กิจการ 2 อธิบายเพิ่มเติม และพระคำอ้างอิง

คำนำ

กิจการบทที่ 2 นี้ได้บันทึกเหตุการณ์สำคัญมากคือ การเริ่มต้นของคริสตจักรด้วยคนจำนวน 120 คน รวมอีก 3000 คนในวันเดียว!  เมื่อเราอ่านกิจการบทนี้ ช่วงที่จะสับสนนิด ๆ คือ ช่วงที่ท่านเปโตร
เทศนา อธิบายคำพยากรณ์ของท่านโยเอล และพลิกกลับไปถึงข้อเขียนสดุดีของกษัตริย์ดาวิด เหตุการณ์ทั้งบทแบ่งเป็น
-พระวิญญาณเสด็จลงมาเหนือผู้เชื่อที่รวมใจกันอยู่ในบ้านหลังหนึ่ง
-พวกเขาชาวกาลิลี พูดสรรเสริญพระเจ้าเป็นภาษาต่าง ๆ ที่เข้าใจได้
-ผู้คนที่มาจากพื้นที่ห่างไกลเยรูซาเล็ม รู้ว่าพวกเขาพูดอะไรต่างแปลกใจ

-ท่านเปโตรอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นโดยอ้างถึงคำพยากรณ์ของท่านโยเอล
-จากนั้นกล่าวถึงสิ่งที่กษัตริย์ดาวิดได้เขียนไว้ถึงหนึ่งในลูกหลานของท่าน
ซึ่งพระเจ้าทรงสัญญาว่าจะให้เป็นผู้ปกครองที่ยิ่งใหญ่
-ท่านเปโตรยืนยันว่าพระเยซูทรงเป็นพระผู้เป็นเจ้าและพระเมสสิยาห์ พระผู้ช่วยให้รอด
คนที่ฟังพากันกลับใจ 3000 คน

ชีวิตประจำวันของคนในคริสตจักรยุคแรก คืออัครทูตยังคงทำสิ่งมหัศจรรย์ รักษาคนป่วย
มีการพบกันในพระวิหาร พบกันในบ้าน ฟังคำสอน หักขนมปังระลึกถึงพระเยซู อธิษฐานด้วยกัน
ส่วนในชีวิตประจำวันก็คือใช้ชีวิตด้วยกัน แบ่งปันสิ่งที่มี เป็นสังคมที่ไม่เคยมีมาก่อนเลย ในชีวิตประจำวันของคนยิว

พระวิญญาณเสด็จมาตามพระสัญญา

กิจการ 2:1-3
เทศกาลเพนเตคอสต์ เป็นเทศกาลที่ดึงดูดยิวจากพื้นที่ห่างไกล เทศกาลอื่น ๆ อยู่ในช่วงเวลาที่มีพายุ การเดินทางลำบาก เทศกาลนี้ฉลองกันในวันที่ห้าสิบหลังจากเทศกาลปัสกา วันที่ 16 เดือนนิสาน (ซึ่งเป็นเทศกาลที่พระเยซูสิ้นพระชนม์พอดี) เป็นการระลึกถึงการที่พระเจ้าประทานบัญญัติให้จากภูเขาซีนายและเป็นการถวายผลแรกแด่พระเจ้า ถ้าจะนับจากวันที่พระเยซูเสด็จสู่สวรรค์ พวกเขารอมาสิบวันพอดี
เมื่อพวกศิษย์มารวมเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน พระสัญญาที่พระเยซูตรัสไว้ก็เกิดขึ้น มีเสียงพายุสนั่นจากฟ้า เสียงดังสนั่นได้บอกว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จมาด้วยฤทธิ์เดชยิ่งใหญ่ ดังก้องไปทั้งบ้านที่เขารวมกันอยู่ คำว่าวิญญาณ เป็นคำเดียวกับ ลม ลมหายใจ นี่เป็นเสียงของพระวิญญาณที่กำลังเทลงมายังศิษย์ทั้งหลาย ไม่ใช่เป็นลมที่พัดแรง แต่เป็นเสียงเหมือนพายุ

การเทลงมาของพระวิญญาณครั้งนี้ …มีคนเป็นพยานต้นเรื่องถึง 120 คน และไม่ใช่แค่เสียงพายุกล้าเท่านั้น แต่พวกเขายังเห็นเปลวไฟเล็ก ๆ เหนือทุกคน ไฟ เป็นสัญลักษณ์ของการสถิตของพระเจ้า ( ปฐมกาล 15:17, อพยพ 3:2-6, ลูกา 3:16) แต่ครั้งนี้เป็นไฟที่ประหลาด แบ่งให้กับทุกคน มัทธิว 3:11 ยอห์นผู้ให้บัพติศมาบอกว่า พระเยซูจะบัพติศมาท่านด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ และด้วยไฟ…
พวกเขาได้ยิน ได้สัมผัสด้วยตา และได้กล่าวออกมาด้วยปากของพวกเขา

นี่เป็นการเริ่มต้นยุคใหม่ อิสราเอลไม่เคยมีอย่างนี้มาก่อน สิบวันหลังจากที่พระเยซูเสด็จสู่สวรรค์พระองค์ก็ได้ส่งพระวิญญาณผู้ทรงเต็มด้วยฤทธิ์เดชลงมายังคนของพระองค์ คนทั้งหลายเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน มีเป้าหมายเดียวกัน พระเจ้าองค์เดียวกัน คริสตจักรที่พระเจ้าทรงประสงค์ได้เกิดขึ้นแล้ว ตรงตามพระสัญญาของพระเยซูในมัทธิว 16:18 ที่ว่าพระองค์จะทรงสร้างคริสตจักร และประตูแห่งความตายจะเอาชนะคริสตจักรไม่ได้ และอีกครั้งใน ยอห์น 14:26 พระบิดาจะทรงส่งพระวิญญาณมาในนามของพระองค์เพื่อสอนทุกสิ่งให้ เราจะเห็นจากเหตุการณ์นี้ว่า การบัพติศมาด้วยพระวิญญาณนั้น นำให้ผู้เชื่อได้กลายเป็นพระวิหารแห่งพระวิญญาณ ที่ต้องเติมด้วยพระวิญญาณเสมอ
1** เลวีนิติ 23:15, กิจการ 1:14, โรม 15:6,
2** กิจการ 4:31, ยอห์น 3:8,
3** มัทธิว 3:11,

กิจการ 2:4-8
พอพระวิญญาณทรงเติมเต็มพวกเขา พระองค์ทรงบันดาลให้เขาพูดเป็นภาษาต่าง ๆ ตามท้องถิ่นของคนที่เข้ามาเยี่ยมกรุงเยรูซาเล็มในเวลานั้น ซึ่งน่าจะไม่ต่ำกว่ายี่สิบภาษา ทั้งชายหญิงที่อยู่ในห้องน้ันต่างพูดภาษาท้องถิ่นแตกต่างกันไป ทำให้เรารู้ว่าพระเจ้าทรงพอพระทัยที่จะให้ทั้งชายหญิงเป็นผู้กล่าวพระคำ และทรงเปิดโลกของทุกคนที่เข้ามาให้รู้ว่า พระองค์พอพระทัยให้ชนทุกชาติได้ยินข่าวประเสริฐของพระองค์ ไม่มีอุปสรรคของชาวยิว ชาวต่างชาติตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

คนยิวที่ได้ยินภาษาท้องถิ่นของเขา เป็นคนที่ยำเกรงพระเจ้า มาจากพื้นที่แถบเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งพวกเขามักจะเดินทางเข้ามากรุงเยรูซาเล็มในช่วงเวลาเทศกาล และเทศกาลเพนเตคอสต์ ก็เป็นช่วงเวลาของปีที่เดินทางสะดวกที่สุด อากาศจะดีไม่มีอุปสรรคมากเหมือนช่วงอื่น ๆ ของปี พอได้ยินคำกล่าวยกย่องถึงราชกิจอัศจรรย์ของพระเจ้าเป็นภาษาตนดังนั้น
ก็เลยมาชุมนุมกัน ต่างได้ฟังเรื่องราวในภาษาของตน พวกเขาตั้งคำถามแรกเพราะประหลาดใจมากว่า คนกาลิลีมาพูดภาษาถิ่นของพวกเขาได้อย่างไร พวกเขาตื่นตะลึง ประหลาดใจ พิศวง
4** กิจการ 1:5, มาระโก 16:17, กิจการ 10:46, 19:6, 13:52, 1 โครินธ์ 12:10,28, 30, 13:1
5** ลูกา 2:25, กิจการ 8:2, 10:7, 13:50 
6** กิจการ 4:32, 3:1
7** กิจการ 1:11, 2:12, 14:11-12, มัทธิว 26:73. 8** –

กิจการ 2: 9-13
ตอนที่พระวิญญาณทรงลงมาเหนืออัครทูตและพี่น้องผู้เชื่อในวันเพนเตคอสต์นั้น คนที่ได้ยินพวกเขาพูดภาษาของตนต่างถามกันเป็นคำถามที่สองว่า “นี่หมายความว่าอย่างไร?”
เมื่อเราย้อนไปที่กิจการ 1:4-8 ซึ่งเป็นคำบัญชาของพระเยซูให้พวกเขารอตามพระสัญญาของพระบิดา พระองค์ตรัสว่า อีกไม่กี่วัน พวกเขาจะได้รับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณ เพื่อจะได้ออกไปเป็นพยานฝ่ายพระเยซู ตั้งแต่ในเมืองหลวง ในสะมาเรีย จนสุดปลายแผ่นดิน
จริง ๆ แล้ว นี่เป็นรูปแบบเดียวกันกับก่อนที่พระเยซูจะทำราชกิจของพระองค์ พระวิญญาณทรงลงมาเหนือพระองค์ ในครั้งที่ทรงรับบัพติศมาจากยอห์น ดังนั้น ศิษย์ของพระเยซูจะทำการของพระองค์โดยขึ้นอยู่กับพระวิญญาณเช่นกัน
“เพนเตคอสต์ มีความหมายว่าพระเจ้าทรงจัดเตรียมคริสตจักรของพระองค์ให้พร้อมด้วยฤทธิ์เดชแห่งพระวิญญาณเพื่อว่าพระเจ้าจะทรงได้รับพระเกียรติสิริท่ามกลางชาติต่าง ๆ ในโลกนี้ ” อ่านเพิ่มเติม ฮาบากุก 2:14
ชาวยิวที่มาจากพื้นที่ต่าง ๆ นั้นได้ยินภาษาท้องถิ่นของเขาจากปากชาวกาลิลีที่ไม่เคยพูดภาษาของพวกเขามาก่อน คำที่พูดคือ พวกเขากล่าวถึงงานอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า จะไม่ให้พวกเขาตกใจ ประหลาดใจ งุนงงได้อย่างไร
ในวันนี้เอง เป็นวันเริ่มต้นของการประกาศพระสิริของพระเจ้าไปตามชาติต่าง ๆ จนสุดปลายโลก โดยพระเจ้าทรงเริ่มให้ด้วยพระวิญญาณของพระองค์เอง
9** 1 เปโตร 1:1, กิจการ 18:2, 16:6, วิวรณ์ 1:11 10** กิจการ16:6,
11** ฮีบรู 2:4, อพยพ 15:11. 12** กิจการ 17:20,

คำเทศนาแรกของท่านเปโตร

กิจการ 2:14-16
คำเทศนาของท่านเปโตรในวันเพนเตคอสต์.
เมื่อท่านเปโตรยืนกล่าวคำปกป้องเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น. ท่านยืนขึ้นพร้อมกับอัครทูตอีก 11 ท่าน
ไม่ได้ยืนอยู่คนเดียว และทุกคนที่กำลังพูดภาษาต่าง ๆ ก็หยุดพูด ทุกคนกลายเป็นฟังท่านเปโตรที่กำลังพูดขึ้นด้วยเสียงอันดัง เป็นคำกล่าวที่ไม่ได้เตรียมมาก่อน แต่เป็นช่วงเวลาที่พระวิญญาณทรงทำการในท่านเปโตร นี่เป็นคำเทศนาแรกต่อผู้คนจำนวนมากที่กำลังจะเชื่อ และเกิดเป็นคริสตจักรของพระเยซูคริสต์ในวันนั้น
การเกิดขึ้นของคริสตจักรครั้งนี้ มีพลังเหลือล้นจากพระเจ้า เหมือนระเบิดที่รุนแรง และคำเทศนาครั้งแรกนั้นก็ขยายเลื่องลือออกไปทั่วดินแดน กลายเป็นการประกาศที่นำออกไปโดยผู้คนจากที่ต่าง ๆ การเปลี่ยนแปลงในชีวิตคนที่เกิดขึ้นทำให้รู้ว่านี่เป็นการทำงานของพระเจ้า
ท่านบอกตรงๆ ว่านี่เก้าโมงเช้าเอง ใครจะไปดื่มเหล้ากัน ส่วนใหญ่แล้วคนยิวที่เคร่งครัดจะไม่กินหรือดื่มจนกว่าบ่ายสามหลังจากที่พวกเขาอธิษฐานกันเสร็จแล้ว
แล้วท่านเปโตรก็กล่าวถึงคำพยากรณ์นานกว่า 700 ปีที่ท่านโยเอลได้กล่าวไว้ นี่แสดงว่าท่านเข้าใจคำพยากรณ์นั้นเป็นอย่างดี …
14. อิสยาห์ 58:1, 15** 1 เธสะโลนิกา 5:7, 1 ซามูเอล 1:15. 16** โจเอล 2:28-32

กิจการ 2:17-18
เปโตรอธิบายเหตุการณ์ประหลาดของวันเพนเตคอสต์ให้ทุกคนได้เข้าใจ
สิ่งที่เกิดขึ้น ที่ทุกคนเห็นนั้น พระเจ้าทรงบอกล่วงหน้าผ่านผู้เผยพระคำโจเอลมาก่อนแล้ว
ยุคสุดท้ายคือ ช่วงเวลาระหว่างพระเยซูเสด็จมาบังเกิดในโลกจนถึงวันที่พระเยซูเสด็จกลับมาอีกที
พระเจ้าจะทรงเทพระวิญญาณมาเหนือคนของพระองค์
โดยไม่จำกัดอายุ เพศ ชนชั้น และจะส่งต่อไปยังทุกชนชาติด้วยไม่เว้นใครเลย พระเยซูคริสต์ทรงทำลายกำแพงที่กั้นระหว่างคนยิวกับคนต่างชาติเรียบร้อย
แต่น่าเสียดาย ยังมียิวที่ไม่ยอมรับเรื่องนี้ คิดว่าพวกเขาเท่านั้นที่พระเจ้าทรงเลือก เปโตรอธิบายเหตุการณ์ประหลาดของวันเพนเตคอสต์ให้ทุกคนได้เข้าใจ
สิ่งที่เกิดขึ้น ที่ทุกคนเห็นนั้น พระเจ้าทรงบอกล่วงหน้าผ่านผู้เผยพระคำโยเอลมาก่อนแล้ว
ยุคสุดท้ายคือ ช่วงเวลาระหว่างพระเยซูเสด็จมาบังเกิดในโลกจนถึงวันที่พระเยซูเสด็จกลับมาอีกที
พระเจ้าจะทรงเทพระวิญญาณมาเหนือคนของพระองค์
โดยไม่จำกัดอายุ เพศ ชนชั้น และจะส่งต่อไปยังทุกชนชาติด้วยไม่เว้นใครเลย พระเยซูคริสต์ทรงทำลายกำแพงที่กั้นระหว่างคนยิวกับคนต่างชาติเรียบร้อย
แต่น่าเสียดาย ยังมียิวที่ไม่ยอมรับเรื่องนี้ ยังมียิวที่คิดว่า พวกเขาเท่านั้นที่พระเจ้าทรงเลือก
17** อิสยาห์ 44:3, เอเสเคียล 11:9, เศคาริยาห์ 12:10, ยอห์น 7:38, กิจการ 10:45, กิจการ 21:9
18** กิจการ 21:4,9, 1 โครินธ์ 12:10

กิจการ 2:19-21
สิ่งที่พระเจ้าทรงบอกล่วงหน้า ได้สำเร็จไปส่วนหนึ่งแล้วคือการที่พระเจ้าเทพระวิญญาณลงมา
แต่ยังมีคำพยากรณ์อีกที่ยังไม่สำเร็จ คือกล่าวถึงวันที่พระเจ้าจะเสด็จมา
เป็นวันที่จะเห็นหมายสำคัญเกิดขึ้นในธรรมชาติ ในท้องฟ้า ทุกดวงตาจะเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น
และมีการเชิญชวนให้ใครก็ตามที่ร้องออกพระนามของพระเจ้าจะรับการช่วยให้รอด ไม่ได้จำกัดแค่คนยิวอีกต่อไป
19** โยเอล 2:30-31, มาลาคี 4:1-6, เศฟันยาห์ 1:14-18
20** อิสยาห์ 13:10, เอเสเคียล 32:7, มัทธิว 24:29, มาระโก 13:24,25, ลูกา 21:25
21** โรม 10:12-13, สดุดี 86:5, ฮีบรู 4:16

เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับพระเยซูโดยตรง

กิจการ 2:22-24
เมื่อกล่าวถึงคำพยากรณ์แล้ว ท่านเปโตรหันมากล่าวถึงพระเยซู
เรื่องนี้สำคัญ เพราะขณะที่ท่านเปโตรและผู้เชื่อยืนยันว่า พระเยซูทรงเป็นพระเมสสิยาห์ หรือพระผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมเพื่อนำความรอดบาปมาให้โลกนี้ ยิวส่วนใหญ่ไม่เชื่อ พวกเขาคิดว่าเขาต้องรอต่อไปความเห็นของพวกเขาคือ “ท่านเยซูผู้นี้ไม่ใช่พระเมสสิยาห์” พระเมสสิยาห์จะต้องเป็นนักรบนำพาให้พวกเขาพ้นจากอำนาจการปกครองของคนต่างชาติต่างหาก

คำเทศนาต่อไปตอนนี้ ท่านเปโตร พิสูจน์ให้คนยิวรู้ว่า คนที่พวกเขาตรึงบนไม้กางเขนนั้น เป็นพระเมสสิยาห์จริง ๆเพราะในสามปีที่ผ่านมา พวกเขาได้เห็นการอัศจรรย์ สิ่งที่น่าพิศวง และหมายสำคัญที่พระเยซูทรงกระทำ ผู้ที่ฟังท่านเปโตรอยู่นั้น ก็ได้เห็นเป็นพยานอยู่แล้ว …

ท่านเปโตรยืนยันว่า พระเยซูถูกมอบไว้ให้กับพวกเขาตามที่พระเจ้าทรงวางแผนล่วงหน้า ไม่ใช่เพราะพระเยซูอ่อนแอ พ่ายแพ้คนชั่ว แต่เพราะพระเจ้าทรงกำหนดให้เป็นเช่นนั้น พระเจ้าทรงยอมให้ชาวโรมเป็นผู้ตรึงพระองค์ตามความต้องการของเหล่าผู้นำยิวทั้งหลาย
แต่แล้วพระเจ้าก็ทรงทำตามแผนของพระองค์ต่อไป โดยการให้พระเยซูคืนชีพขึ้นมา ที่พระเยซูคืนชีพเพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า และทรงมีอำนาจเหนือความตาย

22** ยอห์น 3:2, 5:6, 14:10-11, อิสยาห์ 50:5,กิจการ 10:38
23** มัทธิว 26:4, ลูกา 22:22, กิจการ 3:18, 4:28, 1 เปโตร 1:20, กิจการ 5:30,
24** โรม 8:11, 1 โครินธ์ 6:14, 2 โครินธ์ 4:14, เอเฟซัส 1:20, โคโลสี 2:12, 1 เธสะโลนิกา 1:10, ฮีบรู 13:20

กิจการ 2:25-32
พระคำช่วงนี้ ข้อ 25 -32 นี้ เมื่ออ่านครั้งแรกอาจจะเข้าใจยากสักนิด เพราะท่านเปโตรเองก็
กล่าวย้อนไปมา สรุปว่า กษัตริย์ดาวิด เขียนสดุดี 16:8-11 โดยกล่าวถึงผู้หนึ่งที่อยู่ข้างขวามือ ทำให้ท่านไม่กลัว ใจก็ยินดี ลิ้นก็สรรเสริญ มีความหวังใจ เพราะ พระเจ้าจะไม่ทิ้งให้อยู่ในแดนตาย ไม่ต้องเปื่อยเน่า จะคืนชีพขึ้นมา ผู้นั้นกษัตริย์ดาวิดเรียกว่า “องค์บริสุทธิ์” ซึ่งเป็นหนึ่งในวงศ์วานของท่านเป็นลูกหลานของท่านที่ยิ่งใหญ่กว่าท่านมากมายนัก
ดาวิดเองไม่ได้เห็นว่า องค์บริสุทธิ์เป็นใคร แต่คำของท่านเป็นคำพยากรณ์ล่วงหน้ากว่าพันปี!

25** สดุดี 16:8-11, 62:6, 109:31, อิสยาห์ 41:13. 26** สดุดี 16:9, 71:23, 30:11.     27** กิจการ 13:30-37, วิวรณ์ 1:18,    28** สดุดี 16:11, 21:6.   29** กิจการ 13:36.   30** สดุดี 132:11, 89:3-4, เยเรมีย์ 33:14-15   31** สดุดี 16:10, กิจการ  13:15 32** กิจการ 2:24, กิจการ 1:8, 3:15

กิจการ 2:33-36
พระเยซูผู้ที่คืนชีพมานั้น ตอนนี้ ได้ไปอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าบนสวรรค์แล้ว
และพระองค์เคยสัญญาจะให้พระวิญญาณบริสุทธิ์
พระองค์ก็ทรงทำให้เห็นต่อหน้าต่อตาในวันนี้
เปโตรย้ำอีกชัดเจนว่า พระเจ้าทรงตั้งให้พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าและพระเมสสิยาห์
(คือเป็นทั้งเจ้านาย และพระผู้ช่วยให้รอดของมนุษย์)
33** กิจการ 5:31, ฮีบรู 10:12, ยอห์น 14:26, กิจการ 2:1-11,17 , 10:45. 34** สดุดี 68:18, 110:1, มัทธิว 22:42-45 35** โรม 16:20 36** โรม 14:8-12, 2 โครินธ์ 5:10

คำเชิญให้เชื่อพระเยซู

กิจการ 2:37-41
พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงทำการในจิตใจของผู้คนที่ยืนตรงนั้น (ยอห์น 16:8-11) พวกเขารู้สึกเจ็บแปลบในหัวใจมาก ๆ พร้อม ๆ กัน เหตุคือพวกเขาปฏิเสธพระเยซู!
เมื่อได้ยินเรื่องการสิ้นชีพ คืนชีพ พระวิญญาณทรงช่วยให้เขาสำนึกถึงบาปในชีวิต
และทรงช่วยให้พวกเขาไม่ต่อต้านอีกต่อไป แต่ยอมรับความจริงที่ได้ยินจากท่านเปโตร และพวกเขาอยากรู้ว่าต้องทำอย่างไร ในเมื่อได้ยินเรื่องเหล่านี้แล้ว
เปโตรบอกทันทีให้พวกเขาเปลี่ยนความคิด ให้เขากลับใจ ซึ่งหมายความว่า ให้เปลี่ยนการดำเนินชีวิตแบบเดิมที่เป็นชีวิตบาป หันหลังให้ทางนั้น หันมาหาพระเจ้า วางใจในพระเยซู และการหันจากบาปนั้นจะทำได้สำเร็จเพราะพระเจ้าทรงช่วยเราและอย่างที่สองท่านให้พวกเขารับบัพติศมา เพื่อสื่อให้ผู้อื่นรู้ว่า ตนตัดสินใจแล้วว่าจะเดินทางของพระเจ้า จะเชื่อวางใจพระเยซู
จากนั้นพวกเขาจะได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์จากพระเจ้า
ท่านเปโตรย้ำว่า พระเจ้าทรงเรียกทั้งพวกเขา และลูกหลานของพวกเขาที่กำลังจะเกิดมาด้วย รวมไปถึงชนชาติต่าง ๆ ที่พระเจ้าจะทรงเรียกไม่ว่าจะเป็นใครอยู่ในศาสนาอะไร
ท่านเองเตือนพวกเขาให้ช่วยตนเองให้พ้นจากความหลงผิดของคนที่ได้ตรึงพระเยซูบนไม้กางเขน
และในหมู่คนเหล่านั้น มีคนที่ยอมรับคำของเปโตร และรับเชื่อ 3000คนในวันเดียว!
นี่คือวันที่คริสตจักรเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก
37** ลูกา 3:10,  กิจการ 22:10 38** ลูกา 24:47, กิจการ22:16, 10:48 39** โยเอล 2:28,32, เอเฟซัส 2:13, 4:4, โรม 8:30. 40**  ฟีลิปปี 2:15, ฉธบ. 32:5. 41** กิจการ 4:4, 13:48, 16:31-34

ชีวิตของคริสตจักรแรก

กิจการ 2:42-43
ผู้เชื่อจากคน 120 คน กลายเป็น 3120 คนในวันเดียว เชื่อแล้วอยู่เฉยหรือ? เปล่าเลย
อัครทูตช่วยสอนพวกเขา มีการพบปะกันเพื่อคุยกันเรื่องของชีวิตใหม่
มีการหักขนมปังคือ การระลึกถึงพระเยซูคริสต์ มีการอธิษฐานเผื่อกันและกัน
ส่วนอัครทูตยังทำการอัศจรรย์ หมายสำคัญต่าง ๆ เพื่อช่วยคนป่วย คนมีปัญหาชีวิต
ความยำเกรงพระเจ้าอยู่ในบรรยากาศนั้น การอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นทำให้พวกเขารู้ว่า
พระเยซูที่ทรงทำการอัศจรรย์และหมายสำคัญนั้น ยังคงทำการของพระองค์ไม่หยุดยั้ง
ผ่านผู้ที่เชื่อในพระองค์​
42** กิจการ 1:14, ฮีบรู 10:25, 1 ยอห์น 1:3
43** กิจการ 2:22, 9:40, 5:15-16

กิจการ 2:44-45
บัดนี้พวกเขามีพระวิญญาณอยู่ในชีวิต เป็นพระคริสต์ที่ทรงคืนชีพอยู่ในพวกเขา
จึงเกิดความแตกต่างอย่างชัดเจน ทุกคนมีหัวใจคิดถึงคนอื่นมากกว่าตัวเอง อยู่กันเป็นชุมชน ตอนนี้พวกเขายังอยู่ในเยรูซาเล็ม
ความรักในหมู่พี่น้องเกิดขึ้นไม่ได้เกิดจากการบังคับ แต่มาจากความเข้าใจในความรักของพระเยซู เกิดจากหัวใจที่เปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง
ผู้เขียนได้บันทึกการมีน้ำใจที่เสียสละอย่างที่พวกเขาไม่เคยเป็นมาก่อน
คนที่เคยตระหนี่ถี่เหนียวก็เปลี่ยนแปลงไป เป็นการเปลี่ยนชีวิต เปลี่ยนสังคม
เปลี่ยนหน้ามือเป็นหลังมือ ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นอย่างนี้ไปได้
44** กิจการ 4:32,34,37, 5:2. 45**  อิสยาห์ 58:7, 1 ยอห์น 3:17, 1 ทิโมธี 6:18-19

กิจการ 2:46-47
พวกเขากลายเป็นกลุ่มชนที่คนอื่นต้องจับตามอง การไปประชุมที่พระวิหารก็ง่ายสำหรับ
ให้พวกเขารวมตัวกันมากฟังพระคำไปพร้อม ๆ กัน การรวมตัวในบ้านก็ช่วยให้มีโอกาส
ถามสิ่งที่สงสัย ช่วยกันแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ได้มีการอธิษฐานเผื่อกันอย่างใกล้ชิด
พวกเขาได้สรรเสริญพระเจ้าและเป็นที่ชื่นใจของคนอื่น ๆ ด้วย แถมยังมีคนเข้ามาเชื่อ
ทุก ๆ วันอีก … อย่างนี้พวกฟาริสีจะว่าอย่างไร? รัฐบาลโรมจะทนไหม?
46**  กิจการ 1:14, ลูกา 24:30,53, 2:42, 20:7, 1 โครินธ์ 10:16
47**. กิจการ 5:14, 16:5, 1 โครินธ์ 1:18

2 เปโตร 1 เริ่มต้นที่ความเชื่อ

หนุนใจให้รู้ว่าพระเจ้าทรงทำอะไรเพื่อเรา

จากซีโมน เปโตร ทาสรับใช้และอัครทูตของพระเยซูคริสต์
ถึงพี่น้องที่ได้รับความเชื่ออันมีค่าเช่นเดียวกับเราผ่านทางความชอบธรรมของพระเจ้าและ พระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอดของเรา
2 เปโตร 1:1

โรม 1:1, 12, 3:21, กิจการ 15:14,

ท่านเปโตรกำลังกล่าวถึงตนเองว่าเป็นทั้งทาสผู้รับใช้ของพระเจ้าเหมือนอย่างพี่น้อง และก็ยังอยู่ในฐานะอัครทูต คือผู้ที่พระเจ้า ทรงส่งออกไปประกาศพระนามด้วยความเชื่อที่มีอยู่นั้นทรงคุณค่าและเป็นความเชื่อที่เหมือนกัน มาจากพระเจ้าองค์เดียวกัน ได้มาเพราะความชอบธรรมของพระเยซูเหมือนกัน

ขอพระคุณและสันติสุขมีอย่างทวีคูณ เหนือพวกท่าน ในการรู้จักพระเจ้า และพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา
2 เปโตร 1:2

ยูดา 1:2, 1 เปโตร 1:2, ยอห์น 17:3

การรู้จักพระเจ้าจริง ๆ รู้มากขึ้นทุกวันมีความหมายว่าสนิทสนมขึ้น ติดตาม และทำตามพระองค์มากขึ้น ความเชื่อของเรานั้น มีพื้นฐานอยู่ที่การรู้จักความจริงของพระองค์ ยิ่งเรารู้จักพระเจ้ามากเท่าไร พระคุณและสันติสุขในชีวิตจะเพิ่มมากขึ้นทวีคูณ (ไม่ว่าเหตุการณ์รอบข้างจะเป็นอย่างไรก็ตาม)

ฤทธิ์เดชจากเบื้องบนได้นำให้เรามีทุกสิ่ง ที่จำเป็นต่อการดำเนินชีวิต และการติดตามพระเจ้าด้วยการรู้จักพระเจ้าผู้ทรงเรียกเรามายังพระสิริและความดีเลิศของพระองค์​
2 เปโตร 1:3

1 เปโตร 1:5, 1 เธสะโลนิกา 2:12, 2 เธสะโลนิกา 2:14, 1 เปโตร 5:10

คำกุญแจในหนังสือสองเปโตรนี้คือ “ความรู้ และการรู้จักพระเจ้า”  เป็นความรู้จักพระบิดาและพระเยซูอย่างลึกซึ้ง  และวิธีที่จะใกล้ชิดกับพระองค์ คือต้องสนิทสนมกับพระองค์ รู้จักพระลักษณะเฉพาะของพระองค์มากขึ้นทุก ๆ วัน  นี่เป็นชีวิตที่มีเกียรติมาก ฤทธิ์เดชจากเบื้องบน ..พระเจ้าเท่านั้นที่ทรงทำให้เราได้รับความรอด มนุษย์ไม่สามารถทำเองได้
คำว่า ความดีเลิศนี้ ภาษากรีกมีความหมายว่าเป็นคุณสมบัติ ลักษณะที่น่าปรารถนาทุกอย่างครบถ้วน (กรีก- อาเรเต คุณความดี ความล้ำเลิศ)

พื่อว่าโดยสิ่งเหล่านี้ พระองค์จึงประทานพระสัญญายิ่งใหญ่และล้ำค่าแก่เรา เพื่อว่าท่านจะได้เข้ามามีส่วนใน พระลักษณะของพระเจ้า จะพ้นจากความเสื่อมทรามของโลกที่เกิดจากความทะยานอยากที่ชั่ว
2 เปโตร 1:4

2 โครินธ์ 1:20, 7:1, 3:18,

พระสัญญานี้มีรากฐานมาจากพระสิริและ ความดีเลิศของพระองค์ พระเจ้าประทานสัญญาเพื่อให้เราได้เข้ามีส่วนในลักษณะของพระองค์ที่บริสุทธิ์ยิ่ง
การเข้ามีส่วน (กรีก:คอยโนนอย หมายถึงผู้เข้ามามีส่วนแบ่ง) เราไม่ได้เข้าไปมีส่วนในความเป็นพระเจ้าของพระองค์ แต่เรารับส่วนแบ่งพระลักษณะของพระองค์จนเราเป็นเหมือนพระองค์มากขึ้น
พระสัญญาที่ยิ่งใหญ่นั้น ขยายความในกิจการ 2:14-41 : การเทพระวิญญาณให้คนของพระเจ้า

ชีวิตแบบที่มีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า

เพราะเหตุนี้เอง จึงขอให้ท่านทุ่มเทอย่างที่สุด จากความเชื่อที่มีอยู่ ให้เพิ่มความดีงาม จากความดีงามให้เพิ่มความรู้
2 เปโตร 1:5

2 เปโตร 3:18, 1 เปโตร 3:7, โคโลสี 2:3

การที่จะมีชีวิตเป็นลูกของพระเจ้า มีส่วนใน พระองค์นั้น ไม่ใช่ว่าได้แล้ว ก็จะอยู่เฉย ๆ หรือกลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิม พระเจ้าทรงให้เราทุ่มสุดกำลังของเราด้วย เพราะสิ่งที่เราได้มานั้น มีค่ายิ่งนัก จะทำเป็นเหมือนสิทธิที่ยังไง ๆก็เป็นของฉันไม่ได้ เริ่มต้นจากความเชื่อ ทำให้เราได้รับชีวิตนิรันดร์ จากนั้น ก็ต้องมีสิ่งดี ๆ ที่เพิ่มเติมเข้ามาในชีวิต ไม่เริ่มจากความเชื่อ ก็จะกลายเป็นแค่คนมีศีลธรรมเท่านั้น แต่ไม่มีชีวิตของพระเจ้า

จากความรู้ เพิ่มด้วยการควบคุมตนเองจากการควบคุมตนเองเพิ่มความอดทนลงไป จากความอดทนนั้น เพิ่มด้วยชีวิตมีคุณธรรมแบบพระเจ้า
2 เปโตร 1:6

ลูกา 21:19, 2 เปโตร 1:3, กิจการ 24:25

เมื่อเริ่มด้วยความเชื่อในพระเจ้าแล้ว เราต้องใช้ชีวิตให้ดี แสวงหาความรู้ในพระเจ้า รู้จักพระองค์มากขึ้นทุกวัน จากนั้นก็ต้องรู้จักบังคับตน ในโลกที่วุ่นวาย ซับซ้อน เต็มด้วยความบาปโดยเฉพาะบาปทางเพศที่มันเข้ามาประชิดตัวเราในสื่อสังคม ในอุปกรณ์ที่เราใช้ทุกวัน ความอดทนนั้นคือการสู้ต่อไปแม้มีการต่อต้าน รับภาระหนัก ๆ ได้ ชีวิตมีคุณธรรมแบบพระเจ้า กรีก: eusebeia มีความหมายครอบคลุมถึงการอุทิศถวายแด่พระเจ้า จริงใจ ซื่อตรง

จากชีวิตมีคุณธรรมแบบพระเจ้า เพิ่มด้วยความรักฉันพี่น้องจากความรักฉันพี่น้อง เติมลงไปด้วยความรัก
2 เปโตร 1:7

กาลาเทีย 6:10, โรม 12:10, 1 เปโตร 1:22

เมื่อเชื่อพระเจ้าแล้ว คริสเตียนยังต้องใช้ชีวิตอย่างที่สมควรกับพระเจ้าความรักในหมู่พี่น้อง คำนี้ใช้ในกรีก: ฟีลาเดเฟีย คือการที่จะมีความคิดที่เหมาะควรกับพี่น้อง มีน้ำใจต่อกันส่วนความรักสุดท้ายนั้น ท่านเปโตรใช้คำว่า อากาเป เป็นความรักขั้นสูงสุด เป็นการหาสิ่งดี สวัสดิภาพให้กับผู้อื่น แม้ต้องแลกด้วยการเสียสละ

เพราะหากว่าท่านมีคุณสมบัติตามที่กล่าวมา และยังมีเพิ่มพูนขึ้นอีก ท่านก็จะไม่เป็นคนไร้ค่า ไม่ไร้ผลในความรู้เรื่องพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา
2 เปโตร 1:8

ยอห์น 17:3, ฟีลิปปี 3:8, โคโลสี 1:10

คุณสมบัติดังกล่าวตั้งแต่ความเชื่อไปจนจบสมบูรณ์ที่ความรักนี้ จะต้องมีการพัฒนา เติบโต เพิ่มพูนขึ้น การที่ไม่มีการพัฒนาทำให้เราเป็นคนไร้ผล พูดง่าย ๆ คือ ถ้าทำธุรกิจแล้วละก็ เท่ากับประสบความล้มเหลว (คำว่าไร้ค่า= อารกูส ไร้ผล =อาคาพูส เป็นคนละคำในภาษากรีก) ผู้เชื่ออย่างเราจึงควรมีเป้าหมายในชีวิตที่จะเติบโตงดงาม ชีวิตทั้งมีค่าและเกิดผล การที่เรารู้ แล้วเชื่อฟัง แสดงว่าเรารู้จักพระเจ้าจริง

คนที่ขาดคุณสมบัติดังกล่าว ก็เป็นคนสายตาสั้นจนบอด เพราะได้ลืมไปว่า ตนได้รับการชำระจากบาปในอดีตแล้ว
2 เปโตร 1:9

เอเฟซัส 5:26,ทิตัส 2:14, 1 ยอห์น 2:11

แต่หากในชีวิตไม่มีคุณสมบัติที่กล่าวมาล่ะ ? จะเกิดอะไรขึ้น แสดงว่า เราไม่รู้จักพระเจ้าจริง เพราะเราไม่สนใจที่จะทำให้ชีวิตของเรามีกำไร เพียบพร้อมด้วยการเพิ่มพูนคุณความดีของพระเจ้าในชีวิต ท่านเปโตรถึงกับว่าเป็นคนตาสั้นจนบอด ท่านยากอบเรียกว่าความเชื่อที่ตายแล้ว (ยากอบ 2:17,26) การลืม ในที่นี้คือ การไม่เอาใจใส่ ไม่เข้าใจความหมายแท้ของการที่พระเจ้าได้ทรงไถ่

ดังนั้น พี่น้องทั้งหลาย จงหมั่นย้ำเตือนตนเองถึงการทรงเรียก และการทรงเลือกท่าน ตราบเท่าที่ท่านปฏิบัติตามทางนี้ ท่านจะไม่มีวันสะดุดล้มลง
2 เปโตร 1:10

2 โครินธ์ 13:5, 1 ยอห์น 3:19, ยากอบ 2:10, ยูดา 1:24

เมื่อเราได้ตามสิ่งที่ท่านเปโตรเตือนไว้ก่อนหน้านี้ เท่ากับว่า เรากำลังย้ำเตือนให้ตัวเองรู้ว่าพระเจ้าทรงเรียก(โดยผ่านข่าวประเสริฐ 2 เธสะโลนิกา 2:14) และทรงเลือกเรา (ก่อนการวางรากสร้างโลก เอเฟซัส 1:4)เราต้องเอาใจใส่ชีวิตที่พระเจ้าทรงเลือกไว้ อย่าให้หลุด หลง สะดุดไปเพราะสิ่งที่ล่อหลอกในโลกนี้ ความดีทั้งแปดอย่างที่ท่านเปโตรกล่าวถึงเป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นจากใจจริง แกล้งทำไม่ได้ เมื่อความดีต่าง ๆ นี้เกิดขึ้นในชีวิต เท่ากับเป็นการพิสูจน์ว่า เราได้บังเกิดใหม่จริง. กำลังเหมือนพระเยซูมากขึ้นทุกวัน 

ด้วยวิธีนี้ ท่านจึงมีคุณสมบัติที่จะได้รับการต้อนรับเข้าสู่
อาณาจักรนิรันดร์ของพระเยซูคริสต์
ผู้ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และพระผู้ช่วยให้รอดของเราอย่างเหลือล้น
2 เปโตร 1:11

สดุดี 145:13, 1 ทิโมธี 6:17, 2 เปโตร 3:18

มีบางท่านให้ความเห็นว่าเป็นการเข้าโดยมีเสียงเพลงร้องต้อนรับเข้าไปที่นั่นเหมือนกับ นักรบที่ชนะกลับมาจากการรบ หรือนักกีฬาที่ชนะกลับมา ผู้คนต่างโห่ร้องต้อนรับด้วยความยินดียิ่งนัก เราจะเข้าไปในสวรรค์ด้วยวิธีไหน เข้าไปเงียบ ๆ หรือ มีการร้องไชโยที่ได้เข้ามา หรือว่าเข้าสวรรค์โดยหนีจากไฟนรก อย่างหวุดหวิด หนีออกมาแบบไม่คิดชีวิต ?

จำเป็นที่ต้องเตือนกันบ่อย ๆ

ด้วยเหตุนี้ ข้าจึงจะเตือนท่านถึงเรื่องดังกล่าวเสมอไม่ขาด แม้ว่าท่านรู้อยู่แล้ว และได้ยืนมั่นในความจริงนั้น
2 เปโตร 1:12

ฟีลิปปี 3:1, 1 ยอห์น 2:21, ยูดา 1:5, 1 เปโตร 5:12

จากข้อ 1 -11 ท่านเปโตรได้แนะนำให้เรารู้ว่า ควรมีคุณสมบัติใดในชีวิตเพื่อให้เหมาะกับอาณาจักรของพระเจ้าที่ผู้เชื่อกำลังจะเข้าไป ท่านเปโตร ยินดีที่จะเตือนแล้วเตือนอีก เพื่อผู้เชื่อจำไม่ลืม ผู้ที่อ่านจดหมายของท่านเปโตรนี้จึงควรรักษาสิ่งดีต่าง ๆ นี้ตลอดเวลาทุกวันที่เราเดินตามพระเจ้าอยู่

ความเร่งด่วนในหัวใจ

ตราบเท่าที่ข้ายังอยู่ในเต็นท์นี้
ข้ามองเห็นว่าการคอยเตือนฟื้น
ความจำให้ท่านเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
2 เปโตร 1:13

2 เปโตร 3:1, 2 โครินธ์ 5:1,4

เพราะการที่จะได้เข้าไปสู่อาณาจักรนิรันดร์ เป็นเรื่องสำคัญมาก ดังนั้นคำว่า …ตราบที่ยังอยู่ใน เต็นท์นี้… เท่ากับตอนนี้ท่านเปโตร กำลังคิดถึงความตายท่านถือว่าร่างกายเป็นเพียงที่อาศัยของชีวิตเพียงชั่วคราวใ ช้พักพิงไม่นานนัก เหมือนกับที่ผู้เขียนสดุดีเคยอธิษฐานว่า“ขอทรงสอนให้เรานับวันเวลาของเรา เพื่อเราจะมีปัญญา” สดุดี 90:12

เพราะข้ารู้ว่า อีกไม่นาน
ข้าก็ต้องปล่อยเต็นท์นี้ไป
ดังที่พระเยซูคริสต์เจ้าได้ทรงทำให้ข้าเห็นชัดเจนแล้ว
2 เปโตร 1:14

2 โครินธ์ 5:1, 2 ทิโมธี 4:6, ยอห์น 13:36, 21:18-19

ตอนที่ท่านเปโตรยังหนุ่มแน่น เป็นชาวประมงที่ออกมาติดตามพระเยซู ท่านมีพลังคนหนุ่ม แต่ใกล้วันที่พระเยซูจะเสด็จสู่สวรรค์ พระองค์ตรัส ให้เขาได้รู้ว่า ในยามชรา จะมีคนพาเขาไปในที่ ๆ
ไม่อยากไป ท่านรู้ดีว่า ท่านจะได้ตายอย่างที่ถวายพระเกียรติพระเจ้า ดูเหมือนท่านจะเห็นว่าอีกไม่นานท่านจะถูกลงโทษจากโรมแน่นอน
คำว่า ปล่อยเต็นท์นี้ หรือเอาเต็นท์นี้ออกไป หมายถึงความตาย และจากร่างนี้ไป

และข้าจะพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อว่า ท่านยังจะระลึกถึงสิ่งเหล่านี้เสมอยามที่ข้าจากไปแล้ว
2 เปโตร 1:15

เฉลยธรรมบัญญัติ 31:19-29

ความพยายามของท่านประสบความสำเร็จเกินคาด แม้เวลาจะผ่านไปสองพันปีแล้ว แต่จดหมายของท่านก็ยังช่วยให้คริสเตียนได้นำมาใช้เป็นเครื่องนำทางชีวิตอยู่จนทุกวันนี้ พระเจ้ายังทรงใช้งานเขียนของท่าน ให้เป็นรากฐานของคริสตจักร ของความเชื่อที่ถูกต้องมาทุกยุคทุกสมัย เราเองก็ควรคิดแบบท่านด้วยว่า เรามีอะไรดี ๆ ส่งต่อให้คนรุ่นต่อไปบ้าง

คำพยานที่จริงจากผู้เห็นเหตุการณ์

ตอนที่เราแจ้งให้ท่านทราบถึงฤทธิ์เดชและการเสด็จมาของพระเยซูคริสต์เจ้านั้น เราไม่ได้พูดตามเรื่องราวที่มนุษย์ปั้นแต่งขึ้น แต่เราเป็นพยานที่ได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระองค์ด้วยตัวเอง
2 เปโตร 1:16

1 โครินธ์ 1:17, มัทธิว 28:18, เอเฟซัส 1:19-22, 1 เปโตร 5:4, , มัทธิว 17:1-5, ลูกา 1:2

ท่านเปโตรยืนยันชัดเจนว่าท่านไม่ได้ใช้เรื่องราวจากเหล่าครูสอนผิดที่คิดเรื่องขึ้นมาเอง แต่ท่านเองเป็นคนที่เห็นสิ่งต่าง ๆที่เกิดขึ้นในชีวิตของพระเยซู เด็ดสุดก็คือวันที่ท่านได้เห็นพระเยซู องค์พระเมสสิยาห์บนภูเขา และทรงเปลี่ยนร่างจากมนุษย์เป็นพระเจ้าที่ทรงพระสิริรุ่งโรจน์ยิ่งนัก (มัทธิว 17:1-8) และทรงส่องแสงประกายราวกับดวงอาทิตย์ !

เพราะเมื่อพระองค์ทรงรับพระเกียรติและพระสิริรุ่งโรจน์จากพระเจ้าพระบิดาก็มีพระสุรเสียงจากพระสิริรุ่งโรจน์ที่ยิ่งใหญ่มายังพระองค์ว่า
“นี่คือลูกชายที่รักของเรา เป็นผู้ที่เราโปรดปรานมาก”
2 เปโตร 1:17

สดุดี 2:7, อิสยาห์ 42:1, มัทธิว 17:5, มาระโก 9:7, ลูกา 1:35, 9:35

Transfiguration of Jesus, 1520 (Oil on Canvas), by Raphael

ท่านเปโตรกำลังสื่อให้ผู้อ่านได้รับรู้ว่าพระเยซูที่ทรงเปลี่ยนร่างให้ท่านเห็นองค์นี้คือ พระเมสสิยาห์ผู้ที่ พระเจ้าทรงเจิมตั้งให้เป็นพระผู้ช่วยให้รอดบาปของชาวโลกจริง ๆ เพราะยังมีพระสุรเสียงของ
พระบิดาเจ้ายืนยันว่าทรงเป็นพระบุตรที่รัก ที่พระบิดาทรงโปรดปรานด้วย ดูสิ พระเจ้าผู้ที่เดินดินอย่างคนทั่วไป ได้สำแดงพระองค์จริงให้เปโตรและเพื่อนได้เห็น

และพวกเราเองได้ยินพระสุรเสียงนี้ จากสวรรค์ เวลาที่เราอยู่กับพระองค์
บนภูเขาบริสุทธิ์
2 เปโตร 1:18

มัทธิว 17:1

Painting:  “Transfiguration”
[cropped] by the Danish Lutheran artist Carl Bloch
[Public domain], via Wikimedia Commons

ความมหัศจรรย์ครั้งนี้ยังเพิ่มระดับให้กับเปโตร และเพื่อนด้วยการที่พวกเขาได้ยินเสียงจากสวรรค์ ยากอบและยอห์นก็ได้เห็น ได้ยินเสียงนี้ด้วย ผู้ที่บันทึกเรื่องราวสำคัญคือ มัทธิว มาระโกและลูกา ครั้งนี้เป็นครั้งที่เปโตรเล่าถึงเหตุการณ์ด้วยตัวเอง ถ้าเราคิดให้ดี เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นย่อมทำให้พวกเขายิ่งมั่นใจมากขึ้นว่า พระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า เพราะพระบิดาเจ้าทรงมา แจ้งให้พวกเขาทราบด้วยพระองค์เอง

นี่เอง ที่ทำให้เรามีความมั่นใจคำพยากรณ์ในอดีตมากยิ่งขึ้น จะเป็นการดีหากท่านใส่ใจคำนั้น เพราะเป็นเหมือนกับตะเกียงที่สองแสงในที่มืด จนกว่าเช้าตรู่
ดาวประจำรุ่งก็จะส่องแสงเข้ามาในใจท่าน
2 เปโตร 1:19

ยอห์น 1:4-5, 9, สุภาษิต 4:18, วิวรณ์ 2:28, 22:16, 2 โครินธ์ 4:5-7

การที่ได้อยู่ในเหตุการณ์พระเยซูทรงเปลี่ยน
พระกายจากมนุษย์เป็นพระเจ้านั้น นับว่ามหัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง แต่สำหรับเขาแล้ว สิ่งที่พระเจ้า ตรัสเกี่ยวกับพระเยซูมาตั้งแต่อดีตนั้น ยิ่งทำให้เขามั่นคง มั่นใจมากยิ่งขึ้น และท่านเองได้
ชักชวนให้เราใส่ใจคำพยากรณ์เรื่องพระเยซู
ผู้เชื่อในพระเจ้าควรใส่ใจพระคัมภีร์เดิมและคำสอน แท้จากอัครทูต คำเหล่านั้นเป็นแสงสว่าง
สำหรับชีวิตของทุกคน

อย่างแรกท่านต้องเข้าใจว่า ไม่ว่าใครจะ แปลความของพระผู้เผยพระคำตามใจตัวเองไม่ได้ เพราะคำจากผู้เผยพระคำ ไม่ได้เกิดจากความต้องการของมนุษย์. แต่เป็นการที่มนุษย์พูด เพราะเขาได้รับการดลใจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์​
2 เปโตร 1:20-21

โรม 12:6, เยเรมีย์ 23:26, 2 ทิโมธี 3:16, 2 ซามูเอล 23:2, ลูกา 1:70, กิจการ 1:16, 3:18, 1 เปโตร 1:11

คำพยากรณ์แท้จริงมาจากการที่พระเจ้าตรัส ผ่านคนของพระองค์ในเวลาที่เขาได้รับการขับเคลื่อนด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้น ไม่ใช่จะพูดเมื่อไรตามใจของคนพูดได้ คำว่า ดลใจจากพระวิญญาณในภาษากรีกมี ความหมายถึงการไปตามกัน อย่างเช่นเรือถูกลมพัดไป เรือแล่นไปตามกระแสน้ำ พระวิญญาณทรงนำให้เขาพูดตามพระองค์ ผู้เชื่อจะต้องไม่หลงเชื่อตามความเห็นครูสอนผิด

ยอห์น 8 คำอธิบายและพระคำอ้างอิง

ผู้หญิงที่ถูกจับมา

ยอห์น 8:1-2
เทศกาลอยู่เพิงเพิ่งเสร็จ    เรื่องที่เกิดขึ้นในพระวิหารคงยังเป็นเรื่องที่คุยกันในเมือง   รุ่งเช้าวันต่อมาพระเยซูเสด็จกลับมาที่พระวิหาร  หลังจากที่ไปพักที่ภูเขามะกอกเทศ ไปถึงก็ทรงนั่งสอน. ผู้คนก็เข้ามาห้อมล้อมพระองค์มากมาย เวลาสอนนั้น อาจารย์ในสมัยโบราณจะนั่งและมีผู้คน รุมล้อมฟังอาจารย์… พระองค์ทรงสอนในพระวิหารบ่อย ๆ (5:19-47, 7:14-52)    ดูสิว่า พระเยซูทรงกล้าหาญที่จะกล่าวถึงพระบิดาของพระองค์ไม่หยุด..
1 **.มัทธิว 21:1, ลูกา 19:37. 2** ยอห์น 8:20, 18:20

ยอห์น 8:3-6
6 แต่แล้วก็มีเหตุการณ์ที่สร้างความตระหนกให้ทุกคน  ธรรมาจารย์กับฟาริสี ไปจับผู้หญิงที่บอกว่ากำลังล่วงประเวณีมาให้พระเยซูตัดสินลงโทษ พวกเขาตั้งใจหาเรื่อง ต้องการหาจุดอ่อนเพื่อกล่าวโทษพระเยซู  ไม่ได้ต้องการความยุติธรรม หรือการทำตามบัญญัติโมเสส. พวกเขาต้องการทำลายทั้งผู้หญิงและพระเยซูต่อหน้าสาธารณชน หลายคนเชื่อว่า พวกเขาจัดฉากให้เกิดขึ้นเพื่อทำลายพระเยซูโดยเฉพาะ 
5 ในบัญญัติโมเสส เฉลยธรรมบัญญัติ   22:23,24. มีโทษสำหรับคนล่วงประเวณี   พวกที่จับผู้หญิงมา ต้องการให้พระเยซูพูดอะไร ๆ ที่ค้านบัญญัติของโมเสส. เขาถามพระเยซูชัดเจนว่า “ท่านจะว่าอย่างไร?” พวกเขาต้องการคำตอบทันที 6 ถ้าพระเยซูห้ามไม่ให้เอาหินขว้าง .. เท่ากับพระองค์ทรงทำผิดบัญญัติโมเสส.  และถ้าให้เอาหินขว้างก็เท่ากับขัดกับกฏหมายของโรมที่กุมอำนาจอยู่  เพราะโรมห้ามยิวจัดการลงโทษคนของตนเอง พระเยซูไม่ตรัสตอบทันที แต่กลับโน้มพระกายเขียนพื้นซึ่งคงเป็นพื้นทรายหรือดิน .. ไม่มีใครทราบว่า พระองค์ทรงเขียนอะไรที่พื้นดิน แต่คำกรีกที่ใช้นั้น เขียนว่า กราฟีอิน ซึ่งอาจหมายความว่า เขียนบันทึกกล่าวหา … ในพระคัมภีร์แปลบางเล่มมีคำ.. ราวกับว่าพระองค์ไม่ทรงได้ยินพวกเขา
3- 4** อพยพ 20:14, 5** เลวีนิติ 20:10, เฉลยธรรมบัญญัติ 22:21-24  6* *มัทธิว 22:15,18, 19:3

ยอห์น 8:7-8
8 แต่พวกเขาก็ถามไม่หยุด  พระองค์จึงทรงยืน และมองพวกเขาตาต่อตา.  คำของพระองค์นั้น ทำให้ทุกคนตะลึง ใครจะไปคาดคำตอบเช่นนี้..
“ใครไม่บาปก็ขว้างเป็นคนแรกเลย” … แทนที่จะเอาผิดกับผู้หญิง พระเยซูทรงชี้ความผิดของทุกคนที่ยืนอยู่ตรงนั้น !! คนที่เป็นพยาน เห็นความบาปของผู้หญิงคนนั้น ไม่ได้มีส่วนร่วมในบาป ก็เอาหินขว้างได้  พวกเขาต้องการให้พระเยซูติดกับดัก  แต่พระเยซูกลับทรงย้อนพวกเขาว่า ถ้าเขาไม่มีบาปแบบนี้จริง ๆ ละก็ เขาลงโทษเธอได้ 
8 แล้วพระเยซูทรงให้เวลาพวกเขาคิด..ได้อ่านสิ่งที่ทรงเขียนบนดิน 
7** ฉธบ. 17:7, โรม 2:1-3, 21-25,  8**-

ยอห์น 8:9-11
11 พวกเขาได้คิดจริง ๆ. เริ่มรู้ตัวว่าพระเยซูหมายความอย่างไร คนที่อายุมากกว่าก็เข้าใจสิ่งที่พระเยซูตรัสทันที  คนอื่น ๆ อาจจะยังเถียงกันไปมา แต่แล้ว ก็ไม่มีใครเหลืออยู่เลย.. ยกเว้นผู้หญิงที่ถูกกล่าวหา ยืนอยู่ตรงนั้น
10 ขณะที่พระเยซูทรงก้มเขียนดิน พวกเขาเดินออกไป พระเยซูทรงยืดพระกาย.. ถามเธอว่า ไม่มีใครเอาผิดหรือ?  ลองคิดดูว่าตอนนั้นเธอจะรู้สึกอย่างไร อาจตกใจมากอยู่… แต่แล้ว เธอก็ได้รับพระคุณยิ่งใหญ่..
11 พระเยซูไม่ได้เอาผิดหญิงคนนี้ แต่พระองค์ทรงยกโทษให้และขอให้เธอหยุดทำบาป  สมกับเป็นองค์พระเยซูที่ตรัสว่า บรรดาผู้ลำบากเหน็ดเหนื่อยจงมาหาเรา … เพราะว่าเราสุภาพอ่อนโยน และใจอ่อนน้อม มัทธิว  11:28,29. เราจะเห็นคนบาปสองแบบคือ คนที่ดูดีมีฐานะ มีความรู้ หรือเป็นคนดีมาก ๆ แต่หลบซ่อนบาปของตัวเองไว้    กับคนบาปที่ทำบาปให้เห็น  พวกแรกก็ชอบวิจารณ์  ชอบหาความผิด คอยกล่าวหาผู้อื่นไม่หยุดหย่อน คิดว่าตัวเองดีกว่าใคร ๆ 
พระเยซูทรงทำให้หญิงที่ถูกกล่าวหาได้รู้ว่า พระเจ้าทรงรักเธอ พระองค์พร้อมที่ให้เธอกลับใจ การเปลี่ยนชีวิตของเธอเกิดขึ้นช่วงเดียวกับที่เธอเห็นความอ่อนโยนที่พระองค์ปฏิบัติต่อเธอ
9* โรม 2:22 , ปัญญาจารย์​ 7:22, 1 ยอห์น 3:20, 10** อิสยาห์. 41:11-12 11* ยอห์น 3:17, 5:14, อิสยาห์ 1:16-18

องค์ผู้เป็นแสงสว่างแห่งโลก

ยอห์น 8:12-14. คำสนทนาเรื่องความสว่างของโลก
12. กลับมาที่คำสนทนาระหว่างยิวฟาริสี ธรรมาจารย์กับพระเยซู เป็นคำสนทนาที่ยาวพอสมควร …. ครั้งที่สองที่พระองค์ตรัสว่า “เราเป็น…..” ก่อนหน้านี้ ตรัสว่า เราเป็นอาหารแห่งชีวิต (6:35 ตอนที่ทรงเลี้ยงคน 5000 คน )  และก่อนหน้านี้ พระองค์ยังชวนให้คนเข้ามาหาน้ำแห่งชีวิต ซึ่งพระองค์หมายถึงองค์พระวิญญาณ  (7:37-38)
เมื่อไรที่มีการพูดถึงความสว่าง  คนยิวจะคิดถึงการสถิตอยู่ของพระเจ้า  ไม่ว่าจะเป็นการทรงสร้างความสว่าง หรือการที่ทรงเป็นเสาไฟยามกลางคืนเมื่ออิสราเอลเดินในถิ่นกันดาร   ดังนั้น เมื่อพระองค์ตรัสว่าทรงเป็นความสว่างเท่ากับ พระองค์ตรัสว่า “เราเป็นพระเจ้า” ชัดมาก   ทำให้พวกเขาโกรธที่พระองค์ยืนยันเช่นนี้(อิสยาห์เคยกล่าวไว้ว่า ผู้รับใช้ที่พระองค์จะส่งมา คือแสงสว่างของโลก อิสยาห์ 42:6, 49:6)  จริง ๆ แล้วเทศกาลอยู่เพิงเป็นเทศกาลแห่งไฟด้วย จะมีการจุดไฟสว่างเอาไว้ตลอดเทศกาลระลึกถึงการเดินในถิ่นกันดาร
13. เราก็อาจงงว่า ทำไมฟาริสีพูดเช่นนั้น หาว่า พระองค์เป็นพยานให้ตนเอง  คำของพระองค์จึงเชื่อถือไม่ได้ว่าทรงเป็นแสงสว่าง   ในระบบศาลของยิวจะต้องมีพยานสองปากขึ้นไป
14. พระองค์กำลังบอกว่าที่คำพยานของพระองค์เชื่อถือได้เพราะ  เป็นพยานเดียวก็ได้ แม้จะไม่ตรงตามบัญญัติของโมเสส    พระองค์ทรงรู้ว่าทรงมาจากสวรรค์ ทรงเป็นพระเจ้า ( 7:29, 33-34) แต่พวกเขาต่างหากที่ไม่รู้
12** ยอห์น 1:4, 9:5, 12:35, 1 เธสะโลนิกา 5:5,อิสยาห์ 49:6 13** ยอห์น 5:31  14**  ยอห์น 7:28, 9:29

ยอห์น 8:15-18
15.พระเยซูบอกให้ฟาริสีรู้ว่า พวกเขาไม่ได้มีสิทธิจะตัดสินพระองค์เลย พระองค์ต่างหากที่เป็นพระเจ้าสามารถตัดสินพวกเขาได้  (อ่านดาเนียล 7:9-14)   พวกเขากำลังประเมินพระองค์แบบมนุษย์ การรู้จัก และความเห็นของตัวเองที่มีต่อพระองค์  พวกเขาเห็นว่าพระองค์เป็นลูกช่างไม้ ไม่ได้เรียนในธรรมศาลาเหมือนพวกเขา
16. ถึงอย่างนั้น พยานของพระองค์มีสองท่านคือ ตัวพระองค์เอง และพระบิดา ดังนั้นจึงถูกต้อง
17.ตามธรรมบัญญัติที่วางไว้ว่าต้องมีพยานสองคนขึ้นไปจึงจะเชื่อถือได้. (ฉธบ.17:6)
18. (ตอนที่พระเยซูทรงรับบัพติศมาจากยอห์นนั้น พระบิดาได้ลงมาตรัสว่า  ผู้นี้เป็นบุตรที่รักของพระองค์ ให้คนจำนวนมากที่อยู่ในเหตุการณ์ได้เห็น รวมถึงพวกฟาริสี ธรรมาจารย์บางคนที่ออกไปรับบัพติศมา).
ลูกา 3:21-22 พระบิดาทรงมาเยี่ยมเยี่ยนในวันที่พระเยซูทรงรับบัพติศมาจากยอห์น อ่านยอห์น 1:29-34, 3:22-35 ยอห์นผู้ให้บัพติศมาเป็นพยานเรื่องพระเยซู
15** ยอห์น 7:24, 3:17,12:47, 18:36   16** ยอห์น 16:32  17** ฉธบ. 17:6, 19:15   18** ยอห์น 5:37

ยอห์น 8:19-20
19.  บิดาของท่านอยู่ที่ไหน? พวกเขาถามถึงบิดาที่เป็นมนุษย์ แต่พระเยซูกำลังตรัสถึงพระบิดาผู้อยู่ในสวรรค์ ฟาริสีมองฝ่ายเนื้อหนัง พระเยซูทรงกล่าวถึงพระบิดาผู้ทรงเป็นพระวิญญาณ 
คนละมุมมอง เหมือนพูดกันคนละเรื่อง
เอากันจริง ๆ ฟาริสีและธรรมาจารย์รู้อยู่แล้วว่าพระองค์ไม่เหมือนใคร อย่างไร พระองค์พิเศษอย่างไร   ถ้าเขารู้จักพระองค์จริง ๆ เป็นไปไม่ได้หรอกที่จะรู้จักพระบิดาด้วย … แต่ตอนนี้ฟาริสีและธรรมาจารย์ตามืด ตาบอด ขอเพียงแต่ได้ทำลายพระเยซูเป็นพอ  
ลองคิดถึงเปโตรในวันที่พระเยซูทรงถามเขาว่า ท่านว่าเราเป็นใคร เขาตอบอย่างชัดเจนเพราะเขารู้จักพระองค์ว่า “พระองค์คือพระคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า”. (มัทธิว 16:16)
20. ยอห์นได้บันทึกว่า เหตุการณ์นี้อยู่ในที่สาธารณะ คลังพระวิหารนั้นอยู่ด้านหน้าสุดของพระวิหาร เป็นที่ ๆ อยู่ใกล้ ๆ กับเจ้าหน้าที่และยามพระวิหาร   ผู้คนไม่น้อยได้ฟังคำสนทนาที่เกิดขึ้น 
19** ยอห์น 16:3, 14:7,     20** มาระโก 12:41, 43, ยอห์น  2:4, 7:30, ยอห์น 7:8

ยอห์น 8:21-23
21. จากการที่ฟาริสีและธรรมาจารย์ได้พยายามต่อต้านพระองค์ขนาดนี้ พวกเขาไม่ยอมรับผู้ที่พระเจ้าส่งมา  พระเยซูจึงทรงบอกอนาคตของพวกเขารู้กันไปเลย  ว่าที่ ๆ พระองค์จะไปพวกเขาไปไม่ได้  พระองค์กำลังตรัสถึงการสิ้นชีพ คืนชีพและเสด็จสู่สวรรค์
22. แต่พวกเขากลับเห็นว่าพระองค์จะฆ่าตัวตาย และที่สุดก็ไปนรก (ในความเชื่อยิวนั้น นรกเป็นที่สุดท้ายของคนที่ฆ่าตัวตาย)
ดูสิ พระองค์ตรัสว่าจะทรงไปสวรรค์ แต่เขากลับเข้าใจว่าพระองค์จะไปนรก   เราจะเห็นได้ชัดว่าฟาริสีเหล่านั้น ไม่เหมาะที่จะเป็นผู้นำ ไม่รู้อะไรในเรื่องฝ่ายวิญญาณเลย
23. แล้วพระเยซูจึงสรุปให้เข้าใจจริงว่า อะไรเป็นอะไร พระองค์มาจากสวรรค์ แต่พวกเขาเป็นคนที่ต่อต้านพระเจ้า มาจากเบื้องล่าง  ในภาษาเดิมเป็นการเล่นคำด้วย   ยอห์นบอกมาตั้งแต่ต้นแล้วว่าพระเยซูทรงเป็นผู้ใด ทรงเป็นพระดำรัสของพระเจ้าที่ทรงอยู่มาตั้งแต่ต้น ทรงเป็นความสว่างที่ลงมาในโลก  พวกเขาไม่ได้เข้าใจอะไรเลย
21** ยอห์น 7:34, 13:33, 8:24,  22** สดุดี 22:6   23** ยอห์น 3:31, 4:5

ยอห์น 8:24-26
24. แล้วพระเยซูทรงแจ้งตรงไปตรงมาว่า หากพวกเขาไม่เชื่อว่า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า พวกเขาจะต้องตายเพราะบาป ในภาษาเดิมพูดว่า ถ้าเจ้าไม่เชื่อว่า เราคือ “เราเป็น” (อีโกอีไมซึ่งเป็นชื่อที่พระเจ้าทรงเรียกพระองค์เองในวันที่พระองค์ทรงบอกชื่อของพระองค์แก่โมเสสที่พุ่มไม้ไฟ  เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เรียนได้อีกลึกซึ้งมาก )   
25. ได้ยินอย่างนี้ พวกเขาก็โกรธยิ่งขึ้น  เอาอีกแล้ว ชายคนนี้ทำตัวเสมอพระเจ้าอีกแล้ว… “ท่านเป็นใครกัน?”  พวกเขาถามอย่างนี้บ่อย ๆ แต่เมื่อพระเยซูทรงตอบว่าทรงเป็นพระคริสต์ ก็ไม่ยอมรับ    (เฉลยธรรมบัญญัติ 32:39)  พวกเขาต้องได้คำตอบแบบที่ตนต้องการจึงจะพอใจ
26.  พระเยซูกำลังตรัสแก่ยิวและแก่เราว่า หากไม่เชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ที่พระองค์ทรงบอกแล้วละก็  เขาจะต้องตายเพราะบาปของเขา (ยอห์น16:9 บอกเราชัดว่า การไม่เชื่อคือการอยู่ในสถานะบาป)
24** ยอห์น 8:21, มาระโก 16:16  25** ยอห์น 4:26   26** ยอห์น 7:28, ยอห์น 3:32, 15:15

ยอห์น 8:27-30
27.  ความที่ไม่ยอมรับพระบุตรและพระบิดาตามที่พระเยซูตรัส พวกเขาจึงไม่เข้าใจอะไรเลย  ไม่รู้ว่าพระเยซูกำลังบอกเขาว่า มีพระเจ้าพระบิดาผู้ทรงส่งพระองค์มา และพระบิดาตรัสอะไร พระเยซูก็จะบอกตามนั้น
28. แล้วพระองค์ก็ตรัสถึงอนาคตอันใกล้ว่า เมื่อไรที่ยิวยกพระองค์ขึ้น  (ไม่ได้หมายความว่ายกย่อง)  แต่เป็นการยกไม้กางเขนที่มีร่างของพระองค์ติดอยู่ แล้วตั้งขึ้น  เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน พวกเขาจึงจะรู้ว่า พระองค์ทรงทำทุกอย่างตามพระบิดาบัญชา
29. และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น  พระบิดากับพระเยซูใกล้ชิดกันเสมอ เพราะเป็นพระบุตรที่ทำให้พระบิดาพอพระทัย    30. แปลกที่เวลานั้น มียิวหลายคนตัดสินใจเชื่อพระองค์ !  แต่เชื่อแบบไหนกัน เราดูต่อไป
27** อิสยาห์ 6:9 , 2 โครินธ์ 4:3-4   28** ยอห์น 3:14, 12:32, 19:18,  โรม 1:4, ยอห์น 5:19,30, 3:11    29** ยอห์น 14:10, 8:16, 16:32, 4:34,5:30,6:38   30** ยอห์น7:31, 10:42, 11:45

ลูกอับราฮัมหรือลูกมาร ?

ยอห์น 8:31-34
31-32   แทนที่พวกเขาเชื่อ แล้วพระองค์จะเอาใจ  พระองค์กลับตรัสสิ่งที่แรงมาก   นั่นคือพระองค์ตรัสสื่อว่า พวกเขาเป็นทาสอยู่  เมื่อไรที่เขารู้ความจริง เขาจะเป็นอิสระ ความจริงของพระเจ้าเท่านั้น ที่ช่วยให้เราไม่ตกไปเป็นทาสคำโกหกของใคร 
33. พวกเขาโกรธและคิดว่าตัวเองไม่เคยเป็นทาสใคร  (พวกเขาลืมไปว่า  ในทางการเมืองแล้วพวกเขาเป็นทาสโรม  ในทางความเชื่อ พวกเขาเป็นทาสกฎบัญญัติอย่างสุดโต่ง  พวกเขาคิดว่าตนเองเป็นคนมีศีลธรรม ทั้ง ๆ ที่ตัวเองเป็นทาสบาป)
34. อย่างไรก็ตามพระเยซูทรงสนพระทัยฝ่ายวิญญาณ ทรงบอกเขาว่าถ้าเขาทำบาป เขาก็เป็นทาสของบาป  พอได้ยินอะไรแบบนี้ที่เหมือนจะดูถูกตัวพวกเขา พวกเขาก็จะรับไม่ได้เลย
พระเยซูทรงยื่นชีวิตอิสระที่มาจากการมีความสัมพันธ์กับพระเจ้า และการถูกลบบาปโดยพระองค์เอง แต่พวกเขารับคำของพระองค์ไม่ได้เลย 
31**  ยอห์น 14:15,23,  32**  ยอห์น 1:14,17,  14:6  โรม 6:14,18,22,   33** เลวีนิติ 25:42, มัทธิว 3:9, ลูกา 3:8   34** สุภาษิต  5:22, โรม 6:16, 2 เปโตร 2:19

ยอห์น 8:35-38
35. คนยิวคิดว่าตนเองเป็นลูกในครอบครัวของพระเจ้า ในฐานะที่เป็นลูกหลานอับราฮัม แต่พระเยซูกลับทรงแจ้งให้พวกเขารู้ว่าเขาเป็นเพียงทาสไม่ได้อยู่ในบ้านของพระเจ้านาน ๆ หรอก พระบุตรเท่านั้นที่อยู่ตลอดไป  
36. การเป็นอิสระจริง ๆ ที่พระเยซูกล่าวถึง คือการเป็นอิสระจากภาวะทาสบาป 
37 พระเยซูทรงรู้ว่าพวกเขาเป็นยิวแท้ เป็นลูกหลานของอับราฮัม ที่พระองค์ตรัสว่า เจ้าไม่มีคำของเราในตัว ความหมายคือ คำของพระเยซูไม่ได้เกิดผลในชีวิตของพวกเขาเลย ไม่ได้เปลี่ยนความคิดเดิมของพวกเขา ถ้าเป็นอับราฮัม เขาจะไม่คิดฆ่าพระเยซู
38.  และเมื่อพระองค์ตรัสว่า เจ้าทำสิ่งที่เจ้าฟังมาจากพ่อของเจ้า พระองค์ทรงหมายถึงมาร แต่พวกเขาคิดว่าพ่อของพวกเขาคืออับราฮัม   เป็นการสนทนาที่น่างุนงง ดูไปดูมา การสนทนานี้เหมือนว่า พระบิดาทรงสนทนากับเหล่าฟาริสีโดยตรง เพราะพระเยซูได้ตรัสว่า พระองค์ตรัสตามที่พระบิดาทรงสอนไว้ (ข้อ 28)
35** ปฐมกาล 21:10; กาลาเทีย 4:30, ลูกา 15:31  36** โรม 8:2, 2 โครินธ์ 3:17, กาลาเทีย 5:1
37**  ยอห์น  7:19   38**  ยอห์น 3:32, 5:19,30, 14:10    

ยอห์น 8:39-41
39 บางคนเริ่มสับสนแล้ว ยังยืนกรานว่าตนเองเป็นลูกหลานอับราฮัม แต่พระเยซูก็ทรงยืนยันว่า อับราฮัมจะไม่ทำอย่างที่พวกเขากำลังพยายามทำอยู่    พวกเขาเป็นลูกหลานอับราฮัมแค่เชื้อสาย แต่ไม่ใช่ด้วยความเชื่อ
40. “แต่เจ้าพยายามฆ่า คนที่บอกความจริง” ในฐานะมนุษย์พระองค์เป็นคนที่ได้รับทุกสิ่งมาจากพระเจ้า ก่อนที่มาจากเป็นมนุษย์ 
41 ตอนนี้พวกเขากำลังกล่าวหาว่า พระเยซูเป็นลูกนอกสมรสของมารีย์   เวลาอีกฝ่ายไม่สามารถต่อสู้ความในศาล หรือในการโต้แย้งได้ สิ่งที่มักทำกันคือ การกล่าวหาทำให้อีกฝ่ายหมดความน่าเชื่อถือ. คำตอบของพวกเขาทำให้เรารู้สึกว่า เขาภูมิใจที่เชื่อพระเจ้าองค์เดียว ไม่ได้เป็นเหมือนคนต่างชาติที่มีพระมากมาย  เวลาพวกเขาพูดถึงพระเยซูว่าเป็นชาวสะมาเรีย (ข้อ 48) หรือกล่าวว่าพระองค์จะไปหาคนต่างชาติ (7:35)  พวกเขาพูดด้วยความรู้สึกดูถูกคนเหล่านั้น    พวกเขารู้สึกจริง ๆ ว่าเขาเหนือชนชาติอื่น ๆ เพราะพวกเขาเป็นคนของพระเจ้า
39** มัทธิว 3:9, ยอห์น 8:37, โรม 2:28, กาลาเทีย 3:7,29   40** ยอห์น 8:37,26,   41** ฉธบ 32:6, อิสยาห์ 63:16, มาลาคี 1:6

ยอห์น 8:42-44 ก
42. คำตรัสของพระเยซูตอนนี้ เด็ดจริง ๆ  ถ้าพวกเขาเป็นคนของพระเจ้าจริง เขาจะรักพระองค์ พระองค์ไม่ได้มาเอง แต่พระบิดาทรงส่งพระองค์มาในโลก 
43. พระองค์ทรงเป็นหนึ่งเดียวกับพระบิดา แต่ในขณะเดียวกันก็ทรงเป็นคนละองค์  ทรงออกมาจากแก่นแท้ของพระเจ้า มาอยู่ในโลกมนุษย์ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง !
คำสนทนาตอบโต้กันนี้ แรงตลอด … สิ่งที่พระเยซูตรัสชัดเจน  พวกเขาไม่มีอาจรับสิ่งที่พระองค์ตรัสได้เลย 
44 ก.พระองค์ทรงถามเขา แล้วพระองค์ทรงตอบให้ว่า อาการจริง ๆ ของการไม่ยอมรับพระองค์มาจากไหน  ไม่ใช่แค่ ว่าพวกเขาเป็นทาสบาปเท่านั้น  แต่เป็นเพราะ พวก เขาเป็นของลูกของมาร และพวกเขากำลังทำตามความต้องการของมารอยู่  ถ้าเขาเป็นลูกอับราฮัมจริง ๆ เขาจะไม่ทำเช่นนี้
42** 1 ยอห์น 5:1, ยอห์น 16:27, 17:8, 25, 5:43, กาลาเทีย 4:4  43**  ยอห์น 7:17, 44ก**  มัทธิว 13:38, 1 ยอห์น 3:8, 2:16, 3:8-10, 15

ยอห์น 44ข- 47
44ข. จากนั้นพระเยซูก็ทรงอธิบายให้ชัดว่าอะไรเป็นอะไร พระองค์อธิบายนิสัยใจคอของมาร พ่อของพวกเขาคือมารได้โกหก และฆ่ามนุษย์มาตั้งแต่แรก   มารไม่ยืนในความจริง  มันเป็นพวกมุสาไปเสียทุกเรื่อง ถึงจะพูดจริงบางส่วนก็เพียงเพื่อเอาไว้ล่อให้คนตายใจ   มันเรียกดีว่าชั่ว เรียกชั่วว่าดี  มันเป็นผู้สนับสนุนความชั่วร้ายทุกรูปแบบ
45. คนที่เชื่อคำโกหกมานาน ๆ เมื่อเจอกับความจริงกลับทำใจให้เชื่อไม่ได้    
46. ทั้ง ๆ ที่พวกเขาไม่อาจพิสูจน์ได้ว่าพระองค์ทำบาปเลย  แต่ก็ไม่มีใครเชื่อพระองค์ 
น่าแปลกที่คนยิวที่กำลังอยู่ตรงนี้ ไม่ได้ปฏิเสธว่า เขาต้องการฆ่าพระองค์
47.  พระองค์สรุปว่า คนของพระเจ้าจะฟังพระดำรัส  ทรงถามเขา และทรงตอบให้อีก
44 ข**  ยูดา 6   45** 2 ทิโมธี 4:3-4, 2  เธสะโลนิกา 2:10   46**  มาระโก 11:31   47** ลูกา 8:15, ยอห์น 10:26, 1 ยอห์น 4:6

ยอห์น 8:48-51
48. คราวนี้พวกเขาทนแทบไม่ได้ พวกเขาไม่อาจปฏิเสธคำของพระเยซู ดังนั้นจึงเลี่ยงไปกล่าวหาว่าพระเยซูเป็นชาวสะมาเรีย ซึ่งเป็นกลุ่มเชื้อชาติที่ยิวทั้งดูหมิ่นและเกลียดชัง  ไม่แค่นั้น หาว่าพระองค์ถูกผีสิงด้วย! พวกเขาใช้วิธีกล่าวหาอีกฝ่ายเมื่อไม่สามารถสู้คำของพระองค์ได้
49-50 เมื่อพระองค์ตรัสว่า เราถวายเกียรติพระบิดา ไม่ได้หาเกียรติให้ตัวเอง และพระเจ้าจะทรงเป็นผู้ตัดสินทุกอย่าง  เท่ากับว่าพระองค์ไม่ได้มีผีสิงแน่นอน เพราะผีจะไม่ถวายเกียรติพระเจ้า  พวกเขาต่างหากที่เป็นลูกมาร
51. การทำตามคำของพระองค์ มีความหมายว่า เชื่อในพระองค์ จะไม่เห็นความตาย  คือจะไม่ตกนรกไป 
48** ยอห์น 7:20, 10:20,  49** ยอห์น   5:41   50**  ยอห์น 7:18,  ฟีลิปปี 2:6-8  51** ยอห์น 5:24, 11:26

ยอห์น 8:52-54
52. ความตายในที่นี้ พระเยซูทรงหมายถึงความตายของจิตวิญญาณ
53. แต่ฟาริสีคิดถึงความตายฝ่ายร่างกาย   พวกเขามองว่าพระเยซูยกตัวเองใหญ่กว่าอับราฮัม
54. เกียรติของพระเยซูไม่ได้ขึ้นอยู่กับผู้คนเหล่านี้. แต่พระเจ้าต่างหากทรงให้เกียรติพระเยซูอย่างสูงส่งที่สุด 
52** ยอห์น 7:20, 10:20, เศคาริยาห์ 1:5, ฮีบรู 11:13  53**  ยอห์น 10:33, 19:7  54**  ยอห์น 5:31,32,41, กิจการ 3:13

ยอห์น 8:55-56
55. อับราฮัมยินดีที่เห็นวันของเรา นั่นคือ อับราฮัมได้เห็นพระสัญญาของพระเจ้าว่า จะให้เชื้อสายของเขาได้เป็นพระพรต่อโลก  พระเยซูคือเชื้อสายอับราฮัมที่ทำให้ทั้งโลกได้รับพรจริง ๆ  แต่ยิวไม่เข้าใจสิ่งที่พระเยซูพูด เพราะพวกเขาไม่ยอมรับการเป็นพระเจ้าของพระองค์ 
56. เป็นไปได้อย่างไรที่อับราฮัมจะเห็นวันนี้ได้ ในเมื่อตายไปแล้ว แต่พระเยซูกลับกล่าวถึงอับราฮัมราวกับว่า เขามีชีวิตอยู่  
55** ยอห์น 7:28,29, 15:10  56** ลูกา 10:24, มัทธิว 13:17, ฮีบรู 11:13

ยอห์น 8:57-59
57-58 คนในพระวิหารที่คุยอยู่กับพระเยซู​โกรธมากที่พระองค์ยืนยันว่าทรงเป็นพระเจ้า พระองค์ตรัสชัดเจนต่อหน้าพวกเขาว่าพระองค์อยู่ก่อนอับราฮัมเสียอีก  ดังนั้น ถ้ามีใครมาพูดว่า พระเยซูไม่เคยอ้างว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า ก็ต้องมาดูพระคัมภีร์บทนี้  พระองค์ตรัสแล้วตรัสอีก ยืนยันอยู่ตลอดเวลา 
59. ในที่สุดความโกรธของยิวถึงระดับที่จะเอาหินขว้างพระองค์ ! ซึ่งเป็นวิธีการลงโทษที่ไม่ต้องใช้การพิจารณาคดีเลย  เป็นที่ยอมรับกันในหมู่ยิวเมื่อเห็นใครท้าทายบทบัญญัติของโมเสสหรือประเพณีที่สืบต่อกันมา พวกเขาเห็นว่าพระเยซูดูหมิ่นพระเจ้า แถมยังบอกว่าอยู่มาก่อนอับราฮัม ดังนั้นจึงพร้อมที่จะขว้างพระองค์ด้วยตัวเอง  
เราเริ่มต้นบทนี้ด้วยการพยายามจะเอาหินขว้างหญิงล่วงประเวณี แต่แล้วกลับหันมาต้องการขว้างใส่พระเยซู
57-    58** มีคาห์ 5:2, ยอห์น 17:5, ฮีบรู 7:3, วิวรณ์ 12:13, อพยพ 3:14, อิสยาห์ 43:13, ยอห์น 17:5, 24, โคโลสี 1:17, วิวรณ์ 1:8   59 ยอห์น 10:31, 11:8, ลูกา 4:30, ยอห์น 10:39