มาระโก 16 คืนพระชนม์!

นัดกันมาชโลมพระศพ
1 วันสะบาโตผ่านไป มารีย์ชาวมักดาลา มารีย์มารดาของยากอบ
และซาโลเมได้ซื้อเครื่องหอมมาเพื่อว่าพวกเธอจะได้มาชโลมพระศพของพระเยซู
2 เช้าตรู่ของวันต้นสัปดาห์ หลังจากดวงอาทิตย์ขึ้น
พวกเธอมายังถ้ำเก็บพระศพ
3 พวกเธอถามกันและกันว่า “ใครจะช่วยกลิ้งหินออกจากปากถ้ำ?”
4 แต่เมื่อพวกเธอเงยหน้ามอง ก็เห็นว่า
หินที่ใหญ่มาก ถูกกลิ้งออกมาแล้ว!
5 เมื่อเข้าไปในถ้ำ ก็เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งสวมเสื้อยาวสีขาวนั่งอยู่ข้างขวา พวกเธอตกใจมาก
6 แต่เขาพูดกับทุกคนว่า “อย่าตื่นตระหนกไปเลย ท่านมาหาพระเยซูชาวนาซาเร็ธ ที่ทรงถูกตรึง พระองค์ทรงคืนพระชนม์ขึ้นมาแล้ว พระองค์ไม่ได้อยู่ที่นี้ ดูตรงที่ ๆ เขาวางพระศพสิ

7 แต่ขอให้ท่านไปบอกพวกศิษย์ และเปโตรว่า
‘พระองค์เสด็จไปยังแคว้นกาลิลีล่วงหน้า ที่นั่น พวกท่านจะได้พบพระองค์ อย่างที่พระองค์เคยตรัสเอาไว้’ ”

8 ดังนั้นพวกผู้หญิงจึงออกจากถ้ำ และวิ่งออกไป พวกเธอตัวสั่น ตะลึงลาน และเป็นเพราะกลัวมาก พวกเธอจึงไม่ได้พูดอะไรกับใครเลย

พระเยซูทรงปรากฎแก่มารีย์ชาวมักดาลา
9 เช้าตรู่วันต้นสัปดาห์ หลังจากที่พระเยซูคืนพระชนม์แล้วพระองค์ทรงปรากฏพระองค์ครั้งแรกกับมารีย์ชาวมักดาลาซึ่งเป็นคนที่ทรงขับผีออกจากเธอ 7 ตน
10 เธอจึงออกไปและบอกเรื่องนี้กับคนที่เคยอยู่กับพระองค์พวกเขากำลังร้องไห้เป็นทุกข์อยู่
11 และเมื่อเขาได้ยินว่าพระเยซูทรงพระชนม์
และเธอได้เห็นพระองค์ แต่พวกเขาก็ไม่เชื่อเรื่องนี้!

ระเยซูปรากฏพระองค์ต่อศิษย์สองคน
12หลังจากนี้ พระเยซูทรงปรากฏพระกายอีกแบบหนึ่ง
ให้กับศิษย์ทั้งสองขณะที่พวกเขากำลังเดินอยู่นอกเมือง
13 พวกเขากลับมาเล่าให้คนอื่น ๆ ฟัง
แต่กลับไม่มีใครเชื่อพวกเขาเลย!

พระมหาบัญชา
(Matthew 28:16–20)
14 ต่อมา ขณะที่พวกเขากำลังรับประทานอาหารด้วยกัน
พระเยซูทรงปรากฏพระองค์แก่ศิษย์ทั้งสิบเอ็ดคน
และทรงตำหนิที่พวกเขาขาดความเชื่อ และยังมีใจแข็งกระด้างเพราะพวกเขาไม่เชื่อคนที่เห็นพระองค์หลังจากที่ทรงคืนพระชนม์แล้ว
15 และพระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า
“จงออกไปทั่วโลก และสั่งสอนเรื่องพระกิตติคุณให้แก่ทุกคน 16 ใครที่เชื่อ และรับบัพติศมาจะได้รับความรอด
ส่วนคนที่ไม่เชื่อจะถูกพิพากษาโทษ
17 และหมายสำคัญต่อไปนี้ จะตามคนที่เชื่อไป คือ พวกเขาจะขับผีในนนามของเรา พวกเขาจะพูดภาษาที่แปลกออกไป 18 พวกเขาจะจับงูด้วยมือ และหากดื่มยาพิษแรงถึงตายก็จะไม่มีอะไรทำร้ายพวกเขาได้ พวกเขาจะวางมือคนป่วยและคนเหล่านั้น จะหายโรค”

สด็จสู่สวรรค์

19หลังจากที่องค์พระเยซูเจ้าตรัสจบ พระองค์ก็ทรงถูกรับขึ้นไปบนสวรรค์ และประทับนั่ง ณ เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า
20 แล้วพวกศิษย์ก็ออกไป และเทศนาสั่งสอนทุกหนแห่ง
และองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำการผ่านพวกเขา
ยืนยันถึงพระดำรัสโดยหมายสำคัญที่เกิดขึ้นพร้อม ๆ กันไป

อธิบายเพิ่มเติม

มาระโก 16:1-8
1 วันสะบาโตจบในเวลาดวงอาทิตย์ตกของวันเสาร์  ซึ่งหลังจากเวลานั้น พวกผู้หญิงสามารถซื้อเครื่องหอมได้โดยไม่ผิดกฎสะบาโต  เช้าวันอาทิตย์ มาระโกกล่าวถึงผู้หญิงสามคน แต่ยอห์นบอกว่า มีมารีย์ มารดาของพระเยซูด้วย (ยอห์น  19:26) ลูกาเองบอกว่า มีผู้หญิงคนอื่น ๆ อีกเช่นกัน (ลูกา 24:10). พวกเธอตั้งใจจะนำเครื่องหอมเหล่านี้มาเพื่อทำให้พระศพเน่าช้าลง  จะได้ไม่มีกลิ่นที่รุนแรง  ถ้าเราจะมองความตั้งใจของพวกเธอ เราเห็นว่า ไม่มีใครคาดว่าจะมีการคืนพระชนม์
 2-6 พอฟ้าสว่างแล้ว  พวกเธอมาพร้อมเครื่องหอม   เจอหินที่ปิดถ้ำไว้ (หินถูกปิดไว้ตามคำขอของเหล่าธรรมาจารย์  มัทธิว 27:62-66) ถูกกลิ้งออกแล้ว  พวกเธอเข้าไปในถ้ำ แทนที่จะพบพระเยซู กลับพบชายใส่เสื้อขาวนั่งอยู่  ชายผู้นั้นก็คือ ทูตสวรรค์ของพระเจ้านั่นเอง ในถ้ำนั้นมีทูตสองท่านแต่มาระโกสนใจท่านที่พูดกับพวกผู้หญิง
7-8 ทูตนั้นได้บอกพวกเธอให้รู้ชัดว่า กำลังพูดถึงพระเยซูผู้ถูกตรึงเมื่อวันศุกร์ เช้าวันนี้ พระศพไม่มีให้พวกเธอชโลมด้วยเครื่องหอม ที่ ๆ วางพระศพ ก็ไม่มีพระองค์จริง ๆ  ยิ่งไม่พบพระศพยิ่งทำให้พวกเธอตื่นตะลึง “ทำไมไม่มีพระศพ? พระศพหายไปไหน?”คำถามเหล่านี้วนอยู่ในความคิดของพวกเธอ และช่วงนี้ มาระโกบอกเราว่า พวกเธอกลัวมากจนไม่ได้พูดกับใคร
และน่าแปลกที่ท่านกล่าวชื่อเปโตรชัดเจน​.. แสดงว่า การที่เปโตรกล่าวปฏิเสธพระองค์ในวันศุกร์นั้น พระเยซูไม่ได้ทรงตัดเขาออกจากการเป็นศิษย์ของพระองค์ 
มาระโก 16:9-11
จากข้อ 9-20  เป็นตอนที่ผู้เชี่ยวชาญพระคัมภีร์ให้ความเห็นว่า อาจเป็นข้อความที่เติมเข้ามา ไม่ใช่ของมาระโกเขียนตั้งแต่ต้น 
9 จากนั้น มีบันทึกว่า พระเยซู ทรงปรากฏกับมารีย์มักดาลาเป็นคนแรก .. มารีย์ไปบอก ไม่มีใครเชื่อ มัวแต่ร้องไห้ที่พระเยซูสิ้นพระชนม์  พระเจ้าทรงให้เกียรติเธอเป็นอย่างมาก มารีย์มักดาลา เป็นคนที่ทำตามคำบัญชาของพระเยซูทันที 
แต่น่าเสียดาย พวกเขาไม่เชื่อคำของเธอ … ทำไม? ทั้ง ๆ ที่พระเยซูทรงบอกล่วงหน้าแล้วว่า พระองค์จะคืนพระชนม์  อ่าน มาระโก 14:28
มาระโก 16: 12-13
12ทรงเจอศิษย์สองคนนอกเมือง ไปบอก ไม่มีใครเชื่อ รายละเอียดของเรื่องนี้ อยู่ใน  ลูกา 24:13-32
พวกเขากำลังเดินทางระหว่างนครเยรูซาเล็มกับเมืองเอมมาอู  สองคนที่คุยกันถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ก็ได้พบพระเยซูองค์ที่ฟื้นขึ้นมาแล้ว  พระองค์ทรงเดินสนทนาไปกับพวกเขา โดยที่พวกเขาไม่ได้เห็นว่า เป็นพระองค์ จนกระทั่งพระองค์ทรงเปิดเผยพระองค์เอง เขาทั้งสองจึงมั่นใจ
13 แต่เมื่อไปเล่าสิ่งที่เกิดขึ้น    คนอื่น ๆ ไม่เชื่อพวกเขา  (จะเห็นจากบทนี้ว่า ไม่มีใครสักคนคิดว่า พระเยซูจะฟื้นคืนพระชนม์เลย  บอกแล้วยังไม่เชื่อด้วย  ผู้ที่ติดตามพระองค์เวลานั้น เอาแต่เสียใจว่า พระองค์สิ้นพระชนม์ไป โดยลืมไปว่า พระองค์ได้ตรัสแล้วว่าจะคืนพระชนม์ขึ้นมา
มาระโก 16:14-18
14 แล้วพระองค์มาปรากฏกับศิษย์ 11 คน (เป็นเรื่องเดียวกับมัทธิว 28:16-20) ทรงต่อว่าที่พวกเขาไม่เชื่อ ใจแข็ง นั่นคือ ไม่เชื่อพี่น้องที่ได้เห็นพระเยซูแล้ว แปลกที่พวกเขาไม่ไว้ใจพี่น้องที่พูดความจริง  และคราวนี้ทุกคนต้องยอมรับว่า ได้เห็นพระองค์จริง  
15แต่แล้วจากคนที่ไม่ยอมเชื่อเหล่านี้  จากคนที่ต้องเห็นพระองค์จริง ๆ จึงเชื่อ พระองค์ก็ได้ตรัสสั่งให้ออกไปประกาศพระนามของพระองค์ทั่วโลก 
ทำไมพระเยซูทรงสั่งแบบนั้น?
เป็นเพราะนี่คือแผนการของพระเจ้ามาตั้งแต่สมัยอับราอัม พระองค์ทรงบอกเขาหลายพันปีก่อนว่า ลูกหลานของพวกเขาจะเป็นพระพรให้แก่ชาวโลก แต่ชาวยิวสมัยพระเยซูไม่ได้คิดอย่างนั้นเลยพวกเขาเห็นแค่เพียงว่า พระเยซูทรงเป็นพระเมสสิยาห์ที่จะมาช่วยพวกเขาให้พ้นจากโรม
คำตรัสของพระเยซูจึงแปลกสำหรับพวกเขา และพวกเขาก็ไม่ได้ออกไปประกาศต่างประเทศจริงจังจนกระทั่งมีการข่มเหงคริสตจักร จนกระทั่งท่านเปาโลได้รับคำสั่งของพระเยซูด้วยตัวเอง 
พระเยซูทรงสั่งศิษย์ของพระองค์ และเราทุกคน และพระองค์ได้ทรงบอกล่วงหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง …เป็นหมายสำคัญตามหลังการประกาศพระนาม
มาระโก 16:19-20
ตรัสจบก็เสด็จขึ้นสวรรค์ ต่อหน้าต่อตาคนจำนวนมาก  อ่านเรื่องเดียวกันนี้ที่ลูกา 24:50-53  และกิจการ 1:6-11
พระเยซูทรงสัญญาว่า เมื่อพวกเขาประกาศพระนาม ก็จะมีหมายสำคัญเกิดขึ้นในหมู่ผู้เชื่อ เราจึงติดตามข่าวประเสริฐก่อน ไม่ใช่ติดตามหมายสำคัญ 

พระคำเชื่อมโยง

1* ยอห์น 20:1-8; ลูกา 23:56
2* ลูกา 24:1
5* ยอห์น 20:11-12
6* มัทธิว 28:6; โฮเชยา 6:2
7* มัทธิว 26:32; 28:16-17
8* มัทธิว 28:8

9* ลูกา 8:2
10* ลูกา 24:10
11* ลูกา 24:11,14
12* ลูกา 24:13-35
14* 1โครินธ์ 15:5
15* มัทธิว 28:19; โคโลสี 1:23

16* ยอห์น 3:18,36; 12:48
17* กิจการ 5:12; ลูกา 10:17; กิจการ 2:4
18* กิจการ 28:3-6; ยากอบ 5:14
19* กิจการ 1:2-3; อิสยาห์ 9:7; ลูกา 9:51; 24:51; สดุดี 110:1
20* ฮีบรู 2:4

มาระโก 15 พระเยซูสิ้นพระชนม์

พระเยซูถูกสอบสวนต่อหน้าปีลาต

1 เช้าตรู่ของวันต่อมา พวกหัวหน้าปุโรหิต ผู้อาวุโส ธรรมาจารย์ และ
สภาแซนเฮอดรินทั้งหมดก็วางแผนร่วมกัน เขามัดพระเยซู และส่งให้กับปีลาต
2 ปีลาตถามพระองค์ว่า “ท่านเป็นกษัตริย์ของยิวอย่างนั้นหรือ?”
พระเยซูตรัสตอบว่า “ก็เป็นอย่างที่ท่านว่า”
3 แล้วพวกหัวหน้าปุโรหิตก็เริ่มต้นกล่าวหาพระองค์หลายกระทง
4 แล้วปีลาตจึงถามพระองค์อีกครั้งว่า“ท่านจะไม่ตอบหรือ? เห็นไหมว่า พวกเขากล่าวหาท่านหลายอย่างขนาดนี้!”
5 แต่พระเยซูไม่ทรงตอบประการใด ทำให้ปีลาตประหลาดใจนัก

ฝูงชนเลือกอาชญากรตัวจริง

6 เป็นธรรมเนียมของปีลาตที่จะปล่อยนักโทษคนที่ประชาชนเลือกออกมาในช่วงเทศกาล
7 และมีชายคนหนึ่งชื่อบารับบัสถูกจำคุกพร้อมกับพวกกบฏที่ได้ฆ่าคนระหว่างการจลาจล
8 ดังนั้นฝูงชนได้ขึ้นไปขอให้ปีลาตทำตามธรรมเนียมที่เคย
9 “พวกเจ้าต้องการให้เราปล่อยกษัตริย์ของชาวยิวหรือ?” ปีลาตถาม
10 เพราะเขารู้อยู่ว่า เหล่าหัวหน้าปุโรหิตต้องการส่งมอบพระเยซูให้เขาก็เพราะพวกเขาอิจฉาพระองค์
11 แต่เหล่าหัวหน้าปุโรหิต กลับปลุกปั่นฝูงชนให้เรียกร้องปีลาตปล่อยบารับบัสมาแทน

ปีลาตมอบพระเยซูให้ประหาร

12 แล้วปีลาตก็ถามพวกเขาอีกว่า“แล้วพวกเจ้าจะให้เราทำอย่างไรกับคนที่ท่านเรียกว่า กษัตริย์ของพวกยิว?”
13 พวกเขาตะโกนกลับมาว่า “ตรึงเขาที่ไม้กางเขน!”
14“ตรึงทำไม?” ปีลาตถาม “เขาทำชั่วร้ายอะไรเล่า?” แต่พวกเขากลับตะโกนดังขึ้น “ตรึงเขาที่ไม้กางเขน!”
15 ปีลาตพยายามเอาใจฝูงชน เขาจึงปล่อยบารับบัสออกมาให้ แต่กลับสั่งให้โบยพระเยซู และมอบตัวพระองค์ให้ไปตรึงที่ไม้กางเขน

พวกทหารเยาะเย้ยพระองค์

16 แล้วพวกทหารจึงนำพระเยซูออกไปยังวังของผู้ว่า​คือศาลปรีโทเรียม และระดมกองกำลังทั้งหมดเข้ามา
17 พวกเขาสวมเสื้อคลุมสีม่วงให้พระองค์ และสานมงกุฎหนามมาสวมพระเศียร
18 จากนั้นก็ถวายคำนับและร้องว่า “ขอกษัตริย์ของพวกยิวจงทรงพระเจริญ!”
19 พวกเขาเอาไม้ฟาดพระเศียรและถ่มน้ำลายรดพระองค์ แล้วจากนั้นคุกเข่าถวายคำนับต่อพระองค์
20 หลังจากที่ได้เยาะเย้ยพระองค์ขนาดนั้นแล้ว
ก็ถอดเสื้อคลุมออก นำฉลองพระองค์กลับมาสวมให้
จากนั้นจึงนำพระองค์ออกไปเพื่อตรึงบนไม้กางเขน

การตรึงบนไม้กางเขน

21 ซีโมนชาวเมืองไซรีน เป็นบิดาของอเล็กซานเดอร์และรูฟัส ได้เดินทางจากเมืองข้างนอกเข้ามาพอดี และทหารก็บังคับให้เขาแบกไม้กางเขนแทนพระองค์
22 พวกเขานำพระเยซูมายังสถานที่ชื่อโกละโกธา
ซึ่งหมายถึงสถานที่แห่งหัวกระโหลก
23 แล้วเขาก็เอาเหล้าองุ่นเจือมดยอบมาให้พระองค์ แต่พระเยซูไม่ทรงรับ
24 จากนั้นเขาตรึงพระองค์บนไม้กางเขน และยังนำฉลองพระองค์มาจับฉลากเพื่อตัดสินว่าใครจะได้ส่วนใดไป
25 ตอนที่เขาตรึงพระเยซูนั้น เป็นเวลาเก้าโมงเช้า
26 มีป้ายข้อกล่าวหาเขียนไว้ว่า“กษัตริย์ของพวกยิว”
27 พวกเขายังตรึงโจรอีกสองคนพร้อมกับพระเยซูด้วย
ข้างขวาคนหนึ่งข้างซ้ายคนหนึ่ง
28 (เพื่อเป็นไปตามพระคัมภีร์ที่ว่า
“และพระองค์ทรงถูกนับเข้ากับคนที่ล่วงละเมิด”)

เหล่าคนเยาะเย้ย
29 คนที่เดินผ่านไป ก็พากันทับถมเยาะเย้ยพระองค์ ส่ายหัว กล่าวว่า “ฮะฮ้า ท่านผู้ที่จะทำลายพระวิหารและสร้างขึ้นใหม่ในสามสิบวัน
30 ลงมาจากไม้กางเขน และช่วยตัวเองให้รอดเถอะ!”
31เช่นเดียวกัน ในหมู่เหล่าหัวหน้าปุโรหิต และธรรมาจารย์ก็เยาะเย้ยพระองค์ กล่าวว่า “เขาช่วยคนอื่นให้รอด แต่กลับช่วยตัวเองไม่ได้!”
32 “ให้พระคริสต์ กษัตริย์แห่งอิสราเอลลงมาจากไม้กางเขน เพื่อว่าเราจะได้เห็นและเชื่อพระองค์กัน!” แม้กระทั่งคนที่ถูกตรึงพร้อมกับพระองค์ก็ยังกล่าวสบประมาทพระองค์ด้วย



การสิ้นพระชนม์

33 จากเที่ยงวันจนกระทั่งบ่ายสามโมง เกิดมืดมัวทั่วทั้งแผ่นดิน
34 พอถึงบ่ายสามโมง พระเยซูทรงร้องเสียงดังว่า “เอโลอี เอโลอี ลามา สะบักธานี” ซึ่งแปลว่า “พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ เหตุใดพระองค์จึงทรงละทิ้งข้าพระองค์ไป?”
35 เมื่อมีคนบางคนที่ยืนอยู่ได้ยินอย่างนั้น เขาก็ว่า “ดูสิ เขากำลังร้องเรียกเอลียาห์”
36 มีบางคนวิ่งไปแล้วเอาฟองน้ำจุ่มเหล้าองุ่นติดปลายไม้อ้อ ยื่นให้พระองค์ได้จิบ แล้วพูดว่า”ปล่อยเขา มาดูกันสิว่า เอลียาห์จะมาเอาเขาลงไปหรือไม่”
37 แต่พระเยซูทรงร้องออกมาเสียงดัง และหายพระทัยครั้งสุดท้าย
38 และม่านในพระวิหารก็ขาดออกเป็นสองท่อนจากบนลงมาล่าง
39เมื่อนายร้อยที่ยืนอยู่เบื้องหน้าพระเยซูเห็นว่า พระองค์ได้ทรงหายพระทัยครั้งสุดท้ายอย่างไร เขากล่าวว่า “แท้จริง ท่านผู้นี้เป็นพระบุตรของพระเจ้า!”
40 มีพวกผู้หญิงเฝ้ามองดูอยู่ห่าง ๆ ซึ่งในหมู่ผู้หญิงก็มี มารีย์ชาวมักดาลา มารีย์มารดาของยากอบน้อย และโยเสส และนางสะโลเม
41 พวกเธอได้ติดตามพระเยซู และรับใช้ปรนนิบัติพระองค์ขณะที่ทรงอยู่ในกาลิลี และมีผู้หญิงคนอื่นอีกหลายคนซึ่งขึ้นมายังเยรูซาเล็มกับพระองค์




ฝังพระศพ

42 วันนั้นเย็นแล้ว เป็นวันเตรียม ซึ่งหมายถึงวันก่อนสะบาโต
43 โยเซฟชาวอาริมาเธีย ซึ่งเป็นสมาชิกคนสำคัญที่รอคอยอาณาจักรของพระเจ้า ได้เข้าไปพบปีลาตอย่างกล้าหาญ เพื่อขอพระศพของพระเยซู
44 ปีลาตเองรู้สึกแปลกใจที่ได้ยินว่า พระเยซูสิ้นพระชนม์แล้ว ดังนั้น เขาจึงเรียกนายร้อยมาถามว่า พระองค์สิ้นพระชนม์แล้วจริงหรือไม่
45เมื่อปีลาตได้รับคำยืนยัน จากนายร้อย เขาจึงอนุญาตให้โยเซฟ นำพระศพไป
46 ดังนั้นโยเซฟได้ซื้อผ้าลินินมา และนำร่างของพระองค์ลงมา พันพระศพ และนำพระศพไปวางไว้ในถ้ำเก็บศพที่สกัดไว้ก่อนหน้านี้ แล้วเขาก็กลิ้งหินปิดปากถ้ำไว้
47 โดยที่มารีย์มักดาลา และมารีย์มารดาของโยเซฟ ก็ได้เห็นที่เก็บพระศพด้วย


อธิบายเพิ่มเติม

มาระโก 15:1-5
เมื่อคืน พวกยิวได้สอบสวนพระเยซูตามแบบของยิว เพื่อหาหลักฐานมาส่งฟ้องตอนเช้า ซึ่งพวกเขานำพระเยซูไปส่งให้ปีลาต แต่เช้าตรู่ เพราะโดยปกติแล้ว การทำคดีของโรมมักจะทำเช้ามาก ๆ
ถึงแม้ว่าพวกเขาอยากประหารพระเยซูมากเพียงไร แต่เป็นเพราะโรมปกครองอยู่ เขาจึงไม่มีสิทธิทำอะไรเช่นนั้น อีกอย่างประชาชนคงลุกฮือขึ้นอย่างแน่นอน วิธีเดียวที่ปลอดภัยคือยืมมือของปีลาตให้ทำตามแผนของพวกเขา
ข้อกล่าวหาคือ “พระเยซูทรงตั้งตนเป็นกษัตริย์ของยิว” ซึ่งหมายถึงการที่พระองค์จะนำประชาชนลุกฮือ ต่อต้านโรมนั่นเอง นับเป็นข้อหาทางการเมืองที่จะส่งผลถึงการประหารได้ (ที่จะบอกว่า พระเยซูทรงอ้างว่า พระองค์เป็นพระเมสสิยาห์ที่พระเจ้าส่งมา หรือว่าพระองค์ทรงอ้างว่า ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้านั้น ปีลาตจะไม่เข้าใจเลย)
พอปีลาตถามว่าพระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ยิวหรือ พระองค์ก็ทรงตอบในเชิงว่าใช่ตามที่ปีลาตถาม
จากนั้น เมื่อพระองค์โดนใส่ความเพิ่มทับถมเข้ามา ปีลาตก็แปลกใจนักที่พระองค์ไม่แก้ตัวใด ๆ ทั้งสิ้น

มาระโก 15:6-11
ปีลาตรู้มาตั้งแต่แรกว่า พวกยิวพยายามใช้ให้เขาเป็นคนสั่งประหารพระเยซู เนื่องจากพวกเขาอิจฉาที่พระองค์ได้รับความนิยมจากประชาชนมาก แล้วตอนนี้พวกยิวกลับมาใช้ประเพณีที่มีการปล่อยตัวนักโทษประจำปีเลือกปล่อยอาชญากร ที่ทั้งกบฏ และฆ่าคน ทั้ง ๆ ที่ปีลาตเสนอให้ปล่อยพระเยซู เพราะจากการสนทนาสอบสวน ปีลาตรู้อยู่แก่ใจว่า การฟ้องร้องของยิวนั้น ไม่มีหลักฐานแน่นหนา แต่เป็นการใส่ร้ายอย่างจงใจ ปีลาตเห็นอาการอิจฉาอย่างชัดเจน (10)
ก่อนหน้านี้ฝูงชนส่วนหนึ่งติดตามพระเยซู แต่เมื่อมีการใส่ร้าย ผู้คนได้ฟังความพยานเท็จ พวกเขาก็เปลี่ยนใจจากชอบพระเยซูเป็นเกลียดจนต้องการประหารพระองค์ ฝูงชนเป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก ๆ และแน่นอนในเหตุการณ์นี้ต้องมีคนที่คอยบงการปลุกระดมฝูงชนอยู่ ก็เหมือนอย่างที่เราเห็นในปัจจุบันด้วย

มาระโก 15:12-15
ปีลาตหันไปถามฝูงชนว่าต้องการอะไร เป็นการกระทำที่ทำให้เห็นว่า เขาต้องการเอาใจคนยิวที่มาฟ้องพระเยซู แต่กลับได้คำตอบที่ไม่คาดว่า จะรุนแรงขนาดนั้น …ให้ตรึงที่ไม้กางเขน .. เป็นการลงโทษอาชญากรที่โหดเหี้ยม เลวร้ายแบบโรม แต่พระเยซูไม่ได้ชั่วร้าย ไม่ได้เป็นฆาตกรหรือกบฏด้วยซ้ำ
การสั่งโบยพระเยซู เป็นเพียงเพื่อเอาใจฝูงชน การโบยนี้รุนแรงกว่าการสั่งเฆี่ยนนักโทษธรรมดา
พระเยซูถูกโบยด้วยแส้หนังหลายเส้น ที่ตรงปลายติดไว้ด้วยกระดูกแหลม หรือเหล็กคมเพื่อขูดเนื้อของนักโทษออกไปทุกครั้งที่โบยทำให้เกิดแผล ผิวหนังจะลอกออกมาเป็นริ้ว ๆ เป็นรอยที่เจ็บปวดมาก อิสยาห์ 52:14 ได้อธิบายไว้ล่วงหน้าว่า พระบุตรของพระเจ้าจะทรงเผชิญอะไร เวลานี้ พระโลหิตไหลท่วมร่างของพระองค์!

มาระโก 15:16-20
วังของผู้ว่าก็คือ สถานที่พักทางราชการของผู้ว่าฯ ที่โรมจัดไว้ให้ เป็นที่ ๆ สามารถสอบสวน ตัดสินความได้ มีการระดมกำลังทหารเข้ามาเพื่อจัดระเบียบ ไม่ให้ฝูงชนทำร้ายจำเลย..
พวกเขาสวมเสื้อคลุมสีม่วงให้และสวมมงกุฎหนามด้วยเป็นการเยาะเย้ยพระองค์อย่างถึงที่สุด มงกุฎนี้ ทำจากกิ่งไม้หนามที่มีอยู่ทั่วไป และบัดนี้พระเศียรของพระองค์ก็อาบโลหิตเต็มไปหมด! มาระโกไม่ได้บันทึกถึงความรู้สึกของพระเยซูเลย เขาเพียงรายงานว่า พระองค์ทรงถูกกระทำอย่างไรบ้าง …​เราเองเป็นผู้ที่จะต้องทบทวนว่า พระบุตรของพระเจ้าทรงโดนคนต่ำทรามเหล่านี้ ดูแคลนพระองค์ขนาดไหน พระองค์ทรงโดดเดี่ยวขนาดไหนในเวลานั้น แล้วพระองค์ถูกฟาดพระเศียรด้วยไม้อีกครั้ง หนามทิ่มลึกลงไป พระโลหิตไหลออกมาอีกเป็นสายโลหิตท่วมพระพักตร์! ตามด้วยน้ำลายของทหารอันธพาลที่โสโครกเหล่านั้น ไม่รู้กี่คนต่อกี่คน
พวกเขายังเยาะเย้ยพระองค์ด้วยวิธีสามานย์ที่สุดเท่าที่จะทำได้ คุกเข่า คำนับพร้อมกับแสดงความเหยียดหยาม
ช่วงนี้เองที่ยอห์นเล่าว่า ปีลาตพยายามช่วยให้พระเยซูไม่ถูกตรึงอีกครั้ง แต่ไม่สำเร็จ (ยอห์น 19:4-5)
จากนั้น พวกเขาก็ถอดเสื้อคลุมของพระองค์ ให้สวมเสื้อเดิม และนำพระองค์ออกไปนอกเมืองเพื่อที่จะประหารในวันนั้นเอง โดยให้พระองค์แบกกางเขนออกไปเอง แบกท่อนไม้ขนาดใหญ่ที่คนแข็งแรงยังแบกยาก…

มาระโก 15:21-28
การแบกกางเขนนั้น ก็เหมือนการลากไม้กางเขนไป เพราะทหารจะให้ปลายไม้อยู่บนดิน นักโทษจะต้องแบกและลากไป
ซีโมนชาวเมืองไซรีน อยู่ทางเหนือของอัฟริกา เขาน่าจะเป็นคนยิวที่เข้ามาร่วมในพิธีปัสกา เขาได้รับเกียรติจากพระเจ้าสูงสุดให้ช่วยแบกไม้กางเขนแทนพระเยซูที่ทรงบาดเจ็บอย่างสาหัส ผ่านคำสั่งของทหารโรมเองที่เห็นว่า นักโทษคงไม่มีแรงพากางเขนไปถึงที่หมายได้ (ส่วนรูฟัสคนนี้ รู้จักกับเปาโลในโรมด้วย (โรม 16:13)
สถานที่ซึ่งเขาจะตรึงพระเยซูน่าจะเป็นเนินที่มีรูปร่างคล้ายหัวกระโหลก คนจึงเรียกเช่นนั้น เป็นสถานที่อยู่นอกเมืองออกไป
มีคนหนึ่งเอาเหล้าองุ่นเจือมดยอบซึ่งจะช่วยทำให้ความเจ็บปวดทุเลาลงได้ มีคุณสมบัติทำให้ชาไปทั้งตัว แต่พระเยซูเลือกที่จะไม่รับสิ่งนั้น พระองค์ต้องรู้พระองค์จนถึงสิ้นลมหายใจ…​ พระองค์เองเคยตรัสว่าจะไม่ดื่มเหล้าองุ่นจนถึงวันนั้นที่จะมีคริสตจักรดื่มกับพระองค์
(มัทธิว 26:29)ดาวิดได้กล่าวถึงเหตุการณ์นี้ในข้อ 24 ล่วงหน้าในสดุดี 22:16-18

มาระโก 15:29-32
การทำโทษด้วยตรึงมักทำในที่ ๆ คนเดินไปมานอกเมืองเพื่อนักโทษจะได้รับการดูหมิ่นเหยียดหยาม คนที่ผ่านมาก็นิสัยทรามมากเพราะว่าสามารถหาเรื่องมาลงที่ผู้ที่อยู่บนไม้กางเขน ไม่มีเห็นใจ มีแต่การทับถมซ้ำ
หัวหน้าปุโรหิต และธรรมาจารย์กล่าวหาว่า พระเยซูทรงหมิ่นประมาทพระเจ้า(มาระโก 14:64) แต่พวกเขานั่นแหละที่กำลังทำบาปนี้อย่างไม่รู้ตัว สมควรที่จะได้รับโทษประหาร(เลวีนิติ 24:16)

มาระโก 15:33-41
ทั้งแผ่นดิน มืดสนิท ช่างเป็นภาวะที่น่ากลัว เป็นความมืดในเวลากลางวันถึงสามชั่วโมง พระเยซูทรงเจ็บปวดในพระทัยขนาดไหน จนกระทั่งทรงร้องตัดพ้อพระบิดาว่า เหตุใดทรงทิ้งพระองค์ไป .. เป็นคำเดียวกับที่กษัตริย์ดาวิดได้กล่าวไว้ในสดุดีบทที่ 22 ทรงทำให้เราได้รู้ว่า สิ่งที่กล่าวไว้ในสมัยโบราณนั้น จำเป็นต้องเกิดขึ้นตามจริง จำได้ไหมว่า พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ว่า พระองค์ผู้ไม่ได้มีบาปต้องรับบาปเพื่อว่า เราจะได้มีชีวิตที่ถูกต้องกับพระเจ้า (อ่าน 2 โครินธ์ 5:21)
เราไม่อาจมีชีวิตถูกต้องกับพระเจ้าโดยผ่านความดีของตัวเอง หรือการช่วยเหลือของใคร นอกจากองค์พระเยซูเท่านั้น
แล้วพระเยซูทรงร้องเสียงดังตามที่ยอห์น 19:30 บันทึกไว้คือ “สำเร็จแล้ว”แล้วก็สิ้นพระชนม์

ม่านในพระวิหารเป็นผ้าทอหนาราว 9 นิ้ว เป็นผ้าที่หนาแบบหาได้ยาก ขนาดประมาณ 30×60 ฟุต
ในวันนั้น ม่านที่แยกคนออกจากพระเจ้าผู้บริสุทธิ์ขาดออกเป็นสองท่อน บนลงล่าง ทำให้เรารู้ว่า ไม่ใช่เป็นสิ่งที่มนุษย์ทำ แต่พระเจ้าทรงทำเพื่อแจ้งให้รู้ว่า พระองค์ทรงฉีกที่กั้นออกไปแล้ว พระเยซูทรงทำให้มนุษย์สามารถเข้ามาหาพระเจ้าได้โดยไม่ต้องมีตัวแทนอย่างปุโรหิตอีกต่อไป
ผู้ที่ไม่ได้เชื่อพระเจ้าคนหนึ่งคือ นายร้อยโรมเห็นเหตุการณ์ทั้งสิ้น เขากล่าวยอมรับว่า พระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า! ชายคนนี้ต้องเห็นการทำโทษโดยตรึงบนไม้กางเขนมาบ้าง และเขาก็รู้ว่า พระเยซูไม่ใช่นักโทษ และพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าแน่ ๆและยังมีคนที่ติดตามพระเยซูดูอยู่ห่าง ๆ อย่างเศร้าใจ มาระโกได้บันทึกถึงสตรีเหล่านี้ให้เราได้รู้ว่า มีทั้งชายและหญิงที่ติดตามพระองค์ใกล้ชิด

มาระโก 15:42-47
แม้เราจะไม่ได้รู้จักโยเซฟชาวอาริมาเธียมาก่อน แต่ในช่วงเวลาก่อนที่พระเยซูจะถูกตัดสิน เขาก็ไม่เห็นด้วย (ลูกา 23:50-51) แต่จำเป็นต้องมีการเก็บพระศพของพระเยซูนั้น เขาก็ปรากฏตัวขึ้น เขาเป็นคนสำคัญในการเมือง และก็มีฐานะ กล้าที่จะเข้าไปขออนุญาตจากปีลาตโดยตรง เหตุที่วันต่อมาจะเป็นวันสะบาโต และวันต่อมาก็จะเป็นเทศกาลขนมปังไร้เชื้อ จะไม่มีการทำงานใด ๆ (เลวีนิติ 23:5-7) ผู้ที่เชื่อ ติดตามพระองค์ ก็จะต้องเก็บพระศพทันที
ปีลาตแปลกใจที่พระเยซูสิ้นพระชนม์ เพราะจริงแล้ว การตรึงบนไม้กางเขนจะทรมานนักโทษที่ถูกตรึงหลายวันก่อนตาย ตามธรรมเนียมของโรม ก็จะทิ้งศพไว้อีกหลายวันเพื่อประจาน และให้สัตว์มาทึ้งร่างด้วยแต่ปีลาตก็อนุญาตให้เอาพระศพลงมา แสดงว่า เขาน่าจะเข้าใจชัดเจนว่า พระองค์ไม่ได้ทรงทำผิด ไม่เป็นอาชญากรอย่างที่พวกผู้นำศาสนายิวกล่าวหา
โยเซฟได้นำพระศพมา และตามธรรมเนียมจะต้องทำความสะอาดพระศพด้วยจึงจะใส่เครื่องหอมสมุนไพรที่พวกเขาจะใช้ชโลมศพที่ นิโคเดมัสเป็นผู้นำมา (ยอห์น 19:39) ในคืนนั้น เขาเตรียมพระศพเรียบร้อย ห่อด้วยผ้าลินิน และโยเซฟ เก็บพระศพไว้ที่ถ้ำเก็บศพของครอบครัวเขาเองซึ่งอยู่ใกล้ ๆ ที่ประหารนั้น
ส่วนพวกผู้หญิงที่อยู่ตรงไม้กางเขนก็เห็นสิ่งที่โยเซฟ นิโคเดมัส และคนของพวกเขาได้เตรียมให้พระเยซูก่อนจะเก็บพระศพและกลิ้งหินปิดปากถ้ำตามคำขอของพวกผู้นำศาสนายิว

พระคำเชื่อมโยง

มาระโก15
1* สดุดี 2:2; อิสยาห์ 53:7; กิจการ 3:13
2* มัทธิว 27:11-14
3* ยอห์น 19:9
4* มัทธิว 27:13
5* สดุดี 38:13-14; อิสยาห์ 53:7; ยอห์น 19:9
6* มัทธิว 27:15-26
11* กิจการ 3:14
12* มีคาห์ 5:2
14* 1 เปโตร 2:21-23
15* มัทธิว 27:26; อิสยาห์ 53:8
16* มัทธิว 27:27-31
19* อิสยาห์ 50:6; 52:14; 53:5; มีคาห์ 5:1



20* ลูกา 22:63; 23:11
21* มัทธิว 27:32
22* ยอห์น 19:17-24
23* มัทธิว 27:34
24* สดุดี 22:18
25* ยอห์น 19:14
26* มัทธิว 27:37
27* อิสยาห์ 53:9, 12; ลูกา 22:37
28* อิสยาห์ 53:12; ลูกา 22:37
29* สดุดี 22:6-7; 69:7; 109:25; ยอห์น 2:19-21
30* สดุดี 22:8
31* สดุดี 69:19; ลูกา 18:32; ยอห์น 11:43

32* สดุดี 22:8; มัทธิว 27:44
33* อาโมส 8:9; ลูกา 23:44-49
34* สดุดี 22:1
36* ยอห์น 19:29; สดุดี 69:21
37* มัทธิว 17:23; 27:50
38* อพยพ 26:31-33; เศคาริยาห์ 11:10-11
39* ลูกา 23:47
40* มัทธิว 27:55; สดุดี 38:11
41* ลูกา 8:2-3
42* ยอห์น 19:38-42
43* อิสยาห์ 53:9; ลูกา 2:25, 38; 23:51
46* มัทธิว 27:59-60; 26:12; มาระโก 14:8

มาระโก 14 ก้าวสู่แดนประหาร

แผนสังหารพระเยซู
(มัทธิว 26:1–5; ลูกา 22:1–2; ยอห์น 11:45–57)
1 อีกสองวันก็จะถึงเทศกาลปัสกาและเทศกาลขนมปังไร้เชื้อและเหล่าหัวหน้าปุโรหิตและธรรมาจารย์กำลังหาวิธีที่จะลอบจับกุม และสังหารพระเยซูอย่างลับ ๆ
2 “แต่อย่าลงมือในช่วงเทศกาล”พวกเขากล่าว “ไม่อย่างนั้น ผู้คนอาจจะก่อความไม่สงบขึ้นมาได้”

ระวัง
ประชาชน
ก่อจลาจล!

การชโลมที่เบธานี
(มัทธิว 26:6–13; ลูกา 7:36–50; ยอห์น 12:1–8)
3 ขณะที่พระเยซูทรงอยู่ในบ้านเบธานี ประทับนั่งเอนพระกาย ที่โต๊ะอาหารบ้านของซีโมนชายโรคเรื้อน มีหญิงผู้หนึ่งนำกระปุกใส่น้ำมันหอมบริสุทธิ์ราคาแพงมากมา น้ำมันหอมนั้นทำจากไม้หอมบริสุทธิ์ เธอทุบกระปุก และเทน้ำมันหอมลงบนพระเศียรของพระเยซู!
4 บางคนที่อยู่ด้วยได้แสดงความเห็นต่อกันอย่างไม่พอใจว่า “เหตุใดจึงทำให้น้ำมันหอมนี้เสียเปล่าเล่า?
5 ถ้าเอาไปขายก็ได้เงินมากกว่าสามร้อยเดนาริอัน (ค่าจ้างคนงานทั้งปี) และเอาเงินไปแจกให้คนยากจนได้” และพวกเขายังตำหนิเธอด้วย
6 แต่พระเยซูตรัสว่า “ปล่อยเธอไป เหตุใดพวกเจ้าต้องกวนใจเธอด้วย? เธอได้ทำสิ่งที่ดีงามให้กับเรา
7 คนยากคนจะอยู่กับเจ้าเสมอ และเจ้าก็ช่วยพวกเขาเมื่อไรก็ได้ แต่เราจะไม่อยู่กับพวกเจ้าตลอดไป
8 เธอได้ทำสิ่งที่ทำได้เพื่อเจิมร่างของเราล่วงหน้า ก่อนที่จะมีพิธีศพ



9 และเราขอบอกความจริงแก่เจ้าว่า ไม่ว่าข่าวประเสริฐจะถูกประกาศในที่แห่งใดในโลก สิ่งที่เธอทำนี้จะถูกกล่าวถึงเป็นการระลึกถึงเธอ

ยูดาสตกลงใจที่จะทรยศพระเยซู
(มัทธิว 26:14–16; ลูกา 22:3–6)
10 แล้วยูดาส อิสคาริโอท ซึ่งเป็นหนึ่งในศิษย์สิบสองคน ได้ไปหาเหล่าหัวหน้าปุโรหิต เพื่อจะมอบพระองค์ให้พวกเขา 11 ได้ยินอย่างนั้น พวกเขาต่างดีใจ และสัญญาว่าจะให้เงินแก่เขา ยูดาสจึงเฝ้ารอโอกาสที่จะทรยศพระเยซู

เตรียมปัสกา
(มัทธิว 26:17–19; ลูกา 22:7–13)
12วันแรกของเทศกาลขนมปังไร้เชื้อ เมื่อมีการฆ่าเพื่อถวายลูกแกะปัสกา
พวกศิษย์ของพระเยซูทูลถามว่า “พระองค์ท่านต้องการให้พวกเราเตรียมปัสกาเพื่อให้พระองค์รับประทานที่ไหนขอรับ?”
13 ดังนั้นพระองค์จึงทรงส่งศิษย์สองคนไป ตรัสว่า “จงเข้าไปในเมือง จะมีชายคนหนึ่งแบกเหยือกน้ำมาพบเจ้า จงตามเขาไป
14 ไม่ว่าเขาจะเข้าไปบ้านไหน ก็จะกล่าวกับเจ้าของบ้านว่า ‘ท่านอาจารย์ถามว่า ห้องรับแขกของเราอยู่ที่ไหน? และเราจะรับประทานปัสกากับศิษย์ของเราได้ที่ไหน?’
15 และเขาก็จะชี้ให้เจ้าดูห้องใหญ่ชั้นบนที่ตกแต่ง เตรียมไว้พร้อมแล้ว จงเตรียมปัสกาไว้ให้เราที่นั่น”

16ดังนั้นศิษย์ทั้งสองก็เข้าไปในเมือง และที่นั่นพวกเขาก็พบทุกสิ่งตามที่พระเยซูทรงบอกไว้ และพวกเขาก็เตรียมปัสกา

อาหารมื้อสุดท้าย
(มัทธิว 26:20–30; ลูกา 22:14–23; 1 โครินธ์ 11:17–34)
17 เมื่อถึงเวลาค่ำ พระเยซูทรงมาถึงพร้อมกับศิษย์ทั้งสิบสอง
18 และขณะที่พวกเขาเอนกาย และรับประทานอยู่นั้น พระเยซูตรัสว่า “เราบอกความจริงแก่เจ้าว่า มีคนหนึ่งในพวกเจ้าที่กำลังรับประทานด้วยกันกับเราจะทรยศเรา”
19พวกเขารู้สึกเสียใจ และถามพระองค์ทีละคนว่า “เป็นข้าพเจ้าหรือไม่?”

20 พระองค์ทรงตอบว่า “เขาคือคนหนึ่งในสิบสองคน คนที่กำลังจิ้มขนมปังในชามนี้ร่วมกับเรา
21บุตรมนุษย์จะต้องไป ตามที่มีเขียนไว้เกี่ยวกับท่าน แต่วิบัติมายังคนที่ทรยศท่าน จะว่าไปแล้วหากเขาไม่ได้เกิดมาก็ดีกว่า”

พิธีมหาสนิท
22 ขณะที่เขากำลังรับประทานกันอยู่ พระเยซูทรงหยิบขนมปัง และขอพระพร ทรงหักขนมปังเป็นชิ้น ยื่นให้กับศิษย์ ตรัสว่า “จงรับไปเถิด นี่คือกายของเรา”


23 แล้วพระองค์ทรงหยิบถ้วย ทรงขอบพระคุณพระเจ้า แล้วประทานให้เขา ทุกคนก็ดื่มจากถ้วยนั้น
24 พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า
นี่เป็นโลหิตแห่งพันธสัญญาของเรา ซึ่งต้องเทออกเพื่อคนจำนวนมาก
25 เราบอกความจริงว่า เราจะไม่ดื่มจากน้ำจากผลองุ่นนี้อีกจนกว่าถึงวันที่เราจะดื่มใหม่อีกครั้งในอาณาจักรของพระเจ้า”

26และหลังจากที่ร้องเพลงสรรเสริญแล้ว พวกเขาก็ออกไปยังภูเขามะกอกเทศ

พระเยซูทรงบอกเรื่องที่เปโตรปฏิเสธพระองค์ล่วงหน้า
(เศคาริยาห์ 13:7–9; มัทธิว 26:31–35; ลูกา 22:31–38; ยอห์น 13:36–38)

27 แล้วพระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “พวกเจ้าจะทิ้งเราไป เพราะมีคำเขียนว่า ‘เราจะฟาดผู้เลี้ยงแกะ แล้วแกะทั้งหลายจะกระจัดกระจายไป’
28 แต่หลังจากที่เราคืนชีพขึ้นมา เราจะไปยังกาลิลีก่อนหน้าพวกเจ้า”

29 เปโตรกล่าวออกมาว่า “แม้คนอื่นจะทิ้งพระองค์ไป แต่ข้าพเจ้าจะไม่ทำอย่างนั้น”
30​“เราบอกเจ้าจริง ๆ” พระเยซูตรัสตอบ “คืนนี้ ก่อนไก่ขันสองครั้ง เจ้าจะปฏิเสธว่าไม่รู้จักเราสามครั้ง”
31แต่เปโตรยังยืนยันหนักแน่นว่า “ถึงแม้ข้าพเจ้าจะต้องตายกับพระองค์ ข้าพเจ้าจะไม่ปฏิเสธพระองค์แน่นอน”
ศิษย์คนอื่น ๆ ก็พูดอย่างเดียวกัน

พระเยซูทรงอธิษฐานในสวนเกทเสมนี
(มัทธิว 26:36–46;ลูกา 22:39–46)
32 แล้วพวกเขามาถึงสถานที่แห่งหนึ่งเรียกว่า เกทเสมนี และพระเยซูตรัสกับศิษย์ว่า “จงนั่งอยู่ที่นี่ ตอนที่เราไปอธิษฐาน”
33พระองค์ทรงพาเปโตร ยากอบ และยอห์นไปกับพระองค์ และทรงปวดร้าวพระทัยลึกนัก และทรงหนักพระทัยเป็นอย่างมาก
34 แล้วพระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “จิตวิญญาณของเราเป็นทุกข์หนักแทบจะตายอยู่แล้ว จงอยู่ที่นี่ และเฝ้าระวังไว้”
35 พระองค์ทรงเดินไปอีกหน่อย ทรงซบพระพักตร์ลงและอธิษฐานว่า หากเป็นไปได้ ขอให้ชั่วโมงนั้นพ้นผ่านไปจากพระองค์
36 “โอ อับบา พระบิดาเจ้า” พระองค์ทูล “ทุกอย่างเป็นไปได้สำหรับพระองค์ ขอทรงเอาถ้วยนี้ออกไปจากข้าพระองค์ด้วย แต่อย่าให้เป็นตามใจข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระองค์เถิด”
37 แล้วพระเยซูทรงกลับมา พบศิษย์หลับอยู่ “ซีโมนเอ๋ย เจ้าหลับอยู่หรือ?”พระองค์ตรัสถาม “เจ้าไม่อาจเฝ้าระวังอยู่สักชั่วโมงเลยหรือ?
38 จงเฝ้าระวังและอธิษฐาน เพื่อว่าเจ้าจะไม่เข้าไปในการทดลอง เพราะวิญญาณพร้อมก็จริง แต่ร่างกายอ่อนกำลัง

39 พระองค์ทรงออกไปอีกครั้งและอธิษฐาน ตรัสอย่างเดียวกัน
40 ทรงกลับมาอีก และพบพวกเขาหลับอยู่ เพราะง่วงมากจนลืมตาไม่ขึ้น พวกเขาไม่รู้จะตอบพระองค์อย่างไร
41 เมื่อพระเยซูทรงกลับมาครั้งที่สาม พระองค์ตรัสว่า “พวกเจ้ายังจะนอนหลับพักผ่อนอยู่อีกหรือ? พอเถอะ ! เวลามาถึงแล้ว ดูสิ บุตรมนุษย์ถูกทรยศให้ตกในเงื้อมมือคนบาป
42 ลุกขึ้นเถิด ไปกัน ดูสิ คนทรยศมาใกล้เต็มที!”

การทรยศพระเยซู
(มัทธิว 26:47–56; ลูกา 22:47–53; ยอห์น 18:1–14)
43 ขณะที่พระเยซูยังคงตรัสไม่ขาดคำ ยูดาสซึ่งเป็นหนึ่งในศิษย์สิบสองคนก็มาถึง โดยมีฝูงชนถือดาบและกระบองมาด้วย พวกหัวหน้าปุโรหิต ธรรมาจารย์และ ผู้อาวุโสเป็นคนส่งพวกเขามา
44 และตอนนี้เองที่คนทรยศได้ส่งสัญญาณที่เตรียมไว้กับพวกเขา “คนที่ข้าไปจูบก็คือชายคนนั้น พวกเจ้าจับกุมและคุมตัวเขาไปได้เลย”
45 ยูดาสตรงเข้าไปหาพระเยซู กล่าวว่า “รับบี!” และจูบพระองค์
46 แล้วคนเหล่านั้นก็ยึดและจับกุมพระองค์ไว้
47 มีคนที่ยืนดูอยู่คนหนึ่ง ชักดาบออกมาและฟันหูของคนรับใช้ปุโรหิตใหญ่คนหนึ่งออก
48 พระเยซูตรัสว่า “พวกเจ้าออกมาจับเราพร้อมดาบและกระบองราวเหมือนกับจับโจรอย่างนั้นหรือ?
49 ทุกวันเราอยู่กับพวกเจ้า สอนในบริเวณพระวิหาร และเจ้าไม่จับกุมเรา แต่ที่เกิดเหตุเช่นนี้ก็เพื่อเป็นจริงตามพระคัมภีร์”

50 จากนั้นทุกคนก็หนีไป ทิ้งพระองค์ไว้

51 มีชายหนุ่มคนหนึ่งที่เคยติดตามพระเยซู เขาใช้ผ้าลินินคลุมตัวไว้ แล้วพวกเขาก็ดึงตัวชายคนนั้นไว้
52 แต่เขาสลัดผ้าทิ้ง วิ่งหนีไปทั้ง ๆ ที่เปลือยกาย

พระเยซูต่อหน้าสภาแซนเฮดริน
(มัทธิว 26:57–68; ลูกา 22:66–71; ยอห์น 18:19–24)
53 พวกเขานำพระเยซูไปพบมหาปุโรหิตใหญ่ และหัวหน้าปุโรหิตทั้งหลาย รวมทั้งผู้อาวุโสและธรรมาจารย์ที่เข้ามาชุมนุมกัน
54 ส่วนเปโตรตามพระเยซูมาห่าง ๆ จนถึงลานบ้านของมหาปุโรหิต เขาไปนั่งผิงไฟกับพวกเจ้าหน้าที่
55 ตอนนี้ทั้งหัวหน้าปุโรหิตและทั้งสภาแซนเฮดริน พยายามรวบรวมหลักฐานปรักปรำพระเยซูเพื่อให้ต้องโทษถึงประหารชีวิต แต่พวกเขาก็ไม่สามารถหาหลักฐานได้
56 หลายคนขึ้นเป็นพยานเท็จปรักปรำพระองค์ แต่คำให้การของพวกเขากลับไม่สอดคล้องกันเลย
57 แล้วมีบางคนยืนขึ้นเป็นพยานเท็จกล่าวหาพระองค์

58 “เราได้ยินเขากล่าวว่า ‘เราจะทำลายวิหารที่มนุษย์สร้างขึ้น และภายในสามวันเราจะสร้างวิหารขึ้นใหม่ที่ไม่ได้สร้างด้วยมือ’ ”
59 ถึงอย่างนั้น คำพยานของเขาก็ยังไม่สอดคล้องกัน
60 ดังนั้น ปุโรหิตใหญ่จึงยืนขึ้นต่อหน้าพวกเขา ถามพระเยซูว่า “ท่านไม่มีคำตอบอะไรเลยรึ? จะว่าอย่างไรกับคำกล่าวหาของคนพวกนี้?”
61แต่พระเยซูยังคงนิ่งและไม่ทรงตอบอะไร ปุโรหิตใหญ่ถามพระองค์อีกครั้งว่า “ท่านเป็นพระคริสต์ (พระเมสสิยาห์) พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงเป็นที่สรรเสริญอย่างนั้นหรือ?”
62 “เราคือผู้นั้น” พระเยซูตรัส “และเจ้าจะได้เห็นบุตรมนุษย์ประทับ ณ เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์ผู้ทรงฤทธิ์ และเสด็จมาพร้อมกับหมู่เมฆแห่งสวรรค์”
63 เป็นเช่นนี้ มหาปุโรหิตจึงฉีกเสื้อของตนและประกาศว่า “เราจะต้องไปหาพยานที่ไหนอีก?
64 ท่านทั้งหลายได้ยินเขาพูดหมิ่นประมาทแล้วไง ท่านตัดสินอย่างไรเล่า? พวกเขาจึงรวมหัวกันตัดสินว่า พระองค์สมควรรับโทษประหาร
65 แล้วบางคนก็เริ่มต้นถ่มน้ำลายใส่พระองค์ พวกเขาเอาผ้ามาผูกปิดพระเนตร และต่อยพระองค์ ถามว่า
“ทำนายมาสิ!” พวเจ้าหน้าที่มานำตัวพระองค์ไปพร้อมกับตบพระพักตร์

เปโตรปฏิเสธพระเยซู
(มัทธิว 26:69–75; ลูกา 22:54–62; ยอห์น 18:15–18)
66 ขณะที่เปโตรยังอยู่ที่ลานบ้านข้างล่างนั้นเอง มีสาวใช้ของมหาปุโรหิตคนหนึ่งเดินผ่านมา
67 เห็นเขากำลังผิงไฟอยู่ เธอมองตรงไปที่เปโตร และกล่าวว่า “เจ้าก็อยู่กับท่านเยซูแห่งนาซาเร็ธด้วย”
68 แต่เขาปฏิเสธ “ข้าไม่รู้จักท่านสักหน่อย เจ้าพูดอะไรข้าไม่เข้าใจ” แล้วเขาก็ออกไปยังทางเข้าออก และตอนนั้นเองไก่ก็ขัน
69 ที่นั่น สาวใช้คนนั้นเห็นเขา จึงพูดกับคนที่ยืนแถวนั้นอีกว่า “ชายคนนี้เป็นพวกเดียวกันกับเขา”
70 แต่เปโตรก็ปฏิเสธอีก สักครู่ต่อมา คนที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ พูดกับเขาว่า “แน่เลย เจ้าเป็นหนึ่งในพวกเขา เพราะสำเนียงเจ้าบอกว่า เจ้าเป็นชาวกาลิลี”
71 แต่เขาเริ่มต้นสบถ และสาบานขึ้นมา “ข้าไม่รู้จักชายคนที่เจ้าพูดถึงสักหน่อย”

72 ทันใดนั้นเอง ไก่ก็ขันเป็นครั้งที่สอง
แล้วเปโตรก็นึกถึงคำที่พระเยซูตรัสกับเขาว่า “ก่อนที่ไก่ขันสองครั้ง เจ้าจะปฏิเสธเราสามครั้ง” เปโตรคิดขึ้นได้นั้น เขาก็ร้องไห้ออกมา

คำอธิบายเพิ่มเติม

มาระโก 14:1-2
การฉลองปัสกาอยู่ในวันที่สิบสี่ของเดือนนิสาน(เทียบได้กับมีนาคม-เมษายน) ส่วนเทศกาลขนมปังไร้เชื้อจะทำในวันที่สิบห้าต่อไปจนถึงวันที่ยี่สิบเอ็ดเดือนเดียวกัน พวกผู้นำต้องการจับกุมและสังหารพระเยซูอย่างจริงจังและต้องการทำแบบลับ ๆ ไม่ให้ใครรู้ด้วย แต่อุปสรรคคือ ในช่วงเทศกาลจะมีชาวยิวเข้ามารวมตัวกันในกรุงเยรูซาเล็มมากมายถ้าคนรู้เข้าก็จะเกิดเรื่องแน่นอน

มาระโก 14:3-9
เราไม่ทราบว่า ซีโมนคนนี้เป็นคนเดียวกับที่พระเยซูทรงรักษาในบทที่ 1:40-42 หรือไม่ดูเหมือนน่าจะเป็นเขา เพราะเขาไม่ต้องออกไปอยู่เองนอกเมืองตามกฎบัญญัติแล้ว แต่มีบ้านที่สามารถรับแขกได้ด้วย พระเยซูได้ไปรับประทานอาหารที่บ้านชายคนนี้
แล้วมีเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้น คือ ผู้หญิงคนหนึ่งเอาน้ำมันหอมราคาแพงมาเทบนพระเศียรของพระองค์ … (เรื่องนี้แตกต่างจากอีกเรื่องที่มีผู้หญิงชโลมพระบาท) คนที่เห็นต่างวิพากษ์วิจารณ์กันไป ทั้ง ๆ ที่ตัวเองไม่ได้เสียหายอะไร ไม่ได้จ่ายค่าน้ำมันหอมนั้น แต่พระเยซูทรงห้ามพวกเขาไว้ และยังตรัสด้วยว่า ไม่ว่าเรื่องของพระเจ้าประกาศที่ใด ผู้คนก็จะรู้เรื่องนี้ด้วย และก็เป็นจริงดังนั้น เพราะมาระโก มัทธิว ก็ได้บันทึกเรื่องราวนี้ไว้ ส่วนยอห์น 12 ได้บอกถึงมารีย์ที่ชโลมพระบาท
พระเยซูทรงทราบล่วงหน้าอยู่แล้ว และทรงแจ้งให้ศิษย์ทราบด้วยว่า พระองค์จะสิ้นพระชนม์อย่างไร แต่ดูเหมือนพวกศิษย์จะไม่ได้สนใจมาก พวกเขารู้สึกเหมือนว่า พระเยซูจะทรงอยู่กับพวกเขาไปตลอด. น้ำมันหอมดังกล่าวราคาแพงขนาดค่าจ้างแรงงานทั้งปี และพระเยซูก็ไม่ได้ทรงเรียกร้องสิ่งนั้น แต่เป็นสิ่งที่เธออยากจะทำถวายพระเยซู … มีคำถามเดียวว่า พวกเราแต่ละคน มีอะไรบ้างที่จะทำถวายพระเยซูอย่างเธอคนนี้?

มาระโก 14:10-11
จากเรื่องเดียวกันนี้ มัทธิวได้บันทึกว่า ยูดาสตกลงราคาที่สามสิบเหรียญ
จากวันนี้ได้ ยูดาสก็คอยโอกาสที่จะได้เงินนั้นมาเป็นของคนทั้ง ๆ ที่หมายถึงเขาต้องทรยศพระเจ้าและพระอาจารย์ของเขา
นี่คือสิ่งที่ยูดาสแตกต่างจากผู้หญิงคนที่มาเทน้ำมันเจิมพระเยซูมาก ทั้ง ๆ ที่เขาเป็นศิษย์วงในของพระองค์

มาระโก 14:12-16
ลูกแกะจะถูกฆ่าในวันที่สิบสี่ตอนเย็น วันต่อมาคือวันที่สิบห้าของเดือนนิสาน ก็เป็นเทศกาลขนมปังไร้เชื้อต่อจากเทศกาลปัสกา นี่นับเป็นวันพฤหัส ซึ่งพระเยซูทรงเตรียมที่สำหรับการรับประทานอาหารปัสการ่วมกัน พระองค์ทรงส่งเปโตร และยอห์นไปพบชายคนหนึ่งที่แบกเหยือกน้ำมา และคนนี้จะบอกว่า สถานที่รับประทานอาหารปัสกาอยู่ที่ไหน ซึ่งมีการจัดอยู่ที่ห้องชั้นบนที่ตกแต่งไว้แล้ว และพระเยซูทรงให้ศิษย์ทั้งสองเตรียมอาหารให้ที่นั่น สถานที่แห่งนี้น่าจะเป็นที่เดียวกับห้องชั้นบนที่ผู้เชื่อรอคอยพระวิญญาณในกิจการ 1:13

มาระโก 14:17-21
สดุดี 41:9 บันทึกว่า “แม้กระทั่งเพื่อนของข้า คนที่ข้าไว้ใจ  คนที่กินอาหารกับข้า ก็ยังหันหลังให้” และสิ่งนั้นก็เกิดขึ้นกับพระเยซูจริง ๆ
นั่นคือยูดาสที่จิ้มขนมปังชามเดียวกับพระเยซู แต่ศิษย์ทั้งหลายก็ไม่เข้าใจแม้พวกเขาจะถามพระองค์ และได้รับคำตอบอย่างชัดเจน มัทธิว
มาระโกและยอห์นได้บันทึกเหตุการณ์ตอนนี้ไว้ มีรายละเอียดต่างกันบ้างนิดหน่อย ตามแต่ว่าแต่ละคนเห็นอะไรชัดกว่ากัน มัทธิว ยอห์นบอกชัดว่า คน ๆ ที่จะทรยศพระเยซูก็คือยูดาห์นั่นเอง
พระเยซูทรงรู้ล่วงหน้าว่า ยูดาห์จะเลือกทรยศพระองค์ เพราะเห็นแก่เงิน แต่ก็ยังทรงเลือกเขาให้เป็นศิษย์ใกล้ชิด … แปลกจริง
หลังจากตอนนี้ ยูดาห์ออกไปจากห้อง เขาไม่ได้มีส่วนในพิธีมหาสนิท

มาระโก 14:22-26
ในการรับประทานอาหารปัสกาแบบนี้ ทุกอย่างที่ทำ ที่กินเข้าไปมีความหมายทั้งสิ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นการระลึกถึงการเป็นทาสในอียิปต์ ความทุกข์ทรมาน และการได้เป็นอิสระออกมาพวกเขาจะกินขนมปังไร้เชื้อ เพื่อระลึกถึงการหนีจากอียิปต์ ขนมปังจะเป็นแผ่นที่ต้องหักกิน พวกเขาไม่มีเวลารอให้ขนมปังฟูขึ้นด้วยเชื้อ
พระเยซูทรงเปรียบเทียบขนมปังนี้ว่าเป็นพระกายของพระองค์ ที่กินแล้วจะไม่ตาย คือเรายอมให้พระองค์มาเป็นส่วนในชีวิตของเรา
ส่วนเหล้าองุ่นนั้น พระองค์ทรงอ้างถึงพระโลหิตแห่งพันธสัญญาใหม่ ในวันที่พระองค์จะสิ้นพระชนม์เพื่อรับโทษบาปแทนมนุษย์บนไม้กางเขน การที่ดื่มเข้าไปนั้นบ่งบอกถึงว่า ฤทธิ์เดชการชำระบาปได้เข้าไปในชีวิต จะเปลี่ยนแปลงชีวิตจากข้างในมายังข้างนอก
การร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าจากการทำพิธีมหาสนิทแบบนี้ มักจะร้องจากหนังสือสดุดี 116-118 เราจะเห็นว่า พระเยซูทรงร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าก่อนที่พระองค์จะถูกจับในคืนเดียวกันนั้นเอง

มาระโก 14:27-31
ระหว่างทางนั้นเอง พระเยซูทรงบอกเหตุการณ์สำคัญอย่างหนึ่งล่วงหน้าแก่เปโตรและศิษย์คนอื่น นั่นคือ พวกเขาจะทิ้งพระองค์ไปแน่นอน เมื่อพระองค์ถูกจับกุม แต่เปโตรและทุกคนยืนกรานว่า จะไม่มีวันปฏิเสธพระองค์ และตรัสด้วยว่า พระองค์จะไปรอพวกเขาที่กาลิลี ซึ่งเมื่อพวกเขาเจอทูตสวรรค์ในเช้าวันที่คืนพระชนม์ ทูตก็ได้ย้ำคำนี้ด้วย (16:7)
เปโตรมั่นใจมากเป็นคนแรกว่า เขาจะไม่ทิ้งพระองค์ แต่สิ่งที่ทรงตอบเขากลับมานั้น น่าจะทำให้เปโตรเสียหน้าพอควรเลยทีเดียว
มีมาระโกเท่านั้นที่บันทึกว่า เปโตรจะปฏิเสธพระเยซูสามครั้งก่อนไก่ขันสองครั้ง เชื่อว่า เมื่อเปโตรเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้มาระโกฟัง เขายังรู้สึกเจ็บปวดกับเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่

มาระโก 14:32-42
ในเวลาเช่นนี้ พระเยซูทรงต้องการเข้าเฝ้าพระบิดาเป็นที่สุด เพราะสิ่งที่จะทรงเผชิญต่อไปคือ ความตายที่น่าอับอายดั่งนักโทษประหาร ความน่ากลัวของการรับโทษบาปของคนทั้งโลก การทำตามพระทัยพระบิดาโดยที่เวลาหนึ่งพระองค์จะทรงถูกทอดทิ้ง แม้จะเป็นเวลาไม่นานในสายตาของพวกเรา แต่พระองค์ไม่เคยห่างจากพระบิดาเลย…เป็นเวลาที่ไม่ควรเกิดขึ้นกับพระเยซูพระบุตรเลย
ทรงเป็นทุกข์เจียนตาย ศิษย์ของพระองค์ไม่อาจเข้าใจถึงความเจ็บปวดในพระทัยได้ คนอื่น ๆ ทรงให้นั่งอยู่ แต่ทรงนำเปโตร ยากอบ และยอห์นไปด้วย แม้กระนั้น ทั้งสามก็ไม่ได้เข้าไปอธิษฐานพร้อมกับพระองค์ พวกเขาเห็นการคร่ำครวญของพระองค์ ได้ยินคำอธิษฐานนั้นบางส่วน แต่แล้วก็หลับไป เป็นอย่างนี้ถึงสามรอบ พวกเขาง่วง เหนื่อยจนไม่อาจนั่งอธิษฐานกับพระเยซูได้
พระเยซูทรงเป็นทุกข์มากจนถึงกับขอว่า หากเป็นได้ .. ก็ขอให้ไม้กางเขนนั้นผ่านไป แต่..พระบิดาได้ไม่ได้ทรงประสงค์เช่นนั้น เพราะเป็นถ้วยแห่งพระพิโรธที่พระบุตรผู้เดียวเท่านั้นที่ดื่มได้! (ยอห์น 18:11)
ในคำอธิษฐานของพระเยซู คำว่า ถ้วยนี้คือ ถ้วยแห่งพระพิโรธของพระเจ้าที่มีต่อบาปของมนุษย์ซึ่งจริง ๆ แล้ว ไม่ใช่เป็นบาปของพระองค์ที่ต้องมารับเลย (อิสยาห์ 57:17; สดุดี 75:8) แต่พระองค์ทรงรับแทนมนุษย์ที่พระเจ้าทรงรัก แม้ว่าพวกเขาจะกบฏต่อพระองค์มากแค่ไหนก็ตาม
และพระองค์ก็ตรัสให้เขาและเรารู้ว่า การเฝ้าระวังและอธิษฐานสำคัญมาเพื่อจะไม่เข้าในการทดลอง เป็นงานสำคัญที่ต้องตั้งใจสู้ ไม่ใช่ตั้งรับอย่างเดียว

มาระโก 14:43-52
ที่ยูดาสออกไปจากการกินอาหารร่วมกันนั้น ก็เพื่อไปรวบรวมทหารและผู้คนมาจับกุมพระเยซูนั่นเอง ยอห์นกล่าวว่าเป็นกองทหารกับเจ้าหน้าที่จากปุโรหิต ถ้าเป็นทหารหนึ่งกองจะมีประมาณ 600 คน พวกเขาตั้งใจมาจับกุมเพื่อนำพระองค์ไปประหารให้ได้ พวกเขามีทั้งดาบและกระบองมาครบครัน และยูดาสก็เข้ามาพบพระองค์ จูบพระองค์เป็นเครื่องหมายให้คนเหล่านั้นรู้ว่า คนนี้แหละ พระเยซู!
ในเหตุการณ์นี้ มีทาสคนหนึ่งถูกฟันหูขาด มาระโกไม่บอกว่าใคร แต่ยอห์นบันทึกว่าเป็นเปโตรที่ทำเช่นนั้น (ยอห์น 18:10)
จะเห็นได้ว่า พระเยซูไม่ได้หลบ ไม่หนี ไม่ต่อต้าน แต่เพียงกล่าวให้พวกเขารู้ว่า ที่พวกเขาพากันมาจับพระองค์ในลักษณะนี้เพราะเป็นไปตามพระคัมภีร์ที่เขียนไว้ถึงพระองค์ (อิสยาห์ 53:7-9)
ดูสถานการณ์แล้ว พระเยซูทรงยอมให้พวกเขาจับพระองค์แน่นอน ศิษย์ของพระองค์ทุกคนก็เลยพากันหนีไปหมด เกรงว่าตัวเองจะโดนจับตามไปด้วย
เป็นเพราะมาระโกเท่านั้นที่เล่าเรื่องนี้ หลาย ๆ คนจึงให้ความเห็นว่า ชายหนุ่มคนนี้น่าจะเป็นมาระโกนั่นเอง

มาระโก 14:53-65
การสอบสวนพระเยซูนั้น แบ่งเป็นสองขั้นตอนคือ กับสภาสูงของยิวก่อนแล้วจึงส่งพระองค์ไปสอบสวนโดยผู้มีอำนาจจากโรม
หลังจากที่ยูดาห์พาทหารไปจับกุมพระเยซู ก็พามายังผู้นำศาสนายิวที่บ้านของมหาปุโรหิต
ถ้าเรานำเรื่องราวจากมัทธิว มาระโก ลูกา ยอห์น มาเรียบเรียงให้ถูกตามเวลา เราจะเห็นถึงขบวนการทั้งหมด ตอนนี้เราดูว่า มาระโกรายงานว่าอย่างไร …
1 หัวหน้าปุโรหิตและสภาสูงพยายามหาหลักฐานมาเพื่อให้พระเยซูถูกตัดสินประหาร แต่หาไม่ได้
2 เอาคนมาเป็นพยานเท็จ แต่คำพยานของคนเหล่านั้นขัดแย้งไปคนละทิศละทาง
3 ในที่สุดจึงถามพระเยซูเอง .. พระองค์ไม่ตอบ
4 เมื่อพวกเขาถามว่า พระองค์ทรงเป็นพระเมสสิยาห์ที่พระเจ้าทรงเจิม พระองค์ทรงตอบว่าทรงเป็นผู้นั้น …​จุดนี้เองที่ทำให้พวกเขาเอามาเป็นข้อฟ้องร้องพระองค์เท่ากับตอนนี้ ผู้นำศาสนายิวได้บทสรุปว่า พระเยซูสมควรถูกประหารจากนั้นก็มีการเยาะเย้ยถากถางพระองค์ มีคนถ่มน้ำลายรดพระเยซู เอาผ้าปิดพระเนตร และให้ทายว่าใครทำร้าย
ถ้าเป็นสำนักงานข่าว เราจะพบว่า มาระโกรายงานเพียงเท่านี้

มาระโก 14:66-72
แล้วมาระโกก็หันไปรายงานเรื่องของเปโตรที่ได้ปฏิเสธพระเยซู
เราจะเห็นว่า เขาเดินตามพระเยซูไปห่าง ๆ ยังมีความกลัวว่าพวกทหารอาจจะจับเขาไปด้วย และในความกลัวนี้เอง เมื่อมีคนทักสามครั้งทำให้เขา
ปฎิเสธพระองค์ทันที
ครั้งที่ 1 พูดว่า ไม่รู้จัก ไม่รู้เรื่องที่เขาพูดออกมา
ครั้งที่ 2 ปฎิเสธอีกครั้ง
ครั้งที่ 3 คนจับได้ว่าสำเนียงทางเหนือ เริ่มสบถ
บอกว่าไม่รู้จักอีก
เมื่อไก่ขันครั้งที่สอง เปโตรก็นึกได้ว่า พระเยซูได้ตรัสไว้ล่วงหน้าแล้วว่า เขาจะปฏิเสธพระองค์ เขาเสียใจมาก …
เปโตรได้รับการฟื้นฟูอีกครั้ง พระเยซูทรงให้โอกาสเขาบอกรักพระองค์ถึงสามครั้งหลังจากที่ทรงฟื้นจากความตาย (ยอห์น 21 )
แต่น่าเสียดาย ยูดาส อิสการิโอท ไม่ได้กลับใจ แต่ตัดสินใจทำร้ายตัวเอง ทำให้หมดโอกาสที่จะรื้อฟื้นความสัมพันธ์กับพระเยซูอีกครั้ง (กิจการ 1:18)




พระคำเชื่อมโยง

Cross Reference มาระโก 14
1* ลูกา 22:1-2; อพยพ 12:1-27
3* ลูกา 7:37
5* มัทธิว 18:28; ; ยอห์น 6:61
7* เฉลยธรรมบัญญัติ 15:11; ยอห์น 7:77; 8:21; 14:2, 12; 16:10, 17, 28
8* ยอห์น 19:40-42
9* ลูกา 24:47
10* มัทธิว 10:2-4
12* มัทธิว 26:17-19
17* มัทธิว 26:20-24
18* สดุดี 41:9; ยอห์น 6:70, 71; 13:18
21* ลูกา 22:22
22* 1โครินธ์ 11:23-25; 1 เปโตร 2:24
26* มัทธิว 26:30
27* มัทธิว 26:31-35; เศคาริยาห์ 13:7

28* มาระโก 16:729* ยอห์น 13:37-38
30* มาระโก 14:72; ลูกา 22:6132* ลูกา 22:40-46
33* มาระโก 5:37; 9:2; 13:3
34* ยอห์น 12:27
36* กาลาเทีย 4:6; ฮีบรู 5:7; อิสยาห์ 50:5; ยอห์น 5:30; 6:38
38* ลูกา 21:36; โรม 7:18; 21-24
41* ยอห์น 13:1; 17:142* ยอห์น 13:21; 18:1-2; มัทธิว 20:18; 26:2143* ลูกา 22:47-53
44* สุภาษิต 27:648* มัทธิว 26:55
49* มัทธิว 21:23; อิสยาห์ 53:7
50* สดุดี 88:8
53* มัทธิว 26:57-68; มาระโก 15:1; ยอห์น 7:32; 18:3; 19:6
54* ยอห์น 18:15

55* มัทธิว 26:59
56* อพยพ 20:1657* สดุดี 27:12; 35:11
58* ยอห์น 2:19
60* มัทธิว 26:62
61* อิสยาห์ 53:7; ลูกา 22:67-7162* ลูกา 22:69
64* ยอห์น 10:33, 36; มัทธิว 20:18; มาระโก 10:33;ยอห์น 19:7
65* อิสยาห์ 50:6; 52:1466* ยอห์น 18:16-18; 25-27
67* ยอห์น 1:45
69* มัทธิว 26:71
70* ลูกา 22:59
71* กิจการ 2:7
72* มัทธิว 26:75

มาระโก 13 จงเฝ้าระวัง!

หมายสำคัญและหายนะของพระวิหาร
จะเกิดขึ้นเมื่อไรกัน?
(Matthew 24:1–8; Luke 21:5–9)
1 ขณะที่พระเยซูทรงออกจากพระวิหาร ศิษย์คนหนึ่งทูลว่า “ท่านอาจารย์ ดูสิว่า ศิลานี้ก้อนใหญ่มาก และพระวิหารก็เป็นอาคารใหญ่งดงาม”
2“เจ้าเห็นตึกใหญ่ตระการเช่นนี้อย่างนั้นหรือ?” พระเยซูตรัสตอบ
“หินก้อนใดที่วางซ้อนกันอยู่ตรงนี้จะไม่เป็นอย่างเดิม มันจะถูกโยนทิ้งไปทั้งหมด”
3 ขณะที่พระเยซูประทับนั่งอยู่บนภูเขามะกอกเทศ ตรงข้ามพระวิหาร เปโตร ยากอบ ยอห์น และอันดรูว์ ทูลถามพระองค์เป็นส่วนตัวว่า
4 “ขอพระองค์ทรงบอกเราเถิดว่าเหตุการณ์เหล่านี้จะเกิดขึ้นเมื่อไร? และมีอะไรเป็นหมายสำคัญบ่งบอกว่า ทุกสิ่งใกล้จะสำเร็จ?”

5 พระเยซูทรงเริ่มต้นบอกเขาว่า “จงระวัง อย่าให้ใครหลอกลวงเจ้า
6 หลายคนจะมาในนามของเราอ้างว่า “เราคือพระองค์นั้น” แล้วล่อลวงคนเป็นอันมาก

7 เมื่อเจ้าได้ข่าวเกี่ยวกับสงคราม และข่าวลือเรื่องสงคราม
ก็อย่าตกใจไป เพราะสิ่งเหล่านี้ต้องเกิดขึ้น แต่จุดจบยังไม่มาถึง
8 เชื้อชาติต่าง ๆ จะต่อสู้กัน อาณาจักรต่าง ๆ จะทำสงครามกัน จะมีแผ่นดินไหวเกิดขึ้นตามสถานที่ต่าง ๆ รวมไปถึงการกันดารอาหาร และนี่คือการเริ่มต้นของความเจ็บปวดก่อนการคลอดบุตร

การเป็นพยานสู่ชาติต่าง ๆ
(มัทธิว 24:9–14; ลูกา 21:10–19)
9 ดังนั้น ขอให้เจ้าระวังตัว เพราะเจ้าจะถูกคุมตัวไปยังศาลต่าง ๆ และถูกโบยในศาลาธรรม เจ้าจะต้องยืนเป็นพยานต่อหน้าผู้ว่าการและกษัตริย์เพื่อเรา
10 จะต้องมีการประกาศข่าวประเสริฐและชาติต่าง ๆ ทั้งปวงก่อน
11 แต่เมื่อพวกเขาจับกุมเจ้า และส่งตัวขึ้นศาล ขออย่ากังวลล่วงหน้าไปว่าจะพูดอย่างไร แต่จงพูดตามถ้อยคำที่เจ้าจะได้รับในเวลานั้น เพราะไม่ใช่เจ้าที่พูด แต่เป็นองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์

12 พี่น้องจะทรยศกันเองถึงตาย และพ่อจะทรยศลูก
ลูกจะขัดขืนพ่อแม่ และทำให้พวกเขาถูกประหาร
13 ใคร ๆ จะเกลียดชังท่านเพราะนามของเรา
แต่คนที่ยืนหยัดจนถึงที่สุดจะได้รับความรอด

สิ่งเลวทราม การหลอกลวงที่จะเกิดขึ้น
(มัทธิว 24:15–25; ลูกา 21:20–24)
14 ดังนั้น เมื่อเจ้าเห็นสิ่งที่เลวทราม ซึ่งเป็นต้นเหตุของวิบัติ ตั้งอยู่ในที่ซึ่งไม่ใช่ที่ของมัน (ขอให้ผู้อ่านเข้าใจเองเถิด) เมื่อนั้น ให้คนที่อยู่ในยูเดีย หนีไปยังภูเขา
15 อย่าให้คนที่อยู่บนดาดฟ้า กลับลงไปในบ้านเพื่อจะขนสิ่งใดออกมา
16 และอย่าให้ใครที่อยู่ในทุ่ง กลับไปหยิบเสื้อคลุม
17 วันเวลาเหล่านั้นจะยากลำบากมากสำหรับหญิงมีครรภ์ หรือแม่ลูกอ่อน

18 จงอธิษฐานขอเพื่อเหตุการณ์นี้จะไม่เกิดในฤดูหนาว
19 เพราะเวลานั้น เป็นเวลาแห่งความทุกข์เข็ญ อย่างที่ไม่มีครั้งใดเทียบได้ตั้งแต่เริ่มแรกที่พระเจ้าทรงสร้างโลกจนบัดนี้ และจะไม่มีให้เห็นอีกในภายหน้า



20 หากองค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ทรงลดจำนวนวันเหล่านั้นให้น้อยลง ก็จะไม่มีใครรอดชีวิตเลย แต่เพื่อเห็นแก่คนที่พระเจ้าทรงเลือก คนที่พระองค์ทรงเลือกสรรไว้ พระองค์จึงทรงทำให้วันเหล่านั้นสั้นลง

21 ในเวลานั้น หากมีใครพูดกับเจ้าว่า “ดูนั่นสิ พระคริสต์อยู่ที่นี่” หรือ “พระคริสต์อยู่ที่โน่น” อย่าได้หลงเชื่อ
22 เพราะว่า พระคริสต์ปลอมและผู้กล่าวพระคำเท็จจะปรากฏตัวขึ้น และแสดงหมายสำคัญ การอัศจรรย์ โดย หากเป็นไปได้ จะลวงกระทั่งคนที่พระเจ้าทรงเลือกไว้
23 ดังนั้นจงเฝ้าระวัง เราได้บอกทุกสิ่งแก่เจ้าล่วงหน้าไว้แล้ว

สิ่งที่สำคัญต่อเรามากในยุคสุดท้ายนี้
(Matthew 24:26–31; Luke 21:25–28)
24 แต่ในเวลานั้น หลังจากเวลาแห่งความทุกข์เข็ญผ่านไป ดวงอาทิตย์จะมืดไป
ดวงจันทร์จะไม่ส่องสว่าง
25 ดวงดาวจะร่วงลงมาจากท้องฟ้า และอำนาจทั้งหลายในสวรรค์จะสั่นสะเทือน’
26 เวลานั้นเอง พวกเขาจะได้เห็นบุตรมนุษย์เสด็จมาในหมู่เมฆ
ด้วยราชอำนาจและพระเกียรติสิริยิ่งใหญ่ตระการ
27 และพระองค์จะทรงส่งทูตสวรรค์เพื่อรวบรวมคนที่พระองค์ทรงเลือก
จากลมทั้งสี่ทิศ จากที่สุดปลายแผ่นดินโลกจนถึงสุดปลายฟ้าสวรรค์

บทเรียนจากต้นมะเดื่อ
(Matthew 24:32–35; Luke 21:29–33)
28 ขอให้เอาบทเรียนมาจากต้นมะเดื่อ คือว่า ทันทีที่กิ่งเริ่มเขียวสด แตกใบอ่อนเท่ากับฤดูร้อนกำลังเคลื่อนเข้ามา
29 เช่นกัน เมื่อเจ้าเห็นเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้น ขอให้รู้ว่า พระองค์ทรงมาใกล้ อยู่ที่ประตู
30 เราบอกความจริงแก่เจ้าว่า คนยุคนี้ยังไม่ทันจะตายไป จนกว่าเหตุการณ์ทั้งปวงนี้จะเกิดขึ้นก่อน
31 สวรรค์และโลกจะสูญสิ้นไป แต่คำของเราจะไม่มีวันสูญหายไปเลย

ต้องเตรียมพร้อมไม่ว่าเวลาใด
(Matthew 24:36–51; Luke 12:35–48)
32 ไม่มีใครรู้วันและชั่วโมงนั้น หรือแม้แต่ทูตสวรรค์ในสวรรค์ หรือพระบุตรก็ไม่ทรงทราบ พระบิดาเท่านั้นที่ทรงทราบ
33 จงระวังและตื่นตัวเอาไว้ เจ้าไม่รู้ว่า เวลาที่กำหนดจะมาถึงเมื่อไร
34 ก็เป็นเหมือนกับชายคนหนึ่งเดินทางจากบ้านไป โดยที่เขามอบหมายคนรับใช้แต่ละคนให้รับผิดชอบหน้าที่ต่าง ๆ และสั่งให้คนเฝ้าประตูคอยเฝ้าระวัง
35 ดังนั้นจะเฝ้าระวังอยู่ เพราะเจ้าไม่รู้ว่า เจ้าของบ้านจะกลับมาเมื่อไร อาจจะเป็นเวลาเย็น เที่ยงคืน เวลาไก่ขันหรือรุ่งเช้า
36 ไม่อย่างนั้น ท่านอาจจะกลับมาถึงโดยไม่บอกล่วงหน้า และพบเจ้าหลับอยู่
37 สิ่งที่เราบอกเจ้า ก็ขอบอกกับทุกคนด้วยว่า “จงเฝ้าระวัง!”

มาระโก 13:1-8
บทที่ 13 เป็นบทที่เชื่อมระหว่างบทที่ 11-12 กับบทที่ 14 เป็นบทที่เข้าใจยากที่สุดของมาระโก พระเยซูทรงบอกศิษย์พระองค์ล่วงหน้าถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นอีกประมาณไม่กี่สิบปีข้างหน้า และทรงบอกถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในยุคสุดท้ายหรือในช่วงเวลาปัจจุบันนี้ด้วย
ขณะที่ทั้งกลุ่มออกจากพระวิหารซึ่งขณะนั้นยังสร้างไม่เสร็จดี เป็นวิหารที่ใช้เวลาสร้างถึง 8 ศตวรรษ โดยเฮโรดเป็นผู้เริ่มต้นเมื่อ 19 ปีกคศ.และเสร็จเมื่อปี 63 วิหารนี้ใช้หินก้อนใหญ่มากหนักกว่า 400 ตันวางเรียงซ้อนกัน และยังมีการฉาบอาหารด้วยทองคำ เมื่อสร้างเสร็จ อีกประมาณเจ็ดปีต่อมา ก็ถูกทำลายโดยอาณาจักรโรมที่เข้ามากวาดล้างหมู่คนยิวที่กบฎต่อโรม วิหารแห่งนี้เป็นความภาคภูมิใจของคนยิว และบางครั้งถึงกับใหญ่ในใจของพวกเขายิ่งกว่าพระเจ้าอีก !
หลังจากนั้นพวกเขาไปนั่งอยู่บนเขาตรงข้ามพระวิหาร โดยมีหุบเขาขิดโรนขวางอยู่ แล้วก็มีคำถามจากศิษย์ว่า สิ่งเหล่านั้นจะเกิดขึ้นเมื่อไร แต่คำตอบของพระเยซูนั้นไม่ได้อยู่แค่การสิ้นสุดของพระวิหาร เป็นคำตอบที่บอกถึงอนาคตที่ไกลมากเป็นคำตอบที่อยู่ในบทที่ 13 นี้ทั้งหมด น่าสนใจที่ ศิษย์สี่คนที่นั่งกับพระองค์ (พวกเขาเป็นพี่น้องมาจากสองครอบครัว)
สิ่งที่พระเยซูตรัสอย่างแรกคือ ระวังไม่ให้ใครหลอกเรา นั่นหมายความว่า เราต้องเข้าใจเหตุการณ์ อ่านเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันให้ออก และเข้าใจในสายตาที่มองจากพระคัมภีร์ เข้าใจเรื่องของคำพยากรณ์ตั้งแต่ในสมัยพระคัมภีร์เดิมมาจนถึงวันที่พระเยซูตรัสนี้
เพราะในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา เราจะเจอวิญญาณแห่งการหลอกลวง และท่วมท้นในยุคสุดท้ายนี้
พวกเขาจะมาและบอกว่าตนเองเป็นพระเจ้า หรือผู้ที่พระเจ้าส่งมา เราเห็นมากมายในหลาย ๆ ประเทศ คนเหล่านี้สามารถหลอกคนมากมายได้ แต่คนของพระเจ้าได้รับการเตือนแล้ว ไม่ควรจะหลงไป
ส่วนเรื่องของสงครามนั้น จะเกิดขึ้นมากมายในโลกนี้ และพระเยซูตรัสสั่งว่า ไม่ต้องกลัวเพราะว่า มันต้องเกิดขึ้นอยู่แล้ว พระเยซูไม่ได้บอกว่าชีวิตจะโรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่เราจะเจอการยากลำบากเมื่อเราติดตามพระองค์ ไม่ว่าจะมีทั้งแผ่นดินไหว และการอดอยาก เราจะเห็นว่า แผ่นดินไหวเกิดถี่ขึ้นเรื่อย ๆ ความอดอยากมากขึ้นอีก แต่เหล่านี้ ไม่ได้เป็นจุดจบ มันเป็นความเจ็บปวดที่ถี่ขึ้นเรื่อย ๆ …เหมือนหญิงมีครรภ์ใกล้คลอด

มาระโก 13:9-13
ความยากลำบากที่เกิดขึ้น เพราะความเชื่อไม่ใช่เรื่องประหลาดเลยเพราะเป็นมาตั้งแต่เริ่มต้นคริสตจักรแล้ว
ถ้าเราได้รู้เรื่องของคริสเตียนในสมัยที่คอมมิวนิสต์เข้ามาครองในช่วงเหมาเจ๋อตง เราจะรู้ว่าชีวิตของคริสเตียนลำบากแค่ไหน ซึ่งยังเป็นอยู่จนทุกวันนี้ คนมากมายเกิด ในประเทศที่มีการห้ามเชื่อ ห้ามคิด ห้ามพูดตามที่ใจอยาก พวกเขาถูกจำกัดความเป็นคนเต็มคนเพียงเพื่อให้อำนาจของผู้ปกครองยั่งยืน

การที่คนในครอบครัวทรยศกันเองเป็นความเจ็บปวดอย่างยิ่ง แต่มันก็เกิดขึ้นอยู่ไม่หยุดหย่อน
สิ่งสำคัญของเราคือ เราต้องรู้ว่า พระวิญญาณจะทรงช่วยเราเมื่อเราอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้น แต่นี่ไม่ได้เป็นเหตุผลที่เราจะไม่เรียนรู้พระคัมภีร์ให้มากที่สุด

สิ่งที่พระเยซูทรงเตือนเราสำคัญสุดคือ ให้ยืนหยัดจนถึงที่สุด

มาระโก 13:14-23
พระเยซูทรงอธิบายว่า จะเกิดเหตุการณ์อย่างไรบ้าง และผู้เชื่อต้องทำอย่างไร ข้อ 18 ให้รู้ว่า เราต้องอธิษฐานขอจากพระเจ้าที่ความทุกข์ยากนั้นจะบรรเทาบ้างจนเราพอทนได้ เพราะความทุกข์ยากที่พระเยซูทรงกล่าวถึงนั้น มันเป็นแบบว่า ไม่เคยมีอะไรอย่างนั้นให้เห็นมาก่อน ในข้อยี่สิบพระเจ้าทรงจำเป็นที่จะต้องให้วันของพระองค์าเร็วขึ้น เพราะไม่อย่างนั้นแล้ว จะไม่มีใครเหลือ เนื่องจากความโหดร้ายที่เกิดขึ้นมันรุนแรงเกินทน
ยังมีอีกเรื่องคือ การที่คนวิ่งไปหาผู้ช่วยให้พ้นความลำบาก คำว่า พระคริสต์ คือ พระผู้ช่วยให้รอด คนทั้งหลายจะบอกกันต่อ ๆ ว่า ไปหาคนนั้น คนนี้สิ เขาจะช่วยได้ ไปหาโค้ชชีวิตคนนั้น คนนี้ ซึ่งทั้งหมดพระเยซูทรงเตือนล่วงหน้าว่า อย่าหลงเชื่อเป็นอันขาด
เราขอสรุปคำของพระเยซูที่สำคัญในตอนสั้น ๆ นี้คือเมื่อถึงเวลาต้องหนี ให้หนีโดยไม่ต้องรีรอ ​อธิษฐานขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า อย่าเชื่อคนหลอกลวง เฝ้าระวัง โดยทำอย่างขยันขันแข็งไม่ใช่แบบตามสบายอะไรก็ได้

มาระโก 13:24-27
พระเยซูทรงอธิบายภาพของการเสด็จมาอีกครั้งให้เราทราบ ซึ่งเราน่าจะจินตนาการได้ว่า เป็นอย่างไร
เป้าหมายของพระองค์คือ แสดงพระราชอำนาจ พระเกียรติยิ่งใหญ่ และมารับคนที่ทรงเลือกไว้ในแผ่นดินโลกไปกับพระองค์
พระเยซูไม่ทรงเน้นว่าเมื่อไร ทรงเน้นว่า ให้เตรียมพร้อม!

มาระโก 13:28-31
เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในยุคสุดท้ายนั้น ช่างตรงกับเวลาที่เราอยู่ในทุกวันนี้ เราเจอกับโรคระบาดกันทั้งโลกซึ่งไม่เคยมีมาก่อน ปี 2024 นี้ เราก็พบกับสงครามร้อน ๆ ในยูเครน ตะวันออกกลาง พม่า และมีความตึงเครียดของจีนและใต้หวัน
สงครามความคิดในสังคมผู้คนแตกแยก ความเห็นทางการเมืองที่แตกต่าง ทำให้คนไม่รักกัน และชังกันและกัน
สิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้ เป็นเหมือนกิ่งของต้นมะเดื่อที่เริ่มแตกใบอ่อน

มาระโก 13:32-37
มีคนจำนวนไม่น้อยที่อึดอัดกับการที่พระเยซูทรงบอกให้เตรียมพร้อม โดยไม่บอกเวลาวันปีเดือนให้ชัดเจน ดังนั้น ก็จะมีคนเตรียมพร้อมที่อาจจะอ่อนแรงเพราะยังไม่พบพระองค์สักที แต่การบอกของพระองค์อย่างนี้ มีความสำคัญเหมือนกับว่า เราอยู่ในสงครามที่ไม่รู้ว่า ศัตรูจะบุกตอนไหน ทิ้งระเบิดเวลาใด เราจึงเตรียมพร้อมเหมือนทหารที่อยู่ในสงคราม
และหากใครมาอวดอ้างว่ารู้เวลาแน่นอน เท่ากับเขากำลังกล่าวเท็จ
เรามีเวลาคร่าว ๆ ให้รู้ แต่ไม่มีใครรู้เวลาที่กำหนดชัดเจน
สิ่งที่สำคัญมากคือการตื่นตัว ไม่ประมาท ไม่หลับไหลในทางของพระเจ้า


Cross Reference มาระโก 13
1* ลูกา 21:5-36
2* ลูกา 19:44
3* มัทธิว 16:18; มาระโก 1;19; ยอห์น 1:40
4* มัทธิว 24:3
5* เอเฟซัส 5:6
8* ฮักกัย 2:22; มัทธิว 24:8
9* มัทธิว 10:17-18; 24:9
10* มัทธิว 24:14
11* ลูกา 12:11; 21:12-17; กิจการ 2:4; 4:8, 31

12* มีคาห์ 7:6
13* ลูกา 21:17; มัทธิว 10:22; 24:13
14* มัทธิว 24:15; ดาเนียล 9:27; 11:31; ลูกา 21:21
17* ลูกา 21:23
19* ดาเนียล 9:26; 12:1
21* ลูกา 17:23; 21:8
22* วิวรณ์ 13:13-14
23* 2 เปโตร 3:17

24* เศฟันยาห์ 1:15
25* อิสยาห์ 13:10; 34:4
26* ดาเนียล 7:13-14; มัทธิว 16:27
28* ลูกา 21:2931* อิสยาห์ 40:8
32* มัทธิว 25:13; กิจการ 1:7
33* 1 เธสะโลนิกา 5:6
34* มัทธิว 24:45; 25:14; 16:19
35* มัทธิว 24:42, 44

คำถามสำหรับการเรียนพระคัมภีร์

  1. พระเยซูตรัสว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้างในยุคสุดท้าย ? (13:1-4)
  2. ในยุคสุดท้าย สิ่งสำคัญมากสำหรับชีวิตคริสเตียนคืออะไร (3:24-37)
  3. ในเมื่อไม่รู้เวลาแน่นอนว่า พระเยซูจะเสด็จกลับมาเมื่อไร เราน่าจะทำอะไรดี?
  4. เกิดเรารู้ว่า พระเยซูจะเสด็จมากลางเดือนหน้า เราจะเปลี่ยนพฤติกรรม ความคิดของเราหรือไม่ เราจะทำอย่างไร?
  5. พระเยซูทรงให้เงื่อนงำอะไรในเรื่องวันที่พระองค์เสด็จมาบ้าง?
  6. จินตนาการสิว่า พระเยซูจะทรงรวบรวมคนที่ทรงเลือกด้วยวิธีใด?​
  7. พระเยซูทรงสอนให้เรารอคอยพระองค์อย่างไร?