สดุดี 25 ทูลขอพระเจ้าหลายอย่าง

credit:pxfuel

สดุดีของดาวิด

คำขออย่าให้ต้องอับอาย
1 โอ พระยาห์เวห์ ข้ายกชีวิตจิตใจของข้าขึ้นไปหาพระองค์
2 พระเจ้าของข้า ข้าวางใจในพระองค์
ขออย่าทรงให้ข้าต้องอับอาย
ขออย่าทรงให้ศัตรูชนะข้าเลย
3 แท้จริงแล้ว คนที่รอคอยพระองค์จะไม่ต้องอับอาย
ขอให้คนที่อับอายคือคนที่ทรยศโดยไม่มีเหตุ

ขอพระเจ้าทรงสอน ทรงนำ ขอทรงลืม และขอทรงจำ
4 ขอทรงแสดงทางของพระองค์ให้ข้าเห็น
ขอทรงสอนวิถีของพระองค์แก่ข้าด้วยเถิด
5 ขอทรงนำข้าไปในทางแห่งความจริงของพระองค์
และโปรดสอนข้า
เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าแห่งความรอดของข้า
ข้ารอคอยพระองค์ทั้งวัน
6 โอพระยาห์เวห์ ขอทรงระลึกถึงพระเมตตาที่อ่อนโยน
และความรักมั่นคงของพระองค์ 
เพราะทั้งสองนี้มีมาตั้งแต่อดีตกาล
7 ขออย่าทรงระลึกถึงบาปและการล่วงละเมิดเมื่อข้ายังเยาว์
ขอทรงระลึกถึงข้าตามความดีของพระองค์

หนทางของพระเจ้าต่อคนที่ถ่อมตน
8 พระยาห์เวห์ทรงดีและเที่ยงตรง 
ดังนั้นจึงทรงสอนทางนั้นแก่คนบาป
9 พระองค์ทรงนำคนที่ถ่อมตนไปในทางเที่ยงธรรม
ทรงสอนหนทางของพระองค์แก่พวกเขา
10 หนทางทั้งสิ้นของพระยาห์เวห์
คือทั้งความรักมั่นคงและความจริงจะที่มีแก่
คนที่รักษาพันธสัญญาของพระองค์
11 โอ พระยาห์เวห์ เพื่อเห็นแก่พระนามของพระองค์ 
ขอทรงอภัยบาปผิดของข้า เพราะบาปนั้นใหญ่หลวง

สิ่งดีที่พระเจ้าประทานแก่คนที่ยำเกรงพระองค์
12 ใครเป็นคนที่ยำเกรงพระยาห์เวห์?
พระองค์จะทรงสอนทางที่พระองค์ทรงเลือกแก่คน ๆ นั้น
13 เขาจะได้ใช้ชีวิตในความสมบูรณ์ และลูกหลานของเขา
จะได้แผ่นดินเป็นมรดก
14 พระยาห์เวห์ทรงเผยคำปรึกษาที่ลึกล้ำให้แก่คนที่ยำเกรง
พระองค์
และทรงทำให้พันธสัญญาของพระองค์กระจ่างแจ้งแก่เขา
15 ดวงตาของข้าจะมองมายังพระยาห์เวห์เสมอ
เพราะพระองค์จะทรงฉุดให้เท้าของข้าพ้นจากกับดัก
ตาข่าย

คำขอพระเจ้าทรงช่วยปกป้อง
16 ขอทรงหันมามองข้า และเมตตาต่อข้า
เพราะข้าทั้งโดดเดี่ยวและทุกข์ใจยิ่งนัก
17 ความโศกซึมเศร้าในใจมีมากขึ้น
ขอทรงนำข้าออกมาจากความกดดันนี้
18 ขอทรงมองมายังความทุกข์โศกและความเจ็บปวด
และขอทรงอภัยบาปของข้าทั้งสิ้น
19 ขอทรงดูเถิดว่า ศัตรูของข้ามีมากเพียงใด
พวกเขาทั้งเกลียดชัง และโกรธเกรี้ยวข้ายิ่งนัก
20 ขอทรงปกปักรักษาวิญญาณของข้า และช่วยกู้ข้าด้วย
ขออย่าทรงให้ข้าต้องอับอาย เพราะข้าวางใจในพระองค์
21 ขอให้ความชื่อสัตย์ และความเที่ยงตรงรักษาข้าให้
ปลอดภัย เพราะข้ารอคอยพระองค์อยู่
22โอพระเจ้า ขอทรงไถ่อิสราเอล
ให้พ้นจากความทุกข์ยากทั้งสิ้นของพวกเขา

พระคำเชื่อมโยง

1* สดุดี 86:4,143:8

2* สดุดี 34:8, 13:4, 41:44

3*เพลงคร่ำครวญ 3:25, อิสยาห์ 40:31

4* อพยพ 13:13,33:13, สดุดี 5:8, 27:11, 86:11,119:27,143:8

5* สุภาษิต 8:34, ยอห์น 16:13, อิสยาห์ 49:10

6* สดุดี 103:17, 106:1, โคโลสี 3:12, ลูกา 1:50

7* โยบ 13:26, เยเรมีย์ 3:25, สดุดี 51:1, อิสยาห์ 43:25

8* ยากอบ 1:5, เอเฟซัส 1:17-18, สดุดี 92:15

9*สุภาษิต 3:5-6, สดุดี 23:3, มัทธิว 5:5

10*ยากอบ 5:11, ฮีบรู 12:14

11* สดุดี 31:3, 79:9, 109:21, 143:11

12* สดุดี 25:8, 37:23,

13*สุภาษิต 19:23, สดุดี 37:11, 69:36

14* ยอห์น 7:17, ยอห์น 15:15

15* สดุดี 141:8, 31:4, 123:2

16*สดุดี 69:16, 143:4

17* 2 โครินธ์ 4:8-9, สดุดี 107:6

18* 2 ซามูเอล 16:12, สดุดี 31:7

19* ลูกา 22:2, สดุดี 143:3

20*สดุดี 121:7, 71:1-2

21* สดุดี 41:12, กิจการ 24:16,

22* สดุดี 130:8

อธิบายเพิ่มเติม สดุดี 25


สดุดีบทนี้ ได้สื่อถึงความรู้สึกในใจของกษัตริย์ดาวิดอย่างชัดเจน. เป็นสดุดีที่เริ่มต้นแต่ละข้อด้วยตัวอักษรที่ และในเมื่อเราเป็นผู้เชื่อในพระเจ้า สดุดีบท 25 ก็ได้สอนเราว่า เมื่อเจอวิกฤต เราควรเข้ามาหาพระเจ้าอย่างไร ชาร์ลส เสปอร์เจียนกล่าวว่า เราได้เห็นความขัดแย้งในใจ การสำนึกในความผิดที่ทำต่อพระเจ้า การกลับใจ และความทุกข์ กดดันในใจ ทุกสิ่งได้ปรากฏชัดเป็นคำคร่ำครวญ

ข้อ 1-3 คำขอร้องอย่าให้ต้องอาย
การยกชีวิตจิตใจของข้าขึ้นไปหาพระองค์ในข้อหนึ่งหมายคือการที่เขาจะวางใจพระเจ้าด้วยการอธิษฐาน ใจของกษัตริย์ดาวิดรอคอยพระองค์. การรอคอยพระเจ้าไม่ใช่นั่งเฉย ๆ แต่เป็นการที่
หัวใจของท่านรอคอยคำตอบ
คนที่ทรยศโดยไม่มีเหตุ มีความหมายได้สองอย่างคือ ทรยศโดยไม่มีสาเหตุที่จะทำ กับการทรยศแล้วไม่ได้ผลกลับมาอย่างที่ต้องการ. ไร้ผล (ฮีบรู>เรคาม>ไร้ผล)

ข้อ 4-7. ขอพระเจ้าทรงสอน ทรงนำ ขอทรงลืม และขอทรงจำ
ทางของพระเจ้าที่จะทรงสอนให้เป็นทางเดินชีวิตที่ถูกต้อง (ข้อ 8-10) เป็นทางแห่งความจริง (เรื่องนี้สำคัญเพราะคนในโลกเดินในทางเท็จ เชื่อพระที่เท็จ เชื่อสิ่งที่ไม่ใช่พระเจ้า)
ท่านกล้าที่จะขอให้พระเจ้าทรงจำสิ่งดี ๆ ของพระองค์ แต่ลืมความบาปของท่านไป

ข้อ 8-11 หนทางของพระเจ้าต่อคนที่ถ่อมตน
สิ่งหนึ่งที่กษัตริย์ดาวิดตระหนักเสมอคือ พระเจ้าทรงดีและเที่ยงตรงยิ่งนัก
อย่างไร ๆ พระองค์ทรงดีต่อคนบาปด้วย ทรงสอนทางที่ดีแก่เขา
25:10,14 พันธสัญญา. (ฮีบรู> ซาฆาร์> พันธสัญญา ) เป็นข้อตกลงระหว่างสองฝ่าย โดยมีเงื่อนไขที่ยอมรับกัน พระเจ้าทรงใช้คำนี้บ่อย ๆ เพื่อบอกถึงความสัมพันธ์ของพระองค์ที่ทรงมีต่ออิสราเอล

ข้อ 12-15 สิ่งดีที่พระเจ้าประทานแก่คนที่ยำเกรงพระองค์
คนที่ยำเกรงพระเจ้า>
1. พระเจ้าสอนทางที่ดีให้เขา เขาจะมีชีวิตสมบูรณ์ ลูกหลานจะรับแผ่นดินเป็นมรดก
2. จะได้รับคำปรึกษาที่ล้ำลึกจากพระองค์ ใคร ๆ ก็อยากได้ แต่มีให้กับคนที่ยำเกรงเท่านั้น
3. จะเข้าใจพันธสัญญาลึกซึ้ง …เป็นผลดีมาก ๆ กับชีวิต
4. พระเจ้าจะทรงช่วยให้พ้นกับดักของศัตรูในทุกด้าน

ข้อ 16-22 คำขอพระเจ้าทรงช่วยปกป้อง
เราจะเห็นว่า ข้อ1-7 และข้อ 16-22 เป็นคำอธิษฐานที่คล้ายกัน ความรู้สึกของกษัตริย์ดาวิดเวลานั้น แม้จะอยู่ในตำแหน่งสูงคือ โดดเดี่ยว เป็นทุกข์ กังวล กดดันมากที่มีศัตรูมาอยู่ล้อมรอบ
25:20 ปกปักรักษา คือ คอยปกป้อง (ฮีบรู> ชามาร์>ดูแล ปกป้อง ยาม เฝ้าประตู ) แปลว่า ทำรั้วล้อมรอบบางอย่าง หรือ ตั้งยามเฝ้า กษัตรย์ดาวิดขอพระเจ้าทรงป้องกันท่านไว้รอบด้าน
แต่ในยามที่อันตรายนี้ ท่านไม่ลืมที่จะขอพระเจ้าทรงยกโทษบาปที่เกิดขึ้นในใจ หรือในการกระทำ
ที่ขอพระองค์ล้อมรอบ ปกป้องไว้เพราะศัตรูมีมากเหลือเกิน
จบด้วยคำอธิษฐานของกษัตริย์เพื่อทุกคนในชาติคือ ขอพระเจ้าทรงไถ่อิสราเอลจากความเดือดร้อนทุกอย่าง. พอเห็นคำในข้อ 22 แล้ว ทำให้รู้สึกว่า บางทีกษัตริย์ดาวิดกำลังอธิษฐานอ้อนวอนเผื่ออิสราเอลทั้งประเทศมาตั้งแต่ข้อแรกแล้วก็เป็นได้


2 เปโตร 3 พระสัญญาของพระเจ้าไม่เนิ่นช้า

เพื่อนที่รัก นี่เป็นจดหมายฉบับที่สองที่ข้าเขียนถึงท่าน ในจดหมายทั้งสองฉบับ ข้าต้องการให้เป็นคำกระตุ้นเตือนใจบริสุทธิ์ของท่านเพื่อว่าท่านจะได้จำคำที่ผู้เผยพระคำบริสุทธิ์กล่าวไว้ รวมทั้งพระบัญชาขององค์พระผู้เป็นเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอดที่ประทานผ่านเหล่าอัครทูตของท่าน
2 เปโตร 3:1-2

2 เปโตร 1:13, 2 ทิโมธี 1:6, 2 เปโตร 1:21, ยูดา 1:17, ลูกา 1:10

สิ่งที่ท่านเปโตรอยากให้พี่น้องจำได้ก็คือ การเสด็จมาครั้งที่สองของพระเยซูคริสต์ ซึ่งผู้เผยพระคำในอดีตได้กล่าวไว้ในพระคัมภีร์เดิม รวมทั้งอัครทูตเอง ก็ได้ส่งต่อคำสอนเรื่องนี้มาด้วย ท่านเปโตรเองก็ยังเป็นห่วงที่จะเตือนสติไม่ให้พี่น้องลืมพระคำของพระเจ้า

อย่างแรก ให้ระวังสิ่งนี้คือ ในยุคสุดท้าย
จะมีคนช่างเยาะเย้ยเข้ามา โดยใช้ชีวิตตามตัณหาชั่วของตน กล่าวว่า
“ไหนล่ะ คำสัญญาว่าพระองค์จะเสด็จมา? ตั้งแต่ที่บรรพบุรุษของเราตายไป ทุกอย่างก็ยังคงเป็นไปเหมือนเดิม มาตั้งแต่เริ่มสร้างโลก”
2 เปโตร 3:3-4

2 เปโตร 2:10, ยูดา 1:18, ปฐมกาล 6:1-7, เยเรมีย์ 17:15, 5:12-13

เราไม่ต้องแปลกใจเมื่อเห็นคนที่มาถากถางพระคำของพระเจ้า เพราะท่านเปโตรเตือนไว้แล้ว ยุคสุดท้ายในความหมายของพระคัมภีร์คือ ตั้งแต่วันที่พระเยซูเสด็จสู่สวรรค์จนถึงวันที่พระองค์จะเสด็จมาอีกที พวกเราอยู่ในยุคสุดท้าย แต่คนพวกนี้ เป็นคนที่มีปัญหาทั้งทางศีลธรรม และทางความเชื่อ พวกเขาต้องการให้คนเห็นว่าเขาเป็นฝ่ายถูกต้อง และพระเจ้าเป็นฝ่ายผิด

พวกเขาจงใจที่จะลืมว่า นานมาแล้ว
ฟ้าสวรรค์เกิดขึ้น และแผ่นดินเกิดขึ้นจากน้ำและโผล่ขึ้นมาจากน้ำ โดยพระดำรัสของพระเจ้า และแล้วโลกในสมัยนั้นก็ถูกทำลาย
เมื่อน้ำนี้ท่วมแผ่นดินจนมิด
2 เปโตร 3:5-6

ปฐมกาล 1:6-9, สดุดี 24:2,136:6, ปฐมกาล 7:11, 12, 21-23

ตอนนี้ท่านเปโตรกำลังกล่าวว่าฟ้าสวรรค์ แผ่นดินถูกสร้างขึ้นมาโดยพระดำรัสของพระเจ้าโดยตรง และ คนที่ชอบท้าทายพระเจ้านั้น ลืมไปว่าในอดีต พระเจ้าทรงสร้างโลก และทรงทำลายได้ด้วยพระองค์เอง โลกจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับพระเจ้า ดังนั้น การที่พวกเขาเยาะหยันว่า สิ่งต่าง ๆ ก็ยังเหมือนเดิมนั้น พวกเขาไม่สำนึกว่า ตนเองไม่
สามารถในเรื่องใด นอกจากใช้ปากถากถางไปวัน ๆ

แต่ด้วยพระดำรัสเดียวกัน ฟ้าสวรรค์และแผ่นดินที่มีในปัจจุบันก็ถูกเก็บไว้ให้ไฟเผาผลาญ ถูกเก็บไว้จนถึงวันพิพากษา
และวันหายนะของคนอธรรม
2 เปโตร 3:7

2 เปโตร 3:10,12, 2 เธสะโลนิกา 1:8, วิวรณ์ 21:1, 2 เปโตร 2:9

ไม่ว่าจะเป็นการสร้างหรือเป็นการทำลายพระเจ้าทรงใช้พระดำรัสอันทรงฤทธานุภาพของพระองค์ ครั้งหน้าที่โลกจะเจอมหันตภัยใหญ่กว่าน้ำท่วมนั้น คือไฟที่เผาผลาญ วันพิพากษาของพระเจ้านั้น มีแน่นอนแต่เราทั้งหลายคิดว่าคงไม่มี คงไม่เกิดแล้วจึงทำตัวตามสบาย ไม่คิดอะไรเลย ตอนนี้ถือว่า ท่านเปโตรได้เตือนแล้ว

แต่เพื่อนที่รักของข้า อย่าลืมความจริงที่ว่า
สำหรับพระผู้เป็นเจ้าแล้ว
หนึ่งวันก็เหมือนพันปี
และพันปีก็เหมือนหนึ่งวัน
2 เปโตร 3:8

สดุดี 90:4, โรม 11:25,

สำหรับมนุษย์ หนึ่งวันเหมือนสั้นมาก หนึ่งเดือนก็ไม่ยาวนัก หนึ่งปี ก็ยังพอเข้าใจ พอหนึ่งร้อยปีก็เข้าใจยากขึ้น พันปีเรานึกไม่ออกเลยว่าหากชีวิตอยู่นานขนาดนั้นจะเป็นอย่างไร แต่สำหรับพระเจ้า เวลาไม่ใช่กรอบของพระองค์ ท่านเปโตรบอกเราชัดเจนว่า เวลาขนาดไหนก็เหมือน ๆ กันสำหรับพระองค์ เพราะพระเจ้าทรงอยู่นอกกรอบเวลาไม่เหมือนมนุษย์เลย

พระผู้เป็นพระเจ้ามิได้ทรงชักช้าในเรื่องพระสัญญาของพระองค์ตามอย่างที่บางคนคิด แต่พระองค์ทรงอดทนต่อพวกท่าน ไม่ทรงประสงค์ให้ใครสักคนพินาศ แต่ทรงประสงค์ให้ทุกคนได้กลับใจ
ถอดความจาก 2 เปโตร 3:9

ฮาบากุก 2:3, อิสยาห์ 30:18, เอเสเคียล 33:11, โรม 2:4

ในขณะที่เรามองโลกในวันนี้ เราก็ท้อใจว่า ผู้คนต่าง มีความคิดห่างจากทางของพระเจ้ามากขึ้น คนรุ่นใหม่ที่เกิดมา ก็ยิ่งห่างไป แต่พระเจ้าทรงมองต่างจากเรา พระองค์ทรงให้โอกาสที่มนุษย์จะได้กลับใจมากขึ้นพระองค์ทรงส่งผู้รับใช้ของพระองค์ไปยังที่ต่าง ๆ ทรงส่งพระคำของพระองค์ไปยังที่ ๆ ใครเข้าไปไม่ถึงพระเจ้าทรงอดทนต่อเราเพราะไม่ประสงค์ให้ใครสักคน ถูกทิ้งลงในนรก! 

วันขององค์พระผู้เป็นเจ้า

แต่วันของพระผู้เป็นเจ้าจะมาเหมือนอย่างขโมยลอบเข้ามา ฟ้าสวรรค์จะสูญสิ้นหายไปด้วยเสียงดังกึกก้อง เทหวัตถุบนท้องฟ้าจะถูกเผาผลาญและสูญสลายไป แผ่นดินโลกและงานต่าง ๆ ที่สร้างขึ้นบนโลกจะถูกเปิดเผย
2 เปโตร 3:10

วิวรณ์ 3:3, 21:1,16:15, มัทธิว 24:35, 1 เธสะโลนิกา 5:2

เวลาที่พระเยซูเสด็จกลับมาอีกครั้งนั้น ไม่ได้มีการ เตรียมต้อนรับจากแผ่นดินโลกล่วงหน้าสองสามวัน การเตรียมตัวคือ การเตรียมพร้อมชีวิตเสมอ เพราะพระองค์มาอย่างทันทีทันควัน รวดเร็วปานสายฟ้าแลบ เมื่อพระองค์มานั้น สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ การเปลี่ยนแปลงของโลกที่ เราอยู่อย่างสิ้นเชิง เปลี่ยนด้วยไฟ ไม่ใช่ด้วยน้ำท่วมเหมือนสมัยโนอาห์ ตอนนี้เรารู้สึกว่าเราพร้อมที่จะรับพระองค์ไหม?

ในเมื่อสรรพสิ่งจะถูกทำลายไปเช่นนี้ จึงชัดเจนว่า ท่านควรเป็นคนอย่างไร
ให้ใช้ชีวิตบริสุทธิ์ในทางของพระเจ้ารอคอยและเร่งวันขององค์พระผู้เป็นเจ้าซึ่งเป็นวันที่ฟ้าสวรรค์จะถูกเผาและสูญสลายไป และเทหวัตถุในนั้นจะหลอมละลายไปกับความร้อนยิ่ง
2 เปโตร 3:11-12

1 เปโตร 1:15, ฟีลิปปี 1:27, มีคาห์ 1:4, อิสยาห์ 34:4, สดุดี 50:3

ท่านเปโตรกล่าวไว้ชัดเจนว่า ชีวิตควรจะบริสุทธิ์ อยู่ในทางของพระเจ้า ไม่ใช่ใช้เวลาหมดไปกับทุก ๆอย่างในชีวิตประจำวัน
โดยไม่ได้หันมาหา ติดตามทางของพระเจ้า ความคิดของเราอาจจะอยู่ในหน้าที่การงานในการดำรงชีวิต แต่ก็ต้องให้ความสำคัญมีความปรารถนาวันขององค์พระผู้เป็นเจ้า น่าแปลกที่โลกนี้จะถูกทำลาย แต่มนุษย์จะมีชีวิตนิรันดร์กับพระเยซูเจ้า!

แต่ตามพระสัญญาของพระองค์ เรารอคอยฟ้าสวรรค์ใหม่ และแผ่นดินใหม่ ที่ความเที่ยงธรรมดำรงอยู่
ถอดความจาก 2 เปโตร 3:13

อิสยาห์ 65:17, 66:22, วิวรณ์  21:1

จากคำของท่านเปโตรในตอนนี้ เราจะเห็นได้ชัดว่า โลกเก่าคือโลกที่เรากำลังมีชีวิตอยู่นี้จะต้องถูกทำลายไป และจะมีฟ้าใหม่ แผ่นดินใหม่ซึ่งเป็นแผ่นดินที่เต็มด้วยความดีของพระเจ้า เป็นภาพเดียวกับอิสยาห์ 65:17 เป็นภาพของโลกที่สมบูรณ์แบบอย่างที่พระเจ้าทรงตั้งพระทัยไว้ตั้งแต่ที่ทรงสร้างโลกนี้มา
เราอยากเห็นวันนั้นไหม?

ขอให้ไร้ตำหนิ ไร้ด่างพร้อย

ดังนั้น ที่รักของข้า ในเมื่อท่านกำลังรอคอยสิ่งนี้ จงพยายามอย่างยิ่งที่จะให้พระองค์ทรงพบท่านไร้จุดด่างพร้อยไร้ที่ตำหนิ พร้อมใจสงบสุข
2 เปโตร 3:14

1 โครินธ์ 1:8, 15:58, 1 เธสะโลนิกา 3:12,13, 5:23

การที่ท่านเปโตรได้เตือนเราล่วงหน้าในเรื่องนี้ ก็เพื่อว่า เราจะใช้ชีวิตแบบที่พระเจ้าผู้พิพากษา จะทรงพอพระทัย ท่านได้เตือนให้เรามีความพยายามมาก ๆ ไม่ใช่อยู่อย่างเฉย เฉื่อย ชา ด้านตายกับพระคำ ของพระองค์ การที่จะมีชีวิตไร้ตำหนิ ไม่มีประเด็นที่เสียหายในชีวิตนั้น ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นเอง แต่เป็นสิ่งที่คริสเตียนต้องพยายามเพื่อ
พระเจ้าของเรา

จงระลึกว่า ความอดทนอดกลั้นขององค์พระผู้เป็นเจ้านำมาซึ่งความรอด ตามที่เปาโลน้องชายที่รัก ได้เขียนถึงท่านตามสติปัญญาที่พระเจ้าประทานให้เขา
2 เปโตร 3:15

สดุดี 86:15, โรม 2:4, 1 เปโตร 3:20

ในขณะที่พระเจ้าทรงรออยู่นั้น พระองค์ทรงให้โอกาสทั้งคนไม่เชื่อ ได้มาพบพระองค์ ส่วนคนที่เชื่อแล้ว จะได้มีโอกาสพยายามใน การที่จะใช้ชีวิตอย่างถูกต้องในทางของพระองค์ ในสดุดี 22:27 กล่าวว่าคนทั่วโลกจะคิดได้และหันกลับมาหาพระเจ้า ทุกครอบครัวจะพากัน มาหมอบกราบองค์พระเจ้า และท่านเปโตรได้กล่าวถึงเปาโลว่า ได้เขียนสิ่งต่างๆ แบบเดียวกับท่านด้วยการดลใจจากพระเจ้าด้วย

ในจดหมายทุกฉบับที่เขาเขียน ก็ได้กล่าวถึงเหตุการณ์เหล่านี้ มีบางสิ่ง ในนั้นที่ยากจะเข้าใจ ซึ่งคนไม่ได้เรียนรู้กับคนที่ไม่มั่นคงก็นำเอาไปบิดเบือนเช่นเดียวกับที่เขาบิดเบือนพระคำข้ออื่น ๆ เป็นเหตุให้พวกเขาพบกับหายนะ
2 เปโตร 3:16

โรม 8:19, 1 โครินธ์ 15:24, 1 เธสะโลนิกา 4:15, 2 เธสะโลนิกา 1:10, 2 ทิโมธี 3:16

ท่านเปาโลเองได้เขียนเรื่องการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าชัดมาก ๆ ในหนังสือ 2 เธสะโลนิกา แต่คนที่อ่าน ก็ไม่เข้าใจ ก็นำไปบิดเบือนตามความคิดของตน ในประวัติศาสตร์ เราพบว่า มีคนมากมายได้แปลความเรื่องการเสด็จมาขององค์พระเยซูแตกต่างกันไป ทำให้แบ่งความคิด เป็นหลายฝักหลายฝ่าย มีการอ่าน แล้วตีความ ไปตามแบบที่ตัวเองต้องการ

ดังนั้น เพื่อนที่รักของข้า
ในเมื่อท่านรู้ถึงสิ่งเหล่านี้ล่วงหน้า ก็จงระมัดระวังให้ดี เพื่อว่าท่านจะไม่หลงกลไปตามความผิดของคนอธรรม ทำให้ท่านสูญเสียความหนักแน่นมั่นคงของท่านไป
2 เปโตร 3:17

โคโลสี 2:8, มาระโก 13:23, เอเฟซัส 4:14, 1 โครินธ์ 10:12

ท่านเปโตรได้สรุปทุกสิ่งที่ท่านได้กล่าวมา และก็ยังย้ำเตือนว่า ให้ระวังตัวอยู่เสมอ ซึ่งเมื่อเรา ได้อ่านจดหมายของท่านมาจนจบ เราจะเห็นว่า ส่วนใหญ่เป็นการเตือนพี่น้องคริสเตียนที่กระจัดกระจายกันให้ระวังเหล่าครูสอนเท็จที่เดินทางไปทั่ว ตามเมืองที่พวกเขาอาศัยอยู่ ครูสอนเท็จยังคงโหมกระหน่ำทำงานของ พวกเขาอย่างไม่หยุดยั้งในโลกปัจจุบันด้วย คำเตือนของท่านจึงไม่ตกยุคเลยอย่าลืมคำของท่าน … จำ รับรู้ มุ่งมั่น ระวังตัว

แต่จงเติบโตขึ้นในพระคุณและความรู้ในพระผู้เป็นเจ้า และพระผู้ช่วยให้รอดคือพระเยซูคริสต์
ขอพระสิริรุ่งโรจน์จงมีแด่พระองค์ทั้งวันนี้ และวันแห่งนิรันดร์กาล อาเมน
2 เปโตร 3:18

โคโลสี 1:10, เอเฟซัส 4:15, โรม 11:36, 2 ทิโมธี

ท่านเปโตรยังคงเตือนสติให้ผู้อ่านยึดมั่นในพระคุณ
และขยันหาความรู้ในพระเยซูคริสต์ เราต้องไม่อยู่เฉย แต่พยายามรู้จักพระองค์ให้มากขึ้นทุก ๆ วัน เราจะเติบโตได้ในพระเจ้า ต้องอยู่ในกรอบของพระคุณ และพระเยซูคริสต์ไม่ใช่ด้วยวิธีอื่น ๆ และท่านจบจดหมายด้วยการถวายพระเกียรติแด่พระเยซูคริสต์

สดุดี 24 พระเจ้าผู้ทรงพระสิริจะเสด็จมา

ภาพภูเขา Dom ในเขต ​​Pennine Alps

สดุดีของดาวิด

1 พระยาห์เวห์ทรงสิทธิ์ครอบครองแผ่นดินโลก
คือโลกและทั้งหมดที่อาศัยในนั้น
2 เพราะพระองค์ทรงตั้งรากฐานโลกไว้บนทะเล
ทรงสถาปนามันไว้เหนือแม่น้ำทั้งปวง


3 ใครจะได้รับอนุญาตให้ขึ้นไปยังภูเขาของ
พระ ยาห์เวห์?
หรือใครจะยืนในที่ประทับอันบริสุทธิ์ของพระองค์ได้?
4 คือคนที่มีมือสะอาดและหัวใจบริสุทธิ์
คนที่ไม่ปล่อยให้วิญญาณเชื่อสิ่งที่ไร้ค่า
และไ่ม่ยอมให้คำสัญญาด้วยเล่ห์เหลี่ยม
5 เขาจะได้รับพระพรจากพระยาห์เวห์ 
และพระเจ้าแห่งความรอดจะทรงตัดสินให้เขาพ้นผิด
6 พวกเขาเป็นผู้คนรุ่นที่แสวงหาพระเจ้า
พวกเขาแสวงหาพระเจ้าแห่งยาโคบ
เซ ลาห์

7 จงเงยหน้าขึ้น ประตูเมืองเอ๋ย
จงยกตัวเจ้าขึ้น เหล่าบานประตูนิรันดร์
เพื่อว่า องค์กษัตริย์ผู้ทรงพระสิริจะเสด็จเข้ามา
8 องค์กษัตริย์ผู้ทรงพระสิริคือผู้ใด?
คือพระยาห์เวห์ ผู้ทรงเข้มแข็งและทรงฤทธิ์
คือพระยาห์เวห์ ผู้ทรงฤทธานุภาพในการรบ

9 จงเงยหน้าขึ้น ประตูเมืองเอ๋ย
จงยกตัวเจ้าขึ้น เหล่าบานประตูนิรันดร์
เพื่อว่า องค์กษัตริย์ผู้ทรงพระสิริจะเสด็จเข้ามา
10 องค์กษัตริย์ผู้ทรงพระสิริคือผู้ใด?
คือพระยาห์เวห์ องค์จอมทัพแห่งสวรรค์
พระองค์คือ องค์กษัตริย์ผู้ทรงพระสิริรุ่งโรจน์

เซ ลาห์​

พระคำเชื่อมโยง

1* 1 โครินธ์ 10:26,28

2* สดุดี 89:11

3* สดุดี 15:1-5

4* โยบ 17:9, สดุดี 26:6 สดุดี 51:10, 73:1, มัทธิว 5:8, สดุดี 15:4

5* ฟีลิปปี 3:9, เอเฟซัส 1:3

6* สดุดี 27:4,8

7* สดุดี 118:20, อิสยาห์ 26:2, สดุดี 29:2,9, 97:6,ฮักกัย 2:7, กิจการ7:2, 1 โครินธ์ 2:8

8* วิวรณ์ 19:13-16

9* เหมือนข้อ 7

10* มัทธิว 25:31

Golden Gate Jerusalem จาก wikiwand

อธิบายเพิ่มเติม สดุดี 24

สดุดีบทนี้แบ่งเป็นสามตอนหลัก ๆ ผู้เขียนคือกษัตริย์ดาวิด
เราไม่ทราบว่าท่านเขียนในช่วงใดของชีวิต

ข้อ 1-2 คำประกาศความเป็นเจ้าของโลกและทุกสิ่งในโลก
นี่เป็นคำประกาศที่คนในโลกพยายามปฏิเสธ พยายามพิสูจน์ว่าพระเจ้าไม่มีจริง
คนของพระองค์ที่รู้ว่าพระองค์ทรงเป็นเจ้าของทุกสิ่งนั้น จึงเป็นคนที่แข็งแรง ไม่มีปมในใจ
เขารู้ว่าพระเจ้าทรงอยู่เหนือทุกสิ่ง พระองค์ทรงครอบครอง
ข้อความในสองข้อนี้ เมื่อเป็นส่วนหนึ่งในคำอธิษฐานของเรา เราจะพบว่า ความเชื่อจะมั่นคงขึ้นเพราะเรารู้ว่า กำลังอธิษฐานทูลต่อพระองค์ผู้ทรงเป็นเจ้าของทั้งสิ้นในจักรวาล

ข้อ 3-6 ประกาศความบริสุทธิ์ของพระเจ้า และผู้ที่จะได้
มีโอกาสอยู่ในที่ประทับ.
มีคำถามสำคัญสองข้อ
ใครจะได้เข้าไปใกล้ชิดพระเจ้าได้?
ใครจะได้อยู่ในพระเจ้าได้?
คำตอบสี่ข้อ
1.คนทำสิ่งที่ถูกต้อง
2.คนที่ใจบริสุทธิ์
3.คนที่ไม่ติดตามสิ่งไร้ค่าในสายพระเนตร
4.คนที่พูดจริง สัญญาจริง เชื่อถือได้
ว่าไปแล้ว ไม่มีใครจะไปอยู่ใกล้พระเจ้า อยู่ในพระเจ้าได้. ยกเว้นคนที่ตามพระเยซูอย่างจริงจัง และมีพระองค์เป็น ผู้ที่อยู่ตรงกลางระหว่างพระเจ้ากับเขา !
สี่ข้อนี้เป็นข้อเตือนใจของเราเอง และข้อสามได้บอกเราว่า ทุกวันนี้เราต้องระวังเป็นที่สุดที่จะไม่ตามสิ่งไร้ค่าซึ่งชักชวนผู้คนทุกวินาทีในมือถือที่ใกล้ตัวที่สุด เราเห็นคนของพระเจ้าติดตามจอดำแบบลืมหูลืมตาไม่ขึ้น จนกลายเป็นคนไม่มีคุณค่าไปแล้วไม่น้อย น่าเศร้า น่าเสียใจจริง ๆ

ข้อ 7-10 ให้ทั้งเมืองเตรียมตัวต้อนรับพระเจ้าผู้ทรงพระสิริ
และคำยืนยันตำแหน่งอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ และเป็นการประกาศซ้ำ ซึ่งเท่ากับเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มากจริง ๆ ทั้งสี่ข้อนี้ สมควรที่เราจะจำไว้ขึ้นใจ ทบทวนเสมอ เราจะได้เห็นภาพของพระเจ้าที่เหนือกว่าที่เราเคยเห็น เคยสัมผัส แม้พระองค์จะทรงเป็นพระเจ้าที่ทรงรัก ห่วงใยผู้คน ทรงดูแลเขาราวกับเป็นผู้เลี้ยงแกะ แต่ในอีกมุมหนึ่งนั้น พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าแห่งการรบ. รบเพื่อจะได้เรากลับมาอยู่ในพระองค์อีกครั้ง

บรรณานุกรม
Enduringword.com: https://enduringword.com/bible-commentary/psalm-24/

Interlinear bible : https://biblehub.com/interlinear/psalms/24-6.htm

Lawson, J. Steven, Holman Old Testament Commentary , Psalms 1-75, Broadman and Holman Publisher, 2003.

กิจการ 3 อธิบายเพิ่มเติมและพระคำเชื่อมโยง

การอัศจรรย์กับขอทานในพระวิหาร

กิจการ 3:1-3
โดยปกติแล้ว คนยิวที่เคร่งจะอธิษฐานสามเวลาคือ เก้าโมงเช้า เที่ยง และบ่ายสาม และในทางเข้าพระวิหารด้านนั้น ก็มักจะมีคนขอทานมานั่งอยู่กันไม่น้อย ชายขอทานที่เป็นอัมพาตตั้งแต่เกิดคนหนึ่งก็มาที่นี่ทุกวันเช่นกัน
ส่วนท่านยอห์นและท่านเปโตรเองก็ยังใช้พระวิหารในการอธิษฐาน ในการพบปะผู้เชื่ออยู่ พวกเขายังไม่ถูกไล่ออกไป ดังนั้นคนที่เชื่อ พระเยซูก็ยังใช้ประโยชน์ของสถานที่นี้เหมือนอย่างที่เคยเมื่อครั้งยังไม่ได้เชื่อ
1* กิจการ 2:46, 10:3, 10:30, สดุดี 55:17, มัทธิว 27:45
2* กิจการ 14:8, ยอห์น 9:8, กิจการ 3:10

กิจการ3: 4-7
อัครทูตทั้งสองไม่ได้สนใจคนอื่น แต่กลับมาสนใจชายเป็นอัมพาตคนนี้ ท่านคงได้รับการเตือนใจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นพิเศษเพื่อรักษาชายคนนี้ แล้วท่านก็บอกชายขอทานชัดเจนว่า ไม่มีเงิน ไม่มีทองจะให้ แต่ที่มีนั้นเป็นสิ่งที่ชายขอทานไม่คาดคิด! คำว่า ในพระนามพระเยซูคริสต์
 พระนามของพระเยซูเป็นสัญลักษณ์ อำนาจแทนพระเยซูดังนั้น เมื่อกล่าวว่าในพระนามพระเยซูจึงหมายถึงพระองค์เองโดยตรง อัครทูตกำลังเชิญให้พระเยซูคริสต์เสด็จมารักษาชายผู้นี้ด้วยพระองค์เอง เมื่อท่านกล่าวถึงพระนามเท่ากับเป็นการเชิญพระองค์มา
แล้วชายผู้นี้ก็ยืนได้ ขามีกำลังอย่างทันทีทันใด นี่เป็นการอัศจรรย์แรกของอัครทูตที่ท่านลูกาบันทึกไว้ แต่ความจริงแล้วมีการอัศจรรย์อื่น ๆ เกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้ (ดูในกิจการ 2) การที่ชายเป็นอัมพาตหายป่วย เป็นการดึงความสนใจของผู้คนให้หันมาฟังสิ่งที่ท่านเปโตรกำลังจะกล่าวต่อไป
6* กิจการ 14:9-10, 4:10, 2 โครินธ์ 8:97* กิจการ 9:41, ลูกา 13:13, มาระโก 9:27

กิจการ 3:8-10
ชายที่เดินได้ใหม่ ๆ คนนี้ตื่นเต้นที่สุด เขาดีใจสรรเสริญพระเจ้าไป และใคร ๆ ก็เห็นว่าเป็นคนที่เคยจับเจ่าขอทานริมทางเข้าพระวิหาร พวกเขาก็เคยให้ทานกับชายคนนี้ มาวันนี้เขากลับเดินได้ …. พวกเขาจึงดีใจไปกับเขา แต่ขณะนั้นยังไม่รู้ว่า มีคำอธิบายที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของทุกคน
8* กิจการ 14:10, อิสยาห์ 35:6, ยอห์น 5:8-9
9* กิจการ 4:16, 21, มาระโก 2:11-12
10* ยอห์น 9:8, กิจการ4:21-22, ยอห์น 5:20

คำเทศนาที่เฉลียงโซโลมอน

กิจการ 3:11-13
พอผู้คนได้ยินเรื่องนี้ต่อ ๆ กันไป พวกเขาก็อยากเห็นด้วยตาตนเองว่ามีคนพิการแต่เกิดเดินได้ ใครล่ะไม่อยากเห็น? กลายเป็นว่ามีคนเข้ามามุงดูกันเป็นจำนวนมากและนี่เป็นโอกาสที่อัครทูตเปโตรฉวยไว้ เพื่อจะอธิบายให้กับพวกเขาเข้าใจว่า ผู้ที่ให้หายป่วยคือพระเจ้าที่ชาวยิวทั้งหลายนับถือ
การเดินได้ของชายอัมพาตเกี่ยวข้องกับพระเยซูโดยตรง เกี่ยวอย่างไรหรือ? นั่นคือพระเจ้าทรงให้เขาเดินได้ เพื่อเป็นเกียรติของพระเยซูต่อหน้าหมู่คนยิว เห็นกันต่อหน้าต่อตา ท่านเปโตรโยงเรื่องให้เห็นว่า พวกเขาปฏิเสธพระเยซูอย่างไร
11* ยอห์น 10:23, กิจการ 5:12
12* 2 โครินธ์ 3:5, ยอห์น 3:27-28, ปฐมกาล 41:16
13* ยอห์น 5:30, อิสยาห์ 49:3, ยอห์น 7:39, 12:23, 13:31, มัทธิว 27:2, 20, มาระโก 15:11, ลูกา 23:28, ยอห์น 18:40, กิจการ 13:28,

กิจการ 3:14-16
 ท่านเปโตรพูดถึงองค์ผู้บริสุทธิ์ (คือตำแหน่งขององค์พระเมสสิยาห์จากอิสยาห์ 31:1)องค์ผู้ทรงธรรม (อิสยาห์ 53:11) ทรงเป็นถึงพระผู้ช่วยให้รอด แต่คนยิวกลับเกลียดชังและขอแลกชีวิตของพระเยซูกับฆาตกร! (ลูกา 23:28-19) พวกเขาได้ประหารพระองค์บนไม้กางเขน พระผู้ทรงให้กำเนิดชีวิตในโลก (โคโลสี 1:14-20) แต่พระเยซูทรงคืนชีพขึ้นมาด้วยฤทธิ์ของพระเจ้า
พอชายอัมพาตเชื่อพระนามพระเยซู (ซึ่งเท่ากับเขาเชื่อในตัวองค์พระเยซู ไม่ใช่แค่ชื่อเฉย ๆ) เขาจึงหายเป็นปกติให้เห็น ทุกคนเป็นพยานได้ ตอนนี้ คนที่ฟังย่อมเริ่มเข้าใจแล้วว่า อะไรเป็นอะไร พวกเขาเป็นผู้ร่วมกันประหารผู้ที่เป็นพระผู้ช่วยให้รอดพวกเขาเป็นผู้มีความผิดในสายพระเนตรพระเจ้า แต่ผู้ที่เขาตรึงตายกลับฟื้นคืนชีพขึ้นมาจริง ข่าวนี้ใคร ๆ ก็รู้กันไปทั่ว ท่านเปโตรเองก็เป็นพยาน
ที่เด็ดขาดสุด ๆ ก็คือ เห็นกับตาว่า ชายอัมพาตที่เชื่อพระเยซู เดินได้! พวกเขาไม่มีข้อแก้ตัวเลย
14* สดุดี 16:10, มาระโก 1:24, ลูกา 1:35, กิจการ 7:52, 2 โครินธ์ 5:21, ยอห์น 18:40
15* กิจการ 2:24, 2:32, วิวรณ์ 21:6, 22:17
16* มัทธิว 9:22, กิจการ 4:10, 14:9

กิจการ 3:17-19
แต่หลังจากที่กล่าวคำต่อว่าแรง ๆ ให้คนยิวทั้งหลายรู้ว่าพวกเขาได้ทำอะไรต่อพระผู้ช่วยให้รอด(พระเมสสิยาห์)ที่พระเจ้าทรงส่งมา ท่านเปโตรก็กล่าวคำเห็นใจว่า ที่พวกเขาทำไปอย่างนั้นเพราะไม่รู้ ไม่เข้าใจ ค่อยอ่อนโยนขึ้นนิดหนึ่ง
โดยกล่าวถึงการที่พระเมสสิยาห์จะต้องทนทุกข์ ซึ่งเป็น ข้อความที่พวกเขาเข้าใจยากมาก ในเมื่อมาเป็นพระเมสสิยาห์ ช่วยให้คนพ้นบาป แต่ทำไมพระองค์ต้องทนทุกข์ และถ้าพระองค์เป็นจริง ทำไมพระองค์ไม่ช่วยให้พวกเขาพ้นจากการ
เป็นเมืองขึ้นของโรม ช่วยให้พวกเขาเป็นอิสระ ความคิดที่ฝังมาว่าพระเมสสิยาห์จะต้องมีลักษณะที่เขาต้องการดังกล่าวนี้ทำให้พวกเขาตาบอด มองไม่เห็นว่าพระเยซูคือใครจริง ๆ 
แล้วท่านเปโตรก็ชวนให้พวกเขากลับใจ ให้เปลี่ยนความคิด ไม่คิดแบบเดิมต่อไป หันมาติดตามพระเจ้าเพื่อจะได้พ้นโทษบาป
17* ลูกา 23:34, ยอห์น 16:3, กิจการ13:27, 17:30, 1 โครินธ์ 2:8, 1 ทิโมธี 1:13
18* ลูกา 24:44, กิจการ 26:22, สดุดี 22, อิสยาห์ 50:6, 53:5, ดาเนียล 9:26,  โฮเชยา6:1, เศคาริยาห์ 13:6, 1 เปโตร 1:10
19* กิจการ 2:38, 26:20

กิจการ 3:20-23
 เปโตรได้บอกพวกเขาว่า ถ้าเปลี่ยนใจ กลับใจมาหาพระเจ้า พวกเขาจะได้รับการฟื้นฟูใจ สดชื่น บรรเทาใจ ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป พวกเขาจะไม่ต้องติดกับของกฎจากศาลาธรรม จากพระวิหาร ที่มนุษย์ตั้งขึ้นมาเพื่อควบคุมชีวิตของเขาต่อไป ไม่ต้องติดกับของบาปอีกต่อไป
แต่คำพูดนี้อาจหมายถึงว่า พระเยซูผู้เป็นพระเมสสิยาห์จะได้กลับมาครอบครอง ในวันที่พระเจ้าทรงสร้างฟ้าใหม่ แผ่นดินโลกใหม่
จากนั้น ท่านเปโตรก็ช่วยย้ำให้ผู้ฟังเข้าใจว่า พระเยซูองค์นี้คือคนเดียวกับที่โมเสสเคยกล่าวว่าพระเจ้าจะทรงส่งผู้รับใช้ของพระองค์ที่เหมือนเขามา ..ให้ทุกคนฟังคำของเขา (เฉลยธรรมบัญญัติ 18:15-19) ที่ว่าเหมือนโมเสสคือ ทั้งช่วยกู้ และทั้งพิพากษาพวกเขา
20* – 21* กิจการ 1:11, มัทธิว ​17:11, โรม 8:21, ลูกา 1:70 
22* ฉธบ. 18:15, 18, 19, กิจการ 7:37
23* ยอห์น 12:48

กิจการ 3:24-25
ท่านเปโตรกำลังยืนยันให้กับคนยิวที่ฟังอยู่รู้ว่า ที่พวกเขาอ่านพระคัมภีร์เดิมและเห็นว่า พระเจ้าทรงกล่าวถึงพงศ์พันธ์ุของดาวิดที่จะมาครอบครองนั้น ก็คือ พระเยซูองค์นี้เท่านั้น ไม่ใช่ผู้อื่น
ผู้ฟังเหล่านี้ เป็นคนชาติเดียวกันกับผู้เผยพระคำ เป็นลูกหลานของพวกเขา แต่ก็เป็นลูกหลานพิเศษของพระเจ้าเพราะพวกเขาสืบเชื้อสายมาจากอับราฮัมนั้นเอง ท่านเปโตรย้ำว่าพวกเขาคือคนที่จะเป็นพรให้กับมนุษยชาติ ขณะที่กำลังฟังอยู่นั้น พวกเขาเชื่อไหมนะ คิดออกหรือเปล่า?
24* 2 ซามูเอล 7:12, ลูกา 24:25, 
25* กิจการ 2:39, โรม 9:4,8, กาลาเทีย 3:26, ปฐมกาล 2:3,18:18, 22:18, 26:4, 28:14

กิจการ 3:26
พระเจ้าทรงประสงค์ที่จะอวยพรชาวโลกทั้งสิ้น แต่พระองค์ทรงเลือกที่จะอวยพรอิสราเอลก่อนใคร ๆ เป็นการย้ำว่า พระเจ้าทรงรักพวกเขา และให้เกียรติพวกเขา ผู้รับใช้ที่พระเจ้าทรงเลือกคือพระเยซูนั้น ทรงถือกำเนิดในกลุ่มของชนชาติอิสราเอล ไม่ได้ไปเกิดที่ไหนอื่น
ข่าวประเสริฐของพระเจ้านั้น เริ่มต้นที่คนยิวแล้วจึงไปหาคนต่างชาติ (กิจการ13:46, โรม 1:16) และการที่พระเจ้าจะนำอาณาจักรของพระองค์มาบนโลกนี้ ก็ต้องการ ให้คนยิวรับพระเมสสิยาห์ของพวกเขา (มัทธิว 12:39, โรม 11:26) การกลับใจของพวกเขามาก่อนที่พระเยซูคริสต์จะครอบครองบนผืนแผ่นดินนี้ (เศคาริยาห์ 12:10-14)
26* มัทธิว 15:24, ยอห์น 4:22, กิจการ 13:46, โรม 1:16, 2:9, อิสยาห์ 42:1, มัทธิว 1:21