สุภาษิต 29 วางใจพระเจ้า ปลอดภัยแน่

1 คนที่ทำคอแข็งทั้ง ๆ ที่ถูกเตือนหลายครั้ง
จะคอหักทันควันเกินเยียวยา
2 เมื่อคนเที่ยงธรรมขึ้นมาปกครอง
ประชาชนก็ยินดี
แต่เมื่อคนชั่วครองเมืองประชาชนก็คร่ำครวญ
3 คนที่รักปัญญา ก็นำความยินดีมาให้พ่อของเขา
แต่คนที่เป็นเพื่อนกับโสเภณีก็จะหมดตัวไปเปล่า ๆ
4 กษัตริย์นำความมั่นคงมาให้แผ่นดินด้วยความยุติธรรม
แต่ใครที่รับสินบนนั้น เป็นผู้บ่อนทำลาย
5 คนที่ประจบสอพลอเพื่อนบ้าน
เท่ากับโยนตาข่ายดักเท้าตนเอง
6 คนชั่วติดกับดักเพราะบาปของตนเอง
แต่คนเที่ยงธรรมจะร้องเพลงและยินดีนัก
7 คนเที่ยงธรรมจะเอาใจใส่สิทธิของคนยากไร้
แต่คนชั่วไม่เข้าใจเรื่องนั้นเลย
8 ฝูงชนช่างเยาะเย้ยทำให้บ้านเมืองลุกเป็นไฟ
แต่คนมีปัญญาจะช่วยบรรเทาความโกรธให้หายไป

อย่ารับสินบน


9 เมื่อคนมีปัญญาต้องโต้เถียงกับคนโง่
ก็จะพบแต่การโกรธเกรี้ยว การเยาะเย้ย ไร้ความสุขสงบ
10 เหล่าคนที่กระหายเลือดเกลียดชังคนไร้มลทิน
และพยายามตามล่าคนเที่ยงธรรม
11 คนชั่วระบายความโกรธออกมา
แต่คนฉลาดจะยับยั้งความโกรธไว้
12 หากผู้ปกครองฟังคำพูดเท็จ
ข้าราชการของเขาก็จะพลอยเป็นคนชั่วไป
13 คนยากจนกับคนที่บีบบังคับมีสิ่งที่เหมือนกันก็คือ
พระยาห์เวห์ประทานตาที่มองเห็นให้เขาทั้งคู่
14 บัลลังก์ขององค์กษัตริย์ที่พิพากษาคนยากจนอย่างยุติธรรม
จะมั่นคงตลอดไป
15 ไม้เรียวที่ตีสอนทำให้เกิดสติปัญญา
แต่เด็กที่ถูกปล่อยปละละเลยจะทำให้แม่ต้องอับอาย
16 เมื่อคนชั่วเพิ่มจำนวน การกบฏก็เพิ่มขึ้นด้วย
แต่คนเที่ยงธรรมจะเห็นการล้มลงของพวกเขา

คนยากจนและคนบีบบังคับ


17 จงฝึกวินัยให้ลูกชาย
และเขาจะทำให้เจ้าได้มีสันติและนำความชื่นใจมาให้เจ้า
18 ที่ไหนไม่มีการเผยพระคำจากพระเจ้า
ประชาชนก็ขาดความยับยั้งชั่งใจ
แต่คนที่ทำตามบัญญัติจะได้รับพระพร
19 เราจะสั่งสอนคนรับใช้แค่คำพูดอย่างเดียวไม่ได้
เพราะแม้จะเข้าใจ แต่ก็ยังไม่ทำตาม
20 เคยเห็นคนที่ปากไวใจเร็วไหม?
เรายังหวังใจในคนโง่ได้มากกว่าเขาเสียอีก
21 คนรับใช้ที่ได้รับการปรนเปรอมาตั้งแต่เยาว์วัย
ในที่สุดก็จะนำความทุกข์ใจมาให้
22 คนช่างโกรธยุยงให้เกิดการวิวาท
และคนอารมณ์ร้อนทำให้เกิดการทำบาปมากขึ้น
23 ความเย่อหยิ่งของคน ๆ หนึ่งจะทำให้เขาตกต่ำลง
แต่คนที่มีใจถ่อมจะได้รับเกียรติ

24 คนที่คบโจรเท่ากับเกลียดตัวเอง
เขาสาบานในศาล แต่ก็ไม่กล้าเป็นพยาน
25 การกลัวมนุษย์คือกับดักอย่างหนึ่ง
แต่คนที่วางใจพระยาห์เวห์จะปลอดภัยแน่นอน
26 หลายคนต้องการเป็นคนโปรดของผู้ปกครอง
แต่ความยุติธรรมแท้จริงนั้นมาจากพระยาห์เวห์
27 คนอยุติธรรมเป็นที่น่าชังต่อคนเที่ยงธรรม
และคนเที่ยงตรงก็เป็นที่น่าชังต่อคนโหดร้าย

พระคำเชื่อมโยง สุภาษิต 29

1* 1 พงศาวดาร 36:16
2* สุภาษิต 28:12; เอสเธอร์4:3
5* สุภาษิต 26:28
7* โยบ 29:16
8* สุภาษิต 11:11
9* มัทธิว 11:17
10* 1 ยอห์น 3:12

11* สุภาษิต 14:33
13* มัทธิว 5:45
14* อิสยาห์ 11:4
15* สุภาษิต 22:15
16* สดุดี 37:34
18* 1 ซามูเอล 3:1; ยอห์น 13:17

20* สุภาษิต 26:12
22* สุภาษิต 26:21
23* อิสยาห์ 66:2
24* เลวีนิติ 5:1
25* ปฐมกาล 12:12; 20:2
26* สดุดี 20:9

มัทธิว 1 วันที่พระเยซูคริสต์มาบังเกิด

ลำดับวงศ์ของพระเยซูคริสต์
1 ต่อไปนี้เป็นบันทึกลำดับวงศ์ของพระเยซูคริสต์
ทรงเป็นเชื้อสายของกษัตริย์ดาวิด
ผู้เป็นเชื้อสายของอับราฮัม

อับราฮัมถึงดาวิด
2 อับราฮัมเป็นพ่อของอิสอัค
อิสอัคเป็นพ่อของยาโคบ
ยาโคบเป็นพ่อของยูดาห์กับพี่น้องของเขา
3 ยูดาห์เป็นพ่อของเปเรศกับเศราห์
มารดาของพวกเขาคือนางทามาร์
เปเรศเป็นพ่อของเฮสโรน
เฮสโรนเป็นพ่อของราม
4 รามเป็นพ่อของอัมมีนาดับ
อัมมีนาดับเป็นพ่อของนาโชน
นาโชนเป็นพ่อของสัลโมน
5 สัลโมนเป็นพ่อของโบอาส มารดาของเขาคือนางราหับ
โบอาสเป็นพ่อของโอเบด มารดาของเขาคือนางรูธ
โอเบดเป็นพ่อของเจสซี
6 และเจสซีเป็นพ่อของกษัตริย์ดาวิด

ดาวิดถึงเยโคนิยาห์
ดาวิดเป็นพ่อของโซโลมอนมารดาของโซโลมอน
เคยเป็นภรรยาของอุรียาห์มาก่อน
7 โซโลมอนเป็นพ่อของเรโหโบอัม
เรโหโบอัมเป็นพ่อของอาบียาห์
อาบียาห์เป็นพ่อของอาสา
8 อาสาเป็นพ่อของเยโฮชาฟัท
เยโฮชาฟัทเป็นพ่อของเยโฮรัม
เยโฮรัมเป็นพ่อของอุสซียาห์
9 อุสซียาห์เป็นพ่อของโยธาม
โยธามเป็นพ่อของอาหัส
อาหัสเป็นพ่อของเฮเซคียาห์
10 เฮเซคียาห์เป็นพ่อของมนัสเสห์
มนัสเสห์เป็นพ่อของอาโมน (บางทีเรียกอาโมส)
อาโมนเป็นพ่อของโยสิยาห์
11 และโยสิยาห์เป็นพ่อของเยโคนิยาห์
กับพี่น้องของเขาเมื่อครั้งตกเป็นเชลยที่บาบิโลน

เยโคนิยาห์ถึงโยเซฟ สามีมารีย์
12 หลังจากที่ได้ตกเป็นเชลยที่บาบิโลนแล้ว….
เยโคนิยาห์เป็นพ่อของเชอัลทิเอล
เชอัลทิเอลเป็นพ่อของเศรุบบาเบล
13 เศรุบบาเบลเป็นพ่อของอาบียุด
อาบียุดเป็นพ่อของเอลียาคิม
เอลียาคิมเป็นพ่อของอาซอร์
14 อาซอร์เป็นพ่อของศาโดก
ศาโดกเป็นพ่อของอาคิม
อาคิมเป็นพ่อของเอลีอูด
15 เอลีอูดเป็นพ่อของเอเลอาซาร์
เอเลอาซาร์เป็นพ่อของมัทธาน
มัทธานเป็นพ่อของยาโคบ
16 และยาโคบเป็นพ่อของโยเซฟ
สามีของมารีย์ผู้ให้กำเนิดพระเยซู
ซึ่งพระองค์ถูกเรียกว่า พระคริสต์
หรือพระเมสสิยาห์
“พระคริสต์” (เป็นคำกรีก) และ
“พระเมสสิยาห์” (เป็นคำฮีบรู)
แปลว่า “ผู้ที่ทรงเจิมตั้งไว้”


7 ดังนั้นตั้งแต่อับราฮัมลงมาจนถึงดาวิด
มีสิบสี่ชั่วอายุคน
ตั้งแต่ดาวิดมาจนถึงเมื่อครั้งตกเป็นเชลยที่บาบิโลน
มีสิบสี่ชั่วอายุคน
และตั้งแต่ครั้งตกเป็นเชลยที่บาบิโลน
จนถึงพระคริสต์มีสิบสี่ชั่วอายุคน

18 นี่เป็นเรื่องราวการประสูติของพระเยซูคริสต์ คือ
มารีย์ มารดาของพระองค์นั้น ได้หมั้นที่จะสมรสกับโยเซฟ แต่ก่อนที่ทั้งสองจะเข้ามาเป็นสามีภรรยากัน พบว่า เธอตั้งครรภ์โดยฤทธิ์เดชแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์
19 เป็นเพราะโยเซฟ คู่หมั้นของเธอเป็นผู้ชายที่ดี มีคุณธรรม เขาไม่ต้องการทำให้เธอเสียหายในหมู่ชาวบ้าน เขาจึงคิดว่าจะถอนหมั้นเงียบ ๆ
20 แต่หลังจากที่เขากำลังคิดเรื่องนี้อยู่ ก็มีทูตสวรรค์องค์หนึ่งจากองค์พระผู้เป็นเจ้ามาปรากฏกับเขาในความฝัน และกล่าวว่า “โยเซฟ ลูกชายดาวิดเอ๋ย อย่ากลัวที่จะรับมารีย์มาเป็นภรรยาของท่านเลย เพราะพระองค์ที่ทรงปฏิสนธิ์ในครรภ์ของเธอนั้น ทรงมาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์
21 เธอจะให้กำเนิดลูกชาย และท่านจะตั้งชื่อพระองค์ว่า เยซู เพราะพระองค์จะทรงช่วยประชากรของพระองค์จากความบาป

1:21 “เยซู” เป็นคำกรีกของคำว่า “โยชูวา” ในภาษาฮีบรู ซึ่งแปลว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงช่วยให้รอด”


22 ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพื่อทำให้สิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสไว้ผ่านผู้เผยพระดำรัสนั้นสำเร็จ ที่ว่า
23 “หญิงพรหมจารีจะตั้งครรภ์ และจะให้กำเนิดบุตรชาย และเขาจะเรียกพระองค์ว่า อิมมานูเอล” (ซึ่งหมายความว่าพระเจ้าทรงอยู่กับเรา)
24 เมื่อโยเซฟตื่นขึ้น เขาก็ทำตามที่ทูตสวรรค์จากองค์พระผู้เป็นเจ้าได้สั่งไว้ และรับมารีย์มาเป็นภรรยาของเขา
25 โดยที่เขาไม่ได้มีสัมพันธ์กับเธอในฐานะสามีภรรยา จนกระทั่งเธอให้กำเนิดลูกชาย และเขาตั้งชื่อลูกชายว่า เยซู

อธิบายเพิ่มเติม

คนอิสราเอลโบราณได้ให้ความสำคัญกับการบันทึกลำดับวงศ์วานมาตั้งแต่ต้น เพราะทำให้พวกเขาได้รู้ว่า ใครเป็นใคร มาจากครอบครัวไหน มีสิทธิจะเป็นปุโรหิตได้หรือไม่  เขาคนนั้นเป็นคนยิวแท้หรือว่า ปลอมแปลงมา
เมื่อเราดูวงศ์วานของพระเยซูด้านของโยเซฟ ทางกฎหมายพระองค์ก็ได้สืบเชื้อสายด้านพ่อมาจากดาวิด และด้านของมารีย์ก็เช่นกัน (ดูจากลำดับวงศ์วานในลูกา)แค่เชื้อสายทางโยเซฟ พระเยซูก็ทรงมีสิทธิที่จะเป็นกษัตริย์ปกครองเพราะมาทางเชื้อสายดาวิด ส่วนทางร่างกายนั้นทรงเป็นพระบุตรที่ปฏิสนธิ์โดยฤทธิ์แห่งพระวิญญาณและอยู่ในครรภ์ของมารีย์ซึ่งเป็นมนุษย์ นี่เป็นวิธีที่พระเจ้าทรงลงมาเกิดเป็นมนุษย์เดินดินอย่างพวกเรา
จะสังเกตได้ว่า มีชื่อของสตรีอยู่สามคน และบอกเพียงว่าเป็นภรรยาของอุรียาห์มาก่อนอีกหนึ่งคน ทั้งสามคนแรกเป็นผู้หญิงต่างชาติที่เข้ามาแต่งงานกับคนในสายอิสราเอล ส่วนเบธเชบาห์ก็เป็นสตรีที่ดาวิดแย่งจากอุรียาห์มา
กษัตริย์ที่กล่าวถึงก็มีทั้งกษัตริย์ที่มีคุณธรรมและกษัตริย์ที่ชั่วช้าด้วย ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร เขาก็ยังคงอยู่ในเชื้อสายนี้ และเชื้อสายในตำแหน่งกษัตริย์จบลงที่การเป็นเชลยในบาบิโลน

มัทธิว 1:18-25
การหมั้นในหมู่คนยิวนั้น เป็นการตกลงระหว่างพ่อแม่ของทั้งสองฝ่าย และมีความหมายลึกซึ้งกว่าการหมั้นในโลกปัจจุบัน  หากง่ายหญิงหรือฝ่ายชายไปมีความสัมพันธ์กับคนอื่น พวกเขาก็มีความผิดในฐานะการล่วงประเวณี หรือเทียบเท่าการมีชู้ 
ตอนแรกนั้น โยเซฟไม่ทราบเลยว่า มารีย์ตั้งครรภ์โดยฤทธิ์พระวิญญาณ เขารู้เพียงว่าเธอตั้งครรภ์ ทำให้เขาลำบากใจมากกับการที่จะแต่งงานกับเธอ ดังนั้น สิ่งที่ทำได้ก็คือ ถอนหมั้นกับเงียบ ๆ ไม่บอกอะไรกับใครเลย  เขาตั้งใจจะไม่ให้เธอเสียชื่อเสียง
แต่แล้ว ทูตสวรรค์กลับมาบอกในความฝันว่า เรื่องเป็นอย่างไร  ลูกชายที่จะมาเกิดนั้น มาจากพระเจ้า เกิดโดยฤทธิ์แห่งพระวิญญาณ  การเป็นผู้ชายที่มีคุณธรรม และอยู่ในสายของดาวิดก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่พระเจ้าทรงเลือกให้เขาเป็นผู้ดูแลมารีย์ด้วย 
ถึงกระนั้น ต่อมาเราก็ไม่ได้รู้เรื่องของเขาอีกหลังจากวันที่พระเยซูทรงหายตัวไปอยู่ในพระวิหารที่เยรูซาเล็มตอนที่ทรงเริ่มแสดงให้เห็นว่า พระเจ้าทรงเป็นพระบิดาของพระองค์ 
จะเห็นว่า ในช่วงเวลานั้น พระเจ้าทรงใช้ทั้งผู้เผยพระคำหรือความฝันเพื่อส่งข่าวให้มนุษย์ทราบถึงพระประสงค์ของพระองค์  ในข้อความตอนนี้เราจะเห็นว่า พระเจ้าทรงติดต่อกับเขาเป็นส่วนตัว และทูตได้กล่าวกับเขาว่า ลูกชายดาวิด…
ข่าวสารที่โยเซฟได้รับ เป็นข่าวดี ไม่ใช่ข่าวร้าย เป็นเกียรติไม่ใช่เป็นความอับอาย โยเซฟ ทำตามที่พระเจ้าทรงสั่งโดยรับมารีย์มาเป็นภรรยา และได้ให้เกียรติกับพระเจ้า และมารีย์โดยที่ไม่ได้มีเพศสัมพันธ์ใด ๆ กับเธอจนกว่า เธอได้คลอดพระบุตรพระเจ้าแล้ว
ข้อน่าสังเกตอีกประการคือ โยเซฟได้รับรู้พระนามทั้งสองของพระเยซูคือ เยซู และอิมมานูเอล … และเขาได้รับการย้ำเตือนว่า นี่เป็นคำที่พระเจ้าได้ตรัสมา
ล่วงหน้าแล้วตั้งแต่แปดร้อยปีก่อนผ่านท่านอิสยาห์

จากนั้น เขาเป็นคนที่ดูแลทั้งเธอ และพระเยซูจนเติบโต  ถึงแม้ว่า พระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า แต่ในฐานะมนุษย์ ก็ทรงเป็นลูกชายคนโตของโยเซฟด้วย และต่อมาก็ได้มีครอบครัว มีลูกชาย ลูกสาวอีกหลายคน  (มัทธิว 13:55-56) 

พระคำเชื่อมโยง

1* ลูกา 3:23; เยเรมีย์ 23:5; ยอห์น 7:42;
ปฐมกาล 12:3; 22:18
2* ปฐมกาล 21:2, 12; 25:26; 28:14; 29:35
3* ปฐมกาล 38:27; 49:10; รูธ 4:18-22
5* รูธ 2:1; 4:1-13
6* 1 ซามูเอล 16:1; อิสยาห์ 11:1, 10; 2 ซามูเอล7:12; 12:24

7* 1 พงศาวดาร 3:10; 2 พงศาวดาร 11:20
8* 1 พงศ์กษัตริย์ 3:10;
2 พงศ์กษัตริย์ 15:13
9* 2 พงศ์กษัตริย์ 15:38
10* 2 พงศ์กษัตริย์ 20:21; 1 พงศ์กษัตริย์ 13:2
11* 1 พงศาวดาร 3:15-16; 2 พงศ์กษัตริย์ 24:14-16

12* 1 พงศาวดาร 3:17; เอสรา 3:2
16* Matt 13:55
18* ลูกา1:27,35 ; อิสยาห์ 49:1,5
19* เฉลยธรรมบัญญัติ 24:1
20* ลูกา 1:35
21* ลูกา 1:31; 2:21; ยอห์น 1:29; โรม 5:18-19
23* อิสยาห์ 7:14
25* ลูกา 2:7,21

สุภาษิต 28 ความกล้าหาญของผู้เที่ยงธรรม


1 คนชั่วร้ายหนีไปทั้ง ๆ ที่ไม่มีใครไล่ล่า
แต่คนเที่ยงธรรมนั้นกล้าหาญดั่งราชสีห์
2 เมื่อมีการกบฏก็มีผู้นำเกิดขึ้นหลายคน
แต่คนที่มีความเข้าใจและความรู้จะช่วยให้แผ่นดินนั้น สุขสงบ
3 ผู้นำที่ยากจนอาจจะบีบคั้นคนยากจนด้วยกัน
เป็นเหมือนฝนตกหนักที่ทำลายไร่นาจนไม่มีผลผลิต
4 คนที่ละทิ้งบัญญัติไปเท่ากับเขาสรรเสริญคนชั่วร้าย
แต่คนที่รักษาบัญญัติต่อต้านคนชั่ว
5 คนชั่วร้ายไม่เข้าใจความยุติธรรมเลย
แต่คนที่แสวงหาพระยาห์เวห์จะเข้าใจอย่างถ่องแท้
6 เป็นคนยากจนที่เดินไปอย่างซื่อตรง
ดีกว่าเป็นคนมั่งคั่งที่คดโกงไปตามทาง

7 ลูกชายที่มีความเข้าใจจะรักษาบัญญัติ
แต่การเป็นมิตรกับคนละโมบทำให้พ่อต้องขายหน้า
8 คนที่เพิ่มความมั่งคั่งให้กับตัวเอง
ด้วยการเก็บดอกเบี้ยและโก่งราคานั้น
เท่ากับกำลังเก็บสะสมไว้ให้กับคนที่เมตตาต่อคนยากจน


9 คนที่ไม่ยอมฟังบัญญัตินั้น
คำอธิษฐานของเขาเป็นที่น่าชัง
10 คนที่นำพาคนเที่ยงธรรมไปทางชั่ว
จะตกลงไปในหลุมดักของเขาเอง
แต่คนที่ไร้ตำหนิจะได้รับสิ่งดีเป็นมรดก
11 คนที่ร่ำรวยมักรู้สึกว่าตนเองเป็นคนฉลาด
แต่คนยากจนที่มีวิจารณญาณจะรู้จักเขาอย่างทะลุปรุโปร่ง
12 เมื่อคนเที่ยงธรรมได้ชัยชนะ ใคร ๆ ก็ชื่นชมยินดี
แต่เมื่อคนชั่วร้ายมีอำนาจ ใคร ๆ ก็หลบซ่อนตัว
13 คนที่ปกปิดความบาปของเขาจะไม่รุ่งเรือง
แต่คนใดที่สารภาพและละทิ้งบาปของตนจะได้รับพระเมตตา
14 ความสุขเป็นของคนที่ยำเกรงพระเจ้าเสมอ
แต่คนที่มีใจแข็งกระด้างจะตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก
15 คนชั่วที่ปกครองเหนือคนยากจน
ก็เป็นเหมือนสิงโตที่กำลังคำรามหรือ หมีที่กำลังรี่เข้าใส่



16 ผู้นำที่กดขี่ประชาชนเป็นคนขาดปัญญา
แต่คนที่เกลียดผลประโยชน์ซึ่งได้มาด้วยการคดโกง จะมีชีวิตยืนนาน
17 คนที่มีความผิดติดตัวเพราะฆ่าผู้อื่นจะหนีไปจนวันตาย
ขออย่าให้มีใครช่วยเขาเลย
18 คนที่เดินในความเที่ยงตรงจะปลอดภัย
แต่คนที่คดในข้องอในกระดูกจะล้มลงอย่างฉับพลัน
19 คนที่ทำไร่ไถนาในผืนดินของตนจะมีอาหารอย่างเหลือเฟือ
แต่คนที่มัวติดตามความฝันจะได้พบกับความยากจน
20 คนที่ซื่อตรงจะรับพระพรมากมาย
แต่คนที่รีบด่วนตามหาความมั่งคั่ง จะโดนลงโทษเป็นแน่
21 การแสดงความลำเอียงออกมานั้น ไม่ดีเลย
เพราะคน ๆ หนึ่งอาจทำความผิดเพียงเพื่อแลกขนมปังชิ้นเดียว


22 คนตระหนี่วิ่งรี่ตามความมั่งคั่ง
โดยไม่รู้ว่าความขัดสนจะตามเขาจนทัน
23 คนที่ตักเตือนผู้อื่นนั้น
ในที่สุดเขาจะได้รับความชื่นชมมากกว่าคนที่ใช้ปากสอพลอ
24 คนที่ปล้นพ่อและแม่ของเขา แล้วกล่าวว่า
“ไม่ผิดสักหน่อย” เป็นสหายของคนที่คอยทำลาย
25 คนละโมบจะยั่วยุให้เกิดการทุ่มเถียง
ส่วนคนที่วางใจในพระยาห์เวห์จะเจริญรุ่งเรืองขึ้น
26 คนที่วางใจตัวเองเป็นคนโง่
แต่คนที่เดินในทางแห่งปัญญาจะปลอดภัย
27 คนที่ยื่นให้แก่คนยากจนจะไม่มีวันขัดสนเลย
แต่คนที่ปิดตาของตนจะรับคำสาปแช่งมากมาย
28 เมื่อคนโหดร้ายได้อำนาจ ประชาชนก็ต้องหลบซ่อน
แต่เมื่อพวกเขาพินาศ เท่ากับเป็นการเพิ่มจำนวนคนเที่ยงธรรม

พระคำเชื่อมโยง สุภาษิต 28

1* สดุดี 53:5
3* มัทธิว 18:28
4* สดุดี 49:18; 1 พงศ์กษัตริย์ 18:18
5* สดุดี 92:6; ยอห์น 17:17
9* สุภาษิต 15:8
10* สุภาษิต 26:27; มัทธิว 6:33
12* สุภาษิต 11:10; 29:2

13* สดุดี 32:3-5
15* 1 เปโตร 5:8; มัทธิว 2:16
16* ปัญญาจารย์ 10:16
17* ปฐมกาล 9:6
19* สุภาษิต 12:11; 20:13
20* 1 ทิโมธี 6:9
21* สุภาษิต 18:5; เอเสเคียล 13:19

22* สุภาษิต 21:5
23* สุภาษิต 27:5-6
24* สุภาษิต 18:9
25* สุภาษิต 13:10; 1 ทิโมธี 6:6
26* สุภาษิต 3:5
27* เฉลยธรรมบัญญัติ 15:7
28* โยบ 24:4

สุภาษิต 27 ความมั่งคั่งไม่ยั่งยืน

1 อย่าคุยอวดถึงวันพรุ่งนี้
เพราะเจ้าไม่รู้ว่าวันหนึ่ง ๆ จะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง
2 จงให้คนอื่นชมเชยเจ้า อย่าให้ออกมาจากปากของเจ้าเอง
ให้มาจากคนอื่นไม่ใช่จากริมฝีปากของเจ้า
3 หินก็หนัก และทรายก็หนัก
แต่การยั่วโทสะจากคนโง่ยังหนักกว่าทั้งสองสิ่งนี้
4 ความเกรี้ยวกราดนั้นโหดร้าย
และความโกรธเป็นเหมือนน้ำที่ถาโถมเข้ามา
แต่ใครจะทนความอิจฉาริษยาได้เล่า?
5 ที่จะตักเตือนกันอย่างเปิดเผย
ยังดีกว่าความรักที่ซ่อนเอาไว้
6 บาดแผลจากเพื่อนนั้นไว้ใจได้แน่
แต่จูบของศัตรูเป็นเรื่องหลอกลวง
7 สำหรับคนที่ท้องอิ่มเสมอยังรังเกียจแม้น้ำผึ้ง
แต่สำหรับคนที่หิวโหย สิ่งที่ขมก็กลับหวาน


8 คนที่หนีหายไปจากบ้านของตนเอง
เป็นเหมือนนกที่เร่ร่อนออกไปจากรังของมัน
9 น้ำมันและน้ำหอมนำความชื่นใจมาให้
และเพื่อนที่เอื้อเฟื้อเอาใจใส่ก็เป็นกำลังใจ
10 อย่าละทิ้งเพื่อนของเจ้าหรือเพื่อนของพ่อเจ้า
และเมื่อทุกข์ยากก็อย่าไปที่บ้านของพี่น้องเจ้า
เพราะเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้ก็ดีกว่าพี่น้องที่อยู่ห่างไกล
11 ลูกเอ๋ย จงเป็นคนฉลาด และนำความยินดีมาให้ใจของพ่อ
เพื่อว่าเราจะตอบคนที่เข้ามาสบประมาทได้
12 คนที่ฉลาดรอบคอบเห็นอันตรายแล้วก็หลบซ่อนตัว
แต่คนที่โง่เขลาจะเดินต่อไปและเผชิญกับผลที่ตามมา
13 จงยึดเสื้อผ้าของคนที่ไปค้ำประกันให้คนแปลกหน้า
ยึดเอาไว้เป็นมัดจำเมื่อเขาค้ำประกันหญิงเสเพล
14 หากคนหนึ่งออกไปอวยพรเพื่อนบ้านเสียงดังตอนเช้าตรู่
จะถูกมองว่า คำนั้นเป็นคำสาปแช่ง

15 ฝนที่ตกพรำ ๆ ในวันฟ้าครื้ม
เป็นเหมือนหญิงที่ชอบหาเรื่องวิวาท
16 การจะไปห้ามให้หยุด
ก็เหมือนห้ามลมหรือกอบน้ำมันด้วยมือขวา
17 เหล็กเอามาลับเหล็กได้เช่นไร
คนเราก็ลับกันและกันให้เฉียบคมได้เช่นนั้น
18 คนที่ดูแลต้นมะเดื่อจะได้กินผลของมัน
และคนที่ดูแลเจ้านายของเขาจะได้รับคำชมเชย
19 เหมือนอย่างที่น้ำสะท้อนให้เห็นใบหน้า
จิตใจของคนก็สะท้อนให้เห็นตัวตนของเขาอย่างนั้น
20 แดนคนตาย และแดนพินาศไม่เคยอิ่ม
สายตาของมนุษย์ก็ไม่เคยอิ่มเช่นกัน
21 เบ้าหลอมนั้นมีไว้สำหรับแร่เงินและเตาถลุงมีไว้เพื่อทองคำ
แต่คน ๆ หนึ่งถูกทดสอบจากคำชมที่เขาได้รับ

22 แม้เจ้าจะบดขยี้คนโง่ราวกับตำข้าวด้วยสากกับครก
ถึงกระนั้น ความเขลาก็ยังไม่ออกไปจากตัวเขา
23 จงมั่นใจว่า ตนเองรู้สภาพของฝูงแพะแกะเป็นอย่างดี
และเอาใจใส่ต่อฝูงสัตว์ของเจ้า
24 เพราะความมั่งคั่งนั้นไม่ยั่งยืน
และมงกุฎก็ไม่ได้ยืนยงอยู่ทุกชั่วอายุคน
25 เมื่อเก็บฟางออกไป ก็มีต้นใหม่งอกขึ้นมา
และจะมีการเก็บเกี่ยวธัญพืชจากเนินเขา
26 ลูกแกะจะให้ขนของมันแก่เจ้าเพื่อทอเป็นเสื้อผ้า
และเจ้าจะได้เงินซื้อที่ดินทำไร่จากแพะของเจ้า
27 เจ้าจะมีนมแพะไว้กินอย่างเหลือเฟือ
มีอาหารสำหรับครอบครัว และอาหารสำหรับสาวใช้ของเจ้า

พระคำเชื่อมโยง สุภาษิต 27

1* ยากอบ 4:13-16
2* สุภาษิต 25:27
4* 1 ยอห์น 3:12
5* สุภาษิต 28:23
6* มัทธิว 26:49

10* สุภาษิต 17:17; 18:24
11* สุภาษิต 10:1; 23:15-26
12* สุภาษิต 22:3
15* สุภาษิต 19:13
18* 1โครินธ์ 3:8; 9:7-13

20* ฮาบากุก 2:5; ปัญญาจารย์
1:8; 4:8
21* สุภาษิต 17:3
22* เยเรมีย์ 5:3
23* สุภาษิต 24:27
25* สดุดี 104:14