โรม 7 ต่อสู้กันตลอด

โรม 7:1
พี่น้องทั้งหลาย ท่านทุกคนเข้าใจบทบัญญัติของโมเสสอยู่แล้ว ดังนั้น ท่านรู้ว่า บทบัญญัติมีสิทธิอำนาจเหนือคน ๆ หนึ่ง ตราบเท่าที่เขายังมีชีวิตอยู่เท่านั้น

โรม 7:2-3
เช่น สตรีที่แต่งงานแล้วก็มีสัญญาผูกมัดกับสามีของเธอตราบเท่าที่เขามีชีวิต แต่หากเขาสิ้นชีวิตไป เธอก็จะพ้นจากกฎการสมรส หากเธอไปอยู่กับชายคนอื่นในขณะที่สามียังมีชีวิต บทบัญญัติแจ้งว่า เธอทำผิดประเวณี แต่หากสามีสิ้นชีวิตไป เธอก็เป็นอิสระจากกฎการสมรสนั้น  หากไปสมรสกับชายอื่น เธอก็ไม่ได้ผิดประเวณี

โรม 7:4
เช่นเดียวกัน พี่น้องชายหญิงเอ๋ย ชีวิตเก่าของท่านได้ตาย(ต่ออำนาจบทบัญญัติ)แล้วเมื่อท่านตายกับพระคริสต์
และบัดนี้ท่านเป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์ผู้ทรงคืนพระชนม์จากความตาย สิ่งที่ตามมาก็คือเพื่อเราจะได้เกิดผลเพื่อพระเจ้า

โรม 7:5
ก่อนหน้านี้ เราถูกควบคุมโดยธรรมชาติบาปในตัวเรา (เนื้อหนัง)  ความปรารถนาที่จะทำบาปนั้น ถูกเร้าขึ้นมาเพราะบท
บัญญัติทำงานในกายของเรา
เพื่อว่าสิ่งที่เราทำนั้น จะนำเราไปสู่ความตาย

โรม 7:6
แต่มาบัดนี้ เราเป็นอิสระจากบทบัญญัติเพราะเราได้ตายจากบทบัญญัติที่คอยควบคุมเรา เพื่อว่าเราจะรับใช้พระเจ้า
ด้วยหนทางใหม่พร้อมกับองค์พระวิญญาณ
ไม่ใช่ตามทางเดิมซึ่งเป็นกฎที่เขียนบันทึกเอาไว้

โรม 7:7
ถ้าอย่างนั้น เราจะพูดอย่างไร? ว่าบทบัญญัติคือบาปอย่างนั้นหรือ? ไม่สิจะไม่เป็นเช่นนั้น! ถ้าไม่เป็นเพราะบทบัญญัติ ข้าคงไม่รู้จักบาป ข้าจะไม่รู้จักว่าความโลภคืออะไร หากบทบัญญัติไม่ได้กล่าวว่า “อย่าโลภ!”

โรม 7:8
แต่บาปฉวยโอกาสที่จะใช้คำสั่งนั้น และทำให้ข้าอยากได้สิ่งต่าง ๆ ที่ข้าไม่ควรจะอยากได้ หากไม่มีบทบัญญัติ บาปก็ไม่มีอำนาจเหนือเรา (บาปก็ตายไปแล้ว

โรม 7:9-10
แต่ก่อน ข้าใช้ชีวิตโดยไม่มีบทบัญญัติ แต่พอมีคำบัญชามา บาปก็เกิดขึ้นข้าก็ตาย (ทำให้ข้ารู้ว่าข้าเป็นคนบาปที่ต้องรับโทษ)คำบัญชาที่ควรนำมาซึ่งชีวิตแต่กลับนำความตายมาให้ข้า

โรม 7:11-12
บาปนั้น ใช้โอกาสที่จะหลอกลวงข้าโดยใช้คำสั่งของบทบัญญัติมาทำให้ข้าต้องตาย
ดังนั้น บทบัญญัติ (νόμος)บริสุทธิ์ และคำบัญชา (ἐντολὴ)
ก็บริสุทธิ์ และถูกต้อง และดี

โรม 7:13
นี่หมายความว่า สิ่งที่ดีนำความตายมาให้ข้าอย่างนั้นหรือ?
จะไม่เป็นเช่นนั้น! บาปได้ใช้สิ่งดี(บัญญัติ)นำความตายมาให้ข้า  ที่เกิดขึ้นอย่างนี้ก็เพื่อข้าจะได้รู้ว่าบาปแท้เป็นอย่างไร คำบัญชา ถูกใช้เพื่อแสดงให้เห็นว่า บาปนั้นชั่วร้ายสุดขั้วขนาดไหน

โรม 7:14-15
เพราะเรารู้ว่า บทบัญญัติเป็นเรื่องฝ่ายวิญญาณ แต่ข้าเป็นฝ่ายธรรมชาติบาป(เนื้อหนัง)  เพราะบาปได้ควบคุมข้าดั่งว่าข้าเป็นทาสของมัน ข้าไม่เข้าใจสิ่งที่ข้าทำลงไป เพราะข้าไม่ได้ทำสิ่งที่ข้าต้องการทำ กลับลงมือทำสิ่งที่ข้าชัง

     

โรม 7:16-18
และหากข้าทำสิ่งที่ข้าเองไม่ต้องการทำเท่ากับข้าเห็นด้วยว่า บทบัญญัตินั้นดีดังนั้น ข้าจึงไม่ได้เป็นผู้ที่ทำสิ่งที่น่ารังเกียจนี้ แต่เป็นบาปที่อยู่ในตัวข้าต่างหากที่ลงมือทำเพราะข้ารู้ว่าไม่มีสิ่งดี
อาศัยอยู่ในธรรมชาติบาป(เนื้อหนัง)ของข้าเพราะข้าต้องการทำดี แต่กลับทำไม่ได้ 

โรม 7:19-20
เพราะข้าไม่ทำสิ่งดีที่ข้าต้องการทำ แต่ข้ากลับเฝ้ากระทำสิ่งชั่ว
ที่ข้าไม่ต้องการทำ 
ดังนั้น หากข้าทำสิ่งที่ข้าไม่ต้องการทำ
แสดงว่า ตัวข้าไม่ได้เป็นผู้กระทำแต่ธรรมชาติบาปในตัวข้าต่างหากที่ทำสิ่งนั้น

โรม 7:21-23
ดังนั้นข้าได้เรียนรู้กฎนี้คือ เมื่อข้าต้องการทำดี ความชั่วก็อยู่ในตัวข้า เพราะในส่วนลึกข้ายินดีกับบทบัญญัติของพระเจ้า แต่ข้าเห็นอำนาจอื่นที่ทำงานในตัวข้าซึ่งต่อสู้บทบัญญัติที่ข้ายอมรับ และยังจับกุมข้าเป็นเชลยของกฎแห่งบาปที่อยู่ในตัวของข้า

โรม 7:24-25
ข้าเป็นคนที่น่าสมเพชอะไรเช่นนี้  ใครจะช่วยข้าให้พ้นจากร่างแห่งความตายได้?
ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงช่วยข้าให้รอดผ่านองค์พระเยซูคริสต์เจ้า ในความคิดจิตใจ ข้าเป็นทาสกฎของพระเจ้า แต่..
ธรรมชาติบาปในตัว กลับเป็นทาสกฎแห่งบาป
 

โรม 7:1
ก่อนหน้านี้ท่านเปาโลพูดถึงว่า  เราจะเป็นทาสของใคร? ทาสของบาปและความตายหรือเป็นทาสของความเที่ยงธรรมและชีวิต  แต่มาตอนนี้ ท่านกำลังจะอธิบายว่า บทบัญญัติมีอำนาจเหนือคน ๆ หนึ่งอย่างจำกัด เฉพาะตอนที่เขายังมีชีวิตในเนื้อหนังเท่านั้น นั่นคือ บทบัญญัติมีผลเฉพาะกับคนที่อยู่
ใต้บัญญัติ (คนบาป)เท่านั้นการตายจากบทบัญญัติ เป็นเงื่อนไขเดียวที่ทำให้บัญญัตินั้นเป็นโมฆะกับบุคคลนั้น 

โรม 7:2-3
เช่นเดียวกับที่กฎการสมรสผูกพันชายหญิงที่ต่างยังมีชีวิตด้วยกัน  แต่ถ้าคนหนึ่งตายไป อีกคนที่เหลือก็หลุดจากกฎแห่งการสมรส เขาจะมีสถานภาพเป็นม่ายหรือเหมือนคนโสดอีกครั้งทีนี้ เขาก็อาจจะไปมีครอบครัวใหม่ได้ โดยไม่ได้ติดว่ายังมีสามีหรือภรรยาที่มีชีวิตอยู่ ท่านเปาโลนำเรื่องนี้มาพูดก็เพื่อให้เข้าใจชัดเจนว่ามีบางอย่างที่จะช่วยให้เราพ้นจากผลของบาปในชีวิตเรา …. 

โรม 7:4
เราอ่านช้า ๆ ให้เข้าใจว่า จากนี้ไปเราไม่เป็นทาสไม่ได้อยู่ใต้อำนาจของบทบัญญัติอีกต่อไปแล้วเพราะ เราได้ตายไปกับพระเยซู ฟื้นไปกับพระองค์
เรียบร้อยแล้ว จากชนชาติที่อยู่ใต้บทบัญญัติมาเป็นชนชาติแห่งชีวิตในพระเยซูคริสต์  มาเป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์  เมื่อก่อน ความดีที่ทำก็เป็นแค่ความดี เป็นแค่ผ้าขี้ริ้วที่เราเอามาอวดกันมาบัดนี้ ความดีเป็นความดีของพระเจ้าเพื่อพระเจ้า 

โรม 7:5
เวลาที่ไม่ได้อยู่ในพระเจ้า แต่อยู่ด้วยตัวเอง ด้วยการอยู่ใต้ข้อห้ามต่าง ๆ เรายิ่งอยากทำฝืนกฎต่าง ๆ เหล่านั้น สังเกตไหมว่า ศีล กฎ บทบัญญัติ
ต่างสอนให้เราทำในสิ่งที่ดูดี แต่ฝืนความอยากในตัวตนของเรา ความอยากของร่างกาย ทุกสังคมที่อยู่ใต้ศีลธรรม ข้อห้ามต่าง ๆ ล้วนแต่มีปัญหา
ของผู้คนที่ต้องบังคับตนเองด้วยกำลังของตนเองส่วนใหญ่ก็ไม่บังคับตัวเองเลย แต่ทำทุกอย่างตามใจ แล้วในที่สุด พวกเขาก็ลงไปสู่ความตาย

โรม 7:6
ตรงนี้เองแตกต่างมากจากความเชื่ออื่น ๆ ที่ทุกคนต้องพยายามทำความดี และก็มักเป็นเรื่องที่เพื่อนที่ไม่เชื่อของเรามักเอามาพูดว่า ทุกศาสนาสอนให้เป็นคนดี ความแตกต่างนั้นชัดเจนเพราะเราไม่ได้พยายามทำสิ่งที่ดีด้วยความสามารถของตนเองอีกต่อไป แต่พระวิญญาณทรงช่วยให้เราทำสิ่งดีตามน้ำพระทัยของพระเจ้าได้  การที่เราต้องพยายามด้วยตัวเองเดี่ยว ๆ นั้น ไม่เหมือนกับ ที่เราได้รับความช่วยเหลือจากพระเจ้าเลย!

โรม 7:7
คำถามต่อมาคือ บทบัญญัติเป็นบาปใช่ไหม? ท่านได้ใช้ตัวอย่างจากตัวเองมาอธิบายเรื่องนี้ท่านต้องการให้รู้ว่า แม้ผู้เชื่อในพระเจ้าจะไม่ได้เป็นคนที่อยู่ใต้บทบัญญัติเหมือนอย่างอิสราเอลสมัยโบราณ แต่บทบัญญัติก็เป็นสิ่งดีที่แจกแจงให้รู้ชัดเจนว่า บาปนั้นคือการกระทำ ความคิดแบบไหน เรามาหาพระเยซู รับการยกโทษบาปที่บทบัญญัติแจ้งให้ทราบว่า คืออะไรบ้าง ถ้าไม่มีบทบัญญัติเป็นมาตรฐาน เราอาจจะอ้างได้ว่า ฉันไม่บาป 

โรม 7:8
คนเรานี่เป็นเหมือนกันตั้งแต่โบราณจนทุกวันนี้คือเราอยากได้สิ่งที่เราไม่มี เหมือนอาดัมที่คิดว่าอยากได้ปัญญาแบบพระเจ้า  พอเราถูกห้ามเราก็ทำสิ่งนั้น บางทีจนกลายเป็นนิสัยไม่รู้สึกผิดถูกต่อไป บทบัญญัติได้ช่วยทำให้เห็นว่า เราล้มเหลวเรามีธรรมชาติบาปในตัวที่จะต่อต้านพระเจ้าเสมอ บทบัญญัติมีประโยชน์คือ ทำให้เรารู้ตัวว่าเป็นคนบาปแน่นอน เพราะไม่มีใครสักคนในพวกเราที่จะผ่านมาตรฐานของบทบัญญัติได้ 

โรม 7:9-10
ก่อนหน้านี้ ท่านเปาโลใช้ชีวิตโดยไม่ตระหนักรู้ถึงความหมายแท้จริงของบทบัญญัติและ คำบัญชา(แจ้งบาป) ดังนั้นท่านจึงรู้สึกเป็นคนเที่ยงธรรมโดยตนเอง เคร่งศาสนาเป็นคนไม่มีที่ติเลย(ฟีลิปปี 3:6) แต่เมื่อท่านเริ่มตระหนักถึงบทบัญญัติคำบัญชาของพระเจ้าจริง ๆ  ทำให้ท่านรู้ตัวว่า ท่านเป็นคนตายแล้ว เพราะบาปมากล้น จิตวิญญาณไม่มีชีวิต(ท่านเปาโลใช้สองคำคู่กันคือ บทบัญญัติ νόμος โนมอส และคำบัญชา ἐντολή เอนโทเล)

โรม 7:11-12
บาปหลอกลวงเราอย่างไร? หลอกเหมือนกับที่มารหลอกเอวาเลย หลอกให้เราทำตรงข้ามกับน้ำพระทัยของพระเจ้า  ปัญหาจึงไม่ใช่อยู่ที่บทบัญญัติหรือคำบัญชาของพระเจ้า แต่อยู่ที่ตัวเราเองว่าจะตัดสินใจฟังเสียงร่ำร้องของใจตัวเองและของมาร ของความสนุกสนานที่ดูสนุกจริง ๆ ไหมสรุปว่า บทบัญญัติและคำบัญชาบริสุทธิ์ถูกต้องดีบอกถึงสิ่งที่มนุษย์ควรทำ สิ่งที่ห้าม และไม่ให้ทำบาป เป้าหมายคือนำมาซึ่งชีวิตและพระพร

โรม 7:13
ในข้อที่สิบสามนี้ ท่านกำลังบอกเราว่า บัญญัติคำบัญชาของพระเจ้า ได้แจ้งให้เราทราบว่า บาปคือความคิด พฤติกรรมประเภทไหน ในบัญญัติสิบประการบอกภาพรวม ส่วนรายละเอียดบาปซึ่งท่านอธิบายไว้ในกาลาเทีย 5:19-21  ว่า บาปนำความตายมาให้นั้นก็คือ  เราได้ตระหนักแล้วว่าเราเองนั่นแหละเป็นคนบาป และสิ่งนั้นทำให้รู้ว่าเราพินาศแน่  เราต้องการพระผู้ช่วยให้รอดจริง ๆ

โรม 7:14-15
ที่ว่าบทบัญญัติเป็นเรื่องฝ่ายวิญญาณนั้นคือมาจากพระวิญญาณ เป็นสิ่งที่พระเจ้าประทานแก่มนุษย์  แต่คนเราถูกบาปควบคุมมาตั้งแต่สมัยอาดัม เราจึงเป็นทาสบาปมาแต่นั้น ท่านเปาโลเองแม้จะเชื่อฟังพระเจ้า รับใช้พระองค์ แต่ก็ยังไปไม่ถึงมาตรฐานของพระเจ้าในบทบัญญัติ  ท่านไม่เข้าใจตัวเองเพราะมักจะทำสิ่งที่ไม่ต้องการทำเสมอ ท่านจึงเข้าใจแล้วว่า แม้จะเชื่อพระเจ้าแต่ธรรมชาติบาปหรือเนื้อหนังก็ยังทำการในชีวิตอยู่

โรม 7:16-18
ท่านเปาโลเห็นว่า ตัวปัญหาคือ เนื้อหนังซึ่งเป็นธรรมชาติบาปในตัว! ท่านมองว่าท่านยังเป็นคนทุจริตผิดศีลธรรมอยู่ (โรม 3:10-18) ทั้งที่รู้ว่าอะไรควรไม่ควร แต่ก็ยังทำสิ่งที่ไม่ควรอยู่ท่านกำลังบอกเราถึงความจริงที่ว่า บาปยังคงมีผลกระทบ มีอิทธิพลต่อทุกด้านของตัวตนของเรา เราอาจเป็นคนดีในระดับที่มีดีมากกว่าเลว หรืออาจเป็นคนที่เลวมากกว่าดี ทั้งนี้เป็นผลของบาป

โรม 7:19-20
และแล้ว ท่านเปาโลก็สรุปว่า ที่ท่านยังคงทำบาปทั้ง ๆที่ไม่อยากทำ  เป็นเพราะบาปในตัวของท่านนี่เป็นการเน้น ย้ำ สิ่งที่กล่าวมาแล้วในข้อสิบห้า คือทำสิ่งที่ตัวเองเกลียดชังและข้อสิบเจ็ดที่ผ่านมาคือบาปนั่นแหละเป็นผู้กระทำ  ที่สำคัญคือ เมื่อเราเป็นคนใหม่ในพระเจ้า เราจะเห็นบาปที่เราทำอย่างชัดเจน เพราะเป็นการกระทำที่ตรงข้ามกับความเป็นคนใหม่ ถ้าเรายังไม่เกิดใหม่ เราจะไม่รู้สึกรู้สาอย่างที่ท่านเปาโลกำลังรู้สึกเลย 

โรม 7:21-23
ส่วนลึกตรงนี้คือความคิด จิตใจที่ยินดีในพระเจ้าในการที่จะอยู่ใกล้ชิดกับพระเจ้า (เอเฟซัส 3:16) แต่แล้ว ยังมีอำนาจหนึ่งที่ทำงานในตัว เป็นอำนาจที่จับตัวของท่านเปาโลให้เป็นเชลย  อะไรกันนี่? ท่านเปาโลพยายามจะบอกอะไร?  ท่านชี้ให้เราเห็นถึงกฎแห่งบาป นี้คือการที่มนุษย์มีแนวโน้มที่จะดื้อต่อสิ่งที่รู้ว่าถูกต้อง รู้ดี รู้ชั่วทั้งหมด เราต่างถูกบาปจับกุมตัวไปเป็นเชลย… นี่เป็นสภาพของมนุษย์ทุกคน 

โรม 7:24-25
ถึงแม้ว่าเราจะเชื่อวางใจพระเจ้า แต่เราก็ยังมีธรรมชาติบาปที่กระตุ้นให้เราทำสิ่งที่นำไปสู่ความตายเสมอ ท่านเปาโลเตือนให้เราไม่ปล่อยตัวไปตามนิสัยบาป (กาลาเทีย 5:13) เราจึงต้องคอยอธิษฐานเผื่อกันและกันไม่ให้ตกหลุมพรางของบาปถ้าพระเยซูคริสต์ไม่ได้มาเพื่อช่วยเราแล้ว เราก็จะตกในหลุมนี้ไปตลอด ศาสนาใด ๆ จึงช่วยเราไม่ได้เราต้องการฤทธิ์เดชแห่งการคืนพระชนม์ให้เราพ้นจากกฎแห่งบาปนี้ 

พระคำเชื่อมโยง

โรม 7
2* 1โครินธ์  7:39
3* มัทธิว 5:32
4* กาลาเทีย 2:19; 5:18, 22
5* โรม 6:13; ยากอบ 1:15
6* โรม 2:29

7* โรม 3:20; อพยพ 20:17; เฉลยธรรมบัญญัติ 5:21; กิจการ 20:33
8* โรม 4:15
10* เลวีนิติ 18:5
12* สดุดี 19:8
14* 2 พงศ์กษัตริย์ 17:17

15* กาลาเทีย 5:17
18* ปฐมกาล 6:5; 8:21
22* สดุดี 1:2; 2 โครินธ์ 4:16
23* กาลาเทีย 5:17; โรม 6:13,19
24* 1 โครินธ์  15:51-52
25* 1 โครินธ์  15:57


อาโมส 8 ผลไม้ในตะกร้า

จินตภาพที่สี่ : ตะกร้าผลไม้สุก
1 พระยาห์เวห์องค์พระเจ้าทรงสำแดงให้ข้าพเจ้าเห็นตะกร้าผลไม้ฤดูร้อน  
  2 ทรงถามข้าพเจ้าว่า “อาโมส เจ้าเห็นอะไร?”
“เห็นตะกร้าผลไม้ฤดูร้อนพระเจ้าข้า” 
 พระยาห์เวห์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า
“วันเวลาสิ้นสุดของประชากรอิสราเอลของเรามาถึงแล้ว
เราจะไม่ละเว้นพวกเขาไว้อีกต่อไป
3  ในวันนั้น บทเพลงพระวิหารจะกลายเป็นเสียงร้องไห้คร่ำครวญ” พระยาห์เวห์องค์พระเจ้าทรงประกาศ
“จะมีซากศพเกลื่อนไปทั่วทุกแห่ง จะมีแต่ความเงียบ”
4  จงฟังเถิด เจ้าคนที่เหยียบย่ำคนขัดสน
และกำจัดคนที่ยากจนในแผ่นดิน 
5 พวกเจ้าถามว่า “เมื่อไรจะเวลาข้างขึ้นจะผ่านพ้นไป?
เราจะได้ขายข้าว  เมื่อไรจะจบวันสะบาโต เราจะได้ขายข้าวสาลี? เราจะโกงตาชั่งและเพิ่มราคาสินค้า และโกงด้วยตาชั่งไม่เที่ยง” 
6 “เราซื้อคนยากคนด้วยเงิน และคนยากไร้ด้วยรองเท้าคู่เดียว เราขายข้าวสาลีปนเปลือก!”
7 องค์พระยาห์เวห์ทรงปฏิญาณโดยอ้างองค์ผู้ทรงเป็นความภูมิใจของยาโคบว่า  เราจะไม่ลืมการกระทำของพวกเขาเลย
8 ด้วยเหตุนี้ แผ่นดินจะไม่สั่นสะเทือนและผู้คนที่อาศัยในนั้นจะไม่คร่ำครวญหรือ?  ทั้งแผ่นดินจะเอ่อล้นขึ้นมาเหมือนแม่น้ำไนล์  จะเอ่อล้นขึ้นมาแล้วก็ลดยุบลงไปเหมือนแม่น้ำไนล์ในอียิปต์ 

จินตภาพที่สี่ : ตะกร้าผลไม้สุก
8:1-2 อาโมสเห็นจินตภาพอีกภาพ คือตะกร้าใส่ผลไม้สุกที่น่าจะมีความหมายถึงความยินดี แต่… ความหมายกลับพลิก พระเจ้าตรัสกับอาโมสว่า อิสราเอลสุกแล้ว กำลังจะไปสู่การเน่าเสีย … พระเจ้าทรงบอกว่า อิสราเอลสิ้นสุดแล้ว  พระองค์จะทรงลงโทษเหล่าผู้นำทั้งหลาย  คนที่กดขี่คนยากจน  คนที่พาให้คนหลงผิด  ประชาชนหลงคิดว่าการไหว้รูปเคารพเป็นการนมัสการพระเจ้าแท้จริง 
8:3 ภาพต่อไปที่เห็นคือคนร้องไห้ในวิหารแทนการร้องเพลง  และศพมากมายในถนน 
ยังจะมีคนที่ต้องเก็บศพเหล่านี้ ..​พวกเขาคิดอะไรอยู่? เราจะจบลงแบบศพเหล่านี้หรือเปล่า ผลไม้สุกจนเน่าจะถูกโยนทิ้งอย่างศพเหล่านี้  พระเจ้าทรงสั่งให้เงียบ พวกเขาต้องคิดให้ดีว่า เขาควรจะทำอย่างไรกับชีวิต
8:4-5  ในขณะที่คนยากไร้ถูกเหยียบย่ำ และจบชีวิตลงง่าย ๆ เพราะเมื่อศัตรูมาย่อมประหารชาวบ้านได้ง่ายกว่าเหล่าผู้นำที่ยังมีป้อมปราการ
แต่แทนที่พวกเขาจะกลับใจ กลับคิดว่า ในความยากเข็ญ พวกเขายังจะขายสินค้าจำเป็นได้ราคาดีขึ้น และแถมยังโกงตาชั่งได้อีกด้วย พวกเขายังใช้ตาชั่งซื้อ กับตาชั่งขายคนละตัว อยากให้เทศกาลข้างขึ้น ให้วันสะบาโตพ้น ๆ ไป  ทั้งที่พระเจ้าทรงสั่งให้คนของพระองค์มีน้ำใจยื่นมือช่วยคนยากจน (เฉลยธรรมบัญญัติ  15:7-11)
8:6 เมื่อมีเงินมากขึ้นจากการฉ้อโกง พวกเขาจะได้ร่ำรวยจนกระทั่งสามารถซื้อคนมาเป็นทาส โดยใช้แค่รองเท้าซื้อ  และคนจะยากจนมากขึ้นจะกระทั่งยอมซื้อเศษข้าวสาลีมากิน
สภาพของบ้านเมืองคือ ยิ่งโกงยิ่งรวย ยิ่งข่มเหงคนมากขึ้น
8:7-8 พระเจ้าทรงปฎิญาณโดยพระองค์เอง ต่อต้านความหยิ่งยะโสของยาโคบ  ย้อนกลับไปดู 6:8
พระองค์จะไม่ทรงลืมการกระทำทุกอย่างของอิสราเอล
ดังนั้นสิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ แผ่นดินไหว ผู้คนร่ำไห้  ดูจากภาพแล้ว เหมือนกับแผ่นดินไหวใหญ่มาก เป็นคำพูดเดียวกับใน
 อาโมส 9:5  เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่น่าจะมีใครรอดเลย!

9 นี่เป็นคำประกาศของพระยาห์เวห์องค์พระเจ้า “และในวันนั้น เราจะทำให้ดวงอาทิตย์ตกเวลาเที่ยงวัน จะทำให้แผ่นดินมืดมิดในเวลากลางวัน
10 เราจะเปลี่ยนงานเทศกาลของเจ้าเป็นการไว้ทุกข์  และเพลงที่เจ้าร้องกลายเป็นการคร่ำครวญ เราจะทำให้ทุกคนต้องสวมเสื้อกระสอบ และโกน ผมไม่เว้นใคร  เราจะทำให้ความโศกเศร้านั้น เป็นเหมือนการร้องคร่ำครวญถึงลูกชายหัวปี ให้วันนั้นเป็นวันอันขมขื่นยิ่งนัก


11  พระยาห์เวห์ องค์พระเจ้าทรงประกาศว่า “วันเหล่านั้นกำลังจะมาถึง
คือวันที่เราส่งความอดอยากมาทั่วแผ่นดิน  ไม่ใช่ความอดอยากอาหารหรือกระหายน้ำดื่ม  แต่เป็นความหิวโหยที่จะได้ฟังพระดำรัสขององค์พระยาห์เวห์
12 ประชากรจะเร่ร่อน ซมซานจากทะเลหนึ่ง ไปยังทะเลอีกแห่ง  จะพเนจรจากทางเหนือไปทางตะวันออก เพื่อแสวงหาพระดำรัสของพระเจ้า แต่พวกเขาจะไม่พบ
13 ในวันนั้น หญิงสาวที่สวยงาม และชายหนุ่มก็เช่นกัน จะเป็นลมล้มไปเพราะความกระหาย
14 เหล่าคนที่สาบานโดยอ้างรูปเคารพแห่งสะมาเรียและกล่าวว่า “โอ เมืองดาน ตราบเท่าที่เทพเจ้าของเจ้ายังมีชีวิตแน่ฉันใด” หรือ “เทพเจ้าของเบเออร์เชบามีชีวิตอยู่แน่ฉันใด” คนเหล่านี้จะล้มลง และไม่มีวันที่จะลุกขึ้นมาอีกเลย

8:9-10 โลกจะมืดลงทั้ง ๆ ที่ยังมีความสว่างของวันอยู่ สวมเสื้อกระสอบคือเสื้อไว้ทุกข์ ส่วนการโกนผมก็เป็นสัญลักษณ์ของการมีความทุกข์ใจ ซึ่งโดยปกติแล้วพระเจ้าทรงห้ามเรื่องนี้เอาไว้  แต่ทำเมื่อไรก็เพราะลูกหลานต้องตกไปเป็นเชลย  (เลวีนิติ 21:5; มีคาห์ 1:16)  พวกเขาจะเจอความทุกข์แบบที่ไม่อาจแก้ไขกลับคืนมาได้ ที่กล่าวถึงลูกชายหัวปี บ่งบอกถึงว่า พวกเขาจะไม่มีใครดูแลยามชรา วันสุดท้ายของพวกเขานั้นขมจริง

พระเจ้าทรงเงียบไป
8:11 นอกจากความอดอยากอาหาร น้ำ ยังมีความอดอยากที่พวกเขาคาดไม่ถึง คือ พวกเขาต้องการฟังพระคำของพระเจ้า พระดำรัสที่เคยพวกเขาเคยปฏิเสธ อย่าลืมว่า ในสะมาเรียนั้น ไม่มีกษัตริย์ดี ๆ สักองค์เดียว ครองราชย์มา 19 รัชกาล มีแต่กษัตริย์ร้ายทั้งสิ้น และกษัตริย์เหล่านี้ก็กั้นไม่ให้มีผู้รับใช้แท้ ๆ ของพระเจ้าอยู่เลย แม้แต่เอลียาห์ก็ยังถูกตามล่า
พวกเขาอยากได้คำหนุนใจ คำแห่งพระพร คำเตือนสติ ขอฟังพระดำรัสของพระเจ้า แต่พระเจ้ากลับทรงเงียบไป!

8:12-13 ไม่ว่าผู้คนจะพยายามหาพระเจ้าที่ใด พวกเขาก็จะไม่พบ ไม่มีผู้เผยพระดำรัสแท้ของพระเจ้าที่จะกล่าวให้เขาได้ยิน หญิงสาว ชายหนุ่มต่างโหยหาพระคำ แต่ก็ไม่พบ พวกเขาไม่ได้ยิน ไม่เคยได้ยินคำฝ่ายวิญญาณที่จะทำให้มีชีวิตอยู่ต่อไปได้ พวกเขาจะล้มลงไป อาจจะถึงตาย ไม่อาจมีลูกหลานสืบประเทศต่อไป
 นี่เป็นสิ่งที่เตือนเราว่า หากเราสนใจอย่างอื่นจนลืมพระเจ้าไป วันหนึ่งเหตุการณ์อย่างนี้อาจจะเกิดขึ้นกับเราก็ได้

8:14  จากเมืองดาน ไปยังเบเออร์เชบา พวกเขายังคงสาบานในนามของเทพเจ้าต่าง ๆ ที่เขานับถือ
คนที่ยังหลงใหลกับรูปปั้นเหล่านี้ จะไม่มีวันที่จะลุกขึ้นมาได้อีก นี่เป็นพระดำรัสของพระเจ้าที่ชัดเจน ตรงไปตรงมา…
แต่ยังพอจะไม่ใครหลงเหลือ รอดจากหายนะครั้งนี้ไปได้บ้าง?

พระคำเชื่อมโยง

อาโมส 8
2* เอเสเคียล 7:2; อาโมส 7:8
3* อาโมส 5:23; 6:9-10
5* เนหะมีย์ 13:5; มีคาห์ 6:10-11; เลวีนิติ 19:35-36


6* อาโมส 2:6
7* อาโมส 6:8; โฮเชยา 7:2; 8:13
8* โฮเชยา 4:3; อาโมส 9:5
9* โยบ 5:14
10* เอเสเคียล 7:18; 27:31; เศคาริยาห์  12:10

11* เอเสเคียล 7:26
12* โฮเชยา 5:6
14* โฮเชยา 4:15;
เฉลยธรรมบัญญัติ   9:21; อาโมส 5:5

อาโมส 7 พระเจ้าทรงเตือนด้วยจินตภาพ

จินตภาพที่หนึ่ง : ฝูงตั๊กแตน
1 พระยาห์เวห์องค์พระเจ้าทรงสำแดงให้ข้าพเจ้าเห็นดังนี้
พระองค์ทรงเตรียมฝูงตั๊กแตนจำนวนมากมายขึ้นมา ตอนที่ต้นอ่อนของรุ่นที่สองกำลังงอก
หลังจากที่ได้เกี่ยวเก็บรุ่นแรกของกษัตริย์ไปแล้ว
2 เมื่อตั๊กแตนทั้งฝูงเขมือบกินผักพืชพันธุ์เหล่านั้นจนไม่เหลือ ข้าพเจ้าทูลว่า “โอ พระยาห์เวห์ องค์พระเจ้า  ขอทรงอภัยด้วย แล้วยาโคบจะอยู่รอดได้อย่างไร ในเมื่อเขาเล็กน้อยเช่นนี้?”
3 พระยาห์เวห์จึงทรงยั้งพระทัยในเรื่องนี้ “เหตุการณ์ดังกล่าวจะไม่เกิดขึ้น” พระองค์ตรัส  

จินตภาพที่หนึ่ง : ฝูงตั๊กแตน
7:1-3และแล้ว พระเจ้าก็ทรงทำให้อาโมสได้มองเห็นภาพเพื่อบอกถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น  มกราคม กุมภาพันธ์เป็นช่วงที่จะหว่านปลูก และเก็บเกี่ยวผลประมาณ ฝูงตั๊กแตนที่มานั้น มาหลังจากที่เก็บเกี่ยวส่วนภาษีซึ่งเป็นของกษัตริย์ (1 พงศ์กษัตริย์ 18:5)ไปแล้ว ดังนั้นการเก็บเกี่ยวทีหลังเป็นของประชาชน อาโมสเห็นดังนั้นจึงร้องทูลพระเจ้า ทักท้วงพระองค์ ทูลว่าพวกเขาเป็นคนเล็กน้อย ไม่สามารถช่วยตัวเองได้ … แล้วเขาก็ได้รับคำตอบ พระเจ้าทรงเปลี่ยนพระทัยไม่ทำลายไร่นา  เป็นคำอธิษฐานที่ร้อนรนจากคนของพระเจ้าที่จริงใจ และจะไม่ยอมแพ้ (ยากอบ 5:16-18) แต่ยังมีบางสิ่งที่เมื่อพระองค์ตัดสินพระทัยแล้วก็จะไม่มีวันเปลี่ยนได้เช่นกัน (เยเรมีย์ 7:16)
คำตอบที่อาโมสได้นั้น ทำให้เขาโล่งใจขึ้น  ..เหตุการณ์ดังกล่าวจะไม่เกิด!!
แต่เหตุการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้นเมื่อคนอิสราเอลทำผิดต่อพระเจ้าไม่ใช่หรือ ?? (เฉลยธรรมบัญญัติ 28:38, 42; โยเอล 1:1-7) 

จินตภาพที่สอง : ไฟ 
4 พระยาห์เวห์องค์พระเจ้าทรงสำแดงให้เห็นดังนี้
พระยาห์เวห์ องค์พระเจ้าจะทรงลงโทษด้วยไฟ
ไฟนั้นจะเผาห้วงน้ำลึก และเผาผลาญแผ่นดิน
 5 แล้วข้าพเจ้ากล่าวว่า “โอ พระยาห์เวห์ องค์พระเจ้า โปรดหยุดเถิดพระเจ้าข้า!
ยาโคบจะอยู่รอดได้อย่างไรในเมื่อเขาเล็กน้อยเช่นนี้?”
6 พระยาห์เวห์จึงทรงยั้งพระทัย ในเรื่องนี้ “จะไม่ให้สิ่งนี้เกิดขึ้นเหมือนกัน”  

จินตภาพที่สอง : ไฟ
7:4-6  จินตภาพต่อมาที่เห็นคือ พระเจ้าจะทรงลงโทษอิสราเอลด้วยไฟ  ซึ่งลงมาที่แม่น้ำ และแผ่นดิน นี่เป็นภาพที่น่ากลัวกว่าเดิมอีก อาโมสก็อธิษฐานอีก แล้วพระเจ้าก็ทรงเปลี่ยนพระทัย  ถ้าอาโมสไม่อธิษฐาน พระเจ้ายังทรงทำตามพระดำริของพระองค์ จะไม่มีใครเหลือ

จินตภาพที่สาม : สายดิ่ง  
7 พระองค์ทรงสำแดงให้ข้าพเจ้าเห็นดังนี้คือ  พระยาห์เวห์ทรงยืนอยู่ข้างกำแพง พร้อมกับสายดิ่งในพระหัตถ์ 
8 พระยาห์เวห์ตรัสถามข้าพเจ้าว่า “อาโมส เจ้าเห็นอะไร?”
“สายดิ่ง พระเจ้าข้า” ข้าพเจ้าตอบ 
 แล้วพระยาห์เวห์ตรัสว่า “เราจะวางสายดิ่งท่ามกลางประชากรอิสราเอลของเรา เราจะไม่ละเว้นพวกเขาอีกต่อไป”
9 “สถานบูชาบนที่สูงจะถูกทำลายไป และสถานนมัสการทั้งหลายของอิสราเอลจะถูกพังลง เราจะลุกขึ้นต่อสู้วงศ์วานเยโรโบอัมด้วยดาบ”

จินตภาพที่สาม : สายดิ่ง
7:7-9 จินตภาพที่สามแตกต่างออกไป พระเจ้าทรงถือสายดิ่งที่จะทรงวางท่ามกลางประชาชน  ความหมายของจินตภาพนี้ก็คือ เมื่อพระองค์ทรงวัดชีวิตของประชากรของพระองค์ พวกเขาคดงอไปจากพระองค์  ไม่ตรงเหมือนสายดิ่ง พระเจ้าจะทรงทำลายสิ่งที่พวกเขารัก หวงแหน พระองค์จะนำชนชาติหนึ่งยกกองทัพมา สังหารอิสราเอล และทำลายที่สูงเหล่านี้เสีย 
นี่เป็นครั้งเดียวที่พระเจ้าทรงใช้คำอิสอัคแทนคนอิสราเอล โดยปกติจะทรงใช้คำยาโคบ … 

การต่อต้านจากอามาซิยาห์ 
10 อามาซิยาห์ ปุโรหิตแห่งเบธเอลได้ส่งสารไปยังเยโรโบอัมกษัตริย์แห่งอิสราเอล ว่า “อาโมสได้สมคบคิดวางแผนต่อต้านพระองค์ท่ามกลางวงศ์วานอิสราเอล  แผ่นดินไม่อาจทนต่อคำกล่าวของเขาได้ 
11 เพราะอาโมสกล่าวว่า ‘กษัตริย์เยโรโบอัมจะต้องสิ้นพระชนม์ด้วยดาบ และอิสราเอลจะต้องไปเป็นเชลยห่างจากบ้านเกิดของตน’”  
12 แล้วอามาซิยาห์กล่าวกับอาโมสว่า “ออกไปให้พ้น ผู้ทำนาย! จงหนีไปแผ่นดินยูดาห์เสีย ไปทำมาหากินและเผยพระดำรัสที่นั่น  
13 อย่ามาเผยพระดำรัสในเบธเอลอีก เพราะที่นี่เป็นสถานนมัสการขององค์กษัตริย์ และเป็นวิหารแห่งอาณาจักร”
14 ดังนั้นอาโมสจึงตอบอามาซิยาห์ว่า “ข้าพเจ้าไม่ใช่ผู้เผยพระดำรัสหรือลูกชายของผู้เผยพระดำรัส ข้าพเจ้าเป็นคนเลี้ยงแกะ และดูแลสวนมะเดื่อ 
15 แต่พระยาห์เวห์ทรงนำข้าพเจ้าออกมาจากงานเลี้ยงดูฝูงสัตว์ และตรัสกับข้าพเจ้าว่า “จงไป เผยพระดำรัสแก่อิสราเอล ประชากรของเรา””  
16 บัดนี้ จงฟังพระดำรัสของพระยาห์เวห์ “เจ้ากล่าวว่า อย่าเผยพระดำรัสต่อต้าน ติเตียนอิสราเอลเลย อย่าเทศนาต่อว่าวงศ์วานอิสอัคเลย”
17 ดังนั้น นี่เป็นพระดำรัสของพระยาห์เวห์ ว่า “ภรรยาของเจ้าจะกลายเป็นโสเภณีในเมือง ลูกชายและลูกสาวของเจ้าจะล้มลงด้วยดาบ แผ่นดินของเจ้าจะถูกวัดด้วยสายวัดและแบ่งออกมา  เจ้าเองจะสิ้นใจในดินแดนคนต่างชาติที่ไม่เชื่อพระเจ้า  อิสราเอลจะต้องตกไปเป็นเชลย ห่างไกลจากบ้านเกิดอย่างแน่นอน”

การต่อต้านจากอามาซิยาห์ 
7:10  หากย้อนกลับไปอ่าน  1 พงศ์กษัตริย์ 12:25-33  เราจะเห็นภาพของการที่พวกเขาสร้างสถานนมัสการในที่สูง.. กษัตริย์ไม่ต้องการให้ประชาชนไปนมัสการพระเจ้าในวิหารเยรูซาเล็มเพราะเกรงว่า ประชาชนจะไปสวามิภักดิ์ต่อกษัตริย์ทางใต้  ก็จึงสั่งสร้างวิหารเพื่อให้ประชาชนวนเวียนอยู่ที่เบธเอล กับเมืองดาน และตั้งปุโรหิตจากประชาชนขึ้นมาเอง กษัตริย์ได้ทำผิดต่อพระเจ้าโดยตรงในทุกเรื่อง และอามาซิยาห์ ปุโรหิตแห่งเบธเอลผู้นี้ ก็เป็นหนึ่งในคนที่ต่อต้านพระเจ้า.. เขาส่งสารไปโกหกกับกษัตริย์ว่า  1 อาโมส สมคบคิดต่อต้านองค์กษัตริย์  2 แผ่นดินทนฟังเขาไม่ได้

7:11-13 เพราะคำของอาโมสจากพระเจ้านั้นแรงจริง  ทำให้อามาซิยาห์ทนไม่ได้  ไล่เขาให้กลับไปบ้านเกิด  ให้เหตุผลว่า ที่เบธเอลเป็นสถานนมัสการของกษัตริย์ เป็นวิหารประจำอิสราเอลทางเหนือ จะเผยพระดำรัสก็ไปทำที่ภาคใต้ อย่ามาทำที่นี่   จะเห็นได้ว่า อาโมสต้องกล่าวพระดำรัสของพระเจ้าให้กับคนที่ใจแข็งกระด้างและมุ่งมั่นที่จะต่อต้านพระองค์ 

7:14-15 ที่อามาซิยาห์กล่าวหาว่าอาโมสสมคบคิดนั้น อาโมสก็ตอบไปให้รู้ชัดว่า เขาแค่เป็นคนเลี้ยงแกะ ดูแลต้นมะเดื่อ แต่พระเจ้าทรงเรียกมาให้เดินทางมาทางเหนือเพื่อเผยพระดำริของพระองค์ เพื่อตักเตือนให้เขากลับใจ เพื่อจะไม่มีหายนะมาถึงพวกเขา 

7:16-17  แล้วพระดำรัสที่น่าสะพรึงก็มาถึงอามาซิยาห์โดยตรง!   นอกจากตัวเขาจะตายในต่างแดน ตกเป็นเชลยพร้อมกับคนอิสราเอล เมียจะกลายเป็นหญิงขายตัว ลูก ๆ จะถูกฆ่า ที่ดินจะถูกแบ่งออกไป อามาซิยาห์จะไม่มีอะไรเหลือ เพราะเขาต่อต้านพระเจ้า และคนของพระองค์ 

พระคำเชื่อมโยง

อาโมส 7
2* อิสยาห์ 51:19
3* ยอห์น 3:10
5* อาโมส 7:2-3
8* 2 พงศ์กษัตริย์ 21:13; มีคาห์ 7:18

9* ปฐมกาล 46:1; 2 พงศ์กษัตริย์ 15:8-10
10* 1 พงศ์กษัตริย์ 12:31-33; อาโมส 4:4; 2 พงศ์กษัตริย์ 14:23
11* อาโมส 5:27; 6:7
13* อาโมส 2:12; 1 พงศ์กษัตริย์ 12:29, 32

14* 1 พงศ์กษัตริย์ 20:35; เศคาริยาห์  13:5
15* อาโมส 3:8
16* เอเสเคียล 21:2
17* เยเรมีย์ 28:12; 29:21, 32;
เศคาริยาห์ 14:2; โฮเชยา 9:3