สดุดี 42 เหตุใดจึงท้อแท้นัก ?

ภาพจาก pixabay.com โดย StockSnap

ถึงหัวหน้าวงดนตรี สดุดีแห่งความเข้าใจ จากลูกหลานโคราห์
เหตุใดจึงหดหู่ ท้อแท้?
1 จิตวิญญาณของข้ากระหายหาพระเจ้า
เหมือนอย่างกวางตัวเมียที่กระเสือกกระสนหาธารน้ำ
2 จิตวิญญาณข้ากระหายหาพระเจ้า หาพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์
เมื่อไรข้าจะได้เข้ามาและเข้าเฝ้าต่อพระพักตร์ ?
3 น้ำตาของข้ากลายเป็นอาหารทั้งกลางวันและกลางคืน
ขณะที่พวกเขากล่าวกับข้าทั้งวันว่า “พระเจ้าของเจ้าอยู่ที่ไหน?”
4 ขณะที่ข้าเทวิญญาณจิตออกมานั้น
ข้าจำได้ถึงการที่ข้าได้เดินนำฝูงชนไปยังพระนิเวศของพระเจ้า
พร้อมกับเสียงร้อง และบทเพลงแสดงการขอบพระคุณ
ท่ามกลางผู้คนในงานฉลองเทศกาล

จะหายจากความรู้สึกนั้นได้อย่างไร
5 จิตวิญญาณของข้าเอ๋ย เหตุใดเจ้าจึงท้อแท้นัก?
เหตุใดจึงกระสับกระส่ายอยู่ข้างในแบบนี้?
จงหวังใจในพระเจ้า
เพราะข้าจะสรรเสริญพระองค์อีก ผู้ทรงเป็นความรอด


แล้วทำไมยังหดหู่ใจไม่หยุด?
6 และพระเจ้าของข้า จิตวิญญาณของข้าท้อแท้อยู่ข้างใน
ดังนั้น ข้าระลึกถึงพระองค์จากแผ่นดินจอร์แดน
และจากภูเขาเฮอร์โมนจนถึงภูเขามิซาร์

7 ห้วงลึก เรียกหาห้วงลึกด้วยเสียงคำรามแห่งน้ำตกของพระองค์
ทั้งคลื่นและก้อนน้ำที่ม้วนท่วมลงมานั้น โถมใส่ข้า
8 ยามกลางวัน องค์พระผู้เป็นทรงบัญชา
ความรักมั่นคงของพระองค์
ยามกลางคืนเพลงของพระองค์ก็อยู่กับข้า
เป็นคำอธิษฐานต่อพระเจ้าแห่งชีวิตของข้า
9 ข้าทูลต่อพระเจ้าผู้เป็นพระศิลาของข้า
“เหตุใดพระองค์จึงทรงลืมข้า
เหตุใดข้าจึงต้องคร่ำครวญเพราะการข่มเหงของศัตรู?”
10 ศัตรูต่างเยาะหยันข้าดั่งมีบาดแผลลึกถึงกระดูก
ขณะที่เขาก็กล่าวทั้งวันว่า “พระเจ้าของเจ้าอยู่ที่ไหน?”

หายจากความรู้สึกอันมืดมน หมดหวังอย่างไร?
11 เหตุใดเจ้าจึงท้อแท้ โอจิตวิญญาณของข้า
และเหตุใดเจ้าจึงกระสับกระส่ายอยู่ภายใน?
จงหวังใจในพระเจ้า เพราะข้าจะสรรเสริญพระองค์อีกครั้ง
โอความรอดและพระเจ้าของข้า

พระคำเชื่อมโยง

1*สดุดี 63:1-2; 143:6-7; 119:131

2* สดุดี 84:10; 27:4; 36:8-9

3* สดุดี 79:10; 115:2; 80:5; 102:9

4*สดุดี 62:8; 55:14; อิสยาห์ 30:29

5*สดุดี 42:11; 43:5; 71:14; เพลงคร่ำครวญ 3:24

6*สดุดี 61:2; โยนาห์ 2:7

7*โยนาห์ 2:3; สดุดี 88:7; 69:14-15

8* สดุดี 149:5; 63:6; โยบ 35:10

9* สดุดี 38:6; 43:2; เพลงคร่ำครวญ 5:1-16

10*สดุดี 42:3; โยเอล 2:17

11* สดุดี 42:5; เยเรมีย์ 33:6

เป็นสดุดีที่แนะนำให้วางใจพระเจ้าในช่วงเวลาที่ยากลำบาก ลูกหลานของโคราห์เป็นผู้เขียน โดยตั้งใจจะให้กับผู้นำดนตรีในพระวิหาร ตระกูลโคราห์นั้น ทำหน้าที่ทางดนตรีมาตั้งแต่สมัยที่เดินอยู่ในถิ่นกันดาร จนกระทั่งมีการสร้างพระวิหารในเยรูซาเล็ม
สดุดีบทนี้เป็นบรรพที่สองของสดุดีทั้งหมด เราจะพบว่า มีการเปลี่ยนการเรียกพระเจ้าจากพระยาห์เวห์เป็นเอโลฮิม บทนี้ผู้เขียนได้บอกว่าเขามีความหดหู่ ท้อแท้เป็นอย่างมาก ซึ่งเราทุกคนย่อมพบเหตุการณ์อย่างนั้นในชีวิต แล้วดูว่า เขาคิดอย่างไรต่อไป….

สดุดี 42 :1-4. เหตุใดจึงหดหู่ ท้อแท้?
สดุดีบทนี้เหมาะกับทุกคนที่กำลังรู้สึกซึมเศร้า ท้อแท้ ผู้ที่เขียนมีความรู้สึกขาดแคลนในฝ่ายวิญญาณ ไม่มีกำลังใจเหลือ ท่านไม่ได้ต้องการหาความช่วยเหลือจากคน ไม่ได้ต้องการหาทรัพย์สมบัติ แต่หัวใจกำลังต้องการพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์สุด ๆ
ถามตัวเองว่า เมื่อไรจะได้เข้าเฝ้าพระเจ้า? นั่นคือท่านกำลังต้องการความรู้สึกต่อพระเจ้าตรงหน้า
ความรู้สึกอึดอัดใจเพิ่มขึ้นอีกเพราะมีคนมาเยาะเย้ย และถามว่า พระเจ้าของเจ้าอยู่ที่ไหน? ไม่ได้แค่พูดครั้งเดียว แต่พูดทั้งวันทั้งคืน ทำให้ท่านกินไม่ได้นอนไม่หลับ
และขณะที่ท่านกำลังเทใจออก คร่ำครวญอยู่นั้น ท่านก็นึกถึงวันที่ได้นำคนเป็นจำนวนมากไปยังพระวิหารของพระเจ้า เป็นช่วงเวลาแห่งความร่าเริงใจ เป็นเวลาที่มีแต่เสียงร้องเบิกบาน

สดุดี 42:5 จะหายจากความรู้สึกนั้นได้อย่างไร
ผู้เขียนถามตนเอง และตอบโดยสั่งให้ตนเองหวังใจในพระเจ้า แม้จะยังไม่เห็นทางออก
สรรเสริญพระเจ้าทั้งที่ยังกระสับกระส่ายอยู่ นี่เป็นวิธีบำบัดใจที่ทุกข์ร้อนของท่าน
ท้อแท้ + กระสับกระส่าย ต้อง หวังใจในพระเจ้า+สรรเสริญพระองค์
ใคร ๆ อาจจะคิดว่าเป็นเรื่องพูดง่าย แต่ทำยาก ก็..อาจจะใช่ เพราะถึงอย่างนั้น ท่านยังไม่หยุดทุกข์ใจ

แล้วทำไมยังหดหู่ใจไม่หยุด?
ตอนนี้ผู้เขียนยังครุ่นคิดว่า แม้จะตกอยู่ในสภาพอย่างนี้ แต่มีครั้งหนึ่งในชีวิตที่ท่านไม่ได้อยู่ในเยรูซาเล็ม แต่อยู่ไกลจากความสะดวกสบาย ในเวลานั้น มีความทุกข์ใจใหญ่หลวงท่วมท้นในชีวิต
ราวกับน้ำในห้วงลึกที่โถมเข้ามา เป็นภาพของทุกข์ซ้อนทุกข์ ไม่รู้จะหาใครช่วย
ถึงกระนั้น ท่านยังรู้ว่า พระเจ้าทรงยังส่งความรักของพระองค์ลงมา จะมืดอย่างไร ท้อแท้แค่ไหน ความรักของพระเจ้ายังรออยู่ ทั้งกลางวัน และกลางคืน
ท่านยังทูลต่อพระเจ้าผู้เป็นพระศิลา พระเจ้าผู้ทรงเข้มแข็งดั่งหินผา ถามพระองค์ว่าทำไมพระองค์ทรงลืมข้าไป ทำไมถูกศัตรูข่มเหง ตรงนี้เราเห็นด้วยว่า ไม่ใช่เจ็บใจเท่านั้น แต่เมื่อโดนมาก ๆ เขาท่านเจ็บกาย เจ็บปวดถึงกระดูกทีเดียว เพราะคำถามที่ล้อเลียนพระเจ้า ดูหมิ่นพระองค์ ทำให้เจ็บมาก

หายจากความรู้สึกอันมืดมน หมดหวังอย่างไร?
ขณะที่เผชิญหน้าศัตรู เผชิญความมืดมน จนตรอก ถูกเย้ยหยัน ผู้เขียนไม่ได้ปิดบังความรู้สึกต่าง ๆ ที่ประดังเข้ามานั้นเลย
ท่านตั้งใจที่จะหวังใจในพระเจ้าอย่างมั่นคง มั่นใจว่าจะสรรเสริญพระเจ้าผู้จะทรงช่วยให้ท่านรอดจากสถานการณ์นั้นอย่างแน่นอน
นี่เป็นสดุดีสำหรับเราทุกคนที่เผชิญความตกต่ำในจิตวิญญาณ ที่จะแสวงหา ปรารถนาพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ และรอให้พระองค์กู้เราขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง

การทรงสร้างวันที่ห้า แพลงก์ตอน

ขอแนะนำคลิปสอนการทรงสร้างของพระเจ้าให้กับเด็ก อนุบาลสาม ประถมต้น โดยเราจะเข้าไปศึกษาสัตว์ พืช และสิ่งต่าง ๆ ที่พระเจ้าทรงสร้างเป็นรายละเอียด คลิปนี้จะออกประมาณสัปดาห์ละครั้ง
เมื่อเด็ก ๆ เข้าใจว่าพระเจ้าของเขาทรงเป็นพระผู้สร้างที่ปราชญ์เปรี่อง และเด็กมีความรู้รอบในสิ่งที่เขาเห็นรอบตัว เข้าใจกฎธรรมชาติที่พระเจ้าทรงวางไว้ เขาจะภูมิใจในพระองค์ และติดตามพระองค์ไปตั้งแต่ยังเล็กอยู่
ขอฝากให้พี่น้องแบ่งปันให้กับเพื่อน ๆ ที่มีลูกเล็ก ๆ ด้วย เชื่อว่าจะได้ประโยชน์มาก
เพราะเป็นการเรียนรู้พระเจ้า พระคำ ดนตรี ศิลปะ ไปพร้อม ๆ กัน

ยูดา คำเตือนเพื่อรักษาความเชื่อ

ตระหนักว่าในคริสตจักรมีอันตรายเกิดขึ้น

ยูดา ทาสรับใช้ของพระเยซูคริสต์ และพี่ชายของยากอบ
เขียนถึงท่านที่ได้รับการทรงเรียก และเป็นผู้ที่พระบิดาเจ้าทรงรัก และเป็นผู้ที่พระเยซูคริสต์ทรงรักษาไว้
ยูดา 1:1

1 เปโตร 1:5; 1 เธสะโลนิกา 5:23

หนังสือยูดา เขียนโดยยูดาซึ่งเป็นน้องชายของพระเยซูนั่นเอง (ท่านและยากอบเป็นลูกของโยเซฟ สามีของนางมารีย์) ท่านเขียนถึงคนที่พระเจ้าทรงเรียกออกมาจากความมืด ให้มาอยู่ในการครอบครองของพระเจ้าที่ทรงรักพวกเขา เป็นความรักต่อเนื่องไม่มีวันจบสิ้น เป็นผู้ที่พระเยซูทรงรักษาให้ปลอดภัยจากมารร้าย(ยอห์น 17:15) รักษาไม่ให้ล้มลง (ข้อ 24) รักษาจนกว่าจะถึงวันของพระเจ้า (2 ทิโมธี 1:12)

ขอให้ท่านได้รับพระเมตตา สันติสุขและความรักทวีคูณ
ยูดา 1:2

2 เปโตร 1:2; 1 เปโตร 1:2 ; วิวรณ์ 1:4-6

พระเมตตาจากพระเจ้าที่จะทรงอภัย ช่วยให้พ้นหายนะ ชำระเราให้สะอาด พระเมตตาที่ทรงส่งพระบุตรลงมา ที่ทรงเรียกเรามาให้เป็นลูกของพระองค์ เราได้รับพระเมตตาจากพระเจ้ามาก สันติสุขซึ่งไม่เหมือนโลกให้จากพระบุตร (ยอห์น 14:27) และความดีและความรักมั่นคงที่จะติดตามชีวิตของเราไปตลอดชีวิต (สดุดี 23:6) ทั้งสามประการนี้เป็นพระคุณที่ท่านยูดาขอให้พระเจ้าประทานแก่พี่น้อง แบบทวีคูณขึ้นไป

เพื่อนที่รักของข้า แม้ข้าตั้งใจที่จะเขียนถึงท่านในเรื่องความรอดพ้นบาปที่เรามีร่วมกัน แต่ก็พบว่าจำเป็นต้องเขียนเพื่อหนุนน้ำใจท่านให้ต่อสู้เพื่อความเชื่อ ที่ทรงมอบให้กับวิสุทธิชนครั้งเดียวเป็นพอ
ยูดา 1:3

1 ทิโมธี 6:12; ฟีลิปปี 1:27; ฮีบรู 13:22

ครั้งแรกท่านยูดาจะเขียนเรื่องความรอดแต่ท่านกลับรู้สึกว่าต้องเรียกให้พวกเขาต่อสู้เพื่อความเชื่อ เพราะมีคนที่สอนผิดแอบสวมรอยเข้ามาในคริสตจักร ท่านจึงจำเป็น ต้องสอนให้พวกเขารู้ว่าอะไรเกิดขึ้น ให้เขาสังเกตลักษณะของคนสอนผิด และเตรียมพร้อมที่จะสู้และต่อต้านคนที่ทำผิด
ที่บอกว่าครั้งเดียวเป็นพอนั้น คือ ความเชื่อในพระพระดำรัส แรกของพระเจ้า ไม่ต้องเพิ่มเติมหรือลดทอนพระคำนั้น โดยใครทั้งสิ้น

เพราะมีบางคนลอบเข้ามาโดยไม่มีใครสังเกต นานมาแล้วที่มีบันทึกว่า คนเหล่านี้จะถูกพิพากษา พวกเขาเป็นคนอธรรมที่เปลี่ยนพระคุณของพระเจ้าไปเป็นเรื่องผิดศีลธรรม และยังปฏิเสธเจ้านายและองค์พระผู้เป็นเจ้าเดียวของเรา คือพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา
ยูดา 1:4

กาลาเทีย 2:4; 2 เปโตร 2:1-3; 2:10

คนเหล่านี้พยายามทำลายความเชื่อของพี่น้อง ผู้เชื่อจึงต้องพร้อมที่จะปกป้องความเชื่อ คนร้ายพวกนี้จะแอบเข้ามา ปากหวาน ใจเชือด ลับ ๆ ที่ผู้เชื่อมักไม่สังเกตเห็น
คนแบบนี้ พลิกพระคุณบริสุทธิ์ของพระเจ้าโดยอ้างว่า พระเจ้าทรงดีและยกโทษให้ ดังนั้นจะใช้ชีวิตเสเพลอย่างไรตามใจตัวเองก็ได้ พวกเขายัง ไม่ยอมรับพระเยซู แต่เพิ่ม ตัด คำของพระองค์ตามใจ ตนเอง สังเกตจากสองอย่างนี้ จะรู้ว่า ใครเป็นใคร

ตัวอย่างของผู้ที่ถูกลงโทษ

บัดนี้ แม้ว่าท่านรู้เรื่องนี้แล้ว ข้าขอย้ำเตือนท่านอีกว่า พระเจ้าผู้ทรงช่วยกู้ประชาชนออกมาจากอียิปต์ ต่อมาภายหลังก็ทรงทำลายบรรดาคนที่ไม่เชื่อ
ยูดา 1:5

กันดารวิถี 26:64-65; ฮีบรู 3:16-4:2

พระคำของพระเจ้าเป็นสิ่งที่เรานำมาเตือนสติกันได้เสมอ ให้เราเข้าใจพระคำนั้นลึกซึ้งยิ่งขึ้น ท่านยูดาเตือนโดยยกสามตัวอย่าง ตัวอย่างแรกคือ พระเจ้าทรงช่วยอิสราเอลออกมาจากอียิปต์ก็จริง แต่เมื่อพวกเขาไม่เชื่อ บ่น สงสัยในการทรงนำของพระเจ้า ทำตามใจตัวเอง พวกเขาก็ถูกทำลาย คนรุ่นแรกที่ออกมาไม่ได้มีโอกาสเข้าไปในคานาอัน นี่เป็นพระพิโรธที่น่ากลัวนัก กันดารวิถี 14 เล่าเรื่องนี้

และทูตสวรรค์ที่ไม่อยู่ในตำแหน่งสิทธิอำนาจของตนเอง แต่กลับทิ้งสถานที่ ๆ ตนอยู่ พระองค์ก็ทรงล่ามโซ่ พวกเขาไว้เป็นนิตย์ ใต้ความมืดมนจนกว่าจะถึงการพิพากษาในวันที่ยิ่งใหญ่
ยูดา 1:6

2 เปโตร 2:4; มัทธิว 25:41; 8:29; เอเฟซัส 6:12

ตัวอย่างที่สองคือ กล่าวถึงทูตสวรรค์ที่ไม่ยอมอยู่ในที่ ๆ พระเจ้าทรงกำหนดให้พวกเขา แต่ทูตเหล่านี้กลับทำเกินกว่าที่ตัวเองควรทำ มีสองความเห็น ว่าเป็นทูตสวรรค์ที่เข้ามาใช้ร่างของมนุษย์ผู้ชายแล้วมีสัมพันธ์กับผู้หญิง แล้วเกิดลูกที่
เป็นยักษ์ที่เรียกว่า เนฟิลิม อีกความเห็นคือ เป็นซาตานที่ต้องการใหญ่เท่าเทียมพระเจ้า (อิสยาห์ 14)ถึงแม้พระเจ้าทรงสร้างทูตสวรรค์มา พระองค์ก็ทรงลงโทษพวกเขาเมื่อเขาไม่อยู่ในที่ ๆ เขาควรอยู่

เหมือนอย่างเมืองโสโดมและโกโมราห์ และเมืองรอบ ๆ ที่ปล่อยตัวสนุกสนานทางเพศ และตามติดความวิปริตในกาม พวกนี้ เป็นตัวอย่างของบรรดาคนที่จะถูกลงโทษด้วยไฟนิรันดร์
ยูดา 1:7

เฉลยธรรมบัญญัติ 29:23; 2 เปโตร 2:6; โรม 1:26-27

ตัวอย่างที่สาม คือเมืองโสโดมและโกโมราห์ พวกเขาทำตามใจปรารถนาทางเพศของตนเอง มีความเร่าร้อนในเรื่องเพศและ ชอบใช้ชีวิตอย่างนั้นโดยไม่เกรงกลัวพระเจ้าเลย
พระเจ้าทรงลงโทษพวกเขาด้วยการส่งไฟกำมะถันลงมา เมืองเหล่านี้จึงเป็นตัวอย่างให้รู้ว่า เมื่อไม่เชื่อฟังพระเจ้า อ้างพระคุณของพระเจ้าเพื่อทำความชั่ว พระองค์ทรงจัดการแน่

บาปที่มากขึ้นของบางคนที่เข้ามา

คนเหล่านี้ก็เช่นเดียวกัน ปล่อยตัวไปตามฝันของตน ทำตัวเป็นมลทิน ปฏิเสธสิทธิอำนาจ และกล่าวคำสบประมาทบรรดาศักดิเทพ
ยูดา 1:8

ฮีบรู 13:17; 1 เปโตร 2:17; 1 ทิโมธี 1:10

คนที่ปล่อยตัวตามฝัน หรือ เชื่อในความฝันของตนเองว่า สามารถบอกอนาคต ความฝันของตนนั้นมีสิทธิอำนาจเหนือชีวิต คนเหล่านี้ทำพฤติกรรมแบบนี้บ่อยเข้า ก็หลงผิดไป คิดว่าตนมองเห็นอนาคตจริง ๆ แถมยังอวดอ้างตัวใหญ่โตกว่า วิญญาณต่าง ๆ ที่มีอยู่ในฟ้าสวรรค์ เขาไม่สนใจสิทธิอำนาจที่มีอยู่ก่อนเขา ไม่ว่าจะเป็นอำนาจดีหรือร้าย

แต่เมื่ออัครทูตสวรรค์คือท่านมิคาเอล เกิดโต้แย้งกับมารเรื่องร่างของโมเสส ท่านไม่ได้กล่าวคำพิพากษาล่วงเกินมาร เลย เพียงแต่กล่าวว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงตำหนิเจ้าเอง”
ยูดา 1:9

เศคาริยาห์ 3:2; 2 เปโตร 2:11; วิวรณ์ 12:7

ทูตสวรรค์ฝ่ายพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่ เมื่อมีเรื่องกับมาร ท่านเองไม่ได้กล่าวสิ่งใดที่ล่วงเกินมาร เพราะท่านรู้ว่า พระเจ้าจะทรงจัดการกับมารเอง ดังนั้น คนที่เข้ามาในคริสตจักรและกล่าวถึงมาร แบบว่า เขาใหญ่กว่า เขาเก่งกว่า เขาไล่มันได้ อย่างเด็ดขาด เราก็ต้องพิสูจน์เลยว่า มีแค่คำ หรือมีฤทธิ์ของพระเจ้าที่จะไล่ผีมารที่คอยเข้าสิงคนจริง ๆ หรือเปล่า แต่ถ้าเป็นคนของพระเจ้าจริง เขาจะไม่อวดโอ้ เพราะฤทธิ์ที่เขามีไม่ใช่ของเขาเอง เแต่เป็นของพระเจ้า

แต่คนเหล่านั้นกลับสบประมาท ทุกสิ่งที่ตนไม่เข้าใจ และก็ถูกทำลายโดยสิ่งที่ตนเองเข้าใจ โดยสัญชาตญาณซึ่งก็เหมือนสัตว์ที่ไม่มีเหตุผล
ยูดา 1:10

2 เปโตร 2:12; โรม 1:21-22

ในที่สุด คนเหล่านี้จะถูกทำลายไปเอง เพราะการโอ้อวด ยกตนข่มมารนั้น ทำไปโดยไม่เข้าใจว่า เป็นเรื่องที่เกินความเข้าใจของเขา เขาไม่อาจเข้าใจเรื่องราวของโลกฝ่ายวิญญาณ ได้ดีเท่ากับมารที่เป็นวิญญาณ กลายเป็นว่าท่านยูดามองเห็นคนพวกนี้เป็นเหมือนสัตว์ ขู่คำรามอย่างไม่มีเหตุผล ไม่กลัวอันตรายที่อยู่ตรงหน้า

ลักษณะต้นแบบของคนที่หลอกลวง

วิบัติแก่พวกเขา เพราะพวกเขาเดินในทางของคาอิน และทำตามอย่างบาลาอัม เพื่อผลประโยชน์ และหายนะ เหมือนอย่างการกบฎของโคราห์
ยูดา 1:11

2 เปโตร 2:15; 1 ยอห์น 3:12; ปฐมกาล 14:3-4; วิวรณ์ 2:14; กันการวิถี 26:9-10

ท่านยูดากล่าวถึงคาอินที่ฆ่าน้องชาย คาอินเป็นคนที่ท่านยอห์นกล่าวว่า งานของเขาชั่วร้าย (1 ยอห์น 3:12) และ ฮีบรู 11:4 บอกชัดว่า น้องชายของเขาได้ถวายเครื่องบูชาด้วยความเชื่อ
บาลาอัมที่รับจ้างแช่งสาปคนอิสราเอล เพื่อเงิน อ่านเรื่องของเขาได้ในกันดารวิถี 22 25 31
ส่วนโคราห์ที่ดื้อดึงต่อท่านโมเสส อยู่ในกันดารวิถี 16 เขาเป็นเลวี แต่ใจอยากจะเป็นผู้นำอย่างโมเสส และขัดขืน ปฏิเสธผู้นำที่พระเจ้าทรงตั้งไว้

ลักษณะเฉพาะตัวของคนหลอกลวง

พวกเขาเป็นตัวมลทินในงานเลี้ยงรักพี่น้องของท่าน ได้ร่วมกินดื่มโดยไม่กลัว เป็นผู้เลี้ยงที่เลี้ยงแต่ตัวเอง เป็นเมฆไร้น้ำ
ถูกลมพัดพาไป เป็นต้นไม้ไร้ผล ปลายฤดูใบไม้ผลิ ตายแล้วสองครั้ง และถูกถอนรากถอนโคน
ยูดา1:12

มัทธิว 15:13; เอเฟซัส 4:14; เอเสเคียล 34:8

งานเลี้ยงนี้คือ การที่ผู้เชื่อนำอาหารมารับประทาน ร่วมกัน คนที่ขัดสนก็มีโอกาสที่จะได้รับแบ่งปัน คนที่มีก็ได้โอกาสรับใช้ แต่คนที่ปลอมตัวมาก็จะฉวยโอกาส เอาประโยชน์ร่วมกินดื่มโดยไม่มีการแบ่งจากตัวเอง จะเห็นลักษณะของเขาห้าอย่าง ที่ไร้ค่า ถ่วงสังคมจริง ๆ
สามอย่างแรก คือเป็นผู้เลี้ยงที่เลี้ยงแค่ตัวเองเท่านั้น
เมฆไร้น้ำ ดูเหมือนดีจะให้ฝน แต่แล้วฝนก็ไม่ตก เป็นต้นไม้ที่ไร้ผลอีก เพราะตายไปแล้ว รากก็ถูกถอนไป

เป็นเหมือนคลื่นโหมในทะเล พัดฟองคลื่นแห่งความน่าอับอายขึ้นมา เป็นดาวที่เร่ร่อน มีความมืดมิดซึ่งอยู่ตลอดกาลรอคอยพวกเขาอยู่
ยูดา 1:13

2 เปโตร 2:17; ฟีลิปปี 3:19; อิสยาห์ 57:20

เขายังเป็นเหมือนคลื่นในทะเล ที่ชีวิตมีแต่ความน่าอาย แต่กลับไม่อาย ยังอวดสิ่งที่น่าอายในชีวิต ของตนโดยไม่รู้ตัวว่าน่าอาย เราเห็นคนแบบนี้ดาษดื่นในสังคมโซเชียลด้วย
นอกจากนั้นแทนที่จะเป็นดาวที่โคจรตามปกติ เป็นคนที่เราจะรู้ได้ว่าอยู่ตรงไหนแล้ว แต่กลับเป็น เหมือนดาวตก ผีพุ่งใต้ที่ปรากฏแล้วก็หายไป ห้าอย่างที่เป็นลักษณะของคนปลอมตัวเข้ามาในหมู่พี่น้องคริสเตียนและทำลายคนอื่น …

เอโนค ซึ่งเป็นคนรุ่นที่เจ็ดนับจากอาดัม ได้พยากรณ์ถึงคนเหล่านี้ว่า “ดูเถิด องค์พระผู้เป็นเจ้ากำลังเสด็จมาพร้อมกับวิสุทธิชนนับล้านของพระองค์เพื่อ พิพากษา ทุกคน เพื่อให้คนอธรรมทั้งสิ้น ได้สำนึกในบาปที่พวกเขาได้ทำ รวมทั้งคนบาปจะสำนึกที่ได้กล่าวล่วงเกินพระองค์”
ยูดา 1:14-15

เฉลยธรรมบัญญัติ 33:2; สดุดี 50:3-5;
ฮีบรู 11:5-6; วิวรณ์ 22:12-15; 1 โครินธ์ 4:5

ท่านยูดาได้เตือนล่วงหน้าว่า จะมีการพิพากษาคนอธรรมหรือคนบาปทุกคนที่ล่วงเกินพระองค์ โดยที่ไม่ได้คิดจะกลับใจเลย คนเหล่านั้นมีคำสอน ผิดที่ไม่ตรงกับความจริงที่พระองค์ทรงบัญชาไว้
ในวันที่พระองค์ทรงพิพากษานั้น พวกเขาจะสำนึกได้ แต่มันก็สายไปแล้ว เวลาที่ยังไม่สายคือวันนี้ คำพยากรณ์ล่วงหน้านี้ ชัดเจน ไม่มีอะไรคลุมเครือ

คนเหล่านี้เป็นคนช่างบ่น คอยจับผิดคนอื่น ทำตามความอยากที่ชั่วของตน ยกตนขึ้น โอ้อวด และประจบประแจงยกยอคนอื่นเพื่อผลประโยชน์ของตน
ยูดา 1:16

2 เปโตร 2:1-4; 2:18; 2:10; ฟีลิปปี 2:14;

ท่านยูดาสรุปนิสัยใจคอของคนที่สอนผิด ซึ่งไม่ได้มีเฉพาะในคริสตจักรเท่านั้น แต่มีทั่วไปในสังคมของเรา ซึ่งต้องระวังให้ดี ไม่ให้ตัวเราหลงไปกับการชักนำของพวกเขา เลนนอกซ์ นักคณิตศาสตร์คริสเตียนได้กล่าวไว้ว่า คนเรามักเชื่อง่าย ๆ ตามความอยากที่จะเชื่อ โดยไม่ค่อยใช้เหตุผล แต่เชื่อโดยใช้อารมณ์ ทุกวันนี้เราต้องระมัดระวังในการรับข้อมูลเพราะข้อมูลทุกอย่างส่งผลกับชีวิตฝ่ายวิญญาณของเราโดยตรง

พี่น้องที่รัก ท่านต้องจดจำการพยากรณ์ล่วงหน้าของอัครทูตของพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา พวกเขากล่าวกับท่านว่า
“ในยุคสุดท้าย จะมีคนที่ชอบเยาะเย้ยใช้ชีวิตตามความอยากที่ชั่วของตน” คนเหล่านี้แหละที่สร้างความแตกร้าว เป็นคนของโลก ปราศจากพระวิญญาณ
ยูดา 1:17-19

2 เปโตร 3:2; เอเฟซัส 4:11; กิจการ20:35
2 เปโตร 3:3; 2 ทิโมธี 4:3
1 โครินธ์ 2:14; ยากอบ 3:15

ทุกวันนี้ เราต้องยอมรับว่า สิ่งที่ท่านยูดาเตือน ล่วงหน้านั้น เป็นความจริง เพราะในโลกนี้กำลัง สับสน วุ่นวาย มีความเป็นศัตรู มีความเกลียดชัง กันโดยที่ไม่ต้องรู้จักกัน หรือเคยทำร้ายอะไรกันเลย ความแตกร้าวที่เกิดขึ้นนั้น ท่านยูดาไม่ต้องการให้ เกิดในหมู่ผู้เชื่อ แต่ต้องการให้ทุกคนเป็นอันหนึ่ง อันเดียวกัน และสังเกตได้ว่าคนที่พยายามสร้างความแตกร้าวนั้นคือคนไหนกันแน่ คนไหนที่ต้องเลี่ยง เพราะคนพวกนี้แสดงเก่งยิ่งกว่าดาราอีก

สิ่งที่ผู้เชื่อต้องใส่ใจลงมือทำเพื่อตัวเอง

แต่ท่านที่รัก
จงสร้างตนขึ้นบนความเชื่อที่บริสุทธิ์ที่สุด
และอธิษฐานในพระวิญญาณบริสุทธิ์
ยูดา 1:20

เอเฟซัส 6:18; โรม 8:26-27; โคโลสี 2:7

ท่านยูดาขอให้พี่น้อง สร้างชีวิตขึ้นจากความเชื่อที่บริสุทธิ์ และการอธิษฐานที่รับการดลใจจากพระวิญญาณ คำว่าสร้าง คือการลงมือ ทำอะไรเพื่อชีวิตของตนเอง สร้างบนข่าวดีเรื่อง
พระเยซูคริสต์ ไม่สร้างด้วยคำสอนอื่นใด สร้าง ชีวิตที่มีเกียรติ ขยัน ถ่อมตน สู้ไม่ถอย ด้วยความช่วยเหลือของพระวิญญาณที่เมื่อเรา อธิษฐานจะทรงสำแดงว่า ควรอธิษฐานเพื่อใคร อย่างไร พระองค์จะทรงช่วยให้เรามีความเชื่อ เราจะเห็นว่าชีวิตแห่งความเชื่อจะ ก้าวหน้าได้ เป็นพลังมาจากพระเจ้าและมนุษย์สนองตอบต่อพลังนั้น

ให้รักษาตัวอยู่ในความรักของพระเจ้า รอคอยพระเมตตาของพระเยซูคริสต์เจ้าของเราซึ่งจะนำเราไปสู่ชีวิตนิรันดร์
ยูดา 1:21

2 เปโตร 3:12; 1 ยอห์น 4:16; ฮีบรู 9:28

ข้อก่อนหน้านี้ ท่านยูดาขอให้เราสร้างชีวิตในความเชื่อบริสุทธิ์ และอธิษฐานในพระวิญญาณ บริสุทธิ์ และข้อนี้ให้รักษาตัวเองในความรักของ พระเจ้า รอคอยพระเมตตาของพระองค์ เท่ากับว่า สำหรับตัวเราเองแล้ว ก่อนที่เราจะได้รับชีวิตนิรันดร์ เรามีหน้าที่ส่วนของเรา ไม่ใช่ว่า มาเชื่อพระเจ้าแล้วก็ไม่ต้องทำอะไร ใช้ชีวิตแบบ เดิม ๆ นั่นไม่ใช่การกลับใจ พระเจ้าทรงประสงค์ให้เราลงมือใช้ชีวิตอย่าง กระตือรือร้น ไม่ใช่เฉื่อยชาในทางของพระองค์ การอยู่ในร่มพระคุณความรักของพระเจ้านั้น

สิ่งที่ต้องทำเพื่อผู้อื่น

และจงเมตตาต่อคนที่ยังสงสัยอยู่
จงช่วยคนอื่น ๆ ด้วยการฉุดพวกเขาออกจากไฟ แสดงความเมตตาต่อพวกเขาด้วยความยำเกรงพระเจ้า จงรังเกียจแม้กระทั่งเสื้อผ้าที่แปดเปื้อนด้วยโลกีย์
ยูดา 1:22-23

ยากิบ 5:19-20; กาลาเทีย 6:1
วิวรณ์ 3:4; 1 ทิโมธี 4:16

นอกจากจะดูแลตัวเองให้ปลอดภัยแล้ว ก็ต้องเอาใจใส่คนอื่นด้วย เพราะทุกคนเริ่มต้นไม่เท่ากันบางคนมารู้จักพระเจ้าตอนอายุมากแล้ว ความเข้าใจก็น้อยกว่า แถมยังมีการมองโลกแบบเดิม ๆ ติดมาด้วยที่ยังเอาออกไม่หมด ทำให้พวกเขากลับไปอยู่กับชีวิตเดิมที่จากมา บางคนอาจต้องถูกฉุดจากนรก บังคับให้ออกเลย แต่ทำด้วยความยำเกรงพระเจ้า ด้วยว่า เราเองก็อาจตกอยู่ในสภาพนั้นเช่นกัน

มั่นใจในพระเจ้า

แด่พระองค์ผู้ทรงรักษาท่านให้พ้นจากการสะดุดล้ม และผู้ที่จะทรงนำท่านอย่างไร้มลทินไปอยู่ต่อพระพักตร์ แห่งพระสิริ
ด้วยความยินดีอย่างยิ่ง แด่พระองค์ผู้ทรงเป็นพระเจ้าเท่านั้น พระผู้ช่วยให้รอดของเราโดยผ่านองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา
พระสิริ พระเกียรติ อาณาจักรและ
สิทธิอำนาจสูงสุดเป็นของพระองค์ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และสืบไปเป็นนิตย์ อาเมน
ยูดา 1:24-25

2 ทิโมธี 4:18; เอเฟซัส 3:20; โคโลสี 1:22

และเราต้องไม่ลืมว่า ผู้ที่จะช่วยให้เราไม่ล้มลง ไม่พลาดจากทางไปสู่พระบิดาเจ้านั้น คือองค์พระเยซูคริสต์เท่านั้น ไม่ใช่ใครที่ไหนพระองค์ทรงเป็นผู้ที่จะถวายเราแด่พระบิดา
เพราะพระองค์เดียวเท่านั้นที่มีสิทธิ ลองถามตัวเองว่า เราได้ร่วมมือกับพระเจ้าที่จะทำให้ชีวิตเราไร้มลทิน ทำให้พระเยซูทรงยินดีได้ไหม