ลูกา 22 จูบพิษ

แผนสังหาร

ปัสกาสุดท้ายของพระเยซู

มหาสนิทต้นแบบ

ใครจะใหญ่ที่สุด?

เปโตร …​นายยังไม่รู้อะไร

เรื่องของเสบียงตามทาง

คำอ้อนวอนในสวน

คนทรยศปรากฏตัว

มันเกิดขึ้นจริง! ไม่น่าเลยเปโตร!

การเผชิญหน้า…

ยอห์น 3 เพราะพระเจ้าทรงรักโลก

นิโคเดมัสกับการเกิดใหม่

พระเยซูทรงอธิบายถึงแผนการแห่งความรอดของพระเจ้า

ยอห์นผู้ให้บัพติศมายกย่องพระเยซู

อธิบายเพิ่มเติม

ยอห์นบทที่ 3

1-10 การสนทนาของพระเยซูกับนิโคเดมัส
11-21  พระเยซูอธิบายถึงแผนการแห่งความรอดของพระเจ้า               
22-36  คำพยานของยอห์นเรื่องพระคริสต์
ยอห์น 3:1-3
จาก ยอห์น 2:23 -24 เราจะเห็นว่า มีคนมากมายได้เห็นการอัศจรรย์ของพระเยซูแล้วพวกเขาก็เชื่อ แต่พระเยซูไม่ได้วางพระทัยในคนเหล่านั้นเลย  นิโคเดมัสเป็นคนหนึ่งในนั้น  แต่เขาไม่อยู่นิ่งเฉย เขาต้องการรู้ ต้องการเข้าใจมากขึ้น   เพราะเขาเป็นฟาริสี เป็นคนใหญ่โต อยู่ในสภาปกครองของยิว  เขามาหาพระเยซูเวลากลางคืน
เขาเริ่มต้นด้วยคำที่บอกให้เรารู้ว่า มีฟาริสีคนอื่น ๆ ด้วยที่ยอมรับว่าพระเจ้าสถิตกับพระเยซูจริง เพราะว่าทรงทำการอัศจรรย์   เขาเรียกพระองค์ว่าอาจารย์  
แต่พระเยซูไม่ได้สนทนาตอบคำชมเชยของเขา  พระองค์กลับตรัสว่า หากคนใดไม่บังเกิดใหม่ ก็จะไม่อาจเห็นอาณาจักรพระเจ้า   นี่เป็นคำสนทนาแทงใจ  คำตรัสของพระเยซูพูดให้ชัดง่าย ๆ คือ “ นิโคเดมัส  ท่านต้องยอมให้พระเจ้าเปลี่ยนท่านใหม่  เปลี่ยนจากเบื้องบน ขุดรื้อถอนความเข้าใจเดิมที่มีอยู่เอาออกไปให้หมดและใส่ความคิดของพระเจ้าเข้าไป”
ในฐานะที่เป็นฟาริสี เขามีพื้นฐานความคิดที่ว่า คนเราต้องทำดีตามกฎพระเจ้าจึงจะพอใจ แต่นั่นไม่ใช่วิธีของพระเจ้าซึ่งทรงเป็นเจ้าของอาณาจักร
 คำว่าเกิดใหม่ ในภาษากรีกว่า อะโนเทน มีสามความหมายคือ 
1.ทำใหม่อีกครั้ง  2.เริ่มต้นใหม่ตั้งแต่ต้น 3.ยังมีความหมายว่า จากเบื้องบน 

ยอห์น 3:4-6
จากคำตอบของนิโคเดมัส แสดงว่าเขาไม่เข้าใจสิ่งที่พระเยซูตรัส   นิโคเดมัสเข้าใจว่าการเกิดใหม่ที่พระเยซูกล่าวถึง เป็นการเกิดใหม่ด้วยการเกิดในท้องแม่อีกครั้ง    แต่พระเยซูทรงมีความหมายว่า การเกิดใหม่นี้คือการเปลี่ยนชีวิตโดยพระวิญญาณของพระเจ้า ได้รับการชำระให้สะอาดจนเหมือนเกิดใหม่    นิโคเดมัสทำเองไม่ได้  เป็นการเปลี่ยนแปลงรากฐานชีวิต ความคิด ทัศนคติ ความเชื่อ การประพฤติอย่างสุดขีด แบบถอนรากถอนโคน
พระเยซูทรงอธิบายต่อไปว่า พระองค์ทรงหมายถึง การเกิดจากน้ำและพระวิญญาณ  น้ำในที่นี้หมายถึงการได้รับการชำระให้สะอาด    ดู เอเสเคียล 36:24-27  เราเอาน้ำสะอาดพรมเจ้า เพื่อให้พ้นจากมลทิน เราจะใส่วิญญาณใหม่
ที่เกิดจากเนื้อหนังก็เป็นเนื้อหนัง ที่เกิดจากพระวิญญาณก็เป็นวิญญาณ  ที่เขาเกิดมาจากท้องแม่จนเข้าวัยชรานี้ ยังเป็นเนื้อหนังอยู่   นิโคเดมัสต้องเกิดใหม่ด้วยพระวิญญาณ    จะได้เข้าไปในอาณาจักรของพระเจ้าที่เป็นฝ่ายวิญญาณได้ 

ยอห์น 3:7-9
พระเยซูทรงอธิบายต่อว่า คนที่เกิดจากพระเจ้าใหม่นั้น เขาไม่อาจรู้ได้ว่า มันเกิดอย่างไร รู้แต่ว่ามันเกิดขึ้นจริงเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น   
มนุษย์ไม่สามารถควบคุมลมที่พัดมาได้ และมองไม่เห็นลม  แต่ก็จะเห็นผลที่ได้เมื่อลมพัดมา   พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็เช่นกัน เราไม่อาจควบคุมพระองค์ หรือเห็นพระองค์ได้  
ความรอดของคน ๆ หนึ่งไม่ได้ขึ้นอยู่กับเขา แต่ขึ้นอยู่กับพระเจ้า  (เอเสเคียล 37)   เมื่อพระวิญญาณทรงทำราชกิจในชีวิตใครแล้ว  คนรอบข้างจะเห็นการเปลี่ยนแปลงของคน ๆ นั้นอย่างชัดเจน  เป็นหลักฐานว่าพระเจ้าได้ทรงทำการในชีวิตของเขาแล้ว
ความรอดเป็นการเริ่มต้นจากพระวิญญาณ (ยอห์น 6:44-45)  และคนที่ตอบรับพระองค์ก็ตอบโดยการเชื่อและกลับใจสำนึกผิด  (ยอห์น 1:12, 3:16-18)
เมื่ออ่านหนังสือยอห์นต่อไป เราจะเห็นว่า ยอห์นเน้นพระวิญญาณและราชกิจของพระองค์ชัดเจนมาก  (ยอห์น 14:17,25-26, 16:7-15)

ยอห์น 3:10-11
ท่านเป็นอาจารย์ของอิสราเอล  แสดงว่า นิโคเดมัสเป็นอาจารย์มีชื่อเสียง ใหญ่โตทีเดียว  คำของพระเยซูทำให้เห็นว่า   พวกอาจารย์ชาวยิวทั้งหลายไม่มีความเข้าใจพระคัมภีร์เดิมเรื่องการชำระวิญญาณให้สะอาด
จาก เอเสเคียล 36:24-27 
แต่ที่เราไม่ค่อยเข้าการสนทนาครั้งนี้  พวกเราเป็นคนไทยเกิดมากับความคิดอีกแบบ พอได้ยินว่าเกิดใหม่ อาจไปคิดถึงการเกิดใหม่ในชาติหน้า ซึ่งไม่ใช่เป็นสิ่งที่พระเยซูทรงกล่าวถึง
แต่การที่นิโคเดมัสไม่เข้าใจพระเยซู เป็นเพราะเขายังไม่เชื่อพยานของพระองค์จริงจัง
พวกท่านไม่รับคำพยานของเรา  นั่นคือ ทั้งนิโคเดมัสและฟาริสี ธรรมาจารย์ทั้งหลายไม่ได้ยอมรับพระองค์ 

ยอห์น 3:12-15# พระบุตร
ในหนังสือกันดารวิถี 21:4-9  ชาวยิวในถิ่นกันดารได้ประสบกับการพิพากษาของพระเจ้า  พวกเขาบ่นว่าโมเสส เกลียดมานา ไม่มีน้ำ ไม่มีขนมปัง พระเจ้าทรงส่งงูพิษมากัดคนตายมากมาย  พวกเขาจึงขอให้โมเสสอธิษฐานขอพระเจ้าเอางูออกไป
พระเจ้าทรงให้โมเสสทำเสา และติดงูทำจากทองสัมฤทธิ์ไว้บนเสา  คนที่ถูกงูกัดเมื่อมองงูสัมฤทธิ์จะมีชีวิตอยู่
งูสัมฤทธิ์นั้น เป็นเครื่องหมายของบาปที่ถูกพระเจ้าจัดการ หลายพันปีต่อมาจากวันนั้นพระเยซูจะต้องแบกบาปของมนุษย์ทั้งโลกและถูกพิพากษาเพราะบาปนั้นโดยพระบิดา
ชีวิตนิรันดร์  ในกรีกคือ โซเอ  หมายถึงชีวิตที่ฟื้นขึ้นมา  ชีวิตในอนาคต ในยุคใหม่ เป็นชีวิตของพระเจ้า

ยอห์น 3:16-17  #พระบิดา
ยอห์น 3:36 มีความหมายเดียวกับยอห์น 3:16 
ในข้อนี้ ทุกคำสำคัญหมด  พระเจ้าทรงรักมนุษย์ และส่งพระเยซูมาบังเกิด สิ้นพระชนม์บนกางเขน และคืนพระชนม์    เป็นความรักที่ไม่อาจเข้าใจได้  เพราะมนุษย์ชั่วร้าย เลวชาติ   ปฏิเสธความจริง  คำของพระองค์อาจทำให้นิโคเดมัสผงะก็เป็นได้  เพราะยิวเชื่อว่า พระเจ้าทรงรักพวกเขาเท่านั้น คนต่างชาติไม่เกี่ยว  นี่เป็นคำที่ยิวไม่คาดว่าจะได้ยิน  รักของพระเจ้าเป็นอย่างนี้
                        พระเจ้าทรงรักโลก   พระเจ้าทรงรักคริสตจักร  พระเจ้าทรงรักฉัน 
ยอห์น 3:16               เอเฟซัส  5:25            กาลาเทีย 2:20
(กาลาเทีย 2:20 “พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงรักข้าพเจ้า และได้ทรงสละพระองค์เองเพื่อข้าพเจ้า”)
พระเจ้าทรงรักเราโดยพระองค์ต้องจ่ายราคาแลกมาที่แพงสุดจักรวาล  คือพระชนม์ชีพของพระบุตรองค์เดียวของพระองค์  พระบุตรองค์นี้ สัมพันธ์สนิทกับพระบิดามาเป็นนิรันดรกาล  พระเจ้าทรงไม่ทรงโหดร้ายที่จะให้มนุษย์พินาศ แต่เพราะพระองค์ทรงบริสุทธิ์   บาปเป็นสิ่งที่ผู้พิพากษาทรงธรรมจะต้องพิพากษาโทษ   พระองค์ทรงเปิดทางให้เราพ้นจากการลงโทษนั้น  โดยการตัดสินใจที่จะหนีเข้ามาทางพระเยซู
ความพินาศที่พูดถึงนี้คือ การพ้นไปจากความสัมพันธ์กับพระเจ้าตลอดไป   แต่พระเจ้าเองไม่ได้ทรงต้องการเช่นนั้น ทรงยินดีที่คนชั่วร้ายกลับมาหาพระองค์ (เอเสเคียล 18:23) โลกตกอยู่ใต้การพิพากษาของพระเจ้าเพราะโลกตกจากเป้าหมายที่ควรจะไปให้ถึง (ยอห์น 3:36, โรม 1:18)
 เมื่อคนใดเชื่อพระเจ้า ก็จะได้เกิดใหม่ คือรับการเปลี่ยนแปลงใหม่  ได้รับชีวิตนิรันดร์ และความรอดพ้นบาป แต่ยังมีอีกทางเลือกคือ พินาศ (10:28)  เสียชีวิตของตน (12:25) และถูกทำลายไป (17:12)

ยอห์น 3:18-19 # มนุษยชาติ
คนที่เชื่อพระเยซูจะหนีจากการพิพากษาโทษได้  โรม 8:1 ยอห์น 5:24    แต่คนที่ไม่เชื่อ ถูกตัดสินเสร็จแล้ว ไม่มีทางที่จะหนีได้  3:36  การตัดสินไม่ได้รอจนเขาตายก่อน  เราทุกคนที่ไม่เชื่อ ถูกตัดสินและถูกลงโทษไปแล้ว   เมื่อเราเดินทางผิด และเห็นป้ายให้เดินไปทางถูกแต่ไม่ยอมเปลี่ยนเส้นทาง เท่ากับว่า ยังมุ่งหน้าไปหาปลายทางที่ไม่ใช่   หลายคนไม่ยอมรับว่ากำลังเดินทางผิด ยากสำหรับพวกเขาที่จะเปลี่ยนทาง

คนยิวคิดว่าตัวเองเป็นลูกหลานอับราฮัมก็รอด แต่พระเยซูไม่ได้ตรัสเช่นนั้น  จะได้ความรอดต้องเชื่อ!   หากไม่เชื่อในพระนามพระเยซูองค์นี้ ก็จะพบกับความตายฝ่ายวิญญาณ เหมือนกับคนที่ต้องตายเพราะงูพิษ    ตรงนี้มีความชัดเจน แตกต่างระหว่าง เชื่อกับไม่เชื่อ…
การปฏิเสธความสว่าง หรือความเข้าใจเรื่องพระบิดาและพระบุตรนี้  ก็เท่ากับปฏิเสธพระเยซูโดยตรง ที่พวกเขาไม่เลือกความสว่าง เพราะไม่ชอบสว่าง สว่างทำให้เห็นความชั่วของตน  มนุษย์ยังอยากรู้สึกดีทั้งที่บาป 

ยอห์น 3:20-21    # มนุษยชาติ
 คนทำชั่ว ไม่ใช่แค่รักความมืด แต่เขาเกลียดความสว่างด้วย  คำว่าคนชั่วในที่นี้หมายความถึงคนที่ไร้ค่า  เมื่อพระเยซูมา เมื่อความสว่างเข้ามา เขาจะเห็นความไร้ค่าของชีวิตตนเอง ไม่มีเป้าหมายชีวิต  ไม่มีอะไรดี ๆ รออยู่ในอนาคต  ชีวิตขึ้นอยู่กับยถากรรม ไปตามบุญตามกรรม เขาทนไม่ได้ที่สว่างจะมาบอกเขาอย่างนั้น 
ทุกคนมีเหตุผลที่จะไม่เชื่อพระเจ้า  อย่ามายุ่งกับพี่เลย พี่ขอไปตามทางเดิมนี้     โอย ฉันไม่ชอบพวกคริสเตียน   ฉันดีแล้ว ศาสนาที่มีอยู่ก็สอนให้ฉันเป็นคนดี    เฮ้ย ฉันเป็นคนไทยนะ  จะให้ไปเชื่ออย่างอื่นได้ไง       ไม่เอาหรอก ถ้าเชื่อพระเจ้าก็ไม่ได้เที่ยวอย่างเคย     จะเชื่อพระเจ้าได้ไง  ทำไมพระเจ้าจึงปล่อยให้มีความทุกข์ในโลกมากมาย  ทั้งหมดเป็นความพยายามที่จะซ่อนความดื้อดึงต่อพระเจ้า  เหตุผลแท้จริงคือ พวกเขาไม่ต้องการความสว่าง
แต่คนที่มาหาพระเจ้า เขาพร้อมที่จะให้คนเห็นว่า สิ่งที่เขาทำนั้น เขาทำเพราะพึ่งพระปัญญาของพระเจ้า พึ่งความมหัศจรรย์ พลังของพระองค์  ยอมถ่อมตนรับว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่กว่าชีวิตเขา  เขายอมรับว่า เป็นคนบาปต่อพระพักตร์ของพระเจ้า   เขาต้องการให้พระองค์อภัยบาปให้   ทัศนคติของคนที่มีต่อความสว่างนั้น  เป็นของคนใจถ่อมยอมรับว่าช่วยตัวเองให้รอดไม่ได้

ยอห์นยกย่องพระเยซู

ยอห์น 3:22-24
พระเยซูทรงรับใช้ประชาชน และในเวลาเดียวกัน ทรงอยู่กับศิษย์ด้วย  ทรงใช้เวลากับพวกเขา เรารู้มาจากยอห์น 4:2 ว่า การให้บัพติศมานั้น ศิษย์ของพระเยซูเป็นผู้ทำให้ พระเยซูไม่ได้ทรงทำเอง การทำบัพติศมานี้ เป็นสัญลักษณ์ว่า บุคคลผู้นั้นกลับใจ และยอมรับความจริงฝ่ายวิญญาณที่ทรงสอน
เหตุการณ์นี้ทำให้ศิษย์ของยอห์นไม่ค่อยสบายใจตามประสามนุษย์   พระเยซูทรงมาทีหลังแต่ดูเหมือนจะดังกว่ายอห์น 

ยอห์น 3:25-26
อาจมีการทุ่มเถียงกันว่าพิธีชำระบาปแบบไหนมันใช้ได้ แบบยอห์นคือให้บัพติศมาหรือแบบของยิว
(เมื่อเป็นมลทินก็ไปอาบน้ำ ตามกฎบัญญัติโมเสส)   แต่จากเหตุการณ์นั้น ทำให้ยอห์นได้ทราบว่า พระเยซูทรงให้บัพติศมา และผู้คนหันไปหาพระองค์แทนที่จะมาหายอห์น  ศิษย์ของยอห์นตกใจเหมือนกันที่เหตุการณ์เป็นแบบนั้น  แต่ยอห์นไม่ได้กังวลสักนิดเขารู้หน้าที่  บทบาทของตนดี   ศิษย์ของยอห์นเคยได้ยินคำพยานของท่านที่ว่า พระเยซูทรงเป็นลูกแกะของพระเจ้า (1:19)

ยอห์น 3:27-30   
พวกศิษย์คิดง่าย ๆ อย่างคนทั่วไป  แต่ยอห์นกลับดีใจ เพราะเขาไม่ใช่คู่แข่งของพระเยซู  พระองค์จะต้องเป็นหนึ่ง
เขาบอกให้รู้ว่า ทุกตำแหน่งในโลกนั้นมาจากพระเจ้าไม่ว่าคนนั้นจะเป็นใครก็ตาม ยอห์นกล่าวชัดเจนว่า สถานภาพของทุกคนมาจากพระเจ้า!
เขาแจ้งให้ศิษย์รู้ว่า เขาเป็นใคร เขาเป็นคนที่ถูกส่งมาเตรียมทางให้กับผู้ที่พระเจ้าทรงเจิม องค์พระเมสสิยาห์หรือองค์พระคริสต์ เขาเป็นเสียงในถิ่นกันดารที่เตรียมทาง (อิสยาห์ 40:3)
สุดท้าย เขาเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวที่ดีใจมากเมื่อเห็นเจ้าบ่าว  เมื่อคนไปหาพระเยซูเขาดีใจเพราะเขาไม่อาจทำได้อย่างพระองค์ เขาไม่อาจให้ความรอดกับผู้คนได้ ยอห์นดีใจที่เขาเป็นเพื่อนของเจ้าบ่าว ที่คอยรับใช้ ยอห์นเป็นต้นแบบของชีวิตเราได้อย่างดี  จริงไหม  เราพูดได้ไหมว่า ฉันต้องต่ำลง ให้เธอสูงขึ้น?

ยอห์น 3:31-33
ยอห์นผู้ให้บัพติศมา  บอกทุกคนชัดเจนว่า พระเยซูทรงมาจากเบื้องบน ไม่ใช่คนธรรมดา ไม่ใช่แค่คนเก่ง มีปัญญา มีฤทธิ์มาก แต่ทรงเป็นพระเจ้าจากสวรรค์ มาจากโลกที่มองไม่เห็น ไปไม่ถึง (1 ทิโมธี 6:16)  พระองค์ทรงมีความคิดและหนทางที่สูงกว่าความคิดของมนุษย์ (อิสยาห์ 55:8-9) 
ยังมีเรื่องราวของพระองค์ที่เราไม่รู้ ไม่เข้าใจ เข้าไม่ถึง เราไม่อาจอธิบายพระองค์ได้ด้วยภาษาที่จำกัดแบบมนุษย์ได้    
ยอห์นบอกด้วยว่า พระองค์ทรงอยู่เหนือทุกคน รวมไปถึงธรรมจารย์ทั้งหลายที่เป็นคนธรรมดา
พระองค์ทรงเห็นอะไรในสวรรค์ ทรงได้ยินจากพระเจ้าอย่างไร ก็ทรงบอกตามนั้น  นี่เป็นเหตุผลที่คำของพระองค์ยิ่งใหญ่กว่าคำใด ๆ ในโลกนี้   พระองค์คือผู้ที่ได้ยินได้เห็นจากประสบการณ์จริง ไม่ใช่ได้ยินแล้วเอามาเล่า    แต่ถึงอย่างนั้น คนไม่ฟังคำของพระองค์      นี่เป็นคำพยานของยอห์นถึงพระเยซูเพิ่มเติมจากที่ศิษย์เคยได้ยิน

ยอห์น 3:34-36
คำกล่าวของพระเยซูนั้น คือคำของพระเจ้าพระบิดา  พระองค์ทรงมีพระวิญญาณบริสุทธิ์แบบไม่จำกัด เหนือเหล่าธรรมาจารย์ที่เมื่อมาเทียบกับพระเยซูคือ พวกเขาไม่มีอะไรเลย  
และทรงให้สรรพสิ่งอยู่ในพระหัตถ์ของพระเยซู คือ ทรงครอบครองเหนือทุกสิ่ง
เหตุผลหนึ่งที่ทุกสิ่งอยู่ในพระหัตถ์  ในอำนาจ ในการปกครองของพระเยซูก็เป็นเพราะพระบิดาทรงรักพระองค์มาก   พระบิดาทรงพอพระทัยที่จะให้ความเต็มบริบูรณ์อยู่ในพระองค์  (โคโลสี 1:19)
ยอห์นพูดสองครั้ง พระบิดาทรงรักพระบุตร  3:35  กับ 5:20  ยอห์นกล่าวอย่างชัดเจนว่า พระเยซูคือ พระบุตร พระองค์ไม่ใช่แค่ใครคนหนึ่งที่พระเจ้าเจิมให้มารับใช้  แต่ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า
ยอห์นบอกทางเลือกสองทางให้ด้วย  จะไปดี หรือไปร้าย? จะเชื่อหรือไม่เชื่อ?

*ฟาริสี มีความหมายว่า แยกออก เป็นคนบริสุทธิ์แยกตัวออกจากคนบาป  พวกเขาร้อนใจในเรื่องความบริสุทธิ์ตามกฎของโมเสส ถือว่านี่คือการทำให้พระเจ้าพอพระทัย แถมยังมีกฎของตัวเองเพิ่มขึ้นมาอีกมากมาย 
**นิโคเดมัสเป็นฟาริสีที่อยู่ในระดับผู้ปกครอง เราทราบว่า ต่อมาเขาเชื่อพระเยซู (7:50-52)  เขาเป็นคนที่ช่วยดูแลเรื่องการเก็บพระศพจากไม้กางเขนด้วย (19:34-42)


ยอห์น 2 งานสมรสที่บ้านคานา

งานเลี้ยงสมรสที่บ้านคานา

ยอห์น 2:1-3
หมู่บ้านคานาอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือห่างจากนาซาเร็ธประมาณ  14.5 กิโลเมตร  เป็นบ้านเกิดของนาธานาเอล  (21:2)  งานเลี้ยงนี้พระเยซูและมารีย์มารดา น่าจะไปร่วมงานพร้อมกับศิษย์ซึ่งพระองค์ทรงเรียก   ทรงไปร่วมงานนี้หลังจากที่ทรงรับบัพติศมาจากยอห์น และกำลังจะเริ่มราชกิจของพระเจ้าที่ทรงใช้พระองค์มา
งานเลี้ยงแต่งงานสมัยนั้น จะใช้เวลาฉลองสองสามวัน ไปจนถึงเป็นสัปดาห์  และผู้ที่ต้องรับผิดชอบในงานเลี้ยงก็คือฝ่ายเจ้าบ่าว  คนที่สำคัญในงานคือเจ้าบ่าว
สิ่งที่เจ้าบ่าวกลับไม่รู้คือ เหล้าองุ่นที่เลี้ยงนั้นกำลังจะไม่เหลืออยู่แล้ว  แต่คนที่ไปรู้เรื่องกลับเป็นมารีย์ มารดาของพระเยซู  เธอหันไปบอกพระเยซูถึงปัญหาที่เจ้าบ่าวกำลังจะเจอ   คือถ้าไม่มีอาหาร เหล้าองุ่นเพียงพอให้แขก  ผู้คนในหมู่บ้านจะเอาเรื่องนี้ไปพูดต่อ ๆ กันตลอดชีวิตเลย  นี่เป็นความอับอายทางสังคมที่โลกโบราณถือเป็นเรื่องจริงจัง
ยอห์น 2:4-5
การที่พระเยซูทรงเรียกมารดาว่า หญิงเอ๋ย เป็นการเรียกอย่างเคารพ แต่ในขณะเดียวกันก็ทรงปรามเธอว่ายังไม่ถึงเวลาของพระองค์   พระองค์ไม่ได้ปฏิเสธว่าจะไม่ช่วย 
มารีย์ไม่ได้คะยั้นคะยอขอให้พระองค์ทรงช่วยในงานนี้  เธอรู้ดีว่า พระเยซูคือใคร  พระองค์ทรงมีน้ำใจอย่างไร ดังนั้น เธอจึงแค่สั่งคนรับใช้ในงานให้ทำตามที่พระเยซูทรงสั่ง ลองคิดถึงตลอดสามสิบปีที่มารีย์อยู่กับพระเยซู  มารีย์ได้ประสบการณ์ตรงมากมายที่ทำให้รู้ว่า พระองค์คือพระบุตรของพระเจ้าแน่นอน  
ยอห์น 2:6-7
โอ่งน้ำที่วางอยู่นั้น ใส่น้ำใช้ชำระมือเท้าของพวกยิวก่อนกินอาหาร หรือชำระหลังจากที่ไปเจอกับคนต่างชาติซึ่งพวกเขาถือว่าเป็นมลทิน   และปกติแล้วคนจะไม่ดื่มน้ำจากโอ่งเหล่านั้น โอ่งแต่ละใบบรรจุน้ำได้มากพอสมควรทีเดียว  พระเยซูทรงสั่งให้คนรับใช้ไปตักน้ำมาใส่ให้เต็ม   พวกเขาก็ทำตามทันทีไม่มีใครรีรอ หรือสงสัย
ยอห์น 2:8-9
เมื่อโอ่งมีน้ำเต็มปริ่มขอบปากโอ่ง    พระองค์ก็ทรงสั่งให้ตักน้ำนั้นไปให้พ่องานชิม  อัศจรรย์จริง ๆ !  มันเป็นเหล้าองุ่นชั้นดี  การเปลี่ยนแปลงของน้ำธรรมดาที่กลายเป็นเหล้าองุ่น ทำให้รู้ว่า พระเยซูทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงสร้าง  ทรงเปลี่ยนน้ำให้เป็นเหล้าองุ่นที่ต้องการเวลาหมักนาน ๆ เสียด้วย   พระองค์ไม่ได้ทำการวางมือบนปากโอ่ง หรือเสก หรือทำพิธีอะไรเลย  ง่ายสำหรับพระองค์ที่จะทรงทำการเหนือธรรมชาติ เพราะทรงเป็นพระเจ้าผู้อยู่เหนือธรรมชาติ
คนรับใช้คงยิ้มด้วยความสุข เมื่อเขาได้เห็นอัศจรรย์ครั้งนี้ ได้มีส่วนในการอัศจรรย์อันเหลือเชื่อจากการที่เขาทำตามคำสั่งของพระเยซู
ยอห์น 2:10-11
ผู้ที่เป็นพยานสำคัญในเหตุการณ์นี้คือ คนรับใช้  มารีย์  พ่องานที่ไม่รู้เรื่องว่าเหล้าองุ่นมาจากไหนแต่บอกได้ว่าเหล้าองุ่นนี้เป็นเหล้าชั้นดีกว่าที่เลี้ยงกันอยู่  และศิษย์ของพระเยซูที่ได้เห็นขบวนการต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด และเป็นวันที่พวกเขาเชื่อวางใจในพระองค์  ผู้นี้คือมนุษย์และพระเจ้าในบุคคลเดียวกัน  เป็นการอัศจรรย์แรกหรือหมายสำคัญแรกที่บ่งบอกว่า พระองค์คือ พระเมสสิยาห์ที่พระเจ้าทรงส่งมาเพื่อชาวโลก

ชำระพระวิหาร

ยอห์น 2:12-13
จากบ้านคานา พระเยซูทรงไปทางเหนือพักที่เมืองคาเปอร์นาอูมริมทะเล จากนั้นก็เดินทาง
ไปร่วมเทศกาลปัสกาในกรุงเยรูซาเล็ม   ซึ่งเป็นสิ่งที่ชายชาวยิวอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไปจะต้องไปเข้าร่วมเทศกาลนี้ทุกปี เพื่อระลึกถึงวันที่พระเจ้าทรงนำบรรพบุรุษของพวกเขาออกมาจากอียิปต์  ( อพยพ 23:14-17, เฉลยธรรมบัญญัติ 16:1-8)   
ยอห์น ผู้เขียนได้กล่าวถึงเทศกาลปัสกาสามครั้ง  นี่เป็นปัสกาครั้งแรกที่ท่านพูดถึงในหนังสือยอห์น  (ครั้งที่สอง 6:4   ครั้งที่สาม 11:55  12:1  13:1  18:28,39   19:14)   พระเยซูทรงชำระพระวิหารเป็นครั้งแรกเช่นกัน ในช่วงเวลาที่พระองค์ทรงเริ่มต้นประกาศข่าวดีของพระเจ้า

ยอห์น 2:14-17
ช่วงเวลานี้จะมียิวจากทุกหนแห่งมุ่งหน้ามายังเยรูซาเล็ม  ทั้งจากต่างประเทศด้วย พวกนี้ไม่อาจจะหอบหิ้วสัตว์ต่าง ๆ ตามบทบัญญัติของโมเสสมาได้ แถมยังใช้เงินของพื้นที่ต่าง ๆ จากโรม กรีก ซีเรีย ซึ่งไม่สามารถใช้สำหรับการถวาย หรือให้ภาษีพระวิหารได้ เพราะในพระวิหารรับเฉพาะเงินไทร์ (Tyrian coin) ซึ่งเป็นเหรียญเงินบริสุทธิ์ 
จากความจำเป็นเพื่อให้ความสะดวกกับคนที่เดินทางมาไกลนี้ กลายเป็นเรื่องของธุรกิจ ผลประโยชน์ของทั้งพ่อค้าสัตว์ คนแลกเงิน และเจ้าหน้าที่พระวิหารที่เรียกเก็บค่าที่  พวกเขาใช้พื้นที่ลานพระวิหารซึ่งเป็นลานส่วนนอกสำหรับคนต่างชาติ ไม่ใช่ในบริเวณพระวิหารด้านใน
ในช่วงเวลาเทศกาลปัสกา  พระวิหารของพระเจ้าจึงกลายเป็นพื้นที่การค้าอันวุ่นวาย  แน่นอนเมื่อพระเยซูทรงเข้าไปในสถานที่นั้น พระองค์ทรงโกรธจัด  ถึงขนาดเอาเชือกทำเป็นแส้ ทรงเทถาดเงิน คว่ำโต๊ะคนแลกเงิน  ไล่ทั้งสัตว์และคนออกไป คิดดูแล้วกันว่าเวลานั้น จะโกลาหล ชุลมุนวุ่นวายขนาดไหน เมื่อสัตว์ทั้งหลายตกใจกับเสียงและแส้ของพระเยซู ผู้คนที่กำลังง่วนกับการซื้อขายต้องมาเจอพระเยซูที่ทรงเกรี้ยวสุดเหวี่ยง  ที่เรารู้ว่าเป็นอย่างนั้น เพราะยอห์นได้อ้างถึงพระคัมภีร์ที่บอกล่วงหน้าว่า พระเมสสิยาห์จะทรงชำระพระวิหารที่ถูกทำให้เป็นมลทิน
สดุดี 69:9 ความร้อนใจในเรื่องพระนิเวศได้เผาผลาญข้า
มาลาคี 3:1-3 พระองค์เสด็จมายังพระวิหารของพระองค์อย่างกระทันหัน…ใครจะทนได้เมื่อพระองค์เสด็จมา
เศคาริยาห์ 14:21 ในวันนั้นจะไม่มีพ่อค้าในพระนิเวศของพระยาห์เวห์องค์จอมทัพอีกต่อไป
วันนั้น พระองค์ประกาศก้องว่า พระองค์คือพระบุตรขององค์พระบิดาเจ้า..!! ยิวทุกคนในพระวิหารนั้น ได้ยินกับหู
การกระทำของพระเยซูครั้งนี้เป็นการประกาศศึกกับพวกฟาริสี ปุโรหิตในพระวิหารอย่างเปิดเผย โจ่งแจ้ง ไม่มีการเกรงกลัวอำนาจการเมืองใด ๆ  …แต่การวุ่นวายครั้งนี้กลับไม่ได้มีปัญหากับโรมที่จะส่งทหารเข้ามา แสดงว่าก็ยังไม่มีความรุนแรงทางการเมืองเกิดขึ้น 
ยอห์น 2:18-22
ทั้ง ๆ ที่ตัวเองเป็นคนผิด  ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แก่ใจ  พวกยิวที่มีอำนาจกลับมาท้าทายพระเยซูว่า ทรงใช้อำนาจใดที่ไล่พ่อค้าเหล่านี้
นี่เป็นการใช้อำนาจในทางที่ผิดมานานจนไม่รู้ว่าตัวเองผิดต่อพระเจ้า  คิดว่าตนเองทำถูกต้อง  พวกเขาทำให้พระวิหารของพระเจ้าซึ่งเป็นที่ ๆ คนจะเข้ามามีความสัมพันธ์สนิทกับพระเจ้าให้กลายเป็นที่ ๆ แสวงหาผลประโยชน์ เอาพระวิหารมาบังหน้าเพื่อตนเองจะได้ร่ำรวยขึ้น
พวกยิวต้องการหมายสำคัญแบบให้เห็นต่อหน้าต่อตาว่า พระเยซูคือผู้ที่มีอำนาจจากพระเจ้า แต่พระองค์กลับไปตรัสถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากสิ้นพระชนม์  พวกเขาจึงงง ไม่เข้าใจ
พระองค์กำลังตรัสแบบว่า “ฆ่าเราสิ  เราจะฟื้นขึ้นมาภายในสามวัน  จัดการเราสิ เราจะชนะ”
ยอห์น 2:23-25
คำพูดของพระองค์ ทำให้ต่อมาหลังจากที่พระเยซูคืนชีพขึ้นมา  ศิษย์ของพระองค์จึงเข้าใจว่า ทรงหมายความว่าอย่างไร   พระเยซูกำลังตรัสกับศิษย์ของพระองค์โดยตรง แต่ปิดความหมายไว้จากพวกยิว
ร่างกายของเราเป็นพระวิหารของพระเจ้า  เราได้ทำอะไรในชีวิตที่พระเยซูต้องไล่และชำระออกไหม  ลองคิดดี ๆ  พระเจ้าจะทรงให้ความเข้าใจแก่ทุกคน? 
ยอห์น 2:23-25
หลังจากเหตุการณ์วันนั้น พระเยซูยังทรงพักในเยรูซาเล็ม  และไม่ได้ทรงอยู่เฉย ๆ การอัศจรรย์ที่บ่งบอกว่า พระองค์มาจากพระเจ้านั้นเด่นชัด ทำให้หลายคนมาเชื่อพระนามของพระองค์  (พระนามเยซู มาจากเยชูวา แปลว่า ช่วยกู้ ช่วยให้รอดพ้น )  พวกเขาตื่นเต้นที่ได้เห็นการรักษาโรค  การไล่ผีสิงออกมา  การสอนของพระองค์ น่าตื่นตาตื่นใจมากกว่าที่ธรรมาจารย์ทั้งหลายสอน
แต่พระเยซูไม่วางใจว่า จะไว้ใจพวกเขาว่าจะเชื่อพระองค์  อยู่ข้างพระองค์เสมอไป  มีคนที่ต้องการให้พระองค์เป็นกษัตริย์ (6:15)   มียิวที่เข้ามาเชื่อพระองค์ มีคนที่เชื่อแต่งุนงงกับคำสอนของพระองค์ (6:60)   มีคนที่ปลีกตัวออกไป  (6:66)   เป็นศัตรูกับพระองค์ภายหลัง  พระองค์ไม่สนใจความเห็นของมนุษย์ ทรงมุ่งที่น้ำพระทัยและพระประสงค์ของพระเจ้าจริง ๆ  

 

 


ลูกา 23 สู่แดนประหาร

เป็นช่วงเวลาใกล้ถึงวันคล้ายวันสิ้นพระชนม์และวันคืนชีพของพระเยซู เราจึงมาย้อนกลับดูเหตุการณ์ในช่วงเวลานั้นว่า เกิดอะไรขึ้น

ปีลาตกับพระเยซู

เฮโรดกับพระเยซู

คำพิพากษาประหารชีวิต

องค์กษัตริย์บนไม้กางเขน

สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน

เก็บพระศพ