กาลาเทีย 3 ผู้เชื่อ กับกฎบัญญัติและความเชื่อ

หลักการที่ช่วยให้ดำเนินต่อไปในความเชื่อ

ชาวกาลาเทียผู้โง่เขลา! ท่านได้เห็นพระเยซูคริสต์ถูกตรึงบนไม้กางเขนต่อหน้าต่อตา แล้วใครมาทำให้หลงไปได้?
สิ่งเดียวที่ข้าต้องการถามคือ ท่านรับพระวิญญาณบริสุทธิ์ด้วยการพยายามทำตามบทบัญญัติ หรือด้วยการเชื่อข่าวประเสริฐที่ท่านได้ยิน?
กาลาเทีย 3:1-2

กาลาเทีย 5:7-8, วิวรณ์ 2:20;
2 โครินธ์ 11:3;
โรม 10:16-17; กิจการ 15:8

ภาษาที่ท่านเปาโลใช้ตอนนี้ ทำให้เราเห็นถึงความอึดอัดใจ มีท่านหนึ่งแปลความหมายตรงนี้ว่าคนที่คิดได้แต่กลับไม่ได้ใช้ความคิด ใครมาทำให้หลง..มีความหมายว่าพวกเขามีความคิดสับสนไม่ตรงกับพระคัมภีร์จนเหมือนกับใครมาเสกทีเดียว
คำถามของท่านทำให้เราเห็นว่า เมื่อคน ๆ หนึ่งมาพบพระเจ้าแล้วพระวิญญาณของพระเจ้าจะประทับในตัวเขาแน่นอน แต่ต้องเป็นผลจากการที่เขาเชื่อข่าวประเสริฐของพระเจ้า ไม่ใช่การทำดีของเขาเอง

พวกท่านโง่เขลาหรือ?
ท่านได้เริ่มต้นด้วยพระวิญญาณ
ตอนนี้ท่านพยายามจบด้วยความพยายามของมนุษย์หรือ? พวกท่านได้รับประสบการณ์ที่เจ็บปวดมาโดยไร้ประโยชน์อย่างนั้นหรือ? .. ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ไร้ประโยชน์จริง ๆ นั่นแหละ
กาลาเทีย 3:3-4

กาลาเทีย 5:4-8, 6:12-14; ฮีบรู 7:16-19;
2 ยอห์น 1:8; ฮีบรู 10:32-39; 1 โครินธ์ 15:2

กว่าจะมาเชื่อพระเจ้า ก็เจ็บปวดมามาก โดนคนยิวข่มเหงคริสตจักร เคยโดนคนอย่างเปาโลที่เคร่งครัดบทบัญญัติข่มขู่มาโดยตลอด
พวกเขาเริ่มต้นด้วยความเชื่อในพระเจ้า และ
ยืนหยัดกับความเชื่อนั้น แต่แล้ว ตอนนี้กลับ
ตกหลุมพรางของคำสอนผิด นี่เป็นตัวอย่างว่าเราอาจเริ่มต้นถูกแล้วจบลงผิด ๆ
ก็เป็นได้ การใช้ชีวิตคริสเตียนจึงต้องระวัง…

ตัวอย่างแห่งความเชื่อ : อับราฮัม

พระเจ้าผู้ประทานพระวิญญาณและราชกิจอัศจรรย์ท่ามกลางท่าน ทรงทำไปเพราะท่านทำตามบัญญัติหรือเป็นเพราะท่านเชื่อในข่าวประเสริฐ? เหมือนอย่างที่อับราฮัมเชื่อพระเจ้าและเขาจึงถูกนับว่าเป็นคนเที่ยงธรรม
กาลาเทีย 3:5-6

กาลาเทีย 3:5; 1โครินธ์1:4-5; กิจการ 19:11-12
ปฐมกาล 15:6; โรม 4:21-22; ยากอบ 2:23

เราได้รับพระวิญญาณของพระเจ้าเป็นมัดจำ
เราได้รับการอัศจรรย์พลิกชีวิตเดิมเป็นชีวิตใหม่ไม่ใช่เพราะกำลังของเราเอง แต่กลับได้รับพระคุณจากพระเจ้า เพราะเราเชื่อตามที่พระเจ้าตรัสให้เชื่อทำไมท่านเปาโลพูดเรื่องนี้ ซ้ำ ๆ ชัด ๆกลับมาพูดแล้วพูดอีก ไม่ไปเรื่องอื่น
เพราะว่า คนทั้งหลายไม่ยอมเข้าใจว่า พวกเขา
รับพระคุณของพระเจ้าเพราะความเชื่อ
ยังดื้อรั้นที่จะคิดว่าเป็นคนรักษาศีลจึงจะรอด

ดังนั้นขอให้เข้าใจว่า คนที่เชื่อต่างเป็นลูกหลานของอับราฮัม พระคัมภีร์รู้ล่วงหน้าว่า พระเจ้าจะทรงนับคนต่างชาติเป็นคนเที่ยงธรรมเพราะเขา “เชื่อ” จึงได้ประกาศข่าวประเสริฐแก่อับราฮัมล่วงหน้าว่า “ชาติทั้งหลายจะได้รับพรเพราะเจ้า”ดังนั้นทุกคนที่เชื่อก็ได้รับพระพรร่วมไป
กับอับราฮัมผู้ที่เชื่อพระเจ้า
กาลาเทีย 3:7-9

กาลาเทีย 3:26-29; ลูกา 19:9, โรม 3:30; 9:7-8; 4:24; ปฐมกาล 12:3; 22:18;28:14; กาลาเทีย 4:28

พระเจ้าทรงให้กำลังใจกับผู้เชื่อที่เป็นคนต่างชาติซึ่งคนยิวมักจะเหยียดว่าเป็นคนที่ต่ำต้อยกว่าตน. ไม่ว่าจะเป็นยิว หรือจะเป็นคนต่างชาติก็ตามพวกเขาได้รับสิทธิเป็นคนเที่ยงธรรมในพระเจ้าเพราะเขาเชื่อโดยไม่ต้องทำตามบทบัญญัติของยิว แต่เขาต้องเชื่อว่า การสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์นั้น คือการรับโทษบาปแทนเขาแล้ว เขาไม่ต้องเพิ่มอะไรเพื่อจะไปหาพระเจ้าเลย

กฎบัญญัติกับพันธสัญญาเก่า-ใหม่

เพราะทุกคนที่พึ่งพา ในการทำตามบัญญัติ ต่างก็ถูกสาป
เพราะมีคำเขียนไว้ว่า
“ทุกคนที่ไม่ประพฤติตามข้อความทุกคำที่เขียนไว้ในหนังสือบัญญัติจะต้องถูกสาปแช่ง”
กาลาเทีย 3:10

เฉลยธรรมบัญญัติ 27:26; โรม 8:7, 3:19-20; 6:23

แค่บัญญัติสิบประการที่โมเสสได้รับมาจาก
พระเจ้าเมื่อนานมาแล้ว ก็ไม่มีใครสักคนรักษา
ตามคำบัญชาในนั้นได้ครบ พระเจ้าทรงให้เราเห็นว่าบัญญัตินั้นมีไว้ให้เรารู้ว่า เราคือคนที่ละเมิดเสมอ ไม่ว่าจะพยายามอย่างไรก็ตาม
การพึ่งพาบัญญัติโดยไม่พึ่งพระคุณของพระเจ้าโดยไม่พึ่งพระคุณผ่านการสิ้นพระชนม์แทนบาปของเราจึงเป็นการโง่เขลาอย่างยิ่ง เพราะไม่มีทางรอดผ่านบัญญัติได้เลย

ตอนนี้ ชัดเจนว่า ไม่มีใครถูกนับว่าเป็นคนเที่ยงธรรมต่อพระพักตร์พระเจ้าโดยอ้างความดีตามบัญญัติได้เลย เพราะ
ผู้เที่ยงธรรมจะมีชีวิตอยู่โดยความเชื่อแต่บัญญัตินั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับความเชื่อ (คนที่ตามบัญญัติต้องทำตามบัญญัติ) เพราะคนที่ทำตามบัญญัติก็จะมีชีวิตโดยบัญญัตินั้น
กาลาเทีย 3:11-12

ฮาบากุก 2:4; โรม 1:17; ฮีบรู 10:38;
เลวีนิติ 18:5; โรม 10:5-6; เนหะมีย์ 9:29

ท่านเปาโลย้ำแล้วย้ำอีกว่าเราจะรอดได้ก็โดยเชื่อพระเยซูเท่านั้น การถือศีลหรือทำตามบัญญัติอย่างเคร่งครัดก็ไม่ได้ช่วยให้ใครรอดได้เลยคนใดคิดว่าทำตามบัญญัติแล้วจะได้รับความพอใจจากพระเจ้านั้น คิดผิด เพราะพระเยซูได้ตรัสชัดเจนว่า ผู้ใดที่วางใจในพระบุตรจะมีชีวิตนิรันดร์ แม้กระทั่งในยุคนี้ ก็ยังมีคนเชื่อว่าความดีของเขาจะชนะพระทัยพระเจ้าได้ ….

พระคริสต์ได้ทรงไถ่เราจากคำสาปแช่งของบัญญัติ โดยที่พระองค์ทรงรับคำสาปแช่งเพื่อเรา เพราะพระคัมภีร์เขียนไว้ชัดว่า “คำสาปแช่งมีแก่คนที่ถูกแขวนบนต้นไม้”
กาลาเทีย 3:13

1 เปโตร 2:24,1:18-21; เฉลยธรรมบัญญัติ 21:23; ฮีบรู 9:15

คนเราไม่อาจทำตามบัญญัติอย่างครบถ้วนได้ดังนั้นเราจึงตกต้องรับโทษเพราะละเมิดบัญญัติแต่แล้ว พระเยซูกลับทรงมารับโทษ รับการแช่งสาปแทน นี่คือการไถ่บาปของพระเจ้า ทรงจ่ายค่าโทษแห่งบาปแล้วด้วยพระโลหิตของพระเยซูทรงซื้อเราออกมาจากคำแช่งสาปหรือการลงโทษสิ่งที่ชัดเจนคือ พระเยซูทรงถูกแขวนไว้บนไม้กางเขนรับโทษจากพระเจ้าแทนคนทุกคนที่เชื่อในพระองค์ทรงรับความอับอายไว้ที่พระองค์เอง

เพื่อว่าพระพรของอับราฮัมจะมาสู่คนต่างชาติ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ เพื่อว่าเมื่อเราเชื่อ เราจะได้รับพระวิญญาณที่ทรงสัญญาไว้
กาลาเทีย 3:14

กาลาเทีย 3:2, 3:28-29; เอเฟซัส 2:18; 1 โครินธ์ 12:3; กิจการ 2:33

นอกจากพระองค์จะไถ่เรา ซื้อเราให้พ้นโทษบาปแล้วไม่พอ พระเยซูยังทรงให้พระพรอับราฮัมแก่เราทุกคนที่ไม่ใช่ยิวที่เชื่อพระนามพระเยซูด้วย เราได้รับพระพรแห่งชีวิตนิรันดร์ และพระพรแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพราะเขาเชื่อ
หลายคนสงสัยว่า ทำไมพระเจ้าจึงทรงต้อนรับ
แม้กระทั่งคนที่ทำผิดบาปมหันต์ คนดีแสนดีที่แต่ไม่ทำตามเงื่อนไขของพระองค์ก็ไม่มีสิทธิได้รับพระพรที่กล่าวมา พระเจ้าทรงประสงค์การไว้วางใจในพระองค์ ไม่ใช่การไว้วางใจในความดีของตนเอง

ขอให้ข้าอธิบายให้ฟังจากชีวิตประจำวันเมื่อคำสัญญาถูกทำขึ้น
และมีการตกลงกันแล้วทั้งสองฝ่ายแม้ว่าจะเป็นเพียงสัญญาของมนุษย์ก็จะไม่มีใครมีสิทธิล้มเลิกหรือเพิ่มเติมสิ่งใดลงไป
กาลาเทีย 3:15

ฮีบรู 9:17; โรม 6:19

ตรงไปตรงมา เมื่อสัญญาแล้วก็ต้องทำตาม
นั้น หากใครพลิกคำสัญญาเท่ากับคน ๆ นั้น เป็นคนทำผิดสัญญา ไม่มีการมาเปลี่ยนสัญญานอกจากมาตกลงกันใหม่ทั้งสองฝ่าย ฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่งทำผิดสัญญาไม่ได้ แล้วเราลองนึกถึงพระสัญญาที่พระเจ้าทรงทำกับมนุษย์ ไม่มีวันที่พระองค์จะเลิกสัญญา หรือเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา

คำว่า “พระสัญญาที่ทำกับอับราฮัมและแก่ผู้สืบเชื้อสาย”นั้น ไม่ได้พูดถึงผู้สืบเชื้อสายหลาย ๆ คน แต่หมายถึงผู้สืบเชื้อสายผู้นั้น ซึ่งก็หมายถึงพระคริสต์
กาลาเทีย 3:16

โรม 4:13; กาลาเทีย 3:27-29; ลูกา 1:55; ปฐมกาล 17:7-8

พระสัญญาที่พระเจ้าทรงทำกับอับราฮัมจะต้องสำเร็จตามที่พระองค์ทรงสัญญาไว้
จากปฐมกาล 13:15
“เราจะให้แผ่นดินที่เจ้ามองเห็นแก่เจ้าและแก่ผู้สืบเชื้อสายของเจ้าไปตลอดกาล” (NTV) คำว่า ผู้สืบเชื้อสาย เป็นคำที่มีความหมายถึงทั้งผู้เดียว หรือกลุ่มเดียว ท่านเปาโลได้อธิบายว่า ผู้สืบเชื้อสายที่พระเจ้าทรงหมายถึงนั้น คือ องค์ผู้สืบเชื้อสาย นั่นคือพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้าที่มีสายเลือดของอับราฮัมด้วย (Constable’s Notes ​)

ที่ข้าพูดคือ
บทบัญญัติที่เกิดขึ้น 430 ปี หลังจากนั้น ไม่ได้ยกเลิกพระสัญญาที่พระเจ้าทรงทำไว้ 
กาลาเทีย 3:17

ฮีบรู 11:39-40; 6:13-18; โรม 4:13-14; ปฐมกาล 15:13

หลังจากที่พระเจ้าทรงทำสัญญากับอับราฮัม
ว่า เขาจะเป็นผู้ให้คนทั้งโลกได้รับพระพรผ่าน
องค์พระเมสสิยาห์ซึ่งมีเชื้อสายของเขาอยู่
พระองค์ก็ได้ประทานบทบัญญัติแก่โมเสสหลังจากอิสราเอลออกมาจากอียิปต์ที่อยู่ยาวนาน
มาถึง 430 ปีท่านเปาโลกกล่าวว่า บทบัญญัตินี้ ไม่ใช่เกิดขึ้นเพื่อจะลบล้างคำสัญญา
แต่.. บทบัญญัตินี้มีหน้าที่ของมันเองที่สำคัญ
เราจะดูกันต่อไป

เพราะหากว่าได้รับมรดกเพราะบัญญัติก็เท่ากับไม่ได้รับมรดกตามพระสัญญาของพระเจ้าอีกต่อไป แต่พระเจ้าทรงพระคุณที่จะประทานมรดกแก่อับราฮัม ผ่านพระสัญญา
กาลาเทีย 3:18

กาลาเทีย 2:21; โรม 4:13-16,8:17; ฮีบรู 6:12-15; ลูกา 1:72-73

เหมือนจะเข้าใจยาก แต่ไม่ยากนัก
ข้อนี้บอกเราว่า คนเราจะได้รับมรดกของพระเจ้า(ชีวิตนิรันดร์) ไม่ใช่เพราะทำตามบัญญัติแต่เขาได้รับมรดกเพราะมีผู้อนุญาตให้เขาได้รับมรดกนั้น เจ้ามรดกเท่านั้นที่มีสิทธิจะให้หรือไม่ให้ การรับมรดกไม่ใช่เป็นการไปแย่งชิงมาแข่งขันเอามา หรือ หามาได้เอง แต่ผู้ให้มรดกเป็นคนกำหนดผู้รับ

แล้วทำไมจึงต้องมีบทบัญญัติเล่า? ที่มีก็เพราะการล่วงละเมิดของมนุษย์จนกว่าผู้สืบเชื้อสายที่พระเจ้าสัญญาไว้จะมาถึง และบัญญัตินั้นมีทูตสวรรค์เป็นผู้ส่งต่อโดยมีคนกลาง การมีคนกลางนั้น หมายถึงมีหลายฝ่าย แต่พระเจ้าทรงเป็นฝ่ายเดียว
กาลาเทีย 3:19-20

กิจการ 7:53;โรม 7:7-13; ฮีบรู 2:2; กาลาเทีย 3:16
1 ทิโมธี 2:5; เฉลยธรรมบัญญัติ 6:4; ฮีบรู 9:15

จุดประสงค์ของบัญญัติในครั้งแรกนั้นก็เพื่อ
มนุษย์จะรู้ว่า พวกเขาเป็นคนมีบาปจริง
รู้ว่า พวกเขาช่วยให้ตัวเองรอดพ้นบาปไม่ได้
รู้ว่าตนไม่อาจทำตามบัญญัติครบถ้วนได้ จนกว่าพระเยซูซึ่งเป็นผู้สืบเชื้อสายนั้นจะมา ฮีบรู 2:2 บอกว่า การล่วงละเมิดกับการไม่เชื่อฟังทุกอย่างจะรับการตอบสนองอย่างยุติธรรมซึ่งน่ากลัวมาก พระเจ้าทรงให้พระสัญญามาเพื่อเราจะไม่ต้องรับการตอบสนองที่ยุติธรรมนั้น

ดังนั้น บัญญัติต่อต้านพระสัญญาของพระเจ้าอย่างนั้นหรือ ? ไม่ใช่เช่นนั้น เพราะว่าหากมีการประทานบัญญัติที่สามารถให้ชีวิตได้ แล้วละก็ ความเที่ยงธรรมก็จะเกิดขึ้นได้เพราะคนทำตามบัญญัติ
กาลาเทีย 3:21

กาลาเทีย 2:19,21 โรม 9:31; 3:20-22

ตามพระประสงค์ของพระเจ้าแล้ว บัญญัติที่ประทานมาทีหลัง ไม่ได้ฝืนพระสัญญา ไม่ได้ต่อสู้กัน แต่มนุษย์ต่างหากที่ทำให้สับสน
พระเจ้าไม่ทรงประสงค์ให้บัญญัติช่วยให้มนุษย์พ้นบาป แต่บัญญัติช่วยให้มนุษย์รู้ว่าตนมีบาปที่ทำให้ตนเองไม่ได้รับชีวิตนิรันดร์
พระสัญญาของพระเจ้าทำให้เรามีความหวังว่า
พระเจ้าจะทรงช่วยเราด้วยพระองค์เอง
เพราะเราช่วยตนเองให้ไร้บาปไม่ได้

แต่พระคัมภีร์กล่าวว่า คนทั้งโลกถูกจองจำภายใต้บัญญัติ ดังนั้น พระสัญญาจึงมีเพื่อบรรดาคนที่เชื่อพระเยซูคริสต์
กาลาเทีย 3:22

โรม 11:32; ฮีบรู 9:15; กาลาเทีย3:23; ยอห์น 11:25-26

ทั้งโลกถูกบัญญัติของพระเจ้าคุมเอาไว้ ให้พวกเขารู้ว่า เขาผิดอย่างไรบ้าง ถ้าไม่มีบัญญัติ ก็เท่ากับไม่มีมาตรฐาน ที่จะทำให้มนุษย์รู้ว่า ขอบเขตความดี ความชั่วอยู่ตรงไหน และเขาจะถูกลงโทษอย่างไร ถ้าไม่มีพระสัญญา มนุษย์ก็ไร้ความหวังที่จะได้
รับชีวิตนิรันดร์ เพราะพระสัญญานั้น หมายถึง
ว่าจะมีผู้มารับโทษแทนมนุษย์ทุกคนที่เชื่อพระเยซู

ก่อนที่ความเชื่อจะมาถึง เราถูกจองจำอยู่ใต้บัญญัติ จนกว่าความเชื่อจะปรากฏดังนั้น บัญญัติจึงควบคุมความประพฤติจนกว่าพระคริสต์จะมา เพื่อเราจะได้รับการประกาศว่าพ้นความผิดแล้วเพราะเราเชื่อ และขณะนี้ความเชื่อมาถึง เราจึง
ไม่ต้องอยู่ใต้อำนาจผู้ควบคุมต่อไป
กาลาเทีย 3:23-25 

กาลาเทีย 5:18, 3:24-25; โรม 6:14-15; โรม 10:4; กาลาเทีย 2:16; กิจการ 13:38-39; ฮีบรู 10:15-18; โรม 7:4

จนกว่าความเชื่อของเราจะมาถึง หมายถึง จน
กว่าพระเยซูคริสต์จะเสด็จมา เราจึงจะได้รับการช่วยเหลือให้รอดจากคุกนั้น โดยเราเชื่อพระเยซูตามเงื่อนไขของพระสัญญา
กฎบัญญัติ ได้วางข้อบังคับ กฎเกณฑ์ ข้อห้าม
ข้อควรทำให้กับคนเรา แต่กฎบัญญัติไม่ได้ให้พลังที่จะเอาชนะการล่อลวงให้ทำชั่ว เราจึงต้องพึ่งพระสัญญาให้พระเยซูทรงจัดการโทษบาปเพื่อเรา

เพราะเมื่อเราเชื่อในพระเยซู
คริสต์ เราก็ได้มาเป็นบุตรของพระเจ้าเพราะทุกคนในพวกท่านที่รับบัพติศมาเข้าสู่พระคริสต์แล้ว ก็เท่ากับได้สวม
พระคริสต์ในชีวิตของท่าน
กาลาเทีย 3:26-27

2โครินธ์ 6:18; เอเฟซัส 1:5; ยอห์น 1:12-13; โรม 13:14; 1 โครินธ์ 12:13; 1 เปโตร 3:21

คนที่บัพติศมาเข้าสู่พระคริสต์ คือ คนที่รับเชื่อในพระสัญญาของพระเจ้าที่ตรัสไว้กับอับราฮัม
เชื่อในเชื้อสายผู้นั้น คือองค์พระเยซูคริสต์
การสวมชีวิตของพระคริสต์ เป็นสิ่งที่ทำให้เรา
แตกต่างจากความเชื่อในศาสนาใด ๆ ซึ่งพึ่งพาทำตามกฎเกณฑ์ ทำตามบัญญัติของศาสนาและก็มีความทุกข์ใจเสมอเพราะทำผิดประจำเราผู้เชื่อกลับได้สวมพระคริสต์ไว้ พระคริสต์ทรงมีชีวิตในเรา พระเจ้าประทับในใจ ในความคิดในชีวิตประจำวัน ใครจะได้อย่างนี้บ้าง?

จึงไม่มียิวหรือกรีก ไม่มีทาสหรือไท ไม่มีชายหรือหญิง เพราะทุกคนเป็นหนึ่งเดียวในพระเยซูคริสต์
และหากท่านเป็นของพระคริสต์ก็เท่ากับท่านเป็นลูกหลานแท้
ของอับราฮัม เป็นผู้รับมรดกตามพระสัญญา
กาลาเทีย 3:28-29

1 โครินธ์ 12:12-13; โคโลสี 3:11; โรม 3:29-30; กาลาเทีย 5:6,4:22-31; เอเฟซัส 3:6; โรม 9:7-8

สุดยอด นี่คือความจริงของพระเจ้า มนุษย์เรา แม้จะมีความแตกต่างเรื่องเชื้อชาติ สถานะ เพศและอายุแต่หากเขาเป็นคนของพระเจ้า เขาก็คือลูกหลานแท้ของอับราฮัม เป็นหนึ่งเดียว เป็นลูกของพระบิดาเดียว ปัญหาในโลกที่เราพบในวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นการเหยียดผิว เหยียดเชื้อชาติ เป็นปัญหาที่รุนแรงขึ้น ไม่ได้ลดลงเลย แต่พระประสงค์ของพระเจ้าคือ ทุกคนเป็นหนึ่งเดียวในพระเยซูคริสต์


กาลาเทีย 2 ปกป้องความจริงเรื่องพระคุณ

ท่านเปาโลกล่าวถึงการที่พระเยซูทรงเปิดเผยพระกิตติคุณแก่ท่าน

จากนั้น สิบสี่ปีต่อมา ข้าขึ้นไปเยรูซาเล็มอีกครั้ง พร้อมกับ
บารนาบัส และพาทิตัสไปด้วย ข้าไปเพราะพระเจ้าทรงสำแดงและได้แจ้งพวกเขาว่าข้าได้ประกาศข่าวประเสริฐอย่างไรแก่คนต่างชาติ
กาลาเทีย 2:1-2ก

ทิตัส 1:4; กาลาเทีย1:18, 2:13;
กิจการ 15:25, 36-39

อีกสิบสี่ปีท่านเปาโลขึ้นไปเยรูซาเล็มพร้อมกับเพื่อนร่วมงานอีกสองท่าน บารนาบัสเป็นผู้ช่วยที่ไปไหนมาไหนกับท่านเสมอ ส่วนทิตัสเป็นผู้เชื่อชาวกรีก พระเจ้าได้ทรงบอกให้เปาโลไปพบกับผู้นำทั้งหลายที่อยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม เพื่อว่าท่านจะได้ไปรายงานว่าท่านได้ประกาศพระนามพระเยซูกับชาวต่างชาติอย่างไร นี่เป็นภาพแสดงให้เห็นถึงการเคารพต่อพี่น้องที่ทำงานมาก่อน ช่วงนี้มีเรื่องหนึ่งที่รบกวนความเชื่อ นั่นคือ มีคนอยากให้ผู้เชื่อต่างชาติเข้าสุหนัตเหมือนคนยิ

แต่ได้บอกคนที่เป็นผู้นำเป็นการส่วนตัวเท่านั้นเพื่อให้มั่นใจว่า ข้าไม่ได้กำลังวิ่งหรือได้วิ่งมาแล้วโดยไร้ประโยชน์ แต่ถึงอย่างนั้น ทิตัสที่อยู่กับข้าก็ไม่ได้ถูกบังคับให้เข้าสุหนัต แม้ว่าเขาจะเป็นคนกรีก
กาลาเทีย 2:2ข-3

กาลาเทีย 2:6; ฟีลิปปี 2:16; 1 เธสะโลนิกา 3:5; 1 โครินธ์ 9:26

ท่านเปาโลรายงานเรื่องการประกาศ คริสตจักรกับเฉพาะผู้นำที่สำคัญเพราะมียิวไม่น้อยที่ความเห็นของตนเองนั้นสำคัญยิ่งกว่าข่าวประเสริฐในหมู่พวกเขามีครูสอนผิดแทรกอยู่ด้วยและพวกนี้ทำให้เรื่องต่าง ๆ ที่ถูกกลายเป็นผิดได้. ถ้าพวกเขาอย่างจะชูประเด็นขึ้นมา
อย่างเช่นเรื่องการให้คนต่างชาติเข้าสุหนัตก็เป็นประเด็นร้อนของยิวคริสเตียนบางคน ท่านจึงพูดถึงทิตัสด้วยว่าท่านไม่ได้บังคับให้เขาเข้าสุหนัต

แต่แล้วเรื่องนี้กลับกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาเพราะพี่น้องปลอมที่แทรกตัวเข้ามาเสแสร้งอยู่ในหมู่พวกเรา เพื่อสอดส่อง
เสรีภาพที่เรามีในพระเยซูคริสต์
เพื่อจะบังคับให้เรากลับไปเป็นทาสอีก
กาลาเทีย 2:4

กิจการ 16:3; กาลาเทีย 5:2-6; 1 โครินธ์ 9:20-21

จริงด้วย มีคนที่แทรกเข้ามา ปลอมตัวเป็นผู้เชื่อเป็นพี่น้องในคริสตจักร แต่แล้วก็พยายามให้ชาวต่างชาติที่เชื่อใหม่ ทำตามแบบยิว ไม่ว่าจะเป็นการเข้าสุหนัต การกินของสะอาด การรักษาวันสะบาโตเหมือนกับคนในศาสนายิวเรื่องนี้ ท่านเปาโลมองเห็นทะลุปรุโปร่ง นั่นคือ คนเหล่านี้ไม่ยอมรับการไถ่บาปของพระเยซู การเชื่อในพระนามของพระองค์ว่า เป็นความรอด แต่พวกเขาคิดว่าจะต้องทำความดีทำตามกฏประเพณีดั้งเดิม เพื่อให้รอดนี่คือการกลับไปเป็นทาส!

แต่เราจะไม่ยอมตามพวกเขา
แม้แต่ขณะเดียว
เพื่อว่าความจริงแห่งข่าวประเสริฐ
จะได้คงอยู่กับท่าน
กาลาเทีย 2:5

ยูดา 1:4; กาลาเทีย 5:1, 12-13; 4:9-10; 2 โครินธ์ 11:26

แต่เราจะไม่ตามคนที่คิดเบี่ยงเบนไปจากข่าว
ประเสริฐของพระเยซูที่ตรัสด้วยพระองค์เองว่า
“เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ
แต่มีชีวิตนิรันดร์” นี่เป็นเงื่อนไขของการได้
รับชีวิตนิรันดร์จากพระเจ้า ไม่ใช่การเข้าสุหนัต
หรือทำตามกฎของศาสนายิวต่าง ๆ ที่
พยายามทำให้คนเชื่อว่าต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้จึงจะได้รับความรอด

แต่สำหรับคนที่เป็นผู้นำ (ไม่ว่าพวกเขาจะมีตำแหน่งอะไรก็ไม่สำคัญสำหรับข้าพระเจ้าไม่ทรงโปรดปรานใครเป็นพิเศษ
อยู่แล้ว) ผู้นำเหล่านั้น ไม่ได้เพิ่มเติมสิ่งที่ข้ากล่าวไว้
กาลาเทีย 2:6

กาลาเทีย 2:14, 4:16; โคโลสี 2:4-8, 1:5

แน่นอนว่าในทุกสังคม มีความรู้สึกเกรงใจผู้นำและจะต้องคิดตามเขา ติดตามเขา ยิ่งในสังคมสมัยใหม่ที่ว่าคนเป็นตัวของตัวเอง กลับกลายเป็นคนต้องการผู้นำที่พวกเขาจะตามได้ ต้องการกลุ่มต้องเป็นพวกกัน ไม่งั้นโดนเท
สำหรับพระเจ้าแล้ว ไม่ทรงเห็นแก่หน้าใคร
ท่านเปาโลก็เช่นกัน ถ้าคนใดทำผิดไปจากหลักการแท้จริงแล้ว ท่านจะสู้ให้เห็น และกล้าเผชิญหน้าไม่มีคำว่า กลัว หรือเกรงใจ เลย

ตรงกันข้าม เมื่อพวกเขาเห็นว่า ข้าได้ฝากข่าวประเสริฐให้กับคนที่ไม่ได้เข้าสุหนัตเหมือนที่เปโตรได้มอบภาระการประกาศ
ข่าวประเสริฐให้กับผู้ที่เข้าสุหนัต เพราะพระองค์ผู้ทรงตั้งให้
เปโตรเป็นอัครทูตนำข่าวประเสริฐไปสู่คนยิว พระองค์ก็ทรงตั้งให้ข้าเป็นอัครทูตไปยังคนต่างชาติเช่นกัน
กาลาเทีย 2:7-8

กาลาเทีย 2:2; กิจการ 10:34; 2 โครินธ์ 12:11 ; กาลาเทีย 6:3; 1 เธสะโลนิกา 2:4; กิจการ 9:15; 1 ทิโมธี 2:7; กิจการ 19:10-11; 9:15; 2 โครินธ์ 11:4-5

มีความชัดเจนในตัวท่านเปาโลว่า ท่านได้รับ
พระบัญชาจากพระเจ้าให้ไปหาคนต่างชาติ ในขณะที่ท่านเปโตรนั้นก็เหมาะกับคนยิว คนที่มีกฎเกณฑ์มาก ๆ น่าสนใจที่พระเจ้าก็ทรงบอกเปโตรหลาย ๆ ครั้งเรื่องการที่พระเจ้าทรงรักคนต่างชาติเช่นเดียวกัน อย่างเช่นเรื่องของนายร้อยโครเนลิอัสเป็นต้น

และเมื่อยากอบ เคฟาสและยอห์น ที่มีชื่อเป็นเสาหลัก ได้ตระหนักถึงพระคุณที่พระเจ้าประทานให้ ก็ได้จับมือขวาของข้ากับบารนาบัส ตกลงว่า เราจะไปหาคนต่างชาติ ส่วนพวกเขาจะไปหาคนยิว พวกเขาขอร้องเพียงว่า เราจะไม่ลืมคนจนซึ่งเป็นสิ่งที่ข้าใส่ใจอยู่แล้ว
กาลาเทีย 2:9-10

โรม 12:3; วิวรณ์ 3:12; กาลาเทีย 2:2; กิจการ 24:17; 1 ยอห์น 3:17; ฮีบรู 13:16

ได้มีการตกลงจากผู้ใหญ่ท่ามกลางหมู่ผู้เชื่อว่า
ใครจะมุ่งไปที่เป้าหมายใด แต่ไม่ว่าในสังคมไหนที่พวกเขาจะไปรับใช้ กลุ่มคนที่จะพบเสมอคือคนยากจน ซึ่งอัครทูตทุกท่านให้ความสนใจอยู่แล้ว และทำให้เรารู้ว่า พระเจ้าไม่ทรงเห็นแก่หน้าผู้ใดจริง ๆ พระองค์ทรงรักมนุษย์เหมือน ๆ กันไม่ได้เลือกที่รักมักที่ชัง ถ้าที่ใดมีการเห็นแก่คนรวยมากกว่า ก็ไม่ได้เดินตามรอยอัครทูตแล้ว

การเผชิญหน้ากับท่านเปโตร

แต่เมื่อเคฟาสมาที่อันทิโอก ข้าก็ได้คัดค้านเขาต่อหน้า เพราะเห็นได้ชัดว่าเขาทำผิดคือว่า ก่อนที่คนบางคนจากยากอบจะมาถึง เขาเคยกินอาหารกับ
คนต่างชาติแต่เมื่อพวกเขามาถึงเขากลับหยุด ทำตัวออกห่างคนต่างชาติเพราะกลัวพวกที่เข้าสุหนัต
กาลาเทีย 2:11-12

1ทิโมธี 5:20; 1 ยอห์น 1:8-10; ยากอบ 3:2; กิจการ 10:28; ลูกา 15:2; เอเฟซัส 3:6

สิ่งที่ท่านเปโตร (คือเคฟาส) ได้ทำลงไปและทำให้ท่านเปาโลต้องตักเตือนนั่นก็คือ การที่เปโตรเองทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ เพราะกลัวพวกยิวจะเล่นงานยิวคริสเตียนบางคนในสมัยของท่านก็ช่างติ ช่างว่าและทำให้อัครทูตเปโตรเองไม่อยากที่จะต่อกรด้วยคนต่างชาติที่เคยเป็นเพื่อนกินเพื่อนคุย และสนิทสนมกับท่านเปโตร กลับถูกเมินเมื่อพวกยิวบางคน(ที่สร้างปัญหา) เข้ามาพัวพัน

และคนยิวอื่น ๆ ก็ทำตัวหน้าซื่อใจคดไปกับเขา ซึ่งสิ่งนี้เองแม้กระทั่งบารนาบัสก็ยังถูกชักจูงให้หลงทำตามด้วย
กาลาเทีย 2:13

1 โครินธ์ 15:33, 5:6, 8:9; ฮีบรู 13:9; เอเฟซัส 4:14

เรื่องเลวร้ายลงไปเพราะ เมื่อผู้นำคิดอย่างไร
ผู้ตามก็จะคิดตามไป เห็นด้วย ถ้ากลัวก็กลัว
เหมือนกัน ถ้ากล้าก็กล้าตามกันไปมีหลายสิ่งที่เราคิดว่ามันถูกต้องและทำตาม ๆ กันมาโดยตลอด แต่จริง ๆ แล้วเป็นสิ่งที่ผิดก็มี
ไม่น้อย การหลีกเลี่ยงคนต่างชาติทั้ง ๆ ที่
ท่านเปโตรเป็นคนนำคนเหล่านั้นมาเชื่อพระเจ้า เป็นสิ่งที่น่าอาย บารนาบัสเองยังหลงคิดไปว่า
ไม่เป็นไรเสียด้วยซ้ำ ผู้นำจึงต้องระวังตัวเสมอ

แต่เมื่อข้าเห็นว่าพฤติกรรมของเขาไม่สอดคล้องกับความจริงของข่าวประเสริฐข้ากล่าวกับเคฟาสต่อหน้าทุกคนว่า
“หากท่านซึ่งเป็นยิว ยังทำตัวราวกับคนต่างชาติ ไม่เหมือนยิว แล้วท่านจะมาบังคับให้คนต่างชาติถือประเพณียิวได้อย่างไร?”
กาลาเทีย 2:14

กาลาเทีย 2:5; กิจการ 10:28, 15:10-11; 1 ทิโมธี 5:20

ถ้าเราจะแปลความหมายของข้อนี้เป็นสมัยใหม่ก็ประมาณนี้ “คุณทำตัวไม่สมกับเป็นผู้เชื่อ
คุณมีชีวิตแบบคนไม่เชื่อ แต่ทำไมยังพยายาม
ให้คนที่ไม่เชื่อมาประพฤติตามพระคำของพระเจ้า?”
คนที่ประกาศข่าวประเสริฐ ก็ต้องมีชีวิตตาม
ข่าวประเสริฐนั้น ถ้าไม่ ก็ต้องพิจารณาตัวเอง
แต่ส่วนใหญ่ คนที่ทำตัวหน้าซื่อใจคดแบบนี้
มักมองตัวเองไม่ออก

เราซึ่งเป็นยิวโดยกำเนิดและไม่ได้เป็นคนบาปที่เป็นคนต่างชาติ ยังรู้ว่าไม่มีใครถูกนับว่าเป็นคนเที่ยงธรรมได้โดยการทำตามธรรมบัญญัติแต่เป็นได้เพราะเชื่อพระเยซูคริสต์
กาลาเทีย 2:15-16ก

ทิตัส 3:3; เอเฟซัส 2:3; เอเฟซัส 2:11-12; ฟีลิปปี 3:9; สดุดี 143:2

การเชื่อในพระนาม พระราชกิจ พระคำของ
พระเยซูคริสต์ เป็นหนทางที่เราจะถูกนับว่า
เป็นคนชอบธรรม นั่นเป็นเงื่อนไขที่พระเจ้า
ทรงวางไว้ให้เราทั้งโลกมักคิดว่า เราเป็นคนดี
ด้วยการทำดี แต่นั่นไม่ช่วยให้เที่ยงธรรมในสายพระเนตรพระเจ้า พระเจ้าจะทรงรับว่าเราเป็นคนเที่ยงธรรมตามมาตรฐานของพระองค์ โดยเราต้องทำตามเงื่อนไขของพระองค์เท่านั้น วิธีอื่นไม่ผ่าน

และเราได้มาเชื่อในพระเยซูคริสต์เพื่อว่าเราจะได้ถูกนับว่าเป็นคนเที่ยงธรรมโดยความซื่อตรงของพระองค์ไม่ใช่ด้วยการทำตามบัญญัติเพราะเรารู้ว่า ไม่มีใครจะเป็นคนเที่ยงธรรมได้โดยการทำตามบัญญัติ
กาลาเทีย 2:16ข

โรม 3:19-28; 1 เปโตร 1:18-21; กิจการ 13:38-39

นี่เป็นประโยคที่ต่อมา เป็นการย้ำให้ผู้อ่านเข้าใจชัดเจนว่า ด้วยความซื่อตรง ด้วยความรักด้วยการที่พระเจ้าทรงทำตามพระสัญญา
ตั้งแต่วันที่อาดัมเอวาฝืนพระบัญชา พระเยซูจึงเสด็จมาในโลก และสิ้นชีพเพื่อรับโทษบาปของมนุษย์แทนพวกเขา บัญญัติมีไว้ให้รู้ว่า
เธอทำผิดแบบนี้ไง ทำผิดแบบโน้นไง
แต่ที่จะพ้นโทษของการผิดต่าง ๆ เหล่านั้น
ต้องทำตามเงื่อนไขของพระเจ้าผู้เดียว

แต่หากขณะที่เราพยายามที่จะถูกนับเป็นผู้เที่ยงธรรมโดยพระคริสต์ กลับพบว่าเราเองเป็นคนบาป นี่หมายความว่าพระคริสต์เป็นผู้สนับสนุนให้ทำบาปอย่างนั้นหรือ ไม่ใช่แน่นอน!
กาลาเทีย 2:17

โรม 6:1-2, 11:7; กาลาเทีย 2:15; 1 ยอห์น 3:8-10

พระคำข้อนี้อ่านแล้วไม่เข้าใจในทันที ต้องกลับมาอ่าน ทบทวนว่าเราจะเข้าใจถูกต้องตามที่ผู้เขียนต้องการสื่อหรือไม่การที่พระเยซูทรงยกโทษบาปให้นั้น ไม่ได้หมายความว่าทรงส่งเสริมบาป แต่พระองค์ทรงบอกเราทั้งหลายเหมือนกับทรงบอกหญิงคนหนึ่งที่
ถูกลากมาเพื่อจะเอาหินขว้างให้ตายว่า“ เราไม่เอาโทษเจ้า ไปเถิด และอย่าทำบาปอีกเลย”
ยอห์น 8:1-11

หากว่าข้าสร้างสิ่งที่ข้าทำลายไปแล้วขึ้นมาใหม่ ก็แสดงว่า
ข้าเป็นคนที่ละเมิดพระบัญญัติ
กาลาเทีย 2:18

กาลาเทีย 4:9-12, 2:4-5, 2:12-16; โรม 14:15

สิ่งที่ถูกทำลายคือความคิดที่ว่าจะเป็นที่พอพระทัยพระเจ้าได้ด้วยการทำตามบัญญัติ ตามกฎที่มีอยู่ตามขนบประเพณี ที่สร้างเอาไว้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกศาสนาคิด ท่านเปาโลทำลายความคิดนั้นไปแล้วท่านจะไม่รื้อมันขึ้นมาอีกเพราะพระเจ้าทรงพอพระทัยเมื่อมนุษย์เชื่อสิ่งที่พระองค์ตรัส เชื่อสิ่งที่พระองค์บัญชา ถ้าท่านเปาโลยังคิดแบบนั้น ท่านก็ผิดแล้ว!

เพราะโดยบัญญัติ ข้าตายต่อบัญญัติแล้วเพื่อว่าข้าจะมีชีวิตอยู่เพื่อพระเจ้าข้าถูกตรึงไว้กับพระคริสต์ ข้าจึงไม่ได้มีชีวิตอยู่ต่อไป แต่พระคริสต์ทรงมีชีวิต
ในข้า ชีวิตที่ข้ามีอยู่ในกายนี้ข้ามีได้โดยความเชื่อในพระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงรักข้าและประทานพระองค์เองเพื่อข้า
กาลาเทีย 2:19-20

โรม 7:4,6:11;6:2;3:19-20; 1 เธสะโลนิกา 5:10; 2 โครินธ์ 5:15; 5:24; 4:10-11

บัญญัตแจ้งว่าท่านเป็นคนที่ผิดต่อพระเจ้า
ไม่ได้ทำให้ท่านเป็นคนเที่ยงธรรม การรักษาบัญญัติเพื่อรอดกลับกลายเป็นโซ่รัดที่ทำให้เป็นทาสบัญญัติ ตอนนี้ท่านได้ถูกลงโทษบนไม้กางเขนพร้อมกับพระเยซูไปแล้วท่านตายต่อบัญญัติเมื่อพระเยซูทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ซึ่งทำให้ท่านมีชีวิตที่เปลี่ยนไป
ชีวิตเดิมใต้บัญญัติตายไป แต่มีชีวิตใหม่กับพระเยซู

ข้ามิได้ทิ้งพระคุณของพระเจ้าไป
เพราะหากความเที่ยงธรรมมาได้โดยการทำตามบัญญัติ
การสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์
ก็ไร้ประโยชน์
กาลาเทีย 2:21

โรม 11:6; กาลาเทีย 3:21; ฮีบรู 7:11; 1 โครินธ์ 15:14

ถ้าเราสามารถเป็นคนเที่ยงธรรมโดยตัวเองได้
เราก็ไม่ต้องการพระเยซูที่ทรงสิ้นพระชนม์บน
ไม้กางเขน แต่ความจริงคือไม่มีใครทำได้ด้วยตัวเอง ..เพราะพระเยซูองค์เดียวทรงเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิตไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้ยกเว้นมาทางพระเยซู

กาลาเทีย 1 ข่าวประเสริฐแท้

ทักทายพี่น้อง

เปาโล อัครทูตที่ไม่ใช่มาจากมนุษย์หรือโดยมนุษย์แต่งตั้ง แต่โดยพระเยซูคริสต์และพระเจ้าพระบิดาผู้ทรงให้พระองค์คืนชีพจากความตาย และพี่น้องที่อยู่กับข้า มายังคริสตจักรกาลาเทีย
กาลาเทีย 1:1-2

กาลาเทีย 1:11-12; 1 โครินธ์ 1:1; กิจการ 9:15-16;โรม 1:1

ท่านเปาโลเป็นห่วงคริสตจักรในกาลาเทียเป็นอย่างยิ่ง เพราะว่า มีคนสอนผิดไม่พอยังพยายามให้คนเลิกฟังข่าวประเสริฐที่ท่านประกาศไปก่อนหน้าไม่นานนัก คนเหล่านั้นพยายามให้พี่น้องที่เชื่อใหม่ทำตามบัญญัติเรื่องต่าง ๆ โดยบอกว่าการประพฤติตามบัญญัติจะทำให้รอด ท่านเปาโลได้ไปแถบกาลาเทียซึ่งอยู่ในเอเชียน้อยสองครั้ง (กิจการ16:6, 18:23) และท่านได้กล่าวชัดว่าท่านเป็นอัครทูตที่พระเยซูและพระบิดาทรงแต่งตั้ง

ขอพระคุณและสันติสุขจากพระเจ้าพระบิดาและพระเยซูคริสต์เจ้าของเรามายังท่าน
พระเยซูประทานพระองค์เอง เพื่อบาปของเรา เพื่อกู้เราให้พ้นจากยุคที่ชั่วร้ายนี้ ตามพระประสงค์ของพระเจ้าพระบิดาของเรา ขอถวายพระสิริรุ่งโรจน์ตลอดไปเป็นนิตย์ อาเมน
กาลาเทีย  1:3-5

มัทธิว 20:28; กาลาเทีย 2:20;
โรม 11:36; ยูดา 1:25

คำอธิษฐานของท่านเปาโลเพื่อพี่น้องคือ ให้พวกเขามีพระคุณและสันติสุขของพระเจ้าเต็มล้นในชีวิตในสามข้อสั้น ๆ ท่านได้ทำให้เราเข้าใจได้ว่า พระเจ้าทรงประสงค์ที่จะช่วยกู้เราจากโลกที่ชั่วร้าย. คนที่ถามว่าทำไมพระเจ้าปล่อยให้มีความตายหรือให้มีความทุกข์ยาก เป็นคำถามที่ต้องย้อนกลับไปดูตั้งแต่พระเจ้าทรงสร้างโลก ทรงประสงค์โลกที่สวยงาม เต็มด้วยความดีงามบรรพบุรุษคู่แรกของเราได้ทำบาป ความตายและความทุกข์ยากเข็ญความชั่วร้ายจึงเต็มโลกจนพระเจ้าทรงเสียพระทัยยิ่งนัก ปฐมกาล 6:5-6

ไม่มีข่าวประเสริฐอื่นใด

ข้าประหลาดใจที่ท่านละทิ้งพระองค์ผู้ทรงเรียกท่านด้วยพระคุณของพระคริสต์อย่างรวดเร็ว และหันไปหาข่าวประเสริฐแบบอื่น ความจริงนั้นไม่มีข่าวประเสริฐอื่นใดแต่มีบางคนต้องการทั้งกวนใจท่าน และบิดเบือนข่าวประเสริฐของ
พระเยซูคริสต์
กาลาเทีย 1:6-7

2 โครินธ์ 11:4; กาลาเทีย 5:7-8
กิจการ 15:24; กาลาเทีย 5:10

หลังจากที่ท่านเปาโลกล่าวอวยพรขอให้พระคุณและสันติสุขของพระเจ้าอยู่กับพวกเขา ท่านก็เข้าเรื่องเลย ดูเหมือนว่าท่านกำลังไม่สบายใจอย่างมากที่พี่น้องคริสเตียนแถบกาลาเทียกำลังสับสน ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรจึงถูกต้อง เมื่อมีคนเข้ามาสอนอีกแบบที่ไม่เหมือนท่าน ก็หลงเชื่อตามไปง่าย ๆ เป็นการหลงเชื่อที่อันตรายต่อชีวิตฝ่ายวิญญาณเสียด้วย ข่าวประเสริฐของพระเยซูมีแค่ไหน เราต้องเข้าใจให้ชัดเจนเพื่อว่าจะไม่หลงไปง่าย ๆ แบบพี่น้องเหล่านี้

ถึงแม้ว่าเราหรือทูตสวรรค์จะมาประกาศข่าวประเสริฐที่ ตรงข้ามกับข่าวประเสริฐที่เราประกาศ
ไปแล้วนั้น ก็ขอให้เขาถูกสาปอย่างที่เราได้พูดมาก่อนหน้านี้ เวลานี้ข้าก็ขอพูดอีก หากมีใครคนหนึ่ง ประกาศข่าวประเสริฐแก่ท่านที่ตรงข้ามกับที่ท่านเคยได้รับ ขอให้เขาถูกสาป
กาลาเทีย 1:8-9

2โครินธ์ 11:13-14; วิวรณ์ 22:18-19; 1 โครินธ์​16:22; สุภาษิต 30:6; วิวรณ์ 22:18-19

ข่าวประเสริฐเรื่องการรอดพ้นบาปโดยพระเยซูคริสต์นั้น ไม่มีแบบอื่น ไม่ต้องมีตัวกลางคนอื่นการเชื่อพระเยซูคริสต์ว่า พระองค์ทรงเป็นผู้รับ
โทษบาปของเราไปแล้วเป็นเรื่องที่ท่านเปาโลกำลังเน้นย้ำ ในโลกนี้ มีคนมากมายพยายามจะลดความหมายสำคัญที่ยิ่งใหญ่ของไม้กางเขน
ดังนั้น พวกเขาจึงพยายามหาเรื่องราวมาประกอบให้ความเชื่อในพระเยซูไขว้เขว บิดเบือนไปวันนี้เราไม่ต่างกับชาวกาลาเทีย มีคนที่เอาพระคัมภีร์ไปดัดแปลงและสอนให้คนอื่นเชื่อเช่นนั้น

บัดนี้ ข้ากำลังตามหาการยอมรับของมนุษย์หรือของพระเจ้ากัน?
หรือว่าข้าต้องการเอาใจมนุษย์?
หากข้าพยายามที่จะทำให้มนุษย์พอใจ ข้าก็ไม่ใช่ทาสรับใช้ของพระคริสต์
กาลาเทีย 1:10

1 เธสะโลนิกา 2:4; กิจการ 5:29; เอเฟซัส 6:6

ถ้าท่านเปาโลพยายามเอาใจมนุษย์ ท่านจะไม่สาป คนที่สอนข่าวประเสริฐผิด ๆ ท่านจะตามน้ำไปเพื่อไม่ให้ใครรู้สึกแย่ แต่ท่านไม่อาจทำอย่างนั้นเพราะข่าวประเสริฐแท้จริง ข่าวประเสริฐที่เป็นแผนการของพระเจ้าและมีพระเยซูทรงมาทำให้สำเร็จ เป็นทางเดียวที่มนุษย์จะได้รับความรอดไม่ใช่เชื่ออะไรตามใจมนุษย์ปั้นแต่งขึ้นมา ท่านถึงกับกล่าวว่า
หากตัวท่านเองบิดเบือนข่าวประเสริฐท่านก็สมควรถูกสาปแช่ง

ผู้ที่ทรงใช้ให้ไปประกาศ

พี่น้องเอ๋ย เพราะข้าอยาก
ให้ท่านทราบว่าข่าวประเสริฐ ที่ข้าประกาศไปนั้นไม่ใช่เป็นข่าวประเสริฐของมนุษย์ เพราะข้าไม่ได้รับสิ่งใดจากใครเลย และข้าไม่ได้รับคำสอนจากใคร แต่รับมาโดยการสำแดงของพระเยซูคริสต์
กาลาเทีย 1:11-12

1 โครินธ์ 11:23; เอเฟซัส 3:3-8;
กาลาเทีย 1:16; 2 โครินธ์ 12:1

ท่านเปาโลกำลังแจ้งให้ทราบว่า ข่าวประเสริฐที่ท่านเขียนในจดหมาย ที่ท่่านสอนในคริสตจักรนั้น ท่านไม่ได้เรียนมาจากโรงเรียนไหน อาจารย์ใดผู้ที่สอนท่านคือ พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเยซูคริสต์ ท่านเปาโลเป็นคนหนึ่งที่โดดเด่นในการเป็นนักเรียนขององค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ท่ามกลางโลกที่เต็มด้วยคำสอนแปลก ๆ ตามความคิดของมนุษย์ ท่านเปาโลที่เก่งกาจในบทบัญญัติของโมเสส กลับไม่เรียนจากใคร แต่เรียนจากพระเจ้าโดยตรง

เพราะท่านรู้ถึงชีวิตในอดีต ตอนที่ข้าเชื่อศาสนายิวว่า ข้าได้ข่มเหงคริสตจักรของพระเจ้าอย่างรุนแรง และพยายามที่จะทำลายคริสตจักรด้วย
กาลาเทีย 1:13

กิจการ 8:3; 1 ทิโมธี 1:13; 1 โครินธ์ 15:9; กิจการ26:4-5

นักเรียนขององค์พระวิญญาณผู้นี้ เคยมีอดีตที่เป็นคนเชื่อศาสนายิว ถือกฎบัญญัติของโมเสสอย่างเคร่งครัด แดมยังมีกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่ช่วยกันตั้งขึ้นมาในช่วง 400 ปีก่อนที่พระเยซูมาบังเกิด ท่านเปาโลเองตกอยู่ภายใต้กฎเหล่านี้ ท่านมองว่า การเชื่อพระเยซูเป็นสิ่งที่บ่อนทำลายศาสนายิว ดังนั้นจึงต้องกำจัดความเชื่อในพระเยซูให้สิ้นซาก

ข้ามีความเข้าใจลึกซึ้งในศาสนายิวมากกว่าคนพวกเดียว กันที่อายุเท่ากัน
ข้ากระตือรือร้นสุดโต่ง
เพื่อความเชื่อของบรรพบุรุษ
กาลาเทีย 1:14

กิจการ 26:5; 1 เปโตร 1:8; โคโลสี 2:8; ฟีลิปปี 3:4-6

เราจะเห็นชัดว่า ท่านเปาโลเป็นคนที่ไปจนสุด
ไม่ว่าในเรื่องอะไร เมื่อท่านข่มเหงคนของพระเจ้าท่านก็ทำอย่างสุดหัวใจ เมื่อท่านเรียนรู้บทบัญญัติของโมเสส ท่านก็มีความลึกซึ้ง
มีความเข้าใจมากกว่าเพื่อน ๆ รุ่นเดียวกัน
และยังมีแรงผลักดันที่จะให้ความเชื่อดั้งเดิม
นั้นคงอยู่อย่างมั่นคงด้วย ท่านได้ให้เราได้ทราบถึงเบื้องหลังของชีวิตท่านด้วยตัวเอง
นี่เป็นคำพยานของคนที่ต่อต้านพระเยซูอย่าง
สุด ๆ แล้วต้องมาสยบให้พระองค์

แต่เมื่อพระองค์ทรงพอพระทัย
พระเจ้าทรงเลือกข้าออกมา
จากครรภ์มารดา
ทรงเรียกข้ามาโดยพระคุณของพระองค์
กาลาเทีย 1:15

เยเรมีย์ 1:5; อิสยาห์ 49:1,5; 2 ทิโมธี 1:9

เมื่อเราได้ยินคำอธิบายนี้ เราก็ต้องย้อนไปดูว่า
พระเจ้าทรงทำอะไรก่อนทรงสร้างโลกนี้
เอเฟซัส 1:4 กล่าวว่า เพราะพระองค์ได้ทรง
เลือกเราไว้ในพระคริสต์ ตั้งแต่ก่อนที่พระองค์
ทรงสร้างโลก เพื่อห้เราบริสุทธิ์ และไร้ตำหนิ
ในสายพระเนตร… ทรงเลือกเรามานานแล้ว
และที่พระเจ้าทรงยอมให้ท่านเปาโลข่มเหงคนของพระองค์ก่อนที่จะมาถึงจุดนี้ล่ะ ท่านอธิบายว่าอย่างไร? ใน 1 ทิโมธี 1:16 เพื่อพวกเราจะได้เห็นว่า พระเจ้าทรงอดกลั้นแค่ไหนกับคนบาป

ทรงพอพระทัยที่จะสำแดงพระบุตรของพระองค์ในข้า เพื่อว่าข้าจะได้ประกาศพระองค์ท่าม กลางคนต่างชาติ
ตอนนั้นข้าไม่ได้ขอคำแนะนำจากใครเลย
กาลาเทีย 1:16

มัทธิว 16:17; เอเฟซัส 3:5-10, 6:12; 3:1

พระเจ้าทรงประสงค์ให้คนได้เห็นพระเยซูคริสต์ในตัวของท่านเปาโล ในอดีตท่านเป็นคนที่มองว่าคนต่างชาติเป็นคนต่ำกว่าคนยิว เป็นคนไร้ค่าแต่แล้วพระเจ้ากลับทรงใช้ท่านให้ไปปรนนิบัติคน
เหล่านั้น นี่เป็นการพลิกการมองโลกของท่าน
หน้ามือเป็นหลังมือ อีกประการ ท่านเปาโลได้รับความหมายของข่าวประเสริฐจากพระเยซูโดยตรง ท่านจึงไม่ได้ไปขอความเห็นจากอัครทูตที่มาก่อนเลย

และข้าก็ไม่ได้ขึ้นไปเยรูซาเล็ม
เพื่อพบกับท่านอัครทูตรุ่นพี่ แต่ข้าได้ไปที่อาราเบีย แล้วจึงกลับมาที่ดามัสกัส
3 ปีผ่านมา ข้าจึงขึ้นไปยังเยรูซาเล็มเพื่อเยี่ยมท่านเคฟาส และอยู่กับท่านอีก15 วัน และข้าไม่ได้พบอัครทูตท่านอื่น
นอกจากยากอบซึ่งเป็นน้องชายขององค์พระผู้เป็นเจ้า
กาลาเทีย 1: 17-19

2 โครินธ์ 11:32-33; กิจการ 9:20-25
กิจการ 22:17-18; 9:26-29

ท่านเปาโลมิได้เรียนรู้เนื้อหาข่าวประเสริฐที่
ท่านเขียนในจดหมายฝากต่าง ๆ จากมนุษย์
เพราะสิ่งที่ท่านเขียนนั้น อธิบายแผนการของพระเจ้าอย่างชัดเจน แตกต่างจากอัครทูตท่านอื่น ๆเราจะขาดจดหมายฝากของท่านเปาโลไม่ได้เลยเพราะจดหมายเหล่านั้น ทำให้รู้ซึ้งถึงน้ำพระทัยของพระเจ้า ช่วยเพิ่มความเข้าใจชีวิตของพระเยซู รวมถึงเป้าหมายของพระเจ้าต่อโลกมนุษย์

สิ่งที่ข้าเขียนถึงท่านเหล่านี้ต่อพระพักตร์ของพระเจ้า ข้าไม่ได้มุสา
แล้วข้าก็เดินทางไปแคว้นซีเรียและซีซิเลีย
และข้าไม่เป็นที่รู้จักในคริสตจักรต่าง ๆ ที่อยู่ในพระคริสต์ ในแคว้นยูเดีย
กาลาเทีย 1:20-22

มัทธิว​ 13:55; มาระโก 6:3
โรม 9:1; 2 โครินธ์ 11:31
กิจการ 15:41; 9:30; 1 เธสะโลนิกา 2:14; โรม 16:7

ในช่วงเวลาแรก ๆ ที่กลับจากคนข่มเหงคริสตจักรมาเป็นคนที่ประกาศพระนามพระเยซูท่านเปาโลก็ไม่ได้เป็นที่รู้จักในคริสตจักรต่าง ๆ
ในยูเดียทางใต้ซึ่งมีเยรูซาเล็มเป็นศูนย์กลาง ท่านเริ่มไปประกาศสั่งสอนข่าวประเสริฐที่ท่านเรียนจากพระเจ้าโดยตรง ทางเหนือของอิสราเอลคือที่ซีเรีย และ ซีซิเลียซึ่งแคว้นนี้เป็นที่ตั้งของเมืองทารซัส บ้านเกิดของท่านเอง

พวกเขาได้ยินว่า “คนที่เคยข่มเหงพวกเรา บัดนี้ กำลังเทศนาถึงความเชื่อที่ครั้งหนึ่ง เขาพยายามทำลาย”และพวกเขาก็ถวายพระสิริแด่พระเจ้าเพราะข้า
กาลาเทีย 1:23-24

1 โครินธ์ 15:8-10; กิจการ9:13; 1 ทิโมธี
1:13-16; กิจการ 11:18; ลูกา 15:32, 15:10

จะเห็นได้จากพระคำตอนนี้ว่า ผู้ที่มีชัยชนะคือองค์พระผู้เป็นเจ้าที่ทรงอดกลั้นพระทัยต่อท่านเปาโล ในยามที่ท่านทำร้ายพระองค์ แม้ว่าพระองค์ทรงเรียกท่านเปาโลมานานพระองค์ทรงทำให้ท่านเองรู้ว่า ตัวจริงของท่าน
เป็นคนอย่างไร โหดร้ายต่อคนอื่นเมื่อพวกเขา
ไม่เชื่อเหมือนตนเอง และเมื่อถึงเวลาอันพอเหมาะพระเจ้าก็ทรงทำให้ท่านเข้าใจว่า ความรักของพระเจ้าไม่บังคับ ขู่เข็ญเหมือนที่ท่านเคยทำและคนทั้งหลายที่เห็นการเปลี่ยนแปลงในชีวิตก็กลับมาสรรเสริญพระเจ้า