กิจการ 5 การเริ่มต้นที่สำคัญ

โกหกที่ถึงตาย

การขัดขวางพระกิตติคุณ

นักโทษเป็นอิสระ

คำเตือนสติจากกามาลิเอล

คำอธิบายเพิ่มเติมและพระคำเชื่อมโยง กิจการ 5

โกหกที่ถึงตาย 

กิจการ 5:1-2ก
ท่านลูกาได้เล่าเรื่องที่พี่น้องหลายคนได้ขายที่ดิน บ้าน แล้วเอาเงินมาให้อัครทูตแบ่งปันให้กับคนที่ขัดสน ก็มีคนอยากทำตามบ้าง แต่ไม่ได้ทำด้วยความจริงใจ อานาเนียกับสัปฟีรา ขายที่ดินได้ ตกลงใจที่จะมอบเงินให้กับอัครทูตแต่ก็แอบเก็บเอาไว้ ส่วนหนึ่ง ซึ่งที่จริงการเก็บเงินส่วนของตนก็ไม่ได้ผิดอะไร จะให้อัครทูตแค่สิบยี่สิบเปอร์เซ็นต์ก็ไม่เป็นไรอยู่แล้ว สิ่งที่ผิดคือ ทั้งสองต้องการให้ทุกคนคิดว่า เขาให้เงินทั้งหมด ซึ่งเท่ากับเป็นการโกหกอย่างตั้งใจ เขาร่วมมือกันที่จะหลอกทั้งชุมชนคริสเตียน
1* กิจการ 4:34-37, เลวีนิติ 10:1-3, 2* 2 เปโตร 2:14-15, 1 ทิโมธี 6:10

กิจการ 5:2ข-4
เปโตรมีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณในเวลานั้น ท่านถามว่า ทำไมซาตานจึงล่อให้เขากล้าโกหกต่อพระวิญญาณได้… แทนที่จะได้รับคำชม อานาเนียสกลับถูกเปิดโปงความคิดที่ไม่มีใครเห็น ใจของเขาต้องการให้คนทั้งหลายชมเชยว่า เป็นคนใจดีมีเมตตา แต่เขากลับมารู้ว่า เขากำลังตั้งใจโกหกพระวิญญาณของพระเจ้าอยู่ 
3* ลูกา 22:3, ยอห์น 13:2,27, เยเรมีย์ 23:24, อิสยาห์ 29:15 4* กิจการ 8:21-22, ลูกา 10:16

กิจการ 5:5-8 
เพียงได้ยินคำของเปโตร อานาเนียสก็ล้มลงตาย เกิดจากอะไร? ตกใจมากหรือ ? พอเขา รู้ว่าเขากำลังโกหกพระเจ้า ผู้เป็นเจ้าของฟ้าสวรรค์ เขาคงตกใจสุดขีดทันควัน …เขาล้มลงตายทันที! เปโตรเองก็ตกใจเช่นกัน เหมือนกับว่าเขาเป็นคนประกาศพิพากษาคนทำผิดให้ต้องโทษประหาร เขาคงตะลึงมากที่เหตุการณ์เป็นเช่นนั้น อานาเนียสไม่ได้โอกาสที่จะกลับใจเลย ศพของอานาเนียส ถูกพันด้วยผ้า หามไปฝัง
5* กิจการ 13:11, 6* –

กิจการ 5:9-11
สัปฟีราน่าจะมาพร้อมกับสามี เธออาจจะไม่ต้องเจอกับความตายเร็วเช่นนี้ อาจจะทันกลับใจเมื่อเห็นสามีตาย สามชั่วโมงต่อมาเธอเข้ามาพบเปโตรคาดว่าคงจะได้รับคำชมเชย แต่แล้ว เหตุการณ์ร้ายก็เกิดขึ้น เพราะแทนที่จะพูดความจริง เธอกลับหาเรื่อง ให้ตัวเองต้องตาย เธอสมคบคิดเรื่องนี้ พร้อมที่จะทำบาปไปกับสามี ปกปิดเรื่องของตนเอง เปโตรเองรู้ทันทีว่าอะไรจะเกิดขึ้น สามีเพิ่งตายไป ภรรยามาทำผิดซ้ำ เธอล้มลงตายต่อหน้าต่อตาทันทีเช่นกัน ศพของเธอถูกนำไปฝังข้าง ๆ ศพสามี
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้เกิดความยำเกรงในหมู่คริสเตียน เป็นการดีที่พวกเขาจะกลัวการทำบาป ชุมชนนี้เกิดใหม่ ต้องการขอบเขต ต้องการความเข้าใจว่า บาปเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงชัง … พวกเขาจะต้องไม่ทำบาปตรงนี้เป็นครั้งแรกที่มีการใช้คำว่า คริสตจักร ซึ่งหมายถึงการชุมนุมกันของผู้เชื่อในพระเจ้า
9* 1 โครินธ์ 10:9, สดุดี 95:8-11 10* – 11* กิจการ 19:17, 1 เปโตร 1:17

การขัดขวางพระกิตติคุณ 

กิจการ 5:12-16
คงจำได้ว่าที่เฉลียงโซโลมอนเคยมีการอัศจรรย์ที่บันทึกไว้ (3:11) คนเป็นอัมพาตได้รับการรักษาให้หาย และทำให้เกิดเรื่องราวขึ้น พวกศิษย์ถูกห้ามกล่าวพระนามของพระเยซู แต่ตอนนี้ หมายสำคัญและการอัศจรรย์เกิดขึนถี่มาก ผู้ป่วยต่างพากันมาหาอัครทูตเพื่อให้ช่วยรักษาโรค และพวกเขาก็หายสนิทด้วย… 
ถึงอย่างนั้นยังมีคนมากมายที่ไม่กล้าเข้ามาเชื่อ พวกเขายังกลัวอิทธิพลของเหล่าธรรมาจารย์ที่อาจจะไล่พวกเขาออกจากธรรมศาลาแม้คนจะเชื่อว่าเงาของเปโตรทำให้หายโรคได้ แต่ท่านลูกาไม่ได้บอกว่าหายจริงหรือเปล่า การอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นเหล่านี้เป็นผลจากการอธิษฐานในบทที่ 4:29-30
12* 2 โครินธ์ 12:12, ฮีบรู 2:4, กิจการ 3:11 13* กิจการ 2:47, 4:21, 19:17, 14* กิจกากร 2:47, อิสยาห์ 55:11-13 15* มัทธิว 9:21,14:36, กิจการ 19:11-12 16* มาระโก 16:17-18, ยากอบ 5:16, 1 โครินธ์ 12:9 

นักโทษเป็นอิสระ

กิจการ 5:17-20
ท่านลูกาเขียนไว้ชัดว่า พวกมหาปุโรหิตและสะดูสี อิจฉาที่ประชาชนตามอัครทูตไป พวกเขาแก้ปัญหาด้วยการสั่งขังในคุกหลวง คู่แข่งจริง ๆ ของพวกเขาคือพระเจ้า แต่เขามองเห็นแค่อัครทูตเท่านั้น อัครทูตถูกจำคุก แต่ไม่คาดฝัน มีทูตสวรรค์องค์หนึ่งมาหา และสั่งให้ตามออกไปสั่งด้วยว่าให้ไปประกาศพระกิตติคุณอย่างครบถ้วนแก่ประชาชนที่พระวิหาร สิ่งที่ทูตสวรรค์ให้อัครทูตทำนั้น ทำให้ดูเหมือนว่าเป็นการท้าทายอำนาจของผู้นำศาสนายิวแบบว่าไม่กลัว ไม่เกรง อัครทูตชนกันซึ่ง ๆ หน้า แต่ในทางของพระเจ้านั้นคือ พวกเขาจะกลัวไหม จะเชื่อฟังพระเจ้าหรือมนุษย์? 
17* กิจการ 17:5, 13:45, 7:9, 18* กิจการ 4:3,ลูกา 21:12, วิวรณ์ 2:10, ฮีบรู 11:36 19* กิจการ 16:26, สดุดี 34:7, กิจการ 27:23, 20* ยอห์น 6:63, 68, 

กิจการ 5:21-22
อัครทูตซึ่งน่าจะนำโดยเปโตรก็ทำตามคำสั่งของทูตสวรรค์ตั้งแต่เช้า พวกเขาไปที่พระวิหารและก็ตั้งต้นประกาศพระกิตติคุณอย่างไม่กลัวใครเลย ทั้งเชื่อฟัง ทั้งไม่กลัวคำสั่งของทูตสวรรค์ที่มาจากพระเจ้า ทำให้พวกเขารู้ว่า การประกาศพระนามจะต้องดำเนินต่อไปไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น  .. แต่ในเช้าวันนั้น ยังไม่มีใครในสภารู้เรื่อง พอเรียกประชุมสภา กว่าจะมากันครบ กว่าจะเรียกออกมาจากคุกก็คงสายมาก อัครทูตก็ประกาศพระนามไปเยอะแล้ว และสภาก็เพิ่งรู้ว่า ไม่มีใครอยู่ในคุกที่อุตส่าห์จับขัง
21* ยอห์น 8:2, กิจการ 22:2-3, 15, 22* –

กิจการ 5:23-26
ดูสิ อุตส่าห์จับไปขัง และออกมาเมื่อไรไม่มีใครรู้เห็น แต่แล้วมีรายงานเข้ามาว่านักโทษทั้งหลายกำลังประกาศในพระวิหาร สภาอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ประชาชนที่ฟังอยู่ก็สำคัญ ถ้าไม่ได้ประชาชนเป็นพวก การปกครองก็จะลำบากมาก เขาสั่งให้จับอัครทูตกลับมาที่สภา.. เหตุใดคนพวกนี้จึงกล้าท้าทายอำนาจของสภายิว?
23* สดุดี 33:10, 2:4, ยอห์น 8:59 24* กิจการ 4:1, 21, ยอห์น 12:19 25* – 26* กิจการ 4:21, ลูกา 22:2, 20:19

กิจการ 5:27-32 
พวกเขาเอาอัครทูตมาที่สภาเพื่อขู่เพิ่มขึ้น “ก็สั่งห้ามแล้ว แล้วกลับสอนไปทั่วเมือง เจ้าพยายามจะแก้แค้นให้เลือดมาตกที่พวกเรารึ?”  “แต่เราต้องเชื่อฟังพระเจ้ามากกว่า ท่านตรึงพระเยซูตาย แต่ทรงฟื้นขึ้น1มาตอนนี้ทรงอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์พระเจ้า อิสราเอลกลับใจก็จะได้รับการยกโทษ … เราและพระวิญญาณเป็นพยานเรื่องนี้” กลับกลายเป็นว่าอัครทูตกำลังประกาศพระกิตติคุณของพระเจ้าในสภายิว! อะไรกันนี่ เปลี่ยนจากพระวิหารมาสู่สภา คิดดูแล้วกันว่า ในขณะนั้นจะเกิดความโกลาหลขนาดไหน พอเวลาความเกลียด ความอิจฉานำกลุ่มชน มันจะกลายเป็นการนองเลือดได้ ขณะที่ฟังอัครทูตกล่าว แน่นอนต้องมีคนไม่เห็นด้วย และมีคนเห็นด้วย พวกเขา
27* มัทธิว 5:22, กิจการ 22:31-23:1 28* กิจการ 7:52, 1 เธสะโลนิกา 2:15-16 29* 1 ซามูเอล 15:24, กิจการ 4:19 30* กาลาเทีย 3:13, 1 เปโตร 2:24, กิจการ 10:39  31* ลูกา 24:47 , กิจการ 11:18 อิสยาห์ 9:6 32* ยอห์น 15:26-27, ฮีบรู 2:3-4, กิจการ 13:31 

คำเตือนสติจากกามาลิเอล

กิจการ 5:33-36
แต่แล้ว ท่านกามาลิเอลซึ่งเป็นฟาริสีที่ใคร ๆ เคารพ ก็เข้ามาสยบความโกรธอันร้อนแรงของเหล่าปุโรหิตและธรรมาจารย์ความโกรธที่พร้อมจะฆ่าคนให้ตายต่อหน้าต่อตา กามาลิเอลเล่าเรื่องที่เกิดขึ้น คือมีธูดาสตั้งตัวเป็นผู้นำ คนตามมากมาย แต่เมื่อธูดาสตาย คนก็สลายตัว ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงใด ๆ  
33* มัทธิว 9:14, 34* ยอห์น 3:29, 36* มาระโก 2:21,22 

กิจการ 5:37-40a
ต่อมามีคนชื่อยูดาสตั้งตัวให้คนตามเหมือนกัน แต่เมื่อเขาตาย ผู้คนก็แยกย้ายกันไป กามาลิเอลเตือนสติพวกเขาว่า อย่าไปยุ่งเลย ถ้าพวกอัครทูตทำด้วยกำลังตนเอง เดี๋ยวก็จะจบ ผู้คนจะไม่ตามต่อไป แล้วก็กลับมายังพระวิหารเหมือนเดิม แต่หากเรื่องนี้มาจากพระเจ้า ก็เท่ากับทุกคนต่อต้านพระเจ้า หาเรื่องใส่ตัวไปทำไม ก็เป็นคำเตือนที่มีปัญญาให้กับคนที่กำลังร้อนใจอยากกำจัดอัครทูต  
38* มัทธิว 15:13, เพลงคร่ำครวญ 3:37 39* สุภาษิต 21:30, กิจการ 7:51 40* มัทธิว 10:17

กิจการ 5:40b-42
พวกสภายิวจึงตัดสินใจแค่โบย ก็คือเพื่อให้เกิดความกลัวแต่อัครทูตกลับออกมาจากสภาทั้งที่เลือดอาบตามตัว ด้วยความยินดี เพราะเขาคิดว่า พระเจ้าทรงเห็นว่า เขาสมควรที่จะได้รับการดูหมิ่นเพื่อพระนาม จากนั้น พวกเขาจึงประกาศว่าพระเยซูทรงเป็นพระคริสต์ หรือพระเมสสิยาห์ต่อไปทั้งในพระวิหารและตามบ้าน โดยไม่เว้นแม้สักวันเดียว 
นี่คือตัวอย่างของการประกาศ ทำไปทุก ๆ วัน แม้เกิดเหตุที่เจ็บปวด แต่ก็ไม่หยุดที่จะประกาศพระนามที่พวกเขารักมากที่สุด 
41* 1 เปโตร 4:13-16, ยากอบ 1:2, 42* 2 ทิโมธี 4:2, กิจการ 20:20

คำอธิบายเพิ่มเติมและพระคำเชื่อมโยง กิจการ 4

การสอบสวนเปโตรและยอห์น

กิจการ 4:1-4
พอชายที่เป็นอัมพาตเดินได้ เปโตรก็ฉวยโอกาสที่จะประกาศพระนามพระเยซูทันที ไม่มีการรีรอ ไม่ได้เตรียมตัวมาก่อน ขณะที่กำลังพูดอยู่นั้นเอง ปุโรหิต ผู้ดูแลพระวิหาร และพวกสะดูสีที่ไม่เชื่อการคืนชีพก็เข้ามาขัดจังหวะ ต่อหน้าต่อตาคนหลายพัน จิตใจของฝ่ายตรงข้ามทั้งโกรธ ทั้งรู้สึกแพ้ ทั้งเป็นกังวล พวกเขารับไม่ได้ที่อัครทูตสอนประชาชนเรื่องการคืนชีพของพระเยซู จึงสั่งจับเปโตรและยอห์นไว้ในคุกเพื่อจะสอบสวนในวันรุ่งขึ้น แต่ในวันนั้นมีคนที่ฟังเชื่อเพิ่มอีก นี่เป็นระเบิดทางการเมืองศาสนาทีเดียว ดูจากยกนี้ อัครทูตชนะคนมากมายแล้วแม้ว่าพวกเขาไม่เก่งธรรมบัญญัติอย่างพวกผู้นำเหล่านั้น พระเจ้าทรงอยู่กับพวกเขาอย่างเห็นได้ชัด


1* มัทธิว 22:23
2* กิจการ 17:18, 3:15
3* ลูกา 21;12
4* กิจการ 2:41

กิจการ 4:5-7
พวกสะดูสีเป็นปุโรหิตชั้นสูงอันนาส กับคายาฟาสก็เป็นสะดูสีด้วย (กิจการ 5:17) ตอนที่พระเยซูทรงทำการของพระองค์ ฟาริสีถือพระองค์เป็นศัตรู แต่พอมาถึงกิจการ สะดูสีจะเป็นผู้ที่ตามราวีคริสเตียนมาโดยตลอด เราจะเห็นว่า การสอบสวนนี้มีผู้นำที่มีอิทธิพลมาร่วมด้วยอีกหลายคน เรียกได้ว่ามาเป็นขโยงเลยทีเดียว ดูน่ากลัว…
แต่คำถามของพวกเขานี่สิ เข้าทางเปโตรเลย เป็นคำถามที่เปโตร
อยากตอบจริง ๆการทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดในนามของใครก็ตาม สำหรับคนยิวแล้วพวกเขาเคร่งครัดว่า เท่ากับคน ๆ นั้น เป็นผู้กระทำเอง คล้าย ๆ กับเอกสารมอบอำนาจในปัจจุบัน

5*
6* ลูกา 3:2, ยอห์น 18:13,24, มัทธิว 26:3
7* มัทธิว 21:23,
8* มัทธิว 10:20
9* กิจการ 3:7-8

กิจการ 4:8-12
ตอนนั้นเอง พระวิญญาณได้เสด็จมาประทับในตัวเปโตรอย่างพิเศษ เขาจึงกล้าหาญ เต็มด้วยสติปัญญาอย่างที่ปกติไม่ได้เป็นเช่นนั้น เราจะเห็นว่า การทำการของพระเจ้านั้น บางครั้งก็มีความพิเศษในการเจิม ของพระองค์ดังตัวอย่างในเรื่องตอนนี้จากชายขี้ขลาดในวันที่พระเยซูทรงถูกสอบสวน วันที่เขาปฏิเสธ
พระเยซู เขากลับกลายเป็นอีกคนที่จะพูดเรื่องของพระองค์อย่างไม่หวาดหวั่น

10* กิจการ 3:6, 2:24
11* สดุดี 118:22
12* กิจการ 13:26, 28:28, ยอห์น 4:22 ฮีบรู 2:3, ยูดา 3, 1 ทิโมธี 2:5, กาลาเทีย 1:7 กิจการ 10:43,

กิจการ 4:13-17
ในสมัยของพระเยซูนั้น ชายยิวจะได้เรียนอ่านเขียนกันในศาลาธรรมซึ่งมีกระจัดกระจายทั่วไป แต่ที่ว่าเขาไม่ได้เรียนสูงนั้นก็คึอ พวกเขาไม่ได้เรียนที่จะเป็นธรรมจารย์ อาจารย์สอนธรรมบัญญัติเหมือนพวกฟาริสี สะดูสี
แต่เมื่อพวกเขารู้ว่า อัครทูตอยู่กับพระเยซูมาสามปี ก็พอจะเดาได้ว่า ต้องมีความเข้าใจ อย่างพระเยซู แต่ที่เหนือกว่านั้นคือ พวกเขาทำการอัศจรรย์อย่างพระองค์ด้วย!
ยิวพวกนี้อยู่ในสภาสูงมีตำแหน่งในพระวิหาร มีตำแหน่งที่มีอำนาจ แต่พวกเขาต้องมาคุยกันว่าจะทำอย่างไรดีกับอัครทูตเหล่านี้ เพราะพวกเขาเสียความนิยมจากประชาชนไม่ได้ไม่คุ้มเอามาก ๆ พวกเขาตัดสินใจสั่งไม่ให้อัครทูตพูดถึงพระนามพระเยซูกิจการ

13* ยอห์น 7:15
14* กิจการ 3:11, ลูกา 21:15
15*
16* ยอห์น 11:47, 12:19, กิจการ 3:9,10
17* กิจการ 5:28, 40

4:18-22
แต่แล้ว พวกเขาต้องประหลาดใจที่อัครทูตไม่ได้แสดงว่า กลัวพวกเขาเลย
กลับมีความตั้งใจที่จะประกาศพระนามต่อไปตามคำบัญชาของพระเยซูศัตรูของพระเจ้าตอนนี้จนตรอก ไม่รู้จะทำอย่างไร จำต้องปล่อยอัครทูตไปก่อน เพราะประชาชนที่ เห็นเหตุการณ์ต่างตระหนักว่า การหายโรคเป็นเรื่องจริง พระเจ้าทรงทำการจริง พวกเขาจะไปต่อต้านตอนนี้ ไม่ดีแน่

18*
19* กิจการ 5:29
20* อาโมส 3:8, ยอห์น 15:27, 1 โครินธ์ 9:16, กิจการ 22:15, 1 ยอห์น 1:1,3
21* กิจการ 5:13, 26, มัทธิว 21:26,46, มาระโก 11:32, ลูกา 20:6, 19, 22:2 กิจการ 3:7,8
22

ถึงห้ามก็ไม่หวั่น

กิจการ 4:23-26
ถ้าเป็นสมัยใหม่ ถือว่าถูกจำกัดเสรีภาพในการนับถือ ในการพูดอย่างอิสระ ดังนั้นอาจจะต้องมีการรวมพลเดินขบวนอย่างที่เกิดขึ้นทุก ๆ วันในโลก
แต่พวกเขาไม่ได้คิดไปสู้อย่างนั้น พวกเขาหันไปอธิษฐานต่อพระเจ้าสูงสุด พวกเขานึกถึงพระธรรมสดุดี 2 ที่กล่าวถึงการต่อต้านพระเจ้าและผู้ที่พระองค์ทรงเจิมคือ พระคริสต์ (หรือพระเมสสิยาห์ พระมาชิอัค.. ตามภาษาฮีบรู) พวกเขาอธิษฐานด้วยการใช้คำที่อยู่ในสดุดีบทนั้นตรง ๆ พวกเขามองเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า เป็นเรื่องที่มีการพยากรณ์ไว้ล่วงหน้ามาแล้ว อย่างหนึ่งที่เราเห็นคือ พวกเขารู้จักพระคัมภีร์เป็นอย่างดี 

23
24* ดู กิจการ 1:14, อพยพ 20:11, 2 พงศาวดาร 2:12, เนหะมีย์ 9:6
สดุดี 102:25, 124:8, 134:3, 146:6
25* สดุดี 2:1-2,
26* กิจการ 10:38, ลูกา 4:18, ฮีบรู 1:9, ดาเนียล 9:24, วิวรณ์ 11:15

กิจการ 4:27-29
ในคำอธิษฐานนั้น พวกเขามีความเข้าใจว่า คนทั้งหลายที่ต่อต้านพระเจ้าก็ทำไม
ตามแผนการที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้โดยพวกเขาไม่รู้ตัว พวกเขาขอพระเจ้าเมตตา และขอทรงให้พวกเขากล้าหาญ ทั้งที่รู้ว่าความกล้าหาญที่จะพูดเรื่องของพระเจ้านั้น จะทำให้เกิดการข่มเหงมากขึ้น และการข่มเหงสมัยก่อนนั้น รุนแรง ถึงชีวิตในคำอธิษฐานกล่าวถึงผู้รับใช้บริสุทธิ์ผู้ที่พระเจ้าทรงเจิม

27* ดูข้อ 30,26, ลูกา 23:7-11,มัทธิว 27:2,19, 26:3
28* อิสยาห์ 46:10, กิจการ 2:23
29* 2 พงศ์กษัตริย์ 19:16, กิจการ 4:13,31, 9:27,29,13:46, เอเฟซัส 6:19

กิจการ 4:30-31
พวกเขายังขอให้พระเจ้าทรงทำการอัศจรรย์แบบยิ่งใหญ่ แล้วในวันนั้น สิ่งที่น่ากลัวก็เกิดขึ้น เมื่อพวกเขาอธิษฐานจบ สถานที่นั้นสั่นอย่างรุนแรงเหมือนกับแผ่นดินไหว พระเจ้าทรงยินเสียงของพวกเขา และทรงตอบด้วยเสียง ความสั่นสะเทือนในธรรมชาติให้ทุกคนได้สัมผัส แบบนี้ก็ยิ่งเชื่อ ยิ่งกล้า เพราะว่า พระเจ้าทรงยิ่งใหญ่ตามที่เขาทูลต่อพระองค์จริง ๆ

30* สดุดี 138:7, สุภาษิต 31:20, อิสยาห์ 1:25, เศฟันยาห์ 1:4, กิจการ 3:6
31* กิจการ 2:2,4, 16:26, สดุดี 77:18, ฟีลิปปี 1:14

กิจการ 4:32-37
นี่คือภาพความเป็นอยู่ของคริสเตียนในยุคแรก เป็นชีวิตของการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ พร้อมที่จะให้กับคนที่ขัดสนเพื่อว่าทุกคนจะมีกินพอ ๆ กัน ไม่ใช่รวยล้ำ กับขอทาน พวกเขาใช้ชีวิตแบบนี้คือ คนที่มีมากกว่าจะแบ่งให้กับคนที่มีน้อยกว่า อัครทูตเป็นผู้ช่วยดูแลให้มีการแจกจ่ายกันอย่างทั่วถึง

32* 2 พงศาวดาร 30:12, เอเสเคียล 11:9, ฟีลิปปี 1:27, กิจการ 2:44
33* กิจการ 1:8,22, 11:23
34* 2 พงศาวดาร 8:14-15, กิจการ 2:45
35* กิจการ 4:37, 5:2, 6:1
36* มาระโก 3:17
37* กิจการ 4:35

ยอห์น 10 ผู้เลี้ยงแสนดี

พระเยซู:ผู้เลี้ยงที่แท้องค์เดียว

เผชิญหน้าอีกครั้ง

อธิบายเพิ่มเติมและพระคำเชื่อมโยง

พระเยซู:ผู้เลี้ยงที่แท้องค์เดียว

ยอห์น 10:1-4
เรื่องราวของคอกแกะ ประตู ขโมย โจร นั้น เป็นเรื่องที่ต่อมาจากการที่ชายตาบอดมองเห็นได้
เขาถูกผู้นำศาสนาไล่ออกจากพระวิหาร เพราะพูดจาไม่ไปทางเดียวกับพวกเขา
พระเยซูทรงเปรียบเทียบให้เห็นว่า พระองค์กับผู้นำศาสนายิวนั้น แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ในสมัยโบราณนั้น คนที่เป็นผู้นำไม่ว่าจะทางการเมืองหรือในศาสนา มักถูกมองว่าเป็น ผู้เลี้ยงแกะ (อิสยาห์ 56:11)
แต่ทำไมพระองค์จึงตรัสว่า พวกเขาเข้าทางอื่น ไม่ใช่ทางประตู พวกเขาเป็นแค่ขโมยและโจร?
เพราะผู้นำเหล่านั้น ไม่ใช่แค่ทำตัวเหมือนขโมยที่เอาประโยชน์ลับ ๆ ล่อ ๆ. แต่พวกเขาพร้อมที่จะใช้ความรุนแรงเหมือนโจรด้วย ดูจากการที่พวกเขาไล่ชายตาดีที่เคยบอดนั้นออกไป และยังพร้อมจะเอาหินขว้างพระเยซู หลายครั้ง.
ผู้เลี้ยงจริง ๆ จะเข้าทางประตูคอก คือเข้ามาเพราะพระเจ้าทรงเป็นผู้เลือก เขาจะเรียกชื่อแกะ แกะเองพอได้ยินเสียงเจ้าของก็จะตามไปทันทีผู้เลี้ยงตัวจริง รู้จักแกะทุกตัว มีชื่อให้มัน รักและเอาใจใส่มันจริง ๆ แกะที่ตามผู้เลี้ยงไป มันไปเพราะมั่นใจว่า เขาจะพาไปยังทุ่งหญ้าอุดม .. 
1* มัทธิว 7:15, 1 ยอห์น 4:1 2* กิจการ 20:28, 1 เปโตร 5:4,
3* ยอห์น 20:16, 2 ทิโมธี 2:19, สดุดี 23:2-3 4* ฉธบ. 1:30, 1 เปโตร 5:3

ยอห์น 10: 5-9
เมื่อพระเยซูกล่าวเรื่องผู้เลี้ยง แกะ ประตู คอก ขโมย โจร เป็นความหมายเปรียบเทียบโยงไปถึงพระบิดา พระองค์เอง คนอิสราเอล ผู้นำศาสนายิว และอื่น ๆ คนที่ฟัง กลับไม่เข้าใจความหมายของพระองค์เลย เขามองไม่เห็นสิ่งที่พระเยซูทรงสื่อให้เขา เขาไม่เข้าใจว่าพระเยซูกำลังตรัสว่าทรงเป็นผู้เลี้ยงที่ดีของอิสราเอล
แล้วพวกเราจะเข้าใจไหม?
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเราเห็นว่า ผู้นำศาสนาไล่ชายขอทานที่เคยตาบอดออกไป ในขณะที่พระเยซูทรงรับเขาเข้ามา และเขาก็เป็นเหมือนแกะที่จะตามพระเยซูไปคนที่มาก่อน คือ ศาสนายิวมาก่อน แต่ศาสนาไม่ได้ช่วยให้คนรอด นอกจากปล่อยให้พินาศไปและพระเยซูตรัสว่า ใครที่เข้ามาหาพระเจ้าโดยผ่านพระองค์ เขาจะรอด เขาจะมีอาหารฝ่ายวิญญาณที่บริบูรณ์ เขาจะไปไหนมาไหนอย่างเสรี ไม่ถูกจำกัดอย่างการอยู่ในกฎของศาสนา.
การพบทุ่งหญ้าคือ พระคำของพระเจ้าจะเป็นอาหารที่เขาจะเติบโต สุขภาพดี …
5* วิวรณ์ 2:2, 1 ยอห์น 4:5-6, 6* ยอห์น 16:25, อิสยาห์ 6:9-10
7* ยอห์น 14:6, เอเฟซัส 2:18 8* เอเสเคียล 34:2, 22:25-28 9* ยอห์น 14:6, โรม 5:1-2

ยอห์น 10: 10-11
เรานึกถึงคนที่เป็นอาจารย์แบบหาแต่ประโยชน์เข้าตัว บังคับให้คนอื่นทำโน่นนี่ฟาริสี และผู้นำศาสนายิวเป็นอย่างนั้นโดยเคร่งครัด พวกเขาไม่ได้สนใจที่จะให้ประชาชนที่ไม่รู้เรื่องเจริญขึ้น แต่กลับทำตัวเป็นใหญ่ ไม่ได้เป็นผู้รับใช้
แต่พระเยซูทรงแตกต่าง ทรงมาเพื่อนำชีวิตใหม่ และเป็นชีวิตที่ครบบริบูรณ์ยิ่งกว่านั้น พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อรับโทษแทนความผิดบาปของทุกคนที่ เชื่อวางใจพระองค์ด้วย
10* ลูกา 19:10, ยอห์น 6:51
11* ยอห์น 15:13, สดุดี  23:1, 1 ยอห์น 3:16
, อิสยาห์ 40:11

ยอห์น 10:12-13
พระเยซูยังทรงอธิบายต่อไปว่า ยังมีคนอีกประเภทที่รับจ้างเลี้ยงแกะ และเมื่อเห็นภัยมาพวกเขาจะวิ่งหนีไป เอาตัวรอด นั่นคือ จริง ๆ แล้ว ผู้คนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ยังมีอีกมากมาย พวกเขาเหล่านี้ อาจจะไปเจอผู้เลี้ยงที่แค่เป็นอาชีพ พวกเขาไม่ได้สนใจชีวิตฝ่ายวิญญาณของผู้ที่เขาต้องดูแล จริง ๆ ชีวิตของเขาเองก็ไม่อาจจะดูแลใครได้ด้วย คนอย่างนี้ก็มีมาก
พวกเขาเป็นยอดของการเห็นแก่ตัว ดูแลก็เพื่อจะได้ผลประโยชน์เข้าตัว
12* เศคาริยาห์ 11:16, 2 เปโตร 2:3, 13* ฟีลิปปี 2:20

ยอห์น 10:14-16
คำยืนยันของพระองค์คือ ทรงเป็นผู้เลี้ยงที่ดี ทรงรู้จักแกะ และแกะรู้จักพระองค์ ทรงสละชีวิตเพื่อฝูงแกะ และยังพาแกะฝูงอื่นเข้ามาเป็นแกะฝูงเดียวกัน
การที่ผู้เลี้ยงรู้จักแกะ และแกะรู้จักผู้เลี้ยงนั้น แสดงว่าทั้งสองฝ่ายมีสัมพันธ์สนิทต่อกัน เป็นความสัมพันธ์อย่างที่พระบุตรและพระบิดาทรงมีต่อกัน พระบุตรทรงติดตาม ทำตามพระบิดาอย่างใกล้ชิด แกะของผู้เลี้ยงท่านนี้ย่อมติดตามใกล้ชิดและทำตามน้ำพระทัยของพระผู้เลี้ยงด้วย
แกะอื่น มีความหมายถึงคนต่างชาติที่ไม่ได้เป็นคนเชื้อสายอิสราเอล คนเหล่านี้จะมาเชื่อในพระเยซูคริสต์ และเขาจะกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน
14* 2 ทิโมธี 2:19, 1:12, วิวรณ์ 2:2. 15* มัทธิว 11:27, ยอห์น 15:13,19:30, อิสยาห์ 53:10
16* อิสยาห์ 42:6, 56:8, เอเฟซัส 2:13-18, ยอห์น 11:52

ยอห์น 10:17-18
พระบิดาทรงรักพระบุตรอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร แต่พระเยซูได้ทรงเน้นให้คนที่ฟังได้รู้ว่า พระบิดาเป็นผู้ที่ทรงบัญชาให้มีการสละชีวิต (ซึ่งคนฟังก็ยังไม่เข้าใจ) และพระเยซูเองก็ทรงพร้อมที่จะสละชีวิตอยู่แล้วจะเห็นจากคำตรัสของพระคัมภีร์ชัดเจนเลยว่า เพราะพระเจ้าทรงรักโลกยิ่งนัก จึงประทานพระบุตรของเดียวของพระองค์ลงมา (ยอห์น 3:16)
17* ยอห์น 5:20, ฮีบรู 2:9, อิสยาห์ 53:7-12. 18* ยอห์น 2:19, 5:26, 6:38, 14:31, 17:4, กิจการ 2:24,32

ยอห์น 10:19-21
เรื่องราวของผู้เลี้ยงที่ดี จบลงตอนนี้ และทำให้คนยิวเกิดความคิดเห็นที่แตกต่างกัน พวกหนึ่งเห็นว่าการที่พระเยซูตรัสว่าทรงเป็นพระบุตรพระเจ้า เหมือนคนถูกผีสิง แต่อีกพวกก็เห็นว่า การที่พระเยซูทำให้คนตาบอดเห็นได้ จะมาจากอำนาจผี
ได้อย่างไร … เกิดคนที่ไม่เชื่อ แบ่งแยกจากคนที่ไม่เชื่อ เหมือนกับที่ 7:12, 43 และ 9:16
19* ยอห์น 7:43, 9:16. 20* ยอห์น 7:20, มาระโก 3:21, ยอห์น 8:52 21* อพยพ 4:11, ยอห์น 9:6,7,32,33

การเผชิญหน้าในเทศกาลถวายคืนพระวิหาร

ยอห์น 10:22-25
นี่เป็นช่วงเวลาห่างจากข้อยี่สิบเอ็ดมาสองสามเดือน เทศกาลฉลองพระวิหารนี้ จริง ๆ แล้วเป็นการระลึกถึงเวลาที่ยูดาส มัคคาบีและพรรคพวกได้ต่อสู้นายทหารซีเรียชื่อแอนติโอคุสที่สี่ ซึ่งได้เข้ามากดขี่คนอิสราเอลอย่างโหดเหี้ยม
และยังดูหมิ่นพระวิหารด้วยการเอาหมูเข้ามาสักการะเทพจูปิเตอร์ ห้ามไม่ให้คนยิวรักษาวันสะบาโต ห้ามการทำสุหนัต เขาต้องการเปลี่ยนยิวเป็นกรีก
แต่แล้วเกิดกบฎมัคคาบีนำโดยยูดาส มัคคาบีและโค่นแอนติโอคุสได้สำเร็จ ในปี 164 ก่อนคริสตศักราช ยิวจึงจัดเทศกาลฮานุกกะห์ขึ้นเพื่อระลึกถึงการถวายคืนพระวิหารแด่พระเจ้าหลังจากที่ถูกทำให้เป็นมลทินจากคนต่างชาติพวกเขาจะจุดไฟตลอดแปดวันเทศกาล
อากาศหนาว พระเยซูจึงทรงสอนอยู่ในบริเวณเฉลียงโซโลมอนยิวหลายคนได้มาถามพระเยซูอีกว่า ทรงเป็นใครกันแน่
แต่ดูเหมือนปัญหาอยู่ที่คนฟัง …​พวกเขาต้องการคำตอบจากพระเยซูอย่างที่เขาคาดคิด ไม่ใช่คำตอบที่เป็นจริง
22* – 23กิจการ 3:11, 5:12 24 ยอห์น 1:19, ลูกา 22:67-70 25* ยอห์น 5:36, 10:38, 8:58, 8:12

ยอห์น 10:26-30
พระเยซูทรงบอกพวกเขาชัดเจนว่า ราชกิจมหัศจรรย์เป็นพยานสำคัญ แต่พวกยิวก็ไม่ยอมรับคำตอบ
ที่พวกยิวปฏิเสธพระเยซูนั้น พระองค์จึงทรงอธิบายให้พวกเขาฟังว่า เพราะพวกเขาไม่ใช่แกะของพระองค์! พวกเขาไม่เป็นฝ่ายพระองค์ พวกเขาไม่ฟัง ไม่เชื่อสิ่งที่พระองค์ตรัสเลย
แล้วทรงอธิบายว่า แกะที่เป็นของพระองค์มีลักษณะอย่างไร .. ฟังเสียงพระองค์ ทรงรู้จักแกะเหล่านั้น พวกมันติดตามพระองค์ และจะได้ชีวิตนิรันดร์จากพระองค์ด้วย ไม่มีใครจะดึงเขาออกไปจากพระหัตถ์ของพระองค์ และพระบิดาได้เลย
นี่เป็นพระสัญญาที่เรามั่นใจได้ว่า พระบิดาและพระเยซูทรงยึดเราไว้มั่น ขอให้เราทำหน้าที่ของแกะที่เชื่อฟัง
ทรงยืนยันอีกครั้งว่า พระบิดากับพระองค์เป็นหนึ่งเดียว นั่นก็หมายความว่าพระบิดากับพระองค์นั้น เป็นพระเจ้าเหมือนกัน นี่เป็นฐานรากของความจริงเรื่องตรีเอกานุภาพ เพราะบ่งว่า ในองค์พระเจ้า มีมากกว่าหนึ่งบุคคล แต่ทรง
เป็นหนึ่งเดียวกัน
26* ยอห์น 8:47,b 1 ยอห์น 4:6, 2 โครินธ์ 4:3-4 27* ยอห์น 10:4,14, วิวรณ์ 3:20, ฮีบรู 3:7
28* ยอห์น 6:39-40, 6:37, ฮีบรู 7:25 29* ยอห์น 14:28, 17:2, 6, 12, 24 30* ยอห์น 17:11,21-24

ยอห์น 10:31-33
คราวนี้ ยิวก็หยิบก้อนหินพร้อมที่จะขว้างพระองค์ พระองค์ทรงถามทันทีว่า ก็ให้เห็นราชกิจพระเจ้าที่ทำแล้ว ยังจะขว้างอีกหรือ ?
เราสรุปได้อย่างหนึ่งว่า พระราชกิจของพระเจ้าที่พระเยซูทรงทำนั้นเป็นพยานว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าจริง ๆ (ดูยอห์น 5:36) พระองค์ตรัสว่า ราชกิจที่พระองค์ทรงทำสำเร็จนั้น เป็นพยานว่าพระบิดาทรงส่งพระองค์มา เป็นคำพยานที่หนักแน่นกว่าคำกล่าวของยอห์นผู้ให้บัพติศมาเสียอีก!
แต่พวกเขาชัดเจนมาก ที่จะขว้างก็เพราะเขาเห็นว่าพระองค์เป็นมนุษย์ทำตัวเสมอพระเจ้า ทั้งที่ความจริงคือ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าที่ลงมาเป็นมนุษย์ ยิวเข้าใจกลับทาง !
31* ยอห์น 8:59, กิจการ 7:52, ยอห์น 5:18. 32* 1 ยอห์น 3:12, กิจการ10:38, 2:22
33* ยอห์น 5:18, เลวีนิติ 24:16, ฟีลิปปี 2:6

ยอห์น 10:34-36
พระเยซูทรงอ้างถึงพระคัมภีร์เดิมบ่อย ๆ ในสดุดี 82, อพยพ 21:6, 22:8-9 บางครั้งพระเจ้าจะทรงเรียกผู้ปกครอง ผู้มีอำนาจว่า เป็นเทพ หรือเป็นพระ คนพวกนั้นเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา แต่มีตำแหน่งหน้าที่ในการปกครองพระเจ้ายังทรงเรียกพวกเขาว่า พระ หรือเทพ
ดังนั้นในเมื่อพระองค์ทรงทำราชกิจของพระเจ้าให้เห็นมากมาย และทรงแจ้งด้วยว่า พระบิดาทรงแต่งตั้ง เลือกพระองค์ และส่งพระองค์มา จึงทรงคุณสมบัติทั้งปวงที่จะเป็นพระเจ้า เมื่อพระองค์ตรัสว่า พระคำเป็นจริง ไม่อาจลบล้างได้ นั้นหมายความว่า พระคำทุกตอนเป็นจริง เชื่อถือได้ (ซึ่งเรื่องนี้คนที่ต่อต้านพระองค์ก็ยอมรับ)
พระองค์ตรัสว่าทรงถูกแต่งตั้งให้มานั้น โยงไปถึงเยเรมีย์ 1:5, อพยพ 40:13
34* สดุดี 82:1,6-7, อพยพ 7:1. 35* มัทธิว 5:17-18 ,24:35, 1 เปโตร 1:25
36* ยอห์น 6:27, 3:17, 5:17-18, ลูกา 1:35

ยอห์น 10:37-39
เวลานั้น หินอยู่ในมือของพวกยิว แต่พระเยซูก็ไม่ได้กลัวพวกเขาเลย ทรงย้ำให้พวกเขาเห็นว่า ราชกิจของพระเจ้าที่ทรงทำนั้น เป็นเรื่องของการอัศจรรย์จากพระเจ้าล้วน ๆ มนุษย์ทำไม่ได้หรอก
แต่เมื่อพระองค์ตรัสว่า พระบิดาทรงอยู่ในเรา และเราอยู่ในพระบิดา เป็นการจุดความโกรธสุดเหวี่ยงให้กับพวกเขา
รับไม่ได้จริง ๆ ที่พระเยซูตรัสว่า พระองค์กับพระบิดาเป็นหนึ่งเดียวเป็นอย่างเดียวกัน แต่ในเวลานั้น พระองค์ก็ไปจากเขาทันที น่าจะรวดเร็วจนพวกนั้นมองไม่เห็นว่าทรงไปทางไหน
37* ยอห์น 10:25,15:24 38* ยอห์น 5:36, 14:10,11 39* ยอห์น 7:30,44

ยอห์น 10:40-42
จากคนไม่เชื่อที่เราเห็นมาแต่ต้นบท พระเยซูทรงหลบหินขว้างและทรงไปที่แม่น้ำจอร์แดน ซึ่งเป็นที่ ๆ ยอห์นได้ให้บัพติศมาแก่พระองค์ก่อนที่จะทรงเริ่มพระราชกิจ ที่นั่นเอง คนทั้งหลายที่เคยได้ยินยอห์นพูดถึงพระเยซู ได้ย้อนคิดและยอมรับว่า สิ่งที่ยอห์นกล่าวถึงพระองค์ เป็นความจริงทั้งสิ้น
นี่เป็นผลของการที่ยอห์นเต็มใจทำงานเป็นผู้เตรียมทางให้พระเยซูตามที่พระเจ้าทรงแต่งตั้งเขาไว้ ในวันแรกที่ทำงาน อาจยังไม่มีคนเชื่อ ไม่เข้าใจแต่เมื่อเวลาผ่านไป พระเจ้าทรงราชกิจในตัวคนเหล่านั้น และพวกเขาก็เห็นความจริง และพวกเขาก็ได้มาถึงชีวิตนิรันดร์ โดยที่ยอห์นเองไม่ต้องทำการอัศจรรย์ หมายสำคัญใด ๆ เลย
40* ยอห์น 1:28
41* ยอห์น 1:29,36, 3:28-36, 5:33

บรรณานุกรม
Biblehub.com
Enduringword.com
ESV.org
netbible.org