1 โครินธ์ 4 ยอมโง่เพื่อพระคริสต์

ผู้รับใช้และผู้อารักขา

1 โครินธ์ 4:1-2 ดังนั้น จงเข้าใจว่า เราเป็นผู้รับใช้ของพระคริสต์ เป็นผู้รับมอบความรับผิดชอบให้ดูแลอารักขา ความล้ำลึกของพระเจ้า ผู้อารักขานี้ จะต้องเป็นคนที่ไว้ใจได้
1 โครินธ์ 4:3-4 สำหรับตัวข้าแล้ว หากท่านหรือคนใดจะกล่าวโทษข้า ข้าก็ถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย ที่จริง ข้าเองไม่กล่าวโทษตัวเองเลย การที่ข้าไม่รู้สึกว่าตนเองกระทำผิดในเรื่องใด ก็ไม่ได้บอกว่า ข้าเป็นคนไร้ความผิด องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงกล่าวโทษข้าเอง

1 โครินธ์ 4:5 ดังนั้น อย่าตัดสินสิ่งใดก่อนถึงเวลากำหนด จงคอยจนกว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมา และพระองค์ทรงจะเปิดเผยสิ่งที่ซ่อนในความมืด และจะส่งเปิดเผยความมุ่งหมายในใจของทุกคนให้เห็นชัดเมื่อนั้น แต่ละคนจะได้รับคำชมเชยจากพระเจ้า

ยอมเป็นคนโง่เพื่อพระคริสต์

1 โครินธ์ 4:6 พี่น้องทั้งหลาย ข้าได้ใช้ตนเองกับอปอลโลมาเป็นตัวอย่างเพื่อประโยชน์ของท่าน เพื่อให้ท่านได้เข้าใจความหมายของคำที่ว่า “อย่าคิดเกินไปกว่าที่เขียนไว้”เพื่อท่านจะไม่ยโส ยกคนหนึ่งและเหยียดหยามอีกคน
1 โครินธ์ 4:7 ใครทำให้ท่านพิเศษกว่าคนอื่น? มีอะไรที่ท่านครอบครองโดยไม่ได้รับมา?ถ้าท่านได้รับมา เหตุใดจึงโอ้อวดราวกับว่า ท่านไม่ได้รับอะไรมา?
1 โครินธ์ 4:8 ท่านร่ำรวยแล้ว ท่านครอบครองโดยไม่มีพวกเรา ข้าอยากให้ท่านครอบครองจริง ๆ เพื่อเราจะมาครอบครองกับท่านด้วย

1 โครินธ์ 4:9 ข้ามีความเห็นว่า พระเจ้าทรงจัดเราซึ่งเป็นอัครทูตให้เป็นคนท้ายสุดเหมือนอย่างนักโทษที่ถูกตัดสินประหารเพราะเราตกเป็นเป้าสายตาของโลกทั้งทูตสวรรค์ และในหมู่มนุษย์
1 โครินธ์ 4:10-11 เราเป็นคนโง่เพื่อพระคริสต์และท่านทั้งหลายเป็นคนมีปัญญาในพระคริสต์ เราอ่อนแอ แต่ท่านแข็งแรง ท่านได้รับเกียรติ แต่เราถูกเหยียดหยามแม้ในเวลานี้ เราก็ยังรู้สึกหิว กระหายต้องการเครื่องนุ่งห่ม ถูกทุบตี ไร้ที่อยู่
1 โครินธ์ 4:12-13 เราต้องทำงานหนักด้วยมือของเราเมื่อถูกคนด่าทอ เราก็อวยพรกลับไปเมื่อเราถูกข่มเหง เราก็อดทนเมื่อถูกใส่ร้าย เราก็ตอบอย่างเป็นมิตร เราถูกปฏิบัติราวกับเป็นของทิ้งเป็นเหมือนขยะของโลกมาจนถึงเวลานี้

ความห่วงใยอย่างพ่อ

1 โครินธ์ 4:14-15 ข้าเขียนถึงท่าน มิใช่เพื่อทำให้ท่านต้อง
อายใจ แต่เพื่อเตือนท่านในฐานะที่เป็นเหมือนลูกรักของข้า แม้ว่าท่านมีผู้ดูแลสักหมื่นคนในพระคริสต์ แต่ท่านก็มีบิดาเพียงไม่กี่คน เพราะข้าได้มาเป็นบิดาของท่านโดยข่าวประเสริฐนั่นเอง

1 โครินธ์ 4:16-17 ข้าขอร้องท่านให้ทำตามอย่างข้า
ด้วยเหตุนี้ ข้าจึงส่งทิโมธีให้มาหาท่านเขาเป็นลูกรักของข้าที่จงรักภักดีต่อพระเจ้าเพื่อเขาจะเตือนให้ท่านระลึกถึงแนวทางการดำเนินชีวิตในพระคริสต์ของข้าตรงตามที่ข้าสอนในคริสตจักรทุกแห่ง

1 โครินธ์ 4:18-19 มีบางคนในพวกท่านที่เกิดหยิ่งยโสขึ้นมาเพราะคิดว่า อย่างไรข้าจะไม่มาหาพวกท่าน แต่ถ้าพระเจ้าทรงโปรดข้าจะมาหาท่านในไม่ช้านี้ และจะมาดูให้เห็นว่า คนที่หยิ่งยโสเหล่านี้พูดอะไรบ้างและเขามีอำนาจขนาดไหน
1 โครินธ์ 4:20-21 ด้วยว่า อาณาจักรของพระเจ้าไม่ได้เป็นเรื่องของคำพูด แต่เป็นเรื่องที่แสดงออกมาด้วยฤทธิ์เดช ท่านต้องการอะไร? จะให้ข้ามาหาท่านด้วยไม้เรียวเพื่อสร้างวินัย หรือด้วย
ความรักและจิตใจที่อ่อนโยน?

คำอธิบายเพิ่มเติม 1 โครินธ์ 4

ผู้รับใช้และผู้อารักขา
1 โครินธ์ 4:1-2
พระคัมภีร์ข้อนี้ พูดให้ชัดคือ ท่านเปาโลกำลังบอกว่า ท่านและอปอลโล เปโตร เป็นผู้รับใช้ในการดูแลความล้ำลึกของพระเจ้า (ซึ่งมีหลายประการ ทั้งเรื่องข่าวประเสริฐและความจริงอื่น ๆ ของพระเจ้า) ท่านเหล่านี้มีหน้าที่อารักขาความจริงของพระเจ้าไม่ให้ใครมาบิดเบือนเอาตามใจชอบ และส่งต่อสิ่งที่พระเจ้าทรงบอกไว้ให้ผู้เชื่อได้เข้าใจ เชื่อ และเดินตามความจริงนี้ 
1 โครินธ์ 4:3-4
ดูเหมือนว่ามีคนที่คอยนินทา ให้ร้ายในตัวท่านเปาโลอยู่ตลอดเวลา บางคนสงสัยว่าท่านเป็นอัครทูตแน่หรือ บางคนสงสัยว่า ท่านเหมาะที่จะสอนพวกเขาไหม แต่ท่านเปาโลไม่ได้สนใจกับคำครหาเหล่านั้นกลับมองว่า เป็นเรื่องเล็ก สำหรับท่านแล้วผู้เดียวที่จะบอกว่า ถูกหรือผิดคือ พระเจ้าเท่านั้น ไม่ใช่ความเห็นของมนุษย์คนใด
1 โครินธ์ 4:5
ท่านเปาโลเตือนเราว่า อย่าไปตัดสินใครก่อนถึงเวลากำหนดของพระเจ้า เราไม่ใช่ผู้พิพากษาที่จะรู้ความในใจของแต่ละคน เราไม่เห็นการกระทำดีหรือเลวของชีวิตใคร เราไม่รู้ว่า พระเจ้าทรงเลือกเขาหรือไม่ เราทุกคนมีที่สว่าง และที่มืดของชีวิตที่ ๆ คนเห็น และที่ไม่มีใครเห็น ผู้เดียวที่เห็นทะลุปรุโปร่งคือพระเจ้าเท่านั้น เราทุกคนต้องใช้ชีวิตที่จะได้รับคำชมเชย มิใช่รับคำตำหนิหรือคำว่าเราไม่รู้จักเจ้าเลย

ยอมเป็นคนโง่เพื่อพระคริสต์
1 โครินธ์ 4:6
ใน 1 โครินธ์ 3:5 ท่านเปาโลกล่าวว่าทั้งตัวท่านและอปอลโลคือ ผู้รับใช้ที่สอนให้พี่น้องมีความเชื่อ ท่านปลูก อปอลโลรดน้ำ .. ที่ทำเช่นนั้นเพื่อให้เห็นตัวอย่างจากชีวิตจริง ทั้งสองได้แสดงให้เห็นถึงชีวิตรับใช้ที่ถ่อมตน และอวดพระเจ้าเท่านั้น ไม่อวดคนหนึ่งคนใดเหนืออีกคน (1:31) ท่านขอให้มีความเข้าใจตรงกันว่า พระเจ้าทรงปัญญาแท้จริง ไม่ใช่มนุษย์ที่พวกเขาพยายามจะยกขึ้น (2:14)
1 โครินธ์ 4:7
“มีอะไรที่ท่านมีอยู่ในตอนนี้ โดยไม่ได้รับมาจากพระเจ้า?” นี่คือคำขยายความ ทั้งหมดที่เรามีอยู่ ชีวิตของเราล้วนเป็นพระคุณของพระเจ้าทั้งสิ้นไม้กางเขน องค์พระวิญญาณในชีวิต สติปัญญาที่มีอยู่ ทั้งหมดนี้เป็นของประทานจากพระเจ้า
ไม่มีใครได้มาด้วยตัวเองเลย และไม่มีใครสมควรจะได้มา หากไม่ใช่เพราะพระเจ้าเมตตา สรุปได้ว่าเราไม่มีอะไรจะอวดนอกจากอวดพระองค์!
1 โครินธ์ 4:8
ความจริงท่านเปาโลกำลังบอกพี่น้องว่า พวกเขาไม่ได้ใหญ่ไปกว่าคนอื่นที่เป็นพี่น้องผู้เชื่อด้วยกัน ประโยคข้างบนนี้เป็นคำพูดในลักษณะประชดประชัน นิยมใช้กันในโลกกรีกโบราณ ท่านพูดคล้าย ๆ กับนักวิจารณ์การเมืองในสมัยนั้น ตอนที่พวกเขามาเชื่อพระเจ้าใหม่ ๆ เขาเป็นเพียงคนชนชั้นธรรมดา แต่ท่านกลับพูดว่าเขารวยเป็นชนชั้นปกครอง เมื่อพวกเขาอ่านตรงนี้ เขาจะคิดได้ไหมว่าท่านกำลังประชดประชัน พวกเขาอยู่
1 โครินธ์ 4:9
พี่น้องคริสตจักรโครินธ์มีปัญหาคือ พวกเขาคิดว่าเขาเป็นคนสำคัญ และมีความหมายมาก และมองท่านเปาโลเป็นคนไร้ค่า ไม่มีอะไรที่จะทำให้เขาภูมิใจได้ ท่านเองก็มองด้วยว่า ท่านและเพื่อนอัครทูตเป็นเหมือนนักโทษที่อยู่ท้ายสุดในขบวนแห่ของนายทหารโรมที่รบชนะ เป็นผู้ที่ต่ำต้อยสุดในขบวนนั้น เป็นผู้ที่จะถูกประหารโดยผู้ชนะสงคราม ท่านเปาโลพยายามที่จะให้พี่น้องได้เห็นว่าพวกเขาคิดผิดอย่างไร
1 โครินธ์ 4:10-11
ท่านเปาโลยังพูดไม่จบเรื่องที่พี่น้องมองตัวเองสูงส่งและดูหมิ่นเหยียดหยามผู้ที่เป็นอัครทูตซึ่งเคยเป็นผู้สอนพระคำของพระเจ้าให้กับพวกเขายุคนี้ของเราก็ไม่ได้ต่างอะไร เพราะคนรุ่นใหม่มักเข้าใจว่าตัวเองเก่งกว่าคนรุ่นก่อน ๆ ลืมไปว่าคนรุ่นก่อนเป็นผู้ที่วางรากฐาน และมีหน้าที่ ๆ สร้างทั้งคริสตจักรและอะไร ๆ ที่มีอยู่ตอนนี้มาก่อนหน้าพวกเขาอาจพลั้งพลาดไปบ้าง แต่ไม่ได้หมายความว่าเป็นผู้ที่ไร้ความหมาย
1 โครินธ์ 4:12-13
นี่คือชีวิตจริงของผู้รับใช้พระเจ้าที่ไม่ยอมแพ้ต่อการปฏิบัติร้าย ๆ ของใครก็ตาม ท่านเปาโลบอกให้เราได้ทราบว่า ชีวิตของท่านในการรับใช้นั้นถูกกระทำอย่างไรบ้างแต่สิ่งที่ท่านตอบกลับนั้น ไม่ได้เป็นเหมือนอย่างคนในโลกทำ ท่านทำเหมือนกับพระคำโรม 12:14ที่ให้อวยพรแก่คนที่ข่มเหง ไม่ให้แช่งด่ากลับพี่น้องชาวโครินธ์ย่อมเห็นการตอบโต้ของท่านและรู้ว่าท่านทำอย่างนั้นจริง

ความห่วงใยอย่างพ่อ
1 โครินธ์ 4:14-15
ท่านเปาโลพูดมาเยอะ แต่ก็ต้องบอกพี่น้องว่า ที่เขียนมานั้น แค่เตือนในฐานะที่พวกเขาเป็นเหมือนลูกรักของท่าน ท่านเป็นผู้บอกข่าวประเสริฐเรื่องไม้กางเขนแก่พวกเขาโดยตรง เป็นผู้อธิบายจนกระทั่งพวกเขาได้เชื่อ ท่านจึงรู้สึกเอ็นดู ห่วงใยพวกเขาเหมือนกับเป็นลูก ส่วนผู้แนะนำ หรือผู้ดูแล ในสมัยเดิมนั้นมีความหมายถึงทาสที่คอยดูแลลูก ๆ ของเจ้านาย และเป็นคนที่คอยให้คำแนะนำการประพฤติให้กับพวกเขา
1 โครินธ์ 4:16-17
ท่านเปาโลมีความมั่นใจว่า ท่านได้เดินตามอย่างพระคริสต์ ท่านมีสัมพันธ์สนิทกับพระองค์ ท่านกล้าที่จะชักชวนให้เขาทำตามแบบของท่านสิ่งหนึ่งที่ชัดเจนในตัวของท่านคือ คำพูดและการกระทำไปด้วยกัน ไม่มีความขัดแย้งกัน ทิโมธี เป็นผู้รับใช้ที่ท่านเปาโลเองใช้ไปทำงานแทนท่านในหลาย ๆ แห่ง เขาเป็นคนที่เข้าใจหัวใจและการกระทำของท่านเปาโลชัดเจน และเขาเป็นคน
ที่ท่านเปาโลไว้ใจถือเสมือนว่าเขาเป็นลูกชาย
1 โครินธ์ 4:18-19
นึกถึงตอนที่เราทำผิดในห้องเรียน และกำลังล้อเลียนคุณครูในห้องกับเพื่อน ๆ โดยหารู้ไม่ว่าคุณครูมายืนอยู่ที่ประตูแล้ว ! พี่น้องชาวโครินธ์ก็เป็นเช่นนั้น คนที่สามารถเบ่งลับหลังผู้มีสิทธิอำนาจมีอยู่เยอะในโลกนี้ ท่านเปาโลเอาก็รู้ว่า พวกเขามีนิสัยใจคออย่างไรแต่เราจะเห็นความพยายามของท่านที่จะช่วยให้พวกเขามีความเข้าใจถูกต้อง เป็นความรักความอดทนที่อึดเหลือเกิน
1 โครินธ์ 4:20-21
เราจะเห็นว่า ท่านเปาโลเป็นตัวอย่างสำหรับเราในการเผชิญหน้ากับคนที่ทำบาปแล้วไม่ยอมกลับใจแต่ยังฝืนและอวดตัว หยิ่งผยอง ท่านให้เขาเลือกว่า จะเอาแบบไหนเมื่อเจอกัน ท่านเองต้องการมาด้วยความรักและจิตใจที่อ่อนโยน แต่มันก็ขึ้นอยู่กับชาวโครินธ์ด้วยว่า เขาพร้อมที่จะกลับใจก่อนหรือไม่ ท่านเปาโลต้องลำบากใจมาก เพราะใจท่านรักพวกเขา แต่จำเป็นต้องลงวินัยเพื่อให้รอดพ้น

พระคำเชื่อมโยง

1* โคโลสี 1:25; ทิตัส 1:7
5* มัทธิว 7:1; 10:26; 1 โครินธ์ 3:13; โรม 2:29
7* ยอห์น 3:27
8* วิวรณ์ 3:17
9* ฮีบรู 10:33

10* กิจการ 17:18; 26:24; 2โครินธ์ 13:9
12*กิจการ 18:3; 20:34; มัทธิว 5:44
13* บทเพลงคร่ำครวญ 3:45
14* 1 เธสะโลนิกา 2:11
15* กาลาเทีย 4:19
16* 1 โครินธ์ 11:1

17* 19:22; 1 โครินธ์ 11:2;18; 1 โครินธ์ 7:17; 14:33
18* 1 โครินธ์ 5:2
19* 19:21; 20:2; 18:21
20* 1 1:5; 1 โครินธ์ 2:4
21* 2 โครินธ์ 10:2

1 โครินธ์ 3 รากฐานแท้

จะอยู่ฝ่ายเนื้อหนังไปทำไม?

1 โครินธ์ 3:1-3 พี่น้องเอ๋ย ข้าไม่อาจพูดกับท่านเหมือนพูดกับ คนที่อยู่ฝ่ายวิญญาณ แต่ต้องพูดราวกับท่านยังอยู่ฝ่ายเนื้อหนัง ยังเป็นทารกในพระคริสต์ ข้าเลี้ยงท่านด้วยน้ำนมไม่ใช่ด้วยอาหารปกติ เพราะว่าเมื่อก่อนท่านรับไม่ได้ และบัดนี้ก็ยังรับไม่ได้
ท่านยังอยู่ฝ่ายเนื้อหนังตราบใดที่ท่านยังอิจฉากัน ขัดเคืองใจกัน แล้วจะไม่ให้เรียกว่า ท่านยังอยู่ฝ่ายเนื้อหนังได้อย่างไร ในเมื่อท่านยังทำตัว เหมือนกับคนทั่วไป

1โครินธ์ 3:4-5 เพราะเมื่อคนหนึ่งว่า “ข้าเป็นศิษย์ของเปาโล” และอีกคนว่า ข้าเป็นศิษย์ของอปอลโล” ท่านก็เป็นดั่งคนทั่วไปมิใช่หรือ?
อปอลโลเป็นใคร? และเปาโลเป็นใคร?พวกเขาคือผู้รับใช้ที่ช่วยให้ท่านมีความเชื่อตามที่พระเจ้าทรงกำหนดให้เราแต่ละคน

1 โครินธ์ 3:6-7 ข้าเป็นคนปลูก ส่วนอปอลโลรดน้ำแต่พระเจ้าทรงเป็นผู้ทำให้เติบโต
ดังนั้น คนที่ปลูกและคนที่รดน้ำไม่สำคัญ แต่พระเจ้าผู้ทรงให้เติบโตนั้นต่างหากที่สำคัญ

ปลูก รดน้ำ รากฐาน ตึก กับคำเตือน

1 โครินธ์ 3:8-9 คนที่ปลูก และคนที่รดน้ำนั้นเป็นพวกเดียวกัน และแต่ละคนจะได้ค่าจ้างตามการงานของตนเพราะว่าเราร่วมกันทำงานเพื่อพระเจ้า ท่านเป็นไร่นาของพระองค์ ท่านเป็นตึกของพระองค์

1 โครินธ์ 3:10-11โดยพระคุณของพระเจ้า ข้าได้วางรากฐานดั่งนายช่างผู้เชี่ยวชาญ และมีอีกคนเข้ามาก่อสร้างบนฐานนั้น แต่ละคนจะต้องระวังว่า เขาก่อขึ้นอย่างไรเพราะใครจะมาวางรากฐานอื่นได้อีกนอกจากที่วางไว้แล้วคือ พระเยซูคริสต์?

1 โครินธ์ 3:12-13 บนรากฐานนี้ หากใครจะก่อด้วยทองคำ เงิน เพชร พลอย ไม้ หญ้าแห้ง หรือฟาง งานของแต่ละคนจะปรากฏให้เห็น เพราะว่าวันนั้น จะเป็นวันที่มีการเปิดเผย รวมทั้งจะเผยให้เห็นด้วยไฟ และไฟจะพิสูจน์ว่า การงานของแต่ละคนเป็นอย่างไร

1 โครินธ์ 3:14-15 ถ้าสิ่งที่ก่อสร้างขึ้นมาอยู่คงทนผู้ก่อก็จะได้รางวัล แต่ถ้างานของใครถูกเผาไป เขาจะไม่ได้รับรางวัล เขาคนนั้นจะรอดได้ แต่เหมือนรอดจากไฟ

อย่าหลอกตัวเอง

1 โครินธ์ 3:16-17 ท่านไม่รู้หรือว่า ท่านเป็นพระวิหารของพระเจ้า และพระวิญญาณของพระเจ้าประทับในท่าน ถ้าใครทำลายพระวิหารของพระเจ้า พระเจ้าจะทรงทำลายคนนั้น เพราะพระวิหารของพระเจ้าเป็นที่บริสุทธิ์ และท่านคือพระวิหารนั้น

1 โครินธ์ 3:1819 อย่าให้ใครหลอกตัวเอง ถ้าใครคิดว่าตัวเองเป็นคนมีปัญญาตามความเห็นของยุคนี้ จงให้คนนั้นยอมเป็นคนโง่ เพื่อจะได้เป็นคนมีปัญญา เพราะปัญญาของโลกนี้ เป็นความโง่เขลาในสายพระเนตรของพระเจ้า มีคำเขียนไว้ว่า “พระองค์ทรงดักคนที่มีปัญญาด้วยกลอุบายของพวกเขาเอง”

1 โครินธ์ 3:20-23 และมีคำเขียนอีกด้วยว่า“องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทราบว่า ความคิดของคนมีปัญญานั้น ไร้ประโยชน์” ดังนั้น อย่าเอามนุษย์ขึ้นมาอวดเลยเพราะว่า ทุกสิ่งเป็นของพวกท่าน
ไม่ว่าจะเป็นเปาโล อปอลโล เคฟาสโลกนี้ ชีวิต ความตาย ปัจจุบัน หรืออนาคต เหล่านี้เป็นของท่านทั้งสิ้นและท่านทั้งหลายเป็นของพระคริสต์และพระคริสต์ทรงเป็นของพระเจ้า

คำอธิบายเพิ่มเติม

จะอยู่ฝ่ายเนื้อหนังไปทำไม?
1 โครินธ์ 3:1-3
ตอนนี้ท่านเปาโลเปรียบพี่น้องชาวโครินธ์ว่า เป็นเหมือนเด็กทารกที่ยังใส่ผ้าอ้อมอยู่ พวกเขายังไม่โต ยังโวยวาย ทุ่มเถียง ไม่เป็นผู้ใหญ่ที่มีความอดทนอดกลั้นต่อกัน ยังไม่เป็นผู้ใหญ่ที่รับเรื่องยาก ๆ ในพระเจ้าได้ ต้องเรียนรู้สิ่งที่เหมือนเด็ก ๆ เรียน เราจะเห็นจากบทที่ผ่านมาว่าท่านต้องอธิบายเรื่องเดียวนานพอสมควร พูดแล้วพูดอีกเพื่อจะแน่ใจว่าพวกเข้าใจ
คำว่าท่านยังอยู่ฝ่ายเนื้อหนังคือ ท่านยังรับอิทธิพลของความปรารถนาต่าง ๆ ของเนื้อหนังไม่มีการยับยั้งชั่งใจ ไม่มีการควบคุมตนเอง และนี่เป็นเหตุที่ทำให้ท่านเปาโลยังไม่อาจอธิบายเรื่องของพระเจ้าให้แก่พี่น้องชาวโครินธ์ไปได้มากกว่านี้ ดูเหมือนว่าท่านต้องจัดการที่พื้นฐานชีวิตก่อน
1โครินธ์ 3:4-5
งานที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้ให้เรานั้น แต่ละคนไม่เหมือนกัน ทุกคนที่รับใช้จะไม่เปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น ผู้รับคำสอนอาจจะถูกใจบางคนกว่าบางคน แต่ไม่ได้หมายความว่า ต้องแบ่งพรรคพวกเพราะพระเจ้าทรงกำหนดงานของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ในสถานที่ ในกลุ่มชนที่หลากหลายต่างกันไป ผู้ที่ควรได้รับการยกย่องมากที่สุดคือพระเจ้า ครู อาจารย์ ผู้ประกาศ เป็นเพียงผู้ที่รับทำตามพระบัญชาของพระองค์
1 โครินธ์ 3:6-7
ถ้าเราจะคิดในเชิงวิถีธรรมชาติ พันธุ์ไม้มากมายที่เกิดขึ้นในทุ่งหญ้า ป่าไม้ โดยไม่มีคนปลูกและรดน้ำแต่มันยังมีชีวิตอยู่ได้ ด้วยพระเมตตาคุณของพระเจ้า สดุดี 65:9 เล่าถึงการที่พระเจ้าทรงเยี่ยมแผ่นดิน ทรงรดน้ำให้ ท่านเปาโลกำลังเปรียบชีวิตคริสเตียนว่า เหมือนกับต้นไม้ที่มีผู้ปลูก และรดน้ำ ซึ่งเป็นหน้าที่สำคัญของผู้รับใช้ที่สอนพี่น้อง แต่ที่สุดการเติบโตมาจากพระเจ้าโดยตรง ไม่มีใครจะอ้างความดีความชอบได้

ปลูก รดน้ำ รากฐาน ตึก กับคำเตือน
1 โครินธ์ 3:8-9.
ท่านเปาโลมองว่า ทุกคนที่รับใช้พระเจ้าจะได้รับรางวัลหรือค่าจ้างตามที่พระเจ้าทรงเห็นสมควร ไม่มีใครใหญ่กว่าใครในสายพระเนตรพระเจ้าแม้ว่าในหน้าที่อาจจะมีระดับขั้นการทำงานก็ตามหลายคนคิดว่าอาจารย์ที่ใหญ่โตนั้นจะได้รับรางวัลมากกว่า หรือ ได้รับการยอมรับจากพระเจ้า
มากกว่า แต่ดูจากข้อเขียนของท่านเปาโลตอนนี้ แม้พี่น้องที่ไม่มีใครสังเกตแต่ได้รับใช้อย่างซื่อสัตย์ ก็เป็นหนึ่งในผู้ร่วมงานเพื่อแผ่นดินของพระเจ้า
1 โครินธ์ 3:10-11
ท่านเปาโลมองตัวท่านเองว่าเป็นนายช่างที่ก่อ ฐานชีวิตแห่งความเชื่อของพี่น้องด้วยพระเยซูคริสต์นั่นคือ ทุกคนจะรอดได้ไม่ใช่ด้วยสิ่งอื่นใด นอกจาก ด้วยการเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ผู้สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนและคืนชีพขึ้นมาในวันที่สาม ท่านเป็นคนแรกที่สร้าง แต่พระเจ้าจะทรงใช้คนอื่น ๆ มาช่วยดูแลชีวิตของผู้ที่เชื่อ และคนที่ตามมารับใช้นั้นจะต้องก่อต่อไปด้วยพระเยซูคริสต์
1 โครินธ์ 3:12-13
อย่างที่กล่าวมาแล้วว่า การสร้างความเชื่อของผู้เชื่อต้องมีคนงานหลายคน บางคนปลูก บางคนรดน้ำ ซึ่งก็หมายถึงผู้ที่ประกาศ สอน เทศนาและรับใช้เพื่อพี่น้องในด้านต่าง ๆ ท่านเปาโลเตือนว่า ไม่ว่าใครจะก่อขึ้นอย่างไร เขาคนนั้นจะต้องรับผิดชอบ เพราะงานของเขาอาจเป็นงานเสียหายมาตั้งแต่ต้น แต่คนมองไม่ออก แต่ในวันของพระเจ้า พระองค์จะใช้ไฟพิสูจน์งานนั้น แม้กระทั่งงานที่เพื่อน ๆ กำลังอ่านอยู่ในเวลานี้

อย่าหลอกตัวเอง
1 โครินธ์ 3:14-15
ผู้รับใช้ในฐานะที่เป็นผู้ก่อสร้างชีวิตของผู้เชื่อนั้นบางคนอาจได้รางวัล แต่บางคนอาจจะเจอการสูญเสีย สูญเปล่า หากเขาก่อสร้างอย่างไม่ระวัง ก่อสร้างแบบขอไปที หรือใช้สติปัญญาของมนุษย์ในการทำให้คริสตจักรโต แม้ว่าที่สุดเขาเองได้รับความรอดแต่ก็หวุดหวิด ไฟที่กล่าวถึงในข้อก่อนหน้านี้ คือใช้เพื่อพิสูจน์งานของผู้รับใช้ว่าเป็นอย่างไร ​แต่คำว่าไฟ ในข้อนี้ เป็นการกล่าวถึงไฟที่จะเผาผลาญ
1 โครินธ์ 3:16-17
เวลานี้ท่านเปาโลกำลังกล่าวชัดเจนว่า “ท่าน” เป็นพระวิหารของพระเจ้า มีความหมายถึงชุมชนผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่คนเดียว ท่านคือ หลายคน หากมีใคร ผู้รับใช้คนไหน พยายามที่จะทำลายชุมชนผู้เชื่อหรือที่ประทับของพระเจ้า ตั้งใจที่จะทำให้คริสตจักรต้องทำผิด ล่อลวงผู้เชื่อ พระเจ้าจะทรงทำลายผู้นั้น เราอาจถามว่า แล้วคนที่ข่มเหงคริสตจักรของพระเจ้าล่ะ? คนพวกนั้นจะโดนพระเจ้าทรงจัดการอยู่แล้ว
1 โครินธ์ 3:18
บางคนในคริสตจักรกำลังหลอกตัวเองว่า เขาเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ที่ยอดสุดในประเทศ ตามเทรนด์ที่คนกำลังชอบฟัง โดยหารู้ไม่ว่าคนนี้หลอกหรือไม่ สมัยนี้ เรามักเชื่อสิ่งที่เขาบอกกันโดยไม่ไตร่ตรอง ท่านเปาโลกำลังเตือนให้พวกเขากลับมาสู่รากฐานสำคัญของความรอดคือ ความเชื่อในพระเยซู
1 โครินธ์ 3:19
ท่านเปาโลกำลังบอกพี่น้องคริสเตียนว่า ให้เขาเลิกคิดตามคำสอนของโลกเพื่อว่าเขาจะได้เป็นคนมีปัญญาแท้จริง คำสอนของโลกนี้เปลี่ยนไปตามยุคสมัย เช่น เราจะเห็นวิธีการเลี้ยงลูกสมัยใหม่ที่ไม่ยอมให้เด็กลำบากเลย เวลาเด็กล้มก็ไปรับ ทำอย่างนี้จนโต ลูกไม่เคยต้องแก้ปัญหาเองหรือ การเชื่อว่า เราทำอะไรก็ได้ตามใจในเมื่อมันไม่ทำให้ใครเดือดร้อน โดยหารู้ไ่ม่ว่าการกระทำของมนุษย์ทุกคน เชื่อมโยงสัมพันธ์ส่งผลต่อกันเสมอ
1 โครินธ์ 3:20-23
พื้นฐานที่แท้จริงของความคิดผู้มีปัญญา กูรูทั้งหลายนั้น อยู่ที่ว่า ข้าทำได้เอง ข้าเป็นผู้กำหนดชีวิตตนเอง ข้าคือพระของตนเอง ไม่มีใครใหญ่ไปกว่าตัวตนของข้า .. แต่แล้วทุกคนก็ไปจบที่ สุดปลายคือความตายโดยยังเชื่อว่าตัวเองกำหนดได้ว่าชีวิตหลังจากนั้นจะเป็นอย่างไรเทรนด์การพัฒนาตนเองนั้นดูดี แต่กาพัฒนาตนโดยไม่มีพระเจ้านั้น ในที่สุดมันเหงา โดดเดี่ยวจริง ๆ
ที่ท่านเปาโลกล่าวว่า ทุกอย่างเป็นของเรา ท่านกล้าพูดได้ก็เพราะ พระคริสต์ทรงเป็นเจ้าของทุกสิ่ง พระคริสต์คือที่สุด ทรงเป็นผู้ที่เชื่อมโยงทุกสิ่งในโลกมนุษย์ จักรวาล โลกฝ่ายวิญญาณเข้าด้วยกัน เมื่อเราเป็นของพระคริสต์ เราจึงมีทุกอย่างที่พระคริสต์ทรงครอง โคโลสี 1:19 กล่าวว่า เพราะพระบิดาทรงพอพระทัยที่จะให้ความเต็มบริบูรณ์อยู่ในพระคริสต์​

ข้อพระคำเชื่อมโยง
1* ฮีบรู 5:13
2* 1 เปโตร 2:2; ยอห์น 16:12
5* 2 โครินธ์ 3:3,6; 4:1; 5:18;6:4
6* กิจการ 18:4; 18:24-27; 2 โครินธ์ 3:5
7* กาลาเทีย 6:3

8* สดุดี 62:12
9* 2 โครินธ์ 6:1; เอเฟซัส 2:20-22
10* โรม 1:5; 1 โครินธ์​4:15
11* อิสยาห์ 28:16; เอเฟซัส 2:20
13* 1 เปโตร 1:7; ลูกา 2:35
16* 2 โครินธ์ 6:16

18* สุภาษิต 3:7
19* โยบ 5:13
20* สดุดี 94:11
21* 2 โครินธ์ 4:5
23* 2 โครินธ์ 10:7

1 โครินธ์ 2 สติปัญญาแบบไหนดี?

พระคริสต์ทรงถูกตรึง

พี่น้องเอ๋ย เมื่อข้ามาหาท่านเพื่อประกาศเรื่องที่ล้ำลึกนั้น ข้ามิได้ใช้คำที่ถูกใจท่านหรือด้วยสติปัญญา เพราะข้าตั้งใจว่า
จะไม่แสดงความรู้ใด ๆ แก่พวกท่านเลย ยกเว้นเรื่องพระเยซูคริสต์ และการที่ทรงถูกตรึงบนไม้กางเขน

ครั้งที่อยู่กับท่าน ข้าทั้งอ่อนแอ หวาดหวั่นและกลัวมาก คำพูดและคำเทศนาของข้าไม่ได้เป็นคำชักชวนด้วยปัญญา แต่เป็นคำแห่งฤทธิ์เดชของพระวิญญาณ เพื่อว่าท่านจะไม่ได้เชื่อเพราะปัญญาของมนุษย์
แต่เชื่อเพราะฤทธิ์เดชของพระเจ้า  1 โครินธ์ 2:1-5

Rembrandt (1653)
The Three Crosses

สติปัญญาฝ่ายวิญญาณ

ท่ามกลางคนที่เป็นผู้ใหญ่แล้วนั้นเรากล่าวถึงสติปัญญา ซึ่งไม่ใช่ปัญญาของยุคนี้ หรือของผู้มีอำนาจปกครองยุคนี้ ซึ่งถูกกำหนดให้ต้องสูญสิ้นไป แต่เรากล่าวถึงพระปัญญาของพระเจ้าซึ่งเป็นความลึกลับซับซ้อนที่ทรงซ่อนไว้เป็นพระปัญญาที่ทรงกำหนดไว้ล่วงหน้า
ก่อนการทรงสร้างโลก
เพื่อเป็นศักดิ์ศรีของเรา ไม่มีผู้มีอำนาจปกครองผู้ใดในยุคนี้ เข้าใจพระปัญญา เพราะว่าหากพวกเขารู้ พวกเขาจะไม่ตรึงองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งพระสิริไว้บนไม้กางเขน
1 โครินธ์ 2:6-8

อย่างที่มีคำเขียนไว้ว่าบรรดาสิ่งที่ไม่มีตาดวงใดได้เห็น
หูไม่ได้ยิน ความคิดไม่อาจคาดถึง คือสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้
สำหรับคนที่รักพระองค์ พระเจ้าทรงเปิดเผยเรื่องเหล่านี้ให้เรา
โดยทางพระวิญญาณ เพราะพระวิญญาณทรงสืบค้นทุกสิ่ง
รวมถึงความล้ำลึกทั้งหลายของพระเจ้า
มีคนใดหรือที่จะรู้ความคิดของคนอื่นได้ นอกจากวิญญาณในตัวเขาเอง? เช่นกัน ไม่มีใครอาจหยั่งถึงพระดำริในพระทัยได้นอกจากพระวิญญาณของพระเจ้าเท่านั้น เรามิได้รับเอาวิญญาณของโลก แต่รับพระวิญญาณผู้ทรงมาจากพระเจ้า เพื่อจะได้รู้ถึงสิ่งต่าง ๆ ที่พระเจ้าทรงอนุญาตให้เรารู้ได้
1 โครินธ์ 2:9-12

ซึ่งเป็นสิ่งที่มิได้สอนด้วยปัญญาของมนุษย์ แต่พระวิญญาณทรงเป็นผู้สอน เป็นการอธิบายความจริงฝ่ายวิญญาณแก่ผู้ที่มีพระวิญญาณ คนทั่วไปไม่อาจรับสิ่งที่มาจากพระวิญญาณของพระเจ้าได้ เพราะพวกเขาเห็นว่าเป็นเรื่องโง่เขลา พวกเขาไม่สามารถที่จะเข้าใจได้เลย เพราะการจะเข้าใจสิ่งเหล่านี้ต้องพึ่งพาการหยั่งรู้จากพระวิญญาณ คนฝ่ายวิญญาณนั้น สามารถเข้าใจลึกซึ้งถึงทุกอย่างได้ แต่ไม่อาจมีใครเข้าใจเขาได้ เพราะว่า “ใครเล่า ที่หยั่งรู้ถึงพระทัยขององค์พระผู้เป็นเจ้าจนจะสอนพระองค์ได้อย่างไรก็ตามเรามีความคิดขององค์พระคริสต์อยู่”
ถอดความจาก 1 โครินธ์ 2:13-16

อธิบายเพิ่มเติม
พระคริสต์ทรงถูกตรึง


1 โครินธ์ 2:1-2
การสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนของพระเยซูนั้น เป็นภาพการถูกลงโทษที่น่าอับอายเป็นที่สุดแต่แล้ว เหตุการณ์นี้ กลับกลายเป็นกุญแจสำคัญสำหรับการเปลี่ยนแปลงชีวิตมนุษย์ จากคนบาป
ไปสู่การเป็นบุตรของพระเจ้าท่านเปาโลบอกแล้วว่า สิ่งที่โลกมองว่าอ่อนแอและไร้ปัญญา เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงเลือกที่จะให้เป็นฤทธิ์เดชที่สร้างชีวิตใหม่
1 โครินธ์ 2:3-5
เป้าหมายของท่านเปาโลในการเทศนาคือ เพื่อแสดงให้เห็นถึงฤทธิ์เดชของพระวิญญาณในการ
เปลี่ยนชีวิตมนุษย์ ท่านไม่ได้ใช้โวหารของท่าน ไม่ใช้การอัศจรรย์ หมายสำคัญใด ๆ เมื่อท่าน
เดินทางไปประกาศพระนามตามที่ต่าง ๆ แถบเอเชียน้อยจนถึงโรมนั้น ท่านมีความชัดเจนว่า
ความเชื่อที่เกิดขึ้นในหัวใจของผู้ฟัง เกิดจากฤทธิ์ของพระเจ้า ไม่ใช่จากโวหารอันเลิศเลอ หรือการหลอกว่าจะได้ผลประโยชน์ใด ๆ

สติปัญญาฝ่ายวิญญาณ

1 โครินธ์ 2:6
ในสายตาคนทั่วไป ไม้กางเขนเป็นสิ่งที่ดูโง่เขลา เหตุใดพระเจ้ามาสิ้นพระชนม์ราวกับผู้พ่ายแพ้
? แต่พระเจ้าทรงรู้ดีว่า ปัญญา หรืออำนาจของผู้ปกครองในแต่ละยุคสมัย ก็ต่างสูญสิ้น หมดพลังไป ไม่ได้อยู่เนิ่นนาน ในขณะที่พลังแห่งไม้กางเขนเมื่อสองพันปีที่แล้วยังทรงพลังแม้ในนาทีนี้ และจะทรงพลังเต็มด้วยฤทธิ์เดชจนนิรันดร์กาล
1 โครินธ์ 2:7
พระปัญญาของพระเจ้านั้น ดำรงอยู่มาก่อนปฐมกาลและจะดำรงอยู่ต่อไป ไม่มีวันสิ้นสุด มั่นคง ไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างปัญญาของมนุษย์ที่มักจะเปลี่ยนไปตามยุคสมัย มาตรฐานความดี
งามของยุคต่าง ๆ ก็ไม่เหมือนกัน และดูเหมือนจะลดลงไปจนกลายเป็นว่า ดีเป็นชั่ว ชั่วเป็นดี
สิ่งที่น่าสนใจคือ พระปัญญาที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้นั้น เป็นศักดิ์ศรีของเรา และรู้ไหม พระปัญญานี้เป็นบุคคล และบุคคลนั้นคือ พระเยซูคริสต์
1 โครินธ์ 2:8
อย่าลืมว่า ศัตรูของพระเจ้าพยายามทำลายทั้งชนอิสราเอลและพระเยซูมาแต่ไหนแต่ไร เริ่มจากสวนเอเดน การพยายามฆ่าล้างเผ่าพันธ์ุในสมัยเอสเธอร์การพยายามฆ่าพระเยซูตอนที่พระองค์เพิ่งบังเกิดเป็นมนุษย์ การพยายามฆ่าตอนที่มารไปล่อหลอกพระเยซูในถิ่นกันดาร
แต่ศัตรูของพระเจ้าไม่ได้รู้ว่า การสิ้นพระชนม์ คือชัยชนะ พระองค์ได้ประจานและพิชิตพวกเขาด้วยการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน (โคโลสี 2:15)

1 โครินธ์ 2:9 ความหวังของท่านเปาโล อยู่ที่พระเจ้าเท่านั้นสภาพของคริสตจักรโครินธ์อาจดูเหมือนว่าทำบาปจนรั้งไม่อยู่ แต่ละคนก็มีความคิดในทางมืดแตกต่างกันไป มีคนทำชั่วยิ่งกว่าคนไม่เชื่อท่านเปาโลหวังว่า สิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้นั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีใครคาดได้ ไม่เข้าใจ คิดไม่ถึง เราจึงต้องหวังใจอย่างท่านเปาโลว่า ไม่ว่าชุมชนของพระเจ้าจะตกลงไปแค่ไหน เราก็ยังต้องสู้เพื่อนำพวกเขากลับมาอยู่ในพระคุณของพระเจ้าต่อไป
1 โครินธ์ 2:10
เรื่องราวต่าง ๆ ของพระเจ้านั้น เราไม่อาจเข้าใจได้ด้วยตนเอง การเรียนรู้ ความพยายามที่
จะเข้าใจพระคำของพระเจ้านั้น เป็นได้ในระดับหนึ่งแต่ตรงนี้ท่านเปาโลกล่าวถึงความล้ำลึกของ
พระเจ้าที่ยังมีอีกหลายอย่างที่ไม่ได้ถูกเปิดเผยจะรู้ จะเข้าใจได้ ก็ต้องรับการเปิดเผยจากพระเจ้าเท่านั้น และจะไม่ขัดต่อพระคำของพระองค์การเปิดเผยของพระเจ้าไม่ใช่นาน ๆ เกิดที แต่เกิดขึ้นเป็นประจำวันสำหรับคนที่รักพระองค์
1 โครินธ์ 2:11
นี่เป็นสิทธิพิเศษที่พระเจ้าประทานให้กับคนที่เชื่อวางใจในพระองค์ พวกเขาจะมีความเข้าใจพระคำในสิ่งที่คนอื่นไม่อาจเข้าใจ พวกเขาเชื่อ และรับฤทธิ์แห่งพระคำก็โดยพระวิญญาณของพระเจ้าทรงทำให้เกิดขึ้น และพระเจ้าไม่ได้ทรงพอพระทัยที่จะประทานความเข้าใจพิเศษให้กับคริสเตียนกลุ่มใดๆ ที่อ้างว่าพวกเขารู้มากกว่าคนอื่น ที่แต่ละคนรู้ได้ก็เพราะพระเจ้าเป็นผู้สำแดงที่ไม่อาจเอามาอ้างเป็นญาณพิเศษส่วนตนได้
1 โครินธ์ 2:12
จะเรียนรู้เรื่องของพระเจ้า มีทางเดียวต้องเรียนจากพระวิญญาณของพระเจ้าจึงสำเร็จ การรู้แค่
ตัวหนังสือ รู้เรื่องราว รู้หลักการของพระคัมภีร์เป็นสิ่งที่ไม่ได้ยากเย็น แต่สิ่งที่ยากสำหรับเราคือ
การที่จะเชื่อมั่นคง วางใจในพระคำนั้น การได้ฤทธิ์เดชการเปลี่ยนแปลงชีวิตจากพระคำ ซึ่งไม่มี
ใครให้ได้นอกจากพระวิญญาณของพระเจ้า

1 โครินธ์ 2:13
ถ้าไม่มีการสำแดงจากพระวิญญาณแล้ว มนุษย์เราจะไม่รู้จักพระทัยของพระเจ้าเลย จะเข้าไม่ถึง
ความคิดอันสูงส่งของพระเจ้า แล้วเราก็จะเหมือนคนทั่วไปที่มีแต่วิญญาณของโลก พระวิญญาณ
ทรงเป็นผู้สอนความจริงฝ่ายวิญญาณให้กับผู้เชื่อผู้ที่ได้เกิดใหม่แล้วโดยพระวิญญาณ อ่านพระคัมภีร์ต่อไปนี้ เราจะเห็นความเชื่อมโยงทั้งหมด ยอห์น 3:6, 14:15-31, 16:13,1 ยอห์น2:20
1 โครินธ์ 2:14
การเข้าใจพระคำของพระเจ้าแท้จริงนั้น ส่งผลให้เกิดการเชื่อ และเชื่อฟัง ไม่ใช่รู้เฉย ๆ แล้วเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแม้เรื่องราวในพระคัมภีร์เป็นเรื่องที่เข้าใจได้สำหรับทุกคน คนที่ไม่ได้เชื่อพระเจ้า แต่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องพระคัมภีร์ก็มีไม่ใช่น้อย บางคนเก่งกว่าคริสเตียนที่ไม่ได้ตั้งใจรู้จักพระเจ้าเสียด้วยซ้ำ แต่พอเขารู้ เขาไม่อาจรับได้เลย เพราะใจลึก ๆ ของเขารู้สึกว่าพระคำของพระเจ้าเป็นเรื่องโง่เขลา
1 โครินธ์ 2:15-16
ที่จริงพระเจ้าได้ประทานปัญญากับมนุษย์มากมายสามารถค้นพบสิ่งต่าง ๆ ในธรรมชาติเอามาใช้ประโยชน์มหาศาล แต่ในทางฝ่ายวิญญาณ เขาไม่อาจเข้าใจได้ ถ้าพระเจ้าไม่เปิดเผยให้ทราบ
เขาก็ยังรู้ถึงพระองค์ ไม่หมดคนที่เป็นคนฝ่ายวิญญาณมีความคิดของพระเจ้าอยู่ในตัวได้จากการที่เขาใกล้ชิดพระเจ้า มีความสัมพันธ์สนิทกับพระองค์ และเรียนรู้พระองค์มา โดยตลอด

1 โครินธ์ 1 พระปัญญาของพระเจ้า.. พระเยซูคริสต์

ทักทาย และ ขอบพระคุณ

1 โครินธ์ 1: 1-3
ข้า..เปาโล เป็นผู้ที่พระเจ้าทรงเรียกให้เป็นอัครทูตของพระเยซูคริสต์ตามพระประสงค์ของพระเจ้า กับโสสเธเนสน้องชายของเรา
มาถึง คริสตจักรขององค์พระเจ้า ณ เมืองโครินธ์
ท่านผู้ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ ในองค์พระเยซูคริสต์
และเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงเรียกให้เป็นวิสุทธิชนของพระเยซูคริสต์ไปพร้อมกับคนทุกแห่งที่ออกพระนามพระเยซูคริสต์ซึ่งทรงเป็น องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราและของพวกเขาด้วย
ขอพระคุณและสันติสุขจากพระเจ้าพระบิดาของเรา และจากองค์พระเยซูคริสต์เจ้า มาเหนือท่านทั้งหลาย

1 โครินธ์ 1:4-9
ข้าขอบคุณพระเจ้าเพราะท่านทั้งหลายเสมอมา เพราะพระคุณที่ประทานแก่ท่านในพระเยซูคริสต์ ​เนื่องจากท่านมีความพร้อมทุกด้านในพระองค์ คือในการพูดและความรู้ทั้งสิ้น ด้วยว่าท่านได้รับการปลูกฝังคำยืนยันเรื่องพระคริสต์อย่างมั่นคง ท่านจึงไม่ได้ขาดของประทานจากพระวิญญาณ ขณะที่ท่านรอพระเยซูคริสต์เจ้าของเรามาปรากฏ พระองค์จะทรงรักษาท่านให้มั่นคงจนถึงที่สุด เพื่อว่าท่านจะไร้ข้อตำหนิในวันที่พระเยซูคริสต์เจ้าของเราเสด็จมา
พระเจ้าทรงซื่อตรงต่อพระสัญญา ทรงเรียกพวกท่านมาเพื่อจะได้มี
สัมพันธ์สนิทกับพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา


แต่ในคริสตจักรกลับแตกแยก!

1 โครินธ์ 1:10-12
ข้าขอร้องพี่น้องในพระนามของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราว่า ให้มีใจปรองดองกัน ไม่แตกแยกกัน แต่ในหมู่พวกท่าน ให้มีความคิดเห็นมีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
พี่น้องเอ๋ย คนของนางคะโลเอได้มาเล่าถึงการที่พวกท่านทะเลาะกันเอง ข้าหมายถึงท่านต่างก็กล่าวว่า“ข้าเป็นคนของเปาโล” บางคนว่า “ข้าเป็นคนของอปอลโล” บางคนว่า“ข้าเป็นคนของเคฟาส” และยังมี คนที่ว่า “ข้าเป็นคนของพระคริสต์”

1 โครินธ์ 1:13-17
นี่หมายความว่า พระคริสต์ถูกแบ่งออกเป็นหลายองค์อย่างนั้นหรือ? เปาโลถูกตรึงเพื่อท่านรึ? ท่านได้รับบัพติศมาในนามของเปาโลหรือ? ข้าขอบคุณพระเจ้าที่ยกเว้นจากคริสปัสและกายอัสแล้ว ข้าไม่ได้ให้บัพติศมาแก่ใครเลย
ดังนั้น จึงไม่มีใครมาอ้างได้ว่า ได้รับบัพติศมาในนามของข้า
ที่จริงข้าได้ให้บัพติศมาแก่ครอบครัวของสเทฟาด้วย นอกจากนั้นแล้ว ข้าจำไม่ได้ว่า มีใครอีกบ้าง
เป็นเพราะพระคริสต์ไม่ได้ทรงใช้ข้าเพื่อให้บัพติศมา แต่ให้ประกาศข่าวประเสริฐซึ่งมิได้ใช้คำพูดสำนวนโวหารที่เกิดจากปัญญาของมนุษย์ เกรงว่าหากทำเช่นนั้น เรื่องกางเขนของพระคริสต์จะหมดฤทธิ์ไป.

พระปัญญาและฤทธิ์เดชของพระเจ้า

1 โครินธ์ 1:18-21
ฝ่ายเหล่าคนที่กำลังจะพินาศเห็นว่าคำสอนเรื่องไม้กางเขนเป็นสิ่งที่ดูโง่เขลาในขณะที่เราซึ่งกำลังจะรอดกลับเห็นว่าเป็นฤทธิ์เดชของพระเจ้าเพราะมีคำเขียนไว้ว่า “เราจะทำลายสติปัญญาของคนมีปัญญา และจะทำให้ความปราชญ์เปรื่องของคนมีปัญญาไร้ความหมายไปเสีย”
คนมีปัญญาของยุคนี้อยู่ที่ไหน?
ปัญญาชนของยุคนี้อยู่ที่ไหนกัน?
นักปราชญ์ของยุคนี้อยู่ที่ไหน?
พระเจ้าได้ทรงทำให้ปัญญาทางโลกเป็นสิ่งที่โง่เขลาแล้วไม่ใช่หรือ?
ตามพระปัญญาของพระเจ้านั้น ทรงกำหนดไว้ว่า โลกไม่อาจรู้จักพระเจ้าด้วยสติปัญญาของตนเอง พระเจ้าพอพระทัยที่จะให้คนที่ฟังและเชื่อคำเทศนาเรื่องโง่ๆ นั้น รอดบาปได้

1 โครินธ์ 1:22-25
พวกยิวมักขอหมายสำคัญ(การอัศจรรย์) ส่วนคนกรีกก็ตามหาปัญญา แต่เราประกาศเรื่องพระคริสต์ผู้ทรงถูกตรึงบนกางเขนนั้น เรื่องนี้กลายเป็นสิ่งที่ทำให้ยิวสะดุด และในสายตาคนต่างชาติก็มองว่าเป็นสิ่งโง่เขลา แต่สำหรับคนที่พระเจ้าทรงเรียกไม่ว่าจะเป็นยิวหรือกรีก ต่างเห็นว่า พระคริสต์ทรงเป็นฤทธิ์เดชและพระปัญญาของพระเจ้า เพราะว่าในความเขลาของพระเจ้านั้น ก็ยังทรงปัญญายิ่งกว่ามนุษย์ และในความอ่อนแอของพระเจ้านั้น ก็ยังแข็งแกร่งกว่ากำลังของมนุษย์

ถวายเกียรติแด่พระเจ้าองค์เดียวเท่านั้น

1 โครินธ์ 1:26-31
พี่น้องทั้งหลาย ขอให้ท่านลองพิจารณาการที่พระเจ้าทรงเรียกท่านสิ
เห็นไหม มีน้อยคนที่โลกถือว่ามีปัญญาน้อยคนที่ทรงอิทธิพล น้อยคนที่มาจากวงศ์ตระกูลสูง  แต่พระเจ้าทรงเลือกสิ่งที่โลกเห็นว่าโง่เพื่อทำให้คนที่มีปัญญาต้องอับอาย และทรงเลือกสิ่งที่โลกเห็นว่าอ่อนแอ เพื่อให้คนมีกำลังต้องอับอาย พระเจ้าทรงเลือกที่โลกเห็นว่าต่ำต้อย ดูแคลน และเห็นว่าไม่สำคัญ เพื่อทำลายสิ่งที่โลกเห็นว่าสำคัญ เพื่อไม่ให้มนุษย์แม้สักคนโอ้อวดต่อพระเจ้าได้ ที่เราอยู่ในพระเยซูคริสต์ได้ ก็เพราะพระเจ้าประทานปัญญาและความเที่ยงธรรมให้ เพราะพระเยซูผู้ทรงชำระเราให้บริสุทธิ์ และไถ่เราให้พ้นจากโทษบาป ดังที่มีคำ เขียนว่า “ผู้ที่จะอวดก็จงอวดองค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด”

คำอธิบายเพิ่มเติม 1 โครินธ์ 1

1 โครินธ์ 1:1-3
ท่านเปาโลได้บอกในจดหมายว่า ท่านมีสิทธิที่จะเขียนจดหมายฉบับนี้ในฐานะเป็นอัครทูตของพระคริสต์
โสสเธเนสเคยเป็นนายธรรมศาลาในเมืองโครินธ์มาก่อน เขาเคยถูกโบยเพราะคนโครินธ์ต้องการทำร้ายท่านเปาโล เมืองโครินธ์เป็นเมืองใหญ่อยู่ทางใต้ของประเทศ
กรีซ ใกล้ ๆ เอเธนส์ เมืองโครินธ์มีเมืองสูง หรืออะโครโพลิส ใช้เป็นกำแพงป้อม และเป็นสถานกราบไหว้รูปเคารพของพวกเขา ที่มีชื่อเสียงคือวิหารของเทพีอะโฟรไดท์ เป็นเทพีแห่งความรักในวิหารนี้มีปุโรหิตหญิงที่เป็นโสเภณีนับพัน
พระเจ้าทรงเป็นผู้ที่ทรงชำระผู้เชื่อทุกคนให้บริสุทธิ์ จดหมายฉบับนี้ เขียนถึงชาวโครินธ์ก็จริง แต่มีธรรมเนียมว่าจดหมายจะถูกส่งไปให้พี่น้องที่อื่น ๆ ได้อ่านด้วย นั่นคือ พี่น้องไม่ว่าที่ไหนก็เป็นคนของพระเจ้าเช่นกัน
คำว่า “องค์พระเยซูคริสต์เจ้า” ในคำแปลภาษาไทยหลายเล่มว่า “พระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้า”ซึ่งทั้งนี้ ไม่ว่าจะเรียกแบบไหน มีความหมายถึงองค์พระผู้เป็นเจ้าที่ปรากฏเป็น พระยาห์เวห์ในพระคัมภีร์เดิม พระเยซูมาจากคำเดิมว่า “เยชูวา”ซึ่งมีความหมายว่า พระยาห์เวห์ทรงเป็นความรอด
คริสต์ มาจากภาษาเดิมว่า มาชิอาคหรือเมสสิยาห์หมายความว่าทรงเป็น “ผู้ได้รับการเจิม”พระคุณและสันติสุขเป็นสิ่งที่เราทุกคนต้องการมากไม่ว่าในยุคโบราณ หรือจะเป็นวันนี้ เป็นพระพรที่เราควรทูลขอพระเจ้าเพื่อพี่น้องของเราด้วย

1 โครินธ์ 1:4-9
ขอบพระคุณเพราะท่านเสมอมา…นั่นคือท่านเปาโลได้อธิษฐานเผื่อพี่น้องชาวโครินธ์ประจำ ท่านมั่นใจในพระคุณของพระเจ้าที่มีอยู่ในตัวชาวโครินธ์ พวกเขามีของประทานที่ชัดเจนคือ มีทั้งความรู้และสามารถพูดเรื่องของพระเจ้าได้ดี กระจ่างชัด มีสติปัญญาที่จะอธิบายเรื่องของพระเจ้าได้ เป็นความชัดเจนในหมู่ชาวโครินธ์ แต่เมื่อเราอ่านต่อไป
เราจะพบปัญหาบางอย่างในหมู่พวกเขา
พี่น้องในเมืองโครินธ์ ได้รับการสอนเรื่องพระเยซูอย่างถูกต้อง มีความแม่น เข้าใจเรื่องอย่างดีพวกเขาโดดเด่น มีของประทานแห่งพระวิญญาณแต่ต่อมามีการใช้ในทางผิด คำว่า รอพระเยซูคริสต์เจ้ามาปรากฏ ทำให้เรารู้ว่า การใช้ชีวิตของเรานั้นต้องมีจิตใจที่รอคอยให้พระเจ้าปรากฏในการเสด็จกลับมาครั้งที่สองของพระองค์
คริสเตียนโครินธ์มีจุดเด่น และจุดด้อยที่อันตรายต่อชีวิตฝ่ายวิญญาณแต่ในขณะเดียวกัน ท่านยังมั่นใจว่าพระเจ้าจะทรงรักษาพวกเขาไว้ จะเห็นว่า เนื่องจากใจของเรานั้นเป็นตัวหลอกลวงที่สุด เราจึงต้องการพระเยซูให้รักษาชีวิตของเราไว้ ไม่ว่าจะในยุคโครินธ์ หรือยุคดิจิตัล
สังเกตอะไรไหม? ท่านเปาโลเขียนมาจนถึงตรงนี้โดยที่กล่าวถึงพระเยซูเกือบทุกประโยคเลย นับไปนับมาก็ได้เก้าครั้ง ประโยคในภาษากรีกเดิมที่ท่านเปาโลเขียนนั้นยาวมาก เมื่อแปลก็ต้องทำให้ประโยคยาวนั้นกลายเป็นประโยคสั้นที่ต่อเนื่องกันทำให้ผู้อ่านเข้าใจง่ายขึ้น ที่ท่านเปาโลมีความหวังทั้ง ๆ ที่คริสตจักรในโครินธ์เละเทะมาก เพราะท่านวางใจว่าพระเจ้าจะทรงช่วยให้สัมพันธ์สนิทที่ทรงประสงค์ประสบความสำเร็จ

1 โครินธ์ 1:10-12
ที่จริงปัญหาของพี่น้องมีเยอะมาก หลากหลาย แต่ทำไมท่านเปาโลจึงนำเรื่องการแตกแยกนี้มาเป็นอย่างแรก?เป็นเพราะการแตกคออย่างนี้ทำให้ไม่อาจคุยกันได้ต่างไม่ฟังซึ่งกันและกัน จึงไม่มีโอกาสที่จะกลับตัวและเริ่มต้นใหม่ บาปอื่นเกิดขึ้นยังพอช่วยกันแก้ไข
ภาพรวมที่เราเห็นคือ พี่น้องแตกแยกกันเป็นเหมือนพรรคการเมืองเลย พวกเขาต่างเลือกติดตามผู้นำที่แตกต่างกันทั้ง ๆ ที่ผู้นำเหล่านั้นไม่ได้เรียกเขามาเป็นพวกเลย คนชาวโครินธ์สนใจคนที่พูดได้ดีมีโวหาร พวกเขาจึงเลือกตามคนที่เขาพอใจ

1 โครินธ์ 1:13-17
คำถามทั้งสามข้างบนตอบได้คำเดียวว่า “ไม่”ในเมื่อพระคริสต์ไม่ได้ถูกแบ่ง ทำไมคนของพระองค์แตกกันเอง เปาโลไม่ได้ถูกตรึงเพื่อพวกเขา แล้วทำไมเขาต้องยกเปาโลขึ้น เขาไม่ได้รับบัพติศมาในนามของเปาโล แต่ในพระนามพระเจ้า แล้วทำไมพวกเขาจึงทำเช่นนี้ คำตอบอาจอยู่ที่ตัวพี่น้องเองเมื่อเขาเจอใครที่นำเขามาหาพระเจ้า เขาก็จะยกคนนั้นเหนือคนอื่นนั่นเอง ดังนั้นไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไร พวกเขาต้องหยุดสร้างชนชั้นคริสเตียน
ท่านเปาโลเข้าใจว่า การที่ผู้รับใช้คนหนึ่งได้ให้บัพติศมาแก่พี่น้อง ก็อาจทำให้พี่น้องคนนั้น คิดไปว่า ผู้ให้บัพติศมานั่นแหละเป็นคนที่เขาต้องติดตามไปเป็นศิษย์ จึงมีการแบ่งพรรคพวกกันเกิดขึ้นเรื่องการติดตามอาจารย์นั้น มีมาแต่โบราณและก็ยังมีจนถึงทุกวันนี้ พวกเขาติดตามอาจารย์มากกว่าติดตามพระคำของพระเจ้า นี่จึงเป็นเหตุให้มีคนจำนวนมากถูกอาจารย์กำมะลอหลอกเอาเงินใช้พวกเขาเป็นให้เป็นประโยชน์กับตนเอง
พี่น้องโครินธ์ชอบคำพูดสวยหรู น่าฟัง ท่านเปาโลจึงเตือนพวกเขาในเรื่องนี้ว่า เราจะฟังถ้อยคำจากปัญญาของมนุษย์หรือจะฟังจากฤทธิ์เดชของพระเจ้าเพราะการประกาศไม้กางเขนไม่ใช่เพื่อทำให้ผู้คนสบายใจ แต่เพื่อเขาจะได้สำนึกในบาปที่มีอยู่ และกลับใจมาหาพระองค์

1 โครินธ์ 1:18-21
ในสังคมตะวันตก เขาจะชื่นชมกับการไม่เชื่อว่ามีพระเจ้า และยกเอาทฤษฎีวิวัฒนาการมาอ้างเป็นพื้นฐานความคิดว่าไม่มีพระเจ้า เขาคือพระของตน ส่วนในสังคมไทยเรา จะชื่นชมกับการทำดีของตนเองความดีทำให้เราไปสู่เป้าหมายของการหลุดพ้น แต่เราเชื่อ มั่นใจว่า ไม้กางเขนของพระเยซูคริสต์ที่คนมองว่าโง่เขลาเป็นความพ่ายแพ้ คือฤทธิ์ของพระเจ้าที่ช่วยให้เรารอดบาปได้
อิสยาห์ 29:14 กล่าวว่า ปัญญาของคนมีปัญญาของเขาจะพินาศไป ความเข้าใจของคนที่เข้าใจจะถูกปิดบังไว้ พระเจ้าจะทรงทำให้เห็นว่า ปัญญาของคนที่พยายามต่อต้านพระองค์นั้น มันก็แค่ปัญญาที่ถูกล้มล้างได้ ในขณะที่ความจริงของพระองค์ดำรงอยู่เป็นนิตย์
ท่านเปาโลไม่ได้ดูหมิ่นสติปัญญาของมนุษย์เรื่องอื่น ๆ ที่เป็นความเจริญขึ้นในความรู้
ปัญญาของโลกที่ท่านหมายถึงคือ ความ คิดว่าตนเองเก่งกว่าใคร คิดได้ยอดกว่าใคร ๆ แถมยอดกว่าพระเจ้า ดูหมิ่น ท้าทายพระเจ้า เหยียดพระองค์มองคนอื่นต่ำกว่าไปเสียทุกเรื่องเต็มด้วย
ความเกลียดชัง
พอมาถึงข้อนี้ เราก็พบชัดเจนว่า สติปัญญาแบบโลกที่เห็นว่าตัวเองเก่งกว่าใคร ไม่อาจจะทำให้เขาพบพระเจ้าได้เลย สรุปว่า ความรอดพ้นบาปไม่ได้ขึ้นอยู่กับปัญญา แต่ขึ้นอยู่กับความเชื่อ เป็นเงื่อนไขที่พระเจ้าทรงวางไว้เพื่อให้มนุษย์ทุกคนรอดได้ เขาจะเป็นใครก็ตาม อ่านหนังสือไม่ออก เป็นคนการศึกษาน้อย เป็นชาวป่าหรือจะเป็นคนเมือง เงื่อนไขนี้ทำให้มนุษย์ทุกคนมีความเท่าเทียมกันในการมารู้จักและรับความรอดจากพระเจ้า

1 โครินธ์ 1:22-25
คนสองกลุ่มที่มองว่าคริสเตียนที่เชื่อพระเยซูเป็นคนโง่ ก็คือคนกรีกและคนยิว คนยิวชอบเรื่องการอัศจรรย์ พวกเขาเคยขอให้พระองค์ทำให้ดู แต่พระองค์ปฏิเสธ (มัทธิว 12:38-42) ส่วนคนกรีกก็ต้องการคำอธิบายแบบอุดมคติ คำหรู ๆ ยาว ๆที่ฟังแล้วรู้สึกเป็นปัญญาชน ไม้กางเขนจึงเป็นเหมือนหินที่ทำให้พวกเขาสะดุด ไม่อาจมาถึงความรอดพ้นบาปได้
แต่เมื่อพระวิญญาณของพระเจ้าทรงแตะต้องใจของใครแล้ว เขาคนนั้นจะมองเห็นพระปัญญา และฤทธิ์เดชที่เปลี่ยนชีวิต เขามองเห็นว่า พระปัญญาของพระเจ้านั้นเหนือกว่าความคิดของมนุษย์เป็นไหน ๆ เขามองเงื่อนไขของพระเจ้าเรื่องไม้กางเขน เป็นความรักที่ทรงให้มนุษย์ทุกคนเท่ากันโดยไม่เลือกที่รักมักที่ชัง
ท่านเปาโลกล้าพูดอย่างนี้ออกมาเพราะท่านรู้จักพระเจ้าเป็นอย่างดี ทุกอย่างที่พระเจ้าทรงสร้างนั้น เหนือความสำเร็จใด ๆ ที่มนุษย์สร้างสรรค์ขึ้นมา นักวิทยาศาสตร์ที่มาพบพระเจ้า มักจะพบด้วยการสำแดงของพระเจ้าต่อเขา ไม่ใช่เพราะเขาพบด้วยปัญญาของตนเอง

1 โครินธ์ 1:26-31
ท่านเปาโลได้เตือนสติพี่น้องชาวโครินธ์อย่างอ่อนโยน ท่านให้พวกเขาพิจารณา ว่า ก่อนที่จะมาพบพระเจ้านั้น พวกเขาอยู่ในฐานะ การงาน ชาติตระกูลแบบไหน ปรากฏว่าพวกเขาพบว่า จำนวนมาก มาจากคนที่เคยเป็นทาสมาก่อน เป็นคนที่สังคมเหยียดหยาม มีน้อยคนในพวกเขาที่เป็นชนชั้นสูง ร่ำรวย ทั้งทาสและไท พากันมาเชื่อเพราะฤทธิ์เดชของพระเจ้า ไม่ใช่เพราะตัวเอง
เหตุใดพระเจ้าทรงเลือกทำเช่นนี้? ส่วนใหญ่แล้วคนที่เก่งจะมี
ความหยิ่งอยู่ในตัวว่า “ข้าเก่ง” ตรงนี้เองที่ทำให้พวกเขามีปัญหาที่จะรับเอาพระเจ้า พระเยซูได้ตรัสว่า คนที่จะเข้าในแผ่นดินสวรรค์ได้คือคนที่เป็นเหมือนเด็กเล็ก ๆ ที่ไร้อคติ ไร้ความคิดที่เป็นอุปสรรคทั้งปวง เราจะสังเกตเห็นว่าคนที่ท้าทายพระเจ้าส่วนใหญ่มักเป็นคนที่ยโสเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว
ดูการทรงเลือกของพระเจ้าเมื่อพระองค์ทรงส่งพระบุตรลงมาในโลกสิ พระองค์ไม่ได้ให้พระบุตรมาเกิดเป็นเจ้าชาย เป็นชนชั้นสูง
เพราะทรัพย์สมบัติ ชาติตระกูล ไม่ได้ส่งผลอะไรให้พระองค์เลย ทรงเลือกให้พระบุตรมาเกิดในสถานที่ซึ่งไม่ใช่บ้านด้วยซ้ำ เป็นที่ ๆ พระบุตรไม่สมควรแขกที่มาเยี่ยมกลุ่มแรกก็เป็นคนเลี้ยงแกะซึ่งเป็น
ชนชั้นต่ำในสังคม
การที่เราคนใดคนหนึ่งจะได้มีโอกาสมาเป็นลูกของพระเจ้า เป็นคนที่ใกล้ชิดพระองค์นั้น เราได้รับการเลือกจากพระเจ้า ไม่ใช่เราเลือกพระองค์ สดุดี 65:4 เขียนไว้ว่า คนที่พระเจ้าทรงเลือก
และทรงทำให้เขามาอยู่ใกล้พระองค์ ก็เป็นสุข

พระคำเชื่อมโยง
1* โรม 1:1; 1 โครินธ์ 8:6; กิจการ 18:17
2* กิจการ 15:9;โรม 1:7;
1โครินธ์ 8:6; โรม 3:22
3*โรม 1:7
4*โรม 1:8
5* 1โครินธ์ 12:8
6* 2 ทิโมธี 1:8
7* ฟีลิปปี 3:20
8* 1 เธสะโลนิกา 3:13, 5:23 โคโลสี 1:22; 2:7
9* อิสยาห์ 49:7; ยอห์น 15:4

10* 2 โครินธ์ 13:11
12* 1 โครินธ์ 3:4; กิจการ 18:24; ยอห์น 1:42
13* 2 โครินธ์ 11:4
14*ยอห์น 4:2; กิจการ 18:8; โรม 16:32
16* 1 โครินธ์ 16:15,17
17* 1 โครินธ์ 2:1,4,13
18* 1 โครินธ์ 2:14โครินธ์ โรม
19* อิสยาห์ 29:14

20* อิสยาห์ 19:12; 33:18;
โยบ 12:17
21* ดาเนียล 2:20
22* มัทธิว 12:38
23* ลูกา 2:34; 1 โครินธ์ 2:14
24* โรม 1:4; โคโลสี 2:3
26*ยอห์น 7:48
27* มัทธิว 11:25
30* 2 โครินธ์ 5:21
31* เยเรมีย์ 9:23,24