ยอห์น 15 ต้องเข้าสนิทในพระเยซู

คำเปรียบเรื่องต้นองุ่นแท้

ต้นกับกิ่งก้านต้องติดสนิทกัน

ผลของการติดหรือไม่ติดกับต้น

ความรักและการเชื่อฟัง เป็นของคู่กัน

ความรักที่เราต้องเลียนแบบ

พระเจ้าทรงเลือกเราให้เกิดผล ให้รักกันและกัน

เพราะศิษย์เป็นของพระองค์ โลกจึงเกลียดชัง

โลกไม่รับเราเพราะพระเยซู

พระวิญญาณทรงเป็นพยาน

คำอธิบายเพิ่มเติมและพระคำเชื่อมโยง ยอห์น 15

คำเปรียบเรื่องต้นองุ่นแท้ ข้อ 1-3
หลังจากที่ทรงปลอบใจว่าไม่ให้เหล่าศิษย์ของพระองค์ต้องกังวลใจ ทุกข์ใจ พวกเขาก็ออกมาจากที่นั่น แล้วพระเยซูทรงเปรียบเทียบว่า พระองค์คือ ต้นองุ่นแท้ พระบิดาทรงดูแล เหล่าศิษย์คือ กิ่งก้านของต้นองุ่นนี้ ส่วนผู้ดูแลองุ่นก็คือ พระบิดา เราจึงเห็นความสัมพันธ์ที่ขาดกันไม่ได้ในคำเปรียบนี้
การเกิดผลในชีวิตขึ้นอยู่กับการที่พระเจ้าทรงลิดผลที่ติดกับต้น เป็นการทำงานของพระบิดา พระบุตร และผู้เชื่อ การเข้าสนิทกับพระเยซู มีความสัมพันธ์ใกล้ชิด รู้จักพระองค์เป็นอย่างดี เดินตามพระองค์เป็นเคล็ดลับสำคัญที่คน ๆ หนึ่งจะเกิดผล ตอนที่อยู่ในห้องอาหารนั้น พระเยซูก็ตรัสให้พวกเขาเข้าสนิทกับพระองค์แล้ว (ดู 14:20-24) ที่น่าเสียดายมากคือ กิ่งที่ไม่เกิดผลจะถูกตัดทิ้ง

1* เยเรมีย์ 2:21; 1 โครินธ์  3:9]
2* ดูข้อ 6; มัทธิว 3:10; 7:19; โรม 11:17; 2 เปโตร 1:8; มัทธิว 15:13; โรม 11:22;มัทธิว 13:12
3* ยอห์น 13:10 ; ยอห์น 17:17; เอเฟซัส  5:26

ต้นกับกิ่งก้านต้องติดสนิทกัน ข้อ 4-5
เรื่องนี้ชัดเจน ง่ายมาก หากไม่ติดกับต้น ก็จะเฉาตายไปเอง ติดกับต้น ก็จะเกิดผลมาก พระเยซูทรงบอกเราว่า การอยู่ในพระองค์นั้น ทำให้เราเกิดผล ทำให้เราสามารถทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ เพราะจริง ๆ แล้วคือพระเจ้าที่อยู่ในเราทรงทำให้
ข้อสังเกตสภาพของกิ่งก้านคือ กิ่งที่ไม่เกิดผล กิ่งที่เกิดผล กิ่งที่เกิดผลมากขึ้น และกิ่งที่เกิดผลมากมาย

4* ดูข้อ 5-7; 1 ยอห์น 2:6; ฟีลิปปี1:11; โคโลสี 1:23 ; ยอห์น 6:56;  3:15
5* โรม 6:5; ดูข้อ16; โคโลสี 1:6, 10

ผลของการติดหรือไม่ติดกับต้น ข้อ 6-8
และยังมีสภาพของกิ่งที่ถูกโยนทิ้ง แห้งเหี่ยว ถูกมัดรวม โยนลงเป็นกอง และเผาไฟด้วย พระเยซูทรงพูดถึงผู้เชื่อที่ไม่ติดสนิทกับพระองค์ บางทีเราคิดว่า เชื่อแล้วก็โอเคแล้ว รอดแน่ แต่คำตรงนี้ฟังแล้วดูจะไม่ใช่อย่างที่คิด
คนที่อยู่ในพระเจ้า ก็จะขอสิ่งที่ไม่ได้ขัดหรือผิดต่อน้ำพระทัยพระเจ้า เขาจะได้รับสิ่งที่ทูลขอ เขาจะเกิดผลมาก ทำให้ใคร ๆ รู้ว่า นี่คือคนติดตามพระเยซูจริง ๆ

6* ดูข้อ 2 ; มัทธิว 13:40-42; เอเสเคียล15:4
7* ยอห์น 8:31; 14:13
8* อิสยาห์ 61:3; มัทธิว 5:16; 2 Cor. 9:13; Phil. 1:11และข้อ 5

ความรักและการเชื่อฟังเป็นของคู่กัน ข้อ 9-11
ความเป็นจริงของการอยู่ในพระเยซูคือ การทำตามคำบัญชาของพระองค์ด้วยความรัก โดยทำตามแบบอย่างของพระเยซูที่ทรงทำตามพระบิดาสุดพระทัย
ความรักของโลกนี้ แตกต่างจากรักที่พระเจ้ารักเรา ดังนั้น หากไม่มีตัวอย่างของรัก พวกเราอาจเข้าใจผิดไปได้ รักที่พระเยซูหมายถึงไม่ใช่รักด้วยอารมณ์ ไม่ใช่รักลึกซึ้งลี้ลับ แต่เป็นความรักที่มีความเชื่อฟังแบบที่ว่ายอมตายเลยทีเดียว

9* ยอห์น 5:20
10* ยอห์น 14:15, 23; 8:55; 17:4; Phil. 2:8; ยอห์น 10:18
11* 2 Cor. 2:3; ยอห์น 3:29; 16:24; 17:13; 1 ยอห์น 1:4; 2 ยอห์น 12


ความรักที่เราต้องเลียนแบบ ข้อ 12-15
ที่จริง พระเยซูพูดคำนี้มาแล้วในห้องอาหาร และทรงย้ำอีกครั้งหนึ่ง รักที่ยิ่งใหญ่สุดคือเพื่อนตายแทนได้ และอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า พวกเขาจะได้เห็นว่า พระองค์นี่แหละ ทรงตายแทนพวกเขาจริง ๆ (ซึ่งในเวลานั้นพวกเขาก็ยังไม่เข้าใจ)
ทรงย้ำว่าพวกเขาคือเพื่อนของพระองค์ ไม่ใช่เป็นทาสรับใช้ ทรงรู้ว่า ในอนาคตต่อไป พวกเขาจะได้ทำตามคำสั่งสุดท้ายแน่นอน อีกอย่างที่ถือว่าเป็นเพื่อนเพราะพระองค์ทรงได้ยินอย่างไรจากพระบิดา ก็ทรงบอกพวกเขาโดยไม่ปิดบัง เว้นแต่พวกเขาจะไม่เข้าใจเอง
**คำว่าคนรับใช้ ในที่นี้มีความหมายถึง ทาส

12* ยอห์น 13:34
13* โรม 5:7, 8; เอเฟซัส 5:2; ยอห์น 10:11
14* ลูกา 12:4; ดูข้อ 10; มัทธิว 12:50]
15* ดูข้อ 20; ยอห์น 13:7, 12; 3:32; 8:26, 40; 16:13 ;17:26; ปฐมกาล18:17; 1 โครินธ์ 2:16; 13:9, 10

พระเจ้าทรงเลือกให้เราเกิดผล ให้รักกันและกัน 16-17
พระเจ้าได้ทรงเลือกศิษย์แต่ละคนให้ไปเกิดผลที่ยั่งยืน พวกเขาเป็นคนที่ได้อยู่กับพระเยซูอย่างใกล้ชิด ได้สังเกตเห็น ได้ทำงานร่วมกับพระองค์มาโดยตลอด เป็นผู้ที่พระเจ้าทรงเปิดเผยสิ่งที่คนอื่นไม่มีโอกาสได้เห็น เป็นผู้ที่มีความเข้าใจลึกซึ้งอย่างที่คนอื่นไม่เข้าใจ
พระองค์ทรงย้ำอีกว่า ให้รักกันและกัน ….

16* ยอห์น 13:18; 2 ยอห์น 8; ดูข้อ 7; ยอห์น 14:13
17* ดูข้อ 12

เพราะศิษย์เป็นของพระองค์ โลกจึงเกลียดชัง ข้อ 18-20
จากพระคำตอนนี้ เราจะเห็นว่า พระเยซูทรงเห็นล่วงหน้าว่าพวกเขาจะเจอการข่มเหงจากโลกนี้ แม้ว่าพระองค์จะทรงทำคุณให้พวกเขา แต่ก็ยังมีคนที่เลือกจะเกลียดพระองค์ทุกยุคทุกสมัย เมื่อไม่พอใจพระเยซู ก็ไม่พอใจคนของพระองค์ไปด้วย แต่หากคนของพระองค์รู้แน่ว่า เขาเป็นคนที่พระเจ้าทรงเลือก เขาจะมั่นคงไม่ว่าจะพบเจอหนักเพียงไร
การที่พระเยซูเสด็จมาในโลก และเป็นพยานเรื่องของพระเจ้ากับผู้คน ทรงชักชวนพวกเขาให้กลับใจ พวกเขาเห็นการอัศจรรย์ยิ่งใหญ่ของพระเยซู แต่ยังปฏิเสธพระองค์ ยิวทุกคนจึงไม่มีข้อแก้ตัวอีกแล้ว


18* ยอห์น 7:7; 1 ยอห์น 3:13; ยอห์น 15:23, 24
19* 1 ยอห์น 4:5; 17:14, 16; ลูกา 6:26; กาลาเทีย 1:4; ยากอบ 4:4
20* ยอห์น 13:16; มัทธิว 10:24; ดูข้อ15; ยอห์น 16:33; 1 โครินธ์ 4:12; 2 โครินธ์ 4:9; 1 เธสะโลนิกา 2:15; 2 ทิโมธี 3:12; เอเสเคียล 3:7; ยอห์น 8:51

โลกไม่ยอมรับเราเพราะพระเยซู ข้อ 21-25
ศิษย์ทุกคนที่พระเยซูตรัสด้วยในคืนวันนั้น ต่างพบกับการข่มเหงอย่างรุนแรงจนถึงตายเกือบทุกคน ..ยกเว้นท่านยอห์นที่ถูกเนรเทศไปเกาะปัทมอส
ความจริงที่เกิดขึ้นก็คือเป็นไปตามสดุดี 69:4 ที่บอกว่า เขาได้ชังเราโดยไม่มีสาเหตุ
สรุปคือพระเยซูตรัสว่า หากเขาชังพระองค์ เขาจะชังพระบิดา และคนของพระองค์ตามไปด้วย

21* ยอห์น 16:3; มัทธิว 10:22; 24:9; วิวรณ์ 2:3; กิจการ 5:41; 1 เปโตร 4:14, 16; กิจการ 3:17
22* มัทธิว 11:22, 24; ลูกา12:47, 48; ยอห์น 9:41
23* ยอห์น 5:23
24* ยอห์น 3:2; 7:31; 9:32; มัทธิว 9:33; ยอห์น 10:32, 37;ยอห์น 14:9
25* ยอห์น 10:34; 12:38


พระวิญญาณทรงเป็นพยาน ข้อ 26-27
พระดำรัสของพระเยซูตอนนี้ทำให้เราเห็นว่า พระวิญญาณทรงอยู่กับผู้เชื่อเสมอ ในอนาคต พวกเขาจะเจอกับการข่มเหงที่กำลังมนุษย์ไม่อาจทนได้ พวกเขาต้องการพลังแห่งพระวิญญาณที่จะสู้สิ่งร้ายเหล่านั้น
พระวิญญาณจะทรงเป็นพยานให้ผู้เชื่อได้รับรู้ถึงพระเยซูคริสต์ และจะทรงหนุนกำลังพวกเขาให้เป็นพยานเพื่อพระองค์ด้วย

26* ยอห์น 14:16, 17, 26; 1 โครินธ์12:3; 1 ยอห์น 5:7
27* ยอห์น 19:35; 21:24; 1 ยอห์น 1:2; 4:14; [3 ยอห์น 12]; ลูกา 24:48; กิจการ 4:20

ยอห์น 14 คำสนทนาในอาหารมื้อสุดท้าย

พระเยซูทรงเป็นทางนั้น เป็นความจริงและชีวิต

ทรงสัญญาจะประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์

พระเยซูทรงเป็นทางนั้น เป็นความจริงและชีวิตข้อ 1-9
ศิษย์ทุกคนเพิ่งรับรู้ว่า มีเพื่อนคนหนึ่งกำลังทรยศพระเยซู เพิ่งเข้าใจว่าพระเยซูกำลังจะจากไป พวกเขาต่างกังวลใจว่า อนาคตจะเป็นอย่างไร พระเยซูทรงบอกให้เขาวางใจพระเจ้าและวางใจพระองค์ด้วย
แล้วพระองค์ก็ตรัสถึงแผ่นดินสวรรค์ ที่ ๆ พระองค์จะไป พระองค์ไม่ได้ไปเฉย ๆ แต่จะทรงเตรียมที่ทางให้พวกเขา พระเยซูทรงคุ้นเคยกับสวรรค์เป็นอย่างดี ทรงรู้ว่ามีที่ทางพอสำหรับทุกคนที่จะเป็นประชากรที่นั่น
ทรงสัญญาว่าจะกลับมารับพวกเขาไปอยู่ด้วย … แต่คนหนึ่งค้านว่า พวกเขาไม่รู้ว่าพระองค์จะไปที่ไหน จะรู้ทางได้อย่างไร
แล้วพระเยซูทรงตอบเขาชัดเจนว่า ทางนั้นคือพระองค์ ถ้าใครก็ตามต้องการไปสวรรค์ ต้องการพบพระบิดา พวกเขาไปทางอื่น วิธีอื่นไม่ได้ นอกจากวิธีที่พระองค์บอก และผ่านมาทางพระองค์เท่านั้น ทรงเป็นทั้งหนทางที่ไป คำตรัสของพระองค์เป็นความจริง และพวกเขาจะได้ชีวิตนิรันดร์ ก็โดยพระองค์ผู้เดียว ทรงเป็นต้นตอของชีวิตให้กับผู้เชื่อ คำของพระเยซูตอนนี้ทำให้เรารู้ว่า ไม่ว่าใครพยายามด้วยวิธีไหน ก็ไม่อาจไปถึงเจ้าของสวรรค์ได้ พระองค์ทรงบอกให้เขาวางใจพระองค์ ซึ่งตอนนั้น เหล่าศิษย์อาจจะยังไม่เข้าใจถ่องแท้
แล้วพระเยซูทรงชี้ให้พวกเขาเห็นว่า ในเมื่อพวกเขารู้จักพระองค์แล้ว ก็เหมือนกับได้รู้จักกับพระบิดาไปพร้อม ๆ กัน
(ใช่แล้ว ถ้าเรารู้จักพระเยซู เราก็รู้จักพระบิดาด้วย ) การเปิดเผยของพระเยซูตรงนี้ทำให้เราอบอุ่นใจเวลาที่เราอธิษฐานต่อพระบิดาผู้สถิตในสวรรค์ เพราะเรารู้จักพระบุตร เราจึงคุ้นเคยกับพระบิดาด้วย

1* ดูข้อ 27; ยอห์น 16:22, 23; 1 เปโตร 3:14; ยอห์น 12:44
2* ยอห์น 2:16; 16:7; 8:21, 22; 13:33, 36
3* ยอห์น 14:18, 28; ยอห์น 21:22, 23; ยอห์น 12:26
5* ยอห์น 11:16; 13:36
6* ฮีบรู 9:8; 10:20; เอเฟซัส 2:18; ยอห์น 1:14, 17; 1 ยอห์น 5:20 ; ยอห์น 11:25
7* ยอห์น 8:19; 1 ยอห์น 2:13, 14; 6:46
8* ยอห์น 1:43, 44; 12:21; อพยพ 33:18
9* ยอห์น 12:45; ยอห์น 10:30; 15:24; โคโลสี 1:15; ฮีบรู 1:3

ความสัมพันธ์ของพระบุตรกับพระบิดาที่ลึกซึ้ง ….ข้อ 10-11
พระเยซูทรงถามว่า “เจ้าไม่เชื่อหรือว่า เราอยู่ในพระบิดาและพระบิดาทรงอยู่ในเรา?” ที่พระองค์ทรงถามเช่นนั้นเพราะพระองค์ย้ำแล้วย้ำอีกว่า พระบิดากับพระองค์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทั้งกับพวกเขาและต่อหน้าพวกยิวด้วย ทำให้เราเห็นว่า เหล่าศิษย์ยังไม่ตระหนักในสิ่งที่พระเยซูตรัสเลย แล้วพระเยซูก็สรุปว่า ให้เชื่อว่าพระบิดาและพระบุตรทรงอยู่ในกันและกันจากราชกิจที่พวกเขาได้เห็นกันมามากมาย

10* ยอห์น 10:38; 5:19, 20
11* ยอห์น 5:19, 20; 5:36

คำสัญญาที่แปลก ข้อ 12-14
แล้วพระเยซูก็ทรงสัญญาว่า เมื่อพระองค์เสด็จไปหาพระบิดาแล้ว คนที่วางใจในพระองค์จะทำสิ่งที่ทรงทำ แถมจะทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า หากเราย้อนไปตอนที่พระเยซูสอนให้ศิษย์อธิษฐาน เราจะเห็นว่า พระองค์ทรงสอนให้เขาอธิษฐานต่อพระบิดาในสวรรค์ และตรงนี้พระองค์ให้เขาขอในพระนามของพระองค์ นั่นคือ เรากำลังทูลต่อพระบิดาว่า เรารู้จักและวางใจในพระบุตร เรากำลังทูลขอตามน้ำพระทัยพระบุตร และการได้รับคำตอบนั้น จะทำให้พระบิดาทรงได้รับพระเกียรติ

12* มัทธิว17:20; 21:21; Mark 11:23; 16:17; ยอห์น 14:28; 16:28; 7:33; 13:1, 3; 16:5, 10, 17; 17:11, 13; 20:17
13* ยอห์น 15:16; 16:23, 24; มัทธิว 7:7; ยอห์น 13:31
14* ยอห์น 13:31

พระวิญญาณบริสุทธิ์ ข้อ 15-17
ตรงนี้ พระเยซูทรงวางเงื่อนไขไว้ นั่นคือ เมื่อพวกเขารักพระองค์… พวกเขาจะทำตามบัญญัติของพระองค์คือ รักกันและกัน ….
พระองค์จะทูลขอพระบิดา…​พระบิดาจะประทานพระผู้ช่วยที่จะอยู่กับพวกเขาตลอดไป
(ในขณะที่พระองค์กำลังจะทรงจากเขาไป) คือพระวิญญาณแห่งความจริงที่จะทรงอยู่ในตัวพวกเขา นี่เป็นคำสัญญาที่ไม่เคยคาดฝันมาก่อน พระวิญญาณของพระเจ้าจะเข้ามาอยู่ในตัวมนุษย์! และเห็นไหมว่า ตรงนี้ พระเยซูตรัสถึงพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ชัดเจนมาก แต่เหล่าศิษย์เพิ่งได้ยิน อีกไม่นานพวกเขาจะมีประสบการณ์กับพระวิญญาณอย่างที่ไม่คาดฝันมาก่อน

15* ดูข้อ 21, 23; ยอห์น 15:10; 1 ยอห์น 5:3; 2 ยอห์น 6 ;1 ยอห์น 2:3
16* ดูข้อ 26; ยอห์น 15:26; 16:7; ยอห์น 14:26; 15:26; 16:7; 14:17;
17* ยอห์น 15:26; 16:13; 1 โครินธ์ 2:12-14; 1 ยอห์น 2:27; 4:6; 5:6; 1 โครินธ์ 2:14 ; กิจการ 2:4; 1 ยอห์น 2:27; 2 ยอห์น 2; โรม 8:9

ทรงรับรองว่าจะอยู่ด้วย ข้อ 18-21
แล้วพระเยซูทรงสัญญากับพวกเขาอีกว่า จะไม่ทิ้งพวกเขาให้กำพร้าขาดคนดูแล (ตอนนั้นใจพวกเขาเศร้ามาก อาจไม่เข้าใจทุกอย่างที่ตรัส) สำหรับพวกเขา คำตรัสของพระองค์ฟังแล้ววนไปมา แต่ยอห์นผู้ที่เขียนบันทึกไว้ก็เขียนไว้อย่างละเอียดว่าพระองค์ตรัสอะไรบ้าง
พระเยซูตรัสว่า โลกจะไม่เห็นพระองค์นั่นคือเมื่อเสด็จสู่สวรรค์แล้ว จะไม่มีใครเห็นพระองค์อีก แต่พวกเขาจะเห็นพระองค์ในโลกฝ่ายวิญญาณ พระวิญญาณของพระองค์จะมาอยู่ในพวกเขา พระเยซูตรัสถึงการดำรงอยู่ในกันและกัน ของพระบิดา พระองค์เอง และพวกเขา ใช่แล้ว ผู้ที่เชื่อในพระเจ้าจะมีทั้งพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ในชีวิตของเขา

18* ดูข้อ 3, 28
19* ยอห์น 7:33; 12:45; 16:16 ; โรม 5:10; เอเฟซัส 2:5; วิวรณ์ 20:4
20* ยอห์น 16:23, 26; 14:10; 15:4-7; 1 ยอห์น 2:28; 17:21, 23, 26
21* ยอห์น 7:17; 8:31, 32 ; ดูข้อ 15; 1 ยอห์น 2:5; ยอห์น16:27; 12:26; 7:4

ตอบคำถาม ข้อ 22-24
ในหมู่ศิษย์ ยังมีอีกคนที่ชื่อว่ายูดาส ที่เป็นคนละคนกับยูดาส อิสการิโอท เขาถามขึ้นง่าย ๆ ว่า ทำไมบอกพวกเขา แต่ไม่บอกคนอื่น ๆ … นี่เป็นคำถามที่แปลกอยู่
และคำตอบก็เพื่อผู้เชื่อที่รักพระเจ้าทุกคนจะได้เข้าใจ อบอุ่นใจว่า พระเจ้าไม่ทิ้งเราจริง และพระองค์จะเข้ามาอยู่ในชีวิตจริง ๆ
และเพื่อให้ชัดเจน พระเยซูก็ทรงบอกลักษณะนิสัย พฤติกรรมของคนที่รักพระองค์ … จะเห็นว่า รักพระเยซูแต่ปากไม่ได้แต่ต้องลงมือทำตามพระดำรัสของพระองค์ด้วย อีกอย่างที่เราเห็นชัดคือ ความรักของพระเจ้าที่มีให้กับคนที่พระองค์ถือว่าเป็นลูกของพระองค์แตกต่างจากคนนอกมาก(ดู ฮีบรู 12:4-11)

22* ลูกา 6:16; กิจการ 1:13; 10:40, 41 
23* ดูข้อ 15, 21; วิวรณ์ 3:20; 2 โครินธ์ 6:16; 1 ยอห์น 2:24]
24* ดูข้อ 10; ยอห์น 7:16

การจากไปของพระเยซู และการเสด็จมาของพระวิญญาณและสันติสุข ข้อ 25-27
ทีนี้ เราจะเห็นแล้วว่า พระเยซูทรงตระหนักดีว่า ศิษย์ทุกคนยังไม่เข้าใจคำสนทนาในคืนวันนี้ทั้งหมด แต่ทรงสัญญาว่า พระวิญญาณจะเสด็จมาหาพวกเขา และสอนให้เขาเข้าใจถึงทุกสิ่งที่พระองค์ตรัสไว้ นี่เป็นบทเรียนสำหรับเราว่า แม้จะไม่เข้าใจพระคำของพระเจ้าในครั้งแรกที่อ่าน แต่พระเยซูทรงสัญญากับพวกศิษย์อย่างไร เราจะได้รับความเข้าใจจากพระวิญญาณ เช่นกัน ทุกวันนี้ พระวิญญาณยังทรงสอนผู้เชื่ออยู่ ความเข้าใจเกิดขึ้นได้ก็เพราะพระองค์ เป็นการเจิมจากพระเจ้า อ่าน 1 ยอห์น 2:27
ในเวลาแห่งความสับสน งุนงง ท้อใจ วิตก กลัวอนาคต … พระเยซูตรัสกับเขาว่าจะประทานสันติสุขให้ ไม่ต้องกลัว และสันติสุขนี้ เป็นแบบที่โลกไม่อาจให้ได้ นี่เป็นเหตุผลว่า ทำไมผู้เชื่อเป็นจำนวนมากในประเทศที่ห้ามเชื่อพระเจ้าจึงยังคงยึดพระเจ้าไว้มั่น …​พวกเขามีสันติสุขที่โลกให้ไม่ได้ เป็นสันติสุขจากพระเยซูคริสต์ที่ทรงสัญญาไว้

26* ดูข้อ 16; ลูกา 24:49; กิจการ 2:33, ยอห์น 15:26; 16:7,16:13; 1 โครินธ์ 2:10; 1 ยอห์น 2:20, 27, 2:22
27* ยอห์น 20:19, 21, 26; ลูกา 24:36 ; ยอห์น 16:33; โคโลสี 3:15; เอเฟซัส 2:17; ฟีลิปปี 4:7; 2 ทิโมธี 1:7

ข้อดีของการที่พระเยซูเสด็จกลับไปหาพระบิดา ข้อ 28-31
การจากไปของพระเยซูเป็นการกลับไปหาพระบิดา ไม่ใช่การสูญหายไปจากโลก จากพวกเขา ดังนั้นขอให้พวกเขาดีใจที่พระองค์จะกลับสู่สวรรค์ ไม่มีอะไรต้องกังวลเลย
อีกอย่าง พระเยซูทรงทราบว่า ซาตานกำลังพยายามสังหารพระองค์ แต่มันไม่อาจมีอำนาจเหนือพระองค์ได้ สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะพระองค์แพ้มัน แต่เป็นเพราะทรงทำสิ่งที่พระบิดาทรงประสงค์ให้ทำ นั่นคือ รับโทษบาปแทนมนุษย์ที่พระบิดาทรงรัก


28* ยอห์น 14:2-4, 8:21,10:29; ฟีลิปปี 2:6
29* ยอห์น 13:19; 16:4
30* ยอห์น 12:31; ยอห์น 17:14; 18:36; ฮีบรู 4:15
31* ยอห์น 12:49, 50; ฟีลิปปี 2:8; ฮีบรู 5:8; ยอห์น 17:21, 23


สดุดี 142 เมื่อข้าหมดเรี่ยวแรง

เพลงแห่งความรอบรู้ของดาวิด

1 ข้าร้องเรียกหาพระยาห์เวห์ ด้วยเสียงของข้า
ข้าร้องทูลขอพระเมตตาจากพระยาห์เวห์ ด้วยเสียงของข้า
2 ข้าเทคำคร่ำครวญต่อออกมาต่อพระพักตร์ และ
เล่าถึงความทุกข์ใจต่อพระองค์
3 เวลาที่จิตวิญญาณของข้าอ่อนระโหยโรยแรง
พระองค์ทรงทราบทางของเขา
บนหนทางที่ข้าเดิน พวกเขาซ่อนกับดักไว้ดักข้า

4 ข้ามองไปทางขวา แต่ไม่มีใครสังเกตเห็นข้า
ไม่มีที่ลี้ภัยให้ไปหลบ ไม่มีใครสนใจวิญญาณของข้า
5 โอพระยาห์เวห์
ข้าร้องทูลต่อพระองค์ ข้ากล่าวว่า
“พระองค์ทรงเป็นที่ลี้ภัยของข้า
ทรงเป็นทุกสิ่งของข้าในแผ่นดินคน

6 ขอทรงฟังเสียงร้องของข้า เพราะข้าตกต่ำลงไปมาก
ขอทรงช่วยกู้ข้าจากผู้ที่ข่มเหงข้า
เพราะพวกเขาแข็งแรงกว่าข้ามากนัก
7 ขอทรงพาข้าออกมาจากที่คุมขัง
เพื่อข้าจะได้ขอบพระคุณพระนามของพระองค์
คนเที่ยงธรรมจะอยู่ล้อมรอบข้า
เพราะพระองค์ทรงทำแก่ข้าเป็นอย่างดี “

พระคำเชื่อมโยง


1* สดุดี 3:4 ; 30:8
2* อิสยาห์ 26:16] ; สดุดี 102,
3* สดุดี77:3 ; 140:5
4* สดุดี 69:20; 16:8 ; 31:11 ;โยบ 11:20; เยเรมีย์ 25:35
5* สดุดี 14:6 ; 16:5 ; 27:13
6* สดุดี 17:1; 79:8 ; 18:17
7* อิสยาห์ 42:7; สดุดี 143:11; 13:6

จากข้อเขียนในบทนี้ เราเห็นเลยว่า ดาวิดอยู่คนเดียว ข้อสี่บอกว่าไม่มีใครสังเกตเห็นท่านเลย
แต่ในขณะเดียวกันท่านรู้ดีว่า พระเจ้าทรงเป็นที่ลี้ภัย ทรงเป็นทุกอย่างของชีวิต แม้ว่าจะถูกข่มเหงอย่างหนัก
จากคนที่แข็งแกร่งกว่า มีจำนวนมากกว่า เวลานี้ท่านเหนื่อยอ่อน ไม่มีแรงที่จะสู้ต่อไป แต่ท่านหันมาหาพระเจ้า ไม่ได้ขอความช่วยเหลือจากมนุษย์ แต่ขอพระเจ้าทรงฟัง ทรงช่วยกู้ ขอทรงนำพามาจากที่จำจองไว้ (ซึ่งตรงนี้น่าจะเป็นถ้ำที่ท่านแอบซ่อนตัวจากศัตรู)
และในชีวิตของเราทุกคนก็มีโอกาสที่จะตกอยู่ในสภาพนี้เช่นกัน … มีเวลาที่เราร่ำร้องต่อพระเจ้าด้วยเสียงอันดัง ขอพระองค์ทรงฟัง เล่าให้พระองค์ฟังทุกอย่างที่อยู่ในใจ มีเวลาที่เรารู้สึกไปไหนไม่ได้ จนตรอก หาทางออกไม่เจอ ไม่มีใครช่วย ในเวลานั้นเป็นเวลาที่มาหาพระเจ้าดีที่สุด

ยอห์น 13 อาหารมื้อสุดท้ายกับการล้างเท้า

ทรงล้างเท้าเหล่าศิษย์

คนหนึ่งจะทรยศเรา

บัญญัติใหม่เพื่อเจ้า

ทรงบอกล่วงหน้าเรื่องเปโตร

อธิบายเพิ่มเติมและพระคำเชื่อมโยง

 พระเยซูทรงล้างเท้าเหล่าศิษย์
 ข้อ 1-4

ในคืนวันที่รับประทานอาหารด้วยกัน พระเยซูผู้เดียวที่ทรงรู้ว่า การสิ้นพระชนม์ การคืนพระชนม์ การเสด็จกลับไปหาพระบิดา ใกล้เข้ามาทุกที
พระองค์ทรงรักศิษย์ของพระองค์จนถึงที่สุด เป็นความรักที่พวกเขาไม่รู้เลยว่า ยิ่งใหญ่มากเพียงใด
และความรักที่พระเจ้าให้กับคนของพระองค์นั้น ก็ล้ำลึก ลึกซึ้ง แตกต่างจากคนที่ไม่ใช่ของพระองค์ด้วย ที่ว่าทรงรักเขาจนถึงที่สุดนั้น มีความหมายว่าทรงรักสุด ๆ ไม่ใช่เป็นรักตื้น ๆ อย่างที่คนเรารักกัน
เราจะเห็นว่าหัวใจพระเยซูกับหัวใจของยูดาส แตกต่างกันมาก ใจของยูดาสถูกชักนำโดยซาตาน มันชวนให้เขาทรยศพระเยซู! และเขาก็เดินตามการชักชวนของมารด้วย
แม้ว่าพระเยซูจะทรงทราบว่า มีอะไรเกิดขึ้นในใจของยูดาส แต่พระองค์ไม่ได้กังวล พระองค์ไม่ไล่มารออกจากใจของยูดาด้วย เพราะว่า ทุกอย่างอยู่ในแผนการของพระเจ้า ยูดาสเองวางแผนล่วงหน้าแล้วว่าจะทรยศพระองค์ เขาได้เงินค่าจ้างมาจากเหล่าปุโรหิตเรียบร้อยแล้ว พระเยซูทรงทราบทั้งสิ้น แต่สิ่งที่พระบิดาจะทรงให้เกิดนั้น พระเยซูทรงยอมทำตาม

1* ยอห์น 12:1 , 16:28 2*ยอห์น 13:11,27 ; 6:70,71 3*ยอห์น 17:2; มัทธิว 11:27; วิวรณ์ 2:27; ยอห์น 8:42; 16:28 4* ยอห์น 21:7; ลูกา 22:27


ข้อ 5-11
ในห้องนั้น มีอ่างน้ำที่เจ้าของบ้านเตรียมไว้สำหรับแขกที่จะล้างเท้า คนที่จะทำหน้าที่ล้างเท้าแขกคือทาสต่างชาติ และจะล้างก่อนที่จะรับประทานอาหาร
แต่แล้วพระเยซูก็ทรงทำสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด เวลานั้นทรงล้างเท้าพวกศิษย์ด้วยพระองค์เอง ทรงเช็ดเท้าให้พวกเขาด้วยผ้าคาดเอว พระอาจารย์กำลังลดพระองค์เองไปเป็นดั่งทาส ต่างชาติที่คุกเข่าลงปรนนิบัติเหล่าศิษย์ที่ควรจะทำให้พระองค์ รู้ไหมว่า คนยิวด้วยกันยังไม่ล้างเท้าให้กันเลย
แต่แล้วเปโตรไม่ยอมให้พระองค์ทำ จึงทรงบอกว่า เขาจะไม่มีส่วนในพระองค์เลย เท่านี้ เปโตรก็ยอมและขอให้พระองค์ล้างทั้งตัวด้วย
การล้างเท้าศิษย์ครั้งนี้ มีความหมายล้ำลึกมาก พระองค์ตรัสว่า เปโตรอาบน้ำแล้ว ไม่ต้องชำระอีก ยกเว้นเท้าที่ต้องล้างเพราะเดินทางมาโดนฝุ่นผงสกปรกตามทาง
ความหมายของพระดำรัสตอนนี้มีผู้แปลให้กระจ่างว่า เราทุกคนที่ได้รับความรอดจากพระเจ้าเหมือนกับที่ได้อาบน้ำแล้ว เป็นคนชอบธรรมในพระเจ้าแล้ว แต่ว่ายังมีบาปทุกวันที่เราทำ ต้องการการชำระจากพระเจ้าเสมอ ดังนั้น เราจึงมาหาพระเจ้า และสารภาพบาป ที่ต้องชำระทุกวัน
เมื่อพระองค์ล้างเท้าพวกเขาเสร็จ ก็ทรงบอกให้พวกเขาล้างเท้าซึ่งกันและกัน ซึ่งมีความหมายว่า พี่น้องจะต้องรับใช้ช่วยเหลือ ดูแลซึ่งกันและกัน ถ่อมใจลงรับใช้ ไม่ถือตัว แต่เป็นเหมือนทาสรับใช้อย่างที่พระเยซูทรงทำเป็นตัวอย่าง
(เรื่องพิธีล้างเท้านี้ มีหลายคริสตจักรได้รับมาทำอย่างตรงไปตรงมา แต่ในประวัติศาสตร์คริสตจักรยุคแรก ก็ไม่ได้มีการบันทึกว่า ทำเช่นนั้น เรื่องนี้น่าจะเป็นการตัดสินใจของแต่ละที่ แต่ละแห่งว่าควรทำเช่นไร พิธีอย่างนี้เมื่อทำแล้ว ความรู้สึกที่ได้มันก็ชัดเจน แต่สิ่งที่สำคัญคือ เมื่อมีพิธีแล้ว ก็ยังต้องมีการรับใช้อย่างถ่อมตนในชีวิตประจำวันด้วย เราคงมาล้างเท้ากันเป็นพิธีทุกวันไม่ได้ แต่เรารับใช้กันทุกวันได้)


5* 2 พงศ์กษัตริย์ 3:11 7* ดู ข้อ36 ยอห์น 12:16; 15:15; 8* มัทธิว 16:22 ; 1 โครินธ์ 6:11 ; เอเฟซัส 5:26; ทิตัส 3:5 10* ปฐมกาล 18:4; ยอห์น 15:3; ยอห์น 13: 18 11* ยอห์น 13: 2 ; 6:64; 2:24,25



ในข้อ 12-17 พระเยซูทรงย้ำให้เขาทุกคนทำตามอย่างพระองค์ และนี่เป็นทางแห่งความสุขที่พระเยซูทรงวางแบบไว้ให้กับเราทุกคน ทุกวันนี้ พระเยซูยังทรงล้างเท้าให้กับผู้เชื่อในพระองค์ ด้วยการส่งคนผู้รับใช้ของพระองค์ออกไปปรนนิบัติคนทั้งหลาย นั่นก็คือพวกเราที่รับใช้พระองค์ในชีวิตประจำวัน
ข้อ 18-20 ขณะที่พระเยซูตรัสสอนพวกเขา ยูดาสเองก็อยู่ในเหตุการณ์ตลอดเวลา พระเยซูไม่ได้ทรงเลือกว่าจะล้างเท้าใคร ไม่ล้างเท้าให้ใคร แม้แต่คนที่กำลังทรยศพระองค์อยู่ ก็ทรงทำให้เขาด้วย …
ในสมัยโบราณนั้น การกินขนมปังร่วมโต๊ะกันมีความหมายว่า คนที่กินขนมปังก้อนเดียวกัน ก็เป็นส่วนของกันและกัน เป็นเพื่อนที่ใช้ชีวิตด้วยกัน
สำหรับพระเยซูแล้ว ทรงรู้ทุกอย่างในจิตใจของยูดาส อิสการิโอท และพระองค์ทรงแจ้งให้ทุกคนทราบว่า มีคนหนึ่งยกส้นเท้าใส่พระองค์ นั่นคือมีคนหนึ่งในพวกเขาจะทรยศพระองค์


12* ยอห์น 13:4,7 ; 13* ลูกา 6:46; มัทธิว 23:8,10; 1 โครินธ์ 8:6; 12:3; ฟีลิปปี 2:11; 14* 1 ทิโมธี 5:10; 1 เปโตร 5:5;
15* มัทธิว 11:29; 16* ยอห์น 15:20; มัทธิว 10:24; 17* ลูกา 11:28; ยากอบ 1:22; 18* ยอห์น 13:10-11; 6:70; 15:16,19; มาระโก 3:13; 19* ยอห์น 14:29; 16:4 20* มัทธิว 10:40



คนหนึ่งจะทรยศเรา
ข้อ  21-26

ใคร ๆ ก็อยากรู้ว่าคนนั้นคือผู้ใด พระเยซูเองก็ทรงบอกเลยไม่ได้อ้อมค้อม คนที่พระองค์ทรงส่งขนมปังให้กิน คนนั้นแหละ!
และขณะที่ยูดาสกินขนมปัง “ซาตานก็เข้าสิงเขา” พระเยซูทรงบอกให้เขารีบไปทำสิ่งที่เขาตั้งใจจะทำ แต่ไม่มีใครเข้าใจความหมายที่พระเยซูตรัสกับยูดาสเลย มัทธิว 26:25 ทำให้เรารู้ว่า ยูดาสเองรู้ว่า พระเยซูทรงทราบทุกสิ่งในใจของเขา
แต่ยูดาสเองเปิดใจให้กับซาตานแล้ว เงินสามสิบเหรียญที่ได้จากศัตรูมีความหมายมากกว่าชีวิตของพระอาจารย์


21* ยอห์น 12:27; มัทธิว 26:21; มาระโก 14:18; ลูกา 22:21; กิจการ 1:17. 22* ลูกา 22:23 23* ยอห์น 19:26; 20:2; 21:7, 20 ลูกา 16:22 25* มาระโก 4:36; ยอห์น 21:20 26 * มัทธิว 26:23; มาระโก 14:20; นางรูธ 2:14; มัทธิว 26:25; ยอห์น 6:71


ข้อ 27-30
พระเยซูทรงบอกให้ยูดาสไปทำตามแผนการของตนเอง แต่ทุกคนในที่นั้นยังไม่เข้าใจ แต่พระเยซูได้ทรงบอกศิษย์ที่เหลือว่า ทุกอย่างที่ทรงบอกในวันนี้ เมื่อเกิดขึ้นจริงในอนาคต พวกเขาจะเข้าใจว่ามันคืออะไร และทรงบอกให้มั่นใจด้วยว่า ถึงแม้พระองค์จะดูเหมือนพ่ายแพ้ แต่ศัตรูไม่ได้มีอำนาจเหนือพระองค์แม้แต่น้อย


27*ลูกา 22:3; 1 โครินธ์ 11:27; ลูกา 12:50 29* ยอห์น 12:6 ; ยอห์น 13:1; ยอห์น 12:5 30* 1 ซามูเอล 28:8



บัญญัติใหม่เพื่อเจ้า
ข้อ 31-35

หลังจากที่ยูดาสออกไป พระเยซูตรัสถึงพระเกียรติ หลายครั้ง เป็นพระเกียรติของพระบิดากับพระบุตรที่ส่งต่อกันและกัน เวลานั้น พวกศิษยไม่เข้าใจว่าพระเยซูทรงหมายถึงอะไร แต่สำหรับพระองค์ นั่นคือ ความอับอายที่พระองค์ต้องเผชิญต่อหน้าสาธารณชน มงกุฎหนาม การถูกเยาะเย้ย ความตายบนไม้กางเขน
นี่เป็นสภาพที่ใคร ๆ ก็เผชิญไม่ได้ แล้วพระเยซูก็ทรงให้คำบัญชาใหม่ที่พวกเขาคาดไม่ถึงนั่นคือ ให้พวกเขารักกันและกันเพื่อโลกจะได้รู้ว่า พวกเขาเป็นศิษย์ของพระองค์จริง ๆ และคำบัญชานี้ ก็มีเพื่อเราทุกคนในวันนี้ด้วย เป็นสิ่งที่ต้องฝึกฝน ต้องขอพระเจ้าให้เกิดขึ้นในชีวิตของเรา


31* ยอห์น 7:39; 14:13; 15:8; 17:1,4; 1 เปโตร 4:11 32* ยอห์น 17:1,5; ยอห์น12:23 33* ยอห์น 7:33-34; 8:21 34* 1 ยอห์น 2:7,8; ยอห์น 3:11; 2 ยอห์น 5; ยอห์น15:12,17; 1 ยอห์น 3:23; เลวีนิติ 19:18; โรม 16:8; โคโลสี 3:14; 1 เธสะโลนิกา 4:9; 1 ทิโมธี 1:5; ยอห์น 15:12; เอเฟซัส 5:2; 1 ยอห์น 4;10-11 35* 1 ยอห์น 3:14; ยอห์น4:20


ทรงบอกล่วงหน้าเรื่องเปโตร
ข้อ 36-38
เปโตรเองเป็นคนที่มีความตั้งใจจะติดตามพระองค์ เขาและเพื่อน ๆ คิดว่า พระเยซูกำลังจะออกเดินทางไปไหนสักแห่ง พระองค์ตรัสตอบชัดเจน พระองค์ทรงกำลังเดินไปสู่ความตาย
ไม่ใช่เป็นที่ ๆ เปโตรหรือใคร ๆ จะไปกับพระองค์เดิน ทางสายนี้มีพระองค์เดียวเท่านั้นที่จะไปได้
เปโตรเองมั่นใจมากว่า เขาสามารถพลีชีวิตให้กับพระองค์ได้ แต่หารู้ไม่ว่า เขาเองจะกลัวตายจนกระทั่งกล่าวว่า เขาไม่รู้จักพระองค์


36* ยอห์น 13:7; 7:34; 14:2; 21:18-19 2 เปโตร 1:14 37* มัทธิว 26:33-35; มาระโก 14:29-31; ลูกา 22:33-34 38* ยอห์น 18:27