ยอห์น 17 คำทูลก่อนไม้กางเขน

พระบุตรทูลต่อพระบิดาเพื่อพระองค์เอง

คำอธิษฐานเพื่ออัครทูต

คำอธิษฐานเผื่อผู้เชื่อทุกคน

ยอห์น 17:1-2 บทนี้ได้บันทึกคำทูลอธิษฐานของพระเยซูต่อพระบิดาที่ทรงอธิษฐานก่อนจะถูกจับไป พระองค์ทรงทราบว่า อะไรจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า และตรัสว่า “ถึงเวลาแล้ว” พระองค์ทรงอธิษฐานเพื่อพระองค์เอง เพื่ออัครทูต และเพื่อพวกเราที่มาเชื่อในพระคำของพระองค์ พวกเราที่เชื่อว่า พระเจ้าทรงส่งพระองค์มาในโลกนี้
ไม่ใช่ว่าเราอ่านทุกอย่างในพระคัมภีร์ แล้วเราจะเข้าใจหมด เพราะมีคำที่ล้ำลึกเกินความเข้าใจมากมาย แต่การที่เราได้อ่าน ได้รับรู้และได้รับการหล่อเลี้ยงด้วยพระคำนั้น เป็นสัญญาณบอกเราว่า เราอยู่ถูกทางแล้ว ให้เดินตามทางนี้ต่อไป แล้วจะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้ามากขึ้นทุกวัน
พระเยซูเป็นผู้เดียวที่ทรงมีสิทธิอำนาจเหนือคนในโลกทั้งหมด พระองค์มีอำนาจที่จะให้ชีวิตนิรันดร์ได้… ไม่มีทางอื่นที่จะได้ชีวิตนิรันดร์ + คือที่จะได้อยู่กับพระเจ้าตลอดไป

ยอห์น 17:3-4 จะได้ชีวิตนิรันดร์นั้น เราต้องรู้จักทั้งพระบิดาและพระบุตร การรู้จักพระบิดาองค์พระผู้สร้าง องค์พระเจ้าผู้ทรงยุติธรรมนั้น เราจะรอดได้อย่างไรเล่า เพราะหากพระองค์ตัดสินชีวิตของเราตามความจริงแล้ว ไม่มีใครสักคนในโลกนี้ จะรอดได้เลย
พระเยซูได้ลงมาในโลกเพื่อทำราชกิจแห่งการไถ่บาปให้สำเร็จ ทำให้คนบาปได้รับการตัดสินว่าเป็นคนที่จะได้รับชีวิตนิรันดร์ เริ่มตั้งแต่วันที่เขาสำนึกผิด และได้รับเชื่อวางใจว่า พระเยซูเป็นพระผู้ช่วยของเขา

ยอห์น 17:5-6 พระเยซูตรัสชัดเจนว่า พระองค์ทรงอยู่มาก่อนโลกนี้ ก่อนอับราฮัม พระสิริ พระเกียรติยิ่งใหญ่นั้น ทรงมีกับพระบิดามาก่อนที่มนุษย์จะเกิดมา ก่อนมนุษย์จะเข้าใจอะไร คำพูดแบบนี้ ไม่มีใครพูดออกมาได้นอกจากบุคคลที่เป็นดังนั้นจริง ๆ
ไม่มีมนุษย์คนใดจะคาดคิดได้ว่าต้องพูดอย่างนี้ แต่พระเยซูทรงกล่าวถึงความเป็นจริงของพระองค์ตั้งแต่นิรันดรกาล
ให้ศิษย์ทุกคนได้ยิน
ในข้อต่อมา ทรงอธิษฐานเพื่ออัครทูต…สิ่งที่พระองค์ตรัสทำให้เราเห็นว่า เหล่าศิษย์ของพระองค์เป็นอย่างไร พระองค์ได้เผยพระนามให้เขารู้จัก นั่นคือ พระองค์ทรงสอนให้เขารู้จักพระบิดาว่าทรงมีลักษณะอย่างไร และพวกเขาก็รักษาพระคำของพระบิดา ซึ่งหมายถึงใช้ชีวิตตามพระบัญชาของพระองค์​

ยอห์น 17: 7-8 สามปีที่อัครทูตอยู่กับพระเยซู พวกเขามั่นใจว่า พระเยซูทรงเป็นตัวกลางระหว่างเขากับพระเจ้า และทรงเป็นพระเจ้าที่พระบิดาส่งมาแน่นอน เราจะเห็นว่า พระเยซูทรงย้ำเรื่อง การที่พระเจ้าทรงส่งพระองค์มานั้น เป็นเรื่องสำคัญที่อัครทูตและผู้เชื่อจะต้องเข้าใจ หากเราไม่มีความเชื่อนี้ เราจะเชื่อเรื่องอื่น ๆ ไม่ได้เลย

ยอห์น 17:9-10 ข้อความที่ชัดเจนให้เราจับได้คือ เวลานี้ พระองค์ทรงทูลขอเพื่อคนของพระองค์ ไม่ได้ทูลขอเพื่อคนในโลก ขอเพื่อคนที่พระบิดาประทานให้กับพระองค์โดยเฉพาะ แต่ไม่ได้หมายความว่า พระองค์ไม่ได้ทรงรักคนในโลก พวกเขาจำเป็นต้องแข็งแรงเพื่อจะช่วยคนอื่นได้ พวกเขากำลังจะเจอกับการกดขี่ข่มเหงมากมาย และพวกเขาเป็นคนที่จะถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าเมื่อเจอกับความยากลำบากเหล่านั้น

ยอห์น 17:11. พระเยซูทรงขอให้อัครทูตมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน อย่างกับพระบิดาและพระองค์
คำอธิษฐานของพระเยซูไม่ได้จบในวันนั้น แต่เป็นสำหรับวันนี้ด้วย พี่น้องคริสเตียนต้องการหัวใจเดียวกันที่จะสร้างแผ่นดินของพระเจ้าในโลกนี้ พระองค์ไม่ได้ทรงหยุดอธิษฐานเพื่อพวกเขา พระองค์อธิษฐานเพื่อพวกเขาจะไม่ล้มลง (ลูกา 22:32)


ยอห์น 17: 12 จากอัครทูต 12 คน มีคนเดียวที่หลงไปจากทางของพระเจ้า พวกเขาได้รับการปกป้องอย่างดีจากพระบุตรพระเจ้า คนที่หลงไปนั้น พระเยซูทรงเรียกเขาว่า ลูกแห่งความพินาศ
ยูดาสเองอยู่กับพระเยซูเหมือนกับคนอื่น ๆ ซึ่งทุกคนตั้งใจที่จะติดตามพระเยซูไปตลอดชีวิต แต่น่าเสียดายที่ยูดาสมีเป้าหมายชีวิตเป็นอย่างอื่น นั่นคือ เขาไม่ได้ต้องการทำอย่างที่เพื่อน ๆ ทำ แต่เขาต้องการเป็นคนมีเงิน นั่นเป็นเป้าหมายสำคัญของเขา แต่เป้าหมายนั้นกลับทำให้เขาต้องพินาศ และทำในสิ่งที่ไม่น่าเป็นตัวเขาต้องทำเลยสักนิด

ยอห์น 17:13-14 พระเยซูทรงอธิษฐานด้วยความมั่นใจ รู้ว่า อีกไม่นานพระองค์จะจากโลกนี้ไปหาพระบิดาแล้ว เป็นความชัดเจนมากที่เหล่าศิษย์ไม่เข้าใจเลย
ความยินดีของพระเยซูที่ทรงขอพระบิดาให้เติมเต็มพวกเขานั้น เป็นสิ่งจำเป็นมาก ๆ เพราะอีกไม่นานพวกเขาจะพบเจอกับการข่มเหงและความเกลียดชังอย่างหนัก แต่ความยินดีและความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันนั้นจะทำให้พวกเขาผ่านไปได้
พระเยซูได้สอนพระดำรัสของพระเจ้าแก่อัครทูตอย่างพอเพียงที่จะทำให้พวกเขาก้าวต่อไปได้

ยอห์น 17:15-17 ดูสิว่า พระเยซูไม่ได้ทรงประสงค์ให้คนของพระองค์ต้องออกไปจากโลกให้หมด แต่พระองค์ทรงให้เขาอยู่ที่นี่ เพื่อช่วยคนอื่น และให้เขาพ้นจากผู้ที่ชั่วร้าย จากศัตรูของพระองค์ หากพวกเขารู้ว่า พระองค์จะเสด็จสู่สวรรค์ พวกเขาคงต้องอยากไปกับพระองค์แน่นอน เพราะในโลกนั้น มีแต่ความทุกข์ยากรออยู่
หากพวกเขาออกจากโลกไปกับพระองค์ โลกก็หมดหวังเช่นกัน เพราะไม่เหลือคนของพระเจ้าที่จะอยู่บอกพวกเขาเรื่องของพระองค์ อีกประการพวกเขาจะได้รับการชำระให้สะอาด ให้แยกออก คิดไม่เหมือนโลกด้วยพระคำของพระองค์
การชำระให้สะอาดด้วยความจริงของพระเจ้านั้นคือการแยกออกจากสิ่งไม่สะอาดในโลก เพื่อว่าจะเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า จะเป็นคนที่พระเจ้าทรงใช้ได้ตามพระประสงค์ มีความหมายถึงชีวิตที่บริสุทธิ์ตามมาตรฐานของพระเจ้า ความบริสุทธิ์นั้นขึ้นอยู่กับความจริงที่พระคัมภีร์สอนให้ทุกคนรับรู้

17:18-19 เมื่ออัครทูตได้รับการชำระจากพระเจ้าแล้ว พวกเขาก็ถูกส่งออกไปเพื่อประกาศอาณาจักรของพระเจ้าเหมือนอย่างพระเยซู เขารับใช้พระเจ้าด้วยชีวิตที่ได้รับการชำระ ถูกแยกออกจากความบาป ไม่ใช่นึกจะออกไปก็ทำได้ตามใจตัวเอง ..
ตรงนี้ที่บอกว่า ลูกได้สละชีวิตเพื่อพวกเขา มีความหมายด้วยว่า ลูกได้ชำระตัว แยกตัวออกเพื่อเห็นแก่พวกเขา เพื่อพวกเขาจะได้รับการชำระ แยกตัวออกจากโลกด้วยความจริงของพระเจ้า พระบุตรพระเจ้าทรงสละพระองค์เองตั้งแต่ที่ทรงลงมาเกิดในโลก สละสวรรค์ สละฐานะ และยังจะสละชีวิตในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า

ยอห์น 17:20-21 และแล้ว พระเยซูก็ทรงอธิษฐานเผื่อผู้เชื่อทุกคน ซึ่งหมายถึงพวกเราเอง ที่ได้เชื่อคำจากพระคัมภีร์ กลับใจใหม่ วางใจพระเยซูคริสต์ ทรงขอให้พวกเขามีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ขอให้พวกเขาได้อยู่ในพระบิดาและพระองค์ สิ่งสำคัญที่พระเยซูกล่าวหลายครั้งคือ เพื่อเขาจะได้รู้ว่า พระเจ้าทรงส่งพระองค์ลงมา

ยอห์น 17:22-23 พระเยซูทรงพร้อมที่จะประทานเกียรติให้กับผู้เชื่อ นี่เป็นเรื่องสำคัญในชีวิตเราที่เราไม่ค่อยคิดกัน เมื่อเรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว เราได้รับเกียรติสูงสุดในการได้เป็นลูกของพระเจ้า ได้คืนดีกับพระองค์ ได้เป็นผู้ที่อยู่ในครอบครัวของพระองค์ และยังมีอะไรดี ๆ ที่มากมายในเกียรติที่พระองค์ประทาน เป็นเรื่องที่เราต้องสืบค้นเพื่อจะเข้าใจให้ลึกซึ้ง
อีกครั้งที่พระเยซูทรงขอให้ผู้เชื่อได้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ลักษณะอย่างที่พระองค์ทรงเป็นหนึ่งเดียวกับพระบิดา และเพื่อว่าเขาจะเชื่อว่า พระเจ้าทรงส่งพระองค์ลงมา โลกจะมั่นใจได้ว่า พระเยซูเป็นพระบุตรที่พระบิดาทรงส่งมาได้เพราะพวกเขาเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน นี่เป็นเคล็ดลับสำคัญ ที่เราจะเห็นว่า มีการต่อสู้ของความเชื่อที่แตกต่างกัน มีความไม่เข้ากันมาโดยตลอดในประวัติศาสตร์
เราจะเห็นได้ว่า พระเจ้าทรงเกลียดชังผู้ที่หว่านความแตกร้าวในหมู่พี่น้อง เพราะความไม่เข้ากันนั้น เป็นศัตรูสำคัญของการเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน

ยอห์น 17:24
พระเยซูทรงประสงค์ให้ทุกคนที่เชื่อได้อยู่กับพระองค์ ได้ชื่นชมกับพระเกียรติสิริที่มีมาก่อนพระเจ้าทรงสร้างโลก นี่เป็นการย้อนกลับไปก่อนปฐมกาลเสียอีก ตอนนี้ พระเยซูกำลังตรัสย้อนอดีตที่ทรงอยู่กับพระบิดา และก้าวไปสู่อนาคตที่คนของพระองค์จะได้มาอยู่กับพระองค์ เป็นพระพรฝ่ายวิญญาณที่ประทานให้เรา (เอเฟซัส 1:3)

ยอห์น 17:25-26 คนที่เชื่อพระเยซู คือ คนที่เชื่อว่า พระเจ้าทรงส่งพระองค์ลงมาเป็นมนุษย์ เป็นผู้ที่ประกาศพระนามของพระเจ้า
อย่าลืมว่า พระเยซูทรงเน้นย้ำเรื่องนี้หลายครั้ง การจบคำอธิษฐานของพระเยซูกล่าวถึงการที่โลกไม่รู้จักพระเจ้า แต่พระเยซูจะทรงเป็นผู้นำพระนามนั้นไปให้โลกรู้จัก เพื่อพระวิญญาณและความรักของพระเจ้าจะได้อยู่ในพวกเขาทุกคน

พระคำเชื่อมโยง
1* ยอห์น 11:41; 7:30; 12:23; 7:39
2* มัทธิว 28:18; วิวรณ์ 2:26, 27 ; ยอห์น 10:28; 1 ยอห์น John 2:25; ยอห์น 17: 6, 9, 24; ยอห์น 6:37, 39; 10:29; 18:9; ฮีบรู 2:13
3* 1 ยอห์น 5:20; โฮเชยา 2:20; 6:3; 2 เปโตร 1:2, 3 ยอห์น 5:44; 1 เธสะโลนิกา 1:9; 1 ยอห์น 5:20; เยเรมีย์ 10:10; ยอห์น 3:17
4* ยอห์น 17: 1; ยอห์น 13:31; ยอห์น 19:30; ลูกา 22:37
5* ยอห์น 13:32; 1:1, 2; วิวรณ์​ 3:21; ดูข้อ 24; สุภาษิต 8:23; ยอห์น 8:58
6* ดูข้อ 26; สดุดี 22:22 ดูข้อ 2, 9
7* ดูข้อ 9
8* ดูข้อ 14; ยอห์น 15:15; 8:26; 12:49; 8:42; 16:27 ดูข้อ 21, 25; ยอห์น 11:42; 16:30
9* ดูข้อ 20, 21; ยอห์น 2l :6
10* ยอห์น 16:15; 2 เธสะโลนิกา 1:10
11* ยอห์น 13:1 1 เปโตร 1:5 ยอห์น 14:12; 10:30
12* ฮีบรู 2:13; 1 ยอห์น 2:19; ยอห์น 6:70; สดุดี 41:9; 109:8
13* ยอห์น 14:12; 15:11
14* ยอห์น 15:19; ดูข้อ 16; ยอห์น 8:23
15* ดูข้อ 9; 1 โครินธ์ 5:10; ดูข้อ 11 ; มัทธิว 13:19
16* ดูข้อ 14
17* 1 เธสะโลนิกา 5:23; 2 เธสะโลนิกา 2:13; 1 เปโตร. 1:22 ; ยอห์น 15:3; 2 ซามูเอล 7:28; สดุดี 119:160
18* ยอห์น 20:21; 4:38; มัทธิว 10:5
19* ทิตัส 2:14 ; ยอห์น10:36; 1 โครินธ์ 1:2, 30; 6:11; ฮีบรู 2:11; 10:10
20* ดูข้อ 9; ยอห์น 4:39; โรม 10:14; 1 โครินธ์ 3:5
21* ดูข้อ 11; 1 โครินธ์ 6:17; 1 ยอห์น 1:3; 3:24; 5:20 ; ยอห์น 14:23; ดูข้อ8
22* 1 ยอห์น 1:3; 2 โครินธ์ 3:18
23* ยอห์น 14:20; โรม 8:10; 2 โครินธ์ 13:5; 1 ยอห์น 2:5; โคโลสี 3:14; 1 ยอห์น 4:12, 17
24* 2 ทิโมธี 2:11, 12; ยอห์น 12:26 ; 1:14; 2 โครินธ์ 3:18; 1 ยอห์น 3:2; เอเฟซัส 1:4; 1 เปโตร 1:20
25* เยเรมีย์ 12:1; วิวรณ์ 16:5 ; 1 ยอห์น 1:9; ยอห์น 8:55; 10:15
26* ดูข้อ 6; ยอห์น 15:15;9

สดุดี 149 คำสรรเสริญพร้อมกับการต่อสู้

เพราะพระยาห์เวห์ ทรงยินดีในคนของพระองค์
pixels : Luis Quintero


ชวนกันสรรเสริญพระเจ้า
1 สรรเสริญพระยาห์เวห์
มาร้องเพลงบทใหม่ถวายพระยาห์เวห์
มาร้องเพลงสรรเสริญพระองค์
ในที่ประชุมของเหล่าผู้ติดตามพระองค์
2 ให้อิสราเอลยินดีในองค์พระผู้สร้างของเขา
3ให้พวกเขาสรรเสริญพระองค์ด้วยการเต้นรำ
ส่งทำนองเพลงถวายพระองค์ด้วยรำมะนา และพิณเขาคู่
4 เพราะพระยาห์เวห์ ทรงยินดีในคนของพระองค์
พระองค์ทรงตกแต่งคนที่ใจถ่อมด้วยความรอด
5 ขอให้คนของพระองค์ยินดีในพระสิริ
ให้พวกเขาร้องเพลงด้วยความยินดีบนที่นอนของเขา

คำสรรเสริญกับการต่อสู้ศัตรู
6 ให้เพลงสรรเสริญอยู่ในลำคอของพวกเขา
และมีดาบสองคมอยู่ในมือ
7 เพื่อตอบโต้ชาติต่าง ๆ เพื่อลงโทษชนชาติทั้งหลาย
8 เพื่อล่ามโซ่บรรดากษัตริย์
และสวมตรวนเหล็กให้เหล่าขุนนาง
9 เพื่อลงโทษตามคำพิพากษาที่บันทึกไว้แล้ว
นี่เป็นเกียรติยศสำหรับทุกคนที่ติดตามพระองค์
สรรเสริญพระยาห์เวห์

พระคำเชื่อมโยง

1* สดุดี 135:1; 33:3; 89:5, 7
2* สดุดี 85:6; สดุดี 95:6; โยบ 35:10;
1 ซามูเอล 12:12; Zech. 9:9
3 *สดุดี 150:4; 30:11; 150:4; อพยพ 15:20; สดุดี 150:3
4* สดุดี 35:27; 147:11; อิสยาห์ 61:3
5* โยบ 35:10; สดุดี4:4; 63:6; โฮเชยา 7:14
6* สดุดี 66:17; ฮีบรู 4:12; วิวรณ์ 1:16; 2:12; สุภาษิต 5:4
8* โยบ 36:8
9* อิสยาห์​ 65:6; โยบ 13:26;สดุดี 148:14;

สดุดี 149:1-5 ชวนกันสรรเสริญพระเจ้า
นี่เป็นคำเชิญชวนอีกครั้งให้คนของพระเจ้าสรรเสริญพระองค์ด้วยกัน คำว่า เหล่าผู้ติดตามพระองค์มในข้อ 1 กับคำว่า คนของพระองค์ในข้อ เป็นคำศัพท์ที่มีความหมาย โยงไปถึงคำว่า จงรักภักดี รัก ไว้ใจได้ เมตตา …​

ข้อสองให้อิสราเอลยินดี.. ในพระผู้สร้างนั้น คือ พวกเขาควรจะยินดีในพระองค์ วิธีการที่เขาทำได้ชัดเจนคือการเต้นรำและเล่นดนตรีพร้อมไปกับการร้องเพลง นี่เป็นคำชักชวนที่ตรงไปตรงมา การเต้นรำถวายพระเจ้า แตกต่างจากการเต้นรำของโลกที่มีจุดสนใจอยู่ที่คนเต้น แต่การเต้นรำถวายพระเจ้านั้น ออกมาจากหัวใจส่งไปถึงพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ คนที่เต้นนั้นไม่ได้สำคัญในสายตาของตัวเองเลย และนี่ไม่ใช่เป็นการเต้นคู่ แต่เป็นการเต้นของกลุ่มคนที่ต้องการสรรเสริญพระเจ้าด้วยกัน
ข้อสี่บอกเราชัดว่า คนของพระองค์เป็นคนใจถ่อม และความถ่อมใจนี้เป็นความงามในสายพระเนตร เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงพอพระทัยยิ่ง
ที่แปลกมากในข้อห้าคือ ให้พวกเขาร้องเพลงยินดีบนที่นอน เราได้ลองไหม ลองได้เลยว่า เราจะรู้สึกแปลกแตกต่างไปจากที่เราร้องพร้อม ๆ กับคนอื่น ไหม​ การสรรเสริญพระเจ้าไม่ติดกับเวลาและสถานที่เลย …​

สดุดี 149:6-9 คำสรรเสริญกับการต่อสู้ศัตรู
ทำไมสรรเสริญพระเจ้าพร้อมกับดาบสองคม? เมื่ออิสราเอลต้องต่อสู้กับศัตรู พวกเขายังมีอีกอย่างที่ต้องทำในเวลานั้น คือการสรรเสริญพระเจ้าไปด้วย ดูเหมือนการนมัสการพระเจ้า กับการต่อสู้เป็นของคู่กัน ผู้ที่นมัสการพระเจ้าเป็นผู้ที่จะต่อสู้กับศัตรูของพระองค์อย่างกล้าหาญ พวกเขาจะตอบโต้กับศัตรูของพระเจ้าพร้อมกันกับพระองค์
สงครามฝ่ายวิญญาณที่พวกเราเจอก็เช่นกัน ไม่ใช่แค่ตั้งหน้าตั้งตาสู้ แต่เราจะนมัสการพระเจ้ายิ่งใหญ่ของเราไปพร้อมกับที่เราต่อสู้ นี่เป็นคำจากผู้ที่เชี่ยวชาญในการรบและการนมัสการพระเจ้าจากสดุดี!

สดุดี 148 มาสรรเสริญพระเจ้าด้วยกัน

จงสรรเสริญพระองค์เถิด
ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาวทั้งสิ้น
Hubble จับภาพ กาแล็กซีสุดสว่าง NASA

สรรเสริญพระเจ้าจากฟ้าสวรรค์
1 สรรเสริญพระนามพระยาห์เวห์
สรรเสริญพระยาห์เวห์จากห้วงฟ้าสวรรค์
สรรเสริญพระองค์จากที่สูงทั้งหลาย
2 มาสรรเสริญพระองค์เถิด
ทูตสวรรค์ทั้งสิ้นของพระองค์
มาสรรเสริญพระองค์เถิด
กองทัพทั้งสิ้นของพระองค์
3 มาสรรเสริญพระองค์เถิด
ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์
และดวงดาวทั้งสิ้นที่ส่องแสงออกมา
มาสรรเสริญพระองค์เถิด
4 มาสรรเสริญพระองค์ ฟ้าสวรรค์ที่อยู่สูงสุด
รวมทั้งน้ำที่อยู่เหนือฟ้าสวรรค์ด้วย
5 จงให้สรรพสิ่งเหล่านั้น
สรรเสริญพระนามพระยาห์เวห์
เพราะเมื่อพระองค์ทรงบัญชา
มันก็ถูกเนรมิตสร้างขึ้นมา
6 และพระองค์ทรงทำให้มันคงอยู่ตลอดไปเป็นนิตย์
พระองค์ทรงสร้างขอบเขตให้กับมัน
ที่ไม่มีใครอาจ จะข้ามไปได้

สรรเสริญพระเจ้าจากทุกสิ่งในแผ่นดิน
7 สรรเสริญพระยาห์เวห์จากแผ่นดินโลก
เจ้าสัตว์ทะเลขนาดมหึมา และน้ำในที่ลึกทั้งสิ้น
8 ไฟ และลูกเห็บ หิมะและหมอก
ลมพายุที่ทำตามพระบัญชาของพระองค์
9 ภูเขาและเนินเขาทั้งสิ้น
ต้นไม้ผลและต้นซีดาร์ทั้งสิ้น
10 สัตว์ป่าและสัตว์เลี้ยงทั้งหลาย
สัตว์เลื้อยคลาน และนกที่มีปีก
11บรรดากษัตริย์ในแผ่นดิน
และชนชาติทั้งปวง
เหล่าเจ้านาย และผู้นำของโลก
12 คนหนุ่มรวมไปถึงคนสาว คนชรา
กับเด็กเล็กทั้งหลาย

สรรเสริญพระเจ้าจากประชากรของพระองค์
13 ให้ทั้งสิ้นนี้ สรรเสริญพระนามพระยาห์เวห์
เพราะพระนามของพระองค์เท่านั้น
ที่สมควรรับการยกย่อง
พระสิริตระการตาของพระองค์
อยู่เหนือแผ่นดินและฟ้าสวรรค์
14 พระองค์ทรงทำให้ประชากรของพระองค์เข้มแข็ง
ทรงเป็นที่สรรเสริญของผู้ที่จงรักภักดีทั้งหลาย
ของคนอิสราเอล ผู้ที่อยู่ใกล้พระองค์
สรรเสริญพระยาห์เวห์

พระคำเชื่อมโยง

1* สดุดี 135:1; 69:34
; มัทธิว 21:9
2* สดุดี 103:20, 21
4* สดุดี 68:33; เฉลยธรรมบัญญัติ 10:14; เนหะมีย์ 9:6; 1 พงศ์กษัตริย์ 8:27; 1:7
5* ดูข้อ 13; สดุดี 33:6, 9
6* สดุดี 119:90, 91; 28:26; Jer. 31:35, 36; 33:25;
สดุดี 104:9; เอสเธอร์ 1:19; โยบ 14:5
7* ดูข้อ 1; ปฐมกาล 1:21 ; สดุดี 74:13
8* สดุดี 18:12; 105:32
; 147:16; 107:25; 103:20; 147:15-18
9* อิสยาห์ 44:23; 49:13; 55:12
ปฐมกาล 1:11;
สดุดี 104:16
10* ปฐมกาล 1:24
ปฐมกาล 1:20, 21
11* วิวรณ์ 7:9
13* ดูข้อ 5; สดุดี 8:1; สดุดี 113:4
14* 1 ซามูเอล 2:1; เฉลยธรรมบัญญัติ 10:21; เยเรมีย์ 17:14
เฉลยธรรมบัญญัติ 4:7; เอเฟซัส 2:17; สดุดี 135:1


สดุดี 148:1-6 สรรเสริญพระเจ้าจากฟ้าสวรรค์
ผู้เขียนได้ชวนให้ทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นมา สรรเสริญพระองค์ไปด้วยกันพร้อมกับเขา ไม่ว่าสิ่งนั้นจะอยู่ในอวกาศแสนไกลที่เรามองไม่เห็น ไม่ว่าจะอยู่ในสวรรค์ หรือเป็นเทหวัตถุบนท้องฟ้า ไม่มีอะไรที่จะหยุดให้เขาชวนสรรพสิ่งมาสรรเสริญพระเจ้าได้เลย …
เขาสรุปอย่างน่าชื่นใจว่า พระเจ้าทรงบัญชา มันก็เกิดขึ้นมา และพระเจ้าทรงมีขอบเขตให้กับทุกสิ่งที่ทรงสร้าง มันไม่อาจข้ามไปจากที่พระองค์ทรงวางไว้ได้

สดุดี 148:7-12 สรรเสริญพระเจ้าจากทุกสิ่งในแผ่นดิน
ไม่มีสิ่งใดที่นิ่งอยู่โดยไม่ได้สรรเสริญพระเจ้า ผู้เขียนไม่ได้สนใจเลยว่า สิ่งนั้นจะมีคำงาม ๆ ที่จะสรรเสริญหรือไม่ ความเป็นตัวของมันเอง สรรเสริญพระเจ้าอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นตั้งแต่ทูตสวรรค์ ไปจนถึงสัตว์ทุกตัวที่อยู่บนโลก ไม่ว่าจะใหญ่หรือตัวเล็กจนมองไม่เห็นอย่างพวกแพลงตอนในทะเล …
การที่ผู้เขียนชวนสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้มาสรรเสริญพระเจ้านั้น น่าสนใจมาก เขาคิดอะไรอยู่จึงชวนกันง่าย ๆ เช่นนี้?

สดุดี 148:13-14 สรรเสริญพระเจ้าจากประชากรของพระองค์
จะปล่อยให้ห้วงอวกาศทั้งดิน น้ำ ลม ไฟ รวมไปถึง สัตว์ทะเล สรรเสริญพระเจ้า สัตว์ต่าง ๆ คนอื่น ๆ สรรเสริญพระเจ้าหรือ?
พระเจ้าทรงสนพระทัยที่จะฟังคำสรรเสริญจากคนของพระองค์
แล้วพวกเขามีคำสวย ๆ ดี ๆ ที่เหมาะกับพระองค์ไหม?
พวกเขาได้เตรียมอะไรไว้บ้างเพื่อที่จะสรรเสริญพระเจ้าได้อย่างที่สมควรจะทำ?
ตรงนี้เอง เป็นหน้าที่ของคนของพระเจ้าที่จะสรรเสริญพระเจ้าให้ได้งดงามเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า …​อย่าอยู่เฉย ๆ กัน แต่ให้เรา มาจริงจังกับการสรรเสริญพระเจ้ากันเถอะ

สดุดี 147 สรรเสริญพระองค์ผู้อยู่เหนือธรรมชาติ

ทรงทำให้หญ้างอกบนเนินเขา ภาพโดยHilary Halliwell

คนของพระองค์ได้รับการรื้อฟื้นใหม่
1 จงสรรเสริญพระยาห์เวห์
เป็นการดีที่จะร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าของเรา
เพราะเป็นสิ่งที่น่าชื่นชม
(หรือ..เพราะพระองค์ทรงสง่างาม)
และบทเพลงสรรเสริญก็เหมาะสมยิ่งนัก
2 พระยาห์เวห์ทรงรื้อฟื้นเยรูซาเล็มขึ้นมาใหม่
พระองค์ทรงรวบรวมชนอิสราเอลที่กระจัดกระจายไป
3 พระองค์ทรงรักษาคนที่ใจชอกช้ำ
ทรงพันบาดแผลให้
4 พระองค์ทรงกำหนดจำนวนของดวงดาว
และทรงตั้งชื่อให้มันทุกดวง
5 พระเจ้าของเราทรงยิ่งใหญ่นัก
และทรงฤทธานุภาพ
ความเข้าใจของพระองค์ไร้ขอบเขต
6 พระยาห์เวห์ทรงยกคนที่ถูกกดขี่ขึ้น
ทรงเหวี่ยงคนอธรรมลงถึงดิน

แผ่นดินสดชื่นเพราะพระองค์ทรงจัดหาให้
7 จงร้องเพลงถวายพระยาห์เวห์ ด้วยใจขอบพระคุณ
จงสร้างสรรค์ทำนองเพลงด้วยพิณเล็ก
8 พระองค์ทรงเติมเต็มท้องฟ้าด้วยเมฆ
ทรงเตรียมสายฝนให้แผ่นดิน
ทรงทำให้หญ้างอกขึ้นบนเนินเขา
9 พระองค์ประทานอาหารแก่สัตว์ป่า
และลูกกาที่ร้องเรียก
10 ความเปรมปรีดิ์ของพระองค์ไม่ได้อยู่ที่กำลังของม้า
พระองค์ไม่ทรงยินดีในกำลังขาของมนุษย์
11แต่พระยาห์เวห์ทรงยินดีในคนที่ยำเกรงพระองค์
คนที่มีความหวังใจในความรักมั่นคงของพระองค์

พระเจ้าทรงปกป้องเรา
12 สรรเสริญพระยาห์เวห์ โอ เยรูซาเล็ม
สรรเสริญพระเจ้าของเจ้าเถิด โอ ศิโยน
13 เพราะพระองค์ทรงทำให้ดาลประตูของเจ้าแข็งแกร่ง
ทรงอวยพระพรลูกหลานที่อยู่ภายในเจ้า
14 พระองค์ทรงทำให้ในเขตแดนของเจ้ามีสันติ
พระองค์ทรงทำให้เจ้าอิ่มหนำด้วยข้าวสาลีดีที่สุด

15 พระองค์ทรงบัญชาผืนแผ่นดิน
พระดำรัสของพระองค์วิ่งไปยังเป้าหมายอย่างรวดเร็ว!
16 พระองค์ทรงโปรยหิมะให้ราวขนแกะปุกปุย
พระองค์ทรงโปรยน้ำค้างแข็งให้ราวกับเถ้า
17 พระองค์ทรงเขวี้ยงลูกเห็บราวกับก้อนขนมปัง
ใครจะทนความหนาวเย็นยะเยือกที่มาจากพระองค์ได้?
18 พระองค์ทรงส่งพระดำรัสของพระองค์
และละลายมันเสีย
ทรงให้ลมหายใจของพระองค์พัดมา
และน้ำก็เคลื่อนตัวไป
19 พระองค์ทรงกล่าวพระดำรัสแก่ยาโคบ
รวมทั้งกฎเกณฑ์และกฎหมายของพระองค์แก่อิสราเอล
20 พระองค์มิได้โปรดทำอย่างนั้นกับชนชาติต่าง ๆ
พวกเขาจึงไม่รู้จักกฎหมายของพระองค์
สรรเสริญพระยาห์เวห์

พระคำเชื่อมโยง

1* สดุดี 135:1, 92:1, 135:3
,33:1
2* สดุดี 51:18; 102:16
เฉลยธรรมบัญญัติ 30:3; อิสยาห์ 11:12; 27:13; 56:8; เอเสเคียล 39:28
3* สดุดี 34:18
เอเสเคียล 34:16
147:4* ปฐมกาล 15:5
อิสยาห์ 40:26
5* สดุดี 48:1
เนหะมีย์ 1:3
อิสยาห์​40:28; โยบ 5:9
6* สดุดี 146:8, 9
7* อพยพ 15:21; สดุดี 95:1, 2
; 1 พงศาวดาร 15:16
8* โยบ 5:10; สดุดี 104:14;โยบ 38:27
9* สดุดี 104:27, 28; โยบ 38:41; สดุดี 147:10-11;
สดุดี 149:4; 33:18
13* เนหะมีย์​ 7:3
14* อพยพ 34:24; สุภาษิต 16:7; อิสยาห์ 60:17, 18; สดุดี 132:15
; 81:16; เฉลยธรรมบัญญัติ32:14
15* สดุดี 148:8;
16* โยบ 37:6; 38:29
17* โยบ 37:10; 37:9
18* ข้อ 15; โยบ 37:12; สดุดี 33:9; 107:20
19*มาลาคี 4:4; สดุดี 78:5; เฉลยธรรมบัญญัติ 33:2-4
20* เฉลยธรรมบัญญัติ 4:7; 4:32-34; สดุดี 135:1

คำอธิบายเพิ่มเติม

สดุดีบทนี้ เขียนหลังจากที่อิสราเอลกลับมาจากการเป็นเชลยที่บาบิโลน และพระเจ้าทรงช่วยให้พวกเขาได้กลับมา ได้สร้างเมืองขึ้นมาใหม่ ความชอกช้ำใจที่พวกเขาได้เจอมานานเจ็ดสิบปี ทำให้พวกเขาได้เห็นพระคุณของพระเจ้าที่ทรงนำพวกเขากลับมาอย่างที่ทรงสัญญาจริง ๆ และพวกเขารู้ว่า พระเจ้าเท่านั้นที่จะทำให้เขาพ้นจากความทุกข์ใจ ความชอกช้ำใจที่ผ่านมา
ตอนนี้พวกเขาเข้ามาชุมนุมสรรเสริญพระเจ้าด้วยกัน

สดุดี 147: 1-6 คนของพระองค์ได้รับการรื้อฟื้นใหม่
สิ่งที่กล่าวถึงอย่างแรกคือ ให้ประชาชนมารวมกันสรรเสริญพระเจ้า เพราะเป็นสิ่งที่สมควรทำอย่างยิ่ง พระเจ้าทรงรื้อฟื้นพวกเขา ทรงนำให้กลับมา ทรงช่วยให้สร้างเมืองขึ้น ทรงรักษาบาดแผลในใจ
สิ่งแรกที่คิดถึงคือ พระเจ้าทรงสร้างดวงดาวมากมายบนท้องฟ้า ทรงรู้จัก ทรงตั้งชื่อ ทรงวางตำแหน่งให้มันอย่างเหมาะสมตามน้ำพระทัย เมื่อคิดได้อย่างนี้ พวกเขาก็รู้ว่า พระองค์ทรงทำยิ่งกว่านั้นเพื่อพวกเขา ทรงเป็นผู้ยกเขาขึ้น ทรงเป็นผู้จัดการคนอธรรมให้
สิ่งที่เราต้องจดจำไว้ในใจ และตระหนักให้ชัดเจนคือ พระเจ้าทรงยิ่งใหญ่มาก ทรงฤทธิ์ และความเข้าใจของพระองค์เกินที่เราจะเข้าใจ เป็นสิ่งที่เราต้องติดตามหาตลอดชีวิต

สดุดี 147:7-11 แผ่นดินสดชื่นเพราะพระองค์ทรงจัดหาให้
การกลับคืนสู่แผ่นดินคือ เท่ากับพวกเขาต้องมาสร้างทุกอย่างใหม่ ทั้งบ้านเรือน ทั้งเกษตรกรรม
พระองค์เท่านั้นเป็นผู้ให้อาหารแก่พวกเขาและสัตว์ทั้งหลาย ฝนมาจากพระเจ้า
พวกเขาตระหนักว่า สิ่งเดียวที่ทำให้พระเจ้ายินดีในพวกเขาได้คือ ที่เขาจะยำเกรงพระองค์ หวังใจในรักมั่นคงที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง คนอิสราเอลมักคิดได้ และก็ลืม ตอนนี้ผู้เขียนกำลังบอกพวกเขาชัดเจนว่า สิ่งสำคัญที่สุดในความสัมพันธ์กับพระเจ้าคืออะไร
และความจริงข้อนี้ เป็นความจริงสำหรับชีวิตเราในโลกปัจจุบันเช่นกัน

สดุดี 147:12-20 คำอันทรงฤทธิ์ที่ปกป้องจากพระเจ้า
เมื่อกลับมาจากการเป็นเชลย ได้มาอยู่ในบ้านเกิดเมืองนอน บ้านของพระเจ้า พวกเขาร้องเพลงที่จะไม่ลืมว่า ความแข็งแกร่งของครอบครัว ของประเทศ ของเมือง อยู่ที่พระเจ้าเท่านั้น สันติภาพที่หายากในโลก มีที่พระเจ้าองค์เดียวเหมือนที่พระเยซูตรัสว่า สันติสุขที่เราให้ไม่เหมือนโลกให้
เมื่อเราพิจารณาความเชื่อมั่นและการบรรยายของผู้เขียน สรุปได้ว่า ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในโลกธรรมชาตินี้ พระเจ้าทรงเป็นผู้ดูแลอยู่ ไม่ว่าจะเป็นหิมะ ลม ฝน น้ำค้าง ลูกเห็บ น้ำในทะเล ต่างก็อยู่ในการควบคุมของพระองค์ เมื่อมนุษย์ทำให้เสียสมดุลย์ สิ่งที่เขาควรทำคือ แต่ละคน แต่ละชาติ ดูแลให้มันกลับสู่สภาพที่สามารถทำงานได้ดีที่สุดอย่างที่เคยเป็นมา มนุษย์สร้างความเจริญที่แลกมาด้วยอากาศ สภาพแวดล้อมเสียหายอย่างรุนแรง แต่เชื่อว่า ความจริงแล้ว เราสามารถช่วยกันแก้ไขได้แน่ ถ้าจะทำ…
กฎเกณฑ์ และกฎหมายของพระเจ้านี่แหละที่จะช่วยแก้ไขได้ เพราะทุกอย่างต้องเริ่มจากความไม่เห็นแก่ตัว เราจึงประกาศพระนามพระเยซู เพื่อให้ความรักของพระองค์เข้าไปอยู่ในใจของพระองค์ ให้รู้จักกฎเกณฑ์ของพระองค์ รู้จักความรักของพระเจ้า ที่จะเอื้อเฟื้อต่อกัน แล้วสมดุลย์ต่าง ๆ ในธรรมชาติจะเกิดขึ้นได้จากการร่วมมือกันอีกครั้ง