โฮเชยา 2 พระเมตตาต่อคนทรยศ

การพิพากษาและการรื้อฟื้นชุดที่สอง

เป็นเพราะเล่นชู้ อิสราเอลจะถูกลงโทษ
1 จงกล่าวแก่พี่ชายน้องชายว่า ‘ประชากรของเรา’
และกล่าวแก่พี่สาวน้องสาวว่า‘พวกเธอได้รับพระเมตตา’
2 “จงติเตียน ติเตียน แม่ของเจ้า
เพราะเธอไม่ใช่ภรรยาของเรา
และเราไม่ได้เป็นสามีของเธอ
ให้เธอหยุดทำสีหน้ายั่วยวนใจเสีย
และหยุดการล่วงประเวณีจากหว่างอกของเธอ 
3 มิฉะนั้น เราจะเปลื้องเธอให้เปลือยเปล่า
และเปิดเผยร่างกายของเธอ
เหมือนวันที่เธอเกิดมาในโลก
และให้เธอเป็นเหมือนถิ่นกันดาร
เป็นดินแดนที่แห้งผาก
และเราจะปล่อยให้เธอกระหายน้ำจนสิ้นลม 
4  เราจะไม่สงสารลูก ๆ ของเธอ
เพราะพวกเขาเป็นลูกจากความไม่ซื่อสัตย์
5 เป็นเพราะแม่ของพวกเขาเป็นคนไม่ซื่อสัตย์
ให้กำเนิดพวกเขามาอย่างน่าอับอาย
เพราะเธอคิดว่า “ฉันจะตามชู้รักของฉันไป
เพราะพวกเขาให้อาหารและน้ำ ผ้าขนสัตว์
และผ้าป่าน น้ำมันและเครื่องดื่มแก่ฉัน”

เป็นเพราะเล่นชู้ อิสราเอลจะถูกลงโทษ
2:1-2 ในตอนนี้ ดูเหมือนโฮเชยากล่าวกับโกเมอร์ แต่จริงแล้ว เป็นความหมายถึงอิสราเอล พี่ชายน้องชาย พี่สาวน้องสาว หมายถึงคนอิสราเอล และคนยูดาห์ แม่ของเจ้าคือ ผู้นำอิสราเอลทั้งหลายที่นำพาให้อิสราเอลทำผิด พระเจ้ากำลังบอกอิสราเอลว่า พระองค์ไม่ใช่สามีของพวกเขาอีกต่อไป และให้อิสราเอลเลิกวิ่งตามเทวรูป เลิกการกราบไหว้สิ่งเหล่านั้น ให้หยุด!!
เราเห็นความพยายามของพระเจ้าที่ทรงพยายามให้อิสราเอลได้ตระหนักรู้ว่า ทางของพวกเขานั้นนำสู่หายนะ พระเจ้าทรงเป็นดั่งสามีที่พยายามอย่างมากกับภรรยาที่ไม่ซื่อสัตย์ ยังมีความรัก ความเป็นห่วงเธอเป็นอย่างมาก และพยายามจะทำทุกอย่างทั้งลงโทษและปลอบใจ!

2:3-4 พระเจ้าจะทรงทำให้เขาต้องอับอาย เปิดโปงความชั่วให้ใคร ๆ ได้เห็น จะทรงทำให้แผ่นดินของพวกเขากันดาร ไม่มีฝน ไม่มีน้ำหล่อเลี้ยงการเกษตร พืชผลจะตาย ที่เป็นอย่างนี้เพราะคนของพระเจ้ากลับกลายเป็นวิ่งตามเทวรูปที่ช่วยอะไรไม่ได้ เป็นการดูหมิ่นพระเจ้าอย่างรุนแรง ​​​​​ พวกเขารักที่จะติดตามเทพบาอัลมากกว่าพระเจ้าเที่ยงแท้ ที่พระเจ้าตรัสว่า จะไม่สงสารลูก เพราะพวกเขาเป็นลูกที่ไร้ศีลธรรมไปด้วยเหมือนแม่
2:5 พวกเขาเข้าใจผิด คิดว่า เทพเจ้าต่าง ๆ เป็นผู้ให้ฝน ให้น้ำ ให้อาหารกับพวกเขา ลืมไปว่าใครคือพระผู้สร้าง ใครคือผู้ดำรงรักษาให้พวกเขามีชีวิต และก็ตั้งใจจะตามเทวรูปเหล่านั้น

เวลาเราอ่านพระคำตอนนี้ ต้องนึกเสมอว่า พระเจ้าตรัสเป็นภาพเปรียบเทียบพระองค์เป็นโฮเชยา และอิสราเอลเป็นโกเมอร์

พระเจ้าจะทรงริบสิ่งที่พวกเขามี
6  ดังนั้น เราจึงจะทำอย่างนี้ เราจะจะขวางทางของเธอด้วยพุ่มหนาม เราจะล้อมเธอ ด้วยกำแพงเพื่อว่าเธอจะจนตรอก หาทางไปไม่ได้
7 เธอจะวิ่งตามคนรักของเธอ แต่ไม่อาจจะจับพวกเขาได้ เธอจะตามหาพวกเขา แต่ก็ไม่พบ แล้วเธอจะคิดว่า “ฉันจะกลับไปหาสามีเก่า เพราะตอนนั้นฉันยังใช้ชีวิตดีกว่าตอนนี้”
8 ถึงอย่างนั้น จนกระทั่งตอนนี้ เธอไม่ได้ตระหนักเลยว่า เราคือผู้ที่ให้เมล็ดข้าว เหล้าองุ่นใหม่ และน้ำมันแก่เธอเอง เรามอบทั้งเงินและทองให้ ซึ่งเธอกลับเอาไปใช้สังเวยเทพบาอัล
9  ดังนั้น คราวนี้ เราจะกลับไปริบเมล็ดข้าวของเราคืนมาเมื่อมันสุก และเหล้าองุ่นใหม่เมื่อได้ที่ เราจะเอาคืนทั้งผ้าขนสัตว์ และผ้าลินินของเราที่ใช้ปกปิดร่างเปลือยของเธอ

2:6-9 คำว่าดังนั้น อาจแปลได้ว่า ดูเถิด … ในอนาคตอันใกล้ พระเจ้าจะทรงทำสิ่งที่รูปปั้นทำไม่ได้  พระองค์จะทำให้อิสราเอลจนตรอก  ขวางทางด้วยพุ่มหนาม  ถูกล้อมด้วยกำแพง จะทำอะไรก็ไม่สำเร็จสักอย่างหากยังกราบไหว้รูปเหล่านั้น ยังไม่กลับใจ ที่พระเจ้าทรงทำเช่นนั้นก็เพื่อจะได้คิดได้ว่าใครที่ประทานสิ่งดี เขาหารู้ไม่ว่า ที่จริงแล้ว พวกเขาต่างหากที่ปรนเปรอรูปปั้นด้วยอาหารและการกระทำที่น่ารังเกียจ
แล้วในที่สุด อิสราเอลจะคิดกลับมาหาพระเจ้า เพราะเข้าใจแล้วว่า อยู่กับพระองค์ดีกว่า


การลงโทษของพระเจ้า
 10 บัดนี้ เราจะเปิดเผยความเปลือยเปล่าของเธอต่อหน้าชู้รักทั้งหลาย และจะไม่มีใครมาช่วยเธอให้รอดจากมือของเรา 
11 เราจะหยุดงานเลี้ยงฉลองทั้งหมดของเธอ งานเทศกาล วันข้างขึ้น วันสะบาโต.. เทศกาลทั้งสิ้นของเธอ 
12 เราจะทำลายเถาองุ่นและต้นมะเดื่อ
ที่เธอมีจนหมด เธอคิดว่า
‘เหล่านี้เป็นค่าตัวที่คนรักทั้งหลายให้ฉันมา’
เราจะเปลี่ยนให้กลายเป็นพุ่มหนาม
ที่สัตว์ป่าทั้งหลายเข้ามาทึ้งกิน
13 และเราจะลงโทษเธอในวันเหล่านั้น
ที่เธอจุดเครื่องหอมสักการะเหล่าเทพบาอัล 
เธอประดับกายด้วยแหวนและอัญมณีต่าง ๆ
วิ่งตามพวกชู้รักเหล่านั้น แต่กลับลืมเรา” 
พระยาห์เวห์ทรงประกาศดังนั้น 

การลงโทษของพระเจ้า
2:10-13 แล้วพระเจ้าจะทรงลงโทษให้สาสมกับที่พวกเขาทำต่อพระองค์ เวลาไปกราบไหว้เทวรูปบาอัล ในพิธีขอความอุดมสมบูรณ์จากบาอัล พวกเขาจะถอดเสื้อผ้า เปลือยต่อหน้าผู้คน ต่อหน้าเทวรูปเหล่านั้น
พระเจ้าจะทรงให้เขาเปลือย แต่ไม่ใช่แบบที่พวกเขาคาดคิด เพราะพระองค์จะทรงทำให้พวกเขาไม่มีกิน ยากจน อดอยากจนกระทั่งแม้เสื้อผ้าก็ไม่มีใส่

ทรงแจ้งให้ทราบว่า พระองค์จะทรงเอาสิ่งที่ทรงให้พวกเขามาโดยตลอดนั้นคืนไป ไม่ว่าจะเป็นข้าว เหล้าองุ่น เสื้อผ้า  
ด้วยการลงโทษของพระองค์ ใคร ๆ ก็จะได้เห็นว่า พระองค์เป็นผู้ให้และเอาไป ไม่มีพระใด จะมาช่วยได้เลย งานเลี้ยงเทศกาลต่าง ๆ ต้องหยุดลง พืชไร่ต่าง ๆ จะไม่เหลือให้รับประทานต่อไป กลับกลายเป็นพุ่มหนามไปหมด   ทุกอย่างที่คิดว่าได้มาจากรูปเคารพนั้น ไม่มีความจริงเลย…
จะเห็นได้ว่า อิสราเอลไม่ได้มีพระที่เดียวแต่มีบนที่สูงหลาย ๆ แห่ง ใต้ต้นไม้ใหญ่หลายที่  เห็นที่ไหนเหมาะ พวกเขาก็จะตั้งเสา วางเทวรูป
แหวนและอัญมณี ทำให้เราเห็นภาพการไหว้รูปเคารพเพราะสิ่งเหล่านี้จะใช้ประดับในตัวของคนทำพิธี
พวกเขาหลงใหลทั้งเทวรูป และพิธีกรรม ทุกอย่างที่ประกอบกัน เป็นความน่าเกลียดน่าชัง และสามารถลืมพระเจ้าสนิท

อิสราเอลกลับใจในอนาคต รื้อฟื้นความสัมพันธ์
14 ดังนั้น เราจะชวนเธอไป พาเธอไปยังถิ่นกันดาร
และกล่าวกับเธออย่างอ่อนโยน  
15 เราจะคืนสวนองุ่นให้เธอ
และจะทำให้หุบเขาอาโคร์ (ความเดือดร้อน)
กลายเป็นประตูแห่งความหวัง และที่นั่นเอง
เธอจะร้องเพลงตอบรับเหมือนอย่างวันแรกรุ่น 
เหมือนวันที่เธอออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ 
16 ในวันนั้น พระยาห์เวห์ทรงประกาศว่า
เจ้าจะเรียกเราว่า ‘สามีของฉัน’  และไม่เรียกว่า
 ‘เจ้านายของฉัน’ อีกต่อไป
(หรืออีกอย่างคือไม่เรียกว่า เทพบาอัลของฉัน)
17 เพราะเราจะกำจัดชื่อเทพบาอัล
ออกไปจากปากของเธอ
ชื่อนั้นจะไม่เป็นที่จดจำอีกต่อไป
(หรือ ชื่อนั้นจะไม่ออกจากปากของเธออีกต่อไป)


พระเจ้าจะทรงสร้างความสัมพันธ์ใหม่กับอิสราเอล 
ก่อนหน้านี้ มีแต่พระพิโรธ พระองค์ทรงโกรธพวกเขาอย่างมาก แต่ดูสิ พระเจ้าทรงตั้งพระทัยหันกลับมาที่จะเมตตาอิสราเอลอีกครั้ง ข้อความตอนนี้ในภาษาเดิมบ่งบอกว่า จะเกิดขึ้นในไม่ช้า
2:14-17  พระเจ้าตรัสกับอิสราเอลอย่างอ่อนโยน  พระเจ้าตรัสกับหัวใจของอิสราเอล  ให้กลับมาจากการเป็นเชลย (เหมือนถิ่นกันดารสมัยโมเสส) พระเจ้าทรงพาไปถิ่นกันดารทำไม? … ที่นั่น มีความเงียบ และความอ้างว้าง มีโอกาสให้คิดทบทวนได้ ทรงสัญญาจะให้ความสมบูรณ์กลับมาอีก
ทรงย้อนไปถึงครั้งที่อาคานทำบาป และพระองค์ทรงตีสอนอิสราเอล (โยชูวา 7:24-26)  ที่แห่งนี้จะกลายเป็นความหวังที่จะได้คืนดีกับพระเจ้าอีกครั้ง  อ่านข้อความนี้เราจะเห็นว่า พระเจ้าปรารถนาเหลือเกินที่จะให้อิสราเอลได้สิ่งดี ๆ  แต่พวกเขาจะต้องรู้ว่า สิ่งดีที่ได้มานั้นไม่ได้มาจากเทพบาอัล แต่มาจากพระองค์ผู้เดียว 

เราจะเห็นคำว่า ในวันนั้น ซึ่งบ่งบอกถึงอนาคต   อิสราเอลจะไม่เรียกพระเจ้าว่า เทพบาอัลซึ่งแปลว่า  เจ้านาย อิสราเอลจะมีความสัมพันธ์ อย่างใกล้ชิดกับพระเจ้าอีกครั้ง
การกำจัดชื่อบาอัล ออกจากใจ ออกจากปากของอิสราเอลนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นง่าย ๆ ชั่วข้ามคืน แต่เป็นเวลานาน 70 ปีที่พวกเขาต้องถูกเนรเทศออกไปจากแผ่นดิน!



พันธสัญญาใหม่ที่จะทำกับอิสราเอลที่กลับใจแล้ว
18 ในวันนั้น เราจะทำพันธสัญญากับเหล่าสัตว์ป่า
นกในอากาศ และสัตว์ที่เลื้อยคลานบนดิน
เราจะทำลายธนู ดาบและอาวุธสงครามในแผ่นดิน
และจะทำให้ประชากรอยู่อย่างปลอดภัย 
19 เราจะให้เจ้ามาเป็นภรรยาของเราตลอดไป เราจะให้เจ้ามาเป็นภรรยาในความเที่ยงธรรม ความยุติธรรม ความรัก และความเห็นอกเห็นใจ
20 เราจะให้เจ้ามาเป็นภรรยาของเราในความซื่อตรง
แล้วเจ้าจะรู้จักองค์พระยาห์เวห์

ภาพการแต่งงานใหม่ที่งดงาม
2:18-20   เป็นความงดงาม เป็นความซื่อตรง เป็นสุภาพบุรุษ … เหมือนกับชายคนหนึ่งที่จะรับผู้หญิงคนหนึ่งเป็นของเขาตลอดไป โดยที่จะไม่ละทิ้งเธอไม่ว่าเธอจะเป็นเช่นไร เป็นการคืนดีที่งดงามอย่างยิ่ง เพราะครั้งนี้ภรรยาที่ถูกไถ่มา จะไม่มีการเล่นชู้อีกต่อไป
สิ่งที่สำคัญคือ พระองค์ทรงปรารถนาให้อิสราเอลรู้จักพระองค์จริง ๆ โดยที่พวกเขาจะอยู่ในความปลอดภัย พ้นจากสัตว์ร้าย และสงคราม

พระพร ทางการเกษตรที่จะเกิดขึ้นกับอิสราเอลที่กลับใจ
21 องค์พระยาห์เวห์ทรงประกาศว่า
ในวันนั้น เราจะตอบรับฟ้าสวรรค์
และเราจะตอบรับแผ่นดินโลก
22 ผืนแผ่นดินจะตอบรับเมล็ดข้าว  เหล้าองุ่นใหม่ และน้ำมัน และจะตอบรับยิสเรเอล (พระเจ้าทรงหว่าน)
 23  เราจะหว่านเธอไว้ในแผ่นดินนั้นเพื่อเราเอง 
เราจะแสดงความสงสาร ต่อผู้ที่ไม่ได้รับความสงสาร
เราจะเรียกคนที่ไม่ใช่ประชากรของเราว่า
“เจ้าคือประชากรของเรา” และเขาจะกล่าวว่า
“พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของข้าพเจ้า”

2:21-23 ความสัมพันธ์ใหม่นี้ มีลักษณ์คือ ยั่งยืนตลอดไป เที่ยงธรรม ยุติธรรม ความรัก ความเห็นใจ ความซื่อตรง การรู้จักกันอย่างใกล้ชิดของทั้งสองฝ่าย
ฟ้าสวรรค์เป็นพยานในการคืนดีครั้งนี้ จะให้มีฝนเพื่อแผ่นดินจะเกิดผลเป็นอาหารที่สมบูรณ์พูนสุข เป็นเวลาที่ทั้งโลกและสวรรค์ต่างชื่นชมยินดี
พระเจ้าจะทรงหว่านอิสราเอลขึ้นใหม่ในแผ่นดิน
พระเจ้าทรงเอาการแช่งสาปออกไป และครอบครัวกลับคืนดีกันอีก เป็นภาพของคริสตจักรของพระเจ้า
(1 เปโตร 2:9 พระเจ้าทรงให้ผู้เชื่อเป็นพงศ์พันธุ์ที่ทรงเลือกสรร เป็นปุโรหิตหลวง เป็นชนชาติบริสุทธิ์ เป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์​)
จากชื่อที่ว่า โลอัมมี ไม่ใช่ประชากรของเรา (โลอัมมี עַמִּי לֹ֣א)
พระเจ้าจะทรงเรียกเขาว่า เจ้าคือประชากรของเรา… (อัมมี עַמִּי)
เขาจะเรียกพระองค์ว่า พระเจ้าของข้าพเจ้า ( เอโลฮัย אֱלֹהָֽי)

พระคำเชื่อมโยง

2* อิสยาห์ 50:1 ; เอเสเคียล 16:25
3* เยเรมีย์ 13:22, 26; เอเสเคียล 16:4-7;
อาโมส 8:11-13
4* ยอห์น 8:41
5* โฮเชยา 2:8, 12
6* เพลงคร่ำครวญ 3:7, 9

7* ลูกา 15:17-18; เอเสเคียล 16:8; 23:4
8* อิสยาห์ 1:3
10* เอเสเคียล 16:37
11* อาโมส 5:21; 8:10
15* โยชูวา 7:26; เอเสเคียล 16:8-14; อพยพ 15:1

17* อพยพ 23:13
18* โยบ 5:23; อิสยาห์ 2:4; เลวีนิติ 26:5
20* เยเรมีย์ 31:33-34
21* เศคาริยาห์ 8:12
23* เยเรมีย์ 31:27; โฮเชยา 1:6; 1:10

โรม 4 ผ่านได้ด้วยความเชื่อ

โรม 4:1-2
ถ้าอย่างนั้น เรื่องที่ท่านอับราฮัม บรรพบุรุษของเรามีประสบการณ์เกี่ยวกับความเชื่อนั้นเราจะว่าอย่างไร?
หากอับราฮัมได้รับการประกาศว่าเป็นคนเที่ยงธรรม (ถูกต้องกับพระเจ้า)เนื่องจากความประพฤติของท่าน ท่านก็มีเหตุผลที่จะอวดได้ แต่นั่นไม่ใช่พระดำริของพระเจ้า 

โรม 4:3-4
เพราะพระคัมภีร์บอกเราว่า อับราฮัมเชื่อพระเจ้า และพระเจ้าทรงถือว่าท่านเป็นคนเที่ยงธรรม(ถูกต้องกับพระเจ้า)
เนื่องจากท่านเชื่อ .. เมื่อคนเราทำงาน ค่าจ้างไม่ใช่
ของขวัญ แต่เป็นสิ่งที่เขาลงมือทำ เพื่อได้ค่าจ้างนั้นมา

โรม 4:5-6
แต่คนที่ถูกนับว่าเป็นคนถูกต้องกับพระเจ้านั้นไม่ได้นับจากการประพฤติของเขา แต่จากการที่ เขาเชื่อในองค์พระเจ้าผู้ทรงอภัยบาปแก่คนบาป ดาวิดเองได้กล่าวถึงความสุขของคนที่ได้รับการนับว่าพ้นผิด (ถูกต้องกับพระเจ้า) โดยไม่อาศัยการประพฤติ


โรม 4:7-8
ความสุขเป็นของคนที่ได้รับการอภัย เนื่องจากการที่เขาได้ล่วงละเมิด คนที่ได้รับการกลบบาปให้พ้นไปความสุขเป็นของคนที่
พระเจ้าจะไม่ทรงถือโทษเขาอีกต่อไป

โรม 4:9-10 
นี่เป็นพระพรสำหรับคนเข้าสุหนัตเท่านั้น หรือสำหรับคนที่ไม่ได้เข้าสุหนัตด้วย? เพราะเรากล่าวว่า อับราฮัมถูกนับว่าเที่ยงธรรมเพราะความเชื่อ พระเจ้าทรงนับท่านเป็นคนเที่ยงธรรมก่อน
หรือหลังการเข้าสุหนัต?
(คำตอบคือ..)  เป็นก่อนการเข้าสุหนัตไม่ใช่หลังจากนั้น


โรม 4:11
อับราฮัมได้เข้าสุหนัตเป็นตราประทับความเที่ยงธรรมที่ท่านได้รับมาเพราะท่านเชื่อก่อนที่จะเข้าสุหนัต ดังนั้น อับราฮัมจึงเป็นบิดาของผู้เชื่อทุกคนที่ไม่ได้เข้าสุหนัต เพื่อว่าพระเจ้าจะทรงถือ
ว่าพวกเขาเป็นผู้ที่เที่ยงธรรมเช่นกัน 

โรม 4:14-15
หากคนเราสามารถรับสิ่งที่พระเจ้าทรงสัญญาด้วยการทำตามบทบัญญัติความเชื่อก็ไร้ค่า! และพระสัญญาที่มีต่ออับราฮัมก็ไร้ค่าด้วย เพราะบทบัญญัตินั้น นำพระพิโรธของพระเจ้ามาถึงเรา แต่หากไม่บทบัญญัติ ก็ไม่มีอะไรที่จะต้องละเมิดเลย 

โรม 4:16
ดังนั้น คนเราจึงได้รับพระสัญญาของพระเจ้าด้วยความเชื่อ ที่เป็นเช่นนี้เพื่อว่า พระสัญญาจะขึ้นอยู่กับพระคุณ โดยที่
ลูกหลานของอับราฮัมจะได้รับพระสัญญานั้นทุกคน  ไม่ได้ให้เฉพาะคนที่มีชีวิตใต้บทบัญญัติของโมเสส แต่สำหรับทุกคนที่มีความเชื่อเหมือนอับราฮัมผู้เป็นบิดาของเราทุกคน



โรม 4:17
ตามที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า “เราได้ให้เจ้าเป็นบิดาของชนชาติต่าง ๆ” (ปฐมกาล 17:5)
ต่อพระพักตร์พระเจ้าผู้ที่อับราฮัมเชื่อ
พระเจ้าผู้ประทานชีวิตให้กับคนที่ตายไปแล้วพระองค์ผู้ทรงสร้างสิ่งที่ไม่เคยมีให้เกิดขึ้นมา  

โรม 4:18
แม้ว่า การที่อับราฮัมจะมีลูกนั้นเป็นเรื่องที่ดูไร้ความหวัง
แต่อับราฮัมก็เชื่อพระเจ้า และยังคงหวังต่อไป และท่านก็ได้เป็นบิดาของชาติต่าง ๆ อย่างที่พระเจ้าตรัสกับท่านว่า
“ลูกหลานเจ้าจะมีมากมายเกินที่จะนับได้”

โรม 4:19-20
อับราฮัมอายุเกือบร้อยปีแล้ว ผ่านวัยที่จะมีลูก ร่างกายของท่านเป็นเหมือนคนตายแล้ว และครรภ์ของซาราห์ก็เช่นกัน ถึงแม้ว่าท่านจะคิดถึงเรื่องนี้ แต่ความเชื่อก็ไม่ได้ลดลงไปเลย  ท่านไม่ได้สงสัยหรือหยุดที่จะเชื่อว่าพระเจ้าทรงรักษาพระสัญญา
ท่านกลับมีความเชื่อมั่นคงยิ่งขึ้น และถวายพระเกียรติสิริแด่พระเจ้า


โรม 4:21-22
อับราฮัมแน่ใจว่า พระเจ้าทรงสามารถที่จะทำสิ่งที่พระองค์ทรงสัญญาดังนั้น พระเจ้าทรงรับความเชื่อของอับราฮัม และความเชื่อนั้นทำให้ท่านถูกนับว่า เป็นคนเที่ยงธรรม (ถูกต้องกับพระเจ้า)

โรม 4:23-24 
คำว่า “พระเจ้าทรงรับความเชื่อของอับราฮัม”ไม่ได้เขียนไว้เพื่ออับราฮัมคนเดียว แต่เพื่อพวกเราด้วย พระเจ้าจะทรงรับเราเช่นกัน เพราะเราเชื่อในพระองค์ผู้ทรงทำให้พระเยซูเจ้าของเราคืนพระชนม์จากความตาย

โรม 4:25
พระเยซูทรงถูกยื่นให้กับความตายเพราะความบาปของเรา
และพระองค์ทรงคืนพระชนม์จากความตาย
เพื่อทำให้เราถูกนับว่าเป็นคนเที่ยงธรรม
(ถูกต้องกับพระเจ้า)


โรม 4:1-2
เนื่องจากยิวมองว่า อับราฮัมเป็นตัวอย่างของผู้ที่เที่ยงธรรมเนื่องจากความเชื่อของท่าน  แต่ในขณะเดียวกัน คนยิวทั่วไปก็กำลังสนับสนุนให้คนเป็นผู้เที่ยงธรรม หรือถูกต้องกับพระเจ้าผ่านการกระทำตามธรรมบัญญัติ แสดงว่า ไม่ตรงกันกับท่านอับราฮัม …การเอาอับราฮัมมาเป็นตัวอย่างนี้ นับได้ว่า เป็นสติปัญญาเหนือชั้นของท่านเปาโลจริง ๆ เพราะค้านไม่ออกเลย

โรม 4:3-4
ท่านเปาโลได้อ้างพระคัมภีร์ที่ทั้งยิวและคริสเตียนเชื่อมั่นจาก ปฐมกาล 15:6 คือเมื่ออับราฮัมเชื่อเขาถูกนับว่า เป็นคนถูกต้องกับพระเจ้า ไม่ใช่ความดีที่เขากระทำ การเข้าสุหนัตของอับราฮัมตามคำบัญชาของพระเจ้า ก็ไม่ใช่ประเด็นที่ทำให้เขาถูกต้องกับพระเจ้า แต่เป็นความเชื่อมาก่อน การทำตามต่าง ๆ จึงตามมา แต่หลายคนมองเห็นลำดับขั้นของความเชื่อกลับทาง อับราฮัมเชื่อ จากนั้นทำทุกสิ่งตามพระบัญชา ไม่ใช่ทำแล้วจึงเชื่อ 

โรม 4:5-6
ท่านเปาโลย้ำแล้วย้ำอีก เรื่องการกระทำและความเชื่อซึ่งคนในสมัยปัจจุบันก็ยังมีการโต้เถียงกันในเรื่องนี้ไม่หยุดหย่อน  แล้วท่านเปาโลก็ย้อนกลับไปหลังสมัยอับราฮัม เป็นสมัยของกษัตริย์ดาวิดว่า ความจริงเรื่องนี้ ก็เป็นสิ่งที่บรรพบุรุษของเรามีความเข้าใจตรงกัน  แม้กษัตริย์ดาวิดจะเป็นคนที่ทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า เป็นบุรุษที่พระเจ้าทรงพอพระทัย แต่ท่านก็มีบาปใหญ่หลายอย่างทั้งที่บันทึกในพระคัมภีร์ และบาปในใจที่ไม่มีใครเห็น

โรม 4:7-8 
สำหรับกษัตริย์ดาวิด ท่านได้ล่วงละเมิด ไม่เชื่อฟังพระเจ้า ในช่วงเวลาที่ท่านทำผิดใหญ่หลวงกับอุรียาห์นั้น ชีวิตของท่านไม่ได้ต่อสู้ในสงครามแต่อยู่อย่างเป็นสุขในราชวัง ความบาปคืบคลานเข้ามากษัตริย์ดาวิดทำผิดมหันต์กับพระเจ้าอย่างนั้นทั้ง ๆที่พระเจ้าทรงตั้งให้เป็นกษัตริย์ เมื่อรู้ตัว ดาวิดเป็นเป็นทุกข์ทรมานยิ่งนัก การไม่ถือโทษจากพระเจ้าไม่ได้เกิดจากการทำดีของดาวิด แต่จากการกลับใจเชื่อวางใจในการตัดสินพระทัยของพระเจ้า  

โรม 4:9-10 
ตอนนี้ท่านเปาโลตั้งคำถามที่ทุกคนอยากจะถามคือ พระพรที่เชื่อแล้วได้รับความรอดนั้น เป็นของยิวเท่านั้น หรือเป็นของคนต่างชาติด้วยล่ะ เพราะคริสตจักรที่โรมนั้นมีทั้งคนยิวและคนต่างชาติปะปนกันอยู่  แล้วท่านก็ช่วยให้พวกเขาโล่งใจว่า พระเจ้าจะทรงรับคนที่เป็นต่างชาติ ที่ไม่ได้เข้าสุหนัต อย่างแน่นอน เพราะพระเจ้าทรงรับอับราฮัมเป็นคนเที่ยงธรรม ก่อนที่ท่านจะรับสุหนัต  

โรม 4:11
อับราฮัมจะเป็นดั่งบิดาของทั้งคนยิวและคนที่เชื่อซึ่งเป็นคนต่างชาติ ท่านเป็นตัวอย่างของคนที่เชื่อพระเจ้าโดยไม่พึ่งพาการทำพิธีอย่างที่คนยิวส่วน
ใหญ่เชื่อ  การทำสุหนัตของอับราฮัมเป็นการทำตามพระบัญชาของพระเจ้าเพื่อบอกว่า เขาและทั้งครอบครัวจะรักษาพันธสัญญาของพระองค์ตลอดไปทั้งลูกหลานของเขาในอนาคตด้วย (ปฐมกาล 17:9-16)

โรม 4:14-15
ความเชื่อไร้ค่า และบทบัญญัติไร้ค่าถ้าเรายังยึดถือการทำตามบทบัญญัติ มองไปรอบ ๆ ตัวเรา เราเห็นคนที่คิดว่าตนเองชอบธรรมได้โดยการรักษาศีลต่าง ๆ คนที่คิดว่าตนเองจะโอเค เมื่อเข้าไปบวชเรียน พวกเขาเข้าใจว่า เเขาจะได้รับการบรรลุ นั่นเป็นสิ่งที่น่าเสียดายยิ่งเพราะเป็นการโกหกตนเอง  ศีลธรรมที่มี บทบัญญัติที่พระเจ้าให้ไว้ก็เพื่อให้เรารู้ว่า ยังไง ๆ เราก็ละเมิดอยู่ดี ที่ความเชื่อสำคัญเพราะทำให้เราเลิกพึ่งตนเอง แต่พึ่งพระคุณเท่านั้น 

โรม 4:16
พระสัญญาของพระเจ้าที่มีต่ออับราฮัม มีพื้นฐานอยู่ที่ความเชื่อจริงจัง เชื่อมั่นคงต่อพระสัญญาที่ดูเหมือนเป็นไปไ่ม่ได้ นี่คือความรอดของเราก็ได้มาโดยความเชื่อ โดยพระคุณของพระเจ้าเท่านั้นที่ว่าพระคุณคือ เราตะเกียกตะกาย พยายามเอามาด้วยตนเองไม่ได้ แต่ขึ้นอยู่กับความโปรดปรานของพระเจ้า  ที่ว่าอับราฮัม เป็นบิดาของเราทุกคนที่เชื่อเพราะท่านได้ตามสัญญาโดยไม่ต้องผ่านพิธีกรรม ไม่ผ่านบัญญัติใด ๆ 

โรม 4:17
พระเจ้าประทานชีวิตให้กับคนที่ตายไปแล้ว มีความหมายถึงชายชราที่ไม่อาจให้กำเนิดบุตรได้ กับหญิงชราที่พ้นวัยการตั้งครรภ์ไปนานมากจนถือได้ว่า การเจริญพันธุ์สูญสิ้นไปเหลือแล้ว คืออับราฮัม อายุ 100 ปีและซาราห์ 90 ปี พระเจ้าผู้ทรงสร้างของเรา ทรงพอพระทัยที่จะทำอะไรเหนือธรรมชาติ พระองค์ก็ทรงทำได้อย่างที่ทรงประสงค์ทุกอย่าง ชนชาติอิสราเอลที่ไม่เคยมีมาก่อนจึงจะได้ถือกำเนิดขึ้นมา 

โรม 4:18
เวลาที่พระเจ้าทรงสัญญากับอับราฮัม เป็นเวลาเหมือนสายเกินไป  พระเจ้าไม่ได้มาทันเวลา แต่พระองค์ทรงมาก่อน ตามแผนการของพระองค์ทรงเห็นล่วงหน้าถึงชนชาติอิสราเอลที่จะมีจำนวน ถึงสองล้านกว่าคนตอนที่ออกมาจากอียิปต์ และยิ่งหากเราจะนับคนที่เชื่อในพระองค์ ในเวลานี้ก็เป็นอย่างที่พระเจ้าทรงบอกไว้ว่า ลูกหลานนั้นเกินที่จะนับได้ เพราะเกิดใหม่มากมายทุกวัน ตามที่ต่าง ๆ ของโลกทั่วทุกหัวระแหง

โรม 4:19-20
คนในสมัยโบราณรู้ดีว่า วัยเจริญพันธุ์ทั้งชายและหญิงนั้นอยู่ประมาณไหน จากพระคำข้อนี้เราเห็นว่า อับราฮัมตระหนักในใจว่า ธรรมชาติของมนุษย์ไม่มีทางที่จะมีลูกได้แน่ เวลาเราจะเชื่อพระเจ้าในเรื่องใด เรามักเชื่อเมื่อเราเห็นความเป็นไปได้ แต่สำหรับอับราฮัม เชื่อ .. เพราะพระสัญญา เชื่อ แม้ว่าเป็นไปไม่ได้แน่นอน  ท่านรู้จักพระเจ้าที่ท่านเชื่อ ได้พบพระองค์ คุยกับพระองค์ ต่อรองเรื่องเมืองโสโดมโกโมราห์ ท่านรู้จักพระเจ้าจริง!!

โรม 4:21-22
ในปฐมกาล 15:2 อับราฮัมคิดว่าบ่าวของท่านจะเป็นคนรับมรดกไป แต่พระเจ้าทรงเตือนในข้อ 5 ว่า ลูกหลานจะมากเหมือนดาว ท่านก็เปลี่ยนความคิดตั้งแต่นั้นทันที ในข้อ 6 บอกชัดเจนว่าท่านเชื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า  อุปสรรคขวางความเชื่อของท่านคือ ร่างกายของทั้งตัวท่านและภรรยาถึงกระนั้นความเชื่อของท่านมั่นคง ท่านแสดงให้เห็นว่า พระเจ้าจะทรงทำจริง อย่างที่พระองค์ตรัส เป็นการถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า!  

โรม 4:23-24 
การเชื่อว่าพระเจ้าทรงทำให้พระเยซูคืนพระชนม์จากความตายนั้น คือหัวใจสำคัญของความเชื่อในข่าวประเสริฐ (1 โครินธ์ 15:2-4) เราไม่ได้แค่เชื่อว่า พระเยซูทรงสิ้นพระชนม์เพื่อไถ่บาปเราเท่านั้น แต่เราเชื่อในการคืนพระชนม์ของพระองค์ด้วยอับราฮัมเป็นตัวอย่างของผู้ที่เชื่อ ทั้งที่ยังมองไม่เห็น เชื่อทั้งที่อะไร ๆ ก็ดูเป็นไปไม่ได้ เชื่ออย่างที่ถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าจริง ๆ

โรม 4:25
การถูกยื่นให้ความตาย คือ การถูกส่งให้ไปรับโทษบาปของมนุษย์ทั้งปวง เป็นการรับโทษบาปที่ไม่ได้ทรงกระทำเองเลยแม้แต่น้อย  และเมื่อทรงสิ้นพระชนม์แล้ว พระเจ้าทรงให้คืนพระชนม์ขึ้นมาเพื่อเราจะได้รับชีวิตที่ตายไปแล้วคืนมาเหมือนพระองค์ จะได้รับการประกาศว่า เราเป็นคนเที่ยงธรรม หรืออีกอย่างคือ เป็นคนที่ถูกต้องกับพระเจ้าการที่พระเยซูทรงคืนพระชนม์เท่ากับพระเจ้าทรงได้รับเครื่องบูชาไถ่บาปจากพระเยซูแล้ว 

พระคำเชื่อมโยง

1* อิสยาห์ 51:2; ยากอบ 2:21
2* โรม 3:20, 27
3* ปฐมกาล 15:6
4* โรม 11:6
5* เอเฟซัส 2:8-9; โยชูวา 24:2
6* สดุดี 32:1-2
7* สดุดี 32:1-2

11* ปฐมกาล 17:10; ลูกา 19:9
12* โรม 4:18-22
13* ปฐมกาล 17:4-6; 22:17
14* กาลาเทีย 3:18
15* โรม 3:20
16* โรม กาลาเทีย อิสยาห์
17* ปฐมกาล 17:5; โรม 8:11; 9:26


18* ปฐมกาล 15:5
19* ปฐมกาล 17:17; ฮีบรู 11:11
21* ฮีบรู 11:19
22* ปฐมกาล 15:6
23* โรม 15:4
24* กิจการ 2:24
25* อิสยาห์ 53:4-5; โครินธ์ 15:17

โรม 3 พ้นผิดได้ ด้วยพระคุณ

โรม 3:1-2
ถ้าอย่างนั้น คนยิวได้เปรียบอย่างไร? หรือการเข้าสุหนัตมีประโยชน์พิเศษอย่างไร?
มีสิ มีประโยชน์มากทุกด้าน อย่างแรกซึ่งสำคัญที่สุดคือ
พระเจ้าทรงมอบความไว้วางใจให้พวกเขารักษาพระดำรัสทั้งสิ้นของพระองค์

โรม 3:3-4
หากบางคนไม่เชื่อพระองค์ ที่เขาไม่เชื่อจะเป็นเหตุให้พระองค์ทรงล้มเลิกพระสัญญาอย่างนั้นหรือ? ไม่เลย พระเจ้าจะทรงซื่อตรงต่อไป แม้ว่าทุกคนกล่าวคำเท็จ ตามที่มีเขียนไว้ว่า “พระองค์จะได้รับการพิสูจน์ว่า  ทรงเป็นฝ่ายถูกเมื่อพระองค์ตรัสและพระองค์ทรงชนะ เมื่อพระองค์ทรงพิพากษา” (สดุดี 51:4)

โรม 3:5-6
บางคนอาจพูดว่า “ในเมื่อความบาปชั่วของเรามีประโยชน์ตรงที่ช่วยให้คนได้เห็นว่า พระเจ้าทรงเที่ยงธรรมขนาดไหน(ตามความเห็นแบบมนุษย์) มันไม่ยุติธรรมที่พระเจ้าจะทรงลงโทษเรา ไม่ใช่หรือ?  ไม่เลย.. หากพระเจ้าไม่ทรงยุติธรรมเต็มร้อย  พระองค์จะทรงพิพากษาโทษโลกได้อย่างไร?


โรม 3:7-8
คนหนึ่งอาจกล่าวว่า “เมื่อข้าโกหกทำให้เห็นพระสิริของพระเจ้ามากขึ้น เพราะการโกหกของข้าทำให้เห็นความจริงของพระเจ้า  แล้วทำไมข้าจึงถูกตัดสินว่าทำบาปเล่า? ทำไมไม่กล่าวว่า “มาทำความชั่วกัน ความดีจะได้เกิดขึ้น”? ตามที่มีบางคนใส่ร้ายว่าเราพูดอย่างนั้น  คนพวกนั้นสมควรที่จะได้รับการลงโทษ 

โรม 3:9
จะว่าอย่างไรดี? เราซึ่งเป็นยิว ดีกว่าคนอื่น
อย่างนั้นหรือ? ไม่เลย!
เราได้ชี้ให้เห็นแล้วว่า ทั้งคนยิวและคนต่างชาติ
ต่างอยู่ใต้อำนาจบาปกันทั้งนั้น

โรม 3:10-12
ดังที่มีพระคัมภีร์เขียนว่า ไม่มีสักคนที่มีความเที่ยงธรรม ไม่มีแม้แต่คนเดียว ไม่มีใครที่เข้าใจ ไม่มีใครที่แสวงหาพระเจ้า ทุกคนหันหลังกลับ ต่างกลายเป็นคนไร้ค่าไม่มีใครที่ทำความดี ไม่มีแม้แต่คนเดียว (สดุดี 14:1-3, 53:1-4)

โรม 3:13-14
ลำคอของพวกเขาเป็นเหมือนหลุมฝังศพที่เปิดอยู่ 
พวกเขาใช้ลิ้นของตนกล่าวคำหลอกลวง
คำของพวกเขาเป็นเหมือนพิษงูร้าย” ปากของพวกเขา
เต็มด้วยการสาปแช่งและความเกลียดชัง(สดุดี 10:7)

โรม 3:15-18
เท้าของพวกเขาพร้อมที่จะทำให้เกิดการนองเลือด เขาก่อให้เกิดหายนะและความทุกข์เข็ญตามทางที่เขาผ่านไป
พวกเขาไม่รู้จักชีวิตที่มีสันติสุข(อิสยาห์ 59:7-8)
ไม่มีความยำเกรงพระเจ้าในสายตาของพวกเขา(สดุดี 36:1)

โรม 3:19-20
เรารู้อยู่ว่า คำสั่งในบทบัญญัติก็มีเพื่อใช้กับคนที่อยู่ใต้บทบัญญัติ เพื่อหยุดคำแก้ตัว และนำทั้งโลกมาอยู่ใต้การพิพากษาของพระเจ้า  เพราะไม่มีใครจะถูกประกาศว่า เป็นคนถูกต้องกับพระเจ้าได้โดยการทำตามบทบัญญัติ เพราะบทบัญญัตินั้นมีเพื่อให้เราตระหนักรู้ว่า ตนทำบาป

โรม 3:21-22
แต่บัดนี้ วิธีการของพระเจ้าที่จะทำให้มนุษย์ได้ถูกต้องกับพระองค์ก็ปรากฏแก่เราแล้ว เป็นวิธีที่ทั้งบทบัญญัติ ผู้เผยพระดำรัสเป็นพยาน พระเจ้าทรงทำให้มนุษย์มีความถูกต้องกับพระเจ้าได้ก็โดยที่พวกเขาเข้ามาเชื่อในพระเยซูคริสต์ นี่เป็นความจริงสำหรับทุกคนที่เชื่อพระคริสต์ เพราะทุกคนไม่ได้แตกต่างกัน      

โรม 3:23-24
เพราะทุกคนทำบาป  และไม่อาจเข้าถึงพระสิริของพระเจ้าได้ (เพราะชีวิตต่ำกว่าระดับมาตรฐานอันทรงเกียรติของพระเจ้า)
เราทุกคนได้รับการประกาศว่า เป็นคนที่ถูกต้องกับพระเจ้า โดยพระคุณของพระองค์ซึ่งประทานให้เราโดย
พระเยซูคริสต์ทรงเป็นผู้ไถ่บาปนั้น

โรม 3:25
พระเจ้าได้ส่งพระองค์มาสิ้นพระชนม์ เป็นเครื่องบูชาเพื่อชดใช้(ลบ)บาปของมนุษย์ เพื่อมนุษย์จะตอบรับด้วยความเชื่อในพระโลหิตที่ทรงทำเช่นนั้นเพื่อแสดงว่าพระองค์ทรงถูกต้อง เพราะในอดีต ทรงอดกลั้นพระทัยไม่ลงโทษมนุษย์ที่ทำบาป 

โรม 3:26
ปัจจุบัน พระเจ้าประทานพระเยซูเพื่อแสดงว่าพระองค์ทรงทำสิ่งที่ชอบธรรม (ถูกต้อง)​พระเจ้าทรงทำเช่นนี้ เพื่อว่าพระองค์จะทรงพิพากษาอย่างยุติธรรม  และพระองค์ทรงถือว่าคนใดที่มีความเชื่อในพระเยซูคริสต์เป็นคนที่ถูกต้องกับพระองค์ (พ้นผิดแล้ว/เป็นคนชอบธรรม)

โรม 3:27
แล้วเราจะเอาอะไรมาอวดเรื่องตัวเราเอง?
ไม่มีเลย  ทำไมเราจึงอวดไม่ได้เล่า?
เป็นเพราะหลักของความเชื่อทำให้เราต้องหยุดการโอ้อวด 
ต่างจากหลักการประพฤตตามบทบัญญัติ
ที่ทำให้เอามาโอ้อวดได้

โรม 3:28-29
เราสรุปได้ว่า คน ๆ หนึ่งจะถูกต้องกับพระเจ้าได้ (พ้นผิดได้) ก็โดยความเชื่อ นอกเหนือไปจากการเชื่อฟังบทบัญญัติ
พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าของยิวเท่านั้นหรือ? พระองค์ไม่ทรงเป็นพระเจ้าของคนต่างชาติหรือ?  ใช่สิ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของคนต่างชาติด้วย

โรม 3:30
เพราะว่า มีพระเจ้าเพียงองค์เดียว พระองค์ทรงทำให้ยิว(คนเข้าสุหนัต)ถูกต้องกับพระองค์ด้วยความเชื่อ และทรงทำให้คนต่างชาติ (คนไม่เข้าสุหนัต)ถูกต้องกับพระองคก็โดยความเชื่อเช่นกัน

โรม 3:31
ถ้าอย่างนั้น เท่ากับเราล้มเลิกบทบัญญัติด้วยการใช้ความเชื่ออย่างนั้นหรือ? เปล่าเลย..จะไม่เป็นเช่นนั้น..
ความเชื่อต่างหากที่ช่วยให้เราใช้ชีวิตได้อย่างที่บทบัญญัติต้องการ 

อธิบายเพิ่มเติม

โรม 3:1-2
การรักษาพระดำรัสของพระเจ้าไว้ มีความหมายหลายอย่าง เป็นทั้งการส่งต่อเรื่องราวของพระเจ้าด้วยการเล่าด้วยปาก หรือเก็บรักษาสิ่งที่เขียนบันทึกไว้เป็นอย่างดี และยิวก็ได้ทำหน้าที่นี้อย่างสมบูรณ์แบบ พวกเขาเก็บรักษา คัดลอกพระดำรัสของพระเจ้าต่อเนื่องกันมาจากรุ่นสู่รุ่น รักษาให้ข้อความนั้นถูกต้องตามต้นฉบับ พวกเขาเอาจริงจังกับเรื่องนี้ และสามารถเก็บรักษาไว้แม้บ้านเมืองต้องเผชิญกับสงคราม หลายครั้ง เราเห็นได้ชัดในหนังสือม้วนแห่งทะเลตาย

โรม 3:3-4
พระเจ้าตรัสว่า พระองค์ทรงสร้างโลกมา. มนุษย์อ้างว่าไม่ใช่ โลกเกิดเอง  พระองค์ตรัสว่า ทรงสร้างมนุษย์เป็นชายและหญิง มนุษย์อ้างว่า ในโลกมีหลายเพศ เราจะเห็นว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้ที่มีอำนาจสูงสุด  อย่างไร ความจริงก็คือความจริง ยิ่งโลกดำเนินไปนานเท่าไร เรายิ่งพิสูจน์ได้มากขึ้น ๆ ว่า พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่ ทรงเป็นพระผู้สร้าง และพระเยซูทรงเป็นจริง ดำเนินในโลกเมื่อสองพันปีก่อน ทรงทำการอัศจรรย์ในวันนี้เหมือนที่ทรงทำในอดีต

โรม 3:5-6
พระคำข้อนี้ ถอดความให้เป็นภาษาที่ง่ายขึ้นอีก นั่นคือ  มีบางคนเห็นว่ายิ่งคนเราบาปเท่าไร พระเจ้าก็ยิ่งดูทรงธรรมมากขึ้นเพียงนั้น นั่นคือยิ่งคนทำชั่ว
พระเจ้ายิ่งดูดีมากเพียงนั้น พวกเขาจึงให้เหตุผลโง่ ๆว่า ถ้ามีประโยชน์อย่างนั้น  พระเจ้าก็ไม่ควรจะลงโทษคน เพราะไม่ยุติธรรม แต่ท่านเปาโลไม่เห็น
ด้วย ท่านมองว่า นี่เป็นคำถามโง่ ๆ ความยุติธรรมของพระเจ้านั้นพระองค์เป็นผู้วางมาตรฐาน  ไม่มีใครจะวางมาตรฐานใหม่ได้

โรม 3:7-8
คำพูดข้างบนนี้เป็นเรื่องเดียวกับสองข้อที่ผ่านมาอ่านครั้งแรกอาจเข้าใจว่า ข้อความที่ฝ่ายตรงข้ามท่านเปาโลพูดนั้นถูกต้อง แต่ที่จริงแล้ว พวกเขาแค่ต้องการเสนอว่า การทำบาปของเขาดีแล้วเพราะทำให้พระเจ้าทรงดูมีศักดิ์ศรีขึ้น (ซึ่งไม่เกี่ยวเลย) ดังนั้น พวกเขาจึงไม่ควรได้รับการพิพากษาโทษ ท่านเปาโลไม่ได้พยายามแก้ต่างคำที่พวกเขากล่าวมาเพียงแจ้งว่า คนเหล่านั้นควรรับโทษ 

โรม 3:9
คำถามคือ ที่เราเป็นยิวนั้น ดีกว่าคนต่างชาติอื่น ๆอย่างนั้นหรือ?  มีอะไรที่เราสามารถใช้เป็นเครื่องมือต่อรองให้เราไม่ได้รับโทษบาปได้บ้าง ปรากฏว่า แม้จะเป็นยิวที่พระเจ้าทรงเลือกให้เป็นชนชาติที่จะประกาศพระนาม เป็นชาติที่มีความรับผิดชอบพิเศษ แต่ยิวทุกคนก็ตกอยู่ใต้อำนาจบาปเหมือนกับชาวต่างชาติ  ความเข้าใจผิดในหมู่คนยิวก็คือเขาเป็นคนที่พระเจ้าทรงรักเป็นพิเศษ จึงดีกว่าคนอื่น เป็นยิวแล้ว ก็พ้นบาปได้เลย  

โรม 3:10-12
แม้ยิวมีสิทธิพิเศษเป็นชนชาติที่พระเจ้าทรงเลือกแต่พวกเขาก็ยังอยู่ในกลุ่มคนที่ไม่ได้ถูกต้องกับพระเจ้าตามที่ทรงประสงค์  ท่านเปาโลได้นำเอาหนังสือสดุดีมาย้ำเตือนให้ผู้อ่านได้เข้าใจว่า เรื่องนี้ เขารู้กันมาตั้งแต่สมัยดาวิดแล้ว ข้อ 10-12 ได้บอกให้เห็นถึงความบกพร่องของมนุษย์ ไม่สามารถเป็นคนที่ถูกต้องกับพระเจ้าได้เลย พวกเขาไม่เข้าใจ ไม่ตามหา ไม่ทำสิ่งที่ดี ถึงแม้เรามีคนที่ทำดี ดีมาก ๆ แต่แล้วพวกเขาก็ยังไม่ถึงมาตรฐานพระเจ้าอยู่ดี 

โรม 3:13-14
ท่านเปาโลทำให้เราเห็นชัดเจนว่า ความบาปที่เกิดขึ้นจากตัวมนุษย์นั้น มันเกิดจากอวัยวะที่บนหน้าตาของเรานี่เอง การระมัดระวังไม่ให้มีหลุมศพแห่งความตายอยู่ในตัวเราเป็นเรื่องที่ต้องใส่ใจ ยิ่งกว่านั้น ต้องระวังคำพูดที่สามารถทำลาย.. ซึ่งโลกทุกวันนี้ ใช้คำพูดทำลายได้ง่ายกว่าใช้อาวุธเสียอีกทั้งจิตใจ ความคิด ลำคอ ลิ้น ปากเต็มไปด้วยบาปและการดื้อด้านต่อพระเจ้า ที่ร้ายคือเวลาพูดออกไปนึกว่าตัวเองเก่ง ทั้ง ๆ ที่จริงแล้วไม่ใช่อย่างนั้น!

โรม 3:15-18
คนที่ไม่มีพระเจ้ามีความคิดว่า ชีวิตคนไม่มีค่าแต่อย่างใด จึงสามารถที่จะทำร้ายผู้อื่นได้อย่างไม่รู้สึกผิด เขาไม่ต้องเกรงกลัวผู้ที่มีอำนาจกว่าเขา เพราะเขาคิดว่า เขาใหญ่สุด ในโลกเราทุกวันนี้ แม้จะมีคนที่เกรงกลัวและไม่กล้าทำร้ายผู้อื่น แต่สงครามที่เรากำลังเผชิญในโลก ทำให้เราเห็นชัดเจนว่า มนุษย์กล้าฆ่า กล้าทำร้ายคนที่อ่อนแอกว่ายิ่งคนที่อ้างเอาพระมาเป็นเหตุผลของการทำร้ายนี่ยิ่งโหดเหี้ยมทารุณนัก

โรม 3:19-20
บทสรุปคำพิพากษาของพระเจ้านั้น พบว่าไม่มีใครสักคนในโลกที่เป็นคนบริสุทธิ์ ถูกต้องกับพระเจ้แบบไม่มีที่ติ กลับกลายเป็นว่า ทุกคนทั้งโลกต่างตระหนักดีว่า เขาแต่ละคนเป็นคนบาปที่ทำบาปทั้งนั้น  ไม่มีใครสักคนที่แก้ตัวได้ ไม่ว่าจะเป็นคนยิวที่พระเจ้าทรงเลือก หรือคนต่างชาติที่พระเจ้าทรงเรียกมาให้เข้าในแผ่นดินของพระองค์ เรามักเข้าใจว่าบัญญัติมีให้เราทำตาม แต่ประโยชน์ของบัญญัติอีกอย่างคือ แจ้งให้เรารู้ว่า เราบาปอะไรบ้าง  

โรม 3:21-22
ก่อนหน้านี้ ท่านเปาโลกล่าวถึงการพิพากษาของพระเจ้า แล้วท่านก็มาพูดถึงวิธีการที่พระเจ้าทรงช่วยให้มนุษย์ไม่ต้องถูกพิพากษาลงโทษ เป็นวิธีที่ไม่ได้ใช้บทบัญญัติ ไม่ใช้การทำตามศีลหลาย ๆข้อ แต่พระเจ้าทรงทำให้มนุษย์ถูกต้องกับพระองค์เมื่อเขามาเชื่อในพระเยซูคริสต์  ในภาษาของพระคัมภีร์ส่วนใหญ่ใช้คำว่า ทำให้มนุษย์เป็นคนชอบธรรม .. ซึ่งมีความหมายเดียวกับการเป็นคนที่ถูกต้องกับพระเจ้า 

โรม 3:23-24
เหตุใดเราจึงต้องการเป็นคนที่ถูกต้องกับพระเจ้า?อยู่ไปแบบเดิม ๆ ไม่ได้หรือ? ที่พระเจ้าทรงยื่นความเป็นอิสระจากบาปให้เรา ด้วยวิธีของพระองค์
คือด้วยชีวิตของพระเยซู  เราอาจคิดว่า เราเป็นคนดีเมื่อเทียบกับกับฆาตกร หรือคนที่ทำลายล้างคนเป็นจำนวนมาก เปล่าเลย ดูคนที่สอบตกสิ ไม่ว่าจะ
ตกด้วยสองคะแนนหรือสิบคะแนน เท่ากับเขาสอบตกอยู่ดี เราเองเป็นคนบาปที่ไม่อาจไปเทียบกับพระสิริของพระเจ้าเลย เราจึงต้องการพระเยซู!

โรม 3:25
พระเยซูทรงถูกพระเจ้าพิพากษาลงโทษแทนที่ตัวเราทุกคน  เราสมควรที่ถูกลงโทษด้วยความตายที่ทำให้แยกจากพระเจ้านิรันดร์  นี่แสดงว่า พระเจ้าพระบิดาทรงเที่ยงธรรม ทรงถูกต้องเพราะพระองค์ผู้บริสุทธิ์ ไม่อาจประณีประนอมกับความบาป หรือปล่อยให้บาปลอยนวลไปได้  ในเวลาเดียวกับที่ทรงเว้นโทษคนที่สมควรรับโทษโดยให้พระบุตรพระเจ้ามาทรงรับโทษนั้นแทนโทษบาปที่คนนั้นต้องรับ  

โรม 3:26
นี่คือเหตุผลของการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ถ้าเราอ่านเฉพาะพระกิตติคุณทั้งสี่เล่ม เราอาจไม่เข้าใจชัดเจนถึงการสิ้นพระชนม์ของพระบุตรพระเจ้า เพราะดูเหมือนเป็นความพ่ายแพ้ของพระเจ้าต่อเหล่าฟาริสี ธรรมาจารย์ และโรม แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่ .. พระเยซูทรงแสดงว่า พระเจ้าทรงพิพากษาอย่างยุติธรรมแล้ว
ทรงลงโทษบาปของมนุษย์แล้วผ่านพระองค์ 

โรม 3:27
ตรงนี้ ท่านเปาโลกำลังกล่าวถึงยิวทั้งหลายที่ชอบอวดอ้างความดีของตน ความสามารถในการรักษาบทบัญญัติของโมเสส  พวกเขาอวดว่า เป็นคนใกล้ชิดกับพระเจ้า (โรม 2:17) อวดว่าตนเองไม่ล่วงประเวณี ไม่กราบไหว้รูปเคารพไม่ละเมิดบทบัญญัติ ฯลฯ  และคนกลุ่มฟาริสีธรรมาจารย์เองที่เป็นศัตรูของพระเยซู  โดยเอาการที่พระองค์ทรงละเมิดบัญญัติสะบาโต (ตามการตีความของพวกเขา)

โรม 3:28-29
เวลาเราอ่านหนังสือโรมบทที่สามตอนนี้ เราอาจมองเห็นคำพูดที่มีความหมายอันเดียวกัน แต่พูดด้วยมุมมองต่าง ๆ  เป็นความชัดเจนในเรื่องของคนยิว คนต่างชาติ  สุหนัต ไม่เข้าสุหนัต เรื่องบทบัญญัติ กับความเชื่อ  ส่วนใหญ่พระคัมภีร์จะใช้คำว่า เราจะเป็นคนชอบธรรมได้โดยความเชื่อ นั้นมีความหมายเดียวกับว่า เราจะเป็นคนที่พ้นผิดเป็นคนที่พระเจ้าไม่ทรงถือโทษแล้ว  

โรม 3:30
คนทั้งโลก ทุกคน ไม่เว้นใครเลย จะถูกต้องกับพระเจ้าได้ จะได้รับการถือว่าเป็นคนเที่ยงธรรมพ้นผิดได้ ก็โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ นี่ทำให้เราเห็นว่า มนุษย์เท่าเทียมกัน ทั้งเป็นเพราะพระเจ้าทรงเป็นพระผู้สร้างพวกเขามา และหนทางที่จะไปหาพระบิดา พระเจ้าองค์นั้น ก็เป็นหนทางอันเดียวกัน คือ ต้องเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์!ไม่มีใครได้อภิสิทธิ์เหนือใครเลย นี่เท่ากับหักหน้ายิวอย่างรุนแรง

โรม 3:31
Nelson bible study กล่าวว่าคำว่าบทบัญญัติมีความหมายสามอย่าง 1.บทบัญญัติจากโมเสส 2.พระคัมภีร์เดิมทั้งหมดที่ยิวใช้ 3.บทบัญญัติทางศีลธรรมโดยทั่วไป ถ้าเป็นบัญญัติโมเสส พระเยซูทรงทำให้สำเร็จเสร็จสิ้นแล้ว ถ้าเป็นพระคัมภีร์เดิมเท่ากับการมาของพระเยซูทำให้คำพยากรณ์ทั้งสิ้นสำเร็จ การยกโทษบาปจากพระเจ้ามาถึงมนุษย์แล้วถ้าเป็นข้อสามมนุษย์ใช้ชีวิตอย่างถูกต้องได้โดยฤทธิ์แห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์! 

พระคำเชื่อมโยง

2* เฉลยธรรมบัญญัติ 4:5-8
3* ฮีบรู 4:2; 2 ทิโมธี 2:13
4* โยบ 40:8 ; ยอห์น 3:33; สดุดี  62:9; 51:4
5* กาลาเทีย 3:15
6* ปฐมกาล 18:25
8* โรม 5:20

9* กาลาเทีย 3:22
10* สดุดี 14:1-3; 53:1-3; ปัญญาจารย์ 7:20
13* สดุดี 5:9; 140:3
14* สดุดี 10:7
15* สุภาษิต 1:16; อิสยาห์ 59:7-8
18* สดุดี 36:1

19* ยอห์น 10:34; โยบ 5:16
20* กาลาเทีย 2:16
21* กิจการ 15:11; ยอห์น 5:46; 1 เปโตร 1:10
22* โคโลสี 3:11
23* กาลาเทีย 3:22
24* เอเฟซัส 2:8; ฮีบรู 9:12;15 

โฮเชยา 1 การแต่งงานที่น่าพิศวง

พระดำรัสเรื่องการพิพากษาและการรื้อฟื้นชุดแรก
1 พระดำรัสของพระยาห์เวห์มายังโฮเชยา ลูกชายของเบเออรี ในรัชกาลอุสซียาห์ โยธาม อาหัส และเฮเซคียาห์ แห่งยูดาห์ และในรัชกาลกษัตริย์เยโรโบอัม โอรสกษัตริย์เยโฮอาช (หรือโยอาช)แห่งอิสราเอล  (793-752 BC.)

สัญญลักษณ์ของคำตัดสินที่จะมาถึง
2  เมื่อองค์พระยาห์เวห์เริ่มตรัสกับโฮเชยานั้น  พระองค์ตรัสดังนี้ “จงไปรับหญิงโสเภณีมาเป็นภรรยา  และมีลูกจากความไม่ซื่อสัตย์ของนาง เพราะแผ่นดินนี้กระทำความผิดประเวณีอย่างโจ่งแจ้งโดยการละทิ้งองค์พระยาห์เวห์”
3 ดังนั้นเขาจึงไปรับโกเมอร์ ลูกสาวของดิบลาอิมมาเป็นภรรยาและเธอได้ตั้งครรภ์ คลอดลูกให้เขาคนหนึ่ง 
4  แล้วพระยาห์เวห์ตรัสกับเขาว่า
“จงเรียกชื่อเด็กชายคนนี้ว่า ยิสเรเอล เพราะอีกไม่นานนัก เราจะลงโทษวงศ์วานเยฮูที่ได้สังหารผู้คนครั้งใหญ่ที่ยิสเรเอล และเราจะทำให้อาณาจักรของวงศ์วานอิสราเอลสิ้นสุดลง
5 ในวันนั้น เราจะหักธนูของอิสราเอลในหุบเขายิสเรเอล”

พระดำรัสเรื่องการพิพากษาและการรื้อฟื้นชุดแรก
ช่วงนี้ของโฮเชยา ถ้าดูในประวัติศาสตร์โลกก็คือ กรีซ เริ่มเรืองอำนาจ เพิ่งตั้งโรมขึ้นมา ปี 753 BC อัสซีเรียเองก็มีอำนาจมากในแถบนั้น
เบื้องหลังของโฮเชยา อยู่ที่ 2 พงศาวดาร 26-32 , 2 พงศ์กษัตริย์  15-20 (บรรดากษัตริย์ของยูดาห์)โฮเชยาอยู่ทางเหนือ แต่กลับพูดถึงกษัตริย์ทางใต้หลายองค์  พูดถึงกษัตริย์ทางเหนือเพียงหนึ่ง เพราะกษัตริย์องค์ต่อ ๆ มา ถูกลอบสังหาร…  

สัญญลักษณ์ของคำตัดสินที่จะมาถึง
อิสราเอล = โกเมอร์  
1:2-5
สิ่งแรกที่พระเจ้าทรงบัญชาโฮเชยาคือ ไปรับหญิงขายตัว มาเป็นภรรยา ดูเหมือนว่า โกเมอร์เป็นผู้หญิงที่ขายบริการในวิหารเทวรูปเพื่อการบูชาเทพเจ้าต่าง ๆ และพระองค์ทรง เปรียบเทียบผู้หญิงที่ไม่ซื่อสัตย์ต่อสามี  กับอิสราเอล พระองค์ตรัสชัดเจนว่า แผ่นดินได้ทำผิดอย่างเปิดเผย พวกเขาละทิ้งพระเจ้าไป เรื่องของโฮเชยาจะสะท้อนให้เห็นว่า พระเจ้าทรง ทำพันธสัญญากับอิสราเอล เริ่มต้นดี แต่อีกฝ่ายกลับทรยศ  (เอเสเคียล 16 คนเยรูซาเล็มไม่ซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าเหมือนกับคนอิสราเอล)
แล้วโฮเชยา (ชื่อความหมายว่า ช่วยกู้ให้รอด มาจากรากศัพท์ว่า ยาชาห์ โยชูวา) ก็มีลูกคนแรกเป็นชายเป็นลูกของโฮเชยา ชื่อ ยิสราเอล แปลว่า พระเจ้าทรงหว่าน   ขณะเดียวกันก็เป็นชื่อเดียวกับเมืองในอิสราเอลทางเหนือ  
เด็กคนนี้เกิดมาเพื่อบอกให้รู้ว่า พระเจ้าจะทรงลงโทษอิสราเอลที่เยฮูทำลายอาหับ และเยเซเบล แต่เขาทำโหดร้ายเกินเหตุ !
( 2พงศ์กษัตริย์ บทที่ 9-10)

สัญลักษณ์ของลูกสองคนหลัง
6 แล้วโกเมอร์ก็ตั้งครรภ์อีกครั้งคลอดลูกสาว และพระยาห์ตรัสกับเขาว่า “จงเรียกเธอว่า โลรุหะมาห์ (แปลว่า ไม่เมตตา) เพราะเราจะไม่เมตตาต่อวงศ์วานอิสราเอลอีกต่อไป เราจะไม่ยกโทษให้พวกเขาอีกเลย
7 แต่เราจะสงสารวงศ์วานยูดาห์ และช่วยพวกเขาโดยไม่ใช้ธนู ดาบ หรือสงคราม หรือโดยม้าและพลม้า

8 หลังจากที่โกเมอร์หย่านมลูกโลรุหะมาห์แล้ว
เธอก็ตั้งครรภ์ และมีลูกชายอีกคน
9 แล้วพระยาห์เวห์ตรัสว่า
จงเรียกเขาว่า โลอัมมี เพราะเจ้าไม่ใช่ประชากรของเรา
และเราไม่เป็นพระเจ้าของเจ้า(หรือ เราไม่เป็นของเจ้า)

สัญลักษณ์ของลูกสองคนหลัง
1:6-9 (อิสราเอลเป็นประชาชนทางเหนือ ยูดาห์เป็นประชาชนทางใต้)
คนที่สองเป็นลูกสาว ชื่อ โลรุหะมาห์ = ไม่เมตตา เป็นการสะท้อนให้เห็นว่า พระเจ้าจะไม่ทรงเมตตาอิสราเอล แลัวพระเจ้าตรัสว่า จะเมตตายูดาห์

พระเจ้าจะทรงช่วยยูดาห์ อาณาจักรทางใต้ในอนาคต นั่นคือในช่วงปี 701 ก่อนคริสต์ศักราชวันนั้นพระเจ้าทรงทำลายกองทัพอัสซีเรียนอกเมืองอย่างมหัศจรรย์ เป็นจริงตามที่ทรงบอกผ่านโฮเชยา (อ่าน พงศ์กษัตริย์ 19:32-36, อิสยาห์ 37) เยรูซาเล็มเป็นนครใหญ่เดียวที่ไม่ตกเป็นของอัสซีเรียในช่วงเวลานั้น

คนที่สามเป็นลูกชาย ชื่อ โลอัมมี = ไม่ใช่ประชากรของเรา    ทำให้รู้ว่า พระเจ้าจะทรงจบพันธสัญญาที่มีกับพวกเขา ดู เลวีนิติ 26:12 ที่ทรงสัญญากับเขาว่า เราจะดำเนินในหมู่พวกเจ้า และเจ้าจะเป็นประชากรของเรา แต่ชื่อของโลอัมมีเป็นคำตรงข้ามกับพระสัญญานี้ และข้อต่อ ๆ มาจะเห็นว่า หากพวกเขาไม่ฟังพระเจ้าอะไรร้าย ๆ จะเกิดขึ้นบ้าง (เลวีนิติ 26:14-39) 
ชื่อของลูกทั้งสามพระเจ้าทรงตั้งให้ ต่างสื่อความหมายชัดเจนเพื่อเตือนทุกคนที่ได้ยินชื่อเหล่านี้ให้นึกถึงความสัมพันธ์ที่ขาดสะบั้นระหว่างพระยาห์เวห์และอิสราเอล แต่ละชื่อบ่งบอกให้เตรียมตัวรับการพิพากษา

พระสัญญาว่าจะรื้อฟื้น……..
10 ถึงอย่างนั้น จำนวนของคนอิสราเอลก็มหาศาลราวกับเม็ดทรายชายทะเล ซึ่งไม่อาจจะตวงหรือนับไม่ได้ และในที่ซึ่งพวกเขาถูกกล่าวถึงว่า  ‘เจ้าไม่ใช่ประชากรของเรา’ นั้น พวกเขาจะถูกเรียกว่า
‘เหล่าบุตรของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์’ (โรม 9:26)
11 แล้วคนยูดาห์ และคนอิสราเอลจะรวมตัวกันอีก พวกเขาจะแต่งตั้งผู้นำคนหนึ่ง และจะขึ้นไปจากแผ่นดิน
เพราะวันของยิสเรเอลจะเป็นวันที่ยิ่งใหญ่ 
!”

พระสัญญาว่าจะรื้อฟื้น……..
1:10-11
แต่พระเจ้าทรงเมตตาล้นเหลือ จะไม่ทรงปฏิเสธพวกเขาตลอดไป ความหวังใจกลับมา ดูว่าขณะที่ทรงลงโทษ แต่ก็ทรงให้เห็นสิ่งดีที่อยู่ข้างหน้า ซึ่งเกิดขึ้นได้ก็เพราะพระเจ้าเท่านั้น ไม่ใช่เกิดจากมนุษย์ พระองค์เคยบอกกับอับราฮัมอย่างไร จะทรงซื่อตรงต่อพระสัญญานั้น (ปฐมกาล 22:17; 32:12) 
ข้อสิบเป็นคำพยากรณ์ถึงอนาคต ใกล้ๆ กับยุคของเราปัจจุบัน
พระเจ้าทรงให้เขาเห็นว่า พระองค์ทรงปรารถนาจะให้พวกเขากลับเข้ามาเป็นคนในครอบครัวของพระองค์ เป็นบุตรของพระองค์ ผู้เป็นพระเจ้าที่ทรงพระชนม์อยู่ ในวันนั้น อิสราเอลทั้งหลายจะได้เห็นว่า พระยาห์เวห์ทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียวที่ทรงพระชนม์อยู่

พระเจ้าจะทรงรักษาคนของพระองค์ไว้และทำให้พวกเขากลายเป็นชนชาติใหญ่โต จะมีการรวมระหว่างอาณาจักรเหนือและใต้ จะมีกษัตริย์องค์เดียวไม่เป็นสองอีกต่อไป ผู้นำท่านนี้จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากองค์พระเยซูคริสต์! ที่ว่าวันของยิสเรเอลจะเป็นวันที่ยิ่งใหญ่ เพราะที่ยิสราเอล พวกเขาเคยชนะมาแล้วสมัยผู้วินิจฉัย (ผู้วินิจฉัย 7)และในอนาคตจะชนะเช่นกัน (อิสยาห์ 9:4-7; 41:8-16)

พระคำเชื่อมโยง

1* อาโมส 1:1; 2 พงศ์ศาวดาร บทที่ 27, 28, 29:1-32:33; 2 พงศ์กษัตริย์ 13:13; 14:23-29
2* โฮเชยา 3:1; เยเรมีย์ 2:13
4* 2 พงศ์กษัตริย์ 10:11; 15:8-10; 17:6, 23; 18:11
5* 2 พงศ์กษัตริย์ 15:29

6* 2 พงศ์กษัตริย์ 17:6
7* 2 พงศ์กษัตริย์ 19:29-35; เศคาริยาห์ 4:6
10* ปฐมกาล  22:17; 32:12; 1 เปโตร 2:10; โรม 9:26; ยอห์น 1:12
11* อิสยาห์ 11:11-13

หมายเหตุเพิ่มเติม
คำว่า ยิสเรเอล คำฮีบรูว่า יִזְרְעֵאל ยิสเรเอล คำนี้แปลว่า พระเจ้าทรงหว่าน หรือพระเจ้าทรงให้กระจายไป ใช้ทั้งกับบุคคลและสถานที่ เป็นชื่อลูกคนแรกของโฮเชยาและโกเมอร์ เป็นสัญลักษณ์ ถึงการลงโทษของพระเจ้าที่จะทรงกระจายเขาให้ไปเป็นเชลยในเวลาต่อมา

หุบเขายิสเรเอลนั้น คือแผ่นดินอุดมสมบูรณ์ทางเหนือของอิสราเอล เป็นที่ ๆ ปลูกพืชได้ดีและเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ (https://biblehub.com/hebrew/3157.htm) แถบนี้เกิดสงครามบ่อย ๆ ในอิสราเอล เนื่องจากใกล้กับเส้นทางขนส่งสินค้าที่ผ่านไปมา

ส่วนเมืองยิสเรเอลเป็นเมืองของกษัตริย์อาหับกับราชินีเยเซเบล ซึ่งเป็นที่ ๆ ต่อต้านพระเจ้า และผู้เผยพระดำรัสเอลียาห์ (เยฮูได้รับคำสั่งจากเอลีชาให้จัดการกับกษัตริย์อาหับและพระนางเยเซเบล แต่เยฮูได้ทำมากเกินเหตุ อ่าน 1 พงศ์กษัตริย์  21:17-24; 2 พงศ์กษัตริย์ 1 9:7; 10:30)