สดุดี 143 คำทูลขอที่มากมาย

ขอให้พระวิญญาณแสนดีของพระองค์ทรงนำข้าไปตามที่ราบเรียบ

สดุดีของดาวิด


ดาวิดรู้สึกเสียใจและกลับใจ
1 โอ พระยาห์เวห์
โปรดฟังคำอธิษฐานของข้า
ขอทรงเงี่ยพระกรรณฟังคำทูลขอพระเมตตาของข้าเถิด
ขอทรงตอบข้าตามความซื่อตรง
และความเที่ยงตรงของพระองค์
2 ขออย่าทรงพิพากษาผู้รับใช้ของพระองค์เลย
เพราะว่า ไม่มีใครที่มีชีวิตอยู่อย่างเที่ยงธรรม
ต่อพระพักตร์ของพระองค์

เหตุผลที่อ่อนล้าหวาดหวั่น
3 เพราะศัตรูกำลังตามติดชีวิตข้า
เขาเหยียบย่ำชีวิตข้าจมดิน
เขาทำให้ข้านั่งในที่มืดเหมือนคนที่ตายนานแล้ว
4 ดังนั้น วิญญาณของข้าจึงอ่อนล้านัก
จิตใจของข้าก็หวาดหวั่น

ความทรงจำเดิม
5 ข้ายังจำวันเก่า ๆ ได้ข้าได้ใคร่ครวญ
ถึงทุกสิ่งที่พระองค์ทรงทำ
ข้าคิดทบทวนถึงราชกิจแห่งพระหัตถ์ของพระองค์
6 ข้ายกมือขึ้นหาพระองค์ จิตวิญญาณของข้ากระหายหาพระองค์เหมือนอย่างดินแตกระแหง เซ ลาห์

รื้อฟื้นใจอีกครั้ง
7 ขอพระองค์ทรงตอบข้าโดยเร็วเถิด
โอ พระยาห์เวห์ วิญญาณของข้าเหนื่อยอ่อน
ขออย่าทรงซ่อนพระพักตร์ไปจากข้าเลย
มิฉะนั้น ข้าจะเป็นเหมือนเหล่าคนที่ลงไปยังหลุมแดนตาย

8 ขอให้ข้าได้ยินถึงความรักมั่นคงของพระองค์ในเวลาเช้า
เพราะข้าวางใจในพระองค์ ขอทรงให้ข้ารู้วิถีทางที่ข้าควรเดินไป เพราะว่าจิตวิญญาณของข้าทูลต่อพระองค์
9 โอ พระยาห์เวห์ ขอทรงช่วยกู้ข้าให้พ้นจากศัตรู
ข้าหนีมาลี้ภัยในพระองค์
10 ขอทรงสอนให้ข้าทำตามพระดำริของพระองค์
เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของข้า
ขอให้พระวิญญาณแสนดีของพระองค์
ทรงนำข้าไป
ตามที่ราบเรียบ

11 โอ พระยาห์เวห์
เพื่อเห็นแก่พระนามของพระองค์
ขอทรงรักษาชีวิตของข้าไว้
ขอทรงนำวิญญาณของข้าออกมาจากความทุกข์ยาก

12 และขอทรงกำจัดเหล่าศัตรูของข้า
โดยความรักมั่นคงของพระองค์
และพระองค์จะทรงทำลายปฏิปักษ์แห่งวิญญาณของข้า
เพราะข้าเป็นผู้รับใช้ของพระองค์

พระคำเชื่อมโยง

1* สดุดี 140:6 ;1ยอห์น 1:9; สดุดี 31:1
2* โยบ 14:3; สดุดี 130:3; 1 พงศ์กษัตริย์ 8:46; โยบ 9:2; 15:14; 25:4; ปัญญาจารย์ 7:20; โรม 3:23; 1 โครินธ์ 4:4
3* สดุดี 88:3-6 ; เพลงคร่ำครวญ 3:6
4* สดุดี 77:3
5* สดุดี 77:5,11; 77:12; 111:2
6* โยบ11:13; สดุดี 42:2 ; 63:1
7* สดุดี 69:17; 102:2 ; 84:2; 27:9; 28:1; 88:4
8* สดุดี 90:14; 11:1; 25:1,2,4
9* สดุดี 59:1; 142:6 ;143:9
10* สดุดี 119:12 ; เนหะมีย์ 9:20 สดุดี 23:3; อิสยาห์ 26:10; สดุดี 27:11
11* สดุดี 23:3; 25:11; 71:20;142:7
12* สดุดี. 54:5; 116:16


พระเจ้าประทานสดุดีไว้ให้เราเป็นต้นแบบในการอธิษฐานส่วนตัวและอธิษฐานในที่ประชุม สำหรับบทนี้ ลองนับดูสิว่า ดาวิดทูลขอพระเจ้ากี่อย่าง มากมายเหลือเกิน และมีสองอย่างที่ขอพระเจ้าอย่าทรงทำ คือขออย่าทรงพิพากษาตัดสินความ และขออย่าทรงซ่อนพระพักตร์ของพระองค์จากท่าน
พระคำบทนี้ ไม่ได้สื่อถึงความทุกข์ยากในชีวิตทางร่างกายเท่านั้น แต่สื่อถึงการต่อสู้ฝ่ายวิญญาณด้วย. ผู้เขียนรู้ตัวว่า ได้ทำผิดต่อพระเจ้า ท่านเข้าใจชัดว่า ไม่มีใครเที่ยงธรรมเฉพาะพระพักตร์ของพระองค์ และสิ่งที่เหมือนกับกำลังเผชิญอยู่คนเดียว โดดเดี่ยว คือศัตรูได้ตามติด ไล่ล่า เหยียบย่ำ (3-4) และท่านกล่าวว่า ท่านเป็นเหมือนคนที่ตายนานแล้ว
หลายครั้งที่เราอยู่ห่างพระเจ้า และเราถูกศัตรูคือโลก และมารปิดกั้น ทำให้เรามองไม่เห็นพระเจ้า ไม่เห็นทางแห่งความสว่าง โลก และสิ่งของในโลก กั้นเราไว้จากพระเจ้า เราจึงเป็นเหมือนคนที่ตายนานแล้ว
ผู้เขียนตระหนักว่า ท่านช่วยตัวเองไม่ได้ ท่านร้องเรียกพระเจ้าว่า ขอทรงฟัง ขอทรงตอบ ขอทรงตอบโดยเร็ว ขอให้ได้ยินความรักมั่นคงของพระองค์อีกครั้ง ขอทรงช่วยกู้ ขอทรงสอนให้เดินไปตามทางแห่งความชอบธรรม ขอทรงนำไปทางชีวิตที่ราบเรียบ ท่านขอการพักจากการถูกทำร้าย ขอพระเจ้าทรงรักษาชีวิต ขอทรงนำออกจากความทุกข์ยาก ….. และในที่สุด ขอพระเจ้าทรงทำลายศัตรูให้สิ้นซาก
เราทุกคนต้องการคำอธิษฐานนี้ ไม่ว่าเพื่อพ้นจากศัตรูประเภทใดก็ตาม

ยอห์น 16 ราชกิจขององค์พระวิญญาณบริสุทธิ์

คำเตือนล่วงหน้า

ราชกิจของพระวิญญาณกับคนทั่วไป

ราชกิจของพระวิญญาณต่อผู้เชื่อ

พระเยซูทรงเตรียมใจคนใกล้ชิด

ความทุกข์จะกลายเป็นความยินดี

ขอได้ในพระนามพระเยซู

เราชนะโลกแล้ว

คำอธิบายและพระคำเชื่อมโยง


คำอธิบายเหล่านี้ เป็นเพียงอธิบายสั้น ๆ พระคำของพระเจ้านั้นลึกซึ้งกว่านี้มาก เราจึงศึกษาพระคำของพระเจ้าได้ตลอดชีวิต บทที่16 เป็นคำของพระเยซูที่ทรงย้ำเตือนสิ่งที่ตรัสมาก่อนล่วงหน้าแล้ว


คำเตือนล่วงหน้า ยอห์น 16:1-6
พระเยซูทรงเตือนศิษย์ล่วงหน้าว่า พวกเขาจะเจอมรสุมใหญ่มาก แบบที่ไม่คาดคิดมาก่อน ทรงให้เขารู้เพื่อว่าเขาจะไม่กระจัดกระจายไปจากกันและกัน ไม่สะดุดไปเพราะเหตุการณ์ร้ายนั้น สิ่งที่ทรงบอกก็น่ากลัว คือพวกเขาจะถูกไล่จากกลุ่มพี่น้องในศาลาธรรมถูกตามฆ่าด้วย (ต่อมาเหตุการณ์ก็เป็นไปตามนั้นจริง อัครทูตทั้งสิบถูกประหารด้วยวิธีที่น่าสยดสยอง ยกเว้นท่านยอห์น คนที่ทำต่างคิดว่าพวกเขาทำเพื่อพระเจ้า แต่ความจริงคือพวกเขาไม่รู้จักทั้งพระบิดาและพระบุตร ตัวอย่างเห็นได้จากท่านเปาโลที่คิดว่าตัวเองข่มเหงคริสเตียนเพราะทำเพื่อพระเจ้า)
ทรงบอกเหตุผลว่า พระองค์กำลังจะไม่อยู่กับพวกเขาแล้ว พวกเขาต้องเตรียมใจ เมื่อเป็นเช่นนี้ ทั้งสิบเอ็ดคนจึงเป็นทุกข์มาก ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วจนแทบตั้งตัวไม่ทัน แต่ดูเหมือนว่าพระเยซูไม่ได้สะทกสะท้านกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นเลย

1* มัทธิว 11:6
2* ยอห์น 9:22; 12:42; 4:21; กิจการ 8:1; 9:1; 26:9-11
3* ยอห์น 8:19, 55; 15:21; 17:25
4* ยอห์น 13:19; 14:29; ลูกา 22:53; มัทธิว 9:15 
5* ยอห์น 14:12; 13:36; 14:5; 16:22; 14:1; 16:5; 14:12 ;13:36; 14:5 
6* ยอห์น 16:22; 14:1

ราชกิจของพระวิญญาณกับคนทั่วไป ยอห์น 16:7-11
แล้วพระองค์ทรงปลอบใจเขาให้รู้ความจริงว่า ที่พระองค์จากไปนั้น เป็นผลดีเพราะว่า พระองค์จะทรงองค์พระผู้ช่วยมาหาพวกเขา
สิ่งที่พระวิญญาณทรงทำในใจของผู้ที่ยังไม่เชื่อก็คือ ทรงให้พวกเขาตระหนักถึงบาปของตนที่ไม่เชื่อพระเยซู ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องมาก่อนการกลับใจ
ความชอบธรรมที่พวกเขาต้องมีซึ่งเขาจะมีได้เพราะพระเยซูกำลังจะสิ้นและคืนพระชนม์ ทรงกลับไปหาพระบิดา แล้วพระวิญญาณจะทรงให้เราเห็นว่า พระเจ้าทรงพิพากษามาร การงานของมันและลิ่วล้อของมันด้วยอย่างแน่นอน
บาปสำคัญที่มนุษย์ทุกคนต้องกำจัดให้ได้คือการไม่เชื่อพระเยซู เพราะบาปนั้นเป็นเหตุที่ทำให้พวกเขาไม่มีโอกาสได้รับชีวิตนิรันดร์


7* ยอห์น 7:39; 15:26; 14:16; กิจการ 2:33; ยอห์น 14:2; 14:26
8* ยอห์น 8:28; 8:46
9* ยอห์น 8:24; กิจการ 2:36, 37; 1 โครินธ์ 12:3]
10* กิจการ 17:31; ยอห์น 16:16, 17, 19
11* ยอห์น 12:31; โคโลสี 2:15; ฮีบรู 2:14

าชกิจของพระวิญญาณต่อผู้เชื่อ ยอห์น 16:12-15
ยังมีหลายสิ่งที่พระเยซูจะบอกศิษย์ใกล้ชิด แต่ว่า พวกเขายังไม่อาจรับได้ทุกเรื่อง ดังนั้น พระเยซูจึงให้สิ่งต่าง ๆ ที่ต้องบอกเป็นราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทรงยืนยันว่า พระวิญญาณจะตรัสในสิ่งที่ทรงได้ยินจากพระบิดาที่ส่งต่อผ่านมาทางพระบุตร เวลาเรามาเชื่อพระเจ้าใหม่ ๆ เราก็ค่อย ๆ เรียนรู้ไป บางสิ่งมันก็ยิ่งใหญ่เกินกว่าที่เราจะเข้าใจ อาจจะต้องใช้เวลา เพราะว่า ความรู้ที่ได้จากพระเจ้านั้นไปพร้อมกับการเติบโต ยิ่งเติบโต พระเจ้าก็จะทรงสอนในสิ่งที่ยากขึ้น ละเอียดขึ้นให้แก่เรา
พระบุตรทรงถวายพระเกียรติแด่พระบิดา และพระวิญญาณก็จะทรงถวายพระเกียรติแด่พระเยซู แต่ทั้งหมดนี้ ศิษย์ทั้ง 11 คน ก็ไม่ได้เข้าใจอะไรกระจ่าง …​เหตุการณ์นี้ทำให้เรารู้ว่า เรียนรู้จักพระเจ้าไปเถอะ มีบางอย่างที่ไม่เข้าใจเวลานี้ แต่พระวิญญาณจะทรงให้ความเข้าใจแก่เรา และเราเองก็จะช่วยให้คนอื่นได้เข้าใจด้วย


13* ยอห์น14:17; 14:26; กิจการ 8:31; ยอห์น 1:17; 14:6; สดุดี 25:5; ยอห์น 15:15
14* ยอห์น 7:39
15* ยอห์น17:10 ; ดูข้อ 14

วามทุกข์จะกลายเป็นความยินดี ยอห์น 16:18-23ก
พวกเราสมัยนี้ รู้ว่า พระเยซูตรัสถึงอะไร ความตายที่ใกล้เข้ามา แต่ศิษย์ไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน ทำไมพวกเขาร้องไห้ในขณะที่โลกยินดี? นี่มันเรื่องอะไรกันหรือ? ศิษย์ถาม แต่พระเยซูไม่ได้ตอบอย่างที่พวกเขาต้องการเพราะอย่างไร ๆ พวกเขาก็จะไม่เข้าใจอยู่ดี
แล้วพระเยซูทรงเปรียบเทียบว่า ความยินดีของพวกเขาจะมา เหมือนกับแม่ที่คลอดบุตร ใช่แล้ว มันเจ็บปวดมากก่อนที่จะได้เจอกับเวลาแห่งความยินดี เช่นกัน พวกเขาเป็นทุกข์ แต่ก็จะได้พบกับพระองค์อีก แล้วเมื่อพบพระองค์ ก็ไม่ต้องมีคำถามอะไรอีกเลย เพราะความยินดีนั้นท่วมท้น


18* ยอห์น 14:5
19* ดูข้อ 30; ยอห์น 2:24, 25
20* มัทธิว 9:15; มาระโก 16:10; ลูกา 23:27; วิวรณ์ 11:10; เยเรมีย์ 31:13; มัทธิว 5:4
21* อิสยาห์ 26:17; สดุดี 48:6; อิสยาห์ 13:8; 1 เธสะโลนิกา 5:3; วิวรณ์12:2
22* ดูข้อ 6; 2 โครินธ์ 6:10; ดูข้อ 16;สดุดี 33:21; อิสยาห์ 66:14; ลูกา 24:52; กิจการ 2:46; 8:8, 39;
23* ดูข้อ 26; ยอห์น 14:20; ดูข้อ 19, 30; ยอห์น 14:13; 15:16; เอเฟซัส 1:3

ขอได้ในพระนามพระเยซู อห์น 16:23ข-28
การขอในพระนามพระเยซูคือการขอโดยสิทธิอำนาจของพระองค์
เราบอกเจ้าเป็นคำภาพ (Figurative Language) บางครั้งคำที่เป็นภาพก็เข้าใจได้ง่ายขึ้นอย่างเช่นเรื่องพระองค์เป็นต้นองุ่น ทรงเป็นผู้เลี้ยงที่ดี
ที่พระเยซูตรัสว่า พระองค์จะไม่อธิษฐานต่อพระบิดาเพื่อพวกเขาอีก เพราะว่า เวลานี้ พวกเขาทูลขอต่อพระบิดาได้โดยตรง ในพระนามของพระบุตรที่พระบิดาทรงรักมาก พวกเขาไม่ใช่แค่ขอเพื่อตัวเอง แต่ขอเพื่อคนอื่น ๆ ได้เหมือนที่พระเยซูทรงอธิษฐานเผื่อชาวโลกนี้ (ฮีบรู 7:25)
ข้อ 28 นี้ เป็นการบอกชีวิตของพระองค์ในประโยคสั้น ๆ ทรงมาจากพระบิดา ทรงเข้ามาเป็นมนุษย์ในโลก จะทรงสิ้นพระชนม์ และจะทรงมีชีวิตกลับไปหาพระบิดา


24* มัทธิว 7:7 ; ยอห์น 15:11
25* ดูข้อ 2
27* ยอห์น 14:21, 23; 17:23; 21:15-17; 1 โครินธ์ 16:22; ดูข้อ 30; ยอห์น 17:8
28* ยอห์น 8:14; 13:3; 14:12

เราชนะโลกแล้ว ยอห์น 16:29-33
แล้วในที่สุด ศิษย์ของพระองค์ก็เริ่มเห็นภาพ และเข้าใจว่า ตนเองเข้าใจทุกอย่างแจ่มแจ้ง มีความมั่นใจในความเชื่อมากกว่าความเป็นจริง จากนั้นทรงบอกเขาล่วงหน้าว่า พวกเขาจะกระจัดกระจายหนีไปเพราะความกลัว และทิ้งพระองค์ไว้ผู้เดียว พระองค์ทรงเตือนเขาว่าความจริงจะเป็นเช่นไร ไม่ได้ทรงตำหนิพวกเขา ดูเหมือนว่าพระองค์อยู่ผู้เดียวหรือ? เปล่าเลย พระบิดาทรงอยู่กับพระองค์ตลอดเวลา
ที่พระองค์ทรงบอกเหตุการณ์ต่าง ๆ ล่วงหน้านี้เพื่อไม่ให้พวกเขาทุกข์ใจ แต่ให้เป็นสุขเพราะว่า พระองค์ทรงชนะตามแผนการของพระเจ้าที่วางไว้ทุกประการ
พระเยซูทรงบอกไว้เลยว่า แม้จะพบความทุกข์ยากแต่ก็ขอให้ยินดี เพราะว่า พระเยซูทรงชนะแล้ว ทรงไถ่มนุษย์ให้กลับไปหาพระบิดา ทรงมีชัยชนะเหนือความตาย


29* ดูข้อ 25
30* ยอห์น 21:17; 2:24, 25; ดูข้อ 27, 28; ยอห์น 3:2]
32* ยอห์น 4:21, 23; มัทธิว 26:31; มาระโก14:27; อิสยาห์ 63:5; ยอห์น 8:16, 29
33* ยอห์น 14:27; โคโลสี 3:15; ยอห์น 15:18-21; วิวรณ์ 1:9; กิจการ 14:22
ยอห์น 14:1, 27; โรม 8:37; 1 ยอห์น 4:4; 5:4, 5; วิวรณ์ 3:21; 12:11

ยอห์น 15 ต้องเข้าสนิทในพระเยซู

คำเปรียบเรื่องต้นองุ่นแท้

ต้นกับกิ่งก้านต้องติดสนิทกัน

ผลของการติดหรือไม่ติดกับต้น

ความรักและการเชื่อฟัง เป็นของคู่กัน

ความรักที่เราต้องเลียนแบบ

พระเจ้าทรงเลือกเราให้เกิดผล ให้รักกันและกัน

เพราะศิษย์เป็นของพระองค์ โลกจึงเกลียดชัง

โลกไม่รับเราเพราะพระเยซู

พระวิญญาณทรงเป็นพยาน

คำอธิบายเพิ่มเติมและพระคำเชื่อมโยง ยอห์น 15

คำเปรียบเรื่องต้นองุ่นแท้ ข้อ 1-3
หลังจากที่ทรงปลอบใจว่าไม่ให้เหล่าศิษย์ของพระองค์ต้องกังวลใจ ทุกข์ใจ พวกเขาก็ออกมาจากที่นั่น แล้วพระเยซูทรงเปรียบเทียบว่า พระองค์คือ ต้นองุ่นแท้ พระบิดาทรงดูแล เหล่าศิษย์คือ กิ่งก้านของต้นองุ่นนี้ ส่วนผู้ดูแลองุ่นก็คือ พระบิดา เราจึงเห็นความสัมพันธ์ที่ขาดกันไม่ได้ในคำเปรียบนี้
การเกิดผลในชีวิตขึ้นอยู่กับการที่พระเจ้าทรงลิดผลที่ติดกับต้น เป็นการทำงานของพระบิดา พระบุตร และผู้เชื่อ การเข้าสนิทกับพระเยซู มีความสัมพันธ์ใกล้ชิด รู้จักพระองค์เป็นอย่างดี เดินตามพระองค์เป็นเคล็ดลับสำคัญที่คน ๆ หนึ่งจะเกิดผล ตอนที่อยู่ในห้องอาหารนั้น พระเยซูก็ตรัสให้พวกเขาเข้าสนิทกับพระองค์แล้ว (ดู 14:20-24) ที่น่าเสียดายมากคือ กิ่งที่ไม่เกิดผลจะถูกตัดทิ้ง

1* เยเรมีย์ 2:21; 1 โครินธ์  3:9]
2* ดูข้อ 6; มัทธิว 3:10; 7:19; โรม 11:17; 2 เปโตร 1:8; มัทธิว 15:13; โรม 11:22;มัทธิว 13:12
3* ยอห์น 13:10 ; ยอห์น 17:17; เอเฟซัส  5:26

ต้นกับกิ่งก้านต้องติดสนิทกัน ข้อ 4-5
เรื่องนี้ชัดเจน ง่ายมาก หากไม่ติดกับต้น ก็จะเฉาตายไปเอง ติดกับต้น ก็จะเกิดผลมาก พระเยซูทรงบอกเราว่า การอยู่ในพระองค์นั้น ทำให้เราเกิดผล ทำให้เราสามารถทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ เพราะจริง ๆ แล้วคือพระเจ้าที่อยู่ในเราทรงทำให้
ข้อสังเกตสภาพของกิ่งก้านคือ กิ่งที่ไม่เกิดผล กิ่งที่เกิดผล กิ่งที่เกิดผลมากขึ้น และกิ่งที่เกิดผลมากมาย

4* ดูข้อ 5-7; 1 ยอห์น 2:6; ฟีลิปปี1:11; โคโลสี 1:23 ; ยอห์น 6:56;  3:15
5* โรม 6:5; ดูข้อ16; โคโลสี 1:6, 10

ผลของการติดหรือไม่ติดกับต้น ข้อ 6-8
และยังมีสภาพของกิ่งที่ถูกโยนทิ้ง แห้งเหี่ยว ถูกมัดรวม โยนลงเป็นกอง และเผาไฟด้วย พระเยซูทรงพูดถึงผู้เชื่อที่ไม่ติดสนิทกับพระองค์ บางทีเราคิดว่า เชื่อแล้วก็โอเคแล้ว รอดแน่ แต่คำตรงนี้ฟังแล้วดูจะไม่ใช่อย่างที่คิด
คนที่อยู่ในพระเจ้า ก็จะขอสิ่งที่ไม่ได้ขัดหรือผิดต่อน้ำพระทัยพระเจ้า เขาจะได้รับสิ่งที่ทูลขอ เขาจะเกิดผลมาก ทำให้ใคร ๆ รู้ว่า นี่คือคนติดตามพระเยซูจริง ๆ

6* ดูข้อ 2 ; มัทธิว 13:40-42; เอเสเคียล15:4
7* ยอห์น 8:31; 14:13
8* อิสยาห์ 61:3; มัทธิว 5:16; 2 Cor. 9:13; Phil. 1:11และข้อ 5

ความรักและการเชื่อฟังเป็นของคู่กัน ข้อ 9-11
ความเป็นจริงของการอยู่ในพระเยซูคือ การทำตามคำบัญชาของพระองค์ด้วยความรัก โดยทำตามแบบอย่างของพระเยซูที่ทรงทำตามพระบิดาสุดพระทัย
ความรักของโลกนี้ แตกต่างจากรักที่พระเจ้ารักเรา ดังนั้น หากไม่มีตัวอย่างของรัก พวกเราอาจเข้าใจผิดไปได้ รักที่พระเยซูหมายถึงไม่ใช่รักด้วยอารมณ์ ไม่ใช่รักลึกซึ้งลี้ลับ แต่เป็นความรักที่มีความเชื่อฟังแบบที่ว่ายอมตายเลยทีเดียว

9* ยอห์น 5:20
10* ยอห์น 14:15, 23; 8:55; 17:4; Phil. 2:8; ยอห์น 10:18
11* 2 Cor. 2:3; ยอห์น 3:29; 16:24; 17:13; 1 ยอห์น 1:4; 2 ยอห์น 12


ความรักที่เราต้องเลียนแบบ ข้อ 12-15
ที่จริง พระเยซูพูดคำนี้มาแล้วในห้องอาหาร และทรงย้ำอีกครั้งหนึ่ง รักที่ยิ่งใหญ่สุดคือเพื่อนตายแทนได้ และอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า พวกเขาจะได้เห็นว่า พระองค์นี่แหละ ทรงตายแทนพวกเขาจริง ๆ (ซึ่งในเวลานั้นพวกเขาก็ยังไม่เข้าใจ)
ทรงย้ำว่าพวกเขาคือเพื่อนของพระองค์ ไม่ใช่เป็นทาสรับใช้ ทรงรู้ว่า ในอนาคตต่อไป พวกเขาจะได้ทำตามคำสั่งสุดท้ายแน่นอน อีกอย่างที่ถือว่าเป็นเพื่อนเพราะพระองค์ทรงได้ยินอย่างไรจากพระบิดา ก็ทรงบอกพวกเขาโดยไม่ปิดบัง เว้นแต่พวกเขาจะไม่เข้าใจเอง
**คำว่าคนรับใช้ ในที่นี้มีความหมายถึง ทาส

12* ยอห์น 13:34
13* โรม 5:7, 8; เอเฟซัส 5:2; ยอห์น 10:11
14* ลูกา 12:4; ดูข้อ 10; มัทธิว 12:50]
15* ดูข้อ 20; ยอห์น 13:7, 12; 3:32; 8:26, 40; 16:13 ;17:26; ปฐมกาล18:17; 1 โครินธ์ 2:16; 13:9, 10

พระเจ้าทรงเลือกให้เราเกิดผล ให้รักกันและกัน 16-17
พระเจ้าได้ทรงเลือกศิษย์แต่ละคนให้ไปเกิดผลที่ยั่งยืน พวกเขาเป็นคนที่ได้อยู่กับพระเยซูอย่างใกล้ชิด ได้สังเกตเห็น ได้ทำงานร่วมกับพระองค์มาโดยตลอด เป็นผู้ที่พระเจ้าทรงเปิดเผยสิ่งที่คนอื่นไม่มีโอกาสได้เห็น เป็นผู้ที่มีความเข้าใจลึกซึ้งอย่างที่คนอื่นไม่เข้าใจ
พระองค์ทรงย้ำอีกว่า ให้รักกันและกัน ….

16* ยอห์น 13:18; 2 ยอห์น 8; ดูข้อ 7; ยอห์น 14:13
17* ดูข้อ 12

เพราะศิษย์เป็นของพระองค์ โลกจึงเกลียดชัง ข้อ 18-20
จากพระคำตอนนี้ เราจะเห็นว่า พระเยซูทรงเห็นล่วงหน้าว่าพวกเขาจะเจอการข่มเหงจากโลกนี้ แม้ว่าพระองค์จะทรงทำคุณให้พวกเขา แต่ก็ยังมีคนที่เลือกจะเกลียดพระองค์ทุกยุคทุกสมัย เมื่อไม่พอใจพระเยซู ก็ไม่พอใจคนของพระองค์ไปด้วย แต่หากคนของพระองค์รู้แน่ว่า เขาเป็นคนที่พระเจ้าทรงเลือก เขาจะมั่นคงไม่ว่าจะพบเจอหนักเพียงไร
การที่พระเยซูเสด็จมาในโลก และเป็นพยานเรื่องของพระเจ้ากับผู้คน ทรงชักชวนพวกเขาให้กลับใจ พวกเขาเห็นการอัศจรรย์ยิ่งใหญ่ของพระเยซู แต่ยังปฏิเสธพระองค์ ยิวทุกคนจึงไม่มีข้อแก้ตัวอีกแล้ว


18* ยอห์น 7:7; 1 ยอห์น 3:13; ยอห์น 15:23, 24
19* 1 ยอห์น 4:5; 17:14, 16; ลูกา 6:26; กาลาเทีย 1:4; ยากอบ 4:4
20* ยอห์น 13:16; มัทธิว 10:24; ดูข้อ15; ยอห์น 16:33; 1 โครินธ์ 4:12; 2 โครินธ์ 4:9; 1 เธสะโลนิกา 2:15; 2 ทิโมธี 3:12; เอเสเคียล 3:7; ยอห์น 8:51

โลกไม่ยอมรับเราเพราะพระเยซู ข้อ 21-25
ศิษย์ทุกคนที่พระเยซูตรัสด้วยในคืนวันนั้น ต่างพบกับการข่มเหงอย่างรุนแรงจนถึงตายเกือบทุกคน ..ยกเว้นท่านยอห์นที่ถูกเนรเทศไปเกาะปัทมอส
ความจริงที่เกิดขึ้นก็คือเป็นไปตามสดุดี 69:4 ที่บอกว่า เขาได้ชังเราโดยไม่มีสาเหตุ
สรุปคือพระเยซูตรัสว่า หากเขาชังพระองค์ เขาจะชังพระบิดา และคนของพระองค์ตามไปด้วย

21* ยอห์น 16:3; มัทธิว 10:22; 24:9; วิวรณ์ 2:3; กิจการ 5:41; 1 เปโตร 4:14, 16; กิจการ 3:17
22* มัทธิว 11:22, 24; ลูกา12:47, 48; ยอห์น 9:41
23* ยอห์น 5:23
24* ยอห์น 3:2; 7:31; 9:32; มัทธิว 9:33; ยอห์น 10:32, 37;ยอห์น 14:9
25* ยอห์น 10:34; 12:38


พระวิญญาณทรงเป็นพยาน ข้อ 26-27
พระดำรัสของพระเยซูตอนนี้ทำให้เราเห็นว่า พระวิญญาณทรงอยู่กับผู้เชื่อเสมอ ในอนาคต พวกเขาจะเจอกับการข่มเหงที่กำลังมนุษย์ไม่อาจทนได้ พวกเขาต้องการพลังแห่งพระวิญญาณที่จะสู้สิ่งร้ายเหล่านั้น
พระวิญญาณจะทรงเป็นพยานให้ผู้เชื่อได้รับรู้ถึงพระเยซูคริสต์ และจะทรงหนุนกำลังพวกเขาให้เป็นพยานเพื่อพระองค์ด้วย

26* ยอห์น 14:16, 17, 26; 1 โครินธ์12:3; 1 ยอห์น 5:7
27* ยอห์น 19:35; 21:24; 1 ยอห์น 1:2; 4:14; [3 ยอห์น 12]; ลูกา 24:48; กิจการ 4:20

ยอห์น 14 คำสนทนาในอาหารมื้อสุดท้าย

พระเยซูทรงเป็นทางนั้น เป็นความจริงและชีวิต

ทรงสัญญาจะประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์

พระเยซูทรงเป็นทางนั้น เป็นความจริงและชีวิตข้อ 1-9
ศิษย์ทุกคนเพิ่งรับรู้ว่า มีเพื่อนคนหนึ่งกำลังทรยศพระเยซู เพิ่งเข้าใจว่าพระเยซูกำลังจะจากไป พวกเขาต่างกังวลใจว่า อนาคตจะเป็นอย่างไร พระเยซูทรงบอกให้เขาวางใจพระเจ้าและวางใจพระองค์ด้วย
แล้วพระองค์ก็ตรัสถึงแผ่นดินสวรรค์ ที่ ๆ พระองค์จะไป พระองค์ไม่ได้ไปเฉย ๆ แต่จะทรงเตรียมที่ทางให้พวกเขา พระเยซูทรงคุ้นเคยกับสวรรค์เป็นอย่างดี ทรงรู้ว่ามีที่ทางพอสำหรับทุกคนที่จะเป็นประชากรที่นั่น
ทรงสัญญาว่าจะกลับมารับพวกเขาไปอยู่ด้วย … แต่คนหนึ่งค้านว่า พวกเขาไม่รู้ว่าพระองค์จะไปที่ไหน จะรู้ทางได้อย่างไร
แล้วพระเยซูทรงตอบเขาชัดเจนว่า ทางนั้นคือพระองค์ ถ้าใครก็ตามต้องการไปสวรรค์ ต้องการพบพระบิดา พวกเขาไปทางอื่น วิธีอื่นไม่ได้ นอกจากวิธีที่พระองค์บอก และผ่านมาทางพระองค์เท่านั้น ทรงเป็นทั้งหนทางที่ไป คำตรัสของพระองค์เป็นความจริง และพวกเขาจะได้ชีวิตนิรันดร์ ก็โดยพระองค์ผู้เดียว ทรงเป็นต้นตอของชีวิตให้กับผู้เชื่อ คำของพระเยซูตอนนี้ทำให้เรารู้ว่า ไม่ว่าใครพยายามด้วยวิธีไหน ก็ไม่อาจไปถึงเจ้าของสวรรค์ได้ พระองค์ทรงบอกให้เขาวางใจพระองค์ ซึ่งตอนนั้น เหล่าศิษย์อาจจะยังไม่เข้าใจถ่องแท้
แล้วพระเยซูทรงชี้ให้พวกเขาเห็นว่า ในเมื่อพวกเขารู้จักพระองค์แล้ว ก็เหมือนกับได้รู้จักกับพระบิดาไปพร้อม ๆ กัน
(ใช่แล้ว ถ้าเรารู้จักพระเยซู เราก็รู้จักพระบิดาด้วย ) การเปิดเผยของพระเยซูตรงนี้ทำให้เราอบอุ่นใจเวลาที่เราอธิษฐานต่อพระบิดาผู้สถิตในสวรรค์ เพราะเรารู้จักพระบุตร เราจึงคุ้นเคยกับพระบิดาด้วย

1* ดูข้อ 27; ยอห์น 16:22, 23; 1 เปโตร 3:14; ยอห์น 12:44
2* ยอห์น 2:16; 16:7; 8:21, 22; 13:33, 36
3* ยอห์น 14:18, 28; ยอห์น 21:22, 23; ยอห์น 12:26
5* ยอห์น 11:16; 13:36
6* ฮีบรู 9:8; 10:20; เอเฟซัส 2:18; ยอห์น 1:14, 17; 1 ยอห์น 5:20 ; ยอห์น 11:25
7* ยอห์น 8:19; 1 ยอห์น 2:13, 14; 6:46
8* ยอห์น 1:43, 44; 12:21; อพยพ 33:18
9* ยอห์น 12:45; ยอห์น 10:30; 15:24; โคโลสี 1:15; ฮีบรู 1:3

ความสัมพันธ์ของพระบุตรกับพระบิดาที่ลึกซึ้ง ….ข้อ 10-11
พระเยซูทรงถามว่า “เจ้าไม่เชื่อหรือว่า เราอยู่ในพระบิดาและพระบิดาทรงอยู่ในเรา?” ที่พระองค์ทรงถามเช่นนั้นเพราะพระองค์ย้ำแล้วย้ำอีกว่า พระบิดากับพระองค์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทั้งกับพวกเขาและต่อหน้าพวกยิวด้วย ทำให้เราเห็นว่า เหล่าศิษย์ยังไม่ตระหนักในสิ่งที่พระเยซูตรัสเลย แล้วพระเยซูก็สรุปว่า ให้เชื่อว่าพระบิดาและพระบุตรทรงอยู่ในกันและกันจากราชกิจที่พวกเขาได้เห็นกันมามากมาย

10* ยอห์น 10:38; 5:19, 20
11* ยอห์น 5:19, 20; 5:36

คำสัญญาที่แปลก ข้อ 12-14
แล้วพระเยซูก็ทรงสัญญาว่า เมื่อพระองค์เสด็จไปหาพระบิดาแล้ว คนที่วางใจในพระองค์จะทำสิ่งที่ทรงทำ แถมจะทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า หากเราย้อนไปตอนที่พระเยซูสอนให้ศิษย์อธิษฐาน เราจะเห็นว่า พระองค์ทรงสอนให้เขาอธิษฐานต่อพระบิดาในสวรรค์ และตรงนี้พระองค์ให้เขาขอในพระนามของพระองค์ นั่นคือ เรากำลังทูลต่อพระบิดาว่า เรารู้จักและวางใจในพระบุตร เรากำลังทูลขอตามน้ำพระทัยพระบุตร และการได้รับคำตอบนั้น จะทำให้พระบิดาทรงได้รับพระเกียรติ

12* มัทธิว17:20; 21:21; Mark 11:23; 16:17; ยอห์น 14:28; 16:28; 7:33; 13:1, 3; 16:5, 10, 17; 17:11, 13; 20:17
13* ยอห์น 15:16; 16:23, 24; มัทธิว 7:7; ยอห์น 13:31
14* ยอห์น 13:31

พระวิญญาณบริสุทธิ์ ข้อ 15-17
ตรงนี้ พระเยซูทรงวางเงื่อนไขไว้ นั่นคือ เมื่อพวกเขารักพระองค์… พวกเขาจะทำตามบัญญัติของพระองค์คือ รักกันและกัน ….
พระองค์จะทูลขอพระบิดา…​พระบิดาจะประทานพระผู้ช่วยที่จะอยู่กับพวกเขาตลอดไป
(ในขณะที่พระองค์กำลังจะทรงจากเขาไป) คือพระวิญญาณแห่งความจริงที่จะทรงอยู่ในตัวพวกเขา นี่เป็นคำสัญญาที่ไม่เคยคาดฝันมาก่อน พระวิญญาณของพระเจ้าจะเข้ามาอยู่ในตัวมนุษย์! และเห็นไหมว่า ตรงนี้ พระเยซูตรัสถึงพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ชัดเจนมาก แต่เหล่าศิษย์เพิ่งได้ยิน อีกไม่นานพวกเขาจะมีประสบการณ์กับพระวิญญาณอย่างที่ไม่คาดฝันมาก่อน

15* ดูข้อ 21, 23; ยอห์น 15:10; 1 ยอห์น 5:3; 2 ยอห์น 6 ;1 ยอห์น 2:3
16* ดูข้อ 26; ยอห์น 15:26; 16:7; ยอห์น 14:26; 15:26; 16:7; 14:17;
17* ยอห์น 15:26; 16:13; 1 โครินธ์ 2:12-14; 1 ยอห์น 2:27; 4:6; 5:6; 1 โครินธ์ 2:14 ; กิจการ 2:4; 1 ยอห์น 2:27; 2 ยอห์น 2; โรม 8:9

ทรงรับรองว่าจะอยู่ด้วย ข้อ 18-21
แล้วพระเยซูทรงสัญญากับพวกเขาอีกว่า จะไม่ทิ้งพวกเขาให้กำพร้าขาดคนดูแล (ตอนนั้นใจพวกเขาเศร้ามาก อาจไม่เข้าใจทุกอย่างที่ตรัส) สำหรับพวกเขา คำตรัสของพระองค์ฟังแล้ววนไปมา แต่ยอห์นผู้ที่เขียนบันทึกไว้ก็เขียนไว้อย่างละเอียดว่าพระองค์ตรัสอะไรบ้าง
พระเยซูตรัสว่า โลกจะไม่เห็นพระองค์นั่นคือเมื่อเสด็จสู่สวรรค์แล้ว จะไม่มีใครเห็นพระองค์อีก แต่พวกเขาจะเห็นพระองค์ในโลกฝ่ายวิญญาณ พระวิญญาณของพระองค์จะมาอยู่ในพวกเขา พระเยซูตรัสถึงการดำรงอยู่ในกันและกัน ของพระบิดา พระองค์เอง และพวกเขา ใช่แล้ว ผู้ที่เชื่อในพระเจ้าจะมีทั้งพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ในชีวิตของเขา

18* ดูข้อ 3, 28
19* ยอห์น 7:33; 12:45; 16:16 ; โรม 5:10; เอเฟซัส 2:5; วิวรณ์ 20:4
20* ยอห์น 16:23, 26; 14:10; 15:4-7; 1 ยอห์น 2:28; 17:21, 23, 26
21* ยอห์น 7:17; 8:31, 32 ; ดูข้อ 15; 1 ยอห์น 2:5; ยอห์น16:27; 12:26; 7:4

ตอบคำถาม ข้อ 22-24
ในหมู่ศิษย์ ยังมีอีกคนที่ชื่อว่ายูดาส ที่เป็นคนละคนกับยูดาส อิสการิโอท เขาถามขึ้นง่าย ๆ ว่า ทำไมบอกพวกเขา แต่ไม่บอกคนอื่น ๆ … นี่เป็นคำถามที่แปลกอยู่
และคำตอบก็เพื่อผู้เชื่อที่รักพระเจ้าทุกคนจะได้เข้าใจ อบอุ่นใจว่า พระเจ้าไม่ทิ้งเราจริง และพระองค์จะเข้ามาอยู่ในชีวิตจริง ๆ
และเพื่อให้ชัดเจน พระเยซูก็ทรงบอกลักษณะนิสัย พฤติกรรมของคนที่รักพระองค์ … จะเห็นว่า รักพระเยซูแต่ปากไม่ได้แต่ต้องลงมือทำตามพระดำรัสของพระองค์ด้วย อีกอย่างที่เราเห็นชัดคือ ความรักของพระเจ้าที่มีให้กับคนที่พระองค์ถือว่าเป็นลูกของพระองค์แตกต่างจากคนนอกมาก(ดู ฮีบรู 12:4-11)

22* ลูกา 6:16; กิจการ 1:13; 10:40, 41 
23* ดูข้อ 15, 21; วิวรณ์ 3:20; 2 โครินธ์ 6:16; 1 ยอห์น 2:24]
24* ดูข้อ 10; ยอห์น 7:16

การจากไปของพระเยซู และการเสด็จมาของพระวิญญาณและสันติสุข ข้อ 25-27
ทีนี้ เราจะเห็นแล้วว่า พระเยซูทรงตระหนักดีว่า ศิษย์ทุกคนยังไม่เข้าใจคำสนทนาในคืนวันนี้ทั้งหมด แต่ทรงสัญญาว่า พระวิญญาณจะเสด็จมาหาพวกเขา และสอนให้เขาเข้าใจถึงทุกสิ่งที่พระองค์ตรัสไว้ นี่เป็นบทเรียนสำหรับเราว่า แม้จะไม่เข้าใจพระคำของพระเจ้าในครั้งแรกที่อ่าน แต่พระเยซูทรงสัญญากับพวกศิษย์อย่างไร เราจะได้รับความเข้าใจจากพระวิญญาณ เช่นกัน ทุกวันนี้ พระวิญญาณยังทรงสอนผู้เชื่ออยู่ ความเข้าใจเกิดขึ้นได้ก็เพราะพระองค์ เป็นการเจิมจากพระเจ้า อ่าน 1 ยอห์น 2:27
ในเวลาแห่งความสับสน งุนงง ท้อใจ วิตก กลัวอนาคต … พระเยซูตรัสกับเขาว่าจะประทานสันติสุขให้ ไม่ต้องกลัว และสันติสุขนี้ เป็นแบบที่โลกไม่อาจให้ได้ นี่เป็นเหตุผลว่า ทำไมผู้เชื่อเป็นจำนวนมากในประเทศที่ห้ามเชื่อพระเจ้าจึงยังคงยึดพระเจ้าไว้มั่น …​พวกเขามีสันติสุขที่โลกให้ไม่ได้ เป็นสันติสุขจากพระเยซูคริสต์ที่ทรงสัญญาไว้

26* ดูข้อ 16; ลูกา 24:49; กิจการ 2:33, ยอห์น 15:26; 16:7,16:13; 1 โครินธ์ 2:10; 1 ยอห์น 2:20, 27, 2:22
27* ยอห์น 20:19, 21, 26; ลูกา 24:36 ; ยอห์น 16:33; โคโลสี 3:15; เอเฟซัส 2:17; ฟีลิปปี 4:7; 2 ทิโมธี 1:7

ข้อดีของการที่พระเยซูเสด็จกลับไปหาพระบิดา ข้อ 28-31
การจากไปของพระเยซูเป็นการกลับไปหาพระบิดา ไม่ใช่การสูญหายไปจากโลก จากพวกเขา ดังนั้นขอให้พวกเขาดีใจที่พระองค์จะกลับสู่สวรรค์ ไม่มีอะไรต้องกังวลเลย
อีกอย่าง พระเยซูทรงทราบว่า ซาตานกำลังพยายามสังหารพระองค์ แต่มันไม่อาจมีอำนาจเหนือพระองค์ได้ สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะพระองค์แพ้มัน แต่เป็นเพราะทรงทำสิ่งที่พระบิดาทรงประสงค์ให้ทำ นั่นคือ รับโทษบาปแทนมนุษย์ที่พระบิดาทรงรัก


28* ยอห์น 14:2-4, 8:21,10:29; ฟีลิปปี 2:6
29* ยอห์น 13:19; 16:4
30* ยอห์น 12:31; ยอห์น 17:14; 18:36; ฮีบรู 4:15
31* ยอห์น 12:49, 50; ฟีลิปปี 2:8; ฮีบรู 5:8; ยอห์น 17:21, 23