิจการ 8:18
9* 1 ซามูเอล 9:7; มาระโก 6:8
10* 1 ทิโมธี 5:18
11* ลูกา 10:8
12* ลูกา 10:5-6
13* ลูกา 10:5; สดุดี 35:13
14* มาระโก 6:11; กิจการ 13:51


15* มัทธิว 11:22,24
16* ลูกา 10:3; เอเฟซัส 5:15; ฟีลิปปี 2:14-6
17* มาระโก 13:9; กิจการ 5:40; 22:19; 26:11
18* 2 ทิโมธี 4:16
19* ลูกา 2:11-12; 21:14-15
20* 2 ซามูเอล 23:2
21* มีคาห์ 7:6
22* ลูกา 21:17; มาระโก 13:13
23* กิจการ 8:1; มาระโก 13:10; มัทธิว 16:28
24* ยอห์น  15:20
25* ยอห์น  8:48, 52
26* มาระโก 4:22
27* กิจการ 5:20
28* ลูกา 12:4-5


29* ลูกา 12:6-7
30* ลูกา 21:8
31* ลูกา 12:24
32* ลูกา 12:8; วิวรณ์ 3:5
33* 2 ทิโมธี 2:12
34* ลูกา 12:49
35* มีคาห์ 7:6
36* ยอห์น  13:18
37* ลูกา 14:26
38* มาระโก 8:34
39* ยอห์น  12:25
40* ลูกา 9:48
41* 1 พงศ์กษัตริย์ 17:10
42* มาระโก 9:41

โฮเชยา 12 คดีฟ้องร้องเอฟราอิม

ทบทวนอดีต
1 เอฟราอิมวิ่งไล่ตามลม และไล่ตามลมตะวันออก
เขายังคงเพิ่มพูนการมุสาและความรุนแรง 
เขาไปทำสัญญากับอัสซีเรีย
แล้วยังส่งน้ำมันมะกอกไปยังอียิปต์
 2 พระยาห์เวห์ทรงมีข้อฟ้องร้องยูดาห์
พระองค์กำลังจะลงโทษยาโคบตามวิถีทางของเขา
พระองค์ทรงตอบแทนเขาตามการกระทำของเขา 

3 ในครรภ์มารดา เขาก็ฉวยส้นเท้าของพี่ชาย
และเมื่อเติบโตขึ้นมาเขาก็ได้สู้กับพระเจ้า
4 ยาโคบได้สู้กับทูตสวรรค์ และเอาชนะท่านได้
เขาร้องไห้อ้อนวอนขอเมตตา
พระองค์ทรงพบเขาที่เบธเอล
และต่อมาพระเจ้าได้ตรัสกับเขาที่นั่น 

 

ทบทวนอดีต
12:1 กลับไปยังบาปอย่างเดิม เอฟราอิมแทนที่จะกลับใจแต่กลับไปทำสิ่งที่ยิ่งยากขึ้นไปอีก  เขาไปทำสัญญาไมตรีกับทั้งอียิปต์ และอัสซีเรีย  การส่งน้ำมันมะกอกไปนั้น เป็นสัญญาว่าจะซื่อตรงต่ออียิปต์ 

12:2 พระเจ้าทรงบอกวิธีการตัดสินลงโทษของพระองค์ นั่นคือ ตัดสินตามการกระทำของพวกเขา
พระองค์ทรงกล่าวถึงยาโคบ ..

12:3-4 นั่นคือ ยาโคบเองได้ทำตัวคดโกงมาตั้งแต่อยู่ในท้อง(ปฐมกาล 25:26)  นี่เป็นสิ่งที่สื่อว่า เขาต้องการเป็นพี่หัวปี   แล้วเขาก็หลอกพ่อว่าเขาเป็นเอซาว เพื่อจะได้พรลูกหัวปี (ปฐมกาล 27:35-36)
ต่อมาก็สู้กับทูตสวรรค์ของพระเจ้า และยังเอาชนะได้ด้วย ไม่ยอมให้ไปนอกจากจะอวยพรเขาก่อน (ปฐมกาล 32)  ในวันนั้น เขาขอเมตตาจากพระเจ้า นี่แสดงว่าเขาตระหนักแล้วว่า  ชีวิตของเขาต้องขึ้นอยู่กับพระเจ้า  และเมื่อเขาขอ เขาก็ได้พรจากพระเจ้า(ปฐมกาล 32:29) 
เป็นคนกล้าที่จะขอ

5  พระยาห์เวห์ทรงเป็นองค์จอมทัพ
พระนามที่ควรจดจำคือพระยาห์เวห์ 
6 แต่เจ้าต้องกลับมาหาพระเจ้าของเจ้า
ผดุงรักษาความรักและความยุติธรรม
และวางใจหวังใจในพระเจ้าของเจ้าเสมอไป 

12:5 แล้วพระเจ้าก็ทรงประกาศขึ้นมาว่า ทรงเป็นองค์จอมทัพ พระนามคือพระยาห์เวห์  
12:6 ทรงเรียกให้พวกเขากลับมาหาพระเจ้า กลับไปหาความรัก ความยุติธรรม และการวางใจพระเจ้า 

7  พวกพ่อค้าใช้ตาชั่งไม่เที่ยง
เขาโกงกับมือเลยทีเดียว 
8 แต่เอฟราอิมกล่าวว่า
“ดูสิ ฉันร่ำรวยขึ้นมามากแค่ไหน
ฉันทำขึ้นมาด้วยตัวเอง
ไม่มีใครมาพบความชั่วหรือบาป
จากแรงงานของฉันเลย” 

12:7-8  คนที่ขายของแล้วโกงต่อหน้าต่อตา ก็เป็นเหมือนคนที่โฮเชยากำลังพูดถึง ซึ่งไม่ได้มีแค่ในยุคนั้น แต่มีทุกวัน ทุกเวลา เกิดขึ้นในโลก  พ่อค้ายิวจำนวนไม่น้อยที่โกงซึ่ง ๆ หน้าโดยที่ลูกค้าไม่รู้ตัว แถมยังอวดด้วยว่า ตนเองฉลาดหลักแหลม  พอใจในวิธีการของตัวเองเพราะทำให้ตนรวยขึ้นมา 

9 เราเป็นพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า
ตั้งแต่ครั้งเจ้าอยู่ในอียิปต์ 
และเราจะให้เจ้ากลับไปอยู่ในเต็นท์อีกครั้ง
เหมือนเวลาที่มีเทศกาลตามที่กำหนดไว้ 
10 เรากล่าวผ่านผู้เผยพระดำรัส
และให้จินตภาพแก่พวกเขาครั้งแล้วครั้งเล่า
เรามอบปริศนาผ่านผู้เผยพระดำรัส
11 ในเมื่อกิเลอาดเต็มด้วยความชั่ว(เทวรูป)
ทั้งหมดไร้ค่าและจะสูญสิ้นไปเป็นแน่ 
พวกเขาถวายวัวผู้ในกิลกาล
แต่แท่นบูชาของเขา
จะกลายเป็นแค่กองหินบนทุ่งที่ไถแล้ว
.

12:9 พวกเขาลืมไปแล้วหรือว่า พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าของเขาตั้งแต่ที่อยู่ในอียิปต์  พระองค์จะให้เขากลับไปอยู่อย่างคนเร่ร่อนอีกก็ได้   คล้ายกับเทศกาลอยู่เพิง  เพื่อให้เขาไม่ลืมว่า เขามาจากไหน พระเจ้าทรงอยู่กับพวกเขาอย่างไร  ทรงช่วยพวกเขาขนาดไหนจนกระทั่งเติบโตเป็นชนชาติอิสราเอล 

12:10 พระองค์ทรงเตือนด้วยว่า ทรงส่งผู้เผยพระดำรัสมาไม่หยุดหย่อน  พวกเขามีทั้งพระดำรัส มีนิมิต กล่าวคำด้วยปริศนาแก่คนอิสราเอล  ถึงขนาดนี้แล้ว ผู้คนก็ยังไม่ฟังพระสุรเสียงของพระองค์ 

12:11 เหตุการณ์ที่เกิดในกิเลอาดนั้น เป็นเครื่องเตือนความทรงจำว่า พวกเขาเสื่อมทรามขนาดไหน
ที่กิลกาลพวกเขาก็ถวายเครื่องบูชาอย่างไม่อั้น
พระเจ้าทรงใช้เมืองทั้งสองมาพร้อม ๆ กันเพื่อบอกถึงความชั่วที่เกิดขึ้นในทั้งประเทศ และพระเจ้าจะทรงทำให้เห็นว่า แท่นบูชาเหล่านั้นก็แค่กองหิน ไม่มีค่าอย่างที่พวกเขาเข้าใจ

ทเรียนจากบรรพบุรุษ
12 ยาโคบหนีไปยังแผ่นดินอารัม
อิสราเอลทำงานเพื่อจะได้ภรรยา
เขาเลี้ยงดูฝูงแกะเพื่อจ่ายเป็นค่าตัวของเธอ 
13  พระยาห์เวห์ทรงนำอิสราเอลจากอียิปต์
โดยผู้เผยพระดำรัสท่านหนึ่ง
และทรงให้ผู้เผยพระดำรัสนั้นดูแลพวกเขา
14  เอฟราอิมได้ยั่วยุพระองค์
ดังนั้น พระยาห์เวห์ของเขาจะปล่อยให้ความผิด
เนื่องจากการนองเลือดตกอยู่กับเขา
และจะทรงตอบสนอง
เพราะเขาหมิ่นประมาทพระองค์ 


บทเรียนจากบรรพบุรุษ
12:12 ไม่รู้หรือว่า ยาโคบซึ่งเป็นบรรพบุรุษนั้น เป็นคนที่หนีความผิดไปยังแดนไกล และทำงานเพื่อจะได้มีภรรยา ทำงานที่ต่ำต้อยในสายตาของผู้คน คือการเลี้ยงแกะ เขาเป็นคนเร่ร่อน เมื่อไปอยู่อียิปต์ ครอบครัวของเขาจึงกลายเป็นชนชาติใหญ่โตขึ้น (เฉลยธรรมบัญญัติ 26:5)

12:13 แต่พวกเขาถูกข่มเหง   จนกระทั่งทรงส่งโมเสสไปนำพวกเขาออกมา และให้ดูแลจนกระทั่งได้เข้ามายังแผ่นดินที่ทรงสัญญา  แต่พวกเขาไม่ได้เชื่อฟังผู้รับใช้ของพระเจ้า (ข้อ 10)   ตั้งแต่สมัยของโมเสสเรื่อยมา เขาไม่รู้ว่า คนที่พระเจ้าทรงส่งมานั้น ช่วยดูแล ป้องกันไม่ให้พวกเขากลับไปเป็นทาสอีก อิสราเอลทั้งชาติยั่วยุพระเจ้าให้กริ้ว พวกเขาไร้ความกตัญญู เป็นคนทั้งโอหัง และโง่เขลา

พระคำเชื่อมโยง

1* โยบ 15:2-3; 2 พงศ์กษัตริย์ 17:4 ;
อิสยาห์ 30:6
2* มีคาห์ 6:2
3* ปฐมกาล 25:26; 32:24-28
4* ปฐมกาล 28:12-19; 35:9-15
5* อพยพ 3:15

6* มีคาห์ 6:8
7* อาโมส 8:5
8* วิวรณ์ 3:17
9* เลวีนิติ 23:42
10* 2 พงศ์กษัตริย์ 17:13

11* โฮเชยา 6:8; 9:15
12* ปฐมกาล 28:5;29:20,28
13* อพยพ 12:50-51; 13:3
14* เอเสเคียล 18:10-13; ดาเนียล 11:18

โฮเชยา 11 รักที่ไม่ยั้งหยุด

พระเจ้าทรงดีต่อพวกเขามาตั้งแต่ต้น
1 เมื่ออิสราเอลยังเป็นเด็ก เรารักเขา
เราเรียกลูกชายของเราออกมาจากอียิปต์ 

2 ยิ่งเรียกพวกเขามากเท่าไร
เขายิ่งหนีห่างไปจากเรามากเท่านั้น
พวกเขาเฝ้ากราบไหว้บูชาบาอัล
และเผาเครื่องบูชาให้รูปเคารพต่าง ๆ

3  เราเอง เป็นผู้ที่สอนให้เขาเดิน
เราอุ้มพวกเขาไว้ในอ้อมแขนของเรา 
แต่พวกเขาไม่ตระหนักเลยว่า
เราเป็นผู้บำบัดรักษาเขา
4 เราได้นำพวกเขาไปด้วยสายใยของมนุษย์ 
ด้วยเชือกแห่งรักสำหรับพวกเขา
เราคือผู้ที่ปลดแอกจากคอของพวกเขา
เราก้มลงป้อนอาหารให้พวกเขา

พระเจ้าทรงดีต่อพวกเขามาตั้งแต่ต้น
11:1 เมื่ออิสราเอลยังเป็นเด็ก เมื่อเขาเริ่มต้นจากครอบครัวยาโคบ และมีจำนวนมากขึ้น พระเจ้าก็รักแล้ว  พระองค์ทรงถือว่า ทรงเป็นพระบิดาของพวกเขา พวกเขาเป็นคนในครอบครัวของพระองค์ พระเจ้าทรงไถ่พวกเขาออกจากอียิปต์และนำเข้ามาอยู่ในพันธสัญญาของพระองค์ เป็นผู้ที่มีความสัมพันธ์กัน คำว่า ลูก มีความหมายถึงว่า เป็นผู้รับมรดก เราจะเห็นความเอาใจใส่ ห่วงใยที่พระเจ้ามีต่อพวกเขาพิเศษกว่าชนชาติใด

11:2 แต่เมื่อพระเจ้าเรียก ก็มีอำนาจอื่นที่พยายามจะนำให้เขาออกจากพระเจ้า เขาออกไปจากพระพักตร์พระองค์ และสิ่งที่เรียนจากบัญญัติโมเสสในเรื่องการนมัสการ การถวายเครื่องหอม ก็กลับเอาไปใช้กับบาอัล  และรูปเคารพ สิ่งที่ควรถวายพระเจ้ากลับเอาไปให้สิ่งที่ไม่มีชีวิต 

11:3 พระเจ้าทรงกระทำกับพวกเขาในฐานะที่ทรงเป็นพระบิดา ” เราสอนเดิน เราอุ้ม เรารักษา …” แม้กระทั่งเมื่อป่วย พระองค์ก็ทรงรักษา แต่พวกเขาไม่ได้รับรู้เรื่องนี้เลย

11:4 เรานำไปด้วยสายใยมนุษย์ เชือกแห่งรัก คือพวกเขาต้องได้รับคำสอนที่จะช่วยให้เขาอยู่ได้ พระองค์ให้เขามีขอบเขตการใช้ชีวิตที่เหมาะสม
ในฐานะคนที่มีเสรีภาพ ไม่เป็นทาสของอียิปต์อีกต่อไป
ทรงน้อมพระกายลงมาป้อนพวกเขา แสดงถึงความใกล้ชิดอย่างยิ่ง


พระหัตถ์ที่เข้มงวด
5  อิสราเอลจะไม่กลับไปยังแผ่นดินอียิปต์
แต่กษัตริย์อัสซีเรียจะปกครองเหนือพวกเขา
เพราะพวกเขาไม่ยอมกลับใจ
6  จะมีดาบกวัดแกว่งทั่วเมืองต่าง ๆ 
มันจะทำลายและผลาญประตูเมืองของพวกเขา
ทำให้แผนการของเขาย่อยยับไป
7 ประชากรของเราตั้งใจหันไปจากเรา
แม้ว่าพวกเขาร้องเรียกถึงองค์ผู้สูงสุด
แต่ไม่มีความจริงใจเลย

พระหัตถ์ที่เข้มงวด
11:5 เป็นเพราะเขาไม่ใส่ใจพระองค์ ไม่กลับใจ ไม่ฟังพระสุรเสียง พวกเขาจะได้นายใหม่เป็นอัสซีเรียที่โหดกว่าอียิปต์
คำว่ากลับใจในที่นี้ ฮีบรูว่า שׁוּב ชูฟ หมายถึงการกลับมาอีกครั้ง หันกลับมา พวกเขาไม่ยอมหันกลับมาหาพระเจ้า จึงต้องไปอยู่ใต้อัสซีเรีย

11:6 พวกเขาเจอศัตรูที่บุกเข้ามาทำลายเมืองต่าง ๆ ไม่ใช่เมืองเดียว แต่เป็นจำนวนมาก ศัตรูเหล่านี้มาสกัดแผนการที่พวกเขาทำต่อเหล่ารูปเคารพทั้งหลาย

11:7 เขาเคยชินกับการที่จะออกไปจากพระเจ้า  ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่เอาพระเจ้า เราเห็นภาพนี้ในโลกยุคใหม่ชัดเจน ไม่มีความแตกต่างกัน การร้องหาพระเจ้า ไม่ได้หมายความว่า ใจสำนึกผิด พวกเขาเพียงต้องการประโยชน์จากพระองค์

พระทัยสงสารขณะที่ทรงลงไม้เรียว
8 โอ เอฟราอิม เราปล่อยเจ้าไปได้อย่างไร?
โออิสราเอล เรายกเจ้าให้ผู้อื่นได้อย่างไร?
เราจะทำให้เจ้าเป็นเหมือนอัดมาห์ได้อย่างไร?
เราจะทำกับเจ้าเหมือนกับเศโบยิมได้อย่างไร? 
ใจของเราฉีกขาดอยู่ข้างใน
ความเมตตาของเราถูกเร้าขึ้นมา
9  เราจะไม่ลงโทษเจ้าตามความกริ้วของเรา
เราจะไม่ทำลายเอฟราอิม

เพราะเราคือพระเจ้า ไม่ใช่มนุษย์
เราเป็นองค์ผู้บริสุทธิ์ท่ามกลางเจ้า
และเราจะไม่มาพร้อมกับความสยดสยอง

พระทัยสงสารขณะที่ทรงลงไม้เรียว
11:8-9  จะปล่อยไปได้อย่างไร ?  พระทัยพระเจ้า!! พระเมตตาของพระเจ้าถูกเร้าขึ้นมา พระองค์ไม่อาจจะทำลายพวกเขาจนสูญสิ้นไปหมด
เป็นความรักที่กดไว้ไม่ได้   
เมืองอัดมาห์ และเมืองโศโบยิม เป็นเหมือนเมืองพี่น้องของโสโดม โกโมราห์ (ปฐมกาล 10:19; 14:1-4; เฉลยธรรมบัญญัติ 29:23) .. ไม่ได้กลับใจ แต่ถูก ทำลายแบบไม่เหลือสักคน เหลือแต่ซาก ไร้สิ่งมีชีวิต

พระเจ้าทรงเปลี่ยนใจว่า จะไม่ทรงลงโทษ ตามความกริ้ว ….
เพราะถ้าตามความกริ้ว เอฟราอิมจะไม่เหลือ
ความเมตตาถูกเร้าขึ้นมา …​พระองค์จะทรงสำแดงความอดกลั้นเพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า ไม่ใช่มนุษย์ พระองค์ทรงเป็นองค์บริสุทธิ์ท่ามกลางอิสราเอล พระองค์จะไม่ทรงลงโทษจนกระทั่งไม่เหลือ


พวกเขาจะกลับมา
10 พวกเขาจะติดตามพระยาห์เวห์ 
พระองค์จะทรงส่งพระสุรเสียงดั่งสิงโต
เมื่อพระองค์ทรงคำรามนั้น
ด้วยตัวสั่นสะท้าน 
ลูก ๆ ของพระองค์จะกลับมาจากทิศตะวันตก
11 พวกเขาจะตัวสั่นเทาเหมือนกับนกจากอียิปต์ 
และเหมือนกับนกพิราบจากอัสซีเรีย
แล้วเราจะพาพวกเขากลับไปยังบ้านเกิด
พระยาห์เวห์ทรงประกาศดังนี้ 

ล้อมพระองค์ด้วยการโกหก
12  เอฟราอิมล้อมเราด้วยคำมุสา
วงศ์วานอิสราเอลล้อมเราด้วยการหลอกลวง
ยูดาห์ยังคงออกจากทางของพระเจ้า
และไม่ซื่อตรงต่อองค์ผู้บริสุทธิ์ 

พวกเขาจะกลับมา
11:10-11 พระองค์จะทรงลงโทษเขาเหมือนสิงโตที่ฉีกขย้ำเหยื่อ (5:14). แต่ในอนาคต พระองค์จะทรงใช้เสียงคำรามเรียกพวกเขากลับมา เสียงคำรามนั้นคืออะไร? การที่พวกเขาเป็นเหมือนนกจากอียิปต์ จากอัสซีเรีย เป็นภาพของการหนีกลับมา ในอนาคต ผู้คนจะกลับมายังแผ่นดินอิสราเอลเหมือนนก .. คิดถึงการกลับมาสู่อิสราเอลด้วยเครื่องบิน .. พอถึงตอนนี้ เราเห็นภาพว่า โฮเชยาไม่ได้พูดถึงอนาคตอันใกล้ของรุ่นเขา แต่ยังพูดถึงอนาคตล่วงหน้าหลายพันปีของพวกเขาด้วย

ล้อมพระองค์ด้วยการโกหก
11:12 อิสราเอลไม่ได้กลับใจจริง   ข้อนี้เป็นเหมือนข้อที่หนึ่งในบทต่อไป
พระเจ้าตรัสว่า เอฟราอิมมุสาต่อพระองค์ไม่ยั้งหยุด พยายามที่จะหลอกลวงพระองค์ ทรงถูกคนเหล่านี้ล้อมเอาไว้ ไม่ว่าจะทรงมองไปทิศใดก็เจอแต่คนที่คดโกง ไม่ซื่อตรง ทั้งอิสราเอลทางเหนือ และยูดาห์ทางใต้ไม่ได้ต่างกันเลย
พระองค์ทรงเป็นองค์ผู้บริสุทธิ์ แต่พวกเขาปฏิบัติต่อพระองค์ราวกับทรงเป็นเหมือนกับพวกเขา ต่ำกว่าพวกเขาอีก เพราะคิดว่าจะหลอกพระองค์ได้

พระคำเชื่อมโยง

1* มัทธิว 2:15; อพยพ 4:22-23
2* 2 พงศ์กษัตริย์ 17:13-15
3* เฉลยธรรมบัญญัติ 1:31; 32:10-11;
อพยพ 15:26
4* เลวีนิติ 26:13; สดุดี 78:25
5* โฮเชยา 7:16; 8:13
6* โฮเชยา 13:16; 10:14

7* เยเรมีย์ 3:6-7; 8:5
8* เยเรมีย์ 9:7; ปฐมกาล 14:8; 19:24-25
9* กันดารวิถี 23:19
10* โยเอล 3:16
11* อิสยาห์ 11:11; 60:8; เอเสเคียล 28:25-26; 34:27-28
12* วิวรณ์ 3:21

โฮเชยา 10 หลงทางเพราะมั่งคั่ง

ผลองุ่นและลูกวัว
1 อิสราเอลเป็นเถาองุ่นดก
ออกผลแผ่ออกไป ยิ่งมีผลดกเท่าไร
ก็ยิ่งสร้างแท่นบูชามากขึ้นเท่านั้น
ยิ่งแผ่นดินอุดมเกิดพืชพันธุ์ดีขึ้นเท่าไร
พวกเขาก็ยิ่งตกแต่งเสาหินมากขึ้นเท่านั้น  
2 จิตใจของพวกเขาแบ่งออกไป
บัดนี้ พวกเขาต้องรับโทษ 
พระยาห์เวห์จะทรงทำลายแท่นบูชา
 และทำลายเสาหินของพวกเขา 
 3  เวลานี้ พวกเขากำลังกล่าวว่า
“เราไม่มีองค์กษัตริย์!
เพราะเราไม่ได้ยำเกรงพระยาห์เวห์
แต่หากว่าเรามีกษัตริย์ ท่านจะทำอะไรให้เราได้เล่า?
 4 พวกเขาใช้คำพูด
กล่าวคำสาบานลวงขณะที่ทำสัญญาร่วมมือกัน 
ดังนั้น จึงเกิดการฟ้องร้องขึ้น
ราวกับวัชพืชพิษในทุ่งนาที่ไถแล้ว
5 ผู้ที่อาศัยในสะมาเรีย
ต่างกลัว”รูปลูกโคแห่งเบธอาเวน” 
ความจริงคือ
ผู้คนจะร้องคร่ำครวญถึงความอลังการของมัน
พวกปุโรหิตคลั่งไคล้รูปนั้นจนตัวสั่น
เพราะพวกมันจะต้องจากพวกเขาไปเป็นแน่
6 เทวรูปนั้นจะถูกนำไปยังอัสซีเรีย
เป็นเครื่องบรรณาการถวายให้กับกษัตริย์นักรบ
เอฟราอิมจะต้องอับอาย
อิสราเอลจะต้องละอายที่ไปปรึกษากับเทวรูปนั้น 

ผลองุ่นและลูกวัว
10:1 การเริ่มต้นของชนชาติอิสราเอลนั้นดูงดงาม พระเจ้าทรงเปรียบพวกเขาเหมือนองุ่นลูกดก
พระเจ้าทรงอวยพระพรเขา แต่แล้ว สิ่งที่พลิกคือ
ยิ่งรวย กลับยิ่งไปสร้างแท่นบูชาถวายบาอัล  ปักเสาหิน แทนที่จะรักพระเจ้ากลับห่างพระองค์  เขาตอบแทนพระเจ้าอย่างน่ารังเกียจมาก

10:2 นี่เป็นการบ่งบอกใจที่ไม่ซื่อตรงต่อพระเจ้า มีความหมายว่าใจที่แยกออก สองใจ  แต่พระเจ้าทรงแจ้งชัดเจนว่า จะทรงทำลายสิ่งก่อสร้างเหล่านั้น

10:3 ช่วงนั้นน่าจะเป็นการล้มเหลวของกษัตริย์อิสราเอล กษัตริย์องค์สุดท้ายที่พวกเขาแต่งตั้งขึ้นมาเองคือ โฮเชยาโอรสของเอลาห์ (ไม่ใช่โฮเขยาที่เขียนหนังสือเล่มนี้) (อ่าน 2 พงศ์กษัตริย์ 17)

10:4 โดยรวมแล้ว ประชาชนไม่ถือสัจจะเป็นหลักในการทำธุรกิจ ติดต่อกัน พวกเขาทำสัญญาแต่แล้วก็โกง หักหลังกัน  พระเจ้าทรงเปรียบพฤติกรรมเหล่านี้เหมือนกับวัชพืชที่เกิดในทุ่งที่ไถแล้ว ซึ่งไม่ควรจะเกิด การคดโกงเป็นเหมือนวัชพืชที่ลามเข้าไปในสังคม

10:5 เทวรูปลูกโคแห่งเบธอาเวนเป็นสิ่งที่ผู้คนคลั่งไคล้ เหมือนกับเหล่าคนชอบเช่าพระ พวกเขามองเห็นว่ามันงดงาม น่าดู ใจของพวกเขาก็กระสันหารูปเหล่านี้  

10:6 เมื่ออัสซีเรียเข้ามาโจมตีอิสราเอล สิ่งที่พวกเขาสนใจจะเอาไปคือเทวรูปต่าง ๆ
พวกเขาเป็นคนที่สนใจรูปเคารพอยู่แล้ว และถือว่าเป็นของบรรณาการด้วย  และสิ่งที่น่าอับอายสุดๆ ก็คือ พวกเขาละทิ้งพระเจ้าไปปรึกษารูปเคารพที่ถูกแบกไปอัสซีเรีย  และยังถูกอัสซีเรียกวาดไปเป็นเชลยอีก  (โฮเชยา 5:13; 7:8-11; 8:9-10)
หากอิสราเอลไปแบกแอกร่วมกับใคร พวกเขาก็ต้องตามความเชื่อของคนเหล่านั้นด้วย  เพราะความเชื่อกับการเมืองนั้นแทบจะเป็นเรื่องเดียวกันในสมัยโบราณ การไปเป็นไมตรีกับพวกเขาเท่ากับก้มหัวให้กับพวกเทพที่ประเทศเหล่านั้นนับถือ 

กษัตริย์ที่หายไป
7 กษัตริย์แห่งสะมาเรียจะถูกตัดออกไป
เหมือนกิ่งไม้ที่ล่องลอยไปบนผิวน้ำ 
8  สถานบูชาบนที่สูงแห่งอาเวน
ซึ่งเป็นบาปของอิสราเอล จะต้องถูกทำลาย
จะมีพืชหนาม พุ่มหนามเกิดเลื้อยขึ้นคลุมแท่นบูชาของพวกเขา พวกเขาจะกล่าวแก่ภูเขาว่า “จงปกคลุมเราไว้”
พูดกับเนินเขาว่า “ช่วยล้มทับเราเถิด

กษัตริย์ที่หายไป
10:7 ราชวงศ์ที่เคยโด่งดัง เป็นที่นับถือจะหายไปราวกับกิ่งไม้ ไม่มีใครจำได้อีก ไม่ใช่หายไปช้า ๆ แต่ไปอย่างรวดเร็ว

10:8 อัสซีเรียจะเป็นผู้ทำลายที่สูงซึ่งอิสราเอลสร้างไว้ที่อาเวน  พระเจ้าเคยบัญชาให้พวกเขาทำลายที่สูงเหล่านี้ แต่พวกเขาไม่เชื่อฟัง (เฉลยธรรมบัญญัติ 12:2-3)  อัสซีเรียจึงทำให้ตามที่พระเจ้าทรงประสงค์ ที่เหล่านี้จะกลายเป็นที่ร้างเปล่า  อิสราเอลจะเห็นและเริ่มกลัวการลงโทษของพระเจ้า  เรียกร้องให้ช่วยปกปิดพวกเขาไว้ (ลูกา 23:30; วิวรณ์ 9:6)
 

อิสราเอลแพ้เพราะบาป
9 “อิสราเอลเอ๋ย เจ้าทำบาปมาตั้งแต่สมัยกิเบอาห์ 
และเจ้าก็ยังทำแบบนั้นไม่หยุด
สงครามไม่ได้จัดการคนที่ทำการอธรรมในกิเบอาห์หรือ?
10 เราจะลงโทษพวกเขาตามที่เราเห็นควร
ชาติต่าง ๆ จะรวมตัวกันต่อสู้พวกเขา
และจับเขาจำจองเพราะความผิดบาปสองกระทงของพวกเขา” 
11 เอฟราอิมเป็นลูกวัวที่ถูกฝึกอย่างดี  มันชอบนวดข้าว
แต่เราจะวางแอกลงบนคออันงดงามของมัน
เราจะให้เอฟราอิมแบกแอกไป
ยูดาห์เป็นผู้ไถดิน ยาโคบจะเป็นผู้ไถกลับหน้าดิน

10:9 ตั้งแต่สมัยผู้วินิจฉัย อิสราเอลได้ทำบาปชั่วมากและก็ชินชากับการทำบาปนั้น (ผู้วินิจฉัย 19-20; โฮเชยา  9:9) พระเจ้าทรงสอนพวกเขาในสงครามครั้งนี้ แต่พวกเขาไม่จำ

10:10  พระเจ้าจะทรงลงโทษเขาในเวลาของพระองค์ ทรงใช้ชาติอื่น ๆ เข้ามาจัดการกับบาปของพวกเขา  มีความเห็นเรื่องบาปผิดสองกระทงนี้ อาจจะเป็นบาปที่กิเบอาห์ และที่เบเธล หรือเป็นบาปผิดที่ละทิ้งพระเจ้า แล้วหันไปหารูปเคารพ ซึ่งส่งผลให้เกิดบาปอีกมากมาย

10:11 ลูกวัวชอบนวดข้าวเพราะเป็นงานเบา และได้กินข้าวไปด้วยเวลานวด  แต่มันจะมีแอกมาวางไว้..เป็นภาพของอิสราเอลที่จะถูกต่างชาติบังคับให้ทำงานหนัก  ไม่เว้นแม้ยูดาห์และที่ใช้คำว่ายาโคบคือหมายถึงทั้งชาติ
ในบริบทนี้ การนวดข้าวคือการรับใช้พระเจ้า ส่วนการไถดินคือการลงวินัยจากพระเจ้าที่พวกเขาต้องเผชิญผ่านหายนะของชาติและการเป็นเชลย

12 จงหว่านความเที่ยงธรรมให้พวกเจ้าเอง
และเกี่ยวเก็บรักมั่นคง 
จงไถพรวนดินที่ถูกทิ้งเอาไว้
นี่เป็นเวลาที่จะแสวงหาองค์พระยาห์เวห์
จนกว่าพระองค์จะเสด็จมา
และเทความเที่ยงธรรมลงมาให้เจ้าเหมือนกับสายฝน 

13 เจ้าได้ปลูกความชั่วช้า
และเก็บเกี่ยวความอธรรม
เจ้าได้กินผลของความมุสา
เพราะเจ้าเชื่อวางใจทางของตนเอง
และทหารจำนวนมากของเจ้า
14 เสียงกระหึ่มของสงครามดังขึ้นต่อสู้ประชากรของเจ้า
และป้อมปราการทั้งสิ้นของเจ้า
จะถูกทลายลงในวันแห่งสงคราม
เหมือนกับที่ชัลมันทำลายเบธอาร์เบลในการต่อสู้
แม่ ๆ และลูก ๆ ของพวกเธอถูกฟาดจนกลายเป็นชิ้น ๆ !

15  เบธเอลเอ๋ย มันจะเกิดกับเจ้าเช่นนั้น
เพราะความชั่วสุดขั้วของพวกเจ้า
ยามรุ่งอรุณ
กษัตริย์แห่งอิสราเอลจะถูกทำลายอย่างสิ้นเชิง 

10:12 ในขณะที่พระเจ้าทรงกล่าวโทษพวกเขานั่นเอง ความห่วงใยของพระองค์ก็พลุ่งขึ้น พระองค์ทรงบอกวิธีการที่พวกเขาจะไม่พินาศ
ให้กระทำสิ่งที่เที่ยงธรรม คือหว่านสิ่งดีทุกอย่างต่อกันและกัน เพื่อว่าพวกเขาจะได้รับรักมั่นคง หรือพระกรุณาคุณของพระเจ้าคืนมา  โฮเชยาเตือนให้พวกเขากลับใจ  (ภาษาฮีบรูสำหรับการหว่าน การปลูก คือ ซารา זָרַע)
ดินที่ยังไม่ไถนั้น เป็นดินแข็ง ที่แห้งแล้งมานาน เป็นดินที่ไม่อาจซึมซับความชื้นจากฝนได้ดี ดังนั้นพระเจ้าทรงเตือนให้เขาไถพรวน กลับดินนั้น ซึ่งก็หมายถึง หัวใจของพวกเขาเองที่ต้องจัดการ หัวใจที่แห้งแล้ง แข็งกระด้างต่อพระเจ้า (เยเรมีย์ 4:3) ใจที่ห่างเหินจากฝนแห่งรักมั่นคงของพระเจ้า ใจที่ไม่สารภาพบาป แต่เก็บสะสมบาปไว้นั้น ทำให้ใจกระด้างเหมือนดินแห้ง   การไถพรวนจิตใจคือ การแสวงหาพระเจ้า แสวงหาพระองค์อย่างสุดใจ และเมื่อนั้น พระเจ้าจะทรงช่วยให้พวกเขารับสิ่งดีจากพระองค์ ไม่ใช่น้อย ๆ แต่เหมือนกับสายฝนที่ตกเทลงมา (โฮเชยา 2:19, 6:3)
(ภาษาฮีบรูสำหรับการไถพรวนดิน คือ เนียร נִיר เป็นการไถ ทำร่องดิน พรวนดิน)
 
10:13แทนที่จะปลูกดีเพื่อเก็บเกี่ยวผลที่ดี พวกเขากลับหว่านลม เก็บเกี่ยวพายุ (โฮชยา 8:7)  การที่พวกเขาเชื่อว่าสิ่งที่ตนเองทำถูกต้อง เชื่อว่าทหารจะช่วยได้ เป็นความเชื่อในความไม่แน่นอน ไม่ได้วางใจพระเจ้าสำหรับความอยู่รอดของชาติ ทั้ง ๆ ที่เขาควรจะวางใจพระองค์  นี่เป็นบทเรียนของทั้งระดับชาติ ระดับบุคคล ทั้งในโลกโบราณ และปัจจุบันวันนี้!

10:14 ความพ่ายแพ้เกิดขึ้นอย่างทันควัน เห็นได้ชัด โฮเชยาบอกมาแล้วว่า ถ้าเขาไม่วางใจพระเจ้า จะเกิดอะไรขึ้น  ชัลมันที่กล่าวถึงไม่ทราบแน่ชัดว่าเป็นคนไหน อาจเป็นกษัตริย์ของอัสซีเรีย หรือของโมอับ  แต่สงครามครั้งนั้นเป็นสงครามที่น่าสะพรึงกลัวมากเพราะศัตรูทำร้ายประชากรอย่างโหดเหี้ยม

10:15 โฮเชยาเตือนอย่างชัดเจนว่า จะไม่มีกษัตริย์ของอิสราเอล (อาณาจักรเหนือ) หลงเหลืออยู่เลย พวกเขาหายไปอย่างรวดเร็วด้วย เป็นเพราะพวกเขาทำบาปซ้อนบาป ทำแล้วทำเล่าโดยไม่คิดจะกลับตัวกลับใจ  คำว่าเบธเอลในที่นี้หมายความรวมถึงอิสราเอลทางเหนือทั้งหมด และสิ่งที่โฮเชยากล่าวก็เป็นความจริงในเวลาต่อมา (แม้กษัตริย์ทางใต้ต่อมาจะถูกกวาดไปบาบิโลน แต่ก็ยังมีบางคนในพวกเขาที่หลงเหลือและยังสืบเชื้อสายมาจนกระทั่งพระเยซูคริสต์ )

พระคำเชื่อมโยง

1* เนหะมีย์ 2:2; เยเรมีย์ 2:28
2* 1 พงศ์กษัตริย์ 18:21
4* อาโมส 5:7
5* โฮเชยา 8:5-6; 13:2; 9:11
6* โฮเชยา 5:13
8* โฮเชยา 4:15; 1 พงศ์กษัตริย์ 13:34; ลูกา 23:30

9* โฮเชยา 9:9
10* เยเรมีย์ 16:16
11* มีคาห์ 4:13
12* เยเรมีย์ 4:3; โฮเชยา 6:3
13* สุภาษิต 22:8; โยบ 4:8; กาลาเทีย 6:7-8
14* โฮเชยา 13:6
15* โฮเชยา 10:5,7