ยอห์น 6 อาหารแห่งชีวิต

มีคำอธิบายในช่วงสุดท้าย ส่วนข้อพระคัมภีร์เล็ก ๆ ใต้ภาพ เป็นข้อพระคัมภีร์เชื่อมโยงที่ทำให้เรามองเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้ชัดเจนขึ้น

การเลี้ยงครั้งใหญ่ 5000 คน

มัทธิว 14:13-21,มาระโก 6:32-35, ลูกา 9:10-12, ยอห์น 6:32,21:1, มัทธิว 4:23, 8:16,9:35, 14:36, 15:30, 19:2, 14:14,,เทศกาล เลวีนิติ 23:5,7 , เฉลยธรรมบัญญัติ 16:1

มัทธิว 14:13-21, ยอห์น 1:43

ยอห์น 1:40, 2 พงศ์กษัตริย์ 4:43

มัทธิว 15:36, 1 เธสะโลนิกา 5:18, ลูกา 24:30

ปฐมกาล 49:10, เฉลยธรรมบัญญัติ18:15}18, ยอห์น 1:21, 7:40, กิจการ 3:22, 7:37

ยอห์น 18:36, 7:3-4,

พระเยซูทรงเดินบนน้ำทะเล

มัทธิว 14:23, มาระโก 6:47

มัทธิว 17:6, อิสยาห์ 43:1-2

พระเยซูผู้เป็นอาหารแห่งชีวิต

มาระโก 1:37, ยอห์น 6:15-21, ยอห์น 6:2, ลูกา 8:40,

คำถามแรกเมื่อพบพระเยซู ยอห์น 1:38-39 , โรม 16:18, ฟีลิปปี 2:21

คำถามที่สอง โคโลสี 3:2, อิสยาห์ 55:2, กิจการ 6:30,16:31, มัทธิว 19:16

ยอห์น 12:37, 1 โครินธ์ 1:22, สดุดี 105:40, 78:24-25

กาลาเทีย 4:4, ยอห์น 1:9, 1 ยอห์น 1:1-2, ยอห์น 17:8, 4:15

ยอห์น 7:37-38, 4:13-14, วิวรณ์ 22:17, 1 เปโตร 1:8-9, ลูกา 16:31, ยอห์น 17:24, 10:28-29

ยอห์น 5:30, 4:34, 3:13, ฟีลิปปี 2:7-8, ยอห์น 18:9, 17:12, 10:27-30

โรม 6:23, ยอห์น 5:24,

พระเยซูทรงอธิบายว่าเหตุใดพวกเขาไม่รับพระองค์ ยอห์น 7:12, 6:51-52, ลูกา 4:22

ยอห์น 6:65, 12:32, เอเฟซัส 2:4-10,อิสยาห์ 54:13, เยเรมีย์ 31:33-34

อาหารแท้จากสวรรค์ ยอห์น 1:18, 7:29, 5:24,37, 3:36, 1 ยอห์น 4:12, 1 โครินธ์ 10:16-17, ยูดา 1:5

ยอห์น 6:33,58, 11:25-26, ลูกา 22:19, ฮีบรู 10:5-12, 20

การต้อนรับพระเยซูคืออย่างไร? ความหมายแท้ ยอห์น 10:19,9:16 , 1 ยอห์น 5:12

ยอห์น 15:4-7, 1 ยอห์น 2:6,27,28, 3:6,24,

1 ยอห์น 3:24, 4:15-16, 15:4-5, ยอห์น 6:24, 47-51, 41,31-34, 18:20

คำแห่งชีวิตนิรันดร์ ที่หลายคนปฏิเสธ

ปฏิกริยาต่อคำของพระเยซู 2 เปโตร 3:16, ยอห์น 8:43, 2:24-25, มาระโก 16:19, ยอห์น 3:13

เหตุผลที่คนไม่รับพระองค์ กาลาเทีย 5:25, ฮีบรู 4;12, ยอห์น 10:26, 2 ทิโมธี 2:19,

ยอห์น 6:44-45, 6:37, 3:27

พวกศิษย์รับพระองค์แม้จะไม่เข้าใจทั้งหมด 1 ยอห์น 2:19, ลูกา 9:62, ฮีบรู 10:38

พระเยซูทรงรู้จักศิษย์ทุกคนอย่างดี มัทธิว 16:16, มาระโก 8:29, ลูกา 9:20, ยอห์น 1:49,11:27, 12:4,13:2,26
มัทธิว 26:14-16

ยอห์น 6:1-15 นี่เป็นหมายสำคัญครั้งที่สี่ ซึ่งท่านยอห์นได้บันทึกไว้เพื่อแสดงให้เห็นว่า พระเยซูทรงเป็นพระเมสสิยาห์ และทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า เป็นการอัศจรรย์ที่พระกิตติคุณทั้งสี่ได้บันทึกเอาไว้ ท่านยอห์นมักบอกรายละเอียดที่ท่านอื่นละเอาไว้ ทำให้เราเห็นฤทธิ์อำนาจของพระเยซูชัดเจน และยังเป็นเหตุการณ์สำคัญ ที่มาก่อนคำของพระเยซูที่ตรัสว่า ทรงเป็นอาหารแห่งชีวิตด้วย (ข้อ 22-40) |
ทั้ง ๆ ที่ผู้คนมาเพราะอยากเห็นการอัศจรรย์ แต่พระเยซูก็ไม่ได้รู้สึกทางลบกับพวกเขา ทรงทั้งสั่งสอน และรักษาโรคให้จนเย็น พระองค์ทรงถามฟีลิปว่าจะเลี้ยงพวกเขาอย่างไร การตอบโต้ของฟีลิปทำให้เราเห็นว่า เขายังคิดไม่ออกว่า พระเยซูสามารถทำการอัศจรรย์ที่เกินคาดได้ เขามองเห็นจำนวนคนก็ท้อแล้ว ในบันทึกว่า 5000 คน หมายถึงเฉพาะผู้ชาย แต่ถ้าเรารวมผู้หญิงและเด็กเข้าไปก็น่าจะถึงสองหมื่น หลังจากการเลี้ยงคนจำนวนมหาศาลด้วยขนมปังเล็ก ๆ 5 ชิ้น กับปลา 2 ตัวของเด็กชายคนหนึ่ง ข้อ 14 พวกเขาพูดกันว่า พระองค์คือ ผู้เผยพระคำ เขาพอใจพระองค์ และคิดว่าพระองค์จะทรงเป็นผู้นำที่ช่วยพวกเขาได้อย่างที่ต้องการ ข้อ 15 จึงคุยกันว่า จะบังคับให้พระองค์เป็นกษัตริย์ของพวกเขา แต่นั่นไม่ใช่เป้าหมายของพระเยซู

ยอห์น 6: 16-21 การดำเนินบนน้ำทะเลเป็นหมายสำคัญที่ห้า ที่ท่านยอห์นบันทึก เพื่อให้ผู้อ่านได้ทราบว่าพระองค์ทรงเป็นพระเมสสิยาห์และพระบุตรของพระเจ้า (ยอห์น 20:30-31) การอัศจรรย์ทุกครั้งทำให้เราได้เห็นว่า พระองค์ทรงอยู่เหนือกฎธรรมชาติ
สบาย ๆ ไม่ใช่เรื่องที่ต้องใช้พลังมากเลย หลังจากที่เลี้ยงคนจำนวนมากนั้นแล้ว ศิษย์ของพระองค์ก็มุ่งหน้าไปทางตะวันตกทันที ทะเลกาลิลีนี้แปลก อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลถึง 700 ฟุต ดังนั้น ลมเย็นจากภูเขาทางเหนือ และที่ราบสูงทางตะวันออกเฉียงใต้ก็มักจะพัดเข้ามาทำให้เกิดพายุอย่างทันควันได้เสมอ
ในหนังสือมัทธิว 14:26 ,มาระโก 6:49 บอกว่าเขาคิดว่าพระองค์เป็นผีเสียด้วยซ้ำ เพราะบรรยากาศเอื้อให้คิดอย่างนั้น
พวกเขารู้สึกหวาดกลัวมาก แต่ครั้งนี้เอง ไม่เฉพาะแค่ดำเนินบนน้ำเท่านั้น พระเยซูยังทรงสั่งให้พายุสงบ แถมเรือก็ไปถึงอีกฝั่งทันที พวกเขาจึงเห็นชัดเลยว่า ทรงยิ่งใหญ่เหนือธรรมชาติทุก ๆ ด้าน

ยอห์น 6:22-29
วันต่อมา ผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์การเลี้ยงใหญ่นั้น ก็ตามหาพระเยซู พวกเขารู้ว่าพระองค์ไม่ได้กับศิษย์ด้วย จึงตัดสินใจพากันข้ามจาก ด้านตะวันออกของทะเลมาด้านตะวันตกที่เมืองคาเปอร์นาอูม ในหมู่คนเหล่านั้นมีพวกยิวอยู่ด้วย (มัทธิว 15) แปลกที่ถามว่า พระองค์มาถึงเมื่อไร และแปลกที่พระเยซูไม่ทรงตอบคำถามนั้นกลับตรัสบอกเหตุผลว่าทำไมพวกเขาจึงมาหาพระองค์… เขาทั้งต้องการอาหาร หมายสำคัญ และกษัตริย์ที่จะช่วยพวกเขา
คำถามต่อมาคือ ต้องทำอย่างไรเพื่อจะทำให้พระเจ้าพอพระทัย… แต่นั่นเป็นพื้นฐานที่เข้าใจพระเจ้าผิด พระเยซูทรงตอบทันทีว่า สิ่งที่ต้องทำคือการเชื่อพระองค์เอง เชื่อองค์เยซูที่พระเจ้าทรงส่งมา
นี่เป็นความเข้าใจผิดของคนเป็นจำนวนมาก พวกเขาคิดว่าต้องทำดีจึงจะมาหาพระเจ้าได้ แต่พระเยซูทรงชัดเจน …ต้องเชื่อพระองค์!”

ยอห์น 6:30-37 ประชาชนที่ตามพระองค์มานั้น ยังต้องการเห็นหมายสำคัญ การอัศจรรย์อีก พวกเขาอ้างไปถึงอดีต คราวที่บรรพบุรุษของพวกเขาอยู่ในถิ่นกันดาร โดยการนำของโมเสส เขาได้รับการเลี้ยงดูเป็นเวลานานมากด้วยมานา และนกคุ่ม
พูดเป็นนัย ๆ ว่า พระเยซูจะเลี้ยงแค่มื้อเดียวเองหรือ เขาต้องการอาหารจากพระองค์ทุกมื้อจากนี้ไป
แต่พระเยซูตรัสตอบเขาว่า คนที่เลี้ยงพวกเขาไม่ใช่โมเสส แต่เป็นพระบิดาต่างหาก จากนั้นทรงโยงไปเรื่องที่สำคัญคือ พระองค์นี้แหละ คืออาหารแห่งชีวิต คืออาหารแท้จากสวรรค์ที่พระเจ้าทรงส่งลงมา พระองค์หมายความว่า ทรงเป็นอาหารฝ่ายวิญญาณที่พวกเขาต้องกิน ดื่มเข้าไป(นั่นคือเชื่อวางใจพระองค์) เพื่อจะมีชีวิต เป็นเรื่องของอาหารเลี้ยงวิญญาณ
ข้อสังเกต.. สิ่งที่พวกเขาต้องการ พระองค์ไม่ให้ แต่อาหารที่ทรงเสนอให้ คือพระองค์เอง พวกเขากลับไม่รับ การเชื่อในพระเยซูนั้น ไม่ซับซ้อน เพราะการเชื่อคือการออกมาจากชีวิตเดิม และเข้ามาหาพระองค์ พระเยซูตรัสชัดเจนว่า การเข้ามาหาพระองค์นั้น เป็นราชกิจของพระบิดา และพระบุตรจะไม่มีการปฏิเสธคนที่พระบิดาส่งมาให้พระองค์

ยอห์น 6:38-51 การสนทนากันครั้งนี้ พระเยซูตรัสตรง ๆ หลายครั้งว่า พระบิดา พระบิดา… และทรงย้ำว่า พระองค์ถูกส่งมาจากพระบิดา และใครที่มาหาพระเยซูจะมีชีวิตนิรันดร์ นี่เป็นความประสงค์ของพระบิดา
และแล้ว พวกยิวก็เริ่มเอะใจ ไม่พอใจที่พระองค์ตรัสเช่นนั้น พวกเขาไม่ยอมเชื่อว่าพระองค์ลงมาจากสวรรค์ ยังไงกัน จะยกตัวเองมากเกินไปแล้ว ก็เป็นลูกชายโยเซฟ แล้วมาอ้างอย่างนี้ได้ไง…
ในขณะที่พวกเขาคิดว่าตนเองมีเชื้อสายอิสราเอล เป็นคนพิเศษของพระเจ้า พระเยซูกลับทรงบอกเขาว่า คนที่จะได้รับชีวิตนิรันดร์นั้น เป็นการเลือกจากพระบิดา ไม่ใช่มาจากเชื้อสาย
และในที่สุด พวกเขาก็เริ่มเข้าใจว่า มานาที่พระเจ้าส่งลงมา ก็ยังไม่ใช่อาหารแห่งชีวิต เพราะคนที่กินก็ตายตาม ๆ กัน
แต่อาหารใหม่จากสวรรค์นี้ จะให้ชีวิตตลอดไป …. พระองค์ตรัสอีกประโยคที่ทำให้เราตะลึงก็คือ อาหารที่จะให้ชีวิตจริง ๆ กับโลกคือเลือดเนื้อของพระองค์

ยอห์น 6:52-59 ในหนังสือยอห์น ผู้เขียนจะบันทึกคำตรัสแบบเปรียบเทียบของพระเยซูไว้หลายครั้ง เช่นการเกิดใหม่
น้ำแห่งชีวิต อาหารแห่งชีวิต เราเป็นผู้เลี้ยงที่ดี ทำให้พวกยิวเริ่มไม่พอใจ โต้เถียงกัน กินเนื้อ ดื่มโลหิตนั่นคือ รับเอาพระองค์ทั้งหมด และพระองค์เน้นด้วยทรงเป็นเนื้อแท้ เลือดแท้… ท่านยอห์นเป็นคนที่เน้นเรื่องของ จริง, แท้ บ่อย ๆ ในข้อเขียนของท่าน
คำ “พระบิดาผู้ทรงพระชนม์” บ่งบอกว่า พระองค์ทรงมีชีวิตในพระองค์เอง และทรงมอบชีวิตนั้นให้พระบุตร (ยอห์น 5:21) ทั้งพระบิดาพระบุตรทรงทำให้คนคืนชีพ

ยอห์น 6:60-71 พวกเขาบอกว่ายากที่จะรับได้ นั่นหมายถึงว่า ไม่อยากรับว่า พระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า และในบางครั้ง พระเยซูเองก็ตรัสอะไรยากที่จะเข้าใจด้วย (มัทธิว 23:15, ยอห์น 4:17-18)
ข้อ65 ทำให้เรารู้ว่า มนุษย์ไม่หาพระเจ้าเอง แต่พระเจ้าทรงเป็นผู้เริ่มช่วยให้เขาแสวงหาพระองค์ มนุษย์เป็นผู้ที่จะตอบสนองการเริ่มต้นของพระเจ้า
ในหมู่คนที่ติดตามพระเยซูนั้น มีคนที่เชื่ออย่างจริงใจ กับคนที่ต้องการจะได้ประโยชน์ และเราพบว่า ทุกคนที่พระเยซูทรงเลือกมาตั้งแต่ต้นก็ตัดสินใจที่จะติดตามพระองค์ไป เปโตรเองเป็นคนที่บอกชัดว่า จะไปเอาใครที่ไหนมาเปรียบกับพระองค์ ไม่มีเลย เขามั่นใจเต็มร้อยว่า พระองค์ทรงเป็นองค์บริสุทธิ์ของพระเจ้า
แต่แล้วสิ่งที่น่าเสียดายคือ ยูดาสไม่เลือกที่จะเป็นคนของพระเจ้า เขาปฏิเสธพระเยซูทั้งที่เคยได้ยิน ได้เห็น และอยู่กับพระองค์มานานเท่า ๆ กับอัครทูตคนอื่น

ยอห์น 5 พยานทั้งห้าของพระบุตรพระเจ้า

เดินได้ทันที!

ประเด็นเดิม-สะบาโต

สิทธิอำนาจของพระบุตร

แหล่งพยานทั้งห้าของพระบุตร

อธิบายเพิ่มเติม ยอห์น 5

เดินได้ทันที

 ยอห์น 5:1-15 หมายสำคัญที่สาม   ทรงรักษาคนเป็นอัมพาต 

ต่อมา พระเยซูทรงขึ้นไปเยรูซาเล็มในงานเทศกาลหนึ่งของยิว  ที่ประตูแกะทางเหนือของเยรูซาเล็ม   ที่สระเบเธสดา หรือบางคนเรียก เบธไซดา (บ้านแห่งความเมตตา)   มีคนป่วยนอนรอน้ำกระเพื่อมอยู่มากมาย  (มีการอธิบายว่า เมื่อมีน้ำใต้สระพลุ่งเข้ามาเป็นระลอก  น้ำนั้นจะอุ่นและน่าจะมีแร่ธาตุที่ช่วยให้คนเป็นโรคเกี่ยวกับกล้ามเนื้อและไขข้อต่าง ๆ รู้สึกดีขึ้น) 
ชายคนที่เราพูดถึงเดินไม่ได้ และดูเหมือนว่าโรคนี้เป็นผลจากบาปของเขาเอง (ข้อ 14 ) จากคนที่ป่วยมากมายรายล้อมอยู่ พระเยซูทรงยื่นความช่วยเหลือไปให้เขาคนเดียวเท่านั้น  ทรงถามง่าย ๆ ว่าอยากหายป่วยไหม แปลก ทำไมทรงรักษาแค่คนเดียวในวันนั้น?
เขาบอกว่า ไม่มีใครช่วยพาเขาลงน้ำ  นี่บอกว่าเขาอยากหาย  พระเยซูทรงสั่งให้เขาหยิบเสื่อนอนแล้วเดิน  เขาก็ลุกขึ้น หายโรคทันที และนี่เองทำให้เกิดความชุลมุนวุ่นวาย   จากคนเดินไม่ได้กลายเป็นคนเดินคล่องพร้อมหอบหิ้วที่นอนไปด้วย  คนที่อยู่ตรงนั้นเห็นว่าเขาหายป่วยจริง ปกติแล้วถ้าง่อยมานาน กว่าจะลุกกว่าเดินมันต้องใช้เวลาขยับเนื้อขยับตัว  แต่ชายคนนี้กลับทำได้ทันควัน  
พระเมสสิยาห์มาแล้วจริงใช่ไหม?  พระเยซูทรงใช้การรักษาโรควันสะบาโตมาบอกให้ยิวรู้ว่า พระองค์คือใคร ทำไมทรงมีสิทธิที่จะรักษาโรคในวันสะบาโต  ทุกครั้งทำให้พวกยิวโกรธ
มัทธิว 12:1-14  ศิษย์เด็ดรวงข้าววันสะบาโตก็ผิดในสายตายิวแล้ว
ยอห์น 9:14 รักษาชายตาบอดในวันสะบาโต
เยเรมีย์ 17:21-22 พระเจ้าทรงสั่งให้คนไม่ทำงานในวันสะบาโต

ยอห์น 5:14-16 พระเยซูทรงเตือนชายคนนั้นว่าถ้าไม่ระวังจะเจอหนักกว่านี้

  พระเยซูทรงหลบไปสักพักแล้วมาเจอชายที่หายโรคอีกที เขาจึงรู้ว่า ท่านที่ช่วยให้เขาเดินได้คือพระเยซู จึงรีบกลับไปบอกยิว ชายคนนี้โยนความผิดเรื่องที่เขาแบกที่นอนไปให้พระเยซู   ดูไปแล้วชายคนนี้อาจไม่ได้กลับใจเสียด้วยซ้ำ การเตือนของพระเยซู นิสัยใจคอของเขา ทำให้เรารู้สึกว่าเขาเป็นคนไร้กตัญญู 
ยอห์น 8:11 พระเยซูไม่เอาโทษหญิงที่ถูกจับมา
ยอห์น 8:37 เจ้าหาโอกาสฆ่าเรา เพราะไม่เชื่อคำสอนของเรา
ยอห์น 10:39 พวกเขาพยายามจับพระเยซูอีกครั้ง แต่ทรงรอดไปได้

ยอห์น 5:17-18  พระเยซูทรงให้เหตุผลที่ทรงทำในสะบาโต

พระบิดาของเราทรงทำงานอยู่ และเราก็ทำด้วยเหมือนกัน   หลักการตรงนี้ของพระองค์ชัดเจนมาก   พระเจ้าทรงให้ทุกอย่างในธรรมชาติดำเนินต่อไปไม่ว่าจะเป็นวันไหน  ดังนั้นพระเยซูผู้ทรงเป็นพระบุตรพระเจ้า จึงทรงทำเช่นเดียวกัน
ในขณะที่พวกยิว ธรรมาจารย์สนใจว่า ทุกคนจะต้องรักษากฎ แต่พระเยซูกลับทรงก้าวข้ามกฎเหล่านั้นให้เห็น   ท้าทายพวกเขามาก  ที่พระเยซูทรงยืนยันว่า พระเจ้าของอิสราเอลเป็นพระบิดาของพระองค์ ก็เป็นอีกประเด็นที่ทำให้พวกเขาเกลียดชังพระองค์ 
ยอห์น 9:4  เราต้องทำงานของพระบิดาเมื่อยังเป็นกลางวัน
ยอห์น 17:4 ข้าพระองค์ถวายเกียรติแด่พระองค์ในโลก เพราะทำงานของพระองค์สำเร็จแล้ว

สิทธิอำนาจของพระบุตร

ยอห์น 5: 19-20  พระเยซูทรงอธิบายความสัมพันธ์ของพระองค์กับพระบิดา

พระเยซูทรงบอกพวกเขาว่า พระบุตรไม่ทำอะไรด้วยตัวเอง แต่เห็นพระบิดาทรงทำอะไรก็ทรงเช่นนั้นเหมือนกัน
คำของพระองค์ = พระบุตรทำอะไรตามลำพังไม่ได้เลย เพราะทั้งสองเป็นหนึ่งเดียวกันแนบสนิท
คำพูดนี้ ยืนยันว่าทรงเป็นพระเจ้าและเป็นหนึ่งเดียวกับพระบิดา
พวกเขาจะได้ประหลาดใจเพราะต่อมาพระบิดาทรงให้พระเยซูคืนชีพและให้พระองค์เป็นผู้พิพากษามนุษยชาติด้วย(ข้อ 22)
ยอห์น 6:38 เราลงมาจากสวรรค์เพื่อทำตามพระประสงค์ของพระบิดาผู้ทรงใช้เรามา
ยอห์น 14:10 เราอยู่ในพระบิดา พระบิดาอยู่ในเรา คำที่เรากล่าวเกิดจากพระบิดาผู้สถิตในเราทรงทำกิจของพระองค์

ยอห์น 5: 21-23 งานของพระบิดาและพระบุตร

พระเยซูทรงยืนยันชัดเจนว่า ทรงมีสิทธิที่จะทำให้คนคืนชีพได้ซึ่งเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์มาก ทรงบอกด้วยว่า ทรงมีทั้งอำนาจสูงสุดและอิสระที่จะทำ ไม่เหมือนเหล่าผู้เผยพระคำที่มีอำนาจจำกัด อีกแล้วที่น่าโมโหสำหรับคนยิว พวกเขาเชื่อว่า พระเจ้าเท่านั้นที่จะพิพากษามนุษย์ คำของพระเยซู เร้าอารมณ์โกรธพลุ่งพล่าน

ยอห์น 11:25 เราเป็นการคืนชีพและเป็นชีวิต คนที่วางใจในเราแม้ว่าตายไปแล้วแต่เขาจะมีชีวิต
กิจการ 17:31 พระเจ้าจะทรงพิพากษาตามความชอบธรรม โดยบุคคลที่พระองค์ทรงกำหนดไว้
1 ยอห์น 2:23  คนที่ปฏิเสธพระบุตรไม่มีพระบิดา คนที่รับพระบุตรก็มีพระบิดาด้วย   

ยอห์น 5:24-27  จากความตายสู่ชีวิตในพระบุตรของพระเจ้า

พระเยซูตรัสว่า คนที่ฟังคำเราและเชื่อพระบิดาจะมีชีวิตนิรันดร์ ไม่ต้องถูกพิพากษา แต่ผ่านจากความตายสู่ชีวิต คนตายจะได้ยินเสียงพระบุตรของพระเจ้า เมื่อได้ยินจะมีชีวิต ทรงให้พระบุตรมีอำนาจพิพากษาด้วยเพราะทรงเป็นบุตรมนุษย์  คำตรัสของพระองค์ บอกให้ผู้นำศาสนารู้ว่า พระองค์ทรงเป็นมากกว่ามนุษย์แน่นอน

ยอห์น 3:16 ทุกคนที่วางใจพระบุตร จะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์ 
โคโลสี 2:13  ท่านตายแล้ว.. แต่ พระเจ้าทรงให้ท่านมีชีวิตร่วมกับพระคริสต์  ทรงอภัยการละเมิดทั้งสิ้น สดุดี  36:9 น้ำพุแห่งชีวิตอยู่กับพระองค์ เราเห็นความสว่างได้โดยสว่างของพระองค์
กิจการ 10:42 พระเจ้าทรงตั้งพระเยซูให้เป็นผู้พิพาษาทั้งคนเป็นและคนตาย

ยอห์น 5:28-30 ความจริงเรื่องการพิพากษาโดยพระบุตร

ในข้อ25 พระเยซูตรัสว่า คนที่มีชีวิตนิรันดร์จะได้ยินเสียงของพระองค์และมีชีวิต  ตอนนี้ทรงกล่าวว่า คนที่อยู่ในหลุมศพจะได้ยินเสียงของพระองค์ ยังไงกัน??? ตอนนี้ทรงพูดถึงการคืนชีพของมนุษยชาติ  คนทำดี กับคนทำชั่วจะถูกตัดสินต่างกัน  พวกเขาจะอยู่นิรันดร์ นอกเหนือไปจากชีวิตสั้น ๆ ในโลกนี้ พระองค์จะทรงเป็นผู้ทำให้พวกเขาคืนชีพขึ้นมา
การพูดเช่นนี้ทำให้ผู้นำศาสนาอึ้งเลยทีเดียว … ทรงบอกเขาว่า พระองค์ทรงตัดสินอย่างยุติธรรม ทรงมีสิทธิ มีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้พิพากษา   และทรงยืนยันคำเดิมว่า พระองค์ไม่ทำอะไรตามใจพระองค์เอง แต่ทำตามพระทัยพระบิดา

1 เธสะโลนิกา 4:15-17 พระเยซูจะทรงกลับมา คนที่ตายไปในพระองค์จะเป็นขึ้นมาก่อน 
อิสยาห์ 26:19 คนตายของพระองค์จะมีชีวิตขึ้นอีก
ดาเนียล 12:2  คนที่หลับในผลคลีแห่งแผ่นดินจะตื่นขึ้น

แหล่งพยานทั้งห้าของพระเยซู

ยอห์น 5:31-32 ห้าแหล่งคำพยาน   ว่าพระเยซูคือใคร

พระเยซูตรัสว่า ถัาเราเป็นพยานเพื่อตัวเอง คำพยานก็ไม่น่าเชื่อถือ พระเยซูทรงบอกเองว่า ต้องเป็นผู้อื่นที่เป็นพยาน ไม่ใช่พระองค์ (เฉลยธรรมบัญญัติ 19:15  กันดารวิถี 35:30)  แลัวพระองค์ก็ทรงบอกถึงห้าแหล่งพยาน ที่ยืนยันพระองค์คือพระบุตร ทรงเท่าเทียมกับพระบิดา
ยอห์น 8:14 คำพยานของเราจริง เพราะเรารู้ว่าเรามาจากไหน และจะไปไหน
มัทธิว 3:17 มีเสียงจากสวรรค์กล่าวว่า ท่านนี้เป็นบุตรที่รักของเรา เราพอใจท่านมาก

ยอห์น 5: 33-35  คำพยานของยอห์น

พวกผู้นำศาสนาได้ยินยอห์นพูดถึงพระเยซูแล้ว แล้ว เขาควรเชื่อยอห์นซึ่งเป็นเหมือนตะเกียงที่ส่องสว่างให้เห็นความจริง  พวกเขาได้ยินยอห์นพูดเรื่องพระเมสสิยาห์ แต่พอมาเจอพระเยซูกลับไม่รับ 
แต่มีผู้หนึ่งเป็นพยานถึงเรา  พยานนั้นเป็นจริง คำนี้กรีกหมายถึง อีกคนที่เป็นแบบเดียวกัน อัลโลส  ยอห์น 8:14 ตรัสว่าคำพยานของพระองค์เป็นจริง
ยอห์น 1:15,19,27,32  ยอห์นเป็นพยานให้พระองค์
2 เปโตร 1:19 ให้เราสนใจคำเผยพระวจนะ 
มาระโก 6:20  แม้เฮโรดยังเกรงกลัวและฟังยอห์น 

ยอห์น 5:36 คำพยานจากงานของพระเยซู

พระเยซูมีพยานใหญ่กว่าของยอห์น นั่นคือ งานที่พระเจ้าทรงให้พระองค์ทำจนสำเร็จ งานนั้นพิสูจน์ว่าทรงมาจากพระบิดาแน่ ๆ  จากการที่ทรงรักษาชายที่ป่วยมา 38 ปีหยก ๆ นี่เป็นหนึ่งในงานของพระองค์ การที่พระเยซูใส่พระทัยคนยากจน คนป่วย ไม่ได้เป็นพระเมสสิยาห์แบบที่พวกเขาต้องการ   พวกเขาอยากเห็นเมสสิยาห์องค์จอมทัพ เป็นนักรบ นักการเมืองที่กล้าหาญ   สิ่งที่พระองค์ทำไม่ถูกใจพวกเขาเลยสักนิด พวกเขาไม่อาจรับพระองค์ในฐานะพระบุตรพระเจ้าได้  (ยอห์น 1:29-34)

ยอห์น 5: 36 คำพยานจากงานของพระเยซู

พระเยซูมีพยานใหญ่กว่าของยอห์น นั่นคือ งานที่พระเจ้าทรงให้พระองค์ทำจนสำเร็จ งานนั้นพิสูจน์ว่าทรงมาจากพระบิดาแน่ ๆ  จากการที่ทรงรักษาชายที่ป่วยมา 38 ปีหยก ๆ นี่เป็นหนึ่งในงานของพระองค์ การที่พระเยซูใส่พระทัยคนยากจน คนป่วย ไม่ได้เป็นพระเมสสิยาห์แบบที่ พวกเขาต้องการ   พวกเขาอยากเห็นเมสสิยาห์องค์จอมทัพ เป็นนักรบ นักการเมืองที่กล้าหาญ   สิ่งที่พระองค์ทำไม่ถูกใจพวกเขาเลยสักนิด พวกเขาไม่อาจรับพระองค์ในฐานะพระบุตรพระเจ้าได้  (ยอห์น 1:29-34)
1 ยอห์น 5:9  พยานของพระเจ้ายิ่งใหญ่กว่ามนุษย์
ยอห์น 3:2  ไม่มีใครทำหมายสำคัญที่ท่านทำได้ นอกจากพระเจ้าสถิตกับเขา
ยอห์น 10:25 สิ่งที่เราทำในนามพระบิดาก็เป็นพยานให้เรา
ยอห์น  17:4 ข้าพระองค์ถวายเกียรติแด่พระองค์ในโลก เพราะทำราชกิจที่ทรงให้ทำสำเร็จ
ยอห์น   9:16  ยิวไม่เชื่อว่าชายตาบอดมองเห็น แต่เมื่อได้คุยกับพ่อแม่เขาจึงยอมรับ
ยอห์น  10:38 ถ้าเจ้าไม่วางใจในเรา ก็วางใจเพราะพระราชกิจที่เราทำเถิด

ยอห์น 5: 37-38  คำพยานจากพระบิดา

พระบิดาทรงยืนยันว่า พระเยซูคือใครตอนที่พระองค์ทรงรับบัพติศมา  เสียงจากสวรรค์และพระวิญญาณที่ลงมาเหนือพระเยซูดุจนกพิราบ เรื่องนี้ ต้องเป็นที่รู้กันในหมู่คนยิว ต้องมีการคุยกันเยอะเพราะมีคนเห็นและเอาไปพูดต่ออย่างแน่นอน 
ลูกา 3:22    เหตุการณ์สุรเสียงจากสวรรค์
มัทธิว 3:17  มีเสียงจากสวรรค์กล่าวว่า ท่านนี้เป็นบุตรที่รักของเรา เราพอใจท่านมาก

ยอห์น 5:39  คำพยานจากพระคำ

ค้นพระคำเพื่อหาชีวิตนิรันดร์  ทั้ง ๆ ที่พระคำเหล่านั้นยืนยันถึงพระเยซูอยู่แล้ว พวกเขาเรียน พระคัมภีร์เดิม อ่าน ท่อง จำ ศึกษา เอาใจใส่ คิดอยู่ว่าการสำแดงของพระเจ้าจะทำให้พวกเขาได้พบชีวิตนิรันดร์  หากเขาค้นจริง หาจริง เขาต้องพบความจริงสิ   แต่ทำไมจึงไม่เจอ …???
พวกเขาไม่ได้มีพระคำของพระเจ้าในวิญญาณจิตจริง ๆ  มีอยู่ในสมอง แต่ไม่ได้เกิดผลเป็นชีวิตฝ่ายวิญญาณเลย 
อิสยาห์ 8:20 ไปดูธรรมบัญญัติและคำพยาน
อิสยาห์ 34:16 จงค้นและอ่านจากหนังสือของยาห์เวห์
ลูกา 24:27  พระเยซูทรงอธิบายพระคัมภีร์ให้ศิษย์ทั้งสองฟัง

ยอห์น 5:40-44 เหตุผลที่พวกเขาไม่เชื่อ

คือ เขาไม่เต็มใจทั้ง ๆ ที่มีพยานเหลือเฟือ  พวกเขาไม่ได้รักพระเจ้าจริง พระเยซูยังทรงพยากรณ์ล่วงหน้าด้วยว่า พวกเขาจะชอบและเข้าหาคนที่เป็นผู้ต่อต้านพระองค์ ซึ่งจะมาแน่ในอนาคต การที่เขาไม่ยอมรับพระเยซูเป็นเหมือนประตูเปิดรับสิ่งที่หลอกลวง   (2 เธสะโลนิกา 2: 4, 8-12)  ต่อมาในประวัติศาสตร์ของยิวเราพบว่า มีคนที่อ้างตัวเป็นพระคริสต์หลอกให้คนติดตามมาโดยตลอด 
ยอห์น 1:11 พระองค์มายังบ้านเมืองของพระองค์ แต่คนของพระองค์ไม่รับพระองค์ 
ยอห์น 3:19 หลักการพิพากษา ความสว่างเข้ามาในโลก แต่มนุษย์รักความมืดมากกว่า
ยอห์น  12:43 พวกเขารักการชมเชยจากมนุษย์มากกว่าจากพระเจ้า

ข้อ 45-47 คำพยานจากโมเสส

พระเยซูทรงบอกพวกเขาว่าพวกเขาวางใจโมเสส แต่เขากลับไม่เชื่อสิ่งที่โมเสสเขียนไว้เกี่ยวกับพระองค์  โมเสสได้ชี้ว่า จะมีผู้เผยพระคำแบบท่านเองเกิดขึ้นในอนาคต และขอให้ทุกคนได้เชื่อฟังท่าน (เฉลยธรรมบัญญัติ 18:15-19)  แต่กลับไม่มีใครฟังโมเสส   ถ้าเขาเชื่อโมเสสจริง ๆ เขาจะเชื่อพระเยซูด้วย ความจริงคือพวกเขาไม่ยอมรับคำของโมเสส 
ลูกา 16:29,31 เขามีโมเสสและผู้เผยพระคำแล้ว ให้เขาเชื่อคนเหล่านั้นเถิด


ยอห์น 4 พบที่บ่อน้ำ

หญิงสะมาเรียกับน้ำชีวิต

เชื่อคำมั่นสัญญา

อธิบายเพิ่มเติม ยอห์น 4

พบที่บ่อน้ำ

ยอห์น 4:1-6  
การที่ฟาริสีรู้ว่า มีคนติดตามพระเยซูมากขึ้น ทำให้พระเยซูเองทรงหลีกเลี่ยงโดยเดินทางขึ้นไปกาลิลี ยังไม่ถึงเวลาที่จะเผชิญหน้ากับเหล่าผู้นำทางศาสนาพวกนี้
สมัยนั้น แคว้นสำคัญกาลิลี อยู่ภาคเหนือ  สะมาเรียอยู่ภาคกลาง และยูเดีย อยู่ทางใต้
พระองค์ทรงผ่านเมืองสิคาร์แคว้นสะมาเรีย ซึ่งเป็นเมืองที่ใกล้ที่ดินซึ่งยาโคบได้ให้โยเซฟลูกชาย ทรงพักเหนื่อยโดยนั่งลงข้างบ่อยาโคบ ประมาณเที่ยงวัน  ส่วนศิษย์ของพระองค์ออกไปซื้ออาหารในเมือง นานมาแล้ว โยเซฟเป็นคนที่ถูกพี่ชายขายไปอียิปต์  เขาพบกับความลำบากมากมายจนกระทั่งได้กลายเป็นอุปราชของอียิปต์  ได้สร้างระบบการจัดเก็บอาหารที่ทำให้คนในโลกโบราณนั้นต้องหันไปพึ่งพาอียิปต์ในช่วงเวลากันดารอาหาร (อ่านเรื่องโยเซฟได้ในปฐมกาล ตั้งแต่บทที่ 37-50)  ​​   คนสะมาเรียเป็นลูกหลานของโยเซฟ
หลังจากที่พระเยซูได้พบกับนิโคเดมัส อาจารย์ผู้ทรงเกียรติ เป็นฟาริสี เป็นผู้นำทางศาสนา  ต่อมาพระองค์มาพบอีกคนหนึ่งที่ตรงกันข้ามสิ้นเชิง  เธอเป็นผู้หญิงซึ่งยอห์นผู้เขียนไม่ได้เอ่ยนาม  เป็นชาวสะมาเรียที่ถูกรังเกียจ เรียกได้ว่าทุกด้านของชีวิตเธอไม่มีอะไรดูดีเลย   ไม่มียิวคนไหนคิดจะเป็นเพื่อนกับคนสะมาเรีย
คนสะมาเรียไม่ถูกกันกับคนกาลิลีทางเหนือและยูเดียทางใต้  ผู้คนเป็นลูกผสมจากคนต่างชาติที่อัสซีเรียส่งมาในอดีตเพื่อให้มีการแต่งงานข้ามเผ่าพันธ์ุ  คนต่างชาติเหล่านี้ก็ยังกราบไหว้รูปเคารพของพวกเขา  คนยิวส่วนใหญ่จึงมองพวกเขาเป็นคนสองเชื้อชาติ คนสะมาเรียจะนมัสการที่ภูเขาเกริซิม  และนับถือเฉพาะหนังสือของโมเสสห้าเล่ม  จะเห็นได้ว่าพวกเขานับถือพระเจ้าองค์เดียวกับคนยิว แต่มีความคิดเห็นแตกต่างกันหลายเรื่อง

ยอห์น 4:7-15  คุยกันขอน้ำเบื้องต้น …
ผู้ที่เริ่มการสนทนาคือ พระเยซู   พระองค์ขอน้ำดื่มจากหญิงชาวสะมาเรียที่ออกมาตักน้ำในเวลานั้นพอดี  แทนที่เธอจะให้น้ำดื่ม เธอถามกลับในทำนองที่ว่า  ชายยิวอย่างท่านมาพูดขอน้ำแบบนี้ได้ด้วยหรือ?
พระเยซูไม่คุยเรื่อยเปื่อย  ทรงพูดอย่างที่ทรงตั้งพระทัย  ทรงแนะนำว่าพระองค์เป็นผู้ประทานน้ำชีวิต  น้ำชีวิตที่หมายถึง น้ำฝ่ายวิญญาณที่ให้ชีวิต  แต่หญิงผู้นี้เข้าใจว่าเป็นน้ำที่เราดื่มกิน  พระเยซูทรงแนะให้เธอได้รู้ว่า พระองค์เท่านั้นคือ ผู้ที่จะให้น้ำชีวิตกับเธอได้  น้ำนั้นจะกลายเป็นน้ำพุพลุ่งภายในถึงชีวิตนิรันดร์  และพระองค์ทรงยินดีให้ถ้าเธอขอ จากการสนทนา เห็นชัดว่าเธอต้องการน้ำชีวิตดังกล่าว

ยอห์น 4:16-19
แต่พระเยซูทรงตัดการสนทนาด้วยการบอกให้เธอไปตามสามีมา   เธอบอกว่าไม่มี ตรงนี้เอง.. ที่พระองค์ทรงมีโอกาสบอกให้เธอรู้ว่า พระองค์ทรงรู้ชีวิตของเธอ มีสามีมาแล้ว 5  คน  คนที่อยู่ด้วยก็ไม่ใช่สามี  เธอต้องตกใจมาก ๆ ที่พระองค์ทรงรู้เช่นนั้น !  แน่นอนพระองค์ต้องรู้ความเป็นไปทุกอย่างในชีวิตที่ผ่านมา  ทำให้เวลานี้เธอเริ่มมั่นใจแล้วว่า บุรุษที่กำลังคุยกับเธอไม่ใช่คนธรรมดา เขาต้องมาจากพระเจ้า เธอบอกพระองค์ว่า “ดิฉันแน่ใจว่าพระองค์ทรงเป็นผู้เผยพระคำ”

ยอห์น 4: 20-21
เริ่มลึกขึ้นแล้ว ในเมื่อมาถึงจุดนี้ ทำไมไม่พูดประเด็นร้อนที่เป็นข้อถกเถียงของคนสะมาเรียกับคนยิวล่ะ 
เธอเปลี่ยนไปสนทนาเรื่องการนมัสการ  “บรรพบุรุษสะมาเรีย นมัสการที่ภูเขาเกริซิม  คนยิวให้นมัสการที่เยรูซาเล็ม”  เรื่องที่อยากรู้คือ จะให้นมัสการที่ไหนกันแน่ อะไรถูก อะไรผิด
แต่คำตอบของพระเยซูเกินคาดหมาย!

ยอห์น 4: 21-22
พระเยซูตรัสว่า “หญิงเอ๋ย เชื่อเราเถอะ” ( ทรงบอกเธอว่า สิ่งที่ตรัสเป็นความจริง) ทรงบอกว่าสถานที่ ไม่ใช่เรื่องสำคัญ  แต่ที่สำคัญคือนมัสการอย่างไร  “ใกล้เวลาที่ไม่ต้องนมัสการในทั้งสองที่นั้น .. ความรอดมาจากยิว”  นั่นคือความรอดมาจากเผ่ายูดาห์ (ปฐมกาล 49:10) พระเยซูทรงเป็นผู้สืบเชื้อสายมาจากเผ่ายูดาห์ด้วย   คนสะมาเรียเป็นลูกหลานของโยเซฟ

ยอห์น 4:23-26
“เวลามาถึง เมื่อพระบิดาทรงหาคนที่นมัสการพระองค์ด้วยจิตวิญญาณและความจริง”   ถึงเวลาแล้วจริง ๆ เพราะพระเยซูมาในโลก  ทำให้การนมัสการแบบเดิมสิ้นสุดลง  เวลาที่พระองค์จะถูกตรึงก็ใกล้เข้ามา  การที่พระเยซูตรัสเช่นนี้ อาจพูดได้ว่า พระบิดาทรงหาคนที่นมัสการด้วยวิญญาณจริง ๆ   (ตรงข้ามกับการนมัสการด้วยพิธี รูปแบบ ระเบียบวาระ ไร้จิตวิญญาณ พูดแต่ปากใจไม่จริง  มีแต่ท่าทางภายนอกในใจคิดเรื่องอื่น สนใจอย่างอื่น หน้าไหว้หลังหลอกในการนมัสการ)  การนมัสการที่แท้จริง มาจากคนที่เชื่อวางใจพระเยซู  ผ่านพระเยซู(ผู้ทรงเป็นความจริง) ไปสู่พระบิดาเจ้า(ผู้ทรงเป็นพระวิญญาณ)
ในขณะที่คนยิวคิดว่า พระเมสสิยาห์ทรงเป็นนักรบที่จะมาช่วยให้พวกเขาพ้นจากโรม คนสะมาเรียเชื่อเรื่องพระเมสสิยาห์เช่นกัน แต่พวกเขาเชื่อว่าทรงเป็นครู ทรงคล้ายโมเสส (เฉลยธรรมบัญญัติ 18:15-19) คู่สนทนาของพระเยซูเป็นหญิงสามัญ เป็นชาวเมืองที่อาจไม่เข้าใจทั้งหมดที่พระเยซูตรัส  เธอกล่าวถึงพระเมสสิยาห์ขึ้นมา  และเวลานั้นเอง พระองค์ก็ทรงเปิดเผยแก่เธอว่า พระองค์คือพระเมสสิยาห์ … นี่เป็นเกียรติสูงส่งที่เธอคนนี้ได้รับ  จากคำพูดนี้ทำให้เรารู้ว่า พระองค์ทรงเชิญให้เธอมาเชื่อในพระองค์เพื่อจะได้รับความรอด

ยอห์น 4: 27-30
ศิษย์ของพระเยซูกลับมาและเห็นพระองค์สนทนากับเธอ พวกเขาได้แต่คิดว่ามันเรื่องอะไรกัน แต่ก็ไม่พูดอะไรออกมา พวกเขาคงคิดแบบชายยิวทั่วไปว่า ไปพูดกับผู้หญิงเชื้อชาติผสมที่น่ารังเกียจได้อย่างไร  ขณะเดียวกัน เธอก็ทิ้งหม้อน้ำไว้ เพราะตื่นเต้นมาก  เธอรีบกลับไปในเมืองบอกใคร ๆ ว่าได้พบบุรุษท่านหนึ่งที่รู้ทุกอย่างในชีวิตของเธอ จากการสนทนา คำของเขา   เขาคนนี้น่าจะเป็นพระเมสสิยาห์ที่พวกเรารอกันมา นาน   เธอเชิญให้พวกเขาไปตัดสินเองว่า ใช่หรือไม่  พวกเขาก็ตื่นเต้นเช่นกันพากันออกไปดูให้เห็นกับตา

ยอห์น 4: 31-38 
ขณะที่ชาวเมืองกำลังเดินทางมา ศิษย์ก็คะยั้นคะยอให้พระอาจารย์กินอาหาร  แต่พระองค์กลับมีเรี่ยวแรงมากกว่าพวกเขาเสียอีก “อาหารของเราคือทำตามพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา และทำให้งานสำเร็จ”  อาหารของพระเยซูยอดกว่าอาหารตามธรรมชาติ เป็นการได้รับพลังจากการทำงานของพระบิดา พระเยซูกำลังชื่นชมยินดีกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า …
แล้วพระองค์ก็หันความสนใจของศิษย์ไปที่ทุ่งนา  ทรงเปรียบเทียบทุ่งนาที่กำลังพร้อมเก็บเกี่ยวกับดวงวิญญาณที่พร้อมจะรับการเก็บเกี่ยว   ขณะที่มองทุ่งนา พวกเขาก็เห็นคนชาวเมืองกำลังมุ่งหน้ามาทางบ่อน้ำยาโคบนี้ด้วย  … ข้าวกับคนที่พร้อมรับการเก็บเกี่ยวอยู่ต่อหน้าต่อตา คนเกี่ยวในบริบทนี้คือ พระเยซูกับศิษย์ของพระองค์  แต่คนหว่านนั้นคือผู้เผยพระคำของพระเจ้าที่พระเจ้าทรงส่งมาก่อนพระองค์ รวมไปถึงโมเสสผู้เขียนพระคัมภีร์ที่คนสะมาเรียเหล่านี้เชื่อถือ  พระเยซูตรัสให้สาวกเข้าใจว่า ผู้ออกแรงทำงานมีทั้งคนหว่านและคนเกี่ยว ทั้งสองทำงานร่วมกัน อาจไม่ได้อยู่ในยุคเดียวกัน หรือที่ ๆ เดียวกัน  การเกี่ยวนั้นได้รับผลดีของการหว่าน ผู้ทำงานทั้งสองแบบก็จะทั้งได้รางวัล ได้ชื่นชมไปด้วยกัน

ยอห์น 4: 39-42
แล้วชาวเมืองก็ได้ยินพระเยซู  ตอนแรกสนใจจะเชื่อเพราะคำของหญิงนั้น แต่บัดนี้พวกเขาเชื่อเพราะได้ยินคำจากพระเยซูโดยตรง  พวกเขาสรุปว่า พระเยซูคือ พระผู้ช่วยให้รอดของโลก  พวกเขายังขอให้พระองค์พักอยู่อีกสองวัน เป็นวันที่มหัศจรรย์ที่สุดในประวัติศาสตร์สะมาเรีย! ยิ่งกว่านั้น จากการหว่านของพระเยซูในครั้งนี้ ต่อมาฟีลิปก็ได้เข้าไปในแคว้นสะมาเรีย และประกาศ ได้เก็บเกี่ยวอย่างเกิดผลอีกด้วย (กิจการ 8:4-8)

เชื่อคำมั่นสัญญา

ยอห์น 4: 43-45  พระเยซูเคยตรัสว่า ผู้เผยพระคำไม่ได้รับเกียรติในบ้านเกิดของตน  มีหลายความคิดในเรื่องนี้ บางคนว่ายอห์นกำลังบอกว่า คนในยูเดียซึ่งเป็นคนในเขตบ้านเกิดของพระองค์ (เบธเลเฮม)   ไม่ต้อนรับพระองค์เหมือนกับคนเมืองอื่น ๆ   คน ในกาลิลีก็ต้อนรับพระองค์ดีกว่า บางคนว่า ยอห์นกำลังบอกว่า คนในกาลิลีต้อนรับพระองค์ก็จริง แต่เป็นเพราะพระองค์ทำการอัศจรรย์ ไม่ได้เป็นเพราะพระองค์คือผู้ที่มาจากพระเจ้า ที่แน่ ๆ คือ คนสะมาเรียรับพระเยซูในฐานะที่พระองค์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของโลก   ในเรื่องนี้ เราน่าดีใจกับคนสะมาเรียจริง ๆ

ยอห์น 4:46-54
ข้าราชการที่ยอห์นกล่าวถึงมีลูกชายป่วยหนัก  แต่ได้ข่าวว่าพระเยซูมาเมืองใกล้ ๆ ประมาณ 21 กิโลเมตร เขาเดินทางมาขอให้พระเยซูเดินทางไปรักษาลูกชาย  เขารู้ว่าพระเยซูรักษาโรคได้ เพราะน่าจะเคยได้ยินข่าวเหล่านี้มาก่อน  คำตรัสของพระเยซูดูเหมือนห้วน สั้น ไม่ได้ยินดีจะรักษาเลย “หากท่านไม่เห็นหมายสำคัญและการอัศจรรย์ท่านจะไม่เชื่อ”   แต่จริงแล้ว พระเยซูทรงต้องการให้เขาไม่ใช่แค่เชื่อการรักษาโรค แต่เชื่อพระองค์ในฐานะที่ทรงเป็นพระเจ้า 
ข้าราชการยังขอร้องพระองค์อีกครั้ง แต่พระเยซูไม่ทำตามคำขอ  กลับทรงให้สัญญาว่า ลูกชายจะมีชีวิต เขาฉวยพระสัญญานั้นทันที กลับบ้านไม่รั้งรอ   เห็นเลยว่าเขาเชื่อคำสัญญานั้น เชื่อว่าพระองค์จะทรงรักษาลูกชายแม้อยู่ไกล  “เขาเชื่อคำของพระองค์”  นี่เป็นความเชื่อแม้ไม่มีสิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้นให้เห็นกับตา
ตอนที่พระเยซูทรงสัญญากับเขานั้นเป็นเวลาประมาณบ่ายโมง  ระหว่างทางกลับบ้าน เขาได้พบคนรับใช้ที่นำข่าวดีมาบอกว่า ลูกชายหายตอนบ่ายโมงพอดี!  เขาและครอบครังจึงเชื่อพระองค์
ยอห์น ผู้เขียนได้บันทึกว่า หมายสำคัญแรกคือการเปลี่ยนน้ำเป็นเหล้าองุ่นเป็นการเปลี่ยนสภาพสสารจากน้ำเป็นเหล้า   หมายสำคัญที่สองคือการรักษาเด็กชายระยะไกล  ยอห์นทำให้เราเห็นภาพว่า ในยูเดียทางใต้กับในกาลิลีทางเหนือนั้น การตอบรับพระเยซูต่างกันมากทีเดียว

 

ยอห์น 3 เพราะพระเจ้าทรงรักโลก

นิโคเดมัสกับการเกิดใหม่

พระเยซูทรงอธิบายถึงแผนการแห่งความรอดของพระเจ้า

ยอห์นผู้ให้บัพติศมายกย่องพระเยซู

อธิบายเพิ่มเติม

ยอห์นบทที่ 3

1-10 การสนทนาของพระเยซูกับนิโคเดมัส
11-21  พระเยซูอธิบายถึงแผนการแห่งความรอดของพระเจ้า               
22-36  คำพยานของยอห์นเรื่องพระคริสต์
ยอห์น 3:1-3
จาก ยอห์น 2:23 -24 เราจะเห็นว่า มีคนมากมายได้เห็นการอัศจรรย์ของพระเยซูแล้วพวกเขาก็เชื่อ แต่พระเยซูไม่ได้วางพระทัยในคนเหล่านั้นเลย  นิโคเดมัสเป็นคนหนึ่งในนั้น  แต่เขาไม่อยู่นิ่งเฉย เขาต้องการรู้ ต้องการเข้าใจมากขึ้น   เพราะเขาเป็นฟาริสี เป็นคนใหญ่โต อยู่ในสภาปกครองของยิว  เขามาหาพระเยซูเวลากลางคืน
เขาเริ่มต้นด้วยคำที่บอกให้เรารู้ว่า มีฟาริสีคนอื่น ๆ ด้วยที่ยอมรับว่าพระเจ้าสถิตกับพระเยซูจริง เพราะว่าทรงทำการอัศจรรย์   เขาเรียกพระองค์ว่าอาจารย์  
แต่พระเยซูไม่ได้สนทนาตอบคำชมเชยของเขา  พระองค์กลับตรัสว่า หากคนใดไม่บังเกิดใหม่ ก็จะไม่อาจเห็นอาณาจักรพระเจ้า   นี่เป็นคำสนทนาแทงใจ  คำตรัสของพระเยซูพูดให้ชัดง่าย ๆ คือ “ นิโคเดมัส  ท่านต้องยอมให้พระเจ้าเปลี่ยนท่านใหม่  เปลี่ยนจากเบื้องบน ขุดรื้อถอนความเข้าใจเดิมที่มีอยู่เอาออกไปให้หมดและใส่ความคิดของพระเจ้าเข้าไป”
ในฐานะที่เป็นฟาริสี เขามีพื้นฐานความคิดที่ว่า คนเราต้องทำดีตามกฎพระเจ้าจึงจะพอใจ แต่นั่นไม่ใช่วิธีของพระเจ้าซึ่งทรงเป็นเจ้าของอาณาจักร
 คำว่าเกิดใหม่ ในภาษากรีกว่า อะโนเทน มีสามความหมายคือ 
1.ทำใหม่อีกครั้ง  2.เริ่มต้นใหม่ตั้งแต่ต้น 3.ยังมีความหมายว่า จากเบื้องบน 

ยอห์น 3:4-6
จากคำตอบของนิโคเดมัส แสดงว่าเขาไม่เข้าใจสิ่งที่พระเยซูตรัส   นิโคเดมัสเข้าใจว่าการเกิดใหม่ที่พระเยซูกล่าวถึง เป็นการเกิดใหม่ด้วยการเกิดในท้องแม่อีกครั้ง    แต่พระเยซูทรงมีความหมายว่า การเกิดใหม่นี้คือการเปลี่ยนชีวิตโดยพระวิญญาณของพระเจ้า ได้รับการชำระให้สะอาดจนเหมือนเกิดใหม่    นิโคเดมัสทำเองไม่ได้  เป็นการเปลี่ยนแปลงรากฐานชีวิต ความคิด ทัศนคติ ความเชื่อ การประพฤติอย่างสุดขีด แบบถอนรากถอนโคน
พระเยซูทรงอธิบายต่อไปว่า พระองค์ทรงหมายถึง การเกิดจากน้ำและพระวิญญาณ  น้ำในที่นี้หมายถึงการได้รับการชำระให้สะอาด    ดู เอเสเคียล 36:24-27  เราเอาน้ำสะอาดพรมเจ้า เพื่อให้พ้นจากมลทิน เราจะใส่วิญญาณใหม่
ที่เกิดจากเนื้อหนังก็เป็นเนื้อหนัง ที่เกิดจากพระวิญญาณก็เป็นวิญญาณ  ที่เขาเกิดมาจากท้องแม่จนเข้าวัยชรานี้ ยังเป็นเนื้อหนังอยู่   นิโคเดมัสต้องเกิดใหม่ด้วยพระวิญญาณ    จะได้เข้าไปในอาณาจักรของพระเจ้าที่เป็นฝ่ายวิญญาณได้ 

ยอห์น 3:7-9
พระเยซูทรงอธิบายต่อว่า คนที่เกิดจากพระเจ้าใหม่นั้น เขาไม่อาจรู้ได้ว่า มันเกิดอย่างไร รู้แต่ว่ามันเกิดขึ้นจริงเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น   
มนุษย์ไม่สามารถควบคุมลมที่พัดมาได้ และมองไม่เห็นลม  แต่ก็จะเห็นผลที่ได้เมื่อลมพัดมา   พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็เช่นกัน เราไม่อาจควบคุมพระองค์ หรือเห็นพระองค์ได้  
ความรอดของคน ๆ หนึ่งไม่ได้ขึ้นอยู่กับเขา แต่ขึ้นอยู่กับพระเจ้า  (เอเสเคียล 37)   เมื่อพระวิญญาณทรงทำราชกิจในชีวิตใครแล้ว  คนรอบข้างจะเห็นการเปลี่ยนแปลงของคน ๆ นั้นอย่างชัดเจน  เป็นหลักฐานว่าพระเจ้าได้ทรงทำการในชีวิตของเขาแล้ว
ความรอดเป็นการเริ่มต้นจากพระวิญญาณ (ยอห์น 6:44-45)  และคนที่ตอบรับพระองค์ก็ตอบโดยการเชื่อและกลับใจสำนึกผิด  (ยอห์น 1:12, 3:16-18)
เมื่ออ่านหนังสือยอห์นต่อไป เราจะเห็นว่า ยอห์นเน้นพระวิญญาณและราชกิจของพระองค์ชัดเจนมาก  (ยอห์น 14:17,25-26, 16:7-15)

ยอห์น 3:10-11
ท่านเป็นอาจารย์ของอิสราเอล  แสดงว่า นิโคเดมัสเป็นอาจารย์มีชื่อเสียง ใหญ่โตทีเดียว  คำของพระเยซูทำให้เห็นว่า   พวกอาจารย์ชาวยิวทั้งหลายไม่มีความเข้าใจพระคัมภีร์เดิมเรื่องการชำระวิญญาณให้สะอาด
จาก เอเสเคียล 36:24-27 
แต่ที่เราไม่ค่อยเข้าการสนทนาครั้งนี้  พวกเราเป็นคนไทยเกิดมากับความคิดอีกแบบ พอได้ยินว่าเกิดใหม่ อาจไปคิดถึงการเกิดใหม่ในชาติหน้า ซึ่งไม่ใช่เป็นสิ่งที่พระเยซูทรงกล่าวถึง
แต่การที่นิโคเดมัสไม่เข้าใจพระเยซู เป็นเพราะเขายังไม่เชื่อพยานของพระองค์จริงจัง
พวกท่านไม่รับคำพยานของเรา  นั่นคือ ทั้งนิโคเดมัสและฟาริสี ธรรมาจารย์ทั้งหลายไม่ได้ยอมรับพระองค์ 

ยอห์น 3:12-15# พระบุตร
ในหนังสือกันดารวิถี 21:4-9  ชาวยิวในถิ่นกันดารได้ประสบกับการพิพากษาของพระเจ้า  พวกเขาบ่นว่าโมเสส เกลียดมานา ไม่มีน้ำ ไม่มีขนมปัง พระเจ้าทรงส่งงูพิษมากัดคนตายมากมาย  พวกเขาจึงขอให้โมเสสอธิษฐานขอพระเจ้าเอางูออกไป
พระเจ้าทรงให้โมเสสทำเสา และติดงูทำจากทองสัมฤทธิ์ไว้บนเสา  คนที่ถูกงูกัดเมื่อมองงูสัมฤทธิ์จะมีชีวิตอยู่
งูสัมฤทธิ์นั้น เป็นเครื่องหมายของบาปที่ถูกพระเจ้าจัดการ หลายพันปีต่อมาจากวันนั้นพระเยซูจะต้องแบกบาปของมนุษย์ทั้งโลกและถูกพิพากษาเพราะบาปนั้นโดยพระบิดา
ชีวิตนิรันดร์  ในกรีกคือ โซเอ  หมายถึงชีวิตที่ฟื้นขึ้นมา  ชีวิตในอนาคต ในยุคใหม่ เป็นชีวิตของพระเจ้า

ยอห์น 3:16-17  #พระบิดา
ยอห์น 3:36 มีความหมายเดียวกับยอห์น 3:16 
ในข้อนี้ ทุกคำสำคัญหมด  พระเจ้าทรงรักมนุษย์ และส่งพระเยซูมาบังเกิด สิ้นพระชนม์บนกางเขน และคืนพระชนม์    เป็นความรักที่ไม่อาจเข้าใจได้  เพราะมนุษย์ชั่วร้าย เลวชาติ   ปฏิเสธความจริง  คำของพระองค์อาจทำให้นิโคเดมัสผงะก็เป็นได้  เพราะยิวเชื่อว่า พระเจ้าทรงรักพวกเขาเท่านั้น คนต่างชาติไม่เกี่ยว  นี่เป็นคำที่ยิวไม่คาดว่าจะได้ยิน  รักของพระเจ้าเป็นอย่างนี้
                        พระเจ้าทรงรักโลก   พระเจ้าทรงรักคริสตจักร  พระเจ้าทรงรักฉัน 
ยอห์น 3:16               เอเฟซัส  5:25            กาลาเทีย 2:20
(กาลาเทีย 2:20 “พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงรักข้าพเจ้า และได้ทรงสละพระองค์เองเพื่อข้าพเจ้า”)
พระเจ้าทรงรักเราโดยพระองค์ต้องจ่ายราคาแลกมาที่แพงสุดจักรวาล  คือพระชนม์ชีพของพระบุตรองค์เดียวของพระองค์  พระบุตรองค์นี้ สัมพันธ์สนิทกับพระบิดามาเป็นนิรันดรกาล  พระเจ้าทรงไม่ทรงโหดร้ายที่จะให้มนุษย์พินาศ แต่เพราะพระองค์ทรงบริสุทธิ์   บาปเป็นสิ่งที่ผู้พิพากษาทรงธรรมจะต้องพิพากษาโทษ   พระองค์ทรงเปิดทางให้เราพ้นจากการลงโทษนั้น  โดยการตัดสินใจที่จะหนีเข้ามาทางพระเยซู
ความพินาศที่พูดถึงนี้คือ การพ้นไปจากความสัมพันธ์กับพระเจ้าตลอดไป   แต่พระเจ้าเองไม่ได้ทรงต้องการเช่นนั้น ทรงยินดีที่คนชั่วร้ายกลับมาหาพระองค์ (เอเสเคียล 18:23) โลกตกอยู่ใต้การพิพากษาของพระเจ้าเพราะโลกตกจากเป้าหมายที่ควรจะไปให้ถึง (ยอห์น 3:36, โรม 1:18)
 เมื่อคนใดเชื่อพระเจ้า ก็จะได้เกิดใหม่ คือรับการเปลี่ยนแปลงใหม่  ได้รับชีวิตนิรันดร์ และความรอดพ้นบาป แต่ยังมีอีกทางเลือกคือ พินาศ (10:28)  เสียชีวิตของตน (12:25) และถูกทำลายไป (17:12)

ยอห์น 3:18-19 # มนุษยชาติ
คนที่เชื่อพระเยซูจะหนีจากการพิพากษาโทษได้  โรม 8:1 ยอห์น 5:24    แต่คนที่ไม่เชื่อ ถูกตัดสินเสร็จแล้ว ไม่มีทางที่จะหนีได้  3:36  การตัดสินไม่ได้รอจนเขาตายก่อน  เราทุกคนที่ไม่เชื่อ ถูกตัดสินและถูกลงโทษไปแล้ว   เมื่อเราเดินทางผิด และเห็นป้ายให้เดินไปทางถูกแต่ไม่ยอมเปลี่ยนเส้นทาง เท่ากับว่า ยังมุ่งหน้าไปหาปลายทางที่ไม่ใช่   หลายคนไม่ยอมรับว่ากำลังเดินทางผิด ยากสำหรับพวกเขาที่จะเปลี่ยนทาง

คนยิวคิดว่าตัวเองเป็นลูกหลานอับราฮัมก็รอด แต่พระเยซูไม่ได้ตรัสเช่นนั้น  จะได้ความรอดต้องเชื่อ!   หากไม่เชื่อในพระนามพระเยซูองค์นี้ ก็จะพบกับความตายฝ่ายวิญญาณ เหมือนกับคนที่ต้องตายเพราะงูพิษ    ตรงนี้มีความชัดเจน แตกต่างระหว่าง เชื่อกับไม่เชื่อ…
การปฏิเสธความสว่าง หรือความเข้าใจเรื่องพระบิดาและพระบุตรนี้  ก็เท่ากับปฏิเสธพระเยซูโดยตรง ที่พวกเขาไม่เลือกความสว่าง เพราะไม่ชอบสว่าง สว่างทำให้เห็นความชั่วของตน  มนุษย์ยังอยากรู้สึกดีทั้งที่บาป 

ยอห์น 3:20-21    # มนุษยชาติ
 คนทำชั่ว ไม่ใช่แค่รักความมืด แต่เขาเกลียดความสว่างด้วย  คำว่าคนชั่วในที่นี้หมายความถึงคนที่ไร้ค่า  เมื่อพระเยซูมา เมื่อความสว่างเข้ามา เขาจะเห็นความไร้ค่าของชีวิตตนเอง ไม่มีเป้าหมายชีวิต  ไม่มีอะไรดี ๆ รออยู่ในอนาคต  ชีวิตขึ้นอยู่กับยถากรรม ไปตามบุญตามกรรม เขาทนไม่ได้ที่สว่างจะมาบอกเขาอย่างนั้น 
ทุกคนมีเหตุผลที่จะไม่เชื่อพระเจ้า  อย่ามายุ่งกับพี่เลย พี่ขอไปตามทางเดิมนี้     โอย ฉันไม่ชอบพวกคริสเตียน   ฉันดีแล้ว ศาสนาที่มีอยู่ก็สอนให้ฉันเป็นคนดี    เฮ้ย ฉันเป็นคนไทยนะ  จะให้ไปเชื่ออย่างอื่นได้ไง       ไม่เอาหรอก ถ้าเชื่อพระเจ้าก็ไม่ได้เที่ยวอย่างเคย     จะเชื่อพระเจ้าได้ไง  ทำไมพระเจ้าจึงปล่อยให้มีความทุกข์ในโลกมากมาย  ทั้งหมดเป็นความพยายามที่จะซ่อนความดื้อดึงต่อพระเจ้า  เหตุผลแท้จริงคือ พวกเขาไม่ต้องการความสว่าง
แต่คนที่มาหาพระเจ้า เขาพร้อมที่จะให้คนเห็นว่า สิ่งที่เขาทำนั้น เขาทำเพราะพึ่งพระปัญญาของพระเจ้า พึ่งความมหัศจรรย์ พลังของพระองค์  ยอมถ่อมตนรับว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่กว่าชีวิตเขา  เขายอมรับว่า เป็นคนบาปต่อพระพักตร์ของพระเจ้า   เขาต้องการให้พระองค์อภัยบาปให้   ทัศนคติของคนที่มีต่อความสว่างนั้น  เป็นของคนใจถ่อมยอมรับว่าช่วยตัวเองให้รอดไม่ได้

ยอห์นยกย่องพระเยซู

ยอห์น 3:22-24
พระเยซูทรงรับใช้ประชาชน และในเวลาเดียวกัน ทรงอยู่กับศิษย์ด้วย  ทรงใช้เวลากับพวกเขา เรารู้มาจากยอห์น 4:2 ว่า การให้บัพติศมานั้น ศิษย์ของพระเยซูเป็นผู้ทำให้ พระเยซูไม่ได้ทรงทำเอง การทำบัพติศมานี้ เป็นสัญลักษณ์ว่า บุคคลผู้นั้นกลับใจ และยอมรับความจริงฝ่ายวิญญาณที่ทรงสอน
เหตุการณ์นี้ทำให้ศิษย์ของยอห์นไม่ค่อยสบายใจตามประสามนุษย์   พระเยซูทรงมาทีหลังแต่ดูเหมือนจะดังกว่ายอห์น 

ยอห์น 3:25-26
อาจมีการทุ่มเถียงกันว่าพิธีชำระบาปแบบไหนมันใช้ได้ แบบยอห์นคือให้บัพติศมาหรือแบบของยิว
(เมื่อเป็นมลทินก็ไปอาบน้ำ ตามกฎบัญญัติโมเสส)   แต่จากเหตุการณ์นั้น ทำให้ยอห์นได้ทราบว่า พระเยซูทรงให้บัพติศมา และผู้คนหันไปหาพระองค์แทนที่จะมาหายอห์น  ศิษย์ของยอห์นตกใจเหมือนกันที่เหตุการณ์เป็นแบบนั้น  แต่ยอห์นไม่ได้กังวลสักนิดเขารู้หน้าที่  บทบาทของตนดี   ศิษย์ของยอห์นเคยได้ยินคำพยานของท่านที่ว่า พระเยซูทรงเป็นลูกแกะของพระเจ้า (1:19)

ยอห์น 3:27-30   
พวกศิษย์คิดง่าย ๆ อย่างคนทั่วไป  แต่ยอห์นกลับดีใจ เพราะเขาไม่ใช่คู่แข่งของพระเยซู  พระองค์จะต้องเป็นหนึ่ง
เขาบอกให้รู้ว่า ทุกตำแหน่งในโลกนั้นมาจากพระเจ้าไม่ว่าคนนั้นจะเป็นใครก็ตาม ยอห์นกล่าวชัดเจนว่า สถานภาพของทุกคนมาจากพระเจ้า!
เขาแจ้งให้ศิษย์รู้ว่า เขาเป็นใคร เขาเป็นคนที่ถูกส่งมาเตรียมทางให้กับผู้ที่พระเจ้าทรงเจิม องค์พระเมสสิยาห์หรือองค์พระคริสต์ เขาเป็นเสียงในถิ่นกันดารที่เตรียมทาง (อิสยาห์ 40:3)
สุดท้าย เขาเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวที่ดีใจมากเมื่อเห็นเจ้าบ่าว  เมื่อคนไปหาพระเยซูเขาดีใจเพราะเขาไม่อาจทำได้อย่างพระองค์ เขาไม่อาจให้ความรอดกับผู้คนได้ ยอห์นดีใจที่เขาเป็นเพื่อนของเจ้าบ่าว ที่คอยรับใช้ ยอห์นเป็นต้นแบบของชีวิตเราได้อย่างดี  จริงไหม  เราพูดได้ไหมว่า ฉันต้องต่ำลง ให้เธอสูงขึ้น?

ยอห์น 3:31-33
ยอห์นผู้ให้บัพติศมา  บอกทุกคนชัดเจนว่า พระเยซูทรงมาจากเบื้องบน ไม่ใช่คนธรรมดา ไม่ใช่แค่คนเก่ง มีปัญญา มีฤทธิ์มาก แต่ทรงเป็นพระเจ้าจากสวรรค์ มาจากโลกที่มองไม่เห็น ไปไม่ถึง (1 ทิโมธี 6:16)  พระองค์ทรงมีความคิดและหนทางที่สูงกว่าความคิดของมนุษย์ (อิสยาห์ 55:8-9) 
ยังมีเรื่องราวของพระองค์ที่เราไม่รู้ ไม่เข้าใจ เข้าไม่ถึง เราไม่อาจอธิบายพระองค์ได้ด้วยภาษาที่จำกัดแบบมนุษย์ได้    
ยอห์นบอกด้วยว่า พระองค์ทรงอยู่เหนือทุกคน รวมไปถึงธรรมจารย์ทั้งหลายที่เป็นคนธรรมดา
พระองค์ทรงเห็นอะไรในสวรรค์ ทรงได้ยินจากพระเจ้าอย่างไร ก็ทรงบอกตามนั้น  นี่เป็นเหตุผลที่คำของพระองค์ยิ่งใหญ่กว่าคำใด ๆ ในโลกนี้   พระองค์คือผู้ที่ได้ยินได้เห็นจากประสบการณ์จริง ไม่ใช่ได้ยินแล้วเอามาเล่า    แต่ถึงอย่างนั้น คนไม่ฟังคำของพระองค์      นี่เป็นคำพยานของยอห์นถึงพระเยซูเพิ่มเติมจากที่ศิษย์เคยได้ยิน

ยอห์น 3:34-36
คำกล่าวของพระเยซูนั้น คือคำของพระเจ้าพระบิดา  พระองค์ทรงมีพระวิญญาณบริสุทธิ์แบบไม่จำกัด เหนือเหล่าธรรมาจารย์ที่เมื่อมาเทียบกับพระเยซูคือ พวกเขาไม่มีอะไรเลย  
และทรงให้สรรพสิ่งอยู่ในพระหัตถ์ของพระเยซู คือ ทรงครอบครองเหนือทุกสิ่ง
เหตุผลหนึ่งที่ทุกสิ่งอยู่ในพระหัตถ์  ในอำนาจ ในการปกครองของพระเยซูก็เป็นเพราะพระบิดาทรงรักพระองค์มาก   พระบิดาทรงพอพระทัยที่จะให้ความเต็มบริบูรณ์อยู่ในพระองค์  (โคโลสี 1:19)
ยอห์นพูดสองครั้ง พระบิดาทรงรักพระบุตร  3:35  กับ 5:20  ยอห์นกล่าวอย่างชัดเจนว่า พระเยซูคือ พระบุตร พระองค์ไม่ใช่แค่ใครคนหนึ่งที่พระเจ้าเจิมให้มารับใช้  แต่ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า
ยอห์นบอกทางเลือกสองทางให้ด้วย  จะไปดี หรือไปร้าย? จะเชื่อหรือไม่เชื่อ?

*ฟาริสี มีความหมายว่า แยกออก เป็นคนบริสุทธิ์แยกตัวออกจากคนบาป  พวกเขาร้อนใจในเรื่องความบริสุทธิ์ตามกฎของโมเสส ถือว่านี่คือการทำให้พระเจ้าพอพระทัย แถมยังมีกฎของตัวเองเพิ่มขึ้นมาอีกมากมาย 
**นิโคเดมัสเป็นฟาริสีที่อยู่ในระดับผู้ปกครอง เราทราบว่า ต่อมาเขาเชื่อพระเยซู (7:50-52)  เขาเป็นคนที่ช่วยดูแลเรื่องการเก็บพระศพจากไม้กางเขนด้วย (19:34-42)