นาฮูม 2 เราต่อต้านเจ้า!

รถศึกควบอย่างบ้าคลั่งไปตามถนน !

หายนะของนีนะเวห์
1 มีผู้หนึ่งที่จะทำให้เจ้ากระจัดกระจายไป
กำลังบุกเข้ามา
จงเสริมกำลังคนป้องกันป้อมปราการ
เฝ้าถนนให้ดี
เตรียมตัวพร้อมสู้ 
รวมพลังทั้งหมดที่มี
2 เพราะพระยาห์เวห์
จะ ทรงฟื้นฟูความยิ่งใหญ่ของยาโคบ 
ให้เหมือนกับความยิ่งใหญ่ของอิสราเอล

แม้ผู้ที่มาปล้นได้ปล้นพวกเขา
และทำลายเถาองุ่นของพวกเขา
3 โล่ของนักรบเขาเป็นสีแดง
และนักรบผู้กล้าก็สวมชุดแดงเข้ม
รถศึกนั้น ส่องประกายดั่งเปลวไฟ 
ในวันที่พวกเขาเตรียมพร้อมทำศึก
และนักรบกวัดแกว่งหอกไม้สน 
4 รถศึกควบอย่างบ้าคลั่งไปตามถนน 
มันวิ่งไปผ่านลานเมือง
มองดูเหมือนคบเพลิงลุกโชติช่วง
มันวิ่งไปมาดั่งสายฟ้าแลบ
5 เขาสั่งการเหล่าทหาร
พวกเขาสะดุดล้มขณะที่กำลังบุกไป
พวกเขาวิ่งไปยังกำแพงเมือง
เพื่อตั้งโล่ป้องกันในที่ของมัน

หายนะของนีนะเวห์
2:1 คำสั่งเหล่านี้ เหมือนเป็นคำสั่งที่จะเย้ยหยันว่า
นีนะเวห์รอดไปได้หรือ? เพราะตอนนี้ มีกองทัพใหญ่บุกเข้ามาแล้ว เป็นกองทัพที่พระเจ้าทรงส่งมาเอง ผู้ที่บุกเข้ามาจะเป็นคนที่ทำให้อัสซีเรียกระจัดกระจายไป ดังนั้นคนที่สำคัญ ผู้บัญชาการแท้จริงที่ทำให้อัสซีเรียพินาศคือพระยาห์เวห์ของอิสราเอล!
อัสซีเรียเองได้เตรียมกองทัพใหญ่ไว้ก่อนหน้าทั้งเพื่อจะโจมตีและรับมือศัตรู
(เอเสเคียล 23:24 บอกให้รู้ว่าสรรพาวุธของกองทัพอัสซีเรียมีอะไรบ้าง)

2:2 พระเจ้าทรงแจ้งให้อิสราเอลรู้ว่า แม้พวกเขาจะพ่ายแพ้ แต่วันหนึ่งพระองค์จะทรงนำเขากลับมาสู่การรื้อฟื้นอีกครั้ง ขณะที่นีนะเวห์กำลังจะล่มจม คนของพระเจ้าจะรับการฟื้นฟูใหม่ ที่กล่าวถึงยาโคบก็เพื่อให้ระลึกถึงประสบการณ์ชีวิตต่าง ๆ ที่ยาโคบ และบรรพบุรุษได้ผ่านมา ส่วนคำอิสราเอลก็หมายถึงความงดงาม ยิ่งใหญ่ที่จะกลับมาอีกครั้งยังลูกหลานของบรรพบุรุษเหล่านั้น

2:3-4 ต่อจากนี้ไปเป็นภาพการยึดนครนีนะเวห์ เป็นภาพที่ชัดเจนราวกับภาพยนต์ นักรบของศัตรูใส่เสื้อแดงเข้ม โล่ก็สีแดง รถศึกเหมือนเพลิงไฟ นักรบแกว่งหอกอย่างน่ากลัว การบุกเข้ามานั้น ไม่ใช่ช้าเชื่องแต่รวดเร็ว ปราดเปรียว พร้อมประจัญบาน อัสซีเรียจะสู้ได้หรือเปล่า?  

2:5 นักรบพยายามที่จะวิ่งไปที่กำแพงเมืองเพื่อตั้งรับ แต่ก็สะดุดล้ม ไม่ใช่คนเดียวแต่หลายคนพร้อม ๆ กัน
ยิ่งเป็นอย่างนี้ ยิ่งกลัวลาน



การทำลายที่ท่วมท้น
6 ประตูแม่น้ำถูกเปิดออก
และราชวังก็พังไปกับสายน้ำ 
7 หญิงงามถูกปลดอาภรณ์ 
เธอถูกจับตัวไป
เหล่าหญิงรับใช้ก็ร้องครวญเหมือนนกพิราบ
และตีอกของตนเอง 
8 นีนะเวห์
เป็นเหมือนบ่อที่น้ำกำลังทะลักไหลออก 
พวกเขาร้องว่า “หยุด หยุด”
แต่ไม่มีใครหันหลังกลับมา
9  “จงปล้นเงิน และปล้นทอง!”
ทรัพย์สมบัติมีมากมายไม่มีหมดสิ้น
สิ่งที่มีค่านั้นมีเหลือเฟือ 
10 ที่รกร้าง ความวิบัติ ความหายนะ! 
ใจหวาดผวา เข่าสั่นระรัว
ทรมานไปทุกส่วนของร่างกาย
ใบหน้าของทุกคนซีดเผือด

การทำลายที่ท่วมท้น
2:6 นักโบราณคดีพบว่า มีร่องรอยของน้ำท่วมที่น่าจะเกี่ยวพันกับหายนะของเมืองในครั้งนี้ และการบุกของศัตรูก็น่าจะเป็นการเข้ามาในประตูแม่น้ำ ในช่วงน้ำหลากด้วย
2:7-8 พวกผู้หญิงถูกปล้นเครื่องประดับเงินทอง อัญมณีต่าง ๆ ทุกอย่างถูกจับไปเป็นเชลย ไม่รู้ชะตากรรมว่าจะเป็นอย่างไร นีนะเวห์ถูกปล้นไปอย่างรวดเร็ว แม้จะมีคนร้องให้หยุด แต่ศัตรูที่ไหนจะฟัง

2:9-10 ทรัพย์สินที่นีนะเวห์มีอยู่นั้น ก็ต่างได้มาจากการยึด การปล้นประเทศชาติต่าง ๆ เข้ามา พวกเขามีทรัพย์มากมายให้ศัตรูมาขนไป
อัสซีเรียได้สร้างความหวาดกลัวให้ผู้อื่น ตอนนี้พวกเขาเองหวาดกลัวยิ่งกว่าอีก

เราต่อต้านเจ้า
11 ไหนล่ะ ถ้ำของสิงห์
ที่ ๆ มันใช้เลี้ยงดูลูก ๆ ของมัน?
ที่ ๆ พ่อแม่สิงโตหาเหยื่อ
ที่ ๆ ลูกของมันอยู่อย่างไม่มีใครรบกวน อยู่ที่ไหนกัน?
12 สิงโตได้ล่าเหยื่อมาให้ลูกของมัน 
มันขย้ำคอเหยื่อเพื่อให้สิงห์ตัวเมีย
มันเติมถ้ำของมันด้วยเหยื่อที่หามาจนเต็ม
และเติมที่อยู่ของมันด้วยเหยื่อที่มันฉีกเนื้อสด ๆ  
13 องค์พระยาห์เวห์องค์จอมทัพทรงประกาศดังนี้
“เราต่อต้านเจ้า เราจะเผารถศึกของเจ้าจนควันคลุ้ง
และดาบจะฟันฟาดลูกสิงโตของเจ้า
เราจะเอาเหยื่อของเจ้าออกไปจากโลกนี้
และจะไม่มีใครได้ยินเสียงของพวกผู้ส่งข่าวของเจ้าอีกต่อไป”

เราต่อต้านเจ้า 
2:11 นีนะเวห์เป็นเมืองที่มีสิงโตเป็นเครื่องหมายยืนยันว่าเป็นเจ้าแห่งโลกนี้ ไม่ว่าจะไปที่ไหน ก็จะทำตัวเหมือนสิงโตที่กัด ฉีก ขย้ำ จนเหยื่อตายเป็นเบือ แต่ตอนนี้ นาฮูมถามว่า พ่อ แม่สิงโตอยู่ที่ไหน ? ที่ว่าเก่งนัก ตอนนี้ไม่เหลืออำนาจแล้ว

2:12 นาฮูมเปรียบนีนะเวห์เหมือนกับถ้ำสิงห์ ที่สามารถเติมความมั่งคั่งให้กับตนเองไม่หยุดหย่อน

2:13 บาบิโลน ได้ทำลายนครนีนะเวห์จนสิ้นซาก แต่ผู้ที่ส่งบาบิโลนมาคือ พระยาห์เวห์ผู้ประกาศประกาศิตสุดท้าย พระองค์ตรัสชัดเจนว่า พระองค์ทรงต่อต้านอัสซีเรีย เป็นคำตรัสที่น่ากลัวสำหรับอัสซีเรีย และสำหรับทุกคนที่จะได้ยินคำนี้


พระคำเชื่อมโยง

นาฮูม 2
9* เศฟันยาห์ 1:18
10* เปรียบเทียบ โยเอล 2:6
11* โยบ 4:10-11
12* เยเรมีย์ 51:34
13* นาฮูม 3:5; 2

นาฮูม 1 พระเจ้าแห่งอิสราเอล!

พระองค์จะทรงทำลายปฏิปักษ์ของพระองค์ ด้วยมวลน้ำท่วม

1 คำพยากรณ์ที่หนักใจเกี่ยวข้องกับนครนีนะเวห์
หนังสือนิมิตของนาฮูม ชาวเอลโขช

พระเจ้าทรงเป็นผู้ใด? ใครรู้บ้าง?
2  พระยาห์เวห์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงหวงแหน และทรงแก้แค้น พระองค์ทรงพิโรธอย่างแรงกล้า
พระยาห์เวห์ทรงแก้แค้นเหล่าศัตรูของพระองค์
พระองค์ทรงพิโรธต่อศัตรูของพระองค์
3 พระยาห์เวห์ทรงกริ้วช้า
แต่ทรงฤทธิ์เต็มด้วยอานุภาพมหาศาล 
พระยาห์เวห์จะไม่ทรงให้คนผิดลอยนวล 
หนทางของพระองค์อยู่ในพายุหมุนและลมพายุกล้า
และหมู่เมฆคือผงฝุ่นใต้ฝ่าพระบาทของพระองค์
4 พระองค์ทรงกำราบทะเลให้แห้ง
และทรงทำให้แม่น้ำทั้งหลายแห้งเหือดลง
บาชาน และคารเมลก็เหี่ยวเฉา
รวมไปถึงดอกไม้แห่งเลบานอน
5 ภูเขาทั้งหลายสั่นสะเทือนต่อพระพักตร์พระองค์
และเนินเขาทั้งหลายก็ละลายไป
แผ่นดินโลกสั่นไหวหวาดหวั่นต่อพระพักตร์พระองค์ 
ทั้งโลกและทุกสิ่งที่อาศัยในโลก
6 ใครจะทนทานต่อความเดือดดาลของพระองค์ได้?
ใครจะทนต่อความกริ้วอันร้อนแรงของพระองค์ได้?
พระพิโรธถูกเทออกมาดั่งกองไฟ
แม้กระทั่งหินก็ยังแหลกละเอียดต่อพระพักตร์พระองค์

1:1  ชื่อของนาฮูม มีความหมายว่า ปลอบใจ แต่ท่านกำลังต้องกล่าวคำพยากรณ์ที่ทำให้หนักใจ เป็นกังวลมากต่อเมื่อนีนะเวห์ ซึ่งไม่ใช่คนของพระเจ้า แต่เป็นศัตรูที่พระเจ้าเคยใช้มากวาดคนทั้งสิบเผ่าทางเหนือไปเป็นเชลย พวกเขาเคยได้รับคำเทศนาจากโยนาห์ประมาณปี 792-753 ปีก่อนคริสตศักราช ส่วนนาฮูมน่าจะกล่าวคำเหล่านี้ประมาณ 612 ปีก่อนคริสตศักราช ซึ่งต่อมานีนะเวห์ล่มเมื่อประมาณ 609 ปีก่อนคริสตศักราช (เป็นช่วงรัชสมัยของกษัตริย์โยสิยาห์ กษัตริย์ของยูดาห์ ทางใต้)
พระเจ้าทรงเป็นผู้ใด? ใครรู้บ้าง?
1:2 ที่พระเจ้าทรงพิโรธต่อนีนะเวห์ซึ่งเป็นเมืองหลวงของอัสซีเรียเป็นอย่างมากเพราะความโหดร้าย รุนแรงของกษัตริย์ และกองทัพของอัสซีเรีย ที่มีต่อประเทศชาติทั่วไป และที่ทำต่อคนอิสราเอลด้วย ก่อนอื่นใด นาฮูมได้ทำให้เห็นว่า พระเจ้าทรงรู้สึกโกรธเพียงใด ต่อสิ่งที่เกิดขึ้น ความหวงแหนของพระเจ้าไม่เหมือนของมนุษย์ที่เป็นคนบาป แต่ความหวงของพระองค์คือ พระองค์ทรงเป็นห่วงสิ่งที่พระองค์ทรงเห็นว่ามีค่า และพระองค์ทรงประสงค์จะรักษาไม่ให้มันเสียไป หรือเป็นมลทิน
1:3 แม้ว่าพระเจ้าจะทรงกริ้วช้า (ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งต่อชาวโลกที่ทำบาปต่อพระองค์) แต่พระองค์ทรงฤทธิ์ยิ่งนัก ถ้าเราอ่านอพยพ 34:6-7 ก็จะเห็นว่า พระองค์ทรงอธิบายให้โมเสสเห็นชัดว่า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าอย่างไร แบบไหน
ในขณะที่ผู้คนโลกโบราณถือว่า พายุ ลม ทะเล เมฆ และดาวต่าง ๆ เป็นพระเจ้า แต่พระเจ้าของอิสราเอลทรงเป็นพระเจ้าเหนือสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้น
1:4 ทะเล แม่น้ำ ภูเขา ผืนป่า ต่างเป็นของพระองค์ทั้งสิ้น เมื่อทรงกำราบ
สิ่งเหล่านั้น มันก็เหี่ยวแห้ง หมดท่าไป
1:5 ตอนที่คนอิสราเอลอยู่เชิงเขาซีนาย พวกเขาได้เห็นภูเขาสั่นสะเทือน พวกเขาพบเจอกับแผ่นดินไหวเพราะพระเจ้าสถิตที่นั่น คนอิสราเอลที่ได้ยินคำของนาฮูม เคยได้ยินเรื่องเหล่านี้ที่พ่อแม่เล่าให้ฟัง ทำให้พวกเขาเข้าใจจริงว่า พระเจ้าของเขาคือผู้ใด … (อพยพ 19)
ดังนั้น อาณาจักรอัสซีเรียนั้น เป็นเรื่องเล็กสำหรับพระองค์
1:6 ภาพที่นาฮูมทำให้เราเห็นนั้น น่าสยดสยองยิ่งนัก ไม่มีใครจะรอดได้จากความกริ้วของพระเจ้า คำว่าเดือดดาลในภาษาไทยเทียบได้กับคำฮีบรูว่า זַעַם (ซาอัม) แปลว่า โกรธมากจนเดือดเหมือนน้ำเดือด ไม่มีใครสามารถยืนหยัดทนได้เลย

หายนะของนีนะเวห์
7  พระเจ้าทรงประเสริฐ
ทรงเป็นที่ป้อมปราการในวันร้าย
พระองค์ทรงดูแลคนที่หลบภัยในพระองค์
8  แต่พระองค์จะทรงทำลายปฏิปักษ์ของพระองค์
อย่างสิ้นเชิงด้วยมวลน้ำท่วม
และจะทรงไล่ศัตรูของพระองค์เข้าไปสู่ความมืด
9 ไม่ว่าพวกเจ้าจะวางแผนต่อต้านพระยาห์เวห์แบบใดก็ตาม พระองค์จะทรงทำให้มันถึงจุดจบแน่
การกดขี่ข่มเหงจะไม่เกิดขึ้นซ้ำสอง
10 เพราะพวกเขาเป็นเหมือนกับดงหนามที่รัดกัน
เหมือนกับคนเมาเป๋ขณะดื่มเหล้า
เหมือนกับตอฟางถูกเผาผลาญจนแห้งสนิท 
11  มีผู้หนึ่งออกมาจากเจ้า
เป็นคนที่วางแผนชั่วต่อต้านองค์พระยาห์เวห์
เป็นผู้ให้คำปรึกษาที่ชั่วช้าไร้ค่า  

หายนะของนีนะเวห์
1:7 แต่เมื่อพระเจ้าทรงหันมายังคนที่เข้ามาหลบภัยในพระองค์ คือคนที่ยอมรับพระองค์เป็นพระเจ้าของพวกเขา คนที่เป็นของพระเจ้า พระเจ้าคือข่าวดี สำหรับคนที่เป็นคนชั่วร้าย พระเจ้าคือข่าวร้ายของพวกเขา
1:8 สองอย่างที่ศัตรูของพระเจ้าจะพบคือ พวกเขาจะเจอกับน้ำท่วมมิด และความมืดสนิท นั่นคือความตายทั้งฝ่ายร่างกายและฝ่ายวิญญาณ พวกเขาหนีไม่พ้น ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม จากการขุดค้นทางโบราณคดี เราได้พบว่า บาบิโลนได้เข้ามาและโจมตี เผาเมือง แล้วยังมีมวลน้ำจากแม่น้ำไทกริสเข้ามาท่วมเมืองด้วย น่าเสียดายในช่วงปีที่กลุ่มผู้ก่อการร้ายไอสิส (Isis)(2004-2019) กำลังมีอำนาจทางความรุนแรงในอิรักนั้น พวกเขาได้ทำลายสถานสำคัญทางโบราณคดีไปไม่น้อย
1:9 มีคนที่วางแผนต่อต้านพระเจ้ามาตั้งแต่สมัยโบราณจนปัจจุบัน พวกเขาไม่อาจทนความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าได้ แต่ยังคิดว่าตัวเองสามารถจัดการกับพระเจ้าด้วยการพยายามทำลายคนของพระองค์ และทำลายคนที่อ่อนแอกว่า พวกเขาลืมไปว่า พระเจ้าทรงยิ่งใหญ่และสามารถทำให้พวกเขาถึงความพินาศได้ในชั่วพริบตา
1:10 จากคนที่โอ่อ่าตระการ จากกองทัพที่ยิ่งใหญ่ นีนะเวห์จะกลายเป็นเหมือนดงหนาม คนเมา และตอฟางไหม้ …
1:11 ผู้หนึ่งที่ออกมาจากนีนะเวห์ หรือประเทศใด ๆ ก็ตามที่ต่อต้านพระเจ้านั้น เป็นคนที่ไร้ค่าแบบสุด ๆ คนชั่วนี้เป็นศัตรูของพระเจ้าโดยตรง “”}}}}

พระสัญญาเพื่อการช่วยกู้
12 พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ 
“แม้พวกเขาเข้มแข็งและมีจำนวนมาก
ก็ยังจะถูกโค่นลงจนสิ้นซากไป 
แม้เราจะทำให้เจ้าต้องทุกข์ทรมาน
เราจะไม่ทำอย่างนั้นต่อเจ้าอีก
13  เพราะบัดนี้เราจะหักแอกของพวกเขาจากเจ้า
และหักโซ่ตรวนที่มัดตัวเจ้าออก

1:12-13 แล้วพระเจ้าทรงหันมาตรัสกับคนของพระองค์คือชนอิสราเอล พวกเขาเป็นเชลยของอัสซีเรีย และถูกกระทำ ถูกกดขี่ข่มเหงหนัก แต่พระเจ้าทรงสัญญาว่าจะทรงทำลายอำนาจของอัสซีเรีย (นีนะเวห์) ที่มีเหนือพวกเขาให้สิ้นเหมือนกับเอาแอกและโซ่ออกจากนักโทษหรือวัวควาย The มีบันทึกว่าอัสซีเรียได้ข่มเหงอิสราเอลอย่างรุนแรง ทั้งเก็บภาษีสูงด้วย
(อ่าน 2 พงศ์กษัตริย์ 19:20-37, 2 พงศาวดาร 32:1-23; อิสยาห์ 37:27-38)
อัสซีเรียสิ้นซากไปนานเลย เพราะกว่านักโบราณคดีจะขุดค้นพบว่า นีนะเวห์อยู่ที่ไหน หน้าตาเป็นอย่างไรก็ใช้เวลานานกว่าที่อื่น ๆ ถ้าสนใจให้ดูจากนักโบราณคดี เครเมอร์ที่
https://www.youtube.com/watch?v=34XBkm4QiLo

สุดปลายทางของสองประเทศ
14 พระยาห์เวห์ทรงบัญชาถึงเจ้าดังนี้ 
“เจ้าจะไม่มีลูกหลานสืบวงศ์วานของเจ้าอีกต่อไป
เราจะทำลายรูปเคารพสลัก
และรูปหล่อจากวิหารของเทพทั้งหลายของเจ้า
เราจะเตรียมหลุมศพของเจ้า เพราะเจ้าชั่วช้ายิ่งนัก”
15 จงมองไปยังภูเขาเถิด
เท้าของผู้นำข่าวดี และเป็นผู้ประกาศสันติ
โอยูดาห์ จงฉลองเทศกาลต่าง ๆ ของเจ้า
จงทำตามที่เจ้าเคยปฏิญาณไว้
เพราะคนชั่วจะไม่บุกรุกเข้ามาอีกต่อไป
พวกเขาจะถูกทำลายจนสิ้นซาก

สุดปลายทางของสองประเทศ
1:14 แล้วต่อมาพระเจ้าตรัสกับกษัตริย์แห่งอัสซีเรียให้ชัดเจนว่า พระองค์จะทรงทำอะไรกับพวกเขา วงศ์วานของกษัตริย์ จะสูญพันธุ์ไป นับเป็นความน่าอับอายอย่างยิ่ง พระองค์ทรงยืนยันว่าจะทำลายศาสนา ความเชื่อของพวกเขา เตรียมลงหลุมไปได้ เวลาอัสซีเรียไปโจมตีที่ไหน ก็มักจะนำพวกรูปเคารพกลับมาเพื่อแสดงว่า พวกเขาใหญ่กว่าเทพเหล่านั้น
(นี่เป็นสิ่งที่ประเทศในโลกโบราณนิยมทำกัน)
แต่ชาวมีเดียนที่เข้ามาโจมตีเป็นพวกที่ไม่ชอบรูปเคารพ เลยทำลายรูปเคารพที่นีนะเวห์มีอยู่

1:15 ย้อนกลับไปดูอิสยาห์ 52:7 กล่าวถึงเท้าของผู้นำข่าวดีว่างามยิ่ง พระเจ้าทรงสัญญาให้พวกเขาพ้นจากการข่มเหง นาฮูมขอให้พวกเขามั่นใจโดยที่ให้ฉลองเทศกาลต่าง ๆ อย่างที่เคยทำ พวกเขาจะไม่พบการบุกรุกจากศัตรูอีก เพราะพวกเขาถูกทำลายสิ้นไปแล้ว

พระคำเชื่อมโยง

นาฮูม 1
1* เศฟันยาห์ 2:13
2* อพยพ 20:5
3* อพยพ 34:6-7; โยบ 9:4; สดุดี 18:17
4* มัทธิว 8:26; อิสยาห์ 33:9
6* มาลาคี 3:2

7* เยเรมีย์ 33:11; 2 ทิโมธี 2:19
9* สดุดี 2:1; 1 ซามูเอล 3:12
10* 2 ซามูเอล 23:6; นาฮูม 3:11; มาลาคี 4:1
12* อิสยาห์ 10:16-19, 33-34
14* เอเสเคียล 32:22-23; นาฮูม 3:6
15* โรม 10:15; อิสยาห์ 29:7-8

อาโมส 9 อนาคต..กลับสู่สภาพเดิม

จินตภาพที่ 5 : องค์พระยาห์เวห์ประทับข้าง ๆ แท่นบูชา 
1 ข้าพเจ้าเห็นองค์พระยาห์เวห์ประทับยืนข้าง ๆ แท่นบูชา และพระองค์ตรัสว่า “ จงฟาดลงไปที่ ยอดเสา เพื่อว่าธรณีประตูจะสั่นสะเทือน  และหล่นลงไปยังหัวของทุกคน  คนที่เหลืออยู่เราจะประหารด้วยดาบ  ไม่มีใครที่จะหนีรอดไปได้
ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่จะรอดไป 
2 หากพวกเขาขุดลึกลงไปถึงแดนคนตาย มือของเราจะดึงพวกเขาขึ้นมา หากพวกเขาปีนขึ้นไปยังฟ้าสวรรค์
เราก็จะฉุดพวกเขาลงมา 
3 หากพวกเขาหลบซ่อนตัวบนยอดเขาคารเมล
จากที่นั่นเราจะตามล่าและจับกุมพวกเขาลงมา 
หากพวกเขาพยายามลงไปยังพื้นทะเล
เพื่อแอบซ่อนจากสายตาของเรา
เราก็จะส่งงูพิษไปกัดพวกเขา
4  และหากพวกเขาถูกศัตรูกวาดไปเป็นเชลย
เราจะสั่งคมดาบให้ประหารพวกเขาเสีย 
เราจะจับตาดูพวกเขาเพื่อให้พวกเขาพบอันตราย
ไม่ใช่พบสิ่งที่ดี
5 พระยาห์เวห์ พระเจ้าองค์จอมทัพ
พระองค์ทรงแตะแผ่นดินโลก มันก็ละลาย
คนที่อาศัยในโลกก็คร่ำครวญ
เพราะทั่วแผ่นดินเอ่อล้นขึ้นมาเหมือนอย่างแม่น้ำไนล์
และลดลงเหมือนอย่างแม่น้ำไนล์ในอียิปต์ 
6 พระองค์ทรงสร้างที่ประทับเบื้องบนสูงส่งในฟ้าสวรรค์
และทรงวางรากฐานไว้บนแผ่นดินโลก
พระองค์ทรงเรียกน้ำทะเลขึ้นมา
และเทโปรยลงไปบนผืนโลก
 พระนามของพระองค์คือ พระยาห์เวห์
 

จินตภาพที่ 5 : องค์พระยาห์เวห์ประทับข้าง ๆ แท่นบูชา 

9:1 คราวนี้ อาโมสเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าในจินตภาพอีก ไม่ได้เห็นพระองค์จริง (ไม่มีใครเห็นพระเจ้าองค์จริงได้!)ทำไมพระองค์ประทับข้างแท่นบูชา เป็นแท่นบูชาในสะมาเรียใช่ไหม?​
ขอย้อนกลับไปดูจินตภาพทั้งหมด อาโมสเห็นอะไรบ้าง?
1 ฝูงตั๊กแตนที่เข้ามากินไร่นา อาโมสขอพระเจ้ายับยั้ง
2 ไฟที่เผาไหม้ อาโมสขอพระเจ้ายับยั้ง
3 สายดิ่งที่วัดกำแพง พระเจ้าจะทรงทำลายแท่นบูชา
4 ตะกร้าใส่ผลไม้สุก พระเจ้าจะให้อิสราเอลสิ้นสุด 
5 พระเจ้าประทับข้างแท่นบูชา พระเจ้าจะทรงประหารพวกเขาด้วยดาบ ไม่มีใครรอดไปได้ 
ครั้งนี้ พระเจ้าจะทรงสั่งให้ฟาดไปที่ยอดเสาเพื่อว่า ทั้งอาคารจะได้พังลงมาทั้งหมด พวกเขาที่อยู่ในวิหาร ร่าเริงกับการไหว้รูปเคารพจะต้องเสียชีวิตหมด ไม่ใช่เพราะวิหารล้มลงมาเท่านั้น คนที่เหลือจะถูกศัตรูฟาดฟันจนไม่มีใครรอดเลย  ถ้าจะมองว่าสิ่งที่พระเจ้าตรัสไม่ใช่แค่วิหารเหล่านั้น แต่เป็นทั้งระบบความเชื่อที่พวกเขาทำให้เบี่ยงเบนไปจากความเชื่อในพระเจ้าที่ส่งต่อกันมาตั้งแต่สมัยโมเสส

ประกาศการลงโทษ
7 พระยาห์เวห์ทรงประกาศ “อิสราเอลเอ๋ย
เจ้าเองก็เป็นเหมือนชาวคูชสำหรับเรามิใช่หรือ?  
เราไม่ได้นำอิสราเอลออกมาจากแผ่นดินอียิปต์
นำชาวฟีลิสเตียออกจากคัฟโทร์
และนำชาวอารัมออกจากเมืองคีร์หรอกหรือ?
8 ดูเถิด พระเนตรของพระยาห์เวห์องค์พระเจ้า
จับอยู่ที่อาณาจักรที่บาปชั่ว
เราจะทำลายมันให้หายไปจากพื้นโลก 
อย่างไรก็ตาม
เราจะไม่ทำลายวงศ์วานยาโคบให้สิ้นซาก”
พระยาห์เวห์ทรงประกาศ
9 “เพราะเรากำลังจะออกคำสั่งเราจะเขย่าวงศ์วานอิสราเอลท่ามกลางชาติต่าง ๆ เหมือนกับเขย่าด้วยกระด้ง
แต่จะไม่มีเมล็ดเดียวที่จะลอดหล่นลงพื้นดินไป
10 คนบาปทั้งหลายท่ามกลางประชากรของเราที่กล่าวว่า
“จะไม่มีวิบัติเกิดขึ้น หรือมาปะทะเรา”
คนเหล่านี้จะตายด้วยดาบ  

ประกาศการลงโทษ
9:7 ใน 3:2 พระเจ้าทรงบอกเขาว่า จากประชากรในโลกนี้ พระเจ้าทรงเลือกเขาเท่านั้น   แต่ตรงนี้ พระเจ้าทรงประกาศว่า แม้คนเอธิโอเปีย(คูช) อยู่ห่างไกล เป็นคนที่ไม่ได้ทรงเลือก คนฟีลิสเตีย คนอารัม (ซีเรีย) พระองค์ทรงปกครองเหนือพวกเขาเช่นกัน ดังนั้น พวกเขาอย่าคิดว่าตัวเองเป็นคนที่พระเจ้าทรงเลือกแล้วจะพ้นโทษ  

9:8 แทนที่เป็นอาณาจักรแห่งพระเกียรติและศักดิ์ศรี พระเจ้ากลับทรงจับจ้องที่อาณาจักรที่บาปชั่ว .. พระเจ้าจะทรงทำลายอาณาจักรอิสราเอลทางเหนือให้จบสิ้นไป  แต่ขอบคุณพระเจ้า พระองค์ยังทรงรักษาวงศ์วานยาโคบเอาไว้

9:9 การเขย่าร่อนด้วยกระด้งนั้นคือ สิ่งที่เป็นแกลบจะปลิวออกไป(คนที่ชั่วร้าย)  สิ่งที่เป็นเมล็ด (คนที่พระเจ้าทรงเลือกไว้)จะคงอยู่เป็นเมล็ดพันธุ์ต่อไป นั่นคือ ชนชาติอิสราเอลจะคงเหลืออยู่ คือคนที่ยังติดตามพระเจ้า แม้ว่าอาณาจักรถูกทำลายไปแล้ว (เลวีนิติ 26:33  เราจะให้พวกเจ้ากระจัดกระจายไปอยู่ตามชาติต่าง ๆ, โฮเชยา 9:17 พระเจ้าทรงเหวี่ยงเขาเพราะเขาไม่เชื่อฟัง จะเป็นคนพเนจรท่ามกลางชาติต่าง ๆ )
(Ellicott’s Commentary for English Readers และJamieson-Fausset-Brown Bible Commentary)

9:10 คนที่คิดว่าตัวเองจะรอด แต่ขณะเดียวกัน เหล่าผู้นำที่ไม่เชื่อฟังพระเจ้า พวกที่ไหว้รูปเคารพ ดูหมิ่นบทบัญญัติของพระเจ้า  คนที่ดูหมิ่นและเอาเปรียบผู้อื่น  .. พวกเขาจะถูกศัตรูฆ่า เหมือนในข้อสี่ได้บอกไว้

ประกาศที่ไม่คาดฝัน !
11 ในวันนั้น เราจะตั้งเต็นท์ของดาวิดที่ล้มลงขึ้นมาใหม่  เราจะซ่อมแซมส่วนที่แตกหักไป จะรื้อฟื้นสิ่งที่พังทลาย และสร้างขึ้นมาใหม่เหมือนวันวารในอดีต
12 เพื่อว่าพวกเขาจะครอบครองสิ่งที่เหลืออยู่ของเอโดม และชาติต่าง ๆ ทั้งปวงที่ถูกเรียกโดยนามของเรา
นี่เป็นคำประกาศของพระยาหเวห์ 
พระองค์จะทรงกระทำสิ่งเหล่านี้
13 จงฟัง นี่เป็นคำประกาศของพระยาห์เวห์ 
วันหนึ่งจะมาถึงเมื่อคนที่ไถจะตามทันคนที่ปลูก
และคนที่ย่ำองุ่นจะมีผลให้ย่ำมากมาย
จนทันเวลาหว่านเมล็ด
ภูเขาทั้งหลายจะมีเหล้าองุ่นใหม่หยดลงมา
และเนินเขาทั้งหลายจะเต็มด้วยเหล้าองุ่นใหม่เหล่านั้น
14 เราจะคืนความมั่งคั่ง รุ่งเรืองให้แก่อิสราเอลคนของเรา พวกเขาจะสร้างเมืองที่พังทลายนั้นขึ้นมาใหม่

จะปลูกสวนองุ่น และดื่มเหล้าองุ่น
เขาจะทำสวน และกินผลผลิตที่ได้มา 
15 เราจะปลูกอิสราเอลบนผืนดินของพวกเขา
และเขาจะไม่ถูกถอนรากจากแผ่นดินที่เรามอบให้เขาอีก” องค์พระยาห์เวห์ พระเจ้าของเจ้าตรัสดังนั้น 

 ประกาศที่ไม่คาดฝัน! 
9:11  ตรงนี้ น่าตื่นเต้น พระเจ้าบอกว่า เต็นท์ของดาวิดนั้นล้มลงไป พระเจ้าจะทรงซ่อม รื้อขึ้นมา สร้างขึ้นใหม่ ให้เหมือนเก่าที่เคยตั้งอยู่ นี่หมายความว่าอย่างไร  เต็นท์ของดาวิดคือ วงศ์วานของดาวิดนั่นเอง คนอิสราเอลและยูดาห์รู้ดีว่า ในสมัยของดาวิดนั้น พวกเขารุ่งเรืองขนาดไหน พวกเขายังรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน  ปลอดภัย มั่นคง เจริญก้าวหน้า ซึ่งตอนที่อาโมสเผยพระดำรัสนั้น เต็นท์ดาวิดถูกแบ่งเป็นทางเหนือและใต้   ถึงแม้ว่าทั้งสองจะถูกกวาดไปเป็นเชลยคนละทิศคนละทาง พระเจ้าจะทรงนำเขากลับมา และหนึ่งในลูกหลานของดาวิดจะเป็นผู้ปกครอง  (หลายท่านให้ความเห็นว่า นี่คือองค์พระเยซูคริสต์ ที่จะปกครองในพันปี)
 
9:12 อาโมสยังกล่าวถึงชนชาติต่าง ๆที่ถูกเรียกในนามของเรา นั่นคือ ผู้เชื่อที่เป็นชาวต่างชาติอย่างพวกเราใช่ไหม  งานนี้เป็นงานของพระองค์เท่านั้น
9:13 พระเจ้าจะทรงอวยพระพรคนของพระองค์ ให้คนไถตามทันคนปลูก นั่นคือ เก็บเกี่ยวได้เร็ว ได้มาก เป็นภาพของเกียรติสิริที่จะเกิดขึ้นกับอาณาจักรดาวิดที่รื้อฟื้นคืนมา (ผู้คนจะกลับมาแสวงหาพระเจ้า โฮเชยา 3:5)

9:14 พระเจ้าทรงให้คนของพระองค์บางส่วนกลับมา ใช่แล้ว พวกเขาจะกลับมาในแผ่นดินที่พวกเขาจากไป พวกเขาจะสร้างบ้านเรือนขึ้นมาใหม่ และพวกเขาจะไม่มีการถูกขับไล่ไปจากแผ่นดินนั้นอีก นี่เป็นการบ่งบอกว่า อิสราเอลจะได้กลับมาในแผ่นดินของเขาอีก (อิสยาห์ 11:12 พระเจ้าจะทรงรวบรวมยูดาห์ที่กระจายไปทั่วสี่มุมโลก เอเสเคียล 28:25-26 ก็กล่าวในทำนองเดียวกัน)

หมายเหตุปัจจุบัน::
พระเจ้าจะทรงนำอิสราเอลมายังแผ่นดินเดิมของเรา แม้ในวันนี้ ที่กำลังมีสงครามอิสราเอล กาซา  อิสราเอล อิหร่าน … (มิถุนายน 2025) ทั้งหมดนี้  ศัตรูมีแผนทำลายอิสราเอลให้หายไปจากแผนที่โลก เป็นความตั้งใจที่ศัตรูของพระเจ้าได้ใส่ไว้ในใจของผู้ทำลายเหล่านั้น แต่พระเจ้าจะทรงพิสูจน์ให้เห็นว่า แผนการของพระองค์เท่านั้นจะสำเร็จ
ดังนั้น หากเรากลับไปอ่านอาโมสใหม่ด้วยสายตาคนปัจจุบัน
เราจะเห็นการต่อสู้ฝ่ายวิญญาณที่ศัตรูของพระเจ้าพยายามทำลายคนของพระองค์ ด้วยการชวนให้พวกเขานมัสการรูปเคารพต่าง ๆ และทำให้พวกเขาต้องถูกพระเจ้าทำลายเอง  แต่แล้ว พระเจ้าทรงพระเมตตาที่จะทำให้อิสราเอลยังคงอยู่จนถึงวันนี้ 

พระคำเชื่อมโยง

อาโมส 9
1* ฮาบากุก 3:13; อาโมส 2:14
2* สดุดี 139:8; เยเรมีย์ 51:53
3* เยเรมีย์ 23:24
4* เลวีนิติ 26:33;
เยเรมีย์ 21:10; 39:16; 44:11

5* มีคาห์ 1:4; อาโมส 8:8
6* สดุดี 104:3, 13; อาโมส 5:8; 4:13; 5:27
7* เยเรมีย์ 47:4; เฉลยธรรมบัญญัติ 2:23 ;อาโมส 1:5
8* อาโมส 9:4; เยเรมีย์ 5:10; 30:11
9* อิสยาห์ 65:8-16

10* อาโมส 6:3
11* กิจการ 15:16-18
12* โอบาดีย์ 19; กันดารวิถี 24:18
13* เลวีนิติ 26:5 ;โยเอล 3:18
14* เยเรมีย์ 30:3, 18; อิสยาห์ 61:4
15* เอเสเคียล 34:28; 37:25

โรม 7 ต่อสู้กันตลอด

โรม 7:1
พี่น้องทั้งหลาย ท่านทุกคนเข้าใจบทบัญญัติของโมเสสอยู่แล้ว ดังนั้น ท่านรู้ว่า บทบัญญัติมีสิทธิอำนาจเหนือคน ๆ หนึ่ง ตราบเท่าที่เขายังมีชีวิตอยู่เท่านั้น

โรม 7:2-3
เช่น สตรีที่แต่งงานแล้วก็มีสัญญาผูกมัดกับสามีของเธอตราบเท่าที่เขามีชีวิต แต่หากเขาสิ้นชีวิตไป เธอก็จะพ้นจากกฎการสมรส หากเธอไปอยู่กับชายคนอื่นในขณะที่สามียังมีชีวิต บทบัญญัติแจ้งว่า เธอทำผิดประเวณี แต่หากสามีสิ้นชีวิตไป เธอก็เป็นอิสระจากกฎการสมรสนั้น  หากไปสมรสกับชายอื่น เธอก็ไม่ได้ผิดประเวณี

โรม 7:4
เช่นเดียวกัน พี่น้องชายหญิงเอ๋ย ชีวิตเก่าของท่านได้ตาย(ต่ออำนาจบทบัญญัติ)แล้วเมื่อท่านตายกับพระคริสต์
และบัดนี้ท่านเป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์ผู้ทรงคืนพระชนม์จากความตาย สิ่งที่ตามมาก็คือเพื่อเราจะได้เกิดผลเพื่อพระเจ้า

โรม 7:5
ก่อนหน้านี้ เราถูกควบคุมโดยธรรมชาติบาปในตัวเรา (เนื้อหนัง)  ความปรารถนาที่จะทำบาปนั้น ถูกเร้าขึ้นมาเพราะบท
บัญญัติทำงานในกายของเรา
เพื่อว่าสิ่งที่เราทำนั้น จะนำเราไปสู่ความตาย

โรม 7:6
แต่มาบัดนี้ เราเป็นอิสระจากบทบัญญัติเพราะเราได้ตายจากบทบัญญัติที่คอยควบคุมเรา เพื่อว่าเราจะรับใช้พระเจ้า
ด้วยหนทางใหม่พร้อมกับองค์พระวิญญาณ
ไม่ใช่ตามทางเดิมซึ่งเป็นกฎที่เขียนบันทึกเอาไว้

โรม 7:7
ถ้าอย่างนั้น เราจะพูดอย่างไร? ว่าบทบัญญัติคือบาปอย่างนั้นหรือ? ไม่สิจะไม่เป็นเช่นนั้น! ถ้าไม่เป็นเพราะบทบัญญัติ ข้าคงไม่รู้จักบาป ข้าจะไม่รู้จักว่าความโลภคืออะไร หากบทบัญญัติไม่ได้กล่าวว่า “อย่าโลภ!”

โรม 7:8
แต่บาปฉวยโอกาสที่จะใช้คำสั่งนั้น และทำให้ข้าอยากได้สิ่งต่าง ๆ ที่ข้าไม่ควรจะอยากได้ หากไม่มีบทบัญญัติ บาปก็ไม่มีอำนาจเหนือเรา (บาปก็ตายไปแล้ว

โรม 7:9-10
แต่ก่อน ข้าใช้ชีวิตโดยไม่มีบทบัญญัติ แต่พอมีคำบัญชามา บาปก็เกิดขึ้นข้าก็ตาย (ทำให้ข้ารู้ว่าข้าเป็นคนบาปที่ต้องรับโทษ)คำบัญชาที่ควรนำมาซึ่งชีวิตแต่กลับนำความตายมาให้ข้า

โรม 7:11-12
บาปนั้น ใช้โอกาสที่จะหลอกลวงข้าโดยใช้คำสั่งของบทบัญญัติมาทำให้ข้าต้องตาย
ดังนั้น บทบัญญัติ (νόμος)บริสุทธิ์ และคำบัญชา (ἐντολὴ)
ก็บริสุทธิ์ และถูกต้อง และดี

โรม 7:13
นี่หมายความว่า สิ่งที่ดีนำความตายมาให้ข้าอย่างนั้นหรือ?
จะไม่เป็นเช่นนั้น! บาปได้ใช้สิ่งดี(บัญญัติ)นำความตายมาให้ข้า  ที่เกิดขึ้นอย่างนี้ก็เพื่อข้าจะได้รู้ว่าบาปแท้เป็นอย่างไร คำบัญชา ถูกใช้เพื่อแสดงให้เห็นว่า บาปนั้นชั่วร้ายสุดขั้วขนาดไหน

โรม 7:14-15
เพราะเรารู้ว่า บทบัญญัติเป็นเรื่องฝ่ายวิญญาณ แต่ข้าเป็นฝ่ายธรรมชาติบาป(เนื้อหนัง)  เพราะบาปได้ควบคุมข้าดั่งว่าข้าเป็นทาสของมัน ข้าไม่เข้าใจสิ่งที่ข้าทำลงไป เพราะข้าไม่ได้ทำสิ่งที่ข้าต้องการทำ กลับลงมือทำสิ่งที่ข้าชัง

     

โรม 7:16-18
และหากข้าทำสิ่งที่ข้าเองไม่ต้องการทำเท่ากับข้าเห็นด้วยว่า บทบัญญัตินั้นดีดังนั้น ข้าจึงไม่ได้เป็นผู้ที่ทำสิ่งที่น่ารังเกียจนี้ แต่เป็นบาปที่อยู่ในตัวข้าต่างหากที่ลงมือทำเพราะข้ารู้ว่าไม่มีสิ่งดี
อาศัยอยู่ในธรรมชาติบาป(เนื้อหนัง)ของข้าเพราะข้าต้องการทำดี แต่กลับทำไม่ได้ 

โรม 7:19-20
เพราะข้าไม่ทำสิ่งดีที่ข้าต้องการทำ แต่ข้ากลับเฝ้ากระทำสิ่งชั่ว
ที่ข้าไม่ต้องการทำ 
ดังนั้น หากข้าทำสิ่งที่ข้าไม่ต้องการทำ
แสดงว่า ตัวข้าไม่ได้เป็นผู้กระทำแต่ธรรมชาติบาปในตัวข้าต่างหากที่ทำสิ่งนั้น

โรม 7:21-23
ดังนั้นข้าได้เรียนรู้กฎนี้คือ เมื่อข้าต้องการทำดี ความชั่วก็อยู่ในตัวข้า เพราะในส่วนลึกข้ายินดีกับบทบัญญัติของพระเจ้า แต่ข้าเห็นอำนาจอื่นที่ทำงานในตัวข้าซึ่งต่อสู้บทบัญญัติที่ข้ายอมรับ และยังจับกุมข้าเป็นเชลยของกฎแห่งบาปที่อยู่ในตัวของข้า

โรม 7:24-25
ข้าเป็นคนที่น่าสมเพชอะไรเช่นนี้  ใครจะช่วยข้าให้พ้นจากร่างแห่งความตายได้?
ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงช่วยข้าให้รอดผ่านองค์พระเยซูคริสต์เจ้า ในความคิดจิตใจ ข้าเป็นทาสกฎของพระเจ้า แต่..
ธรรมชาติบาปในตัว กลับเป็นทาสกฎแห่งบาป
 

โรม 7:1
ก่อนหน้านี้ท่านเปาโลพูดถึงว่า  เราจะเป็นทาสของใคร? ทาสของบาปและความตายหรือเป็นทาสของความเที่ยงธรรมและชีวิต  แต่มาตอนนี้ ท่านกำลังจะอธิบายว่า บทบัญญัติมีอำนาจเหนือคน ๆ หนึ่งอย่างจำกัด เฉพาะตอนที่เขายังมีชีวิตในเนื้อหนังเท่านั้น นั่นคือ บทบัญญัติมีผลเฉพาะกับคนที่อยู่
ใต้บัญญัติ (คนบาป)เท่านั้นการตายจากบทบัญญัติ เป็นเงื่อนไขเดียวที่ทำให้บัญญัตินั้นเป็นโมฆะกับบุคคลนั้น 

โรม 7:2-3
เช่นเดียวกับที่กฎการสมรสผูกพันชายหญิงที่ต่างยังมีชีวิตด้วยกัน  แต่ถ้าคนหนึ่งตายไป อีกคนที่เหลือก็หลุดจากกฎแห่งการสมรส เขาจะมีสถานภาพเป็นม่ายหรือเหมือนคนโสดอีกครั้งทีนี้ เขาก็อาจจะไปมีครอบครัวใหม่ได้ โดยไม่ได้ติดว่ายังมีสามีหรือภรรยาที่มีชีวิตอยู่ ท่านเปาโลนำเรื่องนี้มาพูดก็เพื่อให้เข้าใจชัดเจนว่ามีบางอย่างที่จะช่วยให้เราพ้นจากผลของบาปในชีวิตเรา …. 

โรม 7:4
เราอ่านช้า ๆ ให้เข้าใจว่า จากนี้ไปเราไม่เป็นทาสไม่ได้อยู่ใต้อำนาจของบทบัญญัติอีกต่อไปแล้วเพราะ เราได้ตายไปกับพระเยซู ฟื้นไปกับพระองค์
เรียบร้อยแล้ว จากชนชาติที่อยู่ใต้บทบัญญัติมาเป็นชนชาติแห่งชีวิตในพระเยซูคริสต์  มาเป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์  เมื่อก่อน ความดีที่ทำก็เป็นแค่ความดี เป็นแค่ผ้าขี้ริ้วที่เราเอามาอวดกันมาบัดนี้ ความดีเป็นความดีของพระเจ้าเพื่อพระเจ้า 

โรม 7:5
เวลาที่ไม่ได้อยู่ในพระเจ้า แต่อยู่ด้วยตัวเอง ด้วยการอยู่ใต้ข้อห้ามต่าง ๆ เรายิ่งอยากทำฝืนกฎต่าง ๆ เหล่านั้น สังเกตไหมว่า ศีล กฎ บทบัญญัติ
ต่างสอนให้เราทำในสิ่งที่ดูดี แต่ฝืนความอยากในตัวตนของเรา ความอยากของร่างกาย ทุกสังคมที่อยู่ใต้ศีลธรรม ข้อห้ามต่าง ๆ ล้วนแต่มีปัญหา
ของผู้คนที่ต้องบังคับตนเองด้วยกำลังของตนเองส่วนใหญ่ก็ไม่บังคับตัวเองเลย แต่ทำทุกอย่างตามใจ แล้วในที่สุด พวกเขาก็ลงไปสู่ความตาย

โรม 7:6
ตรงนี้เองแตกต่างมากจากความเชื่ออื่น ๆ ที่ทุกคนต้องพยายามทำความดี และก็มักเป็นเรื่องที่เพื่อนที่ไม่เชื่อของเรามักเอามาพูดว่า ทุกศาสนาสอนให้เป็นคนดี ความแตกต่างนั้นชัดเจนเพราะเราไม่ได้พยายามทำสิ่งที่ดีด้วยความสามารถของตนเองอีกต่อไป แต่พระวิญญาณทรงช่วยให้เราทำสิ่งดีตามน้ำพระทัยของพระเจ้าได้  การที่เราต้องพยายามด้วยตัวเองเดี่ยว ๆ นั้น ไม่เหมือนกับ ที่เราได้รับความช่วยเหลือจากพระเจ้าเลย!

โรม 7:7
คำถามต่อมาคือ บทบัญญัติเป็นบาปใช่ไหม? ท่านได้ใช้ตัวอย่างจากตัวเองมาอธิบายเรื่องนี้ท่านต้องการให้รู้ว่า แม้ผู้เชื่อในพระเจ้าจะไม่ได้เป็นคนที่อยู่ใต้บทบัญญัติเหมือนอย่างอิสราเอลสมัยโบราณ แต่บทบัญญัติก็เป็นสิ่งดีที่แจกแจงให้รู้ชัดเจนว่า บาปนั้นคือการกระทำ ความคิดแบบไหน เรามาหาพระเยซู รับการยกโทษบาปที่บทบัญญัติแจ้งให้ทราบว่า คืออะไรบ้าง ถ้าไม่มีบทบัญญัติเป็นมาตรฐาน เราอาจจะอ้างได้ว่า ฉันไม่บาป 

โรม 7:8
คนเรานี่เป็นเหมือนกันตั้งแต่โบราณจนทุกวันนี้คือเราอยากได้สิ่งที่เราไม่มี เหมือนอาดัมที่คิดว่าอยากได้ปัญญาแบบพระเจ้า  พอเราถูกห้ามเราก็ทำสิ่งนั้น บางทีจนกลายเป็นนิสัยไม่รู้สึกผิดถูกต่อไป บทบัญญัติได้ช่วยทำให้เห็นว่า เราล้มเหลวเรามีธรรมชาติบาปในตัวที่จะต่อต้านพระเจ้าเสมอ บทบัญญัติมีประโยชน์คือ ทำให้เรารู้ตัวว่าเป็นคนบาปแน่นอน เพราะไม่มีใครสักคนในพวกเราที่จะผ่านมาตรฐานของบทบัญญัติได้ 

โรม 7:9-10
ก่อนหน้านี้ ท่านเปาโลใช้ชีวิตโดยไม่ตระหนักรู้ถึงความหมายแท้จริงของบทบัญญัติและ คำบัญชา(แจ้งบาป) ดังนั้นท่านจึงรู้สึกเป็นคนเที่ยงธรรมโดยตนเอง เคร่งศาสนาเป็นคนไม่มีที่ติเลย(ฟีลิปปี 3:6) แต่เมื่อท่านเริ่มตระหนักถึงบทบัญญัติคำบัญชาของพระเจ้าจริง ๆ  ทำให้ท่านรู้ตัวว่า ท่านเป็นคนตายแล้ว เพราะบาปมากล้น จิตวิญญาณไม่มีชีวิต(ท่านเปาโลใช้สองคำคู่กันคือ บทบัญญัติ νόμος โนมอส และคำบัญชา ἐντολή เอนโทเล)

โรม 7:11-12
บาปหลอกลวงเราอย่างไร? หลอกเหมือนกับที่มารหลอกเอวาเลย หลอกให้เราทำตรงข้ามกับน้ำพระทัยของพระเจ้า  ปัญหาจึงไม่ใช่อยู่ที่บทบัญญัติหรือคำบัญชาของพระเจ้า แต่อยู่ที่ตัวเราเองว่าจะตัดสินใจฟังเสียงร่ำร้องของใจตัวเองและของมาร ของความสนุกสนานที่ดูสนุกจริง ๆ ไหมสรุปว่า บทบัญญัติและคำบัญชาบริสุทธิ์ถูกต้องดีบอกถึงสิ่งที่มนุษย์ควรทำ สิ่งที่ห้าม และไม่ให้ทำบาป เป้าหมายคือนำมาซึ่งชีวิตและพระพร

โรม 7:13
ในข้อที่สิบสามนี้ ท่านกำลังบอกเราว่า บัญญัติคำบัญชาของพระเจ้า ได้แจ้งให้เราทราบว่า บาปคือความคิด พฤติกรรมประเภทไหน ในบัญญัติสิบประการบอกภาพรวม ส่วนรายละเอียดบาปซึ่งท่านอธิบายไว้ในกาลาเทีย 5:19-21  ว่า บาปนำความตายมาให้นั้นก็คือ  เราได้ตระหนักแล้วว่าเราเองนั่นแหละเป็นคนบาป และสิ่งนั้นทำให้รู้ว่าเราพินาศแน่  เราต้องการพระผู้ช่วยให้รอดจริง ๆ

โรม 7:14-15
ที่ว่าบทบัญญัติเป็นเรื่องฝ่ายวิญญาณนั้นคือมาจากพระวิญญาณ เป็นสิ่งที่พระเจ้าประทานแก่มนุษย์  แต่คนเราถูกบาปควบคุมมาตั้งแต่สมัยอาดัม เราจึงเป็นทาสบาปมาแต่นั้น ท่านเปาโลเองแม้จะเชื่อฟังพระเจ้า รับใช้พระองค์ แต่ก็ยังไปไม่ถึงมาตรฐานของพระเจ้าในบทบัญญัติ  ท่านไม่เข้าใจตัวเองเพราะมักจะทำสิ่งที่ไม่ต้องการทำเสมอ ท่านจึงเข้าใจแล้วว่า แม้จะเชื่อพระเจ้าแต่ธรรมชาติบาปหรือเนื้อหนังก็ยังทำการในชีวิตอยู่

โรม 7:16-18
ท่านเปาโลเห็นว่า ตัวปัญหาคือ เนื้อหนังซึ่งเป็นธรรมชาติบาปในตัว! ท่านมองว่าท่านยังเป็นคนทุจริตผิดศีลธรรมอยู่ (โรม 3:10-18) ทั้งที่รู้ว่าอะไรควรไม่ควร แต่ก็ยังทำสิ่งที่ไม่ควรอยู่ท่านกำลังบอกเราถึงความจริงที่ว่า บาปยังคงมีผลกระทบ มีอิทธิพลต่อทุกด้านของตัวตนของเรา เราอาจเป็นคนดีในระดับที่มีดีมากกว่าเลว หรืออาจเป็นคนที่เลวมากกว่าดี ทั้งนี้เป็นผลของบาป

โรม 7:19-20
และแล้ว ท่านเปาโลก็สรุปว่า ที่ท่านยังคงทำบาปทั้ง ๆที่ไม่อยากทำ  เป็นเพราะบาปในตัวของท่านนี่เป็นการเน้น ย้ำ สิ่งที่กล่าวมาแล้วในข้อสิบห้า คือทำสิ่งที่ตัวเองเกลียดชังและข้อสิบเจ็ดที่ผ่านมาคือบาปนั่นแหละเป็นผู้กระทำ  ที่สำคัญคือ เมื่อเราเป็นคนใหม่ในพระเจ้า เราจะเห็นบาปที่เราทำอย่างชัดเจน เพราะเป็นการกระทำที่ตรงข้ามกับความเป็นคนใหม่ ถ้าเรายังไม่เกิดใหม่ เราจะไม่รู้สึกรู้สาอย่างที่ท่านเปาโลกำลังรู้สึกเลย 

โรม 7:21-23
ส่วนลึกตรงนี้คือความคิด จิตใจที่ยินดีในพระเจ้าในการที่จะอยู่ใกล้ชิดกับพระเจ้า (เอเฟซัส 3:16) แต่แล้ว ยังมีอำนาจหนึ่งที่ทำงานในตัว เป็นอำนาจที่จับตัวของท่านเปาโลให้เป็นเชลย  อะไรกันนี่? ท่านเปาโลพยายามจะบอกอะไร?  ท่านชี้ให้เราเห็นถึงกฎแห่งบาป นี้คือการที่มนุษย์มีแนวโน้มที่จะดื้อต่อสิ่งที่รู้ว่าถูกต้อง รู้ดี รู้ชั่วทั้งหมด เราต่างถูกบาปจับกุมตัวไปเป็นเชลย… นี่เป็นสภาพของมนุษย์ทุกคน 

โรม 7:24-25
ถึงแม้ว่าเราจะเชื่อวางใจพระเจ้า แต่เราก็ยังมีธรรมชาติบาปที่กระตุ้นให้เราทำสิ่งที่นำไปสู่ความตายเสมอ ท่านเปาโลเตือนให้เราไม่ปล่อยตัวไปตามนิสัยบาป (กาลาเทีย 5:13) เราจึงต้องคอยอธิษฐานเผื่อกันและกันไม่ให้ตกหลุมพรางของบาปถ้าพระเยซูคริสต์ไม่ได้มาเพื่อช่วยเราแล้ว เราก็จะตกในหลุมนี้ไปตลอด ศาสนาใด ๆ จึงช่วยเราไม่ได้เราต้องการฤทธิ์เดชแห่งการคืนพระชนม์ให้เราพ้นจากกฎแห่งบาปนี้ 

พระคำเชื่อมโยง

โรม 7
2* 1โครินธ์  7:39
3* มัทธิว 5:32
4* กาลาเทีย 2:19; 5:18, 22
5* โรม 6:13; ยากอบ 1:15
6* โรม 2:29

7* โรม 3:20; อพยพ 20:17; เฉลยธรรมบัญญัติ 5:21; กิจการ 20:33
8* โรม 4:15
10* เลวีนิติ 18:5
12* สดุดี 19:8
14* 2 พงศ์กษัตริย์ 17:17

15* กาลาเทีย 5:17
18* ปฐมกาล 6:5; 8:21
22* สดุดี 1:2; 2 โครินธ์ 4:16
23* กาลาเทีย 5:17; โรม 6:13,19
24* 1 โครินธ์  15:51-52
25* 1 โครินธ์  15:57