ยอห์น 10 ผู้เลี้ยงแสนดี

พระเยซู:ผู้เลี้ยงที่แท้องค์เดียว

เผชิญหน้าอีกครั้ง

อธิบายเพิ่มเติมและพระคำเชื่อมโยง

พระเยซู:ผู้เลี้ยงที่แท้องค์เดียว

ยอห์น 10:1-4
เรื่องราวของคอกแกะ ประตู ขโมย โจร นั้น เป็นเรื่องที่ต่อมาจากการที่ชายตาบอดมองเห็นได้
เขาถูกผู้นำศาสนาไล่ออกจากพระวิหาร เพราะพูดจาไม่ไปทางเดียวกับพวกเขา
พระเยซูทรงเปรียบเทียบให้เห็นว่า พระองค์กับผู้นำศาสนายิวนั้น แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ในสมัยโบราณนั้น คนที่เป็นผู้นำไม่ว่าจะทางการเมืองหรือในศาสนา มักถูกมองว่าเป็น ผู้เลี้ยงแกะ (อิสยาห์ 56:11)
แต่ทำไมพระองค์จึงตรัสว่า พวกเขาเข้าทางอื่น ไม่ใช่ทางประตู พวกเขาเป็นแค่ขโมยและโจร?
เพราะผู้นำเหล่านั้น ไม่ใช่แค่ทำตัวเหมือนขโมยที่เอาประโยชน์ลับ ๆ ล่อ ๆ. แต่พวกเขาพร้อมที่จะใช้ความรุนแรงเหมือนโจรด้วย ดูจากการที่พวกเขาไล่ชายตาดีที่เคยบอดนั้นออกไป และยังพร้อมจะเอาหินขว้างพระเยซู หลายครั้ง.
ผู้เลี้ยงจริง ๆ จะเข้าทางประตูคอก คือเข้ามาเพราะพระเจ้าทรงเป็นผู้เลือก เขาจะเรียกชื่อแกะ แกะเองพอได้ยินเสียงเจ้าของก็จะตามไปทันทีผู้เลี้ยงตัวจริง รู้จักแกะทุกตัว มีชื่อให้มัน รักและเอาใจใส่มันจริง ๆ แกะที่ตามผู้เลี้ยงไป มันไปเพราะมั่นใจว่า เขาจะพาไปยังทุ่งหญ้าอุดม .. 
1* มัทธิว 7:15, 1 ยอห์น 4:1 2* กิจการ 20:28, 1 เปโตร 5:4,
3* ยอห์น 20:16, 2 ทิโมธี 2:19, สดุดี 23:2-3 4* ฉธบ. 1:30, 1 เปโตร 5:3

ยอห์น 10: 5-9
เมื่อพระเยซูกล่าวเรื่องผู้เลี้ยง แกะ ประตู คอก ขโมย โจร เป็นความหมายเปรียบเทียบโยงไปถึงพระบิดา พระองค์เอง คนอิสราเอล ผู้นำศาสนายิว และอื่น ๆ คนที่ฟัง กลับไม่เข้าใจความหมายของพระองค์เลย เขามองไม่เห็นสิ่งที่พระเยซูทรงสื่อให้เขา เขาไม่เข้าใจว่าพระเยซูกำลังตรัสว่าทรงเป็นผู้เลี้ยงที่ดีของอิสราเอล
แล้วพวกเราจะเข้าใจไหม?
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเราเห็นว่า ผู้นำศาสนาไล่ชายขอทานที่เคยตาบอดออกไป ในขณะที่พระเยซูทรงรับเขาเข้ามา และเขาก็เป็นเหมือนแกะที่จะตามพระเยซูไปคนที่มาก่อน คือ ศาสนายิวมาก่อน แต่ศาสนาไม่ได้ช่วยให้คนรอด นอกจากปล่อยให้พินาศไปและพระเยซูตรัสว่า ใครที่เข้ามาหาพระเจ้าโดยผ่านพระองค์ เขาจะรอด เขาจะมีอาหารฝ่ายวิญญาณที่บริบูรณ์ เขาจะไปไหนมาไหนอย่างเสรี ไม่ถูกจำกัดอย่างการอยู่ในกฎของศาสนา.
การพบทุ่งหญ้าคือ พระคำของพระเจ้าจะเป็นอาหารที่เขาจะเติบโต สุขภาพดี …
5* วิวรณ์ 2:2, 1 ยอห์น 4:5-6, 6* ยอห์น 16:25, อิสยาห์ 6:9-10
7* ยอห์น 14:6, เอเฟซัส 2:18 8* เอเสเคียล 34:2, 22:25-28 9* ยอห์น 14:6, โรม 5:1-2

ยอห์น 10: 10-11
เรานึกถึงคนที่เป็นอาจารย์แบบหาแต่ประโยชน์เข้าตัว บังคับให้คนอื่นทำโน่นนี่ฟาริสี และผู้นำศาสนายิวเป็นอย่างนั้นโดยเคร่งครัด พวกเขาไม่ได้สนใจที่จะให้ประชาชนที่ไม่รู้เรื่องเจริญขึ้น แต่กลับทำตัวเป็นใหญ่ ไม่ได้เป็นผู้รับใช้
แต่พระเยซูทรงแตกต่าง ทรงมาเพื่อนำชีวิตใหม่ และเป็นชีวิตที่ครบบริบูรณ์ยิ่งกว่านั้น พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อรับโทษแทนความผิดบาปของทุกคนที่ เชื่อวางใจพระองค์ด้วย
10* ลูกา 19:10, ยอห์น 6:51
11* ยอห์น 15:13, สดุดี  23:1, 1 ยอห์น 3:16
, อิสยาห์ 40:11

ยอห์น 10:12-13
พระเยซูยังทรงอธิบายต่อไปว่า ยังมีคนอีกประเภทที่รับจ้างเลี้ยงแกะ และเมื่อเห็นภัยมาพวกเขาจะวิ่งหนีไป เอาตัวรอด นั่นคือ จริง ๆ แล้ว ผู้คนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ยังมีอีกมากมาย พวกเขาเหล่านี้ อาจจะไปเจอผู้เลี้ยงที่แค่เป็นอาชีพ พวกเขาไม่ได้สนใจชีวิตฝ่ายวิญญาณของผู้ที่เขาต้องดูแล จริง ๆ ชีวิตของเขาเองก็ไม่อาจจะดูแลใครได้ด้วย คนอย่างนี้ก็มีมาก
พวกเขาเป็นยอดของการเห็นแก่ตัว ดูแลก็เพื่อจะได้ผลประโยชน์เข้าตัว
12* เศคาริยาห์ 11:16, 2 เปโตร 2:3, 13* ฟีลิปปี 2:20

ยอห์น 10:14-16
คำยืนยันของพระองค์คือ ทรงเป็นผู้เลี้ยงที่ดี ทรงรู้จักแกะ และแกะรู้จักพระองค์ ทรงสละชีวิตเพื่อฝูงแกะ และยังพาแกะฝูงอื่นเข้ามาเป็นแกะฝูงเดียวกัน
การที่ผู้เลี้ยงรู้จักแกะ และแกะรู้จักผู้เลี้ยงนั้น แสดงว่าทั้งสองฝ่ายมีสัมพันธ์สนิทต่อกัน เป็นความสัมพันธ์อย่างที่พระบุตรและพระบิดาทรงมีต่อกัน พระบุตรทรงติดตาม ทำตามพระบิดาอย่างใกล้ชิด แกะของผู้เลี้ยงท่านนี้ย่อมติดตามใกล้ชิดและทำตามน้ำพระทัยของพระผู้เลี้ยงด้วย
แกะอื่น มีความหมายถึงคนต่างชาติที่ไม่ได้เป็นคนเชื้อสายอิสราเอล คนเหล่านี้จะมาเชื่อในพระเยซูคริสต์ และเขาจะกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน
14* 2 ทิโมธี 2:19, 1:12, วิวรณ์ 2:2. 15* มัทธิว 11:27, ยอห์น 15:13,19:30, อิสยาห์ 53:10
16* อิสยาห์ 42:6, 56:8, เอเฟซัส 2:13-18, ยอห์น 11:52

ยอห์น 10:17-18
พระบิดาทรงรักพระบุตรอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร แต่พระเยซูได้ทรงเน้นให้คนที่ฟังได้รู้ว่า พระบิดาเป็นผู้ที่ทรงบัญชาให้มีการสละชีวิต (ซึ่งคนฟังก็ยังไม่เข้าใจ) และพระเยซูเองก็ทรงพร้อมที่จะสละชีวิตอยู่แล้วจะเห็นจากคำตรัสของพระคัมภีร์ชัดเจนเลยว่า เพราะพระเจ้าทรงรักโลกยิ่งนัก จึงประทานพระบุตรของเดียวของพระองค์ลงมา (ยอห์น 3:16)
17* ยอห์น 5:20, ฮีบรู 2:9, อิสยาห์ 53:7-12. 18* ยอห์น 2:19, 5:26, 6:38, 14:31, 17:4, กิจการ 2:24,32

ยอห์น 10:19-21
เรื่องราวของผู้เลี้ยงที่ดี จบลงตอนนี้ และทำให้คนยิวเกิดความคิดเห็นที่แตกต่างกัน พวกหนึ่งเห็นว่าการที่พระเยซูตรัสว่าทรงเป็นพระบุตรพระเจ้า เหมือนคนถูกผีสิง แต่อีกพวกก็เห็นว่า การที่พระเยซูทำให้คนตาบอดเห็นได้ จะมาจากอำนาจผี
ได้อย่างไร … เกิดคนที่ไม่เชื่อ แบ่งแยกจากคนที่ไม่เชื่อ เหมือนกับที่ 7:12, 43 และ 9:16
19* ยอห์น 7:43, 9:16. 20* ยอห์น 7:20, มาระโก 3:21, ยอห์น 8:52 21* อพยพ 4:11, ยอห์น 9:6,7,32,33

การเผชิญหน้าในเทศกาลถวายคืนพระวิหาร

ยอห์น 10:22-25
นี่เป็นช่วงเวลาห่างจากข้อยี่สิบเอ็ดมาสองสามเดือน เทศกาลฉลองพระวิหารนี้ จริง ๆ แล้วเป็นการระลึกถึงเวลาที่ยูดาส มัคคาบีและพรรคพวกได้ต่อสู้นายทหารซีเรียชื่อแอนติโอคุสที่สี่ ซึ่งได้เข้ามากดขี่คนอิสราเอลอย่างโหดเหี้ยม
และยังดูหมิ่นพระวิหารด้วยการเอาหมูเข้ามาสักการะเทพจูปิเตอร์ ห้ามไม่ให้คนยิวรักษาวันสะบาโต ห้ามการทำสุหนัต เขาต้องการเปลี่ยนยิวเป็นกรีก
แต่แล้วเกิดกบฎมัคคาบีนำโดยยูดาส มัคคาบีและโค่นแอนติโอคุสได้สำเร็จ ในปี 164 ก่อนคริสตศักราช ยิวจึงจัดเทศกาลฮานุกกะห์ขึ้นเพื่อระลึกถึงการถวายคืนพระวิหารแด่พระเจ้าหลังจากที่ถูกทำให้เป็นมลทินจากคนต่างชาติพวกเขาจะจุดไฟตลอดแปดวันเทศกาล
อากาศหนาว พระเยซูจึงทรงสอนอยู่ในบริเวณเฉลียงโซโลมอนยิวหลายคนได้มาถามพระเยซูอีกว่า ทรงเป็นใครกันแน่
แต่ดูเหมือนปัญหาอยู่ที่คนฟัง …​พวกเขาต้องการคำตอบจากพระเยซูอย่างที่เขาคาดคิด ไม่ใช่คำตอบที่เป็นจริง
22* – 23กิจการ 3:11, 5:12 24 ยอห์น 1:19, ลูกา 22:67-70 25* ยอห์น 5:36, 10:38, 8:58, 8:12

ยอห์น 10:26-30
พระเยซูทรงบอกพวกเขาชัดเจนว่า ราชกิจมหัศจรรย์เป็นพยานสำคัญ แต่พวกยิวก็ไม่ยอมรับคำตอบ
ที่พวกยิวปฏิเสธพระเยซูนั้น พระองค์จึงทรงอธิบายให้พวกเขาฟังว่า เพราะพวกเขาไม่ใช่แกะของพระองค์! พวกเขาไม่เป็นฝ่ายพระองค์ พวกเขาไม่ฟัง ไม่เชื่อสิ่งที่พระองค์ตรัสเลย
แล้วทรงอธิบายว่า แกะที่เป็นของพระองค์มีลักษณะอย่างไร .. ฟังเสียงพระองค์ ทรงรู้จักแกะเหล่านั้น พวกมันติดตามพระองค์ และจะได้ชีวิตนิรันดร์จากพระองค์ด้วย ไม่มีใครจะดึงเขาออกไปจากพระหัตถ์ของพระองค์ และพระบิดาได้เลย
นี่เป็นพระสัญญาที่เรามั่นใจได้ว่า พระบิดาและพระเยซูทรงยึดเราไว้มั่น ขอให้เราทำหน้าที่ของแกะที่เชื่อฟัง
ทรงยืนยันอีกครั้งว่า พระบิดากับพระองค์เป็นหนึ่งเดียว นั่นก็หมายความว่าพระบิดากับพระองค์นั้น เป็นพระเจ้าเหมือนกัน นี่เป็นฐานรากของความจริงเรื่องตรีเอกานุภาพ เพราะบ่งว่า ในองค์พระเจ้า มีมากกว่าหนึ่งบุคคล แต่ทรง
เป็นหนึ่งเดียวกัน
26* ยอห์น 8:47,b 1 ยอห์น 4:6, 2 โครินธ์ 4:3-4 27* ยอห์น 10:4,14, วิวรณ์ 3:20, ฮีบรู 3:7
28* ยอห์น 6:39-40, 6:37, ฮีบรู 7:25 29* ยอห์น 14:28, 17:2, 6, 12, 24 30* ยอห์น 17:11,21-24

ยอห์น 10:31-33
คราวนี้ ยิวก็หยิบก้อนหินพร้อมที่จะขว้างพระองค์ พระองค์ทรงถามทันทีว่า ก็ให้เห็นราชกิจพระเจ้าที่ทำแล้ว ยังจะขว้างอีกหรือ ?
เราสรุปได้อย่างหนึ่งว่า พระราชกิจของพระเจ้าที่พระเยซูทรงทำนั้นเป็นพยานว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าจริง ๆ (ดูยอห์น 5:36) พระองค์ตรัสว่า ราชกิจที่พระองค์ทรงทำสำเร็จนั้น เป็นพยานว่าพระบิดาทรงส่งพระองค์มา เป็นคำพยานที่หนักแน่นกว่าคำกล่าวของยอห์นผู้ให้บัพติศมาเสียอีก!
แต่พวกเขาชัดเจนมาก ที่จะขว้างก็เพราะเขาเห็นว่าพระองค์เป็นมนุษย์ทำตัวเสมอพระเจ้า ทั้งที่ความจริงคือ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าที่ลงมาเป็นมนุษย์ ยิวเข้าใจกลับทาง !
31* ยอห์น 8:59, กิจการ 7:52, ยอห์น 5:18. 32* 1 ยอห์น 3:12, กิจการ10:38, 2:22
33* ยอห์น 5:18, เลวีนิติ 24:16, ฟีลิปปี 2:6

ยอห์น 10:34-36
พระเยซูทรงอ้างถึงพระคัมภีร์เดิมบ่อย ๆ ในสดุดี 82, อพยพ 21:6, 22:8-9 บางครั้งพระเจ้าจะทรงเรียกผู้ปกครอง ผู้มีอำนาจว่า เป็นเทพ หรือเป็นพระ คนพวกนั้นเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา แต่มีตำแหน่งหน้าที่ในการปกครองพระเจ้ายังทรงเรียกพวกเขาว่า พระ หรือเทพ
ดังนั้นในเมื่อพระองค์ทรงทำราชกิจของพระเจ้าให้เห็นมากมาย และทรงแจ้งด้วยว่า พระบิดาทรงแต่งตั้ง เลือกพระองค์ และส่งพระองค์มา จึงทรงคุณสมบัติทั้งปวงที่จะเป็นพระเจ้า เมื่อพระองค์ตรัสว่า พระคำเป็นจริง ไม่อาจลบล้างได้ นั้นหมายความว่า พระคำทุกตอนเป็นจริง เชื่อถือได้ (ซึ่งเรื่องนี้คนที่ต่อต้านพระองค์ก็ยอมรับ)
พระองค์ตรัสว่าทรงถูกแต่งตั้งให้มานั้น โยงไปถึงเยเรมีย์ 1:5, อพยพ 40:13
34* สดุดี 82:1,6-7, อพยพ 7:1. 35* มัทธิว 5:17-18 ,24:35, 1 เปโตร 1:25
36* ยอห์น 6:27, 3:17, 5:17-18, ลูกา 1:35

ยอห์น 10:37-39
เวลานั้น หินอยู่ในมือของพวกยิว แต่พระเยซูก็ไม่ได้กลัวพวกเขาเลย ทรงย้ำให้พวกเขาเห็นว่า ราชกิจของพระเจ้าที่ทรงทำนั้น เป็นเรื่องของการอัศจรรย์จากพระเจ้าล้วน ๆ มนุษย์ทำไม่ได้หรอก
แต่เมื่อพระองค์ตรัสว่า พระบิดาทรงอยู่ในเรา และเราอยู่ในพระบิดา เป็นการจุดความโกรธสุดเหวี่ยงให้กับพวกเขา
รับไม่ได้จริง ๆ ที่พระเยซูตรัสว่า พระองค์กับพระบิดาเป็นหนึ่งเดียวเป็นอย่างเดียวกัน แต่ในเวลานั้น พระองค์ก็ไปจากเขาทันที น่าจะรวดเร็วจนพวกนั้นมองไม่เห็นว่าทรงไปทางไหน
37* ยอห์น 10:25,15:24 38* ยอห์น 5:36, 14:10,11 39* ยอห์น 7:30,44

ยอห์น 10:40-42
จากคนไม่เชื่อที่เราเห็นมาแต่ต้นบท พระเยซูทรงหลบหินขว้างและทรงไปที่แม่น้ำจอร์แดน ซึ่งเป็นที่ ๆ ยอห์นได้ให้บัพติศมาแก่พระองค์ก่อนที่จะทรงเริ่มพระราชกิจ ที่นั่นเอง คนทั้งหลายที่เคยได้ยินยอห์นพูดถึงพระเยซู ได้ย้อนคิดและยอมรับว่า สิ่งที่ยอห์นกล่าวถึงพระองค์ เป็นความจริงทั้งสิ้น
นี่เป็นผลของการที่ยอห์นเต็มใจทำงานเป็นผู้เตรียมทางให้พระเยซูตามที่พระเจ้าทรงแต่งตั้งเขาไว้ ในวันแรกที่ทำงาน อาจยังไม่มีคนเชื่อ ไม่เข้าใจแต่เมื่อเวลาผ่านไป พระเจ้าทรงราชกิจในตัวคนเหล่านั้น และพวกเขาก็เห็นความจริง และพวกเขาก็ได้มาถึงชีวิตนิรันดร์ โดยที่ยอห์นเองไม่ต้องทำการอัศจรรย์ หมายสำคัญใด ๆ เลย
40* ยอห์น 1:28
41* ยอห์น 1:29,36, 3:28-36, 5:33

บรรณานุกรม
Biblehub.com
Enduringword.com
ESV.org
netbible.org

มาระโก 2 สี่เรื่องราวในคาเปอรนาอุม

หายทั้งจากบาปและจากโรค

1 สองสามวันผ่านไป พระเยซูทรงกลับเข้าไปในเมืองคาเปอรนาอุมอีกครั้ง
ชาวเมืองได้ยินว่า พระองค์มาประทับที่บ้าน
2 ผู้คนจึงพากันมารวมตัวกันที่นั่น จนไม่มีที่ว่าง แม้ตรงประตู
และพระองค์ทรงประกาศพระคำแก่พวกเขา   
3  มีชาย 4 คนหามชายเป็นอัมพาตมาหาพระองค์
4  เมื่อพวกเขาไม่อาจนำชายเป็นอัมพาตเข้ามาถึงพระองค์ เพราะคนแน่นมาก
    พวกเขาจึงขึ้นไปรื้อหลังคาเหนือพระเยซู 
    เมื่อรื้อสำเร็จ พวกเขาก็หย่อนแคร่ที่ชายอัมพาตนอนลงมา
5  เมื่อพระเยซูทรงเห็นความเชื่อของพวกเขา ก็ตรัสกับชายอัมพาตว่า
    “ลูกเอ๋ย บาปทั้งหลายของเจ้าได้รับการอภัยแล้ว” 
​​​  (ภาษาเดิมทำให้ทราบว่าคำนี้เป็นคำพูดว่า พระเจ้าทรงให้อภัย) 
6 แต่มีพวกธรรมาจารย์นั่งอยู่ใกล้ ๆ ก็พากันคิดในใจของตนว่า
7  “เหตุใดชายคนนี้จึงกล่าวเช่นนี้?  นี่เขากำลังหมิ่นประมาทพระเจ้านี่นา
นอกเหนือจากพระเจ้าแล้ว จะมีใครอภัยบาปได้เล่า?”
8  เวลานั้นเอง พระเยซูทรงทราบในพระทัยว่า พวกเขากำลังคิดแบบนั้นกันอยู่ 
พระองค์จึงตรัสกับพวกเขาว่า “เหตุใดพวกท่านจึงคิดในใจเช่นนั้น?
9  พูดอย่างไหนจะง่ายกว่ากัน ที่จะกล่าวกับคนป่วยว่า ‘บาปของเจ้าได้รับการอภัยแล้ว’ 
หรือกล่าวว่า ‘ จงลุกขึ้น หยิบแคร่ของเจ้าแล้วเดินไป’ ?
10  แต่เพื่อพวกท่านจะรู้ว่า บุตรมนุษย์มีสิทธิอำนาจในโลกที่จะอภัยบาปได้”
พระองค์จึงตรัสกับชายอัมพาตว่า
11 “เราขอบอกเจ้าว่า จงลุกขึ้น ยกแคร่ของเจ้าและกลับบ้านไป”
12 ชายคนนั้นลุกขึ้นทันที หยิบแคร่ของเขา เดินออกไปต่อหน้าทุกคน  พวกเขาต่างประหลาดใจและกล่าวสรรเสริญยกย่องพระเจ้าว่า “เราไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนเลย!” 

“ตามเรามาเถอะ เลวี! “

13  พระเยซูทรงดำเนินไปริมทะเลอีก ผู้คนพากันมาหาพระองค์ และพระองค์ทรงสอนพวกเขา
14 ขณะที่ทรงผ่านไป ก็ทรงเห็นเลวีลูกชายของอัลเฟอัส
เขากำลังนั่นอยู่ที่ด่านเก็บภาษี พระองค์ตรัสกับเขาว่า
“ตามเรามา” เขาก็ลุกขึ้นและตามพระองค์ไป
15 ขณะที่พระเยซู รับประทานอาหารในบ้านของเลวี ก็มีคนเก็บภาษีหลายคน
รวมทั้งคนบาป (ในสายตาของยิว) กำลังนั่งรับประทานอาหารกับพระองค์ รวมทั้งพวกศิษย์
เพราะมีหลายคนติดตามพระองค์ไปด้วย
16 เมื่อผู้เชี่ยวชาญธรรมบัญญัติและพวกฟาริสีเห็นว่า
​​​​ พระองค์รับประทานอาหารกับคนบาปและคนเก็บภาษี
จึงกล่าวแก่พวกศิษย์ของพระองค์ว่า “ทำไมท่านจึงกินอาหารกับคนเก็บภาษีและคนบาป?”
17 เมื่อพระเยซูทรงได้ยินดังนั้นจึงตรัสกับพวกเขาว่า
​​​ “คนที่สุขภาพดีแล้วก็ไม่ต้องการหมอ  แต่คนเจ็บป่วยต้องการหมอ 
เราไม่ได้มาเพื่อเรียกคนชอบธรรม แต่มาเรียกคนบาป”

ของใหม่ที่ไปด้วยกัน

18 ตอนนั้น ศิษย์ของยอห์นและพวกฟาริสีกำลังอยู่ในช่วงเวลาอดอาหาร
ดังนั้นพวกเขาจึงมาหาพระเยซู กล่าวว่า
“ศิษย์ของยอห์น และศิษย์ของฟาริสีพากันอดอาหาร แต่เหตุใดศิษย์ของท่านไม่อดอาหาร?”
19 พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “แขกในงานเลี้ยงแต่งงานไม่อดอาหาร
ยามที่เจ้าบ่าวอยู่กับพวกเขา อย่างนั้นไม่ใช่หรือ? 
20 แต่จะมีวันหนึ่งที่เจ้าบ่าวถูกนำไปจากพวกเขา ถึงเวลานั้นพวกเขาจะอดอาหาร”
21”ไม่มีใครเย็บเศษผ้าที่ยังไม่หดตัว เข้ากับผ้าเก่า เพราะไม่อย่างนั้น ผ้าที่ปะไว้จะดึงรั้งผ้าเก่าให้
ขาดมากขึ้น  และรอยขาดก็จะแย่กว่าเดิม”
22 “และไม่มีใครเทน้ำองุ่นใหม่ลงในถุงหนังเก่า มิฉะนั้นเหล้าองุ่นใหม่จะทำให้ถุงนั้นขาด
ทั้งเหล้าองุ่นและถุงหนังจะเสียไป
ดังนั้นเหล้าองุ่นใหม่ก็จะต้องเทลงในถุงหนังใหม่”

เจ้าเหนือวันสะบาโต


23 วันสะบาโตหนึ่ง พระเยซูทรงเดินผ่านเข้าไปในนาข้าว
     ระหว่างที่เดินไปนั้น ศิษย์ของพระองค์ก็เริ่มเด็ดรวงข้าวไปพลาง
24 เหล่าฟาริสีพูดกับพระองค์ว่า “ดูสิ ทำไมพวกเขาจึงทำสิ่งที่ผิดกฏวันสะบาโต?”
25  พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “พวกเจ้าไม่เคยอ่านเลยหรือว่า กษัตริย์ดาวิดทรงทำอะไรยามที่ท่านและผู้ติดตามพากันหิวโซและไม่มีอะไรกิน  
26  ท่านได้เข้าไปในพระนิเวศของพระเจ้าสมัยที่ท่านอาบีอาธาร์เป็นมหาปุโรหิต และกินขนมปังบริสุทธิ์ซึ่งเป็นการทำผิดกฎบัญญัติ เพราะเป็นขนมปังสำหรับปุโรหิตเท่านั้น และท่านยังส่งให้ผู้ติดตามของท่านด้วย”
27  แล้วพระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า  “วันสะบาโตนั้นสร้างไว้เพื่อมนุษย์  ไม่ใช่สร้างมนุษย์เพื่อวันสะบาโต 
28  ด้วยเหตุนี้เอง บุตรมนุษย์จึงเป็นเจ้านายเหนือวันสะบาโต”


คำอธิบายเพิ่มเติมและพระคำเชื่อมโยง

มาระโก 2:1-12
เรื่องนี้ปรากฎอยู่ที่ มัทธิว 9:1-8 และ ลูกา 5:17-26. ด้วย
เมืองคาเปอรนาอุมอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของทะเลสาบกาลิลี. พระเยซูทรงทำการอัศจรรย์ที่เมืองนี้หลายครั้ง คาดว่าในช่วงเวลานั้นมีประชากรประมาณ 1,500 คน เมืองนี้อยู่ใต้ระดับน้ำทะเล  204 เมตร (netbible.org)
ท่านมาระโกเริ่มต้นเล่าเรื่องเหล่านี้แบบรวดเร็ว พระเยซูมา คนได้ยินข่าว พวกเขามารวมกัน พระเยซูทรงสอนพระคำ..ชายสี่คนหามเพื่อนที่เป็นอัมพาตมาหาพระองค์​ พวกเขารื้อหลังคา. บ้านของคนปาเลสไตน์สมัยก่อนมีบันไดขึ้นไปหลังคาด้วย ตัวหลังคามักทำด้วยไม้แผ่น หรือขื่อที่ใช้ดินพอกกับใบปาล์มช่วยปิดกันลมฝน
ข้อ 5 พระเยซูทรงเห็นความเชื่อของชายทั้งสี่และชายเป็นอัมพาตที่ตั้งใจมาพบพระองค์ให้ได้ เวลานั้น พระองค์ทรงตอบพวกเขาทันที โดยพวกเขาไม่ต้องพูดอะไร แค่ทำให้เห็นก็รู้แล้วว่าต้องการอะไร
คำของพระเยซูที่ว่า “บาปของเจ้าได้รับการอภัยนั้น มีความหมายว่า บาปได้รับการอภัยจากพระเจ้าแล้ว” แต่ในวันนั้นมีคนที่เชี่ยวชาญในเรื่องธรรมบัญญัตินั่นอยู่ พวกเขารู้สึกไม่พอใจกับคำตรัสนั้น หงุดหงิดคิดในใจว่าพระเยซูกำลังทำตัวเสมอพระเจ้า เพราะมีพระเจ้าเท่านั้นที่จะอภัยบาปได้
ทันทีที่พวกเขาคิด พระเยซูก็ทรงทราบว่าพวกเขาคิดอะไรกัน จึงตรัสถามว่าทำไมต้องคิดชั่งใจในเรื่องนี้ อะไรง่ายกว่ากัน การพูดยกโทษบาป หรือทำให้เห็นเลยว่า ชายคนนี้หายโรคแล้ว?
พระองค์จึงทรงสั่งให้เขาลุกเดินกลับบ้านให้เห็นต่อหน้าต่อตาเสียเลย
สิ่งที่เกิดขึ้นคือ พวกเขานึกขึ้นได้ว่า ไม่เคยเห็นการอัศจรรย์อย่างนี้มาก่อน เป็นไปได้อย่างไร คนที่เป็นอัมพาตจะเดินได้คล่องขนาดนี้ แถมขนแคร่กลับบ้านเองด้วย
คนยิวเองไม่เชื่อว่า ใครจะยกโทษให้ใครได้จริง นอกจากพระเจ้าเท่านั้น พวกเขาจึงคิดว่าสิ่งที่ พระเยซูตรัสเป็นการหมิ่นพระเจ้า แต่พระเยซูกำลังจะชี้แจงให้พวกเขาได้รู้ว่า พระองค์นี่แหละคือพระเจ้า!
ทรงเรียกพระองค์เองว่า บุตรมนุษย์ ซึ่งมีความหมายว่า พระองค์ทรงเป็นพระเมสสิยาห์ที่พระเจ้าทรงส่งมา ทรงเป็นตัวแทนของมนุษย์ต่อพระเจ้า (ดาเนียล 7:13-14)
เหตุการณ์วันนี้ ทำให้คนที่อยู่ ได้ประสบว่า พระเยซูทรงยกโทษบาปได้ พระองค์ทรงเป็นพระเมสสิยาห์ พระองค์ทรงมีอำนาจเหนือความเจ็บป่วย ทุกคนในบ้านเป็นพยานได้ แต่ไม่ใช่ทุกคนในบ้านนั้น จะรับว่าทรงเป็นพระเจ้า
1*มัทธิว 9:1. 3*มัทธิว 4:24, 8:6, กิจการ 8:7,9:33, 7* โยบ 14:4, อิสยาห์ 43:25, ดาเนียล 9:9, 9* มัทธิว 9:5, 12*มัทธิว 15:31, ฟีลิปปี 2:11,

มาระโก 2:13-17
เรื่องนี้ปรากฏใน มัทธิว 9:9-13 และ ลูกา 5:27-32 ด้วย
ต่อมาเมื่อทรงไปริมทะเล ก็พบเลวีที่ด่านเก็บภาษี นอกจากทรงสอนประชาชนแล้ว ยังทรงชวนให้ตามพระองค์ ซึ่งเขาก็ตอบพระองค์ทันทีและยังเชิญพระองค์ไปรับประทานอาหารที่บ้านพร้อมกับเพื่อน ๆ ของเขา และคนอื่น ๆ ในมื้อนี้มีศิษย์ของพระองค์อีกหลายคนได้ร่วมโต๊ะด้วย
แต่คนเก่งธรรมบัญญัติและฟาริสีก็ (คนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มยิวที่ทุ่มเทชีวิตให้กับการรักษาบัญญัติ และกฏทางพิธีกรรมต่าง ๆ อย่างเคร่งครัด) ยังหาเรื่อง ข้ออ้างของพวกเขาคือ พระองค์ทรงกินอาหารกับคนเก็บภาษี คนบาป (การกินอาหารแบบนี้ คือการเอนตัวลงข้าง ๆ กินอาหารไปกับคนอื่น ๆ ท่าทางการกินจึงดูสนิทสนมกันมาก )พระองค์ก็เลยบอกพวกเขาไปว่า พระองค์ไม่ได้มาหาคนดีอย่างพวกเขา แต่มาหาคนที่รู้ว่าตนเองเป็นคนบาป
การเก็บภาษีสมัยนั้น จะมีการตั้งด่านที่ท่าเรือ ทางเข้าเมืองเพื่อเก็บภาษีสินค้าที่เข้ามาขายในพื้นที่ ใครอยากเป็นคนเก็บภาษีก็จะต้องไปเข้าประมูลเพื่อให้ตนมีสิทธิที่จะเก็บภาษีได้ คนพวกนี้จะจ้างคนเก็บภาษีมาประจำที่ด่าน พวกเขาจะเก็บเงินภาษีสูงกว่าปกติเพื่อส่วนต่างจะเป็นของพวกเขา อีกส่วนก็ส่งให้กับรัฐไป ธุรกิจนี้เต็มด้วยการคดโกง การให้สินบน และอื่นๆ ที่สามารถทำเงินจากช่องโหว่ของกฎหมาย
เท่ากับว่า เลวี คนที่พระเยซูทรงเรียก เป็นคนที่ใคร ๆ ก็เกลียดชังเพราะหน้าที่การงานของเขา แต่พระเยซูกลับไม่ได้มองเรื่องนั้น พระองค์ทรงมาเรียกคนบาปอย่างเลวีนี่แหละ
แต่สิ่งที่พวกฟาริสีกำลังจะบอกก็คือ เขาเห็นว่า พระเยซูไม่ได้เป็นคนสะอาด ไม่ได้แยกตัวออกจากคนบาป คำว่าคนบาปของพวกเขา คือ คนที่ไม่ได้สนใจรักษาบัญญัติของโมเสส ในสายตาของพวกเขา คนเหล่านี้ชั่วร้าย และไร้ค่า
13* มัทธิว 9:9, 14* มัทธิว 9:9-13, ลูกา 5:27-32, มัทธิว 4:19, 8:22, 19:21, ยอห์น 1:43, 12:26, 21:22, ลูกา 18:28 15* มัทธิว 9:10, 17* มัทธิว 9:12, 13, 18:11, ลูกา 5:31,32, 19:10

มาระโก. 2:18-22
ศิษย์ของยอห์น(ผู้ให้บัพติศมา) ยังไม่ได้ติดตามพระเยซูจริงจัง อาจารย์ของพวกเขายังติดคุกอยู่ (มัทธิว 4:12) พวกเขาอาจอดอาหารอธิษฐานเผื่ออาจารย์ของเขา ส่วนฟาริสีจะอดอาหารอธิษฐานกันสัปดาห์ละสองครั้ง ตามกฎของฟาริสี (ในพระคัมภีร์เดิมมีบอกให้อดอาหารในวันลบมลทินบาป ปีละครั้ง เลวีนิติ 16:31 พูดถึงการบังคับใจตนเอง ซึ่งหมายความถึงการอดใจไม่กิน)
ดังนั้นการอดอาหารของฟาริสีจึงเป็นข้อบังคับที่พวกเขาเขียนขึ้นมาทีหลังเป็นการแสดงออกว่าพวกเขาเคร่งครัดมาก
เวลาพระเยซูตรัสตอบเขา ก็ไม่ได้ตอบตรง ๆ ตรัสเป็นคำเปรียบเทียบและตั้งคำถามอีก
เรื่องที่พระองค์ตรัสถึงงานเลี้ยงสมรสมีความหมายถึง เวลาที่พระเมสสิยาห์อยู่กับพวกเขา และพระองค์กำลังตรัสถึงการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ด้วย ซึ่งดู ๆ ไปแล้ว จะมีใครเข้าใจว่าพระองค์ทรงหมายถึงอะไรในเวลานั้น พวกเขายังไม่รู้ชัดว่า พระองค์คือผู้ใดจนกว่าจะถึงวันที่ทรงถามเปโตร
(มาระโก 8:27-30) คำตอบที่พวกเขาได้ก็อาจจะเป็นว่า เมื่อไรที่พระองค์ไม่อยู่แล้ว พวกศิษย์จะอดอาหารอธิษฐานเองนั่นแหละ
แต่แล้วทรงตรัสเป็นเรื่องอีกเรื่องถึงเหล้าองุ่นใหม่ต้องใส่ในถุงหนังใหม่ พระองค์ทรงหมายความว่าอย่างไรกัน?
ในสมัยนั้น เขาเก็บเหล้าองุ่นไว้ในถุงหนัง ถ้าเป็นเหล้าใหม่ ต้องใส่ในถุงหนังใหม่ที่มีความยืดหยุ่นสูง. เหล้าใหม่มันจะขยายตัวมาก ดังนั้น ถ้าเกิดเอาเหล้าใหม่ใส่ถุงเก่าที่ยืดแล้ว มันจะยืดอีกจนขาด ความหมายคือ คำสอนและทุกสิ่งที่ตรัสนั้นเป็นของใหม่ที่ไม่อาจเอาไปอยู่รวมกับกฎเกณฑ์ของศาสนายิวที่ฟาริสียึดมั่นได้เลย เพราะสิ่งที่พระองค์ทรงสอนนั้นเป็นเรื่องของชีวิตที่เปลี่ยนจากภายใน เป็นเรื่องของการที่พระเจ้าทรงปกครองใจ ไม่ใช่ให้กฎบัญญัติมาครองใจ
18* มัทธิว 9:14, 17, ลูกา 5:33-38, 20*กิจการ 1:9, 13:2, 3, 14:23,

มาระโก 2:23-28
อีกครั้งที่ฟาริสีหาเหตุกล่าวโทษพระเยซู เพียงเพราะศิษย์ของพระองค์เด็ดรวงข้าวกิน (พวกเขาไม่ได้เก็บข้าวแล้วใส่ย่ามไป) แค่เด็ดกินตรงนั้น พวกเขาก็มองว่าเป็นการผิดกฎสะบาโตที่พวกเขาตั้งกันขึ้นมา พระเยซูจึงทรงย้อนถามไปถึงวันที่ปุโรหิตกับดาวิดที่กำลังหนีกษัตริย์ซาอูลได้ละเมิดกฎ โดยเอาอาหารให้คนที่ไม่ใช่ปุโรหิตกินเพื่อจะมีแรงหนีต่อไปได้
เรื่องราวนั้นคือ ….ในสมัยที่กษัตริย์ซาอูลซึ่งเป็นกษัตริย์องค์แรกของอิสราเอลครอบครองนั้น ตอนนั้นท่านอาบีอาธาร์เป็นมหาปุโรหิต ดูแลฝ่ายวิญญาณของอิสราเอล แต่ผู้ที่เป็นปุโรหิตที่มอบอาหารให้ดาวิดนั้นคือ อาหิเมเลค ซึ่งเป็นปุโรหิตประจำที่เมืองโนบ อ่าน 1 ซามูเอล 21:1
ดาวิดกำลังหนีกษัตริย์ซาอูล และต้องการอาหาร และอาหิเมเลคไม่มีอาหารอื่นนอกจากขนมปังบริสุทธิ์ และก็มอบให้ดาวิดไปเพื่อให้กับผู้คนที่ติดตามท่านมา
พระเยซูกำลังบอกพวกเขาว่า วันสะบาโตมีไว้ให้พักผ่อน มีเพื่อมนุษย์ ให้เป็นพรสำหรับเขา แต่ฟาริสีกลับเปลี่ยนวันแห่งพระพรให้กลายเป็นวันแห่งภาระหนักที่ต้องแบก ต้องคอยระมัดระวังไม่ให้ผิดกฎ
และพระองค์จึงเสริมให้เขารู้ว่า พระองค์ทรงเป็นเจ้า เหนือวันสะบาโต พระองค์ไม่ได้ใหัมันเป็นภาระที่ต้องแบก แต่เป็นพระพรให้กับชีวิตของคนอื่น ดังนั้น ในวันสะบาโตจะทรงทำอะไรที่ทรงเห็นสมควรย่อมได้เสมอ
23* ลูกา 6:1-5, เฉลยธรรมบัญญัติ 23:25, 24* อพยพ 20:10, 31:15, 25* 1 ซามูเอล 21:1-6, 26* เลวีนิติ 24:5-9, 27* เฉลยธรรมบัญญัติ 5:14 28* มัทธิว 12:8

บรรณานุกรม
netbible.org
Macarthur, John. The MacArthur Study Bible.

1 ยอห์น 1 ความสว่าง ความรักและชีวิต

ที่มาจากปฐมกาล ที่ได้ยิน ได้เห็น ได้ดู และสัมผัส

(นี่เป็นสิ่งที่เราประกาศแก่ท่าน)
สิ่งที่มาจากปฐมกาล
สิ่งที่เราได้ยิน
สิ่งที่เราได้เห็นด้วยตา
สิ่งที่เราได้พินิจดูและได้สัมผัสด้วยมือของเรา
เกี่ยวข้องกับพระคำแห่งชีวิต
1 ยอห์น 1:1

ยอห์น 1:1, 4, 14, 2 เปโตร 1:16, ลูกา 24:39,

ชีวิตนั้นได้ปรากฏ
และเราได้เห็นชีวิตนั้น
เราเป็นพยาน และประกาศกับท่าน
ถึงชีวิตนิรันดร์ที่อยู่กับพระบิดา
และสำแดงให้แก่เรา
1 ยอห์น 1:2

ยอห์น 1:4, โรม 16:26, ยอห์น 21:24, ยอห์น 1:1,18, 16:28

สิ่งที่เราเห็น และได้ยินเราประกาศแก่ท่าน เพื่อว่าท่านจะได้มีสัมพันธ์สนิทกับเราและเรามีสัมพันธ์สนิทกับพระบิดา
และกับพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์
เราเขียนสิ่งเหล่านี้เพื่อว่า ความยินดีของเราจะสมบูรณ์พร้อม
1 ยอห์น 1:3-4

1 โครินธ์ 1:9, ยอห์น 17:21, 3, 15:11, 16:24

สัมพันธ์สนิทกับพระเจ้าและพี่น้อง

และนี่เป็นสาระของข่าว ที่เราได้ยินจากพระองค์
และประกาศแก่ท่าน นั่นคือ พระเจ้าทรงเป็นความสว่าง
และในพระองค์ไม่มีความมืดเลย
1 ยอห์น 1:5

1 ยอห์น 3:11, 1 ทิโมธี 6:16,ยอห์น 8:12, 1:9,
สดุดี 27:1

หากเราพูดว่า เรามีความสัมพันธ์กับพระองค์  แต่เรายังคงเดินในความมืดเท่ากับเราพูดเท็จ
และไม่ได้ประพฤติตามความจริง
1 ยอห์น 1:6

1 ยอห์น 2:9-11, 1 ยอห์น 4:20, ยากอบ 2:14

แต่หากว่าเราเดินในความสว่าง
เหมือนที่พระองค์ทรงดำเนินในความสว่าง
เราก็มีสัมพันธ์สนิทต่อกันและกัน
และพระโลหิตของพระเยซูพระบุตรของพระเจ้า
ก็ชำระเราให้สะอาดพ้นจากบาปทั้งสิ้น
1 ยอห์น 1:7

อิสยาห์ 2:5, 1 โครินธ์ 6:11, เอเฟซัส 5:8


หากเรากล่าวว่า เราไม่มีความผิดบาป
เราก็กำลังหลอกตนเอง
และความจริงไม่ได้อยู่ในเรา
1 ยอห์น 1:8

ยากอบ 3:2, โรม 3:23, ปัญญาจารย์ 7:20


แต่หากว่าเราสารภาพบาปของเรา พระองค์ทรงซื่อตรงและเที่ยงธรรมจะทรงอภัยบาปให้เรา และชำระเราจากความอธรรมทั้งสิ้น
1 ยอห์น 1:9

สุภาษิต 28:13, โรม 13:24-26, สดุดี 51:2



หากเราพูดว่า เราไม่เคยทำบาปเท่ากับเรากล่าวหาว่า พระองค์ทรงมุสา และพระดำรัสของพระองค์ไม่ได้อยู่ในเรา
1 ยอห์น 1:10

1 ยอห์น 5:10, สดุดี 130:3

อธิบายเพิ่มเติม

1 ยอห์น 1:1
พอเราเห็นพระคำตอนนี้ เราก็นึกถึงพระกิตติคุณ
ยอห์นทันที (ในฉบับกรีก ไม่มีประโยคแรกแต่ใส่ไว้ให้เข้าใจง่ายว่าท่านยอห์นหมายถึงอะไร นี่เป็นประโยคเดียวที่ยาวมากเพราะหนึ่งประโยคนี้ยาวไปถึงข้อ 4 ) อ่านให้ดี สิ่งที่ท่านยอห์นกล่าวถึงคือ ข่าวสารเรื่องของพระเยซูนั่นเอง พระองค์ทรงมาจากปฐมกาล แต่เป็นพระเจ้า และอาจารย์ที่รักของท่านยอห์น เป็นผู้ที่ท่านได้อยู่ใกล้ชิดมาก ๆ

1 ยอห์น 1:2
“ชีวิตนิรันดร์ที่อยู่กับพระบิดา”ที่ท่านยอห์นกล่าว
ถึง ก็คือ พระเยซูคริสต์ก่อนที่พระองค์จะมาบังเกิดในโลกนี้ ยอห์น 1:4 และยังโยงกับยอห์น 3:16 เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ นั่นคือ พระบุตรพระเจ้าลงมาในโลกและทรงรับสภาพความเป็นมนุษย์สมบูรณ์แบบ ทรงเป็นทั้งพระเจ้าและมนุษย์ในองค์ ๆ เดียว และคนจำนวนมากได้สัมผัสกับพระองค์จริง ๆ

1 ยอห์น 1:3-4
เวลานี้ท่านยอห์นเองได้บอกว่า เหตุผลที่ท่านเขียน
จดหมายฉบับนี้ก็เพื่อจะได้มีความยินดีอย่างเต็มเปี่ยม สมบูรณ์แบบ พระเจ้าผู้ที่เรามองไม่เห็นทรงสำแดงพระองค์ผ่านพระเยซู ซึ่งทำให้ผู้คน ได้ยิน ได้เห็น ได้สัมผัส ได้มีสัมพันธ์สนิทกับพระองค์จริง ๆ พระเยซูทรงเป็นผู้ที่มีอยู่จริงในประวัติศาสตร์ เป็นผู้ที่พลิกโฉมของสังคมโลกโบราณ ผู้คนที่มาเชื่อพระองค์ เปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อพี่น้องร่วมสังคม แทนเกลียดด้วยความรัก อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

1 ยอห์น 1:5
สาระของข่าวที่ได้ยินจากพระองค์นั้นก็คือ เรื่องของข่าวประเสริฐนั่นเองข้อต่อ ๆ ไปเราจะทราบว่า อะไรคือสาระนั้น. สิ่งที่ท่านยอห์นพูดนั้นไม่ได้เป็นสิ่งที่ท่านคิดขึ้น มาเองตามใจ แต่ท่านได้ยินมาจากพระเยซูเอง และ ก็ตรงกับสิ่งที่พระเยซู ตรัสในยอห์น 8 และ 9 ดวงอาทิตย์ยังมีจุดมืดที่ดับ แต่สำหรับพระเจ้าแล้ว ไม่มีอะไรเช่นนั้นอยู่ในพระองค์

1 ยอห์น 1:6 พระเจ้าทรงเป็นความสว่าง คนของพระองค์จึง
ต้องเป็นสว่างด้วย พระเยซูตรัสว่า ท่านทั้งหลายเป็นความสว่างของโลก พระเจ้าทรงประสงค์ให้เราใช้ชีวิตโดยไม่มีความมืดแฝงอยู่ เป็นชีวิตที่โปร่งใส ไม่มีการแอบหมกบาปไว้ หากเรามั่นใจว่า เรามีความสัมพันธ์กับพระเจ้าแล้วเราต้องไร้บาปที่ไม่ได้สารภาพพระเยซูทรงชำระเราแล้วด้วยพระโลหิตของพระองค์ เพื่อให้เรามีสัมพันธ์สนิทที่แท้จริง

1 ยอห์น 1:7
ความสว่าง เป็นสัญลักษณ์บอกถึงพระลักษณะของพระเจ้า: ทรงงามเลิศตระการ พระสิริรุ่งโรจน์ ยังรวมไปถึงความบริสุทธิ์ ความจริงในพระองค์ และพระลักษณะที่ทรงสื่อสารกับมนุษย์อยู่เสมอ พลังที่ประทานให้มนุษย์ และสิทธิในการออกพระบัญชา การอยู่ในความสว่างของพระเจ้า ทำให้เรามีสัมพันธ์สนิทต่อกันและต่อพระเจ้าโดยที่ทุกคนได้รับการชำระโดยพระโลหิตแล้ว 

1 ยอห์น 1:8
คำว่า “ฉันไม่ได้ทำผิด” ในเรื่องนั้นเรื่องนี้ยังพอรับได้ว่าเป็นจริง แต่ที่บอกว่า ฉันไม่มีบาปนั้น ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนกล้าพูดคำนี้ การพูด เช่นนี้ไม่ใช่แค่หลอกตัวเอง แต่เท่ากับโกหกด้วย เชื่อหรือไม่ว่า ยิ่งเราเข้าใกล้พระเจ้ามากเท่าไร เรายิ่งรู้สึกถึงความบริสุทธิ์ของพระเจ้า และ ความสกปรกในชีวิตของเรามากเท่านั้น ท่านอิสยาห์เองได้อธิบายชัดเลยใน
อิสยาห์ 6:1-5

1 ยอห์น 1:9
พระคำข้อนี้ เป็นข้อที่คริสเตียนทุกคนจำได้เพราะถึงแม้เราเข้ามาอยู่ในพระเจ้าแล้ว แต่เรายังต้องการพระเจ้าทุก ๆ วัน ในชีวิตที่ดำเนินไปแต่ละวันนั้น มีโอกาสทำผิด ไม่ตรงตามเป้าหมายที่พระเจ้าทรงประสงค์อยู่เสมอ การสารภาพแปลว่า ประณามบาปในแบบที่พระเจ้าจะทรงกล่าวถึงมัน เรายอมรับความบาปนั้น ไม่ดื้อรั้น เป็นการแต่รู้ว่า บาปเป็นสิ่งที่ต้านพระเจ้าไม่ใช่แค่ผิดหรือพลาด

1 ยอห์น 1:10
ข้อ 6 เราบอกว่าเราสนิทกับพระเจ้า แต่ยังเดินในความมืด ข้อ 8 เราว่า เราไม่มีความผิดบาป ข้อนี้เป็นการกล่าวว่าสิ่งที่เราเคยทำมานั้น ไม่ใช่บาป
เราจะเห็นความสัมพันธ์ของข้อ 5-6, 7-8, 9-10
เมื่อเราอ่านและพิจารณาให้ดี ข้อหลังเป็นการ ปฏิเสธความจริงที่ข้อก่อนหน้าได้กล่าวไว้ พระคัมภีร์ในหนึ่งยอห์นห้าข้อสุดท้ายนับเป็นพื้นฐานการใช้ชีวิตคริสเตียนที่สำคัญมาก เราต้องใช้ชีวิตในความสว่าง สนิทกับพระเจ้า! E 2024 12 02