1 ยอห์น 3 ชีวิตที่เหมาะกับการเป็นลูกของพระเจ้า

ความรักที่ทำให้เหมือนกับพระองค์

ดูเถิด
พระบิดาประทานความรัก
มากขนาดไหนที่ทำให้เราได้ชื่อว่าเป็นลูกของพระเจ้า
และเราก็เป็นดังนั้น
เหตุผลที่โลกไม่รู้จักเรา
ก็เพราะโลกไม่รู้จักพระองค์​
1 ยอห์น 3:1

ยอห์น 1:12; กาลาเทีย 3:26; 4:5-6; 2 โครินธิ์ 6:18

เมื่อคนใดมารู้จักพระเจ้า และรับเชื่อในพระนามของพระเยซูแล้ว ชีวิตของเขาก็เปลี่ยนไป เขากลายเป็นลูกของพระเจ้า เขาเป็นเหมือนคนต่างแดนในโลกนี้ โลกไม่เข้าใจว่าเขาเปลี่ยนไปได้อย่างไร พระเจ้าทรงดำเนินการเปลี่ยนเขาให้เหมือนพระเยซูมากขึ้นทุกวัน การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนั้น อัศจรรย์สำหรับทุกชีวิตที่มาพบพระเจ้า

เพื่อนที่รักทั้งหลาย
ตอนนี้เราเป็นลูกของพระเจ้า
และในอนาคต
เราจะเป็นอย่างไรนั้น
ยังไม่เป็นที่ประจักษ์
แต่เรารู้ว่าเมื่อพระองค์ทรงปรากฏ
เราจะเป็นเหมือนพระองค์
เพราะเราจะเห็นพระองค์
ตามที่พระองค์ทรงเป็น
1 ยอห์น 3:2

ฟีลิปปี 3:21; 2 โครินธ์ 3:18; โคโลสี 3:4; โรม 8:29

ท่านยอห์นกล่าวถึงสภาพจริงในปัจจุบันของผู้เชื่อ คือเราเป็นลูกของพระเจ้า แต่ในอนาคต ผู้เชื่อจะเป็นเหมือนอย่างพระเยซูเมื่อพระองค์ทรงปรากฏในวันที่ทรงเสด็จมา (เงื่อนไขคือ เราดำรงอยู่ในพระองค์ตาม 1 ยอห์น 2:28)
พระเยซูเองก็ทรงปรารถนา ให้พี่น้องได้เห็นพระองค์อย่างที่ทรงเป็นอยู่ พระองค์ตรัสไว้ใน ยอห์น 17:24

และทุกคน
ที่มีความหวังเช่นนี้ในพระองค์
จงชำระตนเอง
ให้บริสุทธิ์
เหมือนอย่างที่พระองค์
ทรงบริสุทธิ์
1 ยอห์น 3:3

2 โครินธ์ 7:1; 1 ยอห์น 2:6; 2 เปโตร 3:14

ทุกคนที่มีความหวังว่าจะเป็นเหมือนพระเยซู หน้าที่ส่วนของเราคือ มุ่งมั่น เอาใจใส่ที่จะชำระตนเองให้มีชีวิตที่บริสุทธิ์ คำว่าชำระตน เป็นคำเดียวกับท่านยอห์นใช้ในยอห์น 11:55 พูดถึงพิธีชำระตน ก่อนเทศกาลปัสกา นั่นหมายถึงว่า ก่อนที่จะพบพระองค์จริง ๆ ผู้เชื่อต้องเตรียมตัวมีชีวิตที่บริสุทธิ์ตามอย่างพระเยซู นอกจากการอ่าน พระคำยังมีอีกหลายอย่างที่ช่วยให้ชีวิตบริสุทธิ์ คิดสิ มีอะไรบ้าง

บาปทำลายความสัมพันธ์

ทุกคนที่ทำบาป
เท่ากับทำผิดพระบัญญัติ
บาปเป็นสิ่งผิดพระบัญญัติ
ท่านรู้ดีอยู่ว่า
พระองค์ทรงปรากฏ
เพื่อกำจัดบาปของเราให้หมดไป
ในพระองค์ ไม่มีบาปเลย
1 ยอห์น 3:4-5

1 ยอห์น 5:17; 2 โครินธ์ 12:21; โรม 3:20; 2 โครินธ์ 5:21; 1 เปโตร 3:18; 2:24

บาปที่เราทำนั้น ไม่ใช่แค่ผิดพระบัญญัติ บาปเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงชัง บาปทำให้เรากับพระเจ้าต้องแยกจากกัน พระเยซูจึงทรงมาเพื่อทำลายล้างบาป เพื่อให้มนุษย์เราได้มาเฝ้าพระเจ้าได้. มาเป็นของพระองค์ได้ตามพระประสงค์แรกที่พระเจ้าทรงสร้างเรามา

ผู้ที่อยู่ในพระองค์
ไม่ทำบาปอีกต่อไป 
ส่วนผู้ที่ตั้งใจทำบาปต่อไป 
เท่ากับว่าเขายังไม่เห็นพระองค์
และไม่รู้จักพระองค์
1 ยอห์น 3:6

3 ยอห์น 1:11; 1 ยอห์น 2:4; 3:9; 4:8; ยอห์น 15:4-7

คนที่ดำรงในพระเยซูคริสต์จริง ๆ จะไม่ทำบาป หมายความว่าอย่างไร เพราะจริง ๆ เราก็เห็นว่า แม้จะเชื่อมากเท่าไร
คน ๆ หนึ่งก็ไม่ได้หยุดทำบาปอย่างสิ้นเชิง แต่คนที่อยู่ในพระองค์ ไม่มีนิสัยตั้งใจที่จะทำบาปแบบต่อเนื่องไม่หยุด พวกเขามีความตั้งใจใช้ชีวิตที่บริสุทธิ์ ทัศนคติต่อบาปเปลี่ยนไป มองบาปตามความจริงว่ามันทำลายชีวิต และเขาพยายามหลีกเลี่ยงบาปทุกอย่าง เพราะเขาได้เห็น รู้จักพระเยซูแล้ว

ความแตกต่างของสองฝ่าย

ลูกที่รักทั้งหลาย
อย่ายอม
ให้ใครชักชวนท่านให้หลงไป
คนที่ประพฤติตามความเที่ยงธรรม
ก็เป็นคนเที่ยงธรรม
เหมือนอย่างที่
พระเยซูทรงเที่ยงธรรม
1 ยอห์น 3:7

1 ยอห์น 2:29; โรม 2:13; 1 เปโตร 1:15-16

อย่าลืมว่า บริบทของจดหมายท่านยอห์นคือ มีคนสอนผิดมากมายที่พยายามชักจูงให้ผู้เชื่อหลงไปตามคำพูดของเขา ดังนั้น ผู้เชื่อจะต้องสังเกตว่าชีวิตของคน ๆ นั้น เป็นอย่างไร เขาประพฤติตัวปกติอย่างไร ต่อหน้าลับหลังเหมือนกันหรือไม่ แค่คำพูดดี ๆ คำที่ดูเหมือนฉลาด ก็อาจทำให้คนหลงตามไปได้ง่าย ในโลกออนไลน์ตอนนี้มีระบาดไปทั่ว

คนที่ประพฤติตามทางบาป
ก็มาจากมาร
เพราะมารทำบาปมาตั้งแต่ต้น
เพราะเหตุนี้
พระบุตรของพระเจ้า
จึงทรงปรากฏ
เพื่อทำลายงานของมารทั้งสิ้น
1 ยอห์น 3:8

ฮีบรู 2:14; ยอห์น 8:44 โรม 16:20; ยอห์น 12:31

ท่านยอห์น ทำให้เห็นชัดเหมือนข้อ 6
หากว่าคนที่มาจากมารนั้น จะทำบาปอย่างต่อเนื่อง น่าเสียดายที่พวกเขามาจากมาร แต่พระเจ้า ไม่ทรงปล่อยโลกทิ้งไว้ให้อยู่ในอำนาจมาร เพราะเหตุนี้ พระเจ้าจึงทรงต้องจัดการทำลายงานของมาร นั่นก็คือการบาปทั้งสิ้น โดยมีพระเยซูเป็นผู้ทำงานนั้นโดยเฉพาะ ไม่มีใครในโลกและจักรวาลที่จะทำงานนี้ได้เลย

ทุกคนที่เป็นลูกของพระเจ้า
จะไม่ทำบาปต่อไป
เพราะเมล็ดพันธ์ุของพระเจ้าอยู่ในเขา และเขาไม่อาจมีนิสัย
ทำบาปต่อเนื่องไปได้
เพราะเขาเป็นลูกของพระองค์
1 ยอห์น 3:9

1 ยอห์น 5:8; 2:29; ยอห์น 1:13; 1 เปโตร 1:23

ในภาษาเดิมเขียนชัดว่า คนที่เป็นลูกของพระเจ้ามีเชื้อพันธุ์ หรือเมล็ดพันธ์ุของพระเจ้าอยู่ในตัวเขา ดังนั้น เขาจึงเป็นลูกของพระเจ้าจริง และจะมีชีวิตตามแบบของพระเจ้า การไม่ทำบาปต่อเนื่องเป็นผลมาจากที่พระเจ้าทรงรับเขาเป็นลูก และเขาไม่ได้เป็นลูกของมารอีกต่อไป (ยอห์น 1:12)พระลักษณะนิสัยของพระเจ้ามาอยู่ในตัวเขา

ลักษณะลูกของพระเจ้ากับลูกของมาร
ก็ปรากฏชัด
โดยดูจากว่า
คนที่ไม่ประพฤติในความเที่ยงธรรม
รวมทั้งคนที่ไม่รักพี่น้อง
คนนั้น ไม่ได้มาจากพระเจ้า
1 ยอห์น 3:10

3 ยอห์น 1:11; 1 ยอห์น 4:21; ลูกา 6:35; 1 ยอห์น 4:8; 4:6; ยอห์น 8:44

ที่จริงแล้ว ไม่ยากที่จะแยกคนของพระเจ้ากับคนของมาร แต่ที่มันกลายเป็นยากเพราะคนของมารปลอมตัวมาเป็นคนของพระเจ้า ซึ่งในวันนี้ก็มีมากมายอย่างที่ท่านยอห์นได้เตือนเอาไว้ และคนที่ปลอมตัวนั้นก็หลอกเก่ง รู้ว่าคนอ่อนแอ ในเรื่องอะไรก็หลอกเรื่องนั้น อย่างเช่นว่าพระเจ้าจะอวยพรมากหากถวายมากเป็นต้น สิ่งที่เราสังเกตได้ว่าใครปลอมใครจริงอย่างหนึ่งคือ พวกเขามี ความรักหรือไม่

รักกันและกัน

และนี่เป็นสิ่งที่ท่านได้ยินมาตั้งแต่ต้น 
นั่นคือ เราควรรักซึ่งกันและกัน
อย่าเป็นเยี่ยงคาอิน
ซึ่งเป็นคนของมาร
และได้ฆ่าน้องชายของตน
เหตุใดเขาทำเช่นนั้น ?
เป็นเพราะเขาทำการชั่ว
แต่ว่าน้องชายเป็นผู้เที่ยงธรรม
1ยอห์น 3:11-12

2 ยอห์น 1:5; 1 ยอห์น 4:7; 4:21; ยอห์น 15:12; 13:34-35; ฮีบรู 11:4; ปฐมกาล 4:4-15; ยูดา 1:11

ที่คาอินได้ทำชั่ว ฆ่าน้องชายของตน ต้นเหตุ แรกคือ เขาเป็นคนของมาร ชีวิตจึงเต็มด้วย ความชั่ว ในปฐมกาล 4:5 เราพบว่า ต้นเหตุของการฆ่าน้องคือความเย่อหยิ่ง เกลียดชัง
ในฮีบรู11:4 บอกว่าเป็นเพราะเขาขาดความเชื่อทั้งหมดนี้ล้วนแต่มืดดำ และไร้ซึ่งความรักฆ่าน้องแล้วเขาก็ยังเก็บเรื่องนั้นไว้อีก แต่พระเจ้าทรงเห็นทั้งหมด ตอนนี้ทั้งโลกก็เห็นด้วย

พี่น้องทั้งหลาย ไม่ต้องแปลกใจหากโลกเกลียดชังท่าน
เรารู้ว่า
เราผ่านพ้นจากความตายไปสู่ชีวิต
เพราะเรารักพี่น้องของเรา
ผู้ที่ไม่รัก ก็ยังคงอยู่ในความตาย
ทุกคนที่เกลียดชังพี่น้องของตนนั้น
นับได้ว่า เขาเป็นผู้ฆ่าคน
และท่านรู้ว่า
ฆาตกรไม่มีชีวิตนิรันดร์ในตัวเขา
1 ยอห์น 3:13-15

ยอห์น 15:18; 17:14; 2 ทิโมธี 3:12; ยากอบ 4:4; ยอห์น 13:35; 5:24; 1 ยอห์น 5:2; มัทธิว 5:21-22; สุภาษิต 26:24-26;วิวรณ์ 21:8

เราดูความเป็นไป อารมณ์ ความรู้สึกของคนในโลกวันนี้ได้ง่ายกว่าในอดีตมาก เราเห็นแล้วว่าความเกลียดชังได้ครอบครองสังคม จนกลายเป็นเรื่องปกติ ความรัก ความเมตตากลายเป็นสิ่งที่ หายากมาก เรื่องราวของความรัก ความดี
ปรากฏน้อยกว่าเรื่องของความเกลียดชัง และยิ่งถ้าใครเป็นคริสเตียนจริง ๆ แล้ว ก็เป็นที่ น่ารังเกียจของคนในโลก เพราะว่าชีวิต ของผู้เชื่อเป็นสิ่งที่พวกเขาทนไม่ได้

เรารู้จักความรักว่า เป็นอย่างไร
เพราะพระองค์
ได้สละชีวิตของพระองค์เพื่อเรา
และเราควรสละชีวิตของเรา
เพื่อพี่น้องด้วย
1 ยอห์น 3:16

ยอห์น 3:16; 10:11; 15:13; 1 ยอห์น4:9-11; เอเฟซัส 5:2

คำกล่าวข้างบนนี้ บอกถึงความรักที่เสียสละ ไม่ใช่รักที่ฉันจะเอาแต่ข้างเดียว แบบเห็นแก่ตัว แล้วกล่าวแค่คำว่า “ฉันรักเธอ” (ฉันขาดเธอไม่ได้เพราะว่าเธอมีประโยชน์กับฉันเหลือเกิน)แต่ความรักที่แท้นั้นก็คือคำว่า “เสียสละ”อย่างองค์พระเยซูคริสต์บนไม้กางเขนนั้น สละให้ทั้ง ๆ ที่มนุษย์นั้นสุดที่จะเลว พระองค์ทรงสละชีวิตด้วยความตั้งพระทัยของพระองค์เอง!

เวลานี้ ถ้าใครมีทรัพย์สิ่งของ
และเห็นพี่น้องของเขา
มีความต้องการจำเป็น
แต่ยังปิดใจจากเขา
ความรักของพระเจ้า
จะอยู่ในคนนั้นได้อย่างไร?
ลูกเล็ก ๆ ทั้งหลาย
เราไม่ควรรัก 
จากคำพูดและจากปากเท่านั้น
แต่รักกันด้วยการกระทำ
และความจริง
1 ยอห์น 3:17-18

เฉลยธรรมบัญญัติ 15:7; เอเสเคียล 33:31; ฮีบรู 13:6; 1 ยอห์น 4:20; ยากอบ 2:15-16; โรม 12:9

คำพูดจากปากที่ไม่มีการกระทำนั้น ง่ายราคาถูก สบายใจคนพูด แต่มันคือคำโกหกพกลม เราเจอคนอย่างนั้นมากมายในโลกเจอทุกวัน อยู่เต็มไปหมด ท่านยอห์นเองก็พบคน อย่างนั้นมากมายเช่นกัน ความรักที่แสดงออกด้วยการกระทำ ด้วยความจริง จากหัวใจนั้นเป็นทักษะที่ต้องฝึก ยิ่งทำยิ่งเก่ง
ยิ่งทำ ยิ่งเป็นธรรมชาติ กลายเป็นนิสัยส่วนตัวที่น่าชื่นชมของพระเจ้า

เมื่อเป็นเช่นนี้ เราจึงรู้ว่า
เรามาจากความจริง
และเราจะได้มั่นใจ
ต่อพระพักตร์พระเจ้า
เพราะเมื่อใจของเรากล่าวโทษตัวเอง
พระเจ้าทรงเป็นใหญ่กว่าใจของเรา
และพระองค์ทรงทราบทุกสิ่ง
1 ยอห์น 3:19-20

ยอห์น 18:37; 1 โครินธ์ 4:4-5; เยเรมีย์ 17:10; สดุดี 139:1-4; ฮีบรู 4:13

จากข้อที่ผ่านมาบอกให้เรารักด้วยการกระทำและด้วยความจริง หากเราทำเช่นนั้นในชีวิต ประจำวัน ทำเป็นกิจวัตร เราจึงรู้ว่า เรามาจาก ความจริง หรือพูดง่าย ๆ เรามาจากพระเจ้า
และในชีวิตประจำวันนั้น เวลาเราทำบาป เวลา ทำไม่ถูกต้อง ใจของเรานี่แหละจะบอกเราว่า “เฮ้ ทำไม่ถูกนะ ทำไมทำอย่างนี้? แก้ไขซะ” ใจที่อยู่ข้างพระเจ้าจะไม่สนับสนุนให้เราปล่อยบาปในชีวิตให้ลอยนวล

พี่น้องที่รัก
หากใจเราไม่กล่าวโทษตัวเรา
เราก็มีความมั่นใจ
ต่อพระพักตร์พระเจ้า
และเราจะขอสิ่งใดจากพระเจ้า
เราจะได้รับจากพระองค์
เพราะเรารักษาพระบัญญัติ
และทำสิ่งที่พระองค์พอพระทัย
1 ยอห์น 3:21-22

1 ยอห์น 2:28; 5:14; ฮีบรู 4:16; สดุดี 34:15; 7:3-5; ยอห์น 8:29; 15:7; มาระโก 11:24

พระคำข้อนี้ เป็นพระคำที่ให้กำลังใจกับหลายคน ที่กำลังท้อแท้ คนที่ไม่มั่นใจในการอธิษฐานเรามั่นใจได้เมื่อเราอธิษฐานจากพื้นฐานชีวิตที่รักษาพระบัญญัติแห่งรัก และทำสิ่งที่พอพระทัย การที่ใจเราถูกต้องกับพระเจ้า สารภาพบาป และเสียใจ สำนึกบาปจริง ๆ ตั้งใจที่จะไม่ทำสิ่งที่พลาดน้ำพระทัยอีก เราจึงจะมั่นใจต่อพระพักตร์พระเจ้าได้

และนี่คือพระบัญญัติ

คือให้เราเชื่อในพระนาม
ของพระเยซูคริสต์องค์พระบุตร
และให้เรารักซึ่งกันและกัน
ตามที่พระองค์
ประทานพระบัญญัติให้เรา
1 ยอห์น 3:23

มัทธิว 22:39; ยอห์น 15:2; 13:34; 6:29;
1 ยอห์น 3:11; 4:21

คำของท่านยอห์นทั้งเรียบง่ายกระชับได้ใจความ พระบัญญัติของพระเยซูนั้น มีสองอย่างที่เราต้อง รักษาตามที่พระคำข้อก่อนได้บอกไว้ เชื่อในพระเยซู และรักกันและกัน ทั้งสองจะทำให้ชีวิตในปัจจุบันและอนาคตปลอดภัย ทำให้เรามั่นใจได้ และรู้ว่า พระเจ้าจะทรงฟัง คำอธิษฐานจากคนเล็กน้อยอย่างเรา ขอบคุณพระเจ้าสำหรับคำสั่งที่เรียบง่ายนี้

คนที่รักษาพระบัญญัติ
ก็อยู่ในพระองค์
และพระองค์ทรงอยู่ในเขา
และโดยเหตุนี้ เราจึงรู้ว่า
พระองค์ทรงอยู่ในเรา
โดยพระวิญญาณ
ที่พระองค์ประทานแก่เรา
1 ยอห์น 3:24

ยอห์น 14:21,23; 17:21; โรม 8:9, 1 โครินธ์ 3:16; 6:19; 1 ยอห์น 4:15-16; 4:7; 3:22

การที่พระเจ้าทรงอยู่ในเราและเราอยู่ในพระองค์นั้น เป็นการอยู่ในกันและกัน มนุษย์อยู่ในพระเจ้าได้ด้วยการรักษาพระบัญญัติของพระองค์ คือการรับพระองค์เข้ามาในชีวิต และดำเนินตามน้ำพระทัยของพระองค์​ ไม่จำกัดฐานะ วัย เพศ ยิ่งทำมาตั้งแต่เด็กก็ยิ่งดี


1 ยอห์น 2 บัญญัติแห่งรัก

ผู้ที่ทูลแก้ต่าง

ลูกเล็ก ๆ ของข้าเอ๋ย
ข้าเขียนสิ่งเหล่านี้ถึงพวกเจ้า เพื่อว่าพวกเจ้าจะไม่ทำบาป
แต่หากว่ามีใครสักคนทำบาป เราก็มีท่านผู้หนึ่ง ที่จะทูลแก้ต่างให้เราต่อพระบิดาพระองค์คือพระเยซูคริสต์
องค์ผู้ทรงเที่ยงธรรม
1 ยอห์น 2:1

โรม 8:34; 1 ทิโมธี 2:5; ฮีบรู 7:25; 9:24

ลูกเล็ก ๆ ในที่นี้หมายถึงคนที่เพิ่งเกิดมาท่านแสดงความอ่อนโยนแก่พี่น้องในความเชื่อ ท่านยอห์นเป็นห่วงพวกเขาที่จะมีชีวิตไม่ติดบาป แต่หากเราเกิดทำบาปขึ้นมา (1 ยอห์น 1:8-10) พระเยซูคริสต์จะทรงเป็นผู้ทูลแก้ต่างให้เรา ด้วยพระองค์เองในฐานะพระบุตรที่ จะทูลขอเพื่อมนุษย์ต่ององค์พระบิดา คำนี้ ในยอห์น 14 แปลว่า พระองค์ผู้ทรงปลอบใจ พระองค์ผู้ทรงหนุนกำลังใจ

และพระองค์ทรงเป็น
เครื่องบูชาลบบาปของพวกเรา
และไม่ใช่แค่บาปของพวกเราเท่านั้น
แต่บาปของคนทั้งโลกด้วย
1 ยอห์น 2:2

โรม 3:25; ฮีบรู 2:17; 1 ยอห์น 4:10; ยอห์น 1:29

เมื่อพระเยซูทรงแก้ต่างให้ผู้ที่เชื่อในพระองค์ ไม่ใช่เพราะเราไร้ความผิด ไม่บาปแต่เป็นเพราะพระองค์ทรงยืน ณ ศาลสูงในสวรรค์ทรงยื่นไม้กางเขนที่เป็นเครื่องหมายของการ รับโทษแทนทั้งของมนุษย์ในโลก ท่านยอห์นใช้คำว่า “พวกเรา” จึงหมายถึงตัวท่านเองด้วยที่รู้ตัวว่าได้ทำผิดบาปไปแล้วไม่มีใครทำหน้าที่นี้ได้นอกจากพระเยซูคริสต์! 

ข้อพิสูจน์ว่าเรารู้จักพระเจ้า

บัดนี้ เราจึงรู้แน่ว่า เรารู้จักพระองค์
เมื่อเรากระทำตามพระบัญชา ของพระองค์
คนที่กล่าวว่า “ฉันรู้จักพระองค์”แต่ไม่ทำตามพระบัญชาเท่ากับเป็นคนมุสาและความจริงไม่ได้อยู่ในคนเช่นนั้น
1 ยอห์น 2:3-4

ยอห์น 14:15; 15:10, 1 ยอห์น 5:3, โรม 3:4, 1 ยอห์ฯ 1:6, ทิตัส 1:16

การทำตามพระบัญชาของพระเจ้าไม่น่ายาก แต่มันกลายเป็นยาก เพราะใจของเราใหญ่กว่าพระบัญชาของพระองค์ คนเราชอบทำตามใจตัวเองมากกว่าที่จะทำตามคำขอร้องของคนอื่น ต่อไปนี้คือ ทำให้ใจของเราเป็นรอง รองจากพระเจ้า จากพระประสงค์ของพระองค์และอย่าคิดว่าตัวเรารู้จักพระองค์จริง ๆ เราต้องสำรวจใจของเราทุกวัน

แต่ถ้าใครรักษาพระดำรัสของพระองค์
ความรักของพระเจ้าก็สมบูรณ์พร้อมในตัวเขาแล้ว
เรารู้ว่า เราอยู่ในพระองค์ ก็เพราะเรารักษาพระดำรัสของพระองค์
1 ยอห์น 2:5

ยอห์น 14:21,23, 1 ยอห์น 4:12; 3:24, ลูกา 11:28

การรักษาพระดำรัสของพระเจ้านั้น มีความหมายลึกซึ้ง หมายถึงอ่าน เฝ้าระวังรักษาไว้ในใจ เฝ้าดู เป็นกิจกรรมที่พระเจ้า ทรงเตือนมาตั้งแต่สมัยโมเสส โยชูวาเลย จำได้ไหม ท่านโมเสสเคยบอกว่าให้ระวังที่จะทำตามคำแห่งพันธสัญญา ฉธบ.29:9 ครั้งหนึ่งท่านโยชูวากล่าวว่าให้ตรึกตรองบัญญัติของพระเจ้าทั้งกลางวันกลางคืน นี่เป็นความหมายแบบเดียวกัน ยชว.1:8

คนใดยืนยันว่า เขาอยู่ในพระองค์
ก็ต้องเดินไปตามอย่าง
ที่พระเยซูทรงดำเนิน
1 ยอห์น 2:6

1 เปโตร 2:21, ยอห์น 13:15, 1 โครินธ์ 11:1, 1 ยอห์น 3:6

พระเยซูทรงคิดอย่างไรในเวลาที่ทรงอยู่ในโลก?
เราเห็นได้จากหนังสือยอห์น อย่างเช่น “อาหารของเราคือการทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา” (ยน.4:34) “เราลงมาจากสวรรค์ ไม่ใช่เพื่อทำตามใจของเราแต่ทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา” (ยน.6:38) พระดำรัสนี้ชัดเจนมากว่าเราจะเดินตามพระเยซูอย่างไร

สุดยอดแห่งบัญญัติ

ท่านที่รัก ข้าไม่ได้เขียนบัญญัติใหม่ถึงท่าน
แต่นี่เป็นบัญญัติเก่าที่ท่านมีมาตั้งแต่แรก บัญญัติเก่านี้ เป็นคำที่ท่านได้ยินมาแล้วตั้งแต่ต้น
1 ยอห์น 2:7

1 ยอห์น 3:11, 23; 4:21, เลวีนิติ 19:18,
มาระโก 12:29-34, 2 ยอห์น 1:5-6

เวลาเราอ่านข้อนี้เลยไปจนข้อ 8 เราอาจจะงุนงงว่า ท่านยอห์นกำลังหมายถึงอะไร ท่านบอกว่า ไม่ได้เขียนบัญญัติใหม่ หรือกฎใหม่ให้ทำตามแต่เขียนถึงกฎเดิมที่รู้มาแต่ต้น
แล้วกฎเดิมนั้นคืออะไรล่ะ? ก็คือสิ่งที่พระเยซูทรงสั่งไว้ในยอห์น 13:34-35ทรงสั่งให้ศิษย์ของพระองค์รักกันและกัน
เป็นเรื่องสำคัญที่พวกเขาได้ยินจากพระเยซูแต่ต้น 

แต่จะว่าไป ก็เหมือนข้าเขียนบัญญัติใหม่ถึงท่าน ซึ่งเป็นเรื่องความจริงที่ปรากฏในพระองค์และในพวกท่าน เพราะความมืดกำลังผ่านพ้นไป และความสว่างแท้ก็ฉายแสงแล้ว
1 ยอห์น 2:8

ยอห์น 13:34; 15:12, โรม 13:12, ยอห์น 1:9; 8:12; 12:35, เอเฟซัส 5:8

แล้วท่านยอห์นเองก็รู้สึกว่ามันเป็นเหมือนบัญญัติ ใหม่ด้วยในเวลาเดียวกัน เพราะท่านได้เห็น ความรักที่เกิดขึ้นในหมู่พี่น้อง ความสว่างแท้ที่ฉายแสงนั้นคือพระเยซูคริสต์ ทรงเข้ามาในโลก พระองค์ทรงเป็นแสงสว่างที่แท้จริงของโลก ได้ทำลายความมืด ความบาปที่อยู่ในโลกนี้ด้วยการสิ้นและคืนพระชนม์ และผู้เชื่อก็กำลังเป็นแสงสว่างของโลกต่อไป..

ผู้ที่ยืนยันว่าตนอยู่ในความสว่างแต่ใจยังเกลียดชังพี่น้องของตนก็ถือได้ว่าเขายังคงอยู่ในความมืด
ผู้ที่รักพี่น้องของตนก็อยู่ในความสว่างและไม่มีสิ่งใดในตัวเขาที่เป็นเหตุให้ใครสะดุดล้มได้
1 ยอห์น 2:9-10

1 โครินธ์ 13:2, 1 ยอห์น 4:20,
1 ยอห์น 3:13-17, 2 เปโตร 1:9-10

อีกแล้วที่ท่านยอห์นเขียน ซ้ำแล้วซ้ำอีก ไม่ต่างอะไรกับท่านเปโตรเลย อัครทูตทั้งสองมี ความห่วงในใจเป็นอย่างมาก พร้อมที่จะกล่าว คำเตือนสติ หนุนใจไม่หยุดหย่อน
จะเห็นได้ว่า เรื่องสำคัญในข้อนี้คือ ความสว่าง กับความมืด พี่น้องที่ท่านกำลังเตือนต้องเลือก จะรัก และอยู่ในความสว่าง หรือจะเกลียด แล้วอยู่ในความมืด !

แต่คนที่เกลียดชังพี่น้องของตนเท่ากับว่ายังอยู่ในความมืด เดินในความมืด และไม่รู้ว่าตนเองกำลังเดินไปที่ไหน เพราะความมืดได้บดบังตาให้บอดไป
1 ยอห์น 2:11

1 ยอห์น 2:9; 3:15; 4:20, ยอห์น 12:35, วิวรณ์ 3:17

คนที่เกลียดชังพี่น้อง หรือไม่รัก ไม่ใส่ใจเท่ากับว่ายังอยู่ในความมืด (ข้อ 9) แต่ในข้อนี้พูดเพิ่มเติมว่า เขาเดินในความมืดด้วยนั่นคือยังคงสภาพบาปต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ เมื่อชีวิตยังบาปอยู่ ทำผิดอะไรก็จะมองไม่ออกว่า ตัวเองทำผิดอยู่ ความเกลียดชังก็บดบังใจ ไม่ว่าจะให้เหตุผลอย่างไร เขาก็ยังมองไม่เห็นอยู่ดี เขาไม่เห็นด้วยว่า จุดหมายปลายทางของเขาคือ ที่ไหน เพราะตาบอดอยู่ วิสัยทัศน์ก็บิดเบือน

ลูกเล็กที่รักทั้งหลาย ข้าเขียนถึงเจ้าเพราะพระองค์ทรงยกโทษบาปให้เจ้าแล้ว
โดยพระนามของพระองค์
พ่อ ๆ ทั้งหลาย ข้าเขียนถึงท่านเพราะท่านรู้จักพระองค์ผู้ทรงดำรงมาตั้งแต่ปฐมกาล
คนหนุ่มทั้งหลาย ข้าเขียนถึงท่าน เพราะท่านมีชัยชนะเหนือมารร้าย
1 ยอห์น 2:12-13ก

1 โครินธ์ 6:11, ลูกา 24:47; กิจการ 10:43; 13:38, ยอห์น 1:1, 1 ยอห์น 2:14; 1:1

ตอนนี้ท่านยอห์นกำลังบอกเหตุผลว่าทำไมท่านจึง เขียนจดหมายถึงพวกเขา ดูเหมือนท่านเขียนถึง คนที่กำลังเติบโตในพระเจ้าสามระดับคือ คนที่มาเชื่อใหม่ คนที่รู้จักพระเจ้ามานาน กับคนที่กำลังเติบโตระดับกลาง ทั้งสามกลุ่มต่างมีสัมพันธ์กับพระเจ้าในลักษณะที่เป็นขั้นเป็นตอน จากรับการยกบาป ก็มีชัยชนะเหนือมารและมีความรู้ในองค์พระเจ้ามากขึ้น ชีวิตผู้เชื่อจึงไม่อยู่กับที่ แต่โตขึ้นทุกวัน




ลูกเล็กที่รักทั้งหลาย
ข้าได้เขียนถึงเจ้า
เพราะเจ้ารู้จักพระบิดาแล้ว
พ่อ ๆ ทั้งหลาย ข้าได้เขียนถึงท่านเพราะท่านรู้จักพระองค์ผู้ทรงดำรงมาตั้งแต่ปฐมกาล
คนหนุ่มทั้งหลาย
ข้าเขียนถึงท่านเพราะท่านเข้มแข็ง และพระคำของพระเจ้าดำรงในท่าน และท่านมีชัยชนะเหนือมารร้าย
1 ยอห์น 2:13ข-14

กาลาเทีย 4:6, โรม 8:15, 1 ยอห์น 2:13, สดุดี 119:11, เอเฟซัส 6:10

ราวกับว่าลอกข้อ 12-13ก มาเลย มีความแตกต่างเล็กน้อย ทำไมท่านยอห์นถึงกล่าวคำที่ซ้ำเช่นนี้? มารร้ายในข้อ13 และ 14 นี้มาจากยอห์น 17:15พระเยซูทรงอธิษฐานให้ผู้ที่เชื่อในพระองค์ได้พ้นจาก ผู้ที่ชั่วร้าย คือมารร้ายนั่นเอง น่าสังเกตว่าในคำอธิษฐานที่พระเยซูทรงสอนสาวก ก็มีประโยคหนึ่งที่ว่า ขอให้พ้นจากมารร้ายเช่นกัน (มัทธิว 6:13)

อย่ารักโลก

อย่ารักโลกหรือสิ่งใดในโลก
ความรักของพระบิดาไม่ได้อยู่ในคนที่รักโลก เพราะทุกสิ่งในโลก ไม่ว่าจะเป็นความอยากของร่างกาย ความอยากของตา และความอวดหยิ่งในสิ่งที่ตนครอบครอง ไม่ได้มาจากพระบิดาแต่มาจากโลก
1 ยอห์น 2:15-16

ยากอบ 4:4, โรม 12:2, มัทธิว 6:24, โคโลสี 3:1-2, กาลาเทีย 1:4; 5:17, โรม 13:14, ปฐมกาล 3:6, สดุดี 119:36-37

พระคำข้อนี้ ตรงไปตรงมา บอกกับเราว่า ไม่ให้รัก หลง ตามหาความอยากของร่างกาย ไม่ให้เราคลั่งไคล้สิ่งที่ตาอยากมอง ไม่ให้เราภาคภูมิใจในสิ่งที่ตนมี ซึ่งเหล่านี้ เมื่อมันมีมาก เมื่อเราลุ่มหลง มันทำให้เราลืม สิ่งที่ถูกต้อง ลืมพระเจ้า แต่หลงไปปรนนิบัติสิ่งเหล่านั้น ท่านยอห์นบอกว่าทั้งสามสิ่งนั้น ไม่ได้มาจาก พระบิดา แต่มาจากโลกโดยตรง

โลกกับความอยากแบบของโลกจะสูญไป
แต่ผู้ที่ทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าจะดำรงตลอดไป
1 ยอห์น 2:17

1 โครินธ์ 7:31, 1 เปโตร 1:24, มัทธิว 24:35, ฮีบรู 10:36

การที่ท่านยอห์นกล่าวชัดเจนเช่นนี้เรารู้ว่าโลกและวิถีแบบโลกจะต้องจบสิ้นไปในวันหนึ่ง ความจริงแล้วสำหรับมนุษย์ทุกคน ความอยากแบบโลกนั้นมันก็จบลงที่ความตาย แต่คนที่ได้พบพระเจ้า และจบกับความอยาก นั้นก่อน จะมีสันติสุขในพระเจ้าเป็นอย่างมาก เป็นความสุขที่พระเจ้าทรงประสงค์ให้มนุษย์ได้มีประสบการณ์ เป็นชีวิตที่อยู่ใกล้ชิดพระเจ้าทั้งที่ยังอยู่ในโลกนี้

การหลอกลวงในเวลาสุดท้าย

ลูกที่รักทั้งหลาย นี่เป็นช่วงเวลาสุดท้ายก็อย่างที่เคยได้ยินมาว่า
ผู้ต่อต้านพระคริสต์กำลังมา
บัดนี้
มีฝ่ายตรงข้ามพระคริสต์ปรากฏตัว ออกมาหลายคน เพราะอย่างนี้
เราจึงรู้ว่า นี่เป็นช่วงเวลาสุดท้าย
1 ยอห์น 2:18

2 ทิโมธี 3:1; ยากอบ 5:3; 2 เปโตร 3:3; ยูดา 18; 1 ยอห์น 4:3; 2 ยอห์น 7; มัทธิว 24:5, 24
1 ยอห์น 4:1; มัทธิว 24:5; 1 ทิโมธี 4:1

“ผู้ต่อต้านพระคริสต์” เป็นลักษณะของคนที่ตรงตามที่เราเรียกเขา แต่คำ ๆ นี้อาจหมายความได้สองอย่างคือ มาต่อต้าน หรือ มาแทน คน ๆ นี้อาจดูดีมาก ๆ ไม่ได้ดูเป็นผู้ร้ายเลยก็ได้แต่เป็นผู้ที่จะมาแทนที่พระเยซูในใจของผู้เชื่อ อาจเป็นได้ทั้งบุคคล และเป็นทั้งระบบองค์กรโลกท่านยอห์นบอกเราว่า มีหลายคนเสียด้วย ดังนั้น เราต้องดูให้ดีว่า ใครเป็นใครในยุคนี้

แม้ว่าพวกเขาออกมาจากกลุ่มของเรา แต่กลับไม่ได้เป็นฝ่ายเรา เพราะหากเขาเป็นพวกเราจริง เขาคงจะอยู่กับเราต่อไป
แต่พวกเขาออกไปจากเรา
เพื่อจะเป็นการแสดงให้เห็นว่า
ไม่มีใครสักคนในพวกเขาเป็นฝ่ายเรา
1 ยอห์น 2:19

เฉลยธรรมบัญญัติ 13:13; กิจการ 20:30; ยอห์น 17:12; 1 โครินธ์ 11:19, ยูดา 19


จากข้อความตอนนี้ ทำให้เรารู้ชัดว่า คนที่กลายเป็นผู้ต่อต้านพระคริสต์นั้น แต่ก่อนเคยเป็นคนที่อยู่ในชุมชนคริสเตียน ในเมื่อเขาตัดสินใจออกไป. จากชุมชนนี้ แสดงว่า เขาไม่คิดจะเป็นผู้เชื่อใน พระเจ้าอีกต่อไป
คนเหล่านี้คงไม่ได้เกิดใหม่จริง ๆ มาตั้งแต่ต้น พวกเขาแค่เพียงเกาะติดเหล่าผู้เชื่อ แต่ไม่ได้มีความเข้าใจ รู้จักพระเจ้าจริงจัง ไม่ได้รับการเปลี่ยนเหมือนคนอื่น ๆ ที่พระเจ้าทรงเปลี่ยนชีวิต 

และพวกท่านได้รับการเจิมจากองค์ผู้บริสุทธิ์และท่านรู้ทุกสิ่ง ที่เขียนมานี้ไม่ใช่เพราะท่านไม่รู้ความจริง แต่เพราะท่านรู้ และไม่มีความเท็จใดออกมาจากความจริง
1 ยอห์น 2:20-21

2 โครินธ์ 1:21; กิจการ 3:14; ยอห์น 16:13; 14:26; สุภาษิต ​28:5; อิสยาห์ 61:1; 2 เปโตร 1:12; ยูดา 5

คนที่หลีกตัวออกไปจากพี่น้องนั้น บ่งชัดว่า พวกเขาเป็นคนละฝ่ายกับพระเยซูคริสต์ เป็นผู้ที่ไม่รู้ ไม่รับความจริงของพระเจ้า ส่วนผู้ที่ท่านยอห์นเขียนถึง แตกต่างออกไป พวกเขารู้ความจริง การที่บอกว่าท่านรู้ทุกสิ่งหมายความว่า รู้ และต้อนรับ ยินดีในความจริงนั้น พวกเขายังได้รับการเจิมจากพระเจ้า พวกเขาไม่ยึดความเท็จในการใช้ชีวิต
แต่ดำเนินชีวิตตามความจริงของพระเจ้า

ใครเป็นคนพูดเท็จ คนพูดเท็จคือคนที่ปฏิเสธว่า พระเยซูคือพระคริสต์
เขาคนนี้คือผู้ที่ต่อต้านพระคริสต์ เป็นคนที่ปฏิเสธทั้งพระบิดาและพระบุตร
1 ยอห์น 2:22

2 ยอห์น 7; 1 ยอห์น 4:3; 4:20

คำว่าพระคริสต์มาจากภาษากรีกว่า คริสโตส คือผู้ที่ถูกเจิม เรียกกันว่า พระเมสสิยาห์ ซึ่งมาจากภาษาฮีบรู ทั้งสองชื่อนี้
มีความหมายเดียวกัน คือเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมและส่งมาในโลกเพื่อสร้างอาณาจักรของพระเจ้า ในหัวใจของมนุษย์ ที่คนในโลกมากมายไม่ยอมรับพระคริสต์ก็เพราะพวกเขาไม่ต้องการให้พระองค์ เป็นพระเจ้าเหนือชีวิตของพวกเขา บางคนรุนแรงขนาดต่อต้านพระองค์ทุกครั้งที่ทำได้

ทุกคนที่ปฏิเสธพระบุตร
ก็ไม่มีพระบิดา
คนที่ยอมรับพระบุตร
ก็มีพระบิดาด้วย
1 ยอห์น 2:23

ยอห์น 15:23-24; 8:9; 10:30; 1 ยอห์น 4:15; 5:23

เหมือนกับว่า ท่านยอห์นรู้ล่วงหน้าว่าจะมีอะไร เกิดขึ้นในโลกยุคนี้ เราจะเห็นผู้สอนผิดที่เอาแต่พระบิดา และปฏิเสธพระบุตร อย่างศาสนายิว พยานพระยะโฮวาห์ เป็นต้น คนเหล่านี้ เชื่อว่า ตนเองถูกต้องที่จะปฏิเสธพระบิดาหรือพระบุตร องค์ใดองค์หนึ่ง แต่ความจริงแล้ว พระบิดากับพระบุตรทรงเป็นหนึ่งเดียว ไม่มีทางแยกพระองค์ออกจากกันแล้วจะโอเคได้

ให้ความจริงดำรงในชีวิต

จงรักษาสิ่งที่ท่านได้ยินมาตั้งแต่แรก ให้ดำรงอยู่ในตัวท่านถ้าหากว่าท่านดำรงในสิ่งนั้นก็คือท่านดำรงอยู่ในพระบุตรและพระบิดา
1 ยอห์น 2:24

2 ยอห์น 6,7; ยอห์น 14:23; 15:9-10; วิวรณ์ 3:3, 1 ยอห์น 4:16

ในประโยคสั้น ๆ นี้ ท่านยอห์นมีคำว่า ดำรงอยู่ถึงสามครั้ง คำนี้มีความหมายคือ อาศัยอยู่ใน คงอยู่ เมื่อเรารักษาคำของพระเจ้าไว้ในใจ ในชีวิตดำเนินตาม และเอาใจใส่ เท่ากับว่า เราได้อยู่ในพระบุตรและพระบิดานี่เป็นกำไรสุดยอดของชีวิตคน ๆ หนึ่ง ที่จะได้อยู่ในพระเจ้าเต็มบริบูรณ์อย่างนี้

บัดนี้ ชีวิตนิรันดร์เป็นสิ่งที่พระองค์ทรงสัญญาไว้ให้เราที่ได้เขียนมานั้นข้าเขียนถึงท่านเกี่ยวกับคนที่พยายามนำท่านให้หลงทางไป
1 ยอห์น 2:25-26

ยอห์น 3:14-16; 6:40; 17:2,3; ทิตัส 3:7; ยูดา 21; 2 ยอห์น 1:7; 2 เปโตร 2:1-3; กิจการ 20:29-30

ท่านยอห์นเตือนสติคนอ่านว่า พระเจ้าทรงสัญญาชีวิตนิรันดร์ให้กับเราที่ดำรงในพระองค์ คนที่มาเชื่อในพระองค์ ไม่ได้จบชีวิตไปเหมือนคนอื่น ๆ ที่ไม่มีพระองค์ แต่พวกเขาพิเศษคือมีพระสัญญามั่นเหมาะว่าเขาจะได้รับชีวิตนิรันดร์ และถ้าเราย้อนกลับไปดู ข้อ 19 มีคนกลุ่มหนึ่งที่ ออกไป และไม่ได้อยู่ในกลุ่มเราอีกต่อไป พวกนี้ยังชักชวนให้คนที่อยู่ออกไปด้วย ชวนให้หลงทางไปจากพระเจ้า

การเจิมที่ท่านได้รับจากพระองค์ดำรงในท่านจึงไม่ต้องให้ใครมาสอนท่านเพราะการเจิมจะสอนท่านทุกสิ่งที่เป็นจริงไม่ใช่เป็นเท็จ ให้ท่านดำรงในพระองค์ ตามที่การเจิมได้สอนท่านไว้
1 ยอห์น 2:27

ยอห์น 14:16; 16:13; เยเรมีย์ 31:33; 2 เปโตร 1:16-17

การเจิมดังกล่าวคืออะไรหรือ? จำได้ไหมว่า พระเยซูทรงสัญญาจะให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ มาสอนความจริงให้กับผู้ที่เชื่อในพระองค์​เมื่อเราเข้ามาเชื่อพระเจ้า เราก็ได้รับการเจิม
ด้วยพระวิญญาณจากพระองค์ พระวิญญาณจะทรงสอนผู้เชื่อผ่านพระวจนะที่เขาอ่าน ที่เขาติดตาม เขาไม่ต้องไปเรียนรู้จากคนที่พยายามสอนคำลวงให้กับพวกเขา อ่านยอห์น 14:26,

บัดนี้ ลูกเล็ก ๆ จงดำรงอยู่ในพระองค์ เมื่อพระองค์ทรงปรากฏ เราจะกล้าหาญ และไม่ละอายต่อพระพักตร์
เมื่อพระองค์เสด็จมา หากท่านรู้ว่า พระองค์ทรงเที่ยงธรรม ท่านก็ย่อม
รู้ว่าคนที่ประพฤติเที่ยงธรรมก็บังเกิดจากพระองค์
1 ยอห์น 2:28-29

1 ยอห์น 3:21; 4:17; 5:14, มาระโก 8:38, กิจการ 22:14, ยอห์น 3:7,10

ท่านยอห์นเตือนสติให้พี่น้องดำรงอยู่ในพระเจ้าเหมือนอย่างที่พระเยซูเคยตรัสให้เราดำรงใน พระองค์ในยอห์น 15:1-11 เป็นการอยู่ในกันและกัน สองทางเลย เราอยู่ในพระเจ้า พระองค์ในเรา ใกล้ชิด มีพระคำในใจ แล้วชีวิตจะเกิดผลมาก
ดูสิว่า การอยู่ในพระเจ้าจะทำให้ชีวิตมีแต่ดีขึ้นน่าเสียดายที่เรากลับไม่ได้คิดเช่นนั้น บทที่สองจบลงด้วยคำขอให้ดำรงในพระเจ้า

1 ยอห์น 1 ความสว่าง ความรักและชีวิต

ที่มาจากปฐมกาล ที่ได้ยิน ได้เห็น ได้ดู และสัมผัส

(นี่เป็นสิ่งที่เราประกาศแก่ท่าน)
สิ่งที่มาจากปฐมกาล
สิ่งที่เราได้ยิน
สิ่งที่เราได้เห็นด้วยตา
สิ่งที่เราได้พินิจดูและได้สัมผัสด้วยมือของเรา
เกี่ยวข้องกับพระคำแห่งชีวิต
1 ยอห์น 1:1

ยอห์น 1:1, 4, 14, 2 เปโตร 1:16, ลูกา 24:39,

พอเราเห็นพระคำตอนนี้ เราก็นึกถึงพระกิตติคุณ
ยอห์นทันที (ในฉบับกรีก ไม่มีประโยคแรกแต่ใส่ไว้ให้เข้าใจง่ายว่าท่านยอห์นหมายถึงอะไร นี่เป็นประโยคเดียวที่ยาวมากเพราะหนึ่งประโยคนี้ยาวไปถึงข้อ 4 ) อ่านให้ดี สิ่งที่ท่านยอห์นกล่าวถึงคือ ข่าวสารเรื่องของพระเยซูนั่นเอง พระองค์ทรงมาจากปฐมกาล แต่เป็นพระเจ้า และอาจารย์ที่รักของท่านยอห์น เป็นผู้ที่ท่านได้อยู่ใกล้ชิดมาก ๆ

ชีวิตนั้นได้ปรากฏ
และเราได้เห็นชีวิตนั้น
เราเป็นพยาน และประกาศกับท่าน
ถึงชีวิตนิรันดร์ที่อยู่กับพระบิดา
และสำแดงให้แก่เรา
1 ยอห์น 1:2

ยอห์น 1:4, โรม 16:26, ยอห์น 21:24, ยอห์น 1:1,18, 16:28

“ชีวิตนิรันดร์ที่อยู่กับพระบิดา”ที่ท่านยอห์นกล่าว
ถึง ก็คือ พระเยซูคริสต์ก่อนที่พระองค์จะมาบังเกิดในโลกนี้ ยอห์น 1:4 และยังโยงกับยอห์น 3:16 เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ นั่นคือ พระบุตรพระเจ้าลงมาในโลกและทรงรับสภาพความเป็นมนุษย์สมบูรณ์แบบ ทรงเป็นทั้งพระเจ้าและมนุษย์ในองค์ ๆ เดียว และคนจำนวนมากได้สัมผัสกับพระองค์จริง ๆ

สิ่งที่เราเห็น และได้ยินเราประกาศแก่ท่าน เพื่อว่าท่านจะได้มีสัมพันธ์สนิทกับเราและเรามีสัมพันธ์สนิทกับพระบิดา และกับพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์
เราเขียนสิ่งเหล่านี้เพื่อว่า ความยินดีของเราจะสมบูรณ์พร้อม
1 ยอห์น 1:3-4

1 โครินธ์ 1:9, ยอห์น 17:21, 3, 15:11, 16:24

เวลานี้ท่านยอห์นเองได้บอกว่า เหตุผลที่ท่านเขียน
จดหมายฉบับนี้ก็เพื่อจะได้มีความยินดีอย่างเต็มเปี่ยม สมบูรณ์แบบ พระเจ้าผู้ที่เรามองไม่เห็นทรงสำแดงพระองค์ผ่านพระเยซู ซึ่งทำให้ผู้คน ได้ยิน ได้เห็น ได้สัมผัส ได้มีสัมพันธ์สนิทกับพระองค์จริง ๆ พระเยซูทรงเป็นผู้ที่มีอยู่จริงในประวัติศาสตร์ เป็นผู้ที่พลิกโฉมของสังคมโลกโบราณ ผู้คนที่มาเชื่อพระองค์ เปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อพี่น้องร่วมสังคม แทนเกลียดด้วยความรัก อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

สัมพันธ์สนิทกับพระเจ้าและพี่น้อง

และนี่เป็นสาระของข่าว ที่เราได้ยินจากพระองค์ และประกาศแก่ท่าน นั่นคือ พระเจ้าทรงเป็นความสว่าง และในพระองค์ไม่มีความมืดเลย
1 ยอห์น 1:5

1 ยอห์น 3:11, 1 ทิโมธี 6:16,ยอห์น 8:12, 1:9,
สดุดี 27:1

สาระของข่าวที่ได้ยินจากพระองค์นั้นก็คือ เรื่องของข่าวประเสริฐนั่นเองข้อต่อ ๆ ไปเราจะทราบว่า อะไรคือสาระนั้น. สิ่งที่ท่านยอห์นพูดนั้นไม่ได้เป็นสิ่งที่ท่านคิดขึ้น มาเองตามใจ แต่ท่านได้ยินมาจากพระเยซูเอง และ ก็ตรงกับสิ่งที่พระเยซู ตรัสในยอห์น 8 และ 9 ดวงอาทิตย์ยังมีจุดมืดที่ดับ แต่สำหรับพระเจ้าแล้ว ไม่มีอะไรเช่นนั้นอยู่ในพระองค์

หากเราพูดว่า เรามีความสัมพันธ์กับพระองค์  แต่เรายังคงเดินในความมืดเท่ากับเราพูดเท็จ และไม่ได้ประพฤติตามความจริง
1 ยอห์น 1:6

1 ยอห์น 2:9-11, 1 ยอห์น 4:20, ยากอบ 2:14

พระเจ้าทรงเป็นความสว่าง คนของพระองค์จึง
ต้องเป็นสว่างด้วย พระเยซูตรัสว่า ท่านทั้งหลายเป็นความสว่างของโลก พระเจ้าทรงประสงค์ให้เราใช้ชีวิตโดยไม่มีความมืดแฝงอยู่ เป็นชีวิตที่โปร่งใส ไม่มีการแอบหมกบาปไว้ หากเรามั่นใจว่า เรามีความสัมพันธ์กับพระเจ้าแล้วเราต้องไร้บาปที่ไม่ได้สารภาพพระเยซูทรงชำระเราแล้วด้วยพระโลหิตของพระองค์ เพื่อให้เรามีสัมพันธ์สนิทที่แท้จริง

แต่หากว่าเราเดินในความสว่าง
เหมือนที่พระองค์ทรงดำเนินในความสว่าง
เราก็มีสัมพันธ์สนิทต่อกันและกัน
และพระโลหิตของพระเยซูพระบุตรของพระเจ้า ก็ชำระเราให้สะอาดพ้นจากบาปทั้งสิ้น
1 ยอห์น 1:7

อิสยาห์ 2:5, 1 โครินธ์ 6:11, เอเฟซัส 5:8

ความสว่าง เป็นสัญลักษณ์บอกถึงพระลักษณะของพระเจ้า: ทรงงามเลิศตระการ พระสิริรุ่งโรจน์ ยังรวมไปถึงความบริสุทธิ์ ความจริงในพระองค์ และพระลักษณะที่ทรงสื่อสารกับมนุษย์อยู่เสมอ พลังที่ประทานให้มนุษย์ และสิทธิในการออกพระบัญชา การอยู่ในความสว่างของพระเจ้า ทำให้เรามีสัมพันธ์สนิทต่อกันและต่อพระเจ้าโดยที่ทุกคนได้รับการชำระโดยพระโลหิตแล้ว 

หากเรากล่าวว่า เราไม่มีความผิดบาป. เราก็กำลังหลอกตนเอง
และความจริงไม่ได้อยู่ในเรา
1 ยอห์น 1:8

ยากอบ 3:2, โรม 3:23, ปัญญาจารย์ 7:20


คำว่า “ฉันไม่ได้ทำผิด” ในเรื่องนั้นเรื่องนี้ยังพอรับได้ว่าเป็นจริง แต่ที่บอกว่า ฉันไม่มีบาปนั้น ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนกล้าพูดคำนี้ การพูด เช่นนี้ไม่ใช่แค่หลอกตัวเอง แต่เท่ากับโกหกด้วย เชื่อหรือไม่ว่า ยิ่งเราเข้าใกล้พระเจ้ามากเท่าไร เรายิ่งรู้สึกถึงความบริสุทธิ์ของพระเจ้า และ ความสกปรกในชีวิตของเรามากเท่านั้น ท่านอิสยาห์เองได้อธิบายชัดเลยใน
อิสยาห์ 6:1-5

แต่หากว่าเราสารภาพบาปของเรา พระองค์ทรงซื่อตรงและเที่ยงธรรมจะทรงอภัยบาปให้เรา และชำระเราจากความอธรรมทั้งสิ้น
1 ยอห์น 1:9

สุภาษิต 28:13, โรม 13:24-26, สดุดี 51:2

พระคำข้อนี้ เป็นข้อที่คริสเตียนทุกคนจำได้เพราะถึงแม้เราเข้ามาอยู่ในพระเจ้าแล้ว แต่เรายังต้องการพระเจ้าทุก ๆ วัน ในชีวิตที่ดำเนินไปแต่ละวันนั้น มีโอกาสทำผิด ไม่ตรงตามเป้าหมายที่พระเจ้าทรงประสงค์อยู่เสมอ การสารภาพแปลว่า ประณามบาปในแบบที่พระเจ้าจะทรงกล่าวถึงมัน เรายอมรับความบาปนั้น ไม่ดื้อรั้น เป็นการแต่รู้ว่า บาปเป็นสิ่งที่ต้านพระเจ้าไม่ใช่แค่ผิดหรือพลาด

หากเราพูดว่า เราไม่เคยทำบาปเท่ากับเรากล่าวหาว่า พระองค์ทรงมุสา และพระดำรัสของพระองค์ไม่ได้อยู่ในเรา
1 ยอห์น 1:10

1 ยอห์น 5:10, สดุดี 130:3

ข้อ 6 เราบอกว่าเราสนิทกับพระเจ้า แต่ยังเดินในความมืด ข้อ 8 เราว่า เราไม่มีความผิดบาป ข้อนี้เป็นการกล่าวว่าสิ่งที่เราเคยทำมานั้น ไม่ใช่บาป
เราจะเห็นความสัมพันธ์ของข้อ 5-6, 7-8, 9-10
เมื่อเราอ่านและพิจารณาให้ดี ข้อหลังเป็นการ
ปฏิเสธความจริงที่ข้อก่อนหน้าได้กล่าวไว้ พระคัมภีร์ในหนึ่งยอห์นห้าข้อสุดท้ายนับเป็นพื้นฐานการใช้ชีวิตคริสเตียนที่สำคัญมาก เราต้องใช้ชีวิตในความสว่าง สนิทกับพระเจ้า!